ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My Fable -Chanbaek-

    ลำดับตอนที่ #27 : Brother in law 6

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.34K
      354
      11 มิ.ย. 63

    B
    E
    R
    L
    I
    N
       






    แม่ ถ้าสอบติดมหาลัยขอไปพักหอได้ไหม

     

    กลางห้องนั่งเล่นที่มีเพียงเสียงพัดลมดังเบาๆ เด็กหนุ่มร่างเล็กชำเลืองสายตามองผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโซฟา ยูราชะงักมือที่กำลังปักผ้าพร้อมเงยหน้าขึ้นสบตาลูกชายก่อนจะเอ่ยตอบ

     

    ทำไมอยากไปอยู่หอล่ะ ถ้าไปแล้วใครจะอยู่เป็นเพื่อนแม่ ตอนนี้เรามีกันสามคนเองนะ” หญิงวัยกลางคนกล่าวเสียงอ่อน


    สายตาของเธอทำเด็กหนุ่มต้องรู้สึกผิด ใบหน้าของแบคฮยอนสลดลงความคิดกบฏเล็กๆ แอบเกิดขึ้นในใจ สุดท้ายก็ไม่ต่างจากตุ๊กตาของเล่นประดับบ้าน ก่อนหน้านั้นแม่ก็เอาแต่อยู่กับลูกคนโปรดตลอด ไม่เคยสนใจแบคฮยอนสักนิด แต่พอไม่มีใครก็หันมาจับแบคฮยอนเอาไว้

     

    คนตัวเล็กลอบถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ภายใต้สายตาของหญิงสาว สีหน้าอมทุกข์ของเจ้าตัวเล็กทำให้ยูราฉุกคิดได้ถึงบางอย่าง

     

    นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้มองหน้าลูกชายชัดๆ และแทบไม่รู้เลยว่าแบคฮยอนโตไปมากแค่ไหน ลูกชายที่มักเอาแต่เก็บตัวอยู่คนเดียว แบคฮยอนไม่เคยทำให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อนลำบากใจเลยก็จริง ไม่เคยสร้างปัญหา แต่กลับกันเธอลืมคิดไปเลยว่าพ่อแม่ทำให้แบคฮยอนสบายใจบ้างหรือเปล่า

     

    ทำไมต้องอยากไปอยู่หอล่ะ

     

    นัยน์ตาสีอ่อนชำเลืองขึ้นมองคนอายุมากก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้มรอดริมฝีปากออกไป

     

    ก็อยากลองออกไปอยู่คนเดียวบ้าง...

     

    อยู่บ้านก็สบายดีอยู่แล้ว พี่เค้าก็ยุ่ง เราอยู่ด้วยกันน่าจะช่วยเหลือกันได้

     

    สิ้นคำพูดของผู้เป็นแม่แบคฮยอนก็แทบจะหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา รู้สึกข้างในใจมันเจ็บจี๊ด แบคฮยอนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาแค่อยากจะหนีไปให้พ้นตลอด ถ้าอยู่ข้างนอกก็จะมีอิสระทำอะไรได้ตามใจมากขึ้น

     

    ทำไมอะไรๆ ก็ต้องแบคฮยอนตลอดเลยนะ สุดท้ายก็เป็นได้แค่คนคอยแบ่งเบาภาระ เป็นตัวสำรองของพี่สาว แบคฮยอนเอาแต่ถามตัวเองว่าทำไมพี่ถึงได้ไปเรียนต่อต่างประเทศเท่าที่อยากไป ไปใช้ชีวิตอยู่สบาย ทั้งเรียนทั้งเที่ยว กลับมาก็พักผ่อนอยู่บ้านว่างงานเป็นปี ทำแต่อะไรที่จับต้องไม่ได้ แต่ทุกคนกลับเอาแต่บอกว่าแพยอนกำลังพยายามทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่

     

    ในขณะที่แบคฮยอนทำทุกอย่างสำเร็จได้แต่กลับถูกมองข้ามอยู่เสมอ จนถึงตอนนี้ก็ถูกมองเป็นคนรับฝากหน้าที่ พอมองดูอีกทีก็แทบไม่เห็นพื้นที่ของตัวเองแล้ว

     

    แม่อยากให้แบคฮยอนอยู่บ้านนะ ตอนนี้เราไม่มีพ่ออยู่แล้ว แต่แม่จะคิดดูอีกดูแล้วกันยูราถอนลมหายใจก่อนผละกายลุกจากโซฟาหนีหน้าลูกชายไป ปล่อยให้คนตัวเล็กได้แต่เหลือบสายตามองด้วยความกังวลระคนไม่สบายใจ

     

    ตลอดหลายวันมานี้แบคฮยอนถอนหายใจไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน กับความรู้สึกมากมายที่ต้องแบกรับ

     

    ยังไงก็ต้องเป็นคนที่เจ็บอยู่ดีเพราะไม่ใจกล้าพอจะทำร้ายใครได้...

     

    คนตัวเล็กคว้าโทรศัพท์กับหมอนอิงเดินขึ้นบันไดกลับห้องไปบ้าง ระหว่างทางก็อดแอบมองประตูห้องพี่สาวไม่ได้

     

    บานประตูห้องนอนถูกปิดลงช้าๆ เด็กหนุ่มเดินไปนั่งบนเก้าอี้อ่านหนังสือประจำ รอบโต๊ะแบคฮยอนมีแต่โพสท์อิทจดนู่นนี่เพราะยิ่งใกล้สอบเข้ามาทุกทีก็ยิ่งเครียด เหนื่อยทั้งกายทั้งใจจนอยากจะขอให้ตัวเองหลับไปแล้วไม่ต้องตื่นมาอีกเลย

     

    คิดถึงจัง... ตอนนี้ทำอะไรอยู่นะ...

     

    พอนึกถึงใครบางคนก็อดเอามือถือขึ้นมาเช็คไม่ได้ ข้อความที่ส่งไปหาพี่ชายคนสนิทล่าสุดยังถูกดองค้างตั้งแต่เมื่อวานก่อน และก่อนหน้านั้นก็ดูเหมือนจะมีแค่แบคฮยอนคนเดียวที่พยายามจะคุยด้วย...

     

    คางมนวางเกยบนโต๊ะหนังสือ ใช้ปลายนิ้วปัดไล่ดูรูปถ่ายเก่าๆ ที่เคยมีกับครอบครัว หลายครั้งแบคฮยอนก็หวังอยากให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม ให้พี่ชานยอลได้กลับมาอยู่ใกล้ๆ แม้ตัวเองจะต้องหลบทางไปอยู่ในเงาและแอบรักไปจนถึงท้ายที่สุดก็ตาม

     

    รู้ว่าทุกอย่างมันผิดไปหมดตั้งแต่ต้นและคงจบลงไม่สวยนัก แต่ก็ไม่รู้จะจัดการยังไงกับรู้สึกที่เหมือนมีบางอย่างในอกหายไป

     

    คิดถึงพ่อจัง... คิดถึงตอนที่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า ถึงจะไร้ตัวตนแค่ไหนแบคฮยอนก็ชอบที่จะได้เห็นทุกคนอยู่ด้วยกัน คิดถึงพี่ชานยอลในแบบที่ใกล้ชิดสัมผัสได้

     

    หนูก็บอกแล้วไงแม่ว่าเดี๋ยวหนูทำเอง!!

     

    แม่แค่มาเตือนเองเผื่อหนูลืม

     

    แค่นี้ก็ยุ่งจะตายแล้ว! มีใครสนใจหนูมั่งเนี่ย! ทำก็ทำอยู่คนเดียว! หนูแบกภาระอยู่คนเดียวมีใครสนใจมั่งไหม!

     

    "แพยอน..."

     

     

    ดวงตาเรียวรีหลับลง เสียงทะเลาะกันของแม่กับพี่สาวมีที่ได้ยินบ่อยขึ้นในช่วงหลังยิ่งกดดันให้แบคฮยอนรู้สึกตัวแคบลง บางครั้งก็คิดว่าอยากจะโตกว่านี้แล้วจัดการทุกอย่างคนเดียวไปเลยจะได้ไม่ต้องถูกดูแคลนหรือทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนแบบนี้

     

    อยากหนีไปไกลๆ แต่ไม่รู้จะหนีไปไหน อยากลืมตาขึ้นมาแล้วให้ทุกอย่างกลายเป็ยฝันร้ายไปให้หมด ถ้าตายไปจะยังรู้สึกอะไรไหมนะ...

     

    มันไม่ใช่เพราะใครทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะพ่อ ไม่ใช่เพราะพี่ชานยอล แต่เป็นเพราะแบคฮยอนเองที่ไม่สามารถแบกรับความรู้สึกได้

     

    โทรศัพท์เครื่องบางร่วงหล่นลงบนโต๊ะก่อนที่มือขาวจะเอื้อมไปคว้าคัตเตอร์ในกล่องเครื่องเขียน เสียงใบมีดกรีดเลื่อนออกจากด้ามโชว์ความคมที่สะท้อนกับแสงโคมไฟ

     

    นัยน์ตาวูบไหวจ้องมองเงาตัวเองที่สะท้อนกับผิวโลหะ ไม่ได้เจ็บปวดหรืออะไรทั้งนั้น แค่อยากจะระบายความรู้สึกที่อัดมวนแน่นอยู่ในใจนี้หรือถ้าตายไปก็แค่ไม่ต้องรู้สึกอะไร

     

    ใบมีดคัตเตอร์วางบนข้อมือส่วนคมสะท้อนตัดกับผิวขาว ออกแรงกดเพียงนิดคมมีดก็จมลงกับผิวเนื้อ อาการแสบนำแล้วตามด้วยเจ็บลึกแล่นลิ้วไปทั่วแขนพร้อมกับเลือดสีแดงหยดเล็กที่ไหลออกมาตามคมมีด ดวงตาจ้องมองอย่างไร้ความรู้สึก กระทั่งหยดเลือดสีเข้มหยดลงบนโต๊ะ

     

    เจ็บจัง... แต่ก็ยังไม่มากพอ...

     

    ไม่มากเท่าความรู้สึกในใจ ไม่มากเท่าสิ่งที่ต้องชดใช้ให้กับคนอื่นหรือแม้แต่กับพี่ชานยอล

     

    เวลาแบบนี้เขาจะสนใจหรือเปล่านะหรือจะยิ่งมีแต่ทำให้รู้สึกหนักใจ ผิดหรือเปล่าที่แบคฮยอนทำแบบนี้ ผิดไหมที่ทำให้คนอื่นไม่สบายใจทั้งที่ไม่เคยมีใครใส่ใจเวลาที่แบคฮยอนรู้สึกไม่สบายดี

     

    ใบมีดคมกรีดลงบนผิวเนื้ออีกครั้งด้วยความลังเลที่น้อยกว่าเดิม หยดน้ำตาพร่าเลือนภาพของหยดเลือด คนตัวเล็กวางใบหน้าซบลงกับโต๊ะข้างกองเลือดที่ไหลออกมามากพอกับน้ำตา

     

    เหนื่อยจนไม่มีแรงแม้แต่จะลุกไปขอความช่วยเหลือ หรือหยิบอะไรมาปิดแผล หมดแรงจะก้าวเดิน เหนื่อยกับสิ่งที่คิดว่าจะต้องเผชิญหลังจากที่แม่รู้ว่าทำแบบนี้

     

    ทั้งที่เป็นอารมณ์ชั่ววูบแต่กลับยิ่งตอกย้ำถึงความไร้ตัวตน ยิ่งคิดว่าต้องการความช่วยเหลือยิ่งไม่มีคนสนใจ

     

    คิดถึงจัง... แม้แต่เวลานี้ก็ไม่ได้อยู่ใกล้กัน อยากคุยกันให้มากกว่านี้ แต่พี่ชานยอลเองก็คงจะยุ่งและไม่สนใจเหมือนกันเพราะเขาคงเอาแต่คิดว่าจะวางแบคฮยอนไว้ตรงไหนให้พ้นทางคดีและสายตาของคนอื่น คิดถึงแต่ตัวเองกันทั้งนั้น อยากโทษคนอื่นแต่แบคฮยอนก็รู้ว่าคนที่เริ่มความเห็นแก่ตัวนี้คือตัวเขาเอง...

     

    เหนื่อยจัง...

     

    ไม่อยากรับรู้อะไรเลย...

     

     

     

    แบคฮยอน! แบคฮยอน!!

     

    แพยอนช่วยด้วย!!!

     

     

     

     

    .

     


    .

     


    .

     

     

     

     

    นาฬิกาเรือนเก่าบนผนังส่งเสียงติ๊กต่อกบอกเวลาทุ่มเศษ บรรยากาศสงบนิ่งภายในห้องเยี่ยมญาติของเรือนจำกลาง นัยน์ตาสีดำสนิทจดจ้องกำแพงกระจกสูงที่กั้นอยู่เบื้องหน้า เสียงออดเปิดประตูเรียกสายตาชายหนุ่มให้หันมองนักโทษอดีตผู้ช่วยนักการเมืองที่ถูกคลุมตัวใส่โซ่ตรวนมายังห้องเยี่ยม

     

    ชานยอลหยิบยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ส่งสายตาให้ผู้คุมที่อยู่อีกฝั่งออกไปด้านนอกเพื่อความเป็นส่วนตัวของบทสนทนา สีหน้าชายวัยกลางคนดูไม่อยากจะเสวนามากนักแต่ก็ยอมยกหูโทรศัพท์ขึ้น

     

    [แกมีอภิสิทธิ์อะไรมาเยี่ยมฉันนอกเวลา]

     

    ผมมาเรื่องคดี

     

    [จะมาข่มขู่อะไรฉันอีก]

     

    ผมไม่ได้มาข่มขู่คุณ เมื่อวานทนายความคุณบอกจะขอยื่นอุทธรณ์ ผมแค่จะมาบอกว่าถ้าคุณยังยืนยันจะสู้คดีต่อไปอีกสองศาล คดีทุจริตของคุณจะถูกอัยการขุดขึ้นมา หัวหน้าคุณก็ตัดหาง ศาลจะไม่ให้คุณประกันตัว

     

    [มันเป็นหน้าที่ของทนายฉัน]

     

    ผมแค่มาเตือนว่าอย่าสู้ต่อเลยดีกว่า ตอนนี้คดีออกข่าวทุกช่องอัยการเคี่ยวคุณแน่ มีแต่จะต้องรับโทษหนักขึ้น

     

    [แกกำลังขู่ฉันหรอ]

     

    ผมเปล่า ผมแค่อยากให้คุณยอมรับผิด แทนที่จะอยากเอาชนะทำไมคุณไม่คิดถึงคนอื่นบ้าง คนที่กำลังรออยู่ข้างนอก ทำไมไม่คิดถึงแบคฮยอนบ้าง

     

    [แกเป็นห่วงแบคฮยอนมากกว่าลูกสาวฉันอีกนะ] นักโทษหมายเลข 125 แสยะยิ้มมุมปาก นัยน์ตาแข็งกร้าวหลุบลงมองที่พักแขนชั่วครู่ก่อนจะชำเลืองขึ้นจดจ้องชายหนุ่มตรงหน้า [ตกลงแล้วลูกชายฉันก็เป็นแผนของแกด้วยใช่ไหม]

     

    ผมอยากคุยเรื่องคดี

     

    [แกตอบมาก่อนสิ]

     

    แล้วคุณเคยรักลูกชายคุณบ้างหรือเปล่า...

     

    แทนที่จะตอบอย่างตรงไปตรงมานายตำรวจหนุ่มกลับย้อนด้วยคำถาม ทำคู่สนทนาได้แต่นิ่งเงียบก่อนเสียงถอนหายใจจะดัง

     

    ชานวุคเองก็รู้ว่าลูกชายของเขามักเอาแต่เก็บตัวและเก็บความรู้สึกอยู่เสมอ เมื่อวันนึงชานยอลเข้ามาและทำตัวเป็นฮีโร่ของทุกคนก็ไม่น่าแปลกที่เด็กชายซึ่งไม่เคยเปิดใจกับใครจะเปิดรับพี่เขยคนใหม่และเทิดทูนเขาเหนือทุกอย่าง

     

    ชานยอลทำตีกับแบคฮยอนในแบบที่คนในบ้านไม่เคยทำ เป็นที่พึ่งพาของเขา และวันนึงก็หักหลังครอบครัว เดินจากไปทิ้งทั้งแพยอนและแบคฮยอนไว้อย่างที่ไม่รู้เลยว่าใครใจสลายกว่ากัน ถ้าแบคฮยอนไม่ได้อยู่ในแผนและเป็นแค่เด็กคนนึงที่ชานยอลเผลอเอ็นดูก็เรียกว่าโดนหางเลขไปเต็มๆ

     

    [ฉันรักลูกฉันทุกคน]

     

    งั้นคุณก็ไม่น่าปล่อยให้แบคฮยอนนอกลู่นอกทาง

     

    สองสายตาสบจ้องกัน ชานวุคไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ามันเป็นเพราะเขาและครอบครัวเองที่ไม่ใส่ใจแบคฮยอนให้มากพอจนปล่อยให้ชานยอลมาเข้ามาชักจูง แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รักลูก

     

    คุณคิดไหมว่าแบคฮยอนจะต้องอยู่กับความรู้สึกผิดแทนคุณ แพยอนจะต้องผิดหวังแค่ไหน กิจการข้างนอกก็ไม่มีคนดูแล แบคฮยอนก็กำลังจะเรียนต่อ คิดว่าไว้ใจใครให้ดูแลครอบครัวได้บ้าง

     

    [………………..]

     

    ถ้าคุณสู้คดีจากโทษ 30 ปีอาจจะกลายเป็น 50 ต่อให้ลดแล้วก็ยังเยอะอยู่ดี คิดว่าครอบครัวที่อยู่ข้างนอกจะเป็นไงชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ หากพูดถึงเรื่องการตายของอินซองแล้วคงไม่มีใครอยากจับชายตรงหน้าขังคุกมืดไปมากกว่าเขา แต่มันก็มีหลายคนที่ชานยอลไม่ต้องการให้ได้รับผลกระทบนี้อีกแล้ว

     

    [แกคิดว่าแกรู้อะไรเกี่ยวกับฉันบ้าง]

     

    ผมไม่รู้ว่าคุณรู้อะไร แค่บอกให้คุณนึกถึงคนที่อยู่ข้างหลังบ้าง ยิ่งตอนนี้ช่วงเลือกตั้ง ไม่มีใครอยากช่วยคุณ

     

    […………………]

     

    แต่ถ้าคุณอยากสู้คดี ก็ตามใจ

     

    [ฉันไม่ได้เป็นคนฆ่าพี่แก]

     

    ก่อนหูโทรศัพท์จะวางลงเสียงทุ้มที่รอดออกมาจากสายก็หยุดนายตำรวจหนุ่มให้ต้องเงียบและนั่งฟัง สีหน้าของชายวัยกลางคนดูอ่อนลงเล็กน้อยจากคราวแรกที่พบกัน

     

    “................”

     

    [ฉันแค่สั่งให้มันไปยิงสั่งสอน แต่ดันมีคนอยากฆ่าขึ้นมา] คำพูดของนักโทษที่ถูกโซ่ตรวนคงมีแต่คำโกหก และชายแก่เองก็รู้ว่าคงไม่มีใครเชื่อ [แกคงไม่เชื่อ ได้ยินบ่อยใช่ไหมคำสารภาพครึ่งเดียวเนี่ย]

     

    ผมจะฟังคุณแต่จะเชื่อหรือไม่เชื่อผมจะตัดสินเอง

     

    [ฉันจะสู้คดี ถ้าแกเห็นใจแบคฮยอน ฉันอยากให้แกช่วยฉัน]

     

    นายตำรวจหนุ่มนิ่งเงียบไม่ได้โต้ตอบในทันที ชานยอลไม่สามารถเดาใจได้เลยว่านักโทษชายมากเล่ห์ตรงหน้าจะมาไม้ไหน แต่สีหน้าและแววตาที่อ่อนลงทำให้เขาตัดสินใจรับฟังต่อไป

     

    ว่ามา

     

    [คอยดูแลแบคฮยอนกับลูกสาวฉัน ดูแลครอบครัวฉันให้ปลอดภัยถ้าฉันไม่ได้ออกไป]

     

    แลกกับอะไร

     

    [แลกกับการที่ฉันบอกแกว่าฉันสั่งยิงพี่ชายแก แต่ฉันไม่ได้เป็นคนบอกให้เอาศพมันถ่วงน้ำ ตอนที่ได้ภาพถ่ายมามันยังไม่ตาย]

     

    ภาพถ่ายอะไร ถ้าคุณพูดจริงทำไมคุณไม่ให้การไปตั้งแต่แรก

     

    [ฉันบอกไม่ได้ แล้วก็ไม่มีหลักฐานด้วย พูดไปใครจะเชื่อ หรือต่อให้เชื่อแทนที่จะติดคุกฉันอาจได้ไปอยู่กับพี่แก]

     

    ชายวัยกลางคนยกมือกอดอก ชานวุคเองก็มีความแค้นในใจต่อชานยอลไม่น้อยไปกว่ากันแต่คำสารภาพนี้ไม่ใช่เพื่อคดี แต่เพื่อสำหรับปลดแอคความรู้สึกติดค้างในใจชายหนุ่มที่ติดอยู่กับการล้างแค้นมาหลายปี

     

    ทำไมคุณไม่บอกผมตั้งแต่ทีแรก

     

    [แล้วจะยังไงล่ะ ก่อนแกจะถึงหลักฐานทุกอย่างมันก็หายไปหมดแล้ว] เขาเว้นจังหวะแล้วพูดต่อ [ความดันทุรังของแกจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่แกไม่เชื่อก็ได้]

     

    ถ้าอย่างงั้นใครเป็นคนฆ่า

     

    [ฉันไม่รู้]

     

    ถ้าคุณไม่บอกว่าใครทำผมก็เชื่อคุณไม่ได้

     

    [แล้วแกจะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นได้หรอ]

     

    “..............”

     

    [ถ้าเกิดลูกสาวฉันเป็นอะไร แบคฮยอนเป็นอะไรขึ้นมาแกรับผิดชอบไหวหรอ] นัยน์ตาแข็งกร้าวจ้องลึกลงไปในแววตาที่กระหายจะค้นหาความจริงของนายตำรวจตรงหน้า [ฉันถือว่าฉันทำผิดต่อแก สำหรับหลายสิบปีแต่แกทำอะไรไม่ได้หรอก เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง ปล่อยวางเถอะ...]

     

    "..............."

     

    [คุณชานวุค มีโทรศัพท์จากข้างนอก]

     

    เสียงเปิดประตูพร้อมกับพัสดีที่เดินเข้ามาในห้องหยุดบทสนทนา เรียกความสนใจจากทั้งสองคน เสียงนั้นรอดผ่านสายโทรศัพท์ไปถึงคนอีกฝั่งของห้อง

     

    [มีอะไร]

     

    [จากภรรยา บอกว่าลูกชายอยู่โรงพยาบาล พยายามฆ่าตัวตาย]

     

    [แบคฮยอน?]

     

    [ใช่ครับ]

     

    [มีคนไปเฝ้าหรือยัง]

     

    [คุณยูรารอสายอยู่]

     

    [แค่นี้ก่อน แล้วจำไว้ว่าถ้าครอบครัวฉันเป็นอะไรเพราะแก ฉันจะฆ่าแก] ชายวัยกลางคนข่มเสียงรอดสายโทรศัพท์ก่อนจะวางหูแล้วลุกเดินหายออกไปพร้อมผู้คุมทันที

     

    ชานยอลนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งพยายามคิดว่าเกิดอะไรขึ้นจากนั้นถึงรีบลุกขึ้นรวบหยิบแฟ้มกระดาษแล้วเดินออกจากห้องไปด้วยความรีบร้อนไม่ต่างจากคนเป็นพ่อ เขารีบตรงไปรับกระเป๋าที่ห้องฝากของ เอาโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คข้อความแต่ก็ไม่มีแจ้งเตือนอะไรจากคนที่ตนเองกำลังเป็นห่วงเลย

     

    คนตัวสูงรีบจัดการต่อสายหาลูกน้องที่ทำงานทันทีและหวังว่าจะไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรไปมากกว่านี้

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ขับรถจากเรือนจำมาโรงพยาบาลกลางเมืองใช้เวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมง ชานยอลก้าวออกจากลิฟท์ทันทีที่ประตูเปิดออก เขามองเห็นชายลักษณะคล้ายตำรวจนอกเครื่องแบบคนหนึ่งยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง คนตัวสูงตรงเข้าไปพร้อมกับแสดงตราตำรวจแต่อีกฝ่ายเอาแต่ยืนนิ่ง

     

    ไม่มีชื่อเยี่ยมไม่ได้ครับชายร่างท้วมกล่าวเสียงเรียบสีหน้าแสดงถึงความหนักแน่น ทำเอาชายหนุ่มต้องถอนลมหายใจออกมาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าเข้าใจ

     

    เด็กข้างในเป็นไงบ้าง

     

    ยังดี ไม่เป็นไรมาก หมอบอกแผลไม่ลึก

     

    ไม่มีเรื่องอื่นใช่ไหม

     

    ครับเขาครางตอบในลำคอ อย่างน้อยก็ช่วยลดความกังวลใจได้อีกเปราะ

     

    ชานยอลได้แต่มองผ่านกระจกบานเล็กๆ หน้าประตูห้องเข้าไป มองเห็นแบคฮยอนนอนหลับอยู่บนเตียงโดยมีคุณแม่นั่งเฝ้าอยู่ข้างกาย เขาลอบถอนลมหายใจด้วยความโล่งอก หันไปกล่าวขอบคุณกับเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบก่อนจะหันหลังเดินกลับไปเมื่อไม่มีอะไรที่ตัวเองสามารถทำได้

     

    โทรศัพท์เครื่องบางถูกหยิบขึ้นมาดูข้อความล่าสุดที่ถูกส่งมาจากเจ้าตัวเล็กตั้งแต่เมื่อพฤหัส ชานยอลพิมพ์ข้อความตอบกลับไปทั้งที่รู้ว่าใครอีกคนคงยังไม่ได้อ่าน แต่อย่างน้อยก็อยากให้แบคอยอนได้เห็นตอนตื่น...

     

     

     

     

     

     

     

    ภายใต้ความมืดภายในห้องอพาร์ทเม้นที่มีเพียงแสงสว่างจากหน้าจอโน้ตบุ๊ก นายตำรวจหนุ่มเอาแต่ถอนหายใจซ้ำไปซ้ำมากับความรู้สึกหนักอึ้งเมื่อเรื่องที่เหมือนจะจบกลับไม่จบ ชานยอลเปิดประตูบานหนึ่งเพื่อไปเจอประตูอีกบาน แต่คราวนี้เขากลับไม่มั่นใจที่จะเปิดและกลัวบางสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังประตู

     

    ดวงตากลมโตกวาดอ่านข้อความในกรดาษใบเดิมซ้ำไปมา ในสำนวนคดีการตายตอนนั้นฝ่ายสอบสวนเขียนรายงานว่าอินซองถูกลอบยิงและพยายามตะเกียกตะกายว่ายน้ำหนีจนจมแม่น้ำ แต่บาดแผลที่ถูกยิงของเขาไม่มีโดนจุดสำคัญ สาเหตุการตายคือจมน้ำ ไม่มีร่องรอยถูกมัด ที่เกิดเหตุเสียหายเก็บหลังฐานไม่ได้เพราะเป็นช่วงหน้าฝน แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่ามีคนสวมรอยมาตามฆ่าซ้ำ

     

    ถ้าเรื่องที่ชานวุคพูดเป็นเรื่องจริงคนที่ต้องรับผลกระทบจากเรื่องนี้อาจไม่ใช่แค่ตัวเขาเอง คราวนี้ตัวประกันมีมากเกินไป และไม่ใช่แค่เรื่องของจิตใจแต่ยังหมายถึงความปลอดภัยของคนอื่น

     

    ทั้งที่ดิ้นรนมาตลอดแต่กลับมาสารภาพเอาซะง่ายๆ ตอนนี้น่ะหรอ หรือถ้าชานยอลแค่จะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป ทำใจอยู่กับมันความยุติธรรมของเขาก็ไร้ค่า ถ้าคนผิดตัวจริงยังลอยนวล... หรือแท้จริงแล้วมันเป็นเพียงแค่เกม...

     

    ก่อนจบเรื่องนี้ก็มีสิ่งที่ชานยอลอยากจะรู้ให้ได้ก่อน...

     

     


     

    .

     

    .

     

    .


     

     



    อือ... ลูกไม่เป็นไรแล้วแค่ยังไม่ตื่น ฉันกลับมาเอาของ

     

    [……………]

     

    แพยอนไปเมื่อเช้าแต่กลับไปแล้ว... ค่ะ ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แบคฮยอนคงออกมาก่อน

     

    [……………]

     

    ค่ะ...

     

    สายโทรศัพท์ถูกวางลง หญิงวัยกลางคนถอนลมหายใจเดินไปยืนอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือของลูกชายที่ยังมีคาบเลือดติดฝังอยู่ มือขาววางลงบนพนักเก้าอี้ยูราอยากลืมภาพติดตาที่เห็นแบคฮยอนนอนซึมอยู่บนโต๊ะไม่พูดไม่จาพร้อมกับเลือดที่ไหลนอง

     

    ไม่คิดเลยว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะทำให้ลูกชายคิดสั้น ถึงตอนนี้ก็ทำได้ว่าถามตัวเองว่ามีเรื่องเล็กน้อยในใจแบคฮยอนแค่ไหนกันเขาถึงได้แสดงออกมาแบบนี้

     

    ยูราก้มลงเก็บมีดคัตเตอร์ที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นขึ้นไปเก็บในกล่อง ด้านคมของมันยังมีคราบเลือดเกรอะกรัง เธอหันไปคว้าตุ๊กตาตัวโปรดของลูกบนเตียง หวังว่าจะนำมันไปให้ที่โรงพยาบาลเผื่อจะช่วยให้จิตใจที่กำลังอ่อนไหวดีขึ้นได้

     

    ไม่เคยเข้ามาในห้องแบคฮยอนเลย... ไม่เคยรู้ว่าลูกชายพยามขนาดไหนหรือต้องเก็บความรู้สึกไว้มากแค่ไหน...

     

    ลอยเลือดสีเข้มไหลยาวลงไปถึงลิ้นชักที่เปิดเผยออยู่ หญิงสาวคว้ากระดาษทิชชู่ออกมาก่อนจะดึงลิ้นชักออกและพบว่ามีเลือดกองเล็กๆ ติดซึมอยู่บนกระดาษกับสมุดเล่มน้อย เธอหยิบมันขึ้นมาหวังจะทำความสะอาดและพบว่าหน้ากลางของสมุดถูกคั่นเอาไว้ด้วยปากกา

     

    ความลังเลเกิดขึ้นในใจผู้เป็นแม่ รู้ว่าไม่สมควรเลย แต่ก็อดที่จะอยากเข้าใจปัญหาของลูกไม่ได้...

     

     

     

     

     

     

     

     

    กลิ่นฉุนของแอลกอฮอร์ลอยฟุ้ง เปลือกตาสีอ่อนกระพริบถี่ก่อนจะลืมขึ้นภายในห้องพยาบาลหลังตื่นจากฝันที่ยาวนาน เหลือบลงมองแขนเห็นผ้าก๊อตพันข้อมือพร้อมสายน้ำเกลือที่ถูกเจาะเข้าข้อพับ คนตัวเล็กถอนลมหายใจจนท้องยุบมองไปรอบห้องเห็นตุ๊กตาตัวโปรดตั้งอยู่ข้างแจกันดอกไม้

     

    ทั้งๆ ที่ได้นอนพักยาวแต่กลับรู้สึกว่าร่างกายมันเหนื่อยล้าไปหมด แบคฮยอนจำได้ทุกเหตุการณ์ตอนที่แม่พยุงไปขึ้นรถขับมาโรงพยาบาลแต่ตอนนั้นเขาเหนื่อยล้าจนไม่อยากแม้แต่จะลืมตา ร่างกายมันหนักอึ้งไปหมด ทำได้แค่นอนลืมตาเหมือนศพ

     

    เสียงเปิดประตูเรียกสายตาคนป่วยให้ต้องหันองผู้เป็นแม่ที่เดินเข้ามาพร้อมกับชายร่างสูงใหญ่และช่อดอกไม้ในมือ แบคฮยอนพูดอะไรไม่ออก ในใจเขามีทั้งความกังวลและความรู้สึกผิดที่ทำให้ทุกคนต้องวุ่นวายเพียงเพราะเรื่องอารมณ์ชั่ววูบ

     

    ตื่นแล้วหรอ

     

    คำทักทายแสนเรียบง่ายถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม หญิงวัยกลางคมองหน้าลูกชายก่อนจะนำดอกไม้ในมือไปเปลี่ยนใส่แจกัน เธอไม่อยากทำให้แบคฮยอนที่เพิ่งฟื้นกดดันเกินไปด้วยชักชวนคุยเรื่องที่เกิดขึ้น

     

    ใครส่งมา

     

    คนที่ทำงานพ่อมั้ง เค้าฝากการ์ดไว้

     

    คนตัวเล็กเพียงแค่พยักหน้าไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เขาพยายามจะมองหาโทรศัพท์แต่ก่อนจะเอ่ยอะไรคนเป็นแม่ก็พูดดักขึ้นมาซะก่อน

     

    แม่กลับไปเอาโทรศัพท์มาให้พอดี แต่แบตมันหมดแม่ยังไม่ได้ชาร์จเลยยูราล้วงเอามือถือในกระเป๋ามาส่งให้ลูกชาย เธอวางมือลงบนหน้าผากเจ้าตัวล็กก่อนจะขยับเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ พ่อบอกว่าอยากมาเยี่ยมแต่อาจจะมาไม่ได้ ถ้าออกไปแล้วค่อยไปหาพ่อนะ

     

    ดวงตาเรียวรีหลุบลงหลบสายตาคนเป็นแม่ด้วยความรู้สึกผิด อยากพูดขอโทษก็ทำไม่ได้ พูดไม่ได้เต็มปาก ในใจลึกๆ แบคฮยอนยังแอบคิดว่าทำไมแค่อยากระบายความรู้สึกแล้วถึงต้องขอโทษด้วย แค่เสียใจก็ทำไม่ได้หรอ

     

    วันนี้แม่จะไปเจอทนายกับพ่อที่เรือนจำ ถ้าอยากได้อะไรก็บอกคนหน้าห้องนะ

     

    ฮะ

     

    ยูราระบายยิ้มจางพลางใช้มือลูบปรอยผมปรกหน้าให้ลูกชาย ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีอ่อนปกปิดความกังวลบนใบหน้า มีหลายอย่างรบกวนความรู้สึกหญิงสาวอยู่ในใจ อยากจะพูด อยากจะถามลูกชายออกไปตรงๆ ถึงปัญหาต่างๆ แต่กลับพูดไม่ได้ อาการอ้ำอึ้งของเด็กชายยิ่งตอกย้ำว่าแบคฮยอนยังไม่ได้ต้องการคนปลอบใจในตอนนี้

     

    เธอลุกขึ้นหยิบที่ชาร์จแบตวางไว้บนโต๊ะก่อนจะหันหลังเดินออกไป ทิ้งให้เด็กหนุ่มได้แต่หันมองตามแผ่นของที่หายลับออกไปจากประตู

     

    ความรู้สึกหนักอึ้งยังคงอค้างอยู่ในอก แบคฮยอนกดเปิดโทรศัพท์ เพียงไม่นานหน้าจอก็ขึ้นข้อความเปิดเครื่อง

     

    อยากรู้จังว่าเขาคนนั้นจะรู้ตัวไหมหรือแค่คิดว่าไม่ติดต่อมาก็ดีแล้ว...

     

    แบตเตอร์รี่ตรงมุมขาวบนมีเหลืออยู่นิดหน่อย ยังไม่ทันจะได้กดอะไรแจ้งเตือนข้อความก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ ข้อความที่รอจะได้รับมาตลอดหลายวันแต่เขากลับเพิ่งมาตอบเอาวันนี้



    พี่เข้าไปเยี่ยมไม่ได้

    ฝากดอกไม้ไปให้

     หายไวๆนะ

     


    ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดีที่อีกฝ่ายเพิ่งจะยอมคุยกันหลังจากเกิดเรื่อง หยดน้ำตาร้อนผ่าวเอ่อขึ้นมาบนขอบตา อยากโทษตัวเองที่ทำอะไรโง่ๆ แต่พอเดินชนต้นปัญหาเข้าอีกก็ไขว้เขว

     

    ทำไมอ่อนแอแบบนี้นะแบคฮยอน หยุดร้องไห้ไม่ได้สักทีเพราะดีแต่ทำตัวแบบนี้ไงถึงไม่มีใครไว้ใจให้ทำอะไรด้วยตัวเองเลย...

     

    ยิ่งห้ามน้ำตากลับยิ่งไหลออกมาทว่าไม่มีแรงแม้แต่จะร้องไห้ได้แต่นอนนิ่ง เหนื่อยทั้งกายทั้งใจ

     

    อยากเอามันออกไปให้หมด เสี้ยนหนามที่บ่มเพราะจนกลายเป็นหนองข้างในนี้...

     

    เมื่อไหร่มันจะจบลงสักที












    บานประตูห้องนอนสีขาวถูกปิดลง ทันทีที่กลับมาถึงบ้านแบคฮยอนก็พุ่งเข้าห้องนอนทันทีโดยที่ไม่ได้คุยอะไรกับผู้เป็นแม่สักคำ เด็กหนุ่มเดินไปทิ้งร่างนอนลงกับบนเตียงจ้องมองไปยังเก้าอี้ตัวเดิมและเห็นภาพตัวเองกำลังทำเรื่องเมื่อคืนก่อน คนตัวเล็กพยายามสะบัดภาพนั้นออกจากหัว แบคฮยอนไม่อยากจดจำมัน ไม่อยากเก็บไว้ในใจ

     

    เขาหยิบเอามือถือขึ้นมากดเข้าไปในข้อความที่พิมพ์ค้างเอาไว้ รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยแต่บนหัวก็ยังมีเมฆฝนปกคลุมอยู่ทั่ว

     

    กินข้าวหรือยัง

     

    ยังไม่ได้กินเลย

     

    จะรีบนอนไหม

     

    คนตัวเล็กส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ กับข้อความที่แสนพิลึก ทั้งที่พี่ชานยอลก็รู้ดีกว่าต่อให้ง่วงแค่ไหนแบคฮยอนก็รอที่จะรับโทรศัพท์เสมอ

     

    โทรไปได้ไหม?’

     

    กวาดสายตาอ่านข้อความอีกรอบอย่างอดแปลกใจไม่ได้เมื่อคราวนี้อีกฝ่ายเป็นคนชวนโทรหาเอง ทั้งที่ปกติเขาแทบจะไม่รับโทรศัพท์ด้วยซ้ำ

     

    ยังไม่ทันได้คิดอะไรหน้าจอก็ขึ้นมาสายเรียกเข้า ปลายนิ้วแตะลงบนปุ่มสีเขียวก่อนที่หน้าจอจะปรากฏภาพของคนปลายสาย

     

    วันนี้แบคฮยอนเหนื่อยจนยิ้มแทบไม่ออก แต่ก็ยังฝืนระบายยิ้มออกมาเมื่อได้เห็นพี่ชายคนสนิทนอนพิงหัวเตียงเล่นโน้ตบุ๊กอยู่พร้อมกับวางมือถือไว้ใกล้ตัว

     

    [เป็นไงบ้าง...]

     

     

     

     

     


     

     

    พี่ทำอะไรอยู่

     

    [ทำงาน... เหมือนเดิม]

     

    เวลาเที่ยงคืนเศษเจ้าของห้องนอนยังอยู่หน้าจอโทรศัพท์เครื่องเดิมกับสาย small talk น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยกับสีหน้าง่วงซึมของคนปลายสายแสดงให้เห็นชัดว่าเขาเหนื่อยแค่ไหน

     

    ชานยอลแทบจะเอนร่างลงนอนไปกับเตียงถ้าไม่มีหมอนค้ำคอไว้ แต่ถึงจะง่วงเท่าไหร่ชายหนุ่มก็ยังไม่กดวางสาย

     

    ช่วงนี้ทำงานหนักหรอ

     

    [อื้อ... แล้วเรื่องเรียนเป็นไงบ้าง]

     

    ก็ดี แต่วันนี้ไม่ได้อ่านหนังสือ

     

    [ดีแล้วพักบ้าง... อยากกินปลาไหม]

     

    จะพาไปกินหรอ

     

    [เดี๋ยวพี่สั่งให้]

     

    ใบหน้าของเด็กหนุ่มง้ำลงเล็กน้อยกับคำตอบที่ชวนให้ผิดหวัง แบคฮยอนพลิกกายเข้ากอดตุ๊กตาตัวโปรดจดจ้องใบหน้าคนในโทรศัพท์มือถือ คนที่ทำให้ทั้งรู้สึกอุ่นใจและเศร้าไปพร้อมๆ กัน

     

    ทั้งที่อยู่ตรงหน้าแต่กลับสัมผัสไม่ได้ มันเหมือนมีบางอย่างกลั้นอยู่ตรงกลางระหว่างเรา แต่ไม่รู้ว่านั่นคือกำแพงของใครหรือเป็นอะไรกันแน่

     

    บางครั้งก็เหมือนถูกยื้อไว้ บางครั้งก็ถูกผลักไส...

     

    หลายครั้งแบคฮยอนรู้สึกเหมือนพี่ชานยอลแค่พยายามรับผิดชอบความรู้สึกที่ตัวเองสร้างขึ้น แต่เขาอาจจะไม่ได้รักหรือรู้สึกอะไรเลย และเรื่องทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่การซื้อต่อเวลาจนกว่าแบคฮยอนจะถอดใจไปเอง...

     

    [แบคฮยอน]

     

    หื้อ

     

    [.............]

     

    มีอะไร

     

    มีเพียงเสียงถอนลมหายใจดังใส่ไมค์ คล้ายคนในสายมีบางสิ่งที่อยากจะพูดแต่ก็ไม่อยากพูดออกมา ดวงตาเรียวรีกระพริบถี่ หัวใจเริ่มสั่นไหวเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่เงียบ

     

    พี่...

     

    [คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ]

     

    “.............”

     

    [พี่เป็นห่วง]

     

    "..........."

     

    [รู้ว่ามันเห็นแก่ตัว แต่ก็อยากให้คิดถึงตัวเองมั่ง วันนึงอาจจะมีความสุขมากกว่านี้ก็ได้] เขากล่าวพร้อมกับกร่นเสียงหัวเราะในลำคอ ทว่าคำพูดนั้นกลับบีบหัวใจคนฟังจนแน่นไปหมด

     

    มันเหมือนกับว่าคนพูดเองก็ไม่ได้มีความสุขนักและเข้าใจความรู้สึกของการมองว่าคนอื่นเห็นแก่ตัว แบคฮยอนตายไม่ได้เพราะจะทำให้พ่อแม่เสียใจ เขาตายไม่ได้เพราะคนอื่นจะต้องเผชิญกับความสูญเสีย ทั้งที่ความทุกข์ใจของแบคฮยอนเองก็ไม่เคยมีคนแบ่งปันไป มีแต่ความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น...

     

    อื้อ...

     

    [พี่คงเสียใจ]

     

    "............."

     

    [ช่วงนี้พี่อาจจะไม่ได้ติดต่อมาบ่อยๆ ดูแลตัวเองได้ไหม]

     

    พี่จะไปไหนอีก

     

    [แค่รับปากก็พอ]

     

    พี่ไม่ได้จะไปทำอะไรอันตรายใช่ไหมเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงตีบตัน ก้อนน้ำตาเคลื่อนมาจุกคาอยู่ที่คอ ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะเบาๆ จากปลายสายที่ไม่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลย

     

    [งานตำรวจก็อันตรายทั้งนั้น ตกลงดูแลตัวเองได้ไหม]

     

    อื้อ...แล้วจะติดต่อมาไหม

     

    [อือ... แค่นี้ก็ร้อง ขี้แยจัง]

     

    คนตัวเล็กไม่ได้โต้ตอบอะไร เอาแต่นอนสูดน้ำมูกจ้องมองคนในมือถือแม้หยดน้ำตาจะพร่าเลือนภาพทุกอย่างเบลอไปหมด ทั้งที่อยู่แค่ตรงหน้าทว่ากลับสัมผัสไม่ได้

     

    ถูกผลักออกไปไกลแค่ไหนเพียงแค่เขากลับมาหาแบคฮยอนก็พร้อมกลับมายืนอยู่ที่เดิม มองกำแพงที่ไม่รู้จะข้ามไปยังไง ตีอกชกตัวด้วยความเสียใจ ถูกผลักไส วนลูปไปไม่มีสิ้นสุด

     

    [แบคฮยอน]

     

    อือ...

     

    [สัญญาได้ไหม]

     

    อื้อ...

     

    มีเพียงความเงียบกับเสียงสูดลมหายใจเบาๆ น้ำตาหยดเล็กไหลซึมลงที่นอน แบคฮยอนตกลงกับตัวเองว่าเขาจะร้องไห้บ่อยเท่าที่อยากร้องแต่จะไม่ทำร้ายตัวเองอีก และจะไม่คิดอะไรโง่ๆ จนกว่าจะสอบเสร็จอย่างน้อยก็อยากทำสิ่งที่พยายามทำค้างไว้ให้เสร็จซะก่อน

     

    ยกหลังมือขึ้นเช็ดใบหน้า สูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดเรียกความเชื่อมั่นให้ตัวเอง กว่าจะตั้งสติได้เสียงจากปลายสายก็เงียบลงไปแล้ว และภาพที่เห็นในจอก็ทำคนขี้แยเผลอยิ้มออกมาทั้งที่น้ำตาเปียกชุ่ม เมื่อพี่ชายที่แสนเหนื่อยล้านอนหลับไปคามือถือทั้งที่โน้ตบุ๊กก็ยังเปิดและวางอยู่บนอก

     

    สีหน้ายามหลับใหลของเขาดูไม่ต่างจากคนทั่วไป บางครั้งมันคงยากที่จะทำอะไรตามใจทั้งที่มีความรับผิดชอบอยู่เบื้องหลัง แบคฮยอนเองก็เข้าใจดี

     

    จะเป็นอย่างนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่นะ...

     


     

    .




    .




    .






    วันเวลาหมุนเดินไปจากวันสู่เดือน ก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิตไปไม่ทันไรก็เข้าใกล้ช่วงสำคัญเข้าไปทุกที พรุ่งนี้แบคฮยอนต้องไปสอบคัดเลือกเข้ามหาลัยแล้ว แม้ว่าการเตรียมตัวอย่างหนักตลอดชั้นมัธยมจะช่วยแบ่งเบาภาระไปได้มากแต่ก็ถึงกับวางใจได้ วันสุดท้ายก่อนสอบแบคฮยอนเลยเลือกที่เก็บของแล้วลงมานั่งดูทีวีให้ผ่อนคลาย

     

    ข่าววันนี้ยังน่าเบื่อเหมือนเดิม เรื่องการอุทธรณ์คดีของพ่อยังไม่มีการคืบหน้า แบคฮยอนแทบไม่รู้อะไรเลยเพราะวันๆ เอาแต่เรียนแล้วก็กลับมาอ่านหนังสือที่บ้าน พี่ชานยอลเองก็ไม่ค่อยได้ติดต่อมาอย่างที่บอกไว้จริงๆ จนแทบจะนึกว่าเขาถูกอุ้มลักพาตัวไปแล้ว

     

    พรุ่งจะสอบแล้ว กังวลหรือเปล่า

     

    เสียงผู้เป็นแม่เรียกเด็กหนุ่มให้ละสายตาออกจากจอโทรทัศน์ แบคฮยอนห่อไหล่ไถลตัวจมไปกับพนักโซฟาพลางถอนลมหายใจเฮือกใหญ่

     

    นิดหน่อย

     

    เตรียมตัวหนักมาทั้งปี คงต้องได้บ้างละเนอะหญิงวัยกลางคนกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ ถ้าการสอบของแบคฮยอนผ่านไปด้วยดีก็คงทำให้พ่อที่ยังต่อสู้เรื่องคดีหายห่วงไปได้บ้าง

     

    แม่ เรื่องที่บอกว่าขออยู่หอว่าไงบ้างเมื่อได้โอกาสคนตัวเล็กก็เอ่ยถามถึงเรื่องที่ตนเคยบอกไป นัยน์ตาสีอ่อนช้อนขึ้นสบมองคนตรงหน้า พอเห็นอีกฝ่ายเงียบพลางถอนหายใจแบคฮยอนก็เริ่มทำใจกับคำตอบ

     

    แม่คุยกับพ่อแล้ว รอให้พ่อจัดการอยู่ แต่ตอนนี้พ่อก็ยุ่งๆ

     

    คำตอบที่ได้รับพร้อมสีหน้าเหนื่อยหน่ายคงเป็นการตอบกลายๆ ว่าคงไม่ได้และห้ามรบเร้าอีกซึ่งแบคฮยอนก็ชินกับมัน เขาเพียงแค่พยักหน้ายกขาขึ้นมานั่งกอดเข่าบนโซฟา เอาไว้เรื่องคดีเริ่มผ่อนขึ้นค่อยลองขอดูอีกทีก็ได้

     

    แต่จริงๆ แม่ก็อยากให้แบคฮยอนยู่กับแม่นะ ตอนนี้พี่เค้าก็ไม่ค่อยอยู่บ้านแล้ว

     

    เค้ามีแฟนใหม่แล้วหรอ

     

    อื้อ เห็นว่าอย่างนั้น

     

    คราวนี้จะมาจับใครอีก

     

    พูดออกไปไม่ขาดคำยูราก็หลุดหัวเราะออกมา แม้แต่คนพูดเองก็อดขำไม่ได้ แฟนใหม่ของแพยอนคราวนี้แบคฮยอนหวังว่าจะไม่เป็นตำรวจลับเข้ามาสืบจับอะไรอีก

     

    ก็หวังว่าคงไม่ใช่อย่างงั้น

     

    แม่เคยคิดถึงพี่ชานยอลมั่งไหม ตอนที่เค้ามาอยู่กับเราดวงตาสีอ่อนสลดลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องเศร้าที่ไม่มีใครอยากรื้อฟื้น แต่แม้มันจะเป็นอดีตที่ขมขื่นแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนที่ครอบครัวมีเขาคนนั้นทุกคนมีความสุขมาก

     

    ทำไมถามอย่างงั้น

     

    ก็เค้าแค่อยากรู้แบคฮยอนเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่คิดถึงช่วงเวลาตอนนั้น มีแค่เขาหรือเปล่าที่คิดถึงคนที่ทำลายครอบครัว

     

    อือ... บางทีแม่ก็คิดถึงชานยอลนะหญิงสาวกล่าวพร้อมกับจ้องมองลูกชาย รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ใครกันจะลืมได้ ถึงแม้ว่าสิ่งที่ชานยอลได้ทำมันแสนใจร้ายแต่ส่วนดีๆ ที่ชายหนุ่มยังทิ้งไว้ก็ไม่อาจลบออกไปจากใจ

     

    แม่โกรธพี่ชานยอลไหม

     

    โกรธสิ โกรธมากเลย

     

    “...........”

     

    แต่แม่ก็โกรธพ่อเหมือนกัน

     

    เด็กชายใบหน้าจ๋อยสนิทเมื่อได้เห็นสีหน้าผิดหวังของผู้เป็นแม่ แบคฮยอนเคยคิดมาตลอดว่าแม่เป็นผู้หญิงที่ดีมาก ไม่เคยยุ่งกับงานการเมืองของพ่อเลยกระทั่งย้ายออกมาทำบริษัทเองแล้วก็ตาม แบคฮยอนเคยจินตนาการว่าถ้าเขาเป็นพี่ชานยอลจะทำยังไง มันคงรู้สึกไม่ต่างกัน

     

    ถ้าเกิดแม่รู้ว่าแบคฮยอนยังติดต่อกับคนที่ทำลายครอบครัวจะผิดหวังไหมนะ ถ้าแพยอนรู้ว่าน้องชายแอบหลงรักอดีตคนรักของตัวเองจะเกลียดแบคฮยอนไหม แล้วพ่อล่ะ...

     

    ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้มันผิดไหมถ้าพี่ชานยอลไม่ได้คิดอะไรกับแพยอนตั้งแต่ทีแรก

     

    แล้วตอนนี้เรื่องของเรามันอยู่ในสถานะไหนกัน...

     

     

     

     

     



     

    การสอบที่แสนตึงเครียดดำเนินไปต่อเนื่องจากเช้าถึงเย็น สนามสอบกลางเมืองเต็มไปด้วยนักเรียนมัธยมปลาย บางคนยังนั่งเครียดอยู่ข้างถนน บ้างดูโล่งใจ บ้างกดดัน ดวงตาเรียวหรีหยีลงหลบแดด มองนาฬิกาที่บอกเวลาหกโมงแล้ว

     

    เด็กหนุ่มร่างเล็กยืนรอรถอยู่ตรงป้ายประจำทาง ขณะที่ในหัวยังเอาแต่คิดทบทวนข้อสอบที่ทำไปไม่หยุดเผื่อว่าจะพลาดตรงไหน 

     

    จมอยู่กับตัวเองไม่นานรถบัสคันใหญ่ก็ขับมาจอดอยู่ด้านหน้า แบคฮยอนรีบหลบอากาศร้อนขึ้นไปและเลือกที่นั่งหลังสุดเพื่อที่จะได้มีสมาธิทบทวนข้อสอบ เขาหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมกดส่งข้อความหาพี่ชายคนโปรด ก่อนจะพบว่าข้อความที่ส่งไปก่อนหน้ายังไม่ถูกอ่าน สุดท้ายก็ได้แต่ถอนลมหายใจออกมา

     

    คำสัญญาลืมไปแล้วหรือเปล่านะ...

     

    หูฟังสีขาวถูกยัดเข้าใส่หู แบคฮยอนเอนหลังลงกับพนักพิง สายตาเหม่อมองไปยังจอ TV ขนาดเล็กที่ฉายข่าวภาคเย็นแบบไม่มีเสียงตั้งแต่เรื่องการสอบ ไปจนถึงการเลือกตั้ง

     

    ขณะที่กำลังให้ความสนใจกับเสียงเพลง ภาพการรายงานข่าวที่ขึ้นรูปของผู้เป็นพ่อก็ดึงความสนใจของเด็กหนุ่มไป คนตัวเล็กรีบเข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อหาข่าววันนี้ทันที

     

     

    มาติดตามคดีใหญ่วันนี้นะคะ เรื่องความเกี่ยวพันของนักการเมืองกับคดีฆาตกรรมนายตำรวจเมื่อหลายปีก่อน หลังจากล่าสุดที่มีข่าวลือออกมาว่ามีการออกหมายเรียกอดีตสส. มุน แจอินเข้ามาสอบสวน วันนี้ก็มีการออกหมายจับเรื่องคดีสั่งฆ่าร้อยตำรวจเอก พัค อินซอง แล้ว เนื่องจากมีหลักฐานพยานแน่นหนาพอและไม่ให้มีการยื่นประกันตัว เป็นคดีฆาตกรรมสวมรอย ส่วนรายละเอียดต่างๆ ยังไม่มีรายงานออกมาค่ะ

     

    กลายเป็นคนที่สั่งฆ่าจริงๆ เนี่ยคืออดีตสส. ส่วนอดีตที่ปรึกษาชานวุคที่ถูกจับไปก่อนหน้านั้นก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการขอยื่นอุทธรณ์คดีอยู่ แต่ยังไม่มีรายละเอียดของคดีออกมา ทางทีมข่าวจะรายงานต่อไปหากมีความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมนะคะ เดี๋ยวเราจะขอย้อนไปที่คดีที่ร้อยตำรวจเอกถูกสังหารสักครู่....

     

    เมื่อปี 2008 เป็นข่าวดังอยู่พักใหญ่นะคะ หลังจากมีการพบศพเจ้าหน้าที่ลอยขึ้นมาติดฝั่งแม่น้ำ หลังจากตรวจสอบพบว่าถูกยิงก่อนจะจมน้ำเสียชีวิต แต่เนื่องจากบริเวณที่เกิดเหตุตอนนั้นเสียหายค่อนข้างมากจากพายุฝน แล้วก็ชะล้างที่เกิดเหตุเลยเก็บหลักฐานลำบาก

     

    การสืบสวนในตอนนั้นก็มีการสอบกันยกใหญ่แต่ก็ยังหาตัวคนผิดไม่ได้จนศาลต้องสั่งพักการสืบคดีไปนะคะ... ส่วนอดีตสส. มุน แจอิน จะมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรต้องติดตามต่อค่ะ

     

     

    แบคฮยอนแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขารีบกดออกจากหน้าวิดีโอแล้วกดโทรหาผู้เป็นแม่ทันที เสียงสัญญาณรอสายดังอยู่ไม่นานก็ตัดไปเพราะไม่มีคนรับ คนตัวเล็กจึงต่อสายหาพี่สาว คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความวิตกกังวลขณะที่รอให้อีกฝ่ายรับ แต่ก็ต้องหงุดหงิดเมื่อแพยอนก็ไม่สามารถติดต่อได้เหมือนกัน

     

    นี่มันเรื่องอะไรอีกแล้ว....

     

     

     

     

    แบคฮยอนกลับมือถึงบ้านด้วยความรีบร้อน เขาเห็นผู้เป็นแม่ยืนหน้าเครียดอยู่หน้าทีวีที่กำลังรายงานข่าวภาคค่ำ คนตัวเล็กรีบถอดกระเป๋าโยนลงบนพื้น วิ่งไปนั่งหน้าจอ TV ทันทีเพื่อจะได้ทันดูข่าวแต่น่าเสียดายที่มันจบซะแล้ว

     

    พ่อมีอะไรหรอแม่

     

    แม่ไม่รู้เหมือนกันหญิงสาวส่ายหน้าไปมาสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างจากลูกชาย เธอเองก็รู้ข่าวคราวไม่ต่างจากคนนอกเพราะคนที่จัดการคดีมีแต่คนรู้จักของสามีทั้งนั้น วันนี้แม่ไปขอเยี่ยมเค้าให้เยี่ยมไม่ได้ ขอพบใครก็ยุ่งกันไปหมด ไม่รู้อะไรเป็นอะไรเลย

     

    พี่รู้ข่าวหรือยัง

     

    อือ รู้แล้ว กำลังติดต่อกันอยู่ ทำไมแม่ไม่รู้อะไรเลยนะยูรานั่งลงบนโซฟาพลางถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ เธอเองก็เป็นห่วงครอบครัวไม่แพ้กันแต่ก็ยังถูกกันออกจากเรื่องการสืบสวนคดีอยู่เนื่องๆ สุดท้ายก็รู้ข่าวพร้อมคนอื่นตอนขึ้นศาลทุกที

     

    วันไหนเราจะได้เยี่ยมพ่อ

     

    รอดูก่อน อาจจะพรุ่งนี้ จะไปด้วยไหม

     

    เด็กหนุ่มพยักหน้าทันทีแบบไม่ต้องคิด ความรู้สึกคุ้นๆ เดิมๆ เริ่มกลับมาอีกครั้งคล้ายๆ ว่าจะเคยเจอสถานการณ์นี้มาก่อน แบคฮยอนล้วงมือถือขึ้นมากดส่งข้อความหาพี่ชายคนสนิททันทีก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าแล้วรีบวิ่งขึ้นห้องไป

     

    ในใจยังแอบคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับพี่ชานยอลหรือเปล่า เขาตั้งใจจะทำอะไรอีก ทำลายหรือช่วยเหลือกันแน่ แบคฮยอนมีแต่ความสับสนเต็มไปหมด

     

     



    .


    .


    .

     

     

     

    เวลาสิบเอ็ดโมงแบคฮยอนกับแม่ขับรถที่เรือนจำแต่เช้า รถคันสีขาวเข้าจอดประจำที่ นี่เป็นครั้งแรกที่แบคฮยอนเคยมาคุก บรรยากาศรอบนอกดูหดหู่พิลึก การตรวจตราที่เข้มข้นยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัดเข้าไปใหญ่ พวกเขาต้องวางทุกอย่างไว้ข้างนอกแล้วเข้าไปนั่งรอด้านใน สองมือของเด็กหนุ่มกุมกันด้วยความประหม่าจนผู้เป็นแม่ต้องเอื้อมมือมาจับไว้

     

    พี่จะมาหรือยัง

     

    เดี๋ยวก็คงมา

     

    พูดยังไม่ทันขาดคำหญิงสาวในชุดสีขาวเดินเข้ามาพร้อมกับแฟนหนุ่มคนใหม่ แพยอนสวมแว่นดำชุดขาวแต่งกายเหมือนมาไว้อาลัย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอไม่เคยติดต่อพ่อเลยและน้อยครั้งที่จะช่วยอำนวยความสะดวกครอบครัวเรื่องคดี

     

    ทันทีที่หญิงสาวเข้ามาถึงบรรยากาศในห้องรอเยี่ยมก็อึมครึมไปด้วยมวลความรู้สึกบางอย่าง ลูกเขยคนใหม่ของบ้านยิ้มทักทายครอบครัวของแฟนสาว แต่สีหน้าของแพยอนดูไม่ค่อยมีความสุขนัก ซึ่งนั่นก็ไม่น่าแปลกเพราะแพยอนโทษพ่อมาตลอดที่ทำให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

     

    แม่จะเข้าไปคุยกับพ่อก่อนนะ แล้วที่เหลือค่อยไป

     

    หนูรีบไปทำธุระต่อนะ

     

    อื้อ แม่ไปไม่นานหรอก

     

     

    กริ๊ง...

     

    เสียงเปิดประตูเรียกสายตาของครอบครัวให้ต้องหันไปมองผู้มาเยือนคนใหม่ แล้วก็ราวกับมีคลื่นอากาศลูกใหญ่ก่อตัวขึ้นเมื่อคนที่มาปรากฏตัวเป็นนายตำรวจหนุ่มที่แสนคุ้นหน้า ชานยอลที่เดินถือแฟ้มเข้ามาหยุดชะงักเท้าเมื่อเห็นทั้งอดีตแฟนสาวและครอบครัวยืนอยู่กันครบหน้า

     

    บรรยากาศภายในห้องยิ่งอึมครึมหนัก จะก้าวขาออกก็ไม่ได้ สุดท้ายชายหนุ่มก็ตัดสินใจเดินผ่านสายตาที่จ้องเขม็งมา เข้าไปนั่งตรงที่นั่งด้านในสุดให้ห่างจากครอบครัวที่เขาคุ้นเคยโดยไม่ได้ปริปากพูดอะไร

     

    พวกเขาไม่มองหน้ากันกระทั่งผู้เป็นแม่เดินหายเข้าไปในห้องเยี่ยมญาติ แพยอนนั่งเงียบเหมือนพยายามเก็บสีหน้าและอารมณ์โดยมีแฟนหนุ่มคนใหม่คอยจับมืออยู่ใกล้ๆ แม้แต่แบคฮยอนเองก็ยังไม่กล้าเอ่ยทักต้องทำเป็นไม่รู้จักกันไป เป็นสถานการณ์ที่ตลกพิลึก

     

    คงจะมีเพียงแบคฮยอนที่ดีใจที่ได้เจอพี่ชานยอลที่นี่

     

    มาทำอะไรนะ ไม่ได้สืบคดีอยู่หรอ หรือว่านี่คือคดีที่พี่ชานยอลกำลังทำอยู่...

     

     

     

     

     

     

    เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วตั้งแต่ที่แม่กับพี่สาวเข้าไปหาพ่อ แบคฮยอนยังต้องนั่งรอเป็นคนสุดท้ายที่จะได้เข้าเยี่ยม และผู้ชายคนนั้นก็ยังนั่งเงียบๆ อยู่ที่มุมเดิมพร้อมกับแฟ้มคดีในมือ

     

    แบคฮยอน

     

    บานประตูถูกเปิดพร้อมกับเสียงเรียกของพี่สาว เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูด้วยความประหม่า สภาพห้องที่มีกรงขังกับพ่อในชุดนักโทษทำคนตัวเล็กรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย แบคฮยอนเดินไปนั่งตรงเก้าอี้พร้อมกับหยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมา

     

    [เป็นไง ไปสอบมาแล้วใช่ไหม]

     

    ฮะ ก็ดีการสนทนาผ่านกระจกที่เปรียบเสมือนลูกกรงยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัด ก่อนหน้านั้นแบคฮยอนเองก็ไม่ได้สนิทกับกับพ่อนัก พอต้องมาเล่นบทนี้กันก็ยิ่งประหลาดใหญ่

     

    [ทำได้ใช่ไหม]

     

    "ส่วนใหญ่ก็พอทำได้..."

     

    [แม่บอกจะขอย้ายไปอยู่หอหรอ]

     

    แค่ลองขอดู....

     

    [จะเข้ามหาลัยไหนก็บอกพ่อ พ่อจะได้ให้คนหาที่ใกล้ๆ ให้]

     

    คำพูดที่ได้ยินราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง แบคฮยอนถึงกับอึ้งจะดีใจก็ดีใจไม่ออก น้ำเสียงของพ่อที่มักจะเรียบนิ่งอยู่เสมอดูอ่อนลงกว่าเคย เกิดอะไรขึ้นกัน

     

    พ่อให้ไปหรอ

     

    [อือ แต่ก็ต้องดูแลตัวเองให้ได้นะ]

     

    พอได้ยินคำนี้ความรู้สึกสองจิตสองใจก็เริ่มเล่นงาน มันก็จริงที่ว่าแบคฮยอนอยากออกไปใช้ชีวิตอิสระข้างนอก แต่พอนึกถึงแม่ที่ต้องอยู่คนเดียวแล้วก็ไม่อยากจะไปขึ้นมา กลายเป็นว่าตัวเขาเริ่มลังเลซะเอง

     

    แล้วแม่ล่ะ

     

    [แม่ไม่เป็นไรหรอก กลับบ้านบ่อยๆ เค้าก็ดีใจแล้ว]

     

    แล้วพ่อจะได้ออกไปเมื่อไหร่

     

    [ก็พยายามอยู่ มีคนช่วยหลายคน อย่างเร็วๆ อาจจะไม่กี่ปี]

     

    พ่อจะไปงานรับปริญญาได้ไหม

     

    [ก็อยากไปถ้าไปได้ คิดหรือยังว่าอยากเรียนคณะไหน]

     

    กำลังดูๆ อยู่ แต่อยากเข้านิติฯ

     

    [อือ... ดีแล้ว อยากเรียนอะไรก็เรียน แล้วแกมีแฟนหรือยัง]

     

    “...... จะมีได้ไง...คำถามที่ไม่ได้เตรียมตัวมาทำคนตัวเล็กถึงกับออกอาการ หัวใจกระตุกวาบ ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้เป็นพ่อรอดผ่านสายโทรศัพ์ก่อนที่เขาจะพูดต่อ

     

    [เอาเถอะ โตแล้ว เลือกทางของตัวเองได้แล้ว]

     

    คำพูดประหลาดและสายตาของพ่อที่เอ่ยออกมาในวันที่ไม่สามารถสัมผัสถึงกันได้ทำหัวใจดวงเล็กเริ่มแกว่ง แบคฮยอนกำลังสับสนกับท่าทีที่เขาไม่เคยได้รับ

     

    หมายความว่ายังไงให้เลือกทางเดินของตัวเอง นี่คือสิ่งที่แบคฮยอนกำลังรออยู่หรือเปล่า... การได้รับความไว้วางใจ อิสระในการเลือกเส้นทางของตัวเอง... พ่อกำลังบอกแบบนั้นหรือเปล่า

     

    อื้อ

     

    [เลือกทำสิ่งที่ตัวเองมีความสุขนะ พ่อจะรอดู...]

     

    ".............."

     

    อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนน้ำตาจะลื่นขึ้นมาที่ขอบตา นี่เป็นครั้งแรกที่แบคฮยอนรู้สึกอยากจะยิ้มที่สุด เหมือนพันธนาการบางอย่างในใจมันปลดล็อคออกไปอีกขั้นจากเรื่องหนักๆ ทั้งหลาย รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกจากใจจริงระบายขึ้นจางๆ บนใบหน้าจิ้มลิ้ม

     

    แม้ก่อนหน้านี้จะไม่ค่อยสนิทกันและไม่มีเรื่องให้พูดกันมากนัก แต่นี่เป็นประโยคสนทนาสั้นๆ ที่แบคฮยอนอยากได้ยินที่สุด

     

    นี่เป็นสัญญาของสิ่งที่กำลังจะดีขึ้นหรือเปล่า...

     

     

     

     

     

     

    ใช้เวลาแค่ไม่นานแบคฮยอนก็เดินออกมาจากห้องเยี่ยมด้วยความรู้สึกเบาอกเบาใจ เขาหันไปมองพี่ชายที่นั่งอยู่มุมห้องมานานเดินสวนเข้าไปโดยที่ไม่ได้กล่าวทักทายอะไร คงจะมาคุยเรื่องคดีเหมือนกัน

     

    พี่กลับไปแล้วหรอ

     

    อือ ไปตั้งแต่ออกมาแล้ว

     

    เค้าขออยู่ที่นี่อีกแป้บนึงได้ไหม

     

    คนเป็นแม่นิ่วคิ้วกำลังจะอ้าปากถามแต่ก็คิดได้ว่ามีเหตุผลอะไรที่ทำให้ลูกชายอยากจะอยู่ต่อ เธอจึงทำเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ งั้นขึ้นรถกลับดีๆ นะ

     

    ยูรากล่าวพร้อมรอยยิ้มก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไปทั้งในใจจะรู้สึกตะขิดตะขวง ...เรื่องความผิดพลาดทั้งหมดนี้ มันเริ่มที่ใครกันแล้วจะอยู่กับมันไปถึงเมื่อไหร่ ตอนนี้คงต้องเลือกแล้วว่าจะยึดปมไว้หรือปล่อยให้มันคลายไปในหนทางของมัน...

     

     

     

     


     

    ตามข้อตกลงของเรา คดีทุจริตจะไม่ขึ้นศาลส่วนเรื่องให้การเป็นประโยชน์ศาลจะพิจารณาลดโทษอีกที ก็รอฟังคำตัดสินอาทิตหน้า

     

    [หึ... ฉันอยากรู้จริงๆ แกไปทำยังไงถึงไปขุดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาได้]

     

    มันเป็นหน้าที่ของตำรวจ แต่ผมยังไม่ลืมว่าคุณทำอะไร

     

    นายตำรวจหนุ่มจ้องมองนักโทษชายที่เป็นต้นเหตุให้พี่ชายของตนถูกสวมรอยฆาตกรรมจนถึงแก่ความตาย ถึงจะให้อภัยแต่ไม่ลืม... และทั้งหมดนี้ชานยอลก็ทำไปเพื่อล้างความผิดที่เขาทำต่อคนอื่นในครอบครัวของชานวุค

     

    [ฉันก็ทำตามสัญญา]

     

    "ดี"

     

    [นี่ชานยอล]

     

    ".........."

     

    [ฉันขอโทษพี่แกด้วย...]

     

    ก่อนจะวางสายคำพูดสุดท้ายที่คิดว่าจะไม่ได้ยินจากชายมากเล่ห์คนนี้ถูกเอ่ยออกมา ชานยอลวางหูโทรศัพท์ ลุกขึ้นแล้วหันหลังเดินจากไปปล่อยให้ชานวุคได้ใช้เวลาสำนึกตัวเองกับสิ่งที่ได้ทำหลังลูกกรง

     

    คำว่า ขอโทษจากคนที่เป็นต้นเหตุพรากชีวิตพี่ชายของเขาไปยังดังวนอยู่ในหัว

     

    บานประตูห้องเยี่ยมถูกปิดลง ชายหนุ่มชะงักเมื่อเห็นคนที่คิดว่าควรจะกลับไปแล้วยังนั่งอยู่ เจ้าของนัยน์ตาสีอ่อนช้อนสายตามองมาเหมือนลูกหมา ใบหน้าที่ชานยอลอยากจะเห็นมันในช่วงเวลาที่สบายใจมากที่สุด

     

    ทำไมยังไม่กลับอีกเจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมกับเท้าที่ก้าวไปประจันอยู่ด้านหน้า จนรองเท้าผ้าใบของเจ้าตัวเล็กเตะโดนหน้าขา

     

    ก็อยากเจอพี่

     

    คำตอบที่แสนตรงไปตรงมากับแววตาใสซื่อเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากชายหนุ่ม มือหนาวางลงบนศีรษะทุยเหมือนอย่างที่ชอบทำ สัมผัสนุ่มลื่นของเส้นผมที่ชานยอลรัก

     

    หัวเราะทำไม

     

    เปล่า

     

    ดวงตาเรียวรีจดจ้องรอยยิ้มที่แสนคิดถึงบนใบหน้าของพี่ชายคนเดิมที่แบคฮยอนอยากจะเห็นมาตลอด รอยยิ้มที่ทำให้เขามีกำลังใจที่จะทำอย่างอื่น ความอบอุ่นจากแววตาที่เคยได้รับอยู่เสมอ

     

    ตอนนี้มันจบหรือยัง

     

    อื้อ จบแล้ว...

     

    คำพูดแสนเรียบง่ายที่ถูกเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มสบายๆ คำแสนสั้นที่แบคฮยอนอยากจะได้ยินที่สุด คนตัวเล็กพิงหน้าผากซบลงหน้าท้องพี่ชายตรงหน้าพร้อมกับตวัดแขนกอดรอบเอวไว้แน่น มีเพียงฝ่ามืออบอุ่นลูบสางเบาๆ บนเส้นผม ความสุขหลั่งใหลเข้าสู่หัวใจที่เหือดแห้งอีกครั้ง ไม่มีการผลักไสอีกต่อไป

     

    มันจบแล้ว...















    #ficbtl
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×