คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #27 : Brother in law 6
“แม่
ถ้าสอบติดมหาลัยขอไปพักหอได้ไหม”
กลางห้องนั่งเล่นที่มีเพียงเสียงพัดลมดังเบาๆ
เด็กหนุ่มร่างเล็กชำเลืองสายตามองผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโซฟา
ยูราชะงักมือที่กำลังปักผ้าพร้อมเงยหน้าขึ้นสบตาลูกชายก่อนจะเอ่ยตอบ
“ทำไมอยากไปอยู่หอล่ะ ถ้าไปแล้วใครจะอยู่เป็นเพื่อนแม่ ตอนนี้เรามีกันสามคนเองนะ” หญิงวัยกลางคนกล่าวเสียงอ่อน
สายตาของเธอทำเด็กหนุ่มต้องรู้สึกผิด ใบหน้าของแบคฮยอนสลดลงความคิดกบฏเล็กๆ แอบเกิดขึ้นในใจ สุดท้ายก็ไม่ต่างจากตุ๊กตาของเล่นประดับบ้าน ก่อนหน้านั้นแม่ก็เอาแต่อยู่กับลูกคนโปรดตลอด ไม่เคยสนใจแบคฮยอนสักนิด แต่พอไม่มีใครก็หันมาจับแบคฮยอนเอาไว้
คนตัวเล็กลอบถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ภายใต้สายตาของหญิงสาว
สีหน้าอมทุกข์ของเจ้าตัวเล็กทำให้ยูราฉุกคิดได้ถึงบางอย่าง
นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้มองหน้าลูกชายชัดๆ
และแทบไม่รู้เลยว่าแบคฮยอนโตไปมากแค่ไหน ลูกชายที่มักเอาแต่เก็บตัวอยู่คนเดียว
แบคฮยอนไม่เคยทำให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อนลำบากใจเลยก็จริง ไม่เคยสร้างปัญหา
แต่กลับกันเธอลืมคิดไปเลยว่าพ่อแม่ทำให้แบคฮยอนสบายใจบ้างหรือเปล่า
“ทำไมต้องอยากไปอยู่หอล่ะ”
นัยน์ตาสีอ่อนชำเลืองขึ้นมองคนอายุมากก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้มรอดริมฝีปากออกไป
“ก็อยากลองออกไปอยู่คนเดียวบ้าง...”
“อยู่บ้านก็สบายดีอยู่แล้ว
พี่เค้าก็ยุ่ง เราอยู่ด้วยกันน่าจะช่วยเหลือกันได้”
สิ้นคำพูดของผู้เป็นแม่แบคฮยอนก็แทบจะหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา
รู้สึกข้างในใจมันเจ็บจี๊ด แบคฮยอนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาแค่อยากจะหนีไปให้พ้นตลอด
ถ้าอยู่ข้างนอกก็จะมีอิสระทำอะไรได้ตามใจมากขึ้น
ทำไมอะไรๆ ก็ต้องแบคฮยอนตลอดเลยนะ
สุดท้ายก็เป็นได้แค่คนคอยแบ่งเบาภาระ เป็นตัวสำรองของพี่สาว
แบคฮยอนเอาแต่ถามตัวเองว่าทำไมพี่ถึงได้ไปเรียนต่อต่างประเทศเท่าที่อยากไป
ไปใช้ชีวิตอยู่สบาย ทั้งเรียนทั้งเที่ยว กลับมาก็พักผ่อนอยู่บ้านว่างงานเป็นปี
ทำแต่อะไรที่จับต้องไม่ได้
แต่ทุกคนกลับเอาแต่บอกว่าแพยอนกำลังพยายามทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่
ในขณะที่แบคฮยอนทำทุกอย่างสำเร็จได้แต่กลับถูกมองข้ามอยู่เสมอ
จนถึงตอนนี้ก็ถูกมองเป็นคนรับฝากหน้าที่
พอมองดูอีกทีก็แทบไม่เห็นพื้นที่ของตัวเองแล้ว
“แม่อยากให้แบคฮยอนอยู่บ้านนะ
ตอนนี้เราไม่มีพ่ออยู่แล้ว แต่แม่จะคิดดูอีกดูแล้วกัน” ยูราถอนลมหายใจก่อนผละกายลุกจากโซฟาหนีหน้าลูกชายไป
ปล่อยให้คนตัวเล็กได้แต่เหลือบสายตามองด้วยความกังวลระคนไม่สบายใจ
ตลอดหลายวันมานี้แบคฮยอนถอนหายใจไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
กับความรู้สึกมากมายที่ต้องแบกรับ
ยังไงก็ต้องเป็นคนที่เจ็บอยู่ดีเพราะไม่ใจกล้าพอจะทำร้ายใครได้...
คนตัวเล็กคว้าโทรศัพท์กับหมอนอิงเดินขึ้นบันไดกลับห้องไปบ้าง
ระหว่างทางก็อดแอบมองประตูห้องพี่สาวไม่ได้
บานประตูห้องนอนถูกปิดลงช้าๆ
เด็กหนุ่มเดินไปนั่งบนเก้าอี้อ่านหนังสือประจำ
รอบโต๊ะแบคฮยอนมีแต่โพสท์อิทจดนู่นนี่เพราะยิ่งใกล้สอบเข้ามาทุกทีก็ยิ่งเครียด
เหนื่อยทั้งกายทั้งใจจนอยากจะขอให้ตัวเองหลับไปแล้วไม่ต้องตื่นมาอีกเลย
คิดถึงจัง... ตอนนี้ทำอะไรอยู่นะ...
พอนึกถึงใครบางคนก็อดเอามือถือขึ้นมาเช็คไม่ได้
ข้อความที่ส่งไปหาพี่ชายคนสนิทล่าสุดยังถูกดองค้างตั้งแต่เมื่อวานก่อน
และก่อนหน้านั้นก็ดูเหมือนจะมีแค่แบคฮยอนคนเดียวที่พยายามจะคุยด้วย...
คางมนวางเกยบนโต๊ะหนังสือ
ใช้ปลายนิ้วปัดไล่ดูรูปถ่ายเก่าๆ ที่เคยมีกับครอบครัว
หลายครั้งแบคฮยอนก็หวังอยากให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม
ให้พี่ชานยอลได้กลับมาอยู่ใกล้ๆ
แม้ตัวเองจะต้องหลบทางไปอยู่ในเงาและแอบรักไปจนถึงท้ายที่สุดก็ตาม
รู้ว่าทุกอย่างมันผิดไปหมดตั้งแต่ต้นและคงจบลงไม่สวยนัก
แต่ก็ไม่รู้จะจัดการยังไงกับรู้สึกที่เหมือนมีบางอย่างในอกหายไป
คิดถึงพ่อจัง...
คิดถึงตอนที่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า
ถึงจะไร้ตัวตนแค่ไหนแบคฮยอนก็ชอบที่จะได้เห็นทุกคนอยู่ด้วยกัน
คิดถึงพี่ชานยอลในแบบที่ใกล้ชิดสัมผัสได้
“หนูก็บอกแล้วไงแม่ว่าเดี๋ยวหนูทำเอง!!”
“แม่แค่มาเตือนเองเผื่อหนูลืม”
“แค่นี้ก็ยุ่งจะตายแล้ว! มีใครสนใจหนูมั่งเนี่ย! ทำก็ทำอยู่คนเดียว! หนูแบกภาระอยู่คนเดียวมีใครสนใจมั่งไหม!”
"แพยอน..."
ดวงตาเรียวรีหลับลง
เสียงทะเลาะกันของแม่กับพี่สาวมีที่ได้ยินบ่อยขึ้นในช่วงหลังยิ่งกดดันให้แบคฮยอนรู้สึกตัวแคบลง
บางครั้งก็คิดว่าอยากจะโตกว่านี้แล้วจัดการทุกอย่างคนเดียวไปเลยจะได้ไม่ต้องถูกดูแคลนหรือทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนแบบนี้
อยากหนีไปไกลๆ แต่ไม่รู้จะหนีไปไหน
อยากลืมตาขึ้นมาแล้วให้ทุกอย่างกลายเป็ยฝันร้ายไปให้หมด
ถ้าตายไปจะยังรู้สึกอะไรไหมนะ...
มันไม่ใช่เพราะใครทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะพ่อ
ไม่ใช่เพราะพี่ชานยอล แต่เป็นเพราะแบคฮยอนเองที่ไม่สามารถแบกรับความรู้สึกได้
โทรศัพท์เครื่องบางร่วงหล่นลงบนโต๊ะก่อนที่มือขาวจะเอื้อมไปคว้าคัตเตอร์ในกล่องเครื่องเขียน
เสียงใบมีดกรีดเลื่อนออกจากด้ามโชว์ความคมที่สะท้อนกับแสงโคมไฟ
นัยน์ตาวูบไหวจ้องมองเงาตัวเองที่สะท้อนกับผิวโลหะ
ไม่ได้เจ็บปวดหรืออะไรทั้งนั้น
แค่อยากจะระบายความรู้สึกที่อัดมวนแน่นอยู่ในใจนี้หรือถ้าตายไปก็แค่ไม่ต้องรู้สึกอะไร
ใบมีดคัตเตอร์วางบนข้อมือส่วนคมสะท้อนตัดกับผิวขาว
ออกแรงกดเพียงนิดคมมีดก็จมลงกับผิวเนื้อ
อาการแสบนำแล้วตามด้วยเจ็บลึกแล่นลิ้วไปทั่วแขนพร้อมกับเลือดสีแดงหยดเล็กที่ไหลออกมาตามคมมีด
ดวงตาจ้องมองอย่างไร้ความรู้สึก กระทั่งหยดเลือดสีเข้มหยดลงบนโต๊ะ
เจ็บจัง... แต่ก็ยังไม่มากพอ...
ไม่มากเท่าความรู้สึกในใจ
ไม่มากเท่าสิ่งที่ต้องชดใช้ให้กับคนอื่นหรือแม้แต่กับพี่ชานยอล
เวลาแบบนี้เขาจะสนใจหรือเปล่านะหรือจะยิ่งมีแต่ทำให้รู้สึกหนักใจ
ผิดหรือเปล่าที่แบคฮยอนทำแบบนี้
ผิดไหมที่ทำให้คนอื่นไม่สบายใจทั้งที่ไม่เคยมีใครใส่ใจเวลาที่แบคฮยอนรู้สึกไม่สบายดี
ใบมีดคมกรีดลงบนผิวเนื้ออีกครั้งด้วยความลังเลที่น้อยกว่าเดิม
หยดน้ำตาพร่าเลือนภาพของหยดเลือด
คนตัวเล็กวางใบหน้าซบลงกับโต๊ะข้างกองเลือดที่ไหลออกมามากพอกับน้ำตา
เหนื่อยจนไม่มีแรงแม้แต่จะลุกไปขอความช่วยเหลือ
หรือหยิบอะไรมาปิดแผล หมดแรงจะก้าวเดิน
เหนื่อยกับสิ่งที่คิดว่าจะต้องเผชิญหลังจากที่แม่รู้ว่าทำแบบนี้
ทั้งที่เป็นอารมณ์ชั่ววูบแต่กลับยิ่งตอกย้ำถึงความไร้ตัวตน
ยิ่งคิดว่าต้องการความช่วยเหลือยิ่งไม่มีคนสนใจ
คิดถึงจัง... แม้แต่เวลานี้ก็ไม่ได้อยู่ใกล้กัน
อยากคุยกันให้มากกว่านี้
แต่พี่ชานยอลเองก็คงจะยุ่งและไม่สนใจเหมือนกันเพราะเขาคงเอาแต่คิดว่าจะวางแบคฮยอนไว้ตรงไหนให้พ้นทางคดีและสายตาของคนอื่น
คิดถึงแต่ตัวเองกันทั้งนั้น
อยากโทษคนอื่นแต่แบคฮยอนก็รู้ว่าคนที่เริ่มความเห็นแก่ตัวนี้คือตัวเขาเอง...
เหนื่อยจัง...
ไม่อยากรับรู้อะไรเลย...
‘แบคฮยอน! แบคฮยอน!!’
‘แพยอนช่วยด้วย!!!’
.
.
.
นาฬิกาเรือนเก่าบนผนังส่งเสียงติ๊กต่อกบอกเวลาทุ่มเศษ
บรรยากาศสงบนิ่งภายในห้องเยี่ยมญาติของเรือนจำกลาง
นัยน์ตาสีดำสนิทจดจ้องกำแพงกระจกสูงที่กั้นอยู่เบื้องหน้า
เสียงออดเปิดประตูเรียกสายตาชายหนุ่มให้หันมองนักโทษอดีตผู้ช่วยนักการเมืองที่ถูกคลุมตัวใส่โซ่ตรวนมายังห้องเยี่ยม
ชานยอลหยิบยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
ส่งสายตาให้ผู้คุมที่อยู่อีกฝั่งออกไปด้านนอกเพื่อความเป็นส่วนตัวของบทสนทนา
สีหน้าชายวัยกลางคนดูไม่อยากจะเสวนามากนักแต่ก็ยอมยกหูโทรศัพท์ขึ้น
[แกมีอภิสิทธิ์อะไรมาเยี่ยมฉันนอกเวลา]
“ผมมาเรื่องคดี”
[จะมาข่มขู่อะไรฉันอีก]
“ผมไม่ได้มาข่มขู่คุณ
เมื่อวานทนายความคุณบอกจะขอยื่นอุทธรณ์
ผมแค่จะมาบอกว่าถ้าคุณยังยืนยันจะสู้คดีต่อไปอีกสองศาล
คดีทุจริตของคุณจะถูกอัยการขุดขึ้นมา หัวหน้าคุณก็ตัดหาง ศาลจะไม่ให้คุณประกันตัว”
[มันเป็นหน้าที่ของทนายฉัน]
“ผมแค่มาเตือนว่าอย่าสู้ต่อเลยดีกว่า
ตอนนี้คดีออกข่าวทุกช่องอัยการเคี่ยวคุณแน่ มีแต่จะต้องรับโทษหนักขึ้น”
[แกกำลังขู่ฉันหรอ]
“ผมเปล่า ผมแค่อยากให้คุณยอมรับผิด
แทนที่จะอยากเอาชนะทำไมคุณไม่คิดถึงคนอื่นบ้าง คนที่กำลังรออยู่ข้างนอก
ทำไมไม่คิดถึงแบคฮยอนบ้าง”
[แกเป็นห่วงแบคฮยอนมากกว่าลูกสาวฉันอีกนะ]
นักโทษหมายเลข 125 แสยะยิ้มมุมปาก
นัยน์ตาแข็งกร้าวหลุบลงมองที่พักแขนชั่วครู่ก่อนจะชำเลืองขึ้นจดจ้องชายหนุ่มตรงหน้า
[ตกลงแล้วลูกชายฉันก็เป็นแผนของแกด้วยใช่ไหม]
“ผมอยากคุยเรื่องคดี”
[แกตอบมาก่อนสิ]
“แล้วคุณเคยรักลูกชายคุณบ้างหรือเปล่า...”
แทนที่จะตอบอย่างตรงไปตรงมานายตำรวจหนุ่มกลับย้อนด้วยคำถาม
ทำคู่สนทนาได้แต่นิ่งเงียบก่อนเสียงถอนหายใจจะดัง
ชานวุคเองก็รู้ว่าลูกชายของเขามักเอาแต่เก็บตัวและเก็บความรู้สึกอยู่เสมอ
เมื่อวันนึงชานยอลเข้ามาและทำตัวเป็นฮีโร่ของทุกคนก็ไม่น่าแปลกที่เด็กชายซึ่งไม่เคยเปิดใจกับใครจะเปิดรับพี่เขยคนใหม่และเทิดทูนเขาเหนือทุกอย่าง
ชานยอลทำตีกับแบคฮยอนในแบบที่คนในบ้านไม่เคยทำ
เป็นที่พึ่งพาของเขา และวันนึงก็หักหลังครอบครัว
เดินจากไปทิ้งทั้งแพยอนและแบคฮยอนไว้อย่างที่ไม่รู้เลยว่าใครใจสลายกว่ากัน ถ้าแบคฮยอนไม่ได้อยู่ในแผนและเป็นแค่เด็กคนนึงที่ชานยอลเผลอเอ็นดูก็เรียกว่าโดนหางเลขไปเต็มๆ
[ฉันรักลูกฉันทุกคน]
“งั้นคุณก็ไม่น่าปล่อยให้แบคฮยอนนอกลู่นอกทาง”
สองสายตาสบจ้องกัน
ชานวุคไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ามันเป็นเพราะเขาและครอบครัวเองที่ไม่ใส่ใจแบคฮยอนให้มากพอจนปล่อยให้ชานยอลมาเข้ามาชักจูง
แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รักลูก
“คุณคิดไหมว่าแบคฮยอนจะต้องอยู่กับความรู้สึกผิดแทนคุณ
แพยอนจะต้องผิดหวังแค่ไหน กิจการข้างนอกก็ไม่มีคนดูแล แบคฮยอนก็กำลังจะเรียนต่อ
คิดว่าไว้ใจใครให้ดูแลครอบครัวได้บ้าง”
[………………..]
“ถ้าคุณสู้คดีจากโทษ 30 ปีอาจจะกลายเป็น 50 ต่อให้ลดแล้วก็ยังเยอะอยู่ดี
คิดว่าครอบครัวที่อยู่ข้างนอกจะเป็นไง” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ
หากพูดถึงเรื่องการตายของอินซองแล้วคงไม่มีใครอยากจับชายตรงหน้าขังคุกมืดไปมากกว่าเขา
แต่มันก็มีหลายคนที่ชานยอลไม่ต้องการให้ได้รับผลกระทบนี้อีกแล้ว
[แกคิดว่าแกรู้อะไรเกี่ยวกับฉันบ้าง]
“ผมไม่รู้ว่าคุณรู้อะไร
แค่บอกให้คุณนึกถึงคนที่อยู่ข้างหลังบ้าง ยิ่งตอนนี้ช่วงเลือกตั้ง
ไม่มีใครอยากช่วยคุณ”
[…………………]
“แต่ถ้าคุณอยากสู้คดี ก็ตามใจ”
[ฉันไม่ได้เป็นคนฆ่าพี่แก]
ก่อนหูโทรศัพท์จะวางลงเสียงทุ้มที่รอดออกมาจากสายก็หยุดนายตำรวจหนุ่มให้ต้องเงียบและนั่งฟัง
สีหน้าของชายวัยกลางคนดูอ่อนลงเล็กน้อยจากคราวแรกที่พบกัน
“................”
[ฉันแค่สั่งให้มันไปยิงสั่งสอน
แต่ดันมีคนอยากฆ่าขึ้นมา] คำพูดของนักโทษที่ถูกโซ่ตรวนคงมีแต่คำโกหก และชายแก่เองก็รู้ว่าคงไม่มีใครเชื่อ
[แกคงไม่เชื่อ ได้ยินบ่อยใช่ไหมคำสารภาพครึ่งเดียวเนี่ย]
“ผมจะฟังคุณแต่จะเชื่อหรือไม่เชื่อผมจะตัดสินเอง”
[ฉันจะสู้คดี ถ้าแกเห็นใจแบคฮยอน
ฉันอยากให้แกช่วยฉัน]
นายตำรวจหนุ่มนิ่งเงียบไม่ได้โต้ตอบในทันที
ชานยอลไม่สามารถเดาใจได้เลยว่านักโทษชายมากเล่ห์ตรงหน้าจะมาไม้ไหน
แต่สีหน้าและแววตาที่อ่อนลงทำให้เขาตัดสินใจรับฟังต่อไป
“ว่ามา”
[คอยดูแลแบคฮยอนกับลูกสาวฉัน
ดูแลครอบครัวฉันให้ปลอดภัยถ้าฉันไม่ได้ออกไป]
“แลกกับอะไร”
[แลกกับการที่ฉันบอกแกว่าฉันสั่งยิงพี่ชายแก
แต่ฉันไม่ได้เป็นคนบอกให้เอาศพมันถ่วงน้ำ ตอนที่ได้ภาพถ่ายมามันยังไม่ตาย]
“ภาพถ่ายอะไร
ถ้าคุณพูดจริงทำไมคุณไม่ให้การไปตั้งแต่แรก”
[ฉันบอกไม่ได้
แล้วก็ไม่มีหลักฐานด้วย พูดไปใครจะเชื่อ หรือต่อให้เชื่อแทนที่จะติดคุกฉันอาจได้ไปอยู่กับพี่แก]
ชายวัยกลางคนยกมือกอดอก
ชานวุคเองก็มีความแค้นในใจต่อชานยอลไม่น้อยไปกว่ากันแต่คำสารภาพนี้ไม่ใช่เพื่อคดี
แต่เพื่อสำหรับปลดแอคความรู้สึกติดค้างในใจชายหนุ่มที่ติดอยู่กับการล้างแค้นมาหลายปี
“ทำไมคุณไม่บอกผมตั้งแต่ทีแรก”
[แล้วจะยังไงล่ะ
ก่อนแกจะถึงหลักฐานทุกอย่างมันก็หายไปหมดแล้ว] เขาเว้นจังหวะแล้วพูดต่อ
[ความดันทุรังของแกจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่แกไม่เชื่อก็ได้]
“ถ้าอย่างงั้นใครเป็นคนฆ่า”
[ฉันไม่รู้]
“ถ้าคุณไม่บอกว่าใครทำผมก็เชื่อคุณไม่ได้”
[แล้วแกจะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นได้หรอ]
“..............”
[ถ้าเกิดลูกสาวฉันเป็นอะไร
แบคฮยอนเป็นอะไรขึ้นมาแกรับผิดชอบไหวหรอ]
นัยน์ตาแข็งกร้าวจ้องลึกลงไปในแววตาที่กระหายจะค้นหาความจริงของนายตำรวจตรงหน้า
[ฉันถือว่าฉันทำผิดต่อแก สำหรับหลายสิบปีแต่แกทำอะไรไม่ได้หรอก
เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง ปล่อยวางเถอะ...]
"..............."
[คุณชานวุค มีโทรศัพท์จากข้างนอก]
เสียงเปิดประตูพร้อมกับพัสดีที่เดินเข้ามาในห้องหยุดบทสนทนา
เรียกความสนใจจากทั้งสองคน เสียงนั้นรอดผ่านสายโทรศัพท์ไปถึงคนอีกฝั่งของห้อง
[มีอะไร]
[จากภรรยา บอกว่าลูกชายอยู่โรงพยาบาล พยายามฆ่าตัวตาย]
[แบคฮยอน?]
[ใช่ครับ]
[มีคนไปเฝ้าหรือยัง]
[คุณยูรารอสายอยู่]
[แค่นี้ก่อน
แล้วจำไว้ว่าถ้าครอบครัวฉันเป็นอะไรเพราะแก ฉันจะฆ่าแก]
ชายวัยกลางคนข่มเสียงรอดสายโทรศัพท์ก่อนจะวางหูแล้วลุกเดินหายออกไปพร้อมผู้คุมทันที
ชานยอลนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งพยายามคิดว่าเกิดอะไรขึ้นจากนั้นถึงรีบลุกขึ้นรวบหยิบแฟ้มกระดาษแล้วเดินออกจากห้องไปด้วยความรีบร้อนไม่ต่างจากคนเป็นพ่อ
เขารีบตรงไปรับกระเป๋าที่ห้องฝากของ
เอาโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คข้อความแต่ก็ไม่มีแจ้งเตือนอะไรจากคนที่ตนเองกำลังเป็นห่วงเลย
คนตัวสูงรีบจัดการต่อสายหาลูกน้องที่ทำงานทันทีและหวังว่าจะไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรไปมากกว่านี้
ขับรถจากเรือนจำมาโรงพยาบาลกลางเมืองใช้เวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมง
ชานยอลก้าวออกจากลิฟท์ทันทีที่ประตูเปิดออก
เขามองเห็นชายลักษณะคล้ายตำรวจนอกเครื่องแบบคนหนึ่งยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง
คนตัวสูงตรงเข้าไปพร้อมกับแสดงตราตำรวจแต่อีกฝ่ายเอาแต่ยืนนิ่ง
“ไม่มีชื่อเยี่ยมไม่ได้ครับ”
ชายร่างท้วมกล่าวเสียงเรียบสีหน้าแสดงถึงความหนักแน่น
ทำเอาชายหนุ่มต้องถอนลมหายใจออกมาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าเข้าใจ
“เด็กข้างในเป็นไงบ้าง”
“ยังดี ไม่เป็นไรมาก
หมอบอกแผลไม่ลึก”
“ไม่มีเรื่องอื่นใช่ไหม”
“ครับ” เขาครางตอบในลำคอ
อย่างน้อยก็ช่วยลดความกังวลใจได้อีกเปราะ
ชานยอลได้แต่มองผ่านกระจกบานเล็กๆ
หน้าประตูห้องเข้าไป
มองเห็นแบคฮยอนนอนหลับอยู่บนเตียงโดยมีคุณแม่นั่งเฝ้าอยู่ข้างกาย
เขาลอบถอนลมหายใจด้วยความโล่งอก
หันไปกล่าวขอบคุณกับเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบก่อนจะหันหลังเดินกลับไปเมื่อไม่มีอะไรที่ตัวเองสามารถทำได้
โทรศัพท์เครื่องบางถูกหยิบขึ้นมาดูข้อความล่าสุดที่ถูกส่งมาจากเจ้าตัวเล็กตั้งแต่เมื่อพฤหัส
ชานยอลพิมพ์ข้อความตอบกลับไปทั้งที่รู้ว่าใครอีกคนคงยังไม่ได้อ่าน
แต่อย่างน้อยก็อยากให้แบคอยอนได้เห็นตอนตื่น...
ภายใต้ความมืดภายในห้องอพาร์ทเม้นที่มีเพียงแสงสว่างจากหน้าจอโน้ตบุ๊ก
นายตำรวจหนุ่มเอาแต่ถอนหายใจซ้ำไปซ้ำมากับความรู้สึกหนักอึ้งเมื่อเรื่องที่เหมือนจะจบกลับไม่จบ
ชานยอลเปิดประตูบานหนึ่งเพื่อไปเจอประตูอีกบาน
แต่คราวนี้เขากลับไม่มั่นใจที่จะเปิดและกลัวบางสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังประตู
ดวงตากลมโตกวาดอ่านข้อความในกรดาษใบเดิมซ้ำไปมา
ในสำนวนคดีการตายตอนนั้นฝ่ายสอบสวนเขียนรายงานว่าอินซองถูกลอบยิงและพยายามตะเกียกตะกายว่ายน้ำหนีจนจมแม่น้ำ
แต่บาดแผลที่ถูกยิงของเขาไม่มีโดนจุดสำคัญ สาเหตุการตายคือจมน้ำ
ไม่มีร่องรอยถูกมัด ที่เกิดเหตุเสียหายเก็บหลังฐานไม่ได้เพราะเป็นช่วงหน้าฝน
แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่ามีคนสวมรอยมาตามฆ่าซ้ำ
ถ้าเรื่องที่ชานวุคพูดเป็นเรื่องจริงคนที่ต้องรับผลกระทบจากเรื่องนี้อาจไม่ใช่แค่ตัวเขาเอง
คราวนี้ตัวประกันมีมากเกินไป
และไม่ใช่แค่เรื่องของจิตใจแต่ยังหมายถึงความปลอดภัยของคนอื่น
ทั้งที่ดิ้นรนมาตลอดแต่กลับมาสารภาพเอาซะง่ายๆ
ตอนนี้น่ะหรอ หรือถ้าชานยอลแค่จะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป
ทำใจอยู่กับมันความยุติธรรมของเขาก็ไร้ค่า ถ้าคนผิดตัวจริงยังลอยนวล...
หรือแท้จริงแล้วมันเป็นเพียงแค่เกม...
ก่อนจบเรื่องนี้ก็มีสิ่งที่ชานยอลอยากจะรู้ให้ได้ก่อน...
.
.
.
“อือ...
ลูกไม่เป็นไรแล้วแค่ยังไม่ตื่น ฉันกลับมาเอาของ”
[……………]
“แพยอนไปเมื่อเช้าแต่กลับไปแล้ว...
ค่ะ ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แบคฮยอนคงออกมาก่อน”
[……………]
“ค่ะ...”
สายโทรศัพท์ถูกวางลง
หญิงวัยกลางคนถอนลมหายใจเดินไปยืนอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือของลูกชายที่ยังมีคาบเลือดติดฝังอยู่
มือขาววางลงบนพนักเก้าอี้ยูราอยากลืมภาพติดตาที่เห็นแบคฮยอนนอนซึมอยู่บนโต๊ะไม่พูดไม่จาพร้อมกับเลือดที่ไหลนอง
ไม่คิดเลยว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะทำให้ลูกชายคิดสั้น
ถึงตอนนี้ก็ทำได้ว่าถามตัวเองว่ามีเรื่องเล็กน้อยในใจแบคฮยอนแค่ไหนกันเขาถึงได้แสดงออกมาแบบนี้
ยูราก้มลงเก็บมีดคัตเตอร์ที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นขึ้นไปเก็บในกล่อง
ด้านคมของมันยังมีคราบเลือดเกรอะกรัง เธอหันไปคว้าตุ๊กตาตัวโปรดของลูกบนเตียง
หวังว่าจะนำมันไปให้ที่โรงพยาบาลเผื่อจะช่วยให้จิตใจที่กำลังอ่อนไหวดีขึ้นได้
ไม่เคยเข้ามาในห้องแบคฮยอนเลย...
ไม่เคยรู้ว่าลูกชายพยามขนาดไหนหรือต้องเก็บความรู้สึกไว้มากแค่ไหน...
ลอยเลือดสีเข้มไหลยาวลงไปถึงลิ้นชักที่เปิดเผยออยู่
หญิงสาวคว้ากระดาษทิชชู่ออกมาก่อนจะดึงลิ้นชักออกและพบว่ามีเลือดกองเล็กๆ
ติดซึมอยู่บนกระดาษกับสมุดเล่มน้อย
เธอหยิบมันขึ้นมาหวังจะทำความสะอาดและพบว่าหน้ากลางของสมุดถูกคั่นเอาไว้ด้วยปากกา
ความลังเลเกิดขึ้นในใจผู้เป็นแม่
รู้ว่าไม่สมควรเลย แต่ก็อดที่จะอยากเข้าใจปัญหาของลูกไม่ได้...
กลิ่นฉุนของแอลกอฮอร์ลอยฟุ้ง
เปลือกตาสีอ่อนกระพริบถี่ก่อนจะลืมขึ้นภายในห้องพยาบาลหลังตื่นจากฝันที่ยาวนาน
เหลือบลงมองแขนเห็นผ้าก๊อตพันข้อมือพร้อมสายน้ำเกลือที่ถูกเจาะเข้าข้อพับ
คนตัวเล็กถอนลมหายใจจนท้องยุบมองไปรอบห้องเห็นตุ๊กตาตัวโปรดตั้งอยู่ข้างแจกันดอกไม้
ทั้งๆ
ที่ได้นอนพักยาวแต่กลับรู้สึกว่าร่างกายมันเหนื่อยล้าไปหมด
แบคฮยอนจำได้ทุกเหตุการณ์ตอนที่แม่พยุงไปขึ้นรถขับมาโรงพยาบาลแต่ตอนนั้นเขาเหนื่อยล้าจนไม่อยากแม้แต่จะลืมตา
ร่างกายมันหนักอึ้งไปหมด ทำได้แค่นอนลืมตาเหมือนศพ
เสียงเปิดประตูเรียกสายตาคนป่วยให้ต้องหันองผู้เป็นแม่ที่เดินเข้ามาพร้อมกับชายร่างสูงใหญ่และช่อดอกไม้ในมือ
แบคฮยอนพูดอะไรไม่ออก
ในใจเขามีทั้งความกังวลและความรู้สึกผิดที่ทำให้ทุกคนต้องวุ่นวายเพียงเพราะเรื่องอารมณ์ชั่ววูบ
“ตื่นแล้วหรอ”
คำทักทายแสนเรียบง่ายถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
หญิงวัยกลางคมองหน้าลูกชายก่อนจะนำดอกไม้ในมือไปเปลี่ยนใส่แจกัน
เธอไม่อยากทำให้แบคฮยอนที่เพิ่งฟื้นกดดันเกินไปด้วยชักชวนคุยเรื่องที่เกิดขึ้น
“ใครส่งมา”
“คนที่ทำงานพ่อมั้ง
เค้าฝากการ์ดไว้”
คนตัวเล็กเพียงแค่พยักหน้าไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
เขาพยายามจะมองหาโทรศัพท์แต่ก่อนจะเอ่ยอะไรคนเป็นแม่ก็พูดดักขึ้นมาซะก่อน
“แม่กลับไปเอาโทรศัพท์มาให้พอดี
แต่แบตมันหมดแม่ยังไม่ได้ชาร์จเลย” ยูราล้วงเอามือถือในกระเป๋ามาส่งให้ลูกชาย
เธอวางมือลงบนหน้าผากเจ้าตัวล็กก่อนจะขยับเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ “พ่อบอกว่าอยากมาเยี่ยมแต่อาจจะมาไม่ได้ ถ้าออกไปแล้วค่อยไปหาพ่อนะ”
ดวงตาเรียวรีหลุบลงหลบสายตาคนเป็นแม่ด้วยความรู้สึกผิด
อยากพูดขอโทษก็ทำไม่ได้ พูดไม่ได้เต็มปาก ในใจลึกๆ
แบคฮยอนยังแอบคิดว่าทำไมแค่อยากระบายความรู้สึกแล้วถึงต้องขอโทษด้วย
แค่เสียใจก็ทำไม่ได้หรอ
“วันนี้แม่จะไปเจอทนายกับพ่อที่เรือนจำ
ถ้าอยากได้อะไรก็บอกคนหน้าห้องนะ”
“ฮะ”
ยูราระบายยิ้มจางพลางใช้มือลูบปรอยผมปรกหน้าให้ลูกชาย
ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีอ่อนปกปิดความกังวลบนใบหน้า
มีหลายอย่างรบกวนความรู้สึกหญิงสาวอยู่ในใจ อยากจะพูด อยากจะถามลูกชายออกไปตรงๆ
ถึงปัญหาต่างๆ แต่กลับพูดไม่ได้ อาการอ้ำอึ้งของเด็กชายยิ่งตอกย้ำว่าแบคฮยอนยังไม่ได้ต้องการคนปลอบใจในตอนนี้
เธอลุกขึ้นหยิบที่ชาร์จแบตวางไว้บนโต๊ะก่อนจะหันหลังเดินออกไป
ทิ้งให้เด็กหนุ่มได้แต่หันมองตามแผ่นของที่หายลับออกไปจากประตู
ความรู้สึกหนักอึ้งยังคงอค้างอยู่ในอก
แบคฮยอนกดเปิดโทรศัพท์ เพียงไม่นานหน้าจอก็ขึ้นข้อความเปิดเครื่อง
อยากรู้จังว่าเขาคนนั้นจะรู้ตัวไหมหรือแค่คิดว่าไม่ติดต่อมาก็ดีแล้ว...
แบตเตอร์รี่ตรงมุมขาวบนมีเหลืออยู่นิดหน่อย
ยังไม่ทันจะได้กดอะไรแจ้งเตือนข้อความก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ
ข้อความที่รอจะได้รับมาตลอดหลายวันแต่เขากลับเพิ่งมาตอบเอาวันนี้
‘พี่เข้าไปเยี่ยมไม่ได้’
‘ฝากดอกไม้ไปให้’
ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดีที่อีกฝ่ายเพิ่งจะยอมคุยกันหลังจากเกิดเรื่อง
หยดน้ำตาร้อนผ่าวเอ่อขึ้นมาบนขอบตา อยากโทษตัวเองที่ทำอะไรโง่ๆ
แต่พอเดินชนต้นปัญหาเข้าอีกก็ไขว้เขว
ทำไมอ่อนแอแบบนี้นะแบคฮยอน
หยุดร้องไห้ไม่ได้สักทีเพราะดีแต่ทำตัวแบบนี้ไงถึงไม่มีใครไว้ใจให้ทำอะไรด้วยตัวเองเลย...
ยิ่งห้ามน้ำตากลับยิ่งไหลออกมาทว่าไม่มีแรงแม้แต่จะร้องไห้ได้แต่นอนนิ่ง
เหนื่อยทั้งกายทั้งใจ
อยากเอามันออกไปให้หมด
เสี้ยนหนามที่บ่มเพราะจนกลายเป็นหนองข้างในนี้...
เมื่อไหร่มันจะจบลงสักที
บานประตูห้องนอนสีขาวถูกปิดลง
ทันทีที่กลับมาถึงบ้านแบคฮยอนก็พุ่งเข้าห้องนอนทันทีโดยที่ไม่ได้คุยอะไรกับผู้เป็นแม่สักคำ
เด็กหนุ่มเดินไปทิ้งร่างนอนลงกับบนเตียงจ้องมองไปยังเก้าอี้ตัวเดิมและเห็นภาพตัวเองกำลังทำเรื่องเมื่อคืนก่อน
คนตัวเล็กพยายามสะบัดภาพนั้นออกจากหัว แบคฮยอนไม่อยากจดจำมัน ไม่อยากเก็บไว้ในใจ
เขาหยิบเอามือถือขึ้นมากดเข้าไปในข้อความที่พิมพ์ค้างเอาไว้
รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยแต่บนหัวก็ยังมีเมฆฝนปกคลุมอยู่ทั่ว
‘กินข้าวหรือยัง’
‘ยังไม่ได้กินเลย’
‘จะรีบนอนไหม’
คนตัวเล็กส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
กับข้อความที่แสนพิลึก
ทั้งที่พี่ชานยอลก็รู้ดีกว่าต่อให้ง่วงแค่ไหนแบคฮยอนก็รอที่จะรับโทรศัพท์เสมอ
‘โทรไปได้ไหม?’
กวาดสายตาอ่านข้อความอีกรอบอย่างอดแปลกใจไม่ได้เมื่อคราวนี้อีกฝ่ายเป็นคนชวนโทรหาเอง
ทั้งที่ปกติเขาแทบจะไม่รับโทรศัพท์ด้วยซ้ำ
ยังไม่ทันได้คิดอะไรหน้าจอก็ขึ้นมาสายเรียกเข้า
ปลายนิ้วแตะลงบนปุ่มสีเขียวก่อนที่หน้าจอจะปรากฏภาพของคนปลายสาย
วันนี้แบคฮยอนเหนื่อยจนยิ้มแทบไม่ออก
แต่ก็ยังฝืนระบายยิ้มออกมาเมื่อได้เห็นพี่ชายคนสนิทนอนพิงหัวเตียงเล่นโน้ตบุ๊กอยู่พร้อมกับวางมือถือไว้ใกล้ตัว
[เป็นไงบ้าง...]
“พี่ทำอะไรอยู่”
[ทำงาน... เหมือนเดิม]
เวลาเที่ยงคืนเศษเจ้าของห้องนอนยังอยู่หน้าจอโทรศัพท์เครื่องเดิมกับสาย
small talk น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยกับสีหน้าง่วงซึมของคนปลายสายแสดงให้เห็นชัดว่าเขาเหนื่อยแค่ไหน
ชานยอลแทบจะเอนร่างลงนอนไปกับเตียงถ้าไม่มีหมอนค้ำคอไว้
แต่ถึงจะง่วงเท่าไหร่ชายหนุ่มก็ยังไม่กดวางสาย
“ช่วงนี้ทำงานหนักหรอ”
[อื้อ... แล้วเรื่องเรียนเป็นไงบ้าง]
“ก็ดี แต่วันนี้ไม่ได้อ่านหนังสือ”
[ดีแล้วพักบ้าง... อยากกินปลาไหม]
“จะพาไปกินหรอ”
[เดี๋ยวพี่สั่งให้]
ใบหน้าของเด็กหนุ่มง้ำลงเล็กน้อยกับคำตอบที่ชวนให้ผิดหวัง
แบคฮยอนพลิกกายเข้ากอดตุ๊กตาตัวโปรดจดจ้องใบหน้าคนในโทรศัพท์มือถือ
คนที่ทำให้ทั้งรู้สึกอุ่นใจและเศร้าไปพร้อมๆ กัน
ทั้งที่อยู่ตรงหน้าแต่กลับสัมผัสไม่ได้
มันเหมือนมีบางอย่างกลั้นอยู่ตรงกลางระหว่างเรา
แต่ไม่รู้ว่านั่นคือกำแพงของใครหรือเป็นอะไรกันแน่
บางครั้งก็เหมือนถูกยื้อไว้
บางครั้งก็ถูกผลักไส...
หลายครั้งแบคฮยอนรู้สึกเหมือนพี่ชานยอลแค่พยายามรับผิดชอบความรู้สึกที่ตัวเองสร้างขึ้น
แต่เขาอาจจะไม่ได้รักหรือรู้สึกอะไรเลย และเรื่องทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่การซื้อต่อเวลาจนกว่าแบคฮยอนจะถอดใจไปเอง...
[แบคฮยอน]
“หื้อ”
[.............]
“มีอะไร”
มีเพียงเสียงถอนลมหายใจดังใส่ไมค์
คล้ายคนในสายมีบางสิ่งที่อยากจะพูดแต่ก็ไม่อยากพูดออกมา ดวงตาเรียวรีกระพริบถี่
หัวใจเริ่มสั่นไหวเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่เงียบ
“พี่...”
[คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ]
“.............”
[พี่เป็นห่วง]
"..........."
[รู้ว่ามันเห็นแก่ตัว แต่ก็อยากให้คิดถึงตัวเองมั่ง วันนึงอาจจะมีความสุขมากกว่านี้ก็ได้] เขากล่าวพร้อมกับกร่นเสียงหัวเราะในลำคอ ทว่าคำพูดนั้นกลับบีบหัวใจคนฟังจนแน่นไปหมด
มันเหมือนกับว่าคนพูดเองก็ไม่ได้มีความสุขนักและเข้าใจความรู้สึกของการมองว่าคนอื่นเห็นแก่ตัว
แบคฮยอนตายไม่ได้เพราะจะทำให้พ่อแม่เสียใจ
เขาตายไม่ได้เพราะคนอื่นจะต้องเผชิญกับความสูญเสีย
ทั้งที่ความทุกข์ใจของแบคฮยอนเองก็ไม่เคยมีคนแบ่งปันไป
มีแต่ความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น...
“อื้อ...”
[พี่คงเสียใจ]
"............."
[ช่วงนี้พี่อาจจะไม่ได้ติดต่อมาบ่อยๆ
ดูแลตัวเองได้ไหม]
“พี่จะไปไหนอีก”
[แค่รับปากก็พอ]
“พี่ไม่ได้จะไปทำอะไรอันตรายใช่ไหม” เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงตีบตัน
ก้อนน้ำตาเคลื่อนมาจุกคาอยู่ที่คอ ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะเบาๆ
จากปลายสายที่ไม่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลย
[งานตำรวจก็อันตรายทั้งนั้น
ตกลงดูแลตัวเองได้ไหม]
“อื้อ...แล้วจะติดต่อมาไหม”
[อือ... แค่นี้ก็ร้อง ขี้แยจัง]
คนตัวเล็กไม่ได้โต้ตอบอะไร เอาแต่นอนสูดน้ำมูกจ้องมองคนในมือถือแม้หยดน้ำตาจะพร่าเลือนภาพทุกอย่างเบลอไปหมด
ทั้งที่อยู่แค่ตรงหน้าทว่ากลับสัมผัสไม่ได้
ถูกผลักออกไปไกลแค่ไหนเพียงแค่เขากลับมาหาแบคฮยอนก็พร้อมกลับมายืนอยู่ที่เดิม
มองกำแพงที่ไม่รู้จะข้ามไปยังไง ตีอกชกตัวด้วยความเสียใจ ถูกผลักไส วนลูปไปไม่มีสิ้นสุด
[แบคฮยอน]
“อือ...”
[สัญญาได้ไหม]
“อื้อ...”
มีเพียงความเงียบกับเสียงสูดลมหายใจเบาๆ
น้ำตาหยดเล็กไหลซึมลงที่นอน
แบคฮยอนตกลงกับตัวเองว่าเขาจะร้องไห้บ่อยเท่าที่อยากร้องแต่จะไม่ทำร้ายตัวเองอีก
และจะไม่คิดอะไรโง่ๆ
จนกว่าจะสอบเสร็จอย่างน้อยก็อยากทำสิ่งที่พยายามทำค้างไว้ให้เสร็จซะก่อน
ยกหลังมือขึ้นเช็ดใบหน้า สูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดเรียกความเชื่อมั่นให้ตัวเอง
กว่าจะตั้งสติได้เสียงจากปลายสายก็เงียบลงไปแล้ว และภาพที่เห็นในจอก็ทำคนขี้แยเผลอยิ้มออกมาทั้งที่น้ำตาเปียกชุ่ม
เมื่อพี่ชายที่แสนเหนื่อยล้านอนหลับไปคามือถือทั้งที่โน้ตบุ๊กก็ยังเปิดและวางอยู่บนอก
สีหน้ายามหลับใหลของเขาดูไม่ต่างจากคนทั่วไป
บางครั้งมันคงยากที่จะทำอะไรตามใจทั้งที่มีความรับผิดชอบอยู่เบื้องหลัง
แบคฮยอนเองก็เข้าใจดี
จะเป็นอย่างนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่นะ...
.
.
.
วันเวลาหมุนเดินไปจากวันสู่เดือน ก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิตไปไม่ทันไรก็เข้าใกล้ช่วงสำคัญเข้าไปทุกที พรุ่งนี้แบคฮยอนต้องไปสอบคัดเลือกเข้ามหาลัยแล้ว
แม้ว่าการเตรียมตัวอย่างหนักตลอดชั้นมัธยมจะช่วยแบ่งเบาภาระไปได้มากแต่ก็ถึงกับวางใจได้
วันสุดท้ายก่อนสอบแบคฮยอนเลยเลือกที่เก็บของแล้วลงมานั่งดูทีวีให้ผ่อนคลาย
ข่าววันนี้ยังน่าเบื่อเหมือนเดิม
เรื่องการอุทธรณ์คดีของพ่อยังไม่มีการคืบหน้า แบคฮยอนแทบไม่รู้อะไรเลยเพราะวันๆ
เอาแต่เรียนแล้วก็กลับมาอ่านหนังสือที่บ้าน
พี่ชานยอลเองก็ไม่ค่อยได้ติดต่อมาอย่างที่บอกไว้จริงๆ
จนแทบจะนึกว่าเขาถูกอุ้มลักพาตัวไปแล้ว
“พรุ่งจะสอบแล้ว กังวลหรือเปล่า”
เสียงผู้เป็นแม่เรียกเด็กหนุ่มให้ละสายตาออกจากจอโทรทัศน์
แบคฮยอนห่อไหล่ไถลตัวจมไปกับพนักโซฟาพลางถอนลมหายใจเฮือกใหญ่
“นิดหน่อย”
“เตรียมตัวหนักมาทั้งปี
คงต้องได้บ้างละเนอะ” หญิงวัยกลางคนกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ
ถ้าการสอบของแบคฮยอนผ่านไปด้วยดีก็คงทำให้พ่อที่ยังต่อสู้เรื่องคดีหายห่วงไปได้บ้าง
“แม่
เรื่องที่บอกว่าขออยู่หอว่าไงบ้าง” เมื่อได้โอกาสคนตัวเล็กก็เอ่ยถามถึงเรื่องที่ตนเคยบอกไป
นัยน์ตาสีอ่อนช้อนขึ้นสบมองคนตรงหน้า พอเห็นอีกฝ่ายเงียบพลางถอนหายใจแบคฮยอนก็เริ่มทำใจกับคำตอบ
“แม่คุยกับพ่อแล้ว รอให้พ่อจัดการอยู่
แต่ตอนนี้พ่อก็ยุ่งๆ”
คำตอบที่ได้รับพร้อมสีหน้าเหนื่อยหน่ายคงเป็นการตอบกลายๆ
ว่าคงไม่ได้และห้ามรบเร้าอีกซึ่งแบคฮยอนก็ชินกับมัน
เขาเพียงแค่พยักหน้ายกขาขึ้นมานั่งกอดเข่าบนโซฟา
เอาไว้เรื่องคดีเริ่มผ่อนขึ้นค่อยลองขอดูอีกทีก็ได้
“แต่จริงๆ
แม่ก็อยากให้แบคฮยอนยู่กับแม่นะ ตอนนี้พี่เค้าก็ไม่ค่อยอยู่บ้านแล้ว”
“เค้ามีแฟนใหม่แล้วหรอ”
“อื้อ เห็นว่าอย่างนั้น”
“คราวนี้จะมาจับใครอีก”
พูดออกไปไม่ขาดคำยูราก็หลุดหัวเราะออกมา
แม้แต่คนพูดเองก็อดขำไม่ได้
แฟนใหม่ของแพยอนคราวนี้แบคฮยอนหวังว่าจะไม่เป็นตำรวจลับเข้ามาสืบจับอะไรอีก
“ก็หวังว่าคงไม่ใช่อย่างงั้น”
“แม่เคยคิดถึงพี่ชานยอลมั่งไหม
ตอนที่เค้ามาอยู่กับเรา” ดวงตาสีอ่อนสลดลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องเศร้าที่ไม่มีใครอยากรื้อฟื้น
แต่แม้มันจะเป็นอดีตที่ขมขื่นแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนที่ครอบครัวมีเขาคนนั้นทุกคนมีความสุขมาก
“ทำไมถามอย่างงั้น”
“ก็เค้าแค่อยากรู้” แบคฮยอนเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่คิดถึงช่วงเวลาตอนนั้น
มีแค่เขาหรือเปล่าที่คิดถึงคนที่ทำลายครอบครัว
“อือ... บางทีแม่ก็คิดถึงชานยอลนะ” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับจ้องมองลูกชาย
รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ใครกันจะลืมได้ ถึงแม้ว่าสิ่งที่ชานยอลได้ทำมันแสนใจร้ายแต่ส่วนดีๆ
ที่ชายหนุ่มยังทิ้งไว้ก็ไม่อาจลบออกไปจากใจ
“แม่โกรธพี่ชานยอลไหม”
“โกรธสิ โกรธมากเลย”
“...........”
“แต่แม่ก็โกรธพ่อเหมือนกัน”
เด็กชายใบหน้าจ๋อยสนิทเมื่อได้เห็นสีหน้าผิดหวังของผู้เป็นแม่
แบคฮยอนเคยคิดมาตลอดว่าแม่เป็นผู้หญิงที่ดีมาก
ไม่เคยยุ่งกับงานการเมืองของพ่อเลยกระทั่งย้ายออกมาทำบริษัทเองแล้วก็ตาม
แบคฮยอนเคยจินตนาการว่าถ้าเขาเป็นพี่ชานยอลจะทำยังไง มันคงรู้สึกไม่ต่างกัน
ถ้าเกิดแม่รู้ว่าแบคฮยอนยังติดต่อกับคนที่ทำลายครอบครัวจะผิดหวังไหมนะ
ถ้าแพยอนรู้ว่าน้องชายแอบหลงรักอดีตคนรักของตัวเองจะเกลียดแบคฮยอนไหม
แล้วพ่อล่ะ...
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้มันผิดไหมถ้าพี่ชานยอลไม่ได้คิดอะไรกับแพยอนตั้งแต่ทีแรก
แล้วตอนนี้เรื่องของเรามันอยู่ในสถานะไหนกัน...
การสอบที่แสนตึงเครียดดำเนินไปต่อเนื่องจากเช้าถึงเย็น
สนามสอบกลางเมืองเต็มไปด้วยนักเรียนมัธยมปลาย บางคนยังนั่งเครียดอยู่ข้างถนน
บ้างดูโล่งใจ บ้างกดดัน ดวงตาเรียวหรีหยีลงหลบแดด
มองนาฬิกาที่บอกเวลาหกโมงแล้ว
เด็กหนุ่มร่างเล็กยืนรอรถอยู่ตรงป้ายประจำทาง ขณะที่ในหัวยังเอาแต่คิดทบทวนข้อสอบที่ทำไปไม่หยุดเผื่อว่าจะพลาดตรงไหน
จมอยู่กับตัวเองไม่นานรถบัสคันใหญ่ก็ขับมาจอดอยู่ด้านหน้า
แบคฮยอนรีบหลบอากาศร้อนขึ้นไปและเลือกที่นั่งหลังสุดเพื่อที่จะได้มีสมาธิทบทวนข้อสอบ
เขาหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมกดส่งข้อความหาพี่ชายคนโปรด
ก่อนจะพบว่าข้อความที่ส่งไปก่อนหน้ายังไม่ถูกอ่าน สุดท้ายก็ได้แต่ถอนลมหายใจออกมา
คำสัญญาลืมไปแล้วหรือเปล่านะ...
หูฟังสีขาวถูกยัดเข้าใส่หู
แบคฮยอนเอนหลังลงกับพนักพิง สายตาเหม่อมองไปยังจอ TV ขนาดเล็กที่ฉายข่าวภาคเย็นแบบไม่มีเสียงตั้งแต่เรื่องการสอบ
ไปจนถึงการเลือกตั้ง
ขณะที่กำลังให้ความสนใจกับเสียงเพลง
ภาพการรายงานข่าวที่ขึ้นรูปของผู้เป็นพ่อก็ดึงความสนใจของเด็กหนุ่มไป
คนตัวเล็กรีบเข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อหาข่าววันนี้ทันที
‘มาติดตามคดีใหญ่วันนี้นะคะ
เรื่องความเกี่ยวพันของนักการเมืองกับคดีฆาตกรรมนายตำรวจเมื่อหลายปีก่อน
หลังจากล่าสุดที่มีข่าวลือออกมาว่ามีการออกหมายเรียกอดีตสส. มุน แจอินเข้ามาสอบสวน
วันนี้ก็มีการออกหมายจับเรื่องคดีสั่งฆ่าร้อยตำรวจเอก พัค อินซอง แล้ว
เนื่องจากมีหลักฐานพยานแน่นหนาพอและไม่ให้มีการยื่นประกันตัว เป็นคดีฆาตกรรมสวมรอย
ส่วนรายละเอียดต่างๆ ยังไม่มีรายงานออกมาค่ะ
กลายเป็นคนที่สั่งฆ่าจริงๆ
เนี่ยคืออดีตสส.
ส่วนอดีตที่ปรึกษาชานวุคที่ถูกจับไปก่อนหน้านั้นก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการขอยื่นอุทธรณ์คดีอยู่
แต่ยังไม่มีรายละเอียดของคดีออกมา
ทางทีมข่าวจะรายงานต่อไปหากมีความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมนะคะ
เดี๋ยวเราจะขอย้อนไปที่คดีที่ร้อยตำรวจเอกถูกสังหารสักครู่....
เมื่อปี 2008
เป็นข่าวดังอยู่พักใหญ่นะคะ หลังจากมีการพบศพเจ้าหน้าที่ลอยขึ้นมาติดฝั่งแม่น้ำ
หลังจากตรวจสอบพบว่าถูกยิงก่อนจะจมน้ำเสียชีวิต
แต่เนื่องจากบริเวณที่เกิดเหตุตอนนั้นเสียหายค่อนข้างมากจากพายุฝน
แล้วก็ชะล้างที่เกิดเหตุเลยเก็บหลักฐานลำบาก
การสืบสวนในตอนนั้นก็มีการสอบกันยกใหญ่แต่ก็ยังหาตัวคนผิดไม่ได้จนศาลต้องสั่งพักการสืบคดีไปนะคะ...
ส่วนอดีตสส. มุน แจอิน จะมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรต้องติดตามต่อค่ะ’
แบคฮยอนแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
เขารีบกดออกจากหน้าวิดีโอแล้วกดโทรหาผู้เป็นแม่ทันที
เสียงสัญญาณรอสายดังอยู่ไม่นานก็ตัดไปเพราะไม่มีคนรับ คนตัวเล็กจึงต่อสายหาพี่สาว
คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความวิตกกังวลขณะที่รอให้อีกฝ่ายรับ
แต่ก็ต้องหงุดหงิดเมื่อแพยอนก็ไม่สามารถติดต่อได้เหมือนกัน
นี่มันเรื่องอะไรอีกแล้ว....
แบคฮยอนกลับมือถึงบ้านด้วยความรีบร้อน
เขาเห็นผู้เป็นแม่ยืนหน้าเครียดอยู่หน้าทีวีที่กำลังรายงานข่าวภาคค่ำ
คนตัวเล็กรีบถอดกระเป๋าโยนลงบนพื้น วิ่งไปนั่งหน้าจอ TV ทันทีเพื่อจะได้ทันดูข่าวแต่น่าเสียดายที่มันจบซะแล้ว
“พ่อมีอะไรหรอแม่”
“แม่ไม่รู้เหมือนกัน” หญิงสาวส่ายหน้าไปมาสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างจากลูกชาย
เธอเองก็รู้ข่าวคราวไม่ต่างจากคนนอกเพราะคนที่จัดการคดีมีแต่คนรู้จักของสามีทั้งนั้น
“วันนี้แม่ไปขอเยี่ยมเค้าให้เยี่ยมไม่ได้
ขอพบใครก็ยุ่งกันไปหมด ไม่รู้อะไรเป็นอะไรเลย”
“พี่รู้ข่าวหรือยัง”
“อือ รู้แล้ว กำลังติดต่อกันอยู่
ทำไมแม่ไม่รู้อะไรเลยนะ” ยูรานั่งลงบนโซฟาพลางถอนลมหายใจเฮือกใหญ่
เธอเองก็เป็นห่วงครอบครัวไม่แพ้กันแต่ก็ยังถูกกันออกจากเรื่องการสืบสวนคดีอยู่เนื่องๆ
สุดท้ายก็รู้ข่าวพร้อมคนอื่นตอนขึ้นศาลทุกที
“วันไหนเราจะได้เยี่ยมพ่อ”
“รอดูก่อน อาจจะพรุ่งนี้ จะไปด้วยไหม”
เด็กหนุ่มพยักหน้าทันทีแบบไม่ต้องคิด
ความรู้สึกคุ้นๆ เดิมๆ เริ่มกลับมาอีกครั้งคล้ายๆ ว่าจะเคยเจอสถานการณ์นี้มาก่อน
แบคฮยอนล้วงมือถือขึ้นมากดส่งข้อความหาพี่ชายคนสนิททันทีก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าแล้วรีบวิ่งขึ้นห้องไป
ในใจยังแอบคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับพี่ชานยอลหรือเปล่า
เขาตั้งใจจะทำอะไรอีก ทำลายหรือช่วยเหลือกันแน่ แบคฮยอนมีแต่ความสับสนเต็มไปหมด
.
.
.
เวลาสิบเอ็ดโมงแบคฮยอนกับแม่ขับรถที่เรือนจำแต่เช้า
รถคันสีขาวเข้าจอดประจำที่ นี่เป็นครั้งแรกที่แบคฮยอนเคยมาคุก
บรรยากาศรอบนอกดูหดหู่พิลึก การตรวจตราที่เข้มข้นยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัดเข้าไปใหญ่
พวกเขาต้องวางทุกอย่างไว้ข้างนอกแล้วเข้าไปนั่งรอด้านใน สองมือของเด็กหนุ่มกุมกันด้วยความประหม่าจนผู้เป็นแม่ต้องเอื้อมมือมาจับไว้
“พี่จะมาหรือยัง”
“เดี๋ยวก็คงมา”
พูดยังไม่ทันขาดคำหญิงสาวในชุดสีขาวเดินเข้ามาพร้อมกับแฟนหนุ่มคนใหม่
แพยอนสวมแว่นดำชุดขาวแต่งกายเหมือนมาไว้อาลัย
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอไม่เคยติดต่อพ่อเลยและน้อยครั้งที่จะช่วยอำนวยความสะดวกครอบครัวเรื่องคดี
ทันทีที่หญิงสาวเข้ามาถึงบรรยากาศในห้องรอเยี่ยมก็อึมครึมไปด้วยมวลความรู้สึกบางอย่าง
ลูกเขยคนใหม่ของบ้านยิ้มทักทายครอบครัวของแฟนสาว
แต่สีหน้าของแพยอนดูไม่ค่อยมีความสุขนัก
ซึ่งนั่นก็ไม่น่าแปลกเพราะแพยอนโทษพ่อมาตลอดที่ทำให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
“แม่จะเข้าไปคุยกับพ่อก่อนนะ
แล้วที่เหลือค่อยไป”
“หนูรีบไปทำธุระต่อนะ”
“อื้อ แม่ไปไม่นานหรอก”
กริ๊ง...
เสียงเปิดประตูเรียกสายตาของครอบครัวให้ต้องหันไปมองผู้มาเยือนคนใหม่
แล้วก็ราวกับมีคลื่นอากาศลูกใหญ่ก่อตัวขึ้นเมื่อคนที่มาปรากฏตัวเป็นนายตำรวจหนุ่มที่แสนคุ้นหน้า
ชานยอลที่เดินถือแฟ้มเข้ามาหยุดชะงักเท้าเมื่อเห็นทั้งอดีตแฟนสาวและครอบครัวยืนอยู่กันครบหน้า
บรรยากาศภายในห้องยิ่งอึมครึมหนัก
จะก้าวขาออกก็ไม่ได้ สุดท้ายชายหนุ่มก็ตัดสินใจเดินผ่านสายตาที่จ้องเขม็งมา เข้าไปนั่งตรงที่นั่งด้านในสุดให้ห่างจากครอบครัวที่เขาคุ้นเคยโดยไม่ได้ปริปากพูดอะไร
พวกเขาไม่มองหน้ากันกระทั่งผู้เป็นแม่เดินหายเข้าไปในห้องเยี่ยมญาติ
แพยอนนั่งเงียบเหมือนพยายามเก็บสีหน้าและอารมณ์โดยมีแฟนหนุ่มคนใหม่คอยจับมืออยู่ใกล้ๆ
แม้แต่แบคฮยอนเองก็ยังไม่กล้าเอ่ยทักต้องทำเป็นไม่รู้จักกันไป
เป็นสถานการณ์ที่ตลกพิลึก
คงจะมีเพียงแบคฮยอนที่ดีใจที่ได้เจอพี่ชานยอลที่นี่
มาทำอะไรนะ ไม่ได้สืบคดีอยู่หรอ
หรือว่านี่คือคดีที่พี่ชานยอลกำลังทำอยู่...
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วตั้งแต่ที่แม่กับพี่สาวเข้าไปหาพ่อ
แบคฮยอนยังต้องนั่งรอเป็นคนสุดท้ายที่จะได้เข้าเยี่ยม
และผู้ชายคนนั้นก็ยังนั่งเงียบๆ อยู่ที่มุมเดิมพร้อมกับแฟ้มคดีในมือ
“แบคฮยอน”
บานประตูถูกเปิดพร้อมกับเสียงเรียกของพี่สาว
เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูด้วยความประหม่า
สภาพห้องที่มีกรงขังกับพ่อในชุดนักโทษทำคนตัวเล็กรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย
แบคฮยอนเดินไปนั่งตรงเก้าอี้พร้อมกับหยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมา
[เป็นไง ไปสอบมาแล้วใช่ไหม]
“ฮะ ก็ดี” การสนทนาผ่านกระจกที่เปรียบเสมือนลูกกรงยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัด
ก่อนหน้านั้นแบคฮยอนเองก็ไม่ได้สนิทกับกับพ่อนัก
พอต้องมาเล่นบทนี้กันก็ยิ่งประหลาดใหญ่
[ทำได้ใช่ไหม]
"ส่วนใหญ่ก็พอทำได้..."
[แม่บอกจะขอย้ายไปอยู่หอหรอ]
“แค่ลองขอดู....”
[จะเข้ามหาลัยไหนก็บอกพ่อ
พ่อจะได้ให้คนหาที่ใกล้ๆ ให้]
คำพูดที่ได้ยินราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง
แบคฮยอนถึงกับอึ้งจะดีใจก็ดีใจไม่ออก
น้ำเสียงของพ่อที่มักจะเรียบนิ่งอยู่เสมอดูอ่อนลงกว่าเคย เกิดอะไรขึ้นกัน
“พ่อให้ไปหรอ”
[อือ แต่ก็ต้องดูแลตัวเองให้ได้นะ]
พอได้ยินคำนี้ความรู้สึกสองจิตสองใจก็เริ่มเล่นงาน
มันก็จริงที่ว่าแบคฮยอนอยากออกไปใช้ชีวิตอิสระข้างนอก
แต่พอนึกถึงแม่ที่ต้องอยู่คนเดียวแล้วก็ไม่อยากจะไปขึ้นมา
กลายเป็นว่าตัวเขาเริ่มลังเลซะเอง
“แล้วแม่ล่ะ”
[แม่ไม่เป็นไรหรอก กลับบ้านบ่อยๆ
เค้าก็ดีใจแล้ว]
“แล้วพ่อจะได้ออกไปเมื่อไหร่”
[ก็พยายามอยู่ มีคนช่วยหลายคน อย่างเร็วๆ
อาจจะไม่กี่ปี]
“พ่อจะไปงานรับปริญญาได้ไหม”
[ก็อยากไปถ้าไปได้
คิดหรือยังว่าอยากเรียนคณะไหน]
“กำลังดูๆ อยู่ แต่อยากเข้านิติฯ”
[อือ... ดีแล้ว อยากเรียนอะไรก็เรียน
แล้วแกมีแฟนหรือยัง]
“...... จะมีได้ไง...” คำถามที่ไม่ได้เตรียมตัวมาทำคนตัวเล็กถึงกับออกอาการ
หัวใจกระตุกวาบ
ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้เป็นพ่อรอดผ่านสายโทรศัพ์ก่อนที่เขาจะพูดต่อ
[เอาเถอะ โตแล้ว
เลือกทางของตัวเองได้แล้ว]
คำพูดประหลาดและสายตาของพ่อที่เอ่ยออกมาในวันที่ไม่สามารถสัมผัสถึงกันได้ทำหัวใจดวงเล็กเริ่มแกว่ง
แบคฮยอนกำลังสับสนกับท่าทีที่เขาไม่เคยได้รับ
หมายความว่ายังไงให้เลือกทางเดินของตัวเอง
นี่คือสิ่งที่แบคฮยอนกำลังรออยู่หรือเปล่า... การได้รับความไว้วางใจ อิสระในการเลือกเส้นทางของตัวเอง...
พ่อกำลังบอกแบบนั้นหรือเปล่า
“อื้อ”
[เลือกทำสิ่งที่ตัวเองมีความสุขนะ
พ่อจะรอดู...]
".............."
อยู่ๆ
ก็รู้สึกเหมือนน้ำตาจะลื่นขึ้นมาที่ขอบตา
นี่เป็นครั้งแรกที่แบคฮยอนรู้สึกอยากจะยิ้มที่สุด
เหมือนพันธนาการบางอย่างในใจมันปลดล็อคออกไปอีกขั้นจากเรื่องหนักๆ ทั้งหลาย
รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกจากใจจริงระบายขึ้นจางๆ บนใบหน้าจิ้มลิ้ม
แม้ก่อนหน้านี้จะไม่ค่อยสนิทกันและไม่มีเรื่องให้พูดกันมากนัก
แต่นี่เป็นประโยคสนทนาสั้นๆ ที่แบคฮยอนอยากได้ยินที่สุด
นี่เป็นสัญญาของสิ่งที่กำลังจะดีขึ้นหรือเปล่า...
ใช้เวลาแค่ไม่นานแบคฮยอนก็เดินออกมาจากห้องเยี่ยมด้วยความรู้สึกเบาอกเบาใจ
เขาหันไปมองพี่ชายที่นั่งอยู่มุมห้องมานานเดินสวนเข้าไปโดยที่ไม่ได้กล่าวทักทายอะไร
คงจะมาคุยเรื่องคดีเหมือนกัน
“พี่กลับไปแล้วหรอ”
“อือ ไปตั้งแต่ออกมาแล้ว”
“เค้าขออยู่ที่นี่อีกแป้บนึงได้ไหม”
คนเป็นแม่นิ่วคิ้วกำลังจะอ้าปากถามแต่ก็คิดได้ว่ามีเหตุผลอะไรที่ทำให้ลูกชายอยากจะอยู่ต่อ
เธอจึงทำเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ “งั้นขึ้นรถกลับดีๆ นะ”
ยูรากล่าวพร้อมรอยยิ้มก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไปทั้งในใจจะรู้สึกตะขิดตะขวง ...เรื่องความผิดพลาดทั้งหมดนี้
มันเริ่มที่ใครกันแล้วจะอยู่กับมันไปถึงเมื่อไหร่
ตอนนี้คงต้องเลือกแล้วว่าจะยึดปมไว้หรือปล่อยให้มันคลายไปในหนทางของมัน...
“ตามข้อตกลงของเรา
คดีทุจริตจะไม่ขึ้นศาลส่วนเรื่องให้การเป็นประโยชน์ศาลจะพิจารณาลดโทษอีกที
ก็รอฟังคำตัดสินอาทิตหน้า”
[หึ... ฉันอยากรู้จริงๆ
แกไปทำยังไงถึงไปขุดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาได้]
“มันเป็นหน้าที่ของตำรวจ
แต่ผมยังไม่ลืมว่าคุณทำอะไร”
นายตำรวจหนุ่มจ้องมองนักโทษชายที่เป็นต้นเหตุให้พี่ชายของตนถูกสวมรอยฆาตกรรมจนถึงแก่ความตาย
ถึงจะให้อภัยแต่ไม่ลืม... และทั้งหมดนี้ชานยอลก็ทำไปเพื่อล้างความผิดที่เขาทำต่อคนอื่นในครอบครัวของชานวุค
[ฉันก็ทำตามสัญญา]
"ดี"
[นี่ชานยอล]
".........."
[ฉันขอโทษพี่แกด้วย...]
ก่อนจะวางสายคำพูดสุดท้ายที่คิดว่าจะไม่ได้ยินจากชายมากเล่ห์คนนี้ถูกเอ่ยออกมา
ชานยอลวางหูโทรศัพท์
ลุกขึ้นแล้วหันหลังเดินจากไปปล่อยให้ชานวุคได้ใช้เวลาสำนึกตัวเองกับสิ่งที่ได้ทำหลังลูกกรง
คำว่า ‘ขอโทษ’ จากคนที่เป็นต้นเหตุพรากชีวิตพี่ชายของเขาไปยังดังวนอยู่ในหัว
บานประตูห้องเยี่ยมถูกปิดลง
ชายหนุ่มชะงักเมื่อเห็นคนที่คิดว่าควรจะกลับไปแล้วยังนั่งอยู่
เจ้าของนัยน์ตาสีอ่อนช้อนสายตามองมาเหมือนลูกหมา
ใบหน้าที่ชานยอลอยากจะเห็นมันในช่วงเวลาที่สบายใจมากที่สุด
“ทำไมยังไม่กลับอีก” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมกับเท้าที่ก้าวไปประจันอยู่ด้านหน้า
จนรองเท้าผ้าใบของเจ้าตัวเล็กเตะโดนหน้าขา
“ก็อยากเจอพี่”
คำตอบที่แสนตรงไปตรงมากับแววตาใสซื่อเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ
จากชายหนุ่ม มือหนาวางลงบนศีรษะทุยเหมือนอย่างที่ชอบทำ
สัมผัสนุ่มลื่นของเส้นผมที่ชานยอลรัก
“หัวเราะทำไม”
“เปล่า”
ดวงตาเรียวรีจดจ้องรอยยิ้มที่แสนคิดถึงบนใบหน้าของพี่ชายคนเดิมที่แบคฮยอนอยากจะเห็นมาตลอด
รอยยิ้มที่ทำให้เขามีกำลังใจที่จะทำอย่างอื่น
ความอบอุ่นจากแววตาที่เคยได้รับอยู่เสมอ
“ตอนนี้มันจบหรือยัง”
“อื้อ จบแล้ว...”
คำพูดแสนเรียบง่ายที่ถูกเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มสบายๆ คำแสนสั้นที่แบคฮยอนอยากจะได้ยินที่สุด คนตัวเล็กพิงหน้าผากซบลงหน้าท้องพี่ชายตรงหน้าพร้อมกับตวัดแขนกอดรอบเอวไว้แน่น มีเพียงฝ่ามืออบอุ่นลูบสางเบาๆ บนเส้นผม ความสุขหลั่งใหลเข้าสู่หัวใจที่เหือดแห้งอีกครั้ง ไม่มีการผลักไสอีกต่อไป
มันจบแล้ว...
ความคิดเห็น