ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My Fable -Chanbaek-

    ลำดับตอนที่ #30 : someone like you 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.55K
      413
      6 ส.ค. 62

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     







     ช่วงสายของเช้าวันนี้ชานยอลตื่นขึ้นมาด้วยสภาพนอนเปลือยครึ่งท่อนและใช้เวลากว่าชั่วโมงนอนรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เอาแต่ถามตัวเองซ้ำไปมาว่าทำอะไรลงไปแต่ถึงจะคิดไปก็ไร้ประโยชน์เมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้ว


    คนตัวสูงวางมือก่ายหน้าผาก ใบหน้าคมขมวดมุ่น ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นคว้าเสื้อยืดข้างเตียงขึ้นมาสวม นี่เป็นเช้าที่น่าหงุดหงิดที่สุด เขาผลักประตูก้าวเท้าเดินอย่างเงียบเชียบลงไปชั้นล่าง เสียงดังก๊องแก๊งในครัวบอกชานยอลให้รู้ว่ามีใครบางคนอยู่ในนั้น 

     

    เท้าที่กำลังก้าวลงบันไดขั้นสุดท้ายชะงัก ดวงตากลมโตจ้องมองเจ้าของแผ่นหลังเล็กในเสื้อเชิ้ตสีขาว ชายเสื้อระต้นขาปิดกางเกงขาสั้นจนเกือบมิด ยิ่งมองยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจ แต่ก่อนจะได้ก้าวเดินเข้าไปอีกฝ่ายก็เอ่ยทักทายขึ้นมาราวกับรู้อยู่แล้วว่ามีคนยืนอยู่

     

    “วันนี้จะกินข้าวไหม”

     

    น้ำเสียงราบเรียบถูกเอ่ยออกมาพร้อมสีหน้านิ่งเฉยเหมือนกับทุกที ทำเป็นปกติราวกับไม่เคยมีเรื่องเกิดขึ้นเมื่อคืน เด็กหนุ่มตัวสูงจ้องมองคนรักของพี่สาวอย่างท้าทายทว่าก็ไม่สามารถจับกระแสความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เลย

     

    “เมื่อเช้ายูราโทรมา บอกว่าถ้านายตื่นแล้วให้โทรหาด้วย”

     

    “มึงต้องการอะไร”

     

    เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นขัดน้ำเสียงเจื้อยแจ้วของพี่เขย มือบางที่กำลังเช็ดถูเคาน์เตอร์หยุดชะงัก แบคฮยอนปรายตามองคนด้านหลังเพียงครู่ก็ส่งเสียงหัวเราะลอดลำคอออกมา

     

    “พูดเรื่องอะไร”

     

    “มึงอย่ามาทำไม่รู้เรื่อง เมื่อคืนมึงไปทำไรที่บาร์”

     

    “แล้วนายไปทำอะไรที่นั่นล่ะ” คนตัวเล็กเช็ดมือกับผ้าขี้ริ้วก่อนหันไปสบตากับเจ้าของใบหน้าคม เรียวคิ้วขมวดย่นกับแววตาดุดัน แบคฮยอนชอบสีหน้าแบบนั้นของชานยอลยิ่งกว่าตอนไหนๆ

     

    “กูไม่ได้เข้าไปหาผู้ชายแล้วกัน”

     

    “อายุก็ยังไม่ถึงเข้าผับได้หรอ พี่นายรู้ไหม”

     

    ท่าทีไขสือของคนอายุมากกว่าทำเด็กหนุ่มยิ่งหงุดหงิด จากที่อารมณ์เสียอยู่แล้วก็คุกรุ่นเข้าไปใหญ่ การพูดเลี่ยงไปเลี่ยงมาทำให้ความอดทนของชานยอลลดน้อยลง

     

    “กูถามว่ามึงไปทำไรที่บาร์เกย์ กูเห็นมึงอยู่กับเพื่อนกูเมื่อคืน”

     

    “...............”

     

    “มึงไปทำอะไร! มึงชอบผู้ชายแล้วมึงมาแต่งกับพี่กูทำไม!” เขาตวาดเสียงแข็ง แต่อีกฝ่ายก็ยังวางท่าทีเฉยเมยราวกับทองไม่รู้ร้อน

     

    “นายไม่รู้อะไรหรอก”

     

    “กูไม่รู้อะไร! มึงออกไปมั่วผู้ชายข้างนอกตอนพี่กูไม่อยู่ มึงรู้ไหมเค้ารักมึง ปกป้องมึงแค่ไหน!

     

    นัยน์ตาวาวโรจน์กับน้ำเสียงตะคอกดุดันของคนตรงหน้าทำอาจารย์หนุ่มได้แต่ยืนนิ่ง คำพูดที่ฟังเหมือนทำร้ายน้ำใจบาดลึกลงไปในความรู้สึกอันแสนเปราะบาง แต่ก่อนที่ความอ่อนแอจะได้ฉายสะท้อนออกทางแววตามันก็ถูกแทนที่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยกับรอยยิ้มเล็กๆ บนมุมปาก

     

    “ฉันไม่ได้ไม่รักพี่นายหรอกนะ”

     

    “แล้วเมื่อคืนมึงออกไปทำไม!

     

    “ก็บอกว่าแค่ไปดื่มกับเพื่อนไง แล้วทำไมนายไปอยู่ที่นั่นล่ะ”

     

    “เพื่อนมึงดูดปากกันอ๋อ กูบอกมึงแล้วว่าเพื่อนกูพาไป กูไม่ได้เป็นเหี้ยไรทุเรศอย่างมึง แล้วมึงก็อย่าคิดว่ากูคิดอะไรกับมึงด้วย” ชานยอลกระแทกน้ำเสียง ตรงเข้าไปบีบแขนอีกฝ่าย เผลอกล่าวคำสบประมาทออกไปด้วยความโมโหกับท่าทียียวนประสาท

     

    “อื้อ”

     

    “มึงแต่งงานกับพี่กูแล้ว มึงจำไว้ มึงจะเป็นเหี้ยไรก็เรื่องของมึง แต่มึงอย่าให้กูเห็นอีกแล้วกัน พี่กูมีค่ากว่ามึงเยอะ” ข่มคำขู่รอดไรฟันผ่านสายตาดุดันก่อนจะผลักร่างอีกฝ่ายออกจนเซชนเคาน์เตอร์ สีหน้าไม่ทุกข์ร้อนกับรอยยิ้มเล็กๆ ในแววตาของพี่เขยยิ่งทำให้ชานยอลรู้สึกเหมือนถูกยั่วอารมณ์

     

    “อื้อ...” แบคฮยอนไม่ได้ตอบโต้อะไร ได้แต่ส่งเสียงครางอื้อในลำคอยอมรับทุกถ้อยคำก่นด่าแถมยังไม่แสดงท่าทีโกรธเคือง

     

    “ถ้าพี่กูเป็นไรขึ้นมามึงโดนแน่  แล้วก็อยู่ให้ห่างกูด้วย...”

     

    “นายกลัวหรอ”

     

    “ทำไมกูต้องกลัวมึง”

     

    “ไม่รู้สิ...” กล่าวออกลอยๆ ไปพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะเชยสายตาจ้องลึกลงไปในดวงตาคมสีเข้มคล้ายกับต้องการท้าทายอารมณ์เด็กหนุ่มให้มากขึ้น

     

    “มึงมันโรคจิต”

     

    คำว่าโรคจิตทำคนตัวเล็กถึงกับต้องหลุดหัวเราะออกมา คำนั้นถึงไม่ใช่ก็คงใกล้เคียงกับสิ่งที่แบคฮยอนเป็นที่สุดล่ะมั้ง

     

    สีหน้าท้าทายอารมณ์ของคนอายุมากกว่ายิ่งอีกฝ่ายยิ่งใจร้อน  ดูท่าทางแบคฮยอนจะยิ่งชอบใจเมื่อคู่สนทนาออกอาการหัวเสีย ยิ่งตะคอกไปจนถึงเริ่มใช้ความรุนแรง ยิ่งชานยอลหลุดมากขึ้นเท่าไหร่แบคฮยอนรู้สึกเหมือนเป็นฝ่ายควบคุม และชานยอลก็หงุดหงิดสุดๆ เมื่อเริ่มรู้ตัวว่ากำลังโดนปั่นหัว

     

    “มึงจำไว้ ถ้าพี่กูเสียใจเมื่อไหร่มึงโดนแน่...”

     

    เด็กหนุ่มตัวสูงกัดฟันย้ำคำขู่อีกครั้ง สูดลมหายใจก่อนจะตัดสินใจกันหน้าเดินหนีไปอย่างพยายามสงบอารมณ์ อย่างน้อยก็ได้เห็นธาตุแท้แล้วว่าแบคฮยอนเป็นคนยังไง

     

    “พี่ขอโทษ...”

     

    คำขอโทษที่อยู่ๆ ก็ถูกเอ่ยออกมาชะงักเท้าคนตัวสูงไว้ก่อนที่คำพูดต่อไปจะตามมา

     

    “นายโกรธหรอ”

     

    ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะปั่นประสาทหรืออะไรกันแน่ แต่ชานยอลไม่ใช่เครื่องมือสนองอารมณ์ใคร เขาเมินคำพูดของคนด้านหลังแล้วเดินขึ้นห้องไปโดยที่ไม่ได้กล่าวอะไรสักคำ ทิ้งพี่เขยเอาไว้ให้ได้แต่ยืนิ่งอยู่คนเดียว กับตะกอนความรู้สึกในใจที่ถูกกวนขึ้นมา

     

    แบคฮยอนมองแผ่นหลังกว้างไปจนหายลับสายตาไปพลางส่งเสียงหัวเราะเล็กๆ ออกมา มือบางจับประคองข้อมือที่ถูกบีบจนขึ้นเป็นรอย ด้านหลังแขนมีแผลจากการถูกปากหม้อลวกตอนถูกผลัก  รู้สึกเจ็บแปลบจนต้องนิ่วหน้าแต่ไม่เท่าที่ใจ

     

    ชานยอลช่างเป็นคนซื่อตรง แต่ก็ฉลาดกว่าที่คิด ไม่ได้ง่ายๆ หรือเป็นแค่เด็กก้าวร้าวบ้าพลังทำตัวเกเรไปวันๆ ต้องบอกว่าเป็นคนที่คาดเดาไม่ได้มากกว่า

     

    น่าแปลกดีที่มาพูดถึงเรื่องที่บาร์ แต่กลับไม่พูดถึงเรื่องบนเตียง...

     

    ประสบการณ์เเมื่อคืนมันช่าง... สุขสรรค์ หรรษา ประทับลึกลงในจิตใจจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นความจริงที่ได้นอนอยู่ใต้ร่างเขาอีกครั้ง

     

    ถึงจะเป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างไม่ได้ตั้งใจให้เกิดแต่มันก็ถูกติดตรึงลงในความทรงจำไปแล้ว ทว่าในเมื่อไม่มีใครอยากนึกถึงมันในฐานะข้อผิดพลาดแบคฮยอนก็จะแค่ทำเหมือนลืมไป

     

    ใบหน้าแบบนั้น อยากเห็นอีกสักครั้งจัง...

     

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

    19:25

     

    ในช่วงค่ำที่เงียบเหงากว่าทุกวัน เสียงคนลงมาจากบันไดเรียกสายตาอาจารย์หนุ่มที่นั่งอ่านหนังสือบนโซฟาให้ชำเลืองขึ้นมอง ภาพของน้องชายคนรักกับเป้สะพายหลังและกุญแจรถในมือบอกแบคฮยอนว่าอีกฝ่ายจะออกไปข้างนอกอีกแล้ว

     

    “จะไปข้างนอกอีกแล้วหรอ” ชายหนุ่มลดหนังสือลงพร้อมเอ่ยทักทายทว่าอีกฝ่ายก็ยังเอาแต่เงียบ ชานยอลไม่แม้แต่จะมองหน้า เขารีบสาวเท้าเดินผ่านไปทันทีทำราวกับมองไม่เห็นว่าพี่เขยคนนี้มีตัวตน

     

    “จะกลับมาไหมพี่จะได้บอกยูราถูก”

     

    “เดี๋ยวโทรบอกเอง”

     

    คนตัวสูงกล่าวแค่นั้นก่อนที่ประตูบ้านจะถูกปิดลงแล้วเจ้าตัวก็หายออกไปด้านนอก ทิ้งให้เจ้าของบ้านอีกคนได้แต่นั่งนิ่ง เหลือบมองนาฬิกาบนผนังตอนนี้บอกเวลาทุ่มกว่าๆ แล้ว แบคฮยอนตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาภรรยาตามหน้าที่แฟนหนุ่มแสนดี

     

    เขาลุกจากโซฟาไปพร้อมหนังสือเพื่อขึ้นไปบนห้องทำงานโดยที่ไม่ลืมปิดไฟชั้นล่างด้วย ไม่นานเสียงจากปลายสายมือถือก็ดังขึ้นเรียกรอยยิ้มเล็กๆ จากอาจารย์หนุ่ม

     

    “เป็นไงบ้าง ทำไรอยู่”

     

    สองเท้าเล็กๆ ก้าวขึ้นบันไดไปจนถึงห้องทำงาน บานประตูไม้ถูกปิดงับประตูไว้แค่หลวมๆ แบคฮยอนตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้เปียโนตัวใหญ่ก่อนที่ปลายนิ้วมือข้างที่ว่างจะวางลงบนแป้นสีขาวแล้วกดลงเบาๆ

     

    แบคฮยอนเกลียดความเงียบเหงา... เกลียดเวลาที่มองไปรอบตัวแล้วเห็นเพียงแค่ตัวเองท่ามกลางความมืด...

     

    [เพิ่งจะเริ่มกินเลี้ยงเอง พี่กินข้าวหรือยัง]

     

    “อื้อ เพิ่งกินเสร็จเมื่อกี้”

     

    [แล้วชานยอลล่ะ]

     

    “เพิ่งออกไปจากบ้านเมื่อกี้เหมือนกัน”

     

    [ออกไปอีกแล้วหรอ? แล้วเมื่อคืนมันกลับกี่ทุ่ม? เมาหรือเปล่า]

     

    นิ้วมือที่กำลังกดลงบนตัวโน้ตชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่คนตัวเล็กจะกล่าวตอบปลายสาย

     

    “ประมาณเที่ยงคืน ไม่เมาเท่าไหร่”

     

    [แน่ใจหรอ ไม่ได้ช่วยมันไม่ใช่? เมื่อวานเที่ยงคืนโทรไปมันยังไม่รับโทรศัพท์เลย แล้วก็เอารถไปขับด้วย]

     

    “ไม่หรอกน่า” แบคฮยอนได้แต่ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ กับความขี้กังวลของแฟนสาว เขาเปิดลำโพงแล้ววางมือถือไว้บนที่วางกระดาษโน้ตก่อนจะเริ่มใช้สองมือบรรเลงเพลงเบาๆ

     

    [ซ้อมเปียโนอยู่หรอ งั้นฉันไปกินข้าวก่อนนะ ถึงที่พักแล้วเดี๋ยวจะโทรกลับ]

     

    “อื้อ กินข้าวให้อร่อยนะ”

     

    [งั้นแค่นี้ก่อนนะ พี่ก็อย่าลืมพักผ่อนบ้างล่ะ]

     

    ได้ยินเสียงผู้คนจอแจดังลอดออกมาจากในลำโพงก่อนที่สายจะถูกตัดลง แบคฮยอนได้แต่นั่งนิ่งถอนลมหายใจ เพียงเสี้ยวนาทีความเงียบก็กลับเข้ามาทำให้รู้สึกอ้างว้างจนได้ยินเสียงอื้ออึงในหู เพื่อดับเสียงนั้นจึงต้องกดปลายนิ้วบรรเลงเพลงที่ตนโปรดปรา

     

    เสียงนุ่มทุ้มของมันช่วยปลอบประโลมจิตใจอันแสนวุ่นวายให้สงบลง ริมฝีปากสีสดพึมพำตามท่วงทำนอง พลันนึกไปถึงคนที่สอนให้เล่นเครื่องดนตรีนี้ตั้งแต่สมัยยังวัยเยาว์และเดียงสาต่อโลกใบนี้

     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ภายในห้องนอนที่อัดแน่นไปด้วยเด็กหนุ่มวัยคึกคะนองหลายชีวิตนอนก่ายกันอยู่บนพื้น เสียงเพลงอึกทึกจากลำโพงโน้ตบุ๊กดังแข่งกับเสียงวิดีโอเกม ถาดพิซซ่าวางกองเกลื่อนอยู่ข้างกระป๋องโค้ก โซฟาตรงมุมห้องถูกยึดครองด้วยชายรูปร่างสูงใหญ่ ชานยอลเอาแต่นั่งกดโทรศัพท์เงียบๆ อยู่คนเดียวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมกับเรื่องที่ยังสะบัดออกจากหัวไม่หลุด

     

    “อึนอู คนที่มึงไปเจอเมื่อวานใครวะ” สุดท้ายก็ทนความเคลือบแคลใจไม่ไหวจนต้องถามออกไป  เจ้าของเสียงทุ้มหันไปเอ่ยกับเพื่อนอีกคนที่นอนเหยียดอยู่บนเตียง จ้องมองเขาด้วยแววตาใครรู่

     

    “ใครวะ”

     

    “ที่มึงบอกมึงไปเจอเมื่อวานอะ”

     

    “อ๋อ ทำไมอะ” คนถูกถามส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เหลือบสายตามองเพื่อนซี้กับด้วยสายตาแฝงเลศนัยทั้งอดนึกแปลกใจไม่ได้ อะไรทำให้ชานยอลสนใจเรื่องคนอื่นขึ้นมา

     

    “กูเห็นเมื่อวาน... มึงคบกับมันนานยัง”

     

    “คบที่ไหนล่ะ เจอกันสองสามครั้งเอง”

     

    “มึงเอามันยัง” คิ้วเรียวขมวดมุ่นแสดงถึงความจริงจังในบทสนทนา รอยยิ้มของอึนอูยิ่งทำให้ชานยอลหงุดหงิดเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ทำเหมือนเป็นเรื่องเล่นตลกขบขัน

     

    “ไม่เคย ก็แค่แลกรูปกันนิดหน่อย ไปกินข้าว กูไม่เอาผู้ชายหรอก ก็หลอกเอาเงินแม่งไปงั้นแหละ”

     

    “ทำไมมึงเหี้ยจังวะ”

     

    “มึงคิดไรมากวะ มันก็รู้ แค่กินเที่ยวกันขำๆ เพื่อนเที่ยวกลางคืน หาแดกเหล้าฟรี” สีหน้าเฉยชาของคนพูดไม่แสดงถึงความรู้สึกผิดใดๆ ใครจะสนใจกันล่ะ เรื่องแบบนี้ถ้าผลประโยชน์แฟร์ๆ ก็ไม่เห็นเป็นเรื่องน่าอายตรงไหน

     

    “มึงเจอมันนานยัง”

     

    “ทำไมวะ มึงอยากรู้จักอ่อ?” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วถาม ความซอกแซกของเพื่อนซี้ทำอึนอูอดสงสัยไม่ได้ ทั้งที่ปกติชานยอลไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นแท้ๆ ดูท่าทางผู้ชายคนนี้พิเศษกับเขาจัง

     

    “กูคุ้นๆ หน้า”

     

    “ประมาณสองสามเดือน กูเจอมันในเว็บแต่ไม่ค่อยรู้เรื่องมันหรอก พวกนี้แม่งปกปิดตัวตน”

     

    “ชื่อไรวะ”

     

    “ฮยอนซอก ไม่รู้ชื่อจริงเปล่า”

     

    “กูถามจริง มึงไม่เคยเอามันจริงดิ” ชานยอลจ้องสายคาดคั้นไปยังเพื่อนสนิท จับสีหน้าที่เริ่มออกอาการลังเลของอีกฝ่าย พอเห็นอึนอูมองเพื่อนๆ ที่นั่งเล่นเกมอยู่ปลายเตียงพร้อมกับกับทำปากจุ๊ๆ ก็พอจะเข้าใจได้ มันคงแปลกถ้าอึนอูบอกว่าไม่เคยนอนกับแบคฮยอนแต่ไปขอเงินมาได้ง่ายๆ หรือจูบกันแบบไม่รู้สึกกระดากอาย

     

    “มึงถามทำไมวะ มึงสนใจอยากทำอ่อ”

     

    “ควย กูไม่สนใจหรอก”

     

    ใช่ ชานยอลไม่สนใจหรอกถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่แฟนของพี่สาวที่แสนดีของเขา ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่เสียงโทรศัพท์กับหน้าจอที่แสดงรายชื่อสายเรียกเข้าก็ทำคนตัวสูงต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ พอนึกถึงก็โทรมาทันทีเลย ชานยอลลุกจากโซฟาเดินนอกไปนอกห้องก่อนจะกดรับสาย กรอกน้ำเสียงเนือยๆ ลงไป

     

    “มีไร”

     

    [มีไรหรอ...? แกอยู่ที่ไหนตอนนี้]

     

    “อยู่บ้านเพื่อน”

     

    [บ้านเพื่อน? ไปตั้งแต่เมื่อไหร่?]

     

    “เมื่อเช้า มีไรเนี่ย ไม่มีจะวางแล้วนะ”

     

    [กลับบ้าน... เดี๋ยวนี้ชานยอล]

     

    คนตัวสูงได้แต่ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างนึกเซ็ง นี่ทุกคนเห็นชานยอลเป็นอะไรไป เด็กประถมที่ต้องโทรศัพท์รายงานตัวทุกสองชั่วโมงหรอ

     

    “เออ เดี๋ยวกลับ”

     

    [เดี๋ยวนี้ ถ้าแกไม่ถึงบ้านในสองชั่วโมงฉันจะไม่จ่ายเงินเดือนให้แก]

     

    “เอออ รู้แล้ว เดี๋ยวกลับ”

     

    [กลับไปถึงบ้านแล้วถ่ายรูปแกชูสองนิ้วข้างนาฬิกามาด้วย ถ้าฉันโทรถามแบคฮยอนแล้วแกไม่กลับนะ เจอดีแน่]

     

    “เอออ แค่นี้แหละ” ก่อนที่จะถูกบ่นไปมากกว่านี้ชานยอลก็รีบกดตัดสายพี่สาวทิ้งไป นาฬิกาบนจอมือถือบอกเวลาห้าทุ่มเศษแล้ว เขาเก็บมือถือลงกระเป๋าแจ๊คเก็ตนิ่วหน้าอย่างนึกเซ็งก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อหยิบกระเป๋าเป้

     

    “ไปไหน กลับแล้วอ่อ”

     

    “เออ แม่โทรตามแล้ว พรุ่งนี้กูมา” กล่าวคำล่ำลากับเพื่อนพร้อมหยิบเป้สะพายขึ้นบ่าด้วยสีหน้าสุดเซ็ง ชานยอลรับกุญแจรถที่ถูกโยนมาจากเพื่อนก่อนจะหันหลังออกจากห้องไป ในใจก็แอบหวังเล็กๆ ว่าคนที่บ้านจะหลับไปแล้วจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากัน

     

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

     

    ยามเที่ยงคืนดึกสงัด เสียงไขกุญแจประตูดังเบาๆ ภายในบ้านที่มืดสนิทเป็นสัญญาณว่าใครอีกคนคงจะหลับไปแล้ว ชานยอลปิดงับประตูอย่างเงียบเชียบเดินผ่านห้องโถงขึ้นบันไดไปพร้อมกับกำกุญแจรถไม่ให้ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งไปด้วย

     

    แสงไฟริบหรี่ที่ลอดออกมาจากช่องประตูห้องทำงานของพี่เขยชะงักเท้าเด็กหนุ่มไว้ ชานยอลสังเกตเห็นว่าบานประตูถูกปิดงับไว้สนิทจนแสงลอดออกมาจากรอยแง้ม เขาค่อยๆ ก้าวเท้าเดินผ่านไปช้าๆ ขณะที่เดินผ่านหางตาก็แอบลอดเข้าไปเห็นในห้อง ภาพบางอย่างหยุดชานยอลให้ต้องหันหลังกลับไปมอง

     

    ดวงตากลมโตแนบลงกับช่องประตู มองร่างคุ้นตาที่ยังอยู่ในชุดตัวเดิมนอนอยู่ใต้เปียโนหลังใหญ่โดยมีเพียงผ้าห่มผืนบางปกคลุม

     

    ทำไมต้องไปนอนอยู่ตรงนั้น... จังหวะเดียวกันหัวใจของเด็กหนุ่มกระตุกวูบด้วยความสับสนระคนแปลกใจ...

     

    ใบหน้าคมขมวดมุ่น แว้บแรกที่เห็นชานยอลนึกว่าแบคฮยอนสลบหรือล้มหัวฟาดพื้นไปซะอีก คนตัวสูงค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกจากประตูอย่างเงียบเชียบ นัยน์ตาฉายแววครุ่นคิด มวลความรู้สึกพิลึกก่อตัวขึ้นในอกก่อนที่สองเท้าจะก้าวตรงไปยังห้องของตัวเอง

     

    ทันทีที่ประตูห้องปิดลงชานยอลก็ตรงไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ดวงตากลมโตลืมขึ้นมองเพดานว่างเปล่ากับคำถามและความรู้สึกในใจ

     

    ภาพของแบคฮยอนที่นอนขดตัวอยู่ใต้เปียโน เสียงดนตรีคุ้นหูที่มักดังแว่วผ่านกำแพงมาจากห้องทำงานทุกวัน เปียโนโตใหญ่ที่ชานยอลไม่เคยใช้ ไม่เคยเล่น ไม่แม้แต่จะเฉียดผ่านมัน คนเดียวที่จับเปียโนตัวนั้นก็มีแต่พี่สาวกับเจ้าของมันที่หายไปนานแสนนาน

     

    ราวกับมีเมฆฝนกับขมุกขมัวเกิดขึ้นในใจ ฉับพลันก็นึกถึงคำพูดที่มักจะได้ยินจากอีกฝ่ายอยู่เสมอ คำพูดกับรอยยิ้มและแววตาที่ชวนให้รู้สึกประหลาด

     

    ไม่เหมือนพี่นายเลยนะ

     

    ความรู้สึกนี้มันคืออะไร ยิ่งหาคำตอบยิ่งเข้าใกล้พี่เขยมากเท่าไหร่จิตใจชานยอลยิ่งไม่สงบเอาซะเลย หรือว่ากำลังถูกเขาใช้จิตวิทยาปั่นหัวเอาก็ไม่รู้

     

    ชานยอลไม่เคยรู้จักแฟนของพี่สาวมาก่อน ไม่เคยสนใจ ไม่รู้ว่าแบคฮยอนเป็นใครมาจากไหนแค่เห็นหน้าแล้วไม่ถูกชะตาก็เท่านั้น

     

    ด้วยความเคลือบแคลงใจบางอย่าง เขาล้วงโทรศัพท์ออกมาและตัดสินใจส่งข้อความหาเพื่อนสนิทที่คุยกันก่อนหน้า ถึงชานยอลไม่รู้แต่อึนอูอาจจะรู้อะไรมากกว่านี้ก็ได้

     

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

     

     

     

    เช้าเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาเป็นอีกวันที่บรรยากาศในบ้านเงียบเหงากว่าทุกครั้ง เวลาเก้าโมงกว่าชานยอลตื่นขึ้นมาด้วยชุดเดิมกับเมื่อคืน โทรศัพท์เต็มไปด้วยข้อความนับสิบที่ถูกส่งมาจากพี่สาวโดยมีใจความสำคัญไม่พ้นเรื่องเดิมๆ คือห้ามออกจากบ้าน ห้ามไปเที่ยวบลาๆๆ

     

    คนตัวสูงพลิกกายอ้าปากหาววอดก่อนหยัดกายถอดเสื้อออก ท้องที่ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อคืนเริ่มส่งเสียงโครกคราก เขาตัดสินใจสั่งพิซซ่าผ่านเว็บและเข้าไปเช็คข้อความนับสิบที่ยังค้างอยู่ และหนึ่งในนั้นก็มาจากบทสนทนาเมื่อคืน

     

    Eunwoo : ดูแล้วเงียบไว้

     

    Eunwoo : sent video

     

    คลิปวิดีความยาว 1 นาทีจากอึนอูถูกส่งมาตั้งแต่เมื่อคืนตอนตีสองกว่า คนตัวสูงนิ่วหน้าด้วยความลังเลใจ ชานยอลไม่กล้าที่จะเปิดคลิปนั้นเพราะกลัวว่ามันจะเป็นอะไรอย่างที่คิดเอาไว้ แต่เขาก็ตัดสินใจกดเปิดดูวิดีโอนั้นเวยความอยากรู้อยากเห็น

     

    ดวงตากลมโตจ้องมองภาพชายร่างเล็กที่สวมเพียงกางเกงขาสั้นสีดำ ถูกปิดตาปิดปากจับนั่งมัดบนเก้าอี้ขณะที่ถูกคนถ่ายวิดีโอใช้พู่สีดำฟาดไปบนลำตัว

     

    เงยหน้าหน่อย

     

    อื้อ...

     

    ไม่ได้สั่งให้พูด

     

    ความวิปลาสในวิดีโอทำชานยอลยิ่งต้องนิ่วหน้า เจ้าของเสียงคุ้นหูเดินไปรอบเก้าอี้ตัวนั้นถ่ายให้เห็นข้อมือบางที่ถูกล็อคด้วยสายหนัง ทุกครั้งที่พู่สีดำฟาดลงบนตัวคนบนเก้าอี้ก็ออกอาการสะดุ้งเล็กน้อย ผิวกายขาวประไปด้วยรอยแดง

     

    ยิ่งจ้องมองกิจกรรมในคลิปเด็กหนุ่มยิ่งกระอักกระอ่วน ชานยอลไม่ได้มีปัญหากับรสนิยมพวกนี้แต่เขารู้สึกไม่ดีเอาซะเลยที่เห็นว่าคนในคลิปเป็นคนรู้จัก ทั้งเพื่อนและพี่เขย แถมท่าทางแบคฮยอนเองก็รู้ตัวดีว่ากำลังถูกถ่าย

     

    ชานยอลทิ้งมือถือลงข้างตัว รู้สึกคลื่นเหียนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกกับภาพที่เห็น เขาเชื่อสนิทใจว่านั่นคือแบคฮยอน ความหวังที่จะสานสัมพันธ์เพื่อพี่สาวยิ่งไกลออกไปจนไม่รู้จะทำยังต่อไปดี

     

    ถ้าบอกเรื่องนี้กับยูราไปก็ไม่ต่างอะไรกับการทำร้ายหัวใจพี่สาว แต่ถ้าเก็บไว้แล้วปล่อยให้รู้ทีหลังก็อาจจะแย่กว่า หรือจะแค่เก็บไว้เป็นความลับแล้วคอยดูไม่ให้แบคฮยอนออกไปทำแบบนั้นอีก ชานยอลไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเลยเพราะมันน่ารำคาญแบบนี้ แต่จะให้ปล่อยไปเฉยๆ ก็ทำไม่ได้อีก

     

    ถ้าแบคฮยอนตัดสินใจแล้วก็แปลว่าเขาเลือกจะใช้ชีวิตอย่างนั้นหรือเปล่า แต่ชานยอลก็ไม่เข้าใจเลย ทำไมต้องเป็นที่นี่ ทำไมต้องเป็นยูรา...

     

      

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หมกตัวใช้เวลาอยู่บนห้องหมดไปกับวิดีโอเกมและซีรีส์นานหลายชั่วโมงจนไม่รู้ฟ้าดิน กว่าจะรู้ตัวเสียงเจี๊ยวจ๊าวจากชั้นล่างก็บอกให้เด็กหนุ่มรู้ตัวว่าพี่สาวกลับมาแล้ว เขาหรี่เสียงทีวีลงก่อนจะคว้ามือถือขึ้นมาดูนาฬิกาที่บอกเวลาทุ่มเศษ

     

    ข้างเตียงยังมีถาดพิซซ่ากับกระป๋องน้ำอัดลมวางไว้ รู้สึกเหมือนได้อากาศหายใจกลับคืนมาเมื่อรู้ว่าพี่กลับถึงบ้านแล้วแล้ว

     

    ก๊อกๆๆๆ

     

    “ชานยอล”

     

    คิดถึงยังไม่ทันไรเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนที่คนข้างนอกจะเปิดเข้ามาอย่างถือวิสาสะ หญิงสาวในชุดสุภาพวางศอกท้าวประตูจ้องมองห้องน้องชายที่รกอย่างกับมีผู้ชายห้าคนอยู่รวมกัน สีหน้าของยูราดูเหนื่อยหน่ายอย่างเห็นได้ชัด

     

    “มีไร”

     

    “แกอยู่บนห้องทั้งวันเลยหรอ ฉันมาไม่คิดจะลงไปรับหน่อยเลยใช่ไหม”

     

    “แบคฮยอนก็อยู่ข้างล่าง”

     

    สีหน้าไม่รู้ทุกข์ร้อนของน้องชายทำหญิงสาวได้แต่ถอนลมหายใจ เธอเตะกองหนังสือที่วางอยู่ผิดที่ผิดทางก่อนจะเดินเข้าไปเท้าเอวยืนอยู่หน้าเจ้าของห้อง

     

    “แล้วนี่กินข้าวเย็นหรือยัง ถ้าฉันไม่อยู่เจ็ดวันแกก็จะไม่กินข้าวเจ็ดวันเลยใช่ไหม” เอ็ดไปด้วยความเป็นห่วง ยูรารู้แล้วว่าชานยอลไม่เคยลงไปกินข้าวกับพี่เขยของเขาเลย ไม่แม้แต่จะแตะกับข้าวที่ทำไว้ให้เลย ทั้งที่อุตส่าห์เปิดโอกาสให้ญาติดีกันแล้วแท้ๆ

     

    “ลงไปกินมาแล้ว”

     

    “เฮ้อ... เอาเหอะ อีกสักพักแกลงไปหาไรกินแล้วกัน วันนี้เพื่อนฉันมาบ้าน”

     

    “อา...” คนบนเตียงส่งเสียงครางรับในลำคอแบบปัดส่งขณะที่นิ้วมือยังเลื่อนปัดจอมือถือ กระทั่งพี่สาวเดินออกจากห้องไป

     

    ดวงตากลมโตเหลือบมองบานประตูที่ถูกปิดลงนึกถึงสีหน้าไม่สู้ดีของอีกฝ่าย ความเหนื่อยล้าของพี่สาวกับชีวิตที่เหมือนมีคนรักเป็นเพียงแรงใจเดียว

     

    ยังไงบอกเรื่องนั้นไปก็คงมีแต่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงตามกัน ชานยอลคงต้องจัดการปัญหานี้ด้วยวิธีของตัวเอง

     

    เขาพลิกกายเข้าหาหมอนข้างใบใหญ่ เหม่อมองสายตาอย่างไร้จุดหมายขณะใช้ความคิด พลันภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนก็ย้อนกลับเข้ามาในหัว ทั้งเสียงทั้งสัมผัส ทุกอย่างย้อนกลับมาเหมือนภาพติดสมอง มือหนายกลูบใบหน้าพยายามไล่ความคิดทุเรศออกไป

     

     ชานยอลปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นประสบการณ์ที่สุดยอด การมีอะไรกับผู้ชายก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายเป็นคนใกล้ตัว

     

    ยิ่งพยายามไม่คิดภาพยิ่งวนกลับเข้ามาจนต้องส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างนึกรำคาญตัวเอง วันนี้คงต้องออกไปข้างนอกอีกตามเคยจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน

     

    เด็กหนุ่มหยัดกายขึ้นถีบผ้าห่มจนตกไปปลายเตียง ความรู้สึกตึงที่เป้ากางเกงเรียกชานยอลให้ต้องก้มลงมองก่อนที่จะพบว่าไอ้หนูตัวร้ายมันเริ่มแข็งตัวหน่อยๆ แล้ว

     

    เป็นบ้าอะไรไปชานยอล ถ้าอยากลองอีกไปหาเอาที่ไหนก็ได้แต่ไม่ใช่กับคนใกล้ตัวแบบนี้...

     

     

     

     

     

     

     

                    ซ่า... ซ่า...

     

                    เวลาสี่ทุ่มกว่าเสียงเม็ดฝนสาดกระทบหน้าต่างดังเปาะแปะไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เด็กหนุ่มตัวสูงที่แต่งตัวพร้อมออกไปข้างนอกถอนหายใจอย่างนึกเซ็งเมื่อคิดว่าคืนนี้ฝนคงไม่หยุดตกแน่ ยังไงก็ไม่ได้ออกไปข้างนอกหลังจากที่รอมาตั้งแต่สองทุ่ม

     

    ชานยอลถอดเสื้อแจ๊คเก็ตโยนบนพื้นก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียง คว้ารีโมทมาเปิดทีวีที่ยังเปิดซีรีส์ค้างอะเอาไว้

     

    ก๊อกๆๆ

     

    เสียงเคาะประตูเรียกเจ้าของห้องให้ต้องปลายสายตาไปมองพี่สาวที่เปิดประตูเข้ามาในชุดนอนชินจังพร้อมกับที่คาดผมชิโระ ชานยอลรีบเตะผ้าห่มคลุมขาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองอยู่ในชุดพร้อมออกไปข้างนอก แต่มันก็ไม่ทันซะแล้ว

     

    “ตั้งท่าจะออกไปไหนอีก”

     

    “ไปได้ที่ไหนอะ ดูฝนดิ”

     

    “แกเป็นเป็นแมวหรือไงต้องออกไปข้างนอกทุกวัน หัดอยู่ติดบ้านซะบ้างเถอะ” หญิงสาวตรงไปนั่งลงบนเตียงข้างน้องชายพร้อมกับถลกผ้าห่มสีเทาขึ้นคลุมร่างมองอีกฝ่ายเลือกซีรีส์ผ่านมือถือ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่ลอยออกมาเตะจมูกทำยูราอดรู้สึกหมั่นไส้ไม่ได้ ตัวน้ำหอมฟรุ้งขนาดนี้ไปหาสาวแน่นอน

     

    “แล้วเมื่อคืนแกไปไหนมา”

     

    “ไปหาเพื่อน”

     

    “สรุปพี่ไปสามวันแกอยู่บ้านกี่วันเนี่ย บอกว่าให้อยู่กับแบคฮยอน”

     

    “ให้อยู่ทำไร เบื่อ”

     

    “แกฟังรู้เรื่องไหมเนี่ย ตกลงเรื่องนั้นที่ให้ถามน่ะว่าไง” หญิงสาวหลุบสายตามองน้องชาย เตะขาอีกฝ่ายใต้ผ้าห่มแล้วค่อยๆ ขยับร่างลงนอนไปใกล้ๆ

     

    เด็กหนุ่มตัวสูงชะงักมือที่กำลังกดมือถือไปครู่นึงก็ตอบออกมา

     

    “ก็บอกให้ไปถามเอง”

     

    “แกรู้อะไรมาใช่ไหม แกทำหน้าเหมือนรู้อะไร”

     

    “จะบ้าไงล่ะ ใครจะกล้าถามวะ” ชานยอลแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ พอหันไปมองพี่สาวแล้วเจอกับสีหน้าบึ้งตึงเขาก็ได้แต่ถอนลมหายใจออกมา ราวกับมีหัวค้อนหนักๆ แขวนอยู่กับอก จะพูดออกไปได้ยังไง รู้ว่ากำลังโกหกแต่ทางไหนก็มีแต่ผลร้ายทั้งนั้น

     

    “ก็ไปตีสนิทเข้าซี่ เค้าอยากรู้จักแกจะตาย แกรู้ไหมแบคฮยอนเอาแต่ชมแกให้ฉันฟัง”

     

    เด็กหนุ่มได้แต่ส่งเสียงหัวเราะหึในลำคอ คำชมที่ควรจะฟังแล้วชื่นใจกลับทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

     

    “ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นเลย ขึ้นม.6 เมื่อไหร่แกเตรียมเรียนพิเศษกับแบคฮยอนได้เลย”

     

    “ขอตกดีกว่า”

     

    “ไอ้เด็กนี้” คำกล่าวจบกำปั้นอรหันต์ลอยทุบเข้าที่กลางท้องน้องชายเต็มแรง ใบหน้าของหญิงสาวขมวดมุ่น

     

    “ทำไมถึงแต่งงานกับมันอะ” ด้วยความเคลือบแคลงใจ ชานยอลตัดสินใจเอ่ยถามออกไป ก่อนหน้านั้นแม้ว่าพี่ยูราจะเคยโม้เรื่องแฟนคนใหม่ให้ฟังเป็นร้อยสิบครั้งแต่มันก็ไม่เคยเข้าหูเขาเลยจนถึงตอนนี้

     

    “เอ้า ก็ฉันรักเค้าน่ะสิ เรื่องแบบนี้เด็กอย่างแกไม่เข้าใจหรอก ทำใจยอมรับซะเถอะ”

     

    “มันเป็นคนมาขอแต่งงานอ่อ?”

     

    “ไม่ใช่หรอก ที่จริงตอนนั้นแค่คุยกันเฉยๆ เอง แต่ก็ตัดสินใจตกลงแต่งงานเพราะจะได้ไม่ต้องมีห่วง”

     

    “ทั้งที่เพิ่งคบกับมันเนี่ยนะ?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วถามด้วยความประหลาดใจ อะไรทำให้พี่สาวที่แสนฉลาดของเขาตัดสินใจได้ง่ายขนาดนี้

     

    “ฉันเป็นเพื่อนเค้ามาตั้งแต่เข้าไปสอนมหาลัยแล้วย่ะ แกเคยฟังมั่งไหมเนี่ย”

     

    “เป็นเพื่อนกันอยู่ดีๆ แล้วทำไมคบกันอะ”

     

    “แกถามทำไมเนี่ย? สนใจพี่เขยขึ้นมาแล้วหรอ?”

     

    “ก็อยากรู้ไว้เฉยๆ”

     

    “ที่จริงฉันเป็นคนไปขอเค้าเป็นแฟนต่างหาก” หญิงสาววางศีรษะพิงกับไหล่น้องชายพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่น่าชื่นใจที่สุดในชีวิต “ตอนนั้นก็เหมือนจะเป็นเพื่อนกันแต่ฉันรู้สึกว่ามันมากกว่านั้น แกไม่เข้าใจหรอกว่าการอยู่ด้วยกันแบบเขินๆ แต่ไม่ได้เป็นอะไรกันมันรู้สึกยังไง” ยูราเหลือบสายตามองน้องชายก่อนจะว่าต่อ

     

    “ฉันแค่ไปบอกว่าถ้าความสัมพันธ์ของเรามันมากกว่าที่เป็นอยู่ อยากจะลองคบกันดูไหม แต่ถ้าไม่ได้คิดอะไรก็ไม่เป็นไร อะไรประมาณเนี้ย”

     

    “แล้วมันว่า?”

     

    “เค้าก็ตกลง” หญิงสาวยักไหล่ แล้วการตัดสินใจของเธอก็ไม่ผิดพลาดจนกระทั่งมาถึงวันแต่งงานและตอนนี้เพราะแบคฮยอนยังคงเป็นคนดีเสมอต้นเสมอปลาย

     

    ชานยอลได้แต่เงียบนั่งฟังเรื่องราวความรักที่แสนเรียบง่ายของคู่หนุ่มสาว พี่สาวของเขาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แบคฮยอนก็ดูเป็นพวกเงียบๆ ขี้อายตามสไตล์นักวิชาการ แต่ชีวิตอีกด้านของเขามันช่างสุดจินตนาการ และความขุ่นข้องใจบางอย่างชานยอลก็ยังกำจัดมันออกไปไม่ได้

     

    “จำพี่ได้ปะ...”

     

     

     

     

     

     

     

    ในห้องทำงานที่ปกคลุมด้วยแสงไฟสีเหลืองนวล เสียงเปิดหน้ากระดาษหนังสือดังเบาๆ ไปพร้อมกับเสียงฝนฟ้าจากด้านนอก ความหนาวเหน็บชวนให้บรรยากาศยิ่งเหงามากกว่าทุกที

     

    อาจารย์หนุ่มขีดเส้นใต้บนหน้าหนังสือตรงเนื้อความสำคัญก่อนจะชูแขนขึ้นเหยียดหลังคลายอาการเมื่อยล้า แบคฮยอนเอนหลังลงพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่ พักสายตามองไปด้านหน้า เขาถอนลมหายใจออกมาก่อนจะลุกจากเก้าอี้ไปที่ชั้นหนังสือสูงใหญ่ กวาดสายตาไล้ปลายนิ้วไปบนสันฝุ่นเกาะ ถึงแม้สภาพของมันจะไม่ดีนักแต่กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ก็ยังทำให้หวนนึกไปถึงวันเก่าๆ ได้เสมอ

     

    อากาศที่หนาวเย็นเริ่มกัดกินความเปล่าเปลี่ยวในใจ เจ้าของร่างเล็กหยิบหนังสือเล่มนึงออกมาจากชั้น ภาพบนปกที่สะท้อนเนื้อความของมันไม่เข้ากับงานวิจัยนัก แต่ทุกครั้งที่เห็นแบคฮยอนมักจะได้ยินเสียงเคาะแป้นพิมพ์กับเจ้าของแผ่นหลังกว้างหรือแม้แต่ต้นฉบับของมันตอนที่ยังเป็นแค่กระดาษ

     

    เหลือบสายตามองนาฬิกาเห็นว่าเป็นเวลาดึกมากแล้ว คนตัวเล็กวางหนังสือเล่นไว้บนหลังเปียโนก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานไป หันมองห้องภรรยาก็พบว่าไฟยังเปิดอยู่ เขาเดินลงไปข้างล่างเข้าห้องครัวไปเปิดตู้เย็นหยิบถังนมกับแก้วสองใบออกมาริน แล้วนำมันไปเข้าไมโครเวฟ

     

    ดวงตาเรียวรีเหม่อมองออกไปนอกประตูกระจกทางหลังห้องครัว เห็นเม็ดฝนซัดกับต้นไม้และเสียงดังครืนของสายฟ้า

     

    แบคฮยอนเคยชอบฝน... เขาชอบลมพายุยามมีที่พักพิง แต่เกลียดเมื่อต้องเผชิญหน้ามรสุมอย่างโดดเดียวโดยไร้ที่กำบัง...

     

     

     

     

     

    เท้าเล็กๆ ก้าวไปบนพื้นเย็นเยียบประคองนมอุ่นสองแก้วในมือเดินผ่านห้องทำงานและห้องนอนตัวเองไปหยุดยืนอยู่หน้าห้องน้องชายอีกคน ได้ยินเหมือนมีเสียงคนคุยโทรศัพท์ดังเล็ดลอดออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ เขาให้เท้าเตะประตูสองที ไม่นานบานประตูก็เปิดออกพร้อมร่างของเด็กหนุ่มที่ยืนสูงค้ำหัวกับโทรศัพท์ในมือ

     

    “พี่เอานมมาให้” ชายหนุ่มว่าพร้อมกับยื่นแก้วนมไปตรงหน้า แต่อีกฝ่ายก็เอาแต่ยืนนิ่งจ้องมองมา “ไม่ได้ใส่อะไรหรอก”

     

    เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่คว้านมไปหนึ่งแก้วก่อนที่ประตูจะปิดลง รู้สึกเหมือนถูกไล่กลายๆ จากการไปขัดจังหวะบทสนทนา ป่านนี้ดูท่าว่ายูราคงจะกลับห้องไปแล้ว

     

    แบคฮยอนถือแก้วนมเดินกลับไปยังห้องนอน เปิดประตูอย่างเงียบเชียบแล้วก็พบร่างแฟนสาวนอนอยู่บนเตียงทั้งที่ไฟยังเปิดอยู่

     

    เขานำนมอุ่นไปวางบนหัวเตียงก่อนจะก้มลงถลกผ้าห่มคลุมร่างหญิงสาว ทิ้งกายนั่งลงบนขอบเตียง เสียงฟ้าร้องดังครืนพร้อมกับเม็ดฝนที่ซาดซัดลงมา แต่แบคฮยอนไม่เปียกปอนเพราะมีบ้านเป็นที่กำบัง ยกเว้นความหนาวเหน็บที่กัดกินหัวใจอันแสนอ้างว้าง...

     

    ทั้งที่นั่งอยู่ข้างภรรยาแต่กลับนึกถึงใครคนอื่น ต้องการเขาจนหาทุกข้ออ้างมาเพียงเพื่อได้เห็นหน้า...

     

    ชานยอลเป็นแบบที่แบคฮยอนชอบอย่างที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ เสน่ห์แบบผู้ชาย ความกล้าในการตัดสินใจ หรือการไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติใดๆ และเหนือสิ่งอื่นใดเขามีความเป็นอิสระเกินกว่าที่ใครจะควบคุมได้

     

    ทั้งใบหน้าที่ชวนให้นึกถึงคนรัก กับนิสัยแตกต่างกันสุดขั้ว... แค่ได้เฝ้ามองก็รู้สึกเหมือนหัวใจได้อยู่ใกล้กับความอบอุ่นที่ใฝ่หา

     

    มือบางเอื้อมไปลูบสางเส้นผมสีน้ำตาลเข้มของหญิงสาวเบาๆ จ้องมองดวงตายามหลับพริ้ม ยูราก็เป็นอีกคนที่แบคฮยอนรักแม้จะไม่ใช่ในแบบที่เธอต้องการ

     

    สุดท้ายถ้าจะต้องใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติตลอดไป แบคฮยอนก็ขออยู่ตรงนี้ เพียงแค่ได้อยู่ใกล้ๆ หัวใจที่จะปลอบประโลมความขมขื่นไปตลอดกาล...

     

     

     

    그댈 생각하면 여전히 따뜻해 

    ยามได้คิดถึงคุณ จะรู้สึกอบอุ่นเสมอ

     

    그립다 말하면 그대 올까 

    ถ้าพูดว่าคิดถึง.. คุณจะกลับมาหากันไหม?

     

    세상은 멈추고 그대만 있네요 

    โลกมันได้หยุดลง มีเพียงแต่เธอเท่านั้น

     

    해주고 싶은 그대 그대 

    คำที่ผมอยากจะพูดออกไป กับคุณ คุณ..

     

     

     

     

     

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

    ติ๊ง... ติ๊ง... ติ๊งๆ...

     

    เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้ายังดังไม่หยุดจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนที่นอน เช้าวันนี้ชานยอลสดชื่นเป็นพิเศษแต่เขาก็ยังเอาแต่คลุกตัวม้วนอยู่บนที่นอนจนสิบโมงเช้า กับมือถือและทีวี

     

    Eunwoo : ส่งคลิปวิดีโอ

    Eunwoo : ส่งคลิปวิดีโอ

     

    คลิปวิดีโอจากเพื่อนซี้ยังคงถูกส่งมาเรื่อยๆ แน่นอนว่ามันไม่ใช่อะไรที่น่าอภิรมย์นักแต่ชานยอลก็ทนกับความสงสัยของตัวเองไม่ได้แม้ว่าจะไม่อยากดู และมันก็เป็นคลิปแนวเดิมๆ

     

    เขาเปิดดูวิดีโอล่าสุดที่เป็นเพียงคลิปสั้นๆ คราวนี้ผ้าผูกตาไม่ได้อยู่บนใบหน้าของผู้เล่นอีกต่อไป ก็เป็นอันชัดเจนแน่นนอนว่าคนในนั้นคือแบคฮยอนและเขาก็รู้ตัวจริงๆ ว่ากำลังถูกถ่ายวิดีโออยู่

     

    ชานยอลกดปิดมันก่อนที่คลิปจะจบ เขาไม่อยากดูอะไรพวกนี้อีกแล้วเพราะถึงเป็นแบคฮยอนก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำให้รู้สึกเสียประสาทเปล่าๆ

     

    Ch : เลิกส่งมาเหอะ

    Eunwoo : ไหนบอกยากดู

     

    ขณะที่จะพิมพ์ข้อความตอบกลับไปปลายนิ้วก็หยุดชะงักเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เด็กหนุ่มลบข้อความก่อนหน้าออกแล้วพิมพ์ประโยคใหม่ลงไป

     


    Ch : มาหากูที่บ้าน

    Eunwoo : พี่มึงอยู่ไม่ใช่อ่อ

    Ch : มาเหอะ ชวนคนอื่นมาด้วย

    Ch : เลี้ยงเบียร์



    เพื่อให้แน่ใจว่าอึนอูจะมาแน่ๆ ชานยอลก็ไม่ลืมทิ้งประโยคสำคัญไว้แล้วมันก็ได้ผลเมื่ออีกฝ่ายรีบตอบตกลงทันที  เขาเด้งตัวขึ้นจากเตียงคว้าหูฟังมาเสียบมือถือแล้วต่อสายหาใครบางคนก่อนจะเดินออกจากห้องไป

     

    ขายาวก้าวข้ามขั้นบนบันไดลงไปยังชั้นล่างแล้วก็พบกับคนเป็นพี่สาวที่กำลังจัดต้นไม้จิ๋วของเธอใส่กระถางใบใหญ่อยู่บนโต๊ะหน้าทีวี พร้อมกับเสียงรายการวาไรตี้โชว์ที่ถูกเปิดไว้ไม่ให้เหงาหู

     

    “ไมไม่เอาออกไปทำข้างนอกอะ” ชานยอลกล่าวทักพี่สาวขณะเดินตรงไปนั่งบนโซฟาด้านหลังเธอ

     

    “แบคฮยอนย้ายต้นไม้อยู่ แกก็น่าจะไปไปช่วยพี่เค้านะ แรงดีขนาดนี้”

     

    “จะย้ายไปไหน”

     

    “ก็ย้ายให้มันเป็นระเบียบน่ะสิ ใบไม้จะได้ร่วงอยู่ในบ้าน วันนี้แกไม่ได้ออกไปไหนใช่ไหม?”

     

    “หึ เดี๋ยวเพื่อนมา” คนตัวสูงเอนหลังลงนอนกับโซฟาเสียบหูฟังเข้าหูก่อนกดต่อสายตาใครบางคน “ย้ายเยอะป่ะ ถ้าเยอะเดี๋ยวให้มันช่วย”

     

    “ก็แค่ย้ายกระถางกับเอาต้นแปะก๊วยลงดิน แกไปย้ายกระถางกับปูหญ้าก็พอ เดี๋ยวทำต้นไม้ฉันตายหมด” หญิงสาวปัดมือกับผ้ากันเปื้อนหลังจากย้ายแคดตัสอีกต้นใส่กระถางใหญ่ได้สำเร็จ เธอคว้ารีโมทมาเบาเสียงทีวีเมื่อได้ยินคนด้านหลังคุยโทรศัพท์

     

    น้ำเสียงละเมอออดอ้อนผิดจากปกติของชานยอลทำยูรากลั้นขำไม่ไหวต้องหันไปทำสีหน้าล้อเลียน ก่อนจะถูกเจ้าตัวผลักหัวเข้าให้แรงๆ เธอเองก็ไม่ยอมแพ้ทุบกำปั้นคืนกลับไปด้วยแรงพอกัน

     

    ภาพความสนิทสนมของพี่น้องที่สะท้อนอยูในแววตาของใครบางคนยิ่งชวนให้รู้สึกอิจฉา แบคฮยอนได้แต่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปขุดดินต่อ ทั้งที่อยู่ใกล้กว่าใครแต่กลับยังรู้สึกเหมือนไม่มีที่ว่างให้เข้าไปแทรกแทรง

     

    แต่แบบนั้นมันก็อาจจะดีแล้วล่ะมั้ง...

     

     

     

    .

     

    .

     

    .

     



     

    “เฮ้อ เสร็จสักที”

     

    ใช้เวลาไม่นานต้นแปะก๊วยที่กำลังเติบโตเป็นไม้ใหญ่ก็ถูกย้ายจากกระถางลงในสนามหญ้าเล็กๆ หลังบ้าน แบคฮยอนถอดถุงมือออก ตรงไปคว้ากระติกน้ำมาดื่มดับกระหาย ฝ่ามือสองข้างของเขาแดงไปหมด แดดในตอนเที่ยงเริ่มแรงจนตาหยีตาสู้ไม่ไหว

     

    “เดี๋ยวค่อยเอาหญ้ามาปูทับตอนบ่ายแล้วกัน เพื่อนชานยอลมันมาเดี๋ยวให้มันช่วย”

     

    “เพื่อนจะมาหรอ”

     

    “อือ เห็นว่างั้นนะ”

     

    แบคฮยอนเพียงแค่พยักหน้าไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของแฟนสาวก่อนจะเดินกลับเข้าประตูหลังบ้านไป เขาตรงไปเปิดก๊อกน้ำล้างมือ ได้ยินเสียงพูดคุยเจี๊ยวจ๊าวดังเบาๆ เข้ามาจากด้านนอก ฝ่ามือที่กำลังขัดถูกันชะงักไปครู่หหนึ่งกับเสียงที่ได้ยิน รู้สึกเหมือนมีอาการสังหรณ์ใจแปลกๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

     

    คนตัวเล็กปิดก๊อกน้ำเช็ดมือกับเสื้อลวกๆ หันหลังเดินออกจากห้องครัวไป ยังไม่ทันที่ขาจะก้าวพ้นประตู ภาพเด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ขนาบข้างน้องชายตรงหน้าก็ทำอาจารย์หนุ่มได้แต่ยืนนิ่งราวกับถูกหยุดเวลาไว้

     

    “นี่ไง แฟนพี่กู” ชานยอลแนะนำพี่เขยของเขาให้รู้จักกับเพื่อนซี้ ทั้งที่รู้ว่าพวกเขาน่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว เจ้าของนัยน์ตากลมดุจ้องมองคนอายุมากกว่าไม่วางตา

     

    แขกคนใหม่และเจ้าของบ้านต่างฝ่ายต่างได้แต่ยืนนิ่งอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก ก่อนที่อึนอูจะกล่าวคำทักทายพร้อมกับรอยยิ้มขืนๆ บนใบหน้า เขาโค้งตัวเล็กน้อยขณะที่แบคฮยอนยังยืนนิ่ง กับความรู้สึกที่เหมือนโลกสองใบพุ่งเข้าชนกันอย่างแรงและมันกำลังแตกสลายลง

     

    ใบหน้าที่มักปิดซ่อนอารมณ์อยู่เสมอออกอาการหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด ชานยอลผลักเพื่อนเขาขึ้นบันไดแต่ตัวเองยังยืนอยู่ที่เดิม เผชิญหน้าอย่างท้าทาย คราวนี้ชานยอลชนะเพราะเขารู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่แบคฮยอนกลัว

     

    “จะทำอะไรหรอ” คนตัวเล็กล่าวเสียงแผ่วลอดริมฝีปาก ใบหน้าแสดงอาการตกประหม่าอย่างไม่สามรถปกปิดได้เมื่อจ้องมองเข้าไปในแววตาคนตรงหน้า

     

    “มึงอย่าคิดว่ากูไม่รู้ว่ามึงทำอะไรบ้าง...” ชานยอลเอ่ยคำขู่ผ่านทั้งสายตาและคำพูด จ้องลึกเข้าไปยังแววตาที่สั่นไหว เขาจะไม่มีทางปล่อยให้แบคฮยอนคิดว่าจะใช้ชีวิตอย่างอิสระได้ต่อไปอีก “จำไว้กูรู้ทุกอย่างที่มึงทำ”

     

    “.................”

     

    “รู้มากกว่าที่มึงคิดอีก...”

     

    ทิ้งคำพูดขู่เอาไว้ให้อีกฝ่ายได้เอาไปวิตกก่อนที่คนตัวสูงจะหันหลังเดินขึ้นบันไดไป สีหน้าของแบคฮยอนยามที่ได้เห็นอึนอูทำให้ชานยอลแน่ใจว่าพี่เขยของเขากลัวความลับจะแตก และนั่นก็เป็นสิ่งที่ชานยอลต้องการเพื่อจะหยุดไม่ให้แบคฮยอนทำเรื่องนี้อีกต่อไป

     

    สีหน้าไร้ความมั่นใจกับแววตาสั่นระริกที่สะท้อนความหวาดกลัวในใจ สื่อให้เห็นว่าแบคฮยอนยังเป็นคนที่ที่มีความรู้สึก ไม่ใช่ตุ๊กตากระเบื้องปั้นยิ้มทำเมินเฉยกับชินชากับทุกสิ่งอย่างที่เป็นทุกวัน

     

    ทันทีที่สองเท้าก้าวพ้นสายตาคู่อีกฝ่ายมา คนตัวสูงก็ถอนลมหายใจด้วยความหนักใจ สุดท้ายแบคฮยอนก็ไม่ได้ด้านชาหรือแค่แสดงบทบาทสามีแสนดีไปวันๆ

     

    ไม่ได้อยากทำอย่างนี้เลย ชานยอลเกลียดการข่มขู่ แววตานั้นที่เด่นชัดจนอดรู้สึกไม่ดีลึกๆ ไม่ได้  แต่พอนึกว่าคนที่น่าสงสารคือยูราต่างหากความคิดนั้นก็ถูกกลบไป

     

    ชานยอลแค่ต้องจัดการเรื่องนี้ เขาไม่ได้มีหน้าที่สนใจความรู้สึกของแบคฮยอน...

     

     










    2/-







    #myfablecb


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×