คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : brother in law 5
กระเป๋าเป้สีดำถูกโยนลงพื้นก่อนที่เจ้าของบ้านจะทิ้งกายลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้า
ดวงตากลมโตหลับลงหลังจากที่ต้องเดินหน้าสะสางเรื่องราวมากมายมาตลอดทั้งวัน
มันจบลงหรือยังนะ... มือหนาล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คข้อความต่างๆ
ปัดเลื่อนลงไปจนถึงบทสนทนาสุดท้ายที่ถูกส่งมาค้างไว้ตั้งแต่หลายสัปดาห์ก่อน
ข้อความจากอดีตน้องชายคนรักที่ชานยอลไม่เคยเปิดเข้าไปอ่าน
เขาตัดสินใจกดเข้าไปอ่านข้อความนั้น
จ้องมองทุกตัวอักษรก่อนที่ปลายนิ้วจะเลื่อนขึ้นไปมุมขวา...
และกดลบบทสนทนาทั้งหมด...
พอสักทีกับการทำร้ายคนที่ไม่เกี่ยวข้องเพื่อเป้าหมายของตนเอง
และความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้น
ดึงเอาคนบริสุทธ์เข้ามาย่ำยีทำร้ายไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ
ถึงตอนนี้ก็ยังเอาแต่นึกถึงใบหน้าและสายตาของเด็กหนุ่มที่มักจ้องมองเขาด้วยแววตาโดดเดี่ยว
ไม่กล้าแม้แต่จะกลับไปเพื่ออธิบายอะไรหรือพูดขอโทษ
ชานยอลสมควรที่จะหายไปจากชีวิตของแบคฮยอนเหมือนไม่เคยมีอยู่
เพราะไม่ว่าทำอะไรก็ดีแต่จะทำให้คนตัวเล็กเจ็บปวดทั้งนั้น
มีแต่ความเห็นแก่ตัวและความเลินเล่อ
ไม่อาจแม้แต่จะพูดขอโทษเพราะรู้ว่าไม่สามารถชดใช้ความรู้สึกเหล่านั้นได้
ถึงจะอยากรักแค่ไหนแต่ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นในที่ทางที่ไม่ถูกควรก็คงไม่สามารถดำเนินต่อได้
ทั้งที่ควรจะรู้สึกโล่งใจ
แต่ข้างในอกลับหนักอึ้งไปหมด...
ภายในห้องโรงแรมหรูเสียงตะโกนของหญิงสาวดังไม่หยุด
กล่องทิชชู่ถูกเขวี้ยงใส่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ปลายเตียง
แพยอนเอาแต่ตะคอกเสียงแหลมด้วยความไม่พอใจเมื่อแฟนหนุ่มยืนยันว่าจะกินข้าวที่โรงแรม
แต่เธอต้องการออกไปกินข้างนอกและถกเถียงกันจนกลายเป็นเรื่องทะเลาะใหญ่โตเพราะความเจ้าอารมณ์ของหญิงสาว
“พูดออกมาแต่แรกก็จบแล้วว่าจะออกไปกินข้างนอก!” กำปั้นเล็กกระหน่ำทุบใส่ว่าที่คู่หมั้นไม่หยุดจนคนตัวสูงต้องคว้าแขวนอีกฝ่ายไว้
แต่แพยอนก็ยังเอาแต่ยื้อยุดไม่หยุด
“พอได้แล้ว! ก็คุยกันรู้เรื่องแล้ว!”
“ปล่อย!!” ร่างเล็กกรีดร้องเสียงแหลม
ยิ่งถูกจับแพยอนก็ยิ่งอาละวาด
เธอผลักแฟนหนุ่มออกฟาดมือตบลงบนใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความโมโห
ฝากรอยเล็บไว้บนข้างแก้มก่อนจะคว้าแก้วน้ำสาดซ้ำไปบนหน้าเขา
นายตำรวจหนุ่มกัดฟันแน่น
สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างพยายามข่มอารมณ์ ชานยอลตัดสินใจเดินไปหยิบกุญแจรถและเสื้อแจ๊คเก็ตเดินออกจากห้องไปทันทีโดยไม่สนใจเสียงตะคอกเบื้องหลัง
เหนื่อยใจเหลือทนกับนิสัยโมโหแล้วชอบอาละวาด
เรื่องเล็กน้อยก็หงุดหงิดใส่อารมณ์จนกลายเป็นเรื่องใหญ่
ชานยอลได้แต่บอกให้ตัวเองอดทน
สองเท้าก้าวเข้าไปในลิฟท์กดชั้นจอดรถก่อนจะหยิบเอามือถือขึ้นมาเปิดอ่านข้อความล่าสุดที่ถูกส่งมาโดยน้องชายของคนรัก
‘พี่อย่าลืมซื้อมาให้เค้านะ’
‘ส่งรูปภาพ’
แมวเหมียวหน้าตาทะเล้นในจอมือถือช่วยสงบจิตใจที่กำลังกราดเกรี้ยวลง
ชานยอลเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าและคิดว่าจะไปขับรถเล่น
ขาของที่แบคฮยอนฝากซื้อเพื่อสงบอารมณ์อย่างน้อยก็จนกว่าแฟนสาวจะใจเย็นลง ---
“พี่ ถ้าสอบได้ที่หนึ่งเทอมนี้เค้าขอของขวัญได้หรือเปล่า”
“จะเอาอะไร”
“ยังไม่ออกดีกว่า เดี๋ยวพี่ไม่ให้”
รอยยิ้มกับสายตาเจ้าเล่ห์บนใบหน้าจิ้มลิ้มเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ
จากเด็กหนุ่ม
ชานยอลใช้สันหนังสือเขกหัวเจ้าตัวเล็กด้วยความหมั่นเขี้ยวก่อนจะทิ้งตัวนั่งบนโซฟา
ศีรษะทุยพิงซบลงบนไหล่หนา แบคฮยอนกระพริบตาปริบๆ มองดูหน้าหนังสือที่พี่เขยอ่านก่อนจะต้องยิ้มออกมาเมื่อฝ่ามือของอีกฝ่ายยีลงบนเส้นผม
---
เสียงร้องควรครางและนัยน์ตาที่พราวไปด้วยหยาดน้ำภายใต้แสงไฟสีนวล
เมื่อร่างเล็กๆ ถูกรังแกด้วยความร้ายกาจจากท่อนเนื้อ เนื้อตัวมีแต่รอยบีบเค้น
ใบหน้าสุมสมระคนทรมานเบื้องหน้า ความอบอุ่นแนบชิดทุกสัดส่วนของร่างกาย
ทั้งรอยยิ้มและสายตาที่มองมาด้วยโศกเศร้า
เสียงกรีดร้อง รอยข่วนบนร่างกาย
ค่ำพูดทำร้ายน้ำใจหรือแม้แต่เสียงหัวเราะในวันที่มีความสุขร่วมกัน...
ดวงตากลมโตลืมโพลงขึ้นท่ามกลางความมืด
นายตำรวจหนุ่มหยัดกายนั่งบนเตียงยกมือขึ้นลูบใบหน้าพลางถอนลมหายใจเฮือกใหญ่
มือหนาเอื้อมไปเปิดไฟหัวเตียงก่อนจะเปิดลิ้นชักหยิบยานอนหลับในกระปุกขึ้นมาตบเข้าปาก
เมื่อภาพเหตุการณ์ที่ยังฝังติดอยู่ในความทรงจำตลอดหลายเดือนที่ผ่านมายังคงตามาหลอกหลอนเหมือนฝันร้าย
รู้ว่าสิ่งตัวเองทำมันยากที่จะลืม
ทั้งความกดดันหรือแม้แต่หัวใจที่เผลอไผลไป
คนตัวสูงลุกขึ้นจากที่นอนเดินออกจากห้องไป ตัวเลขบนนาฬิกาบอกเวลาตีสองเศษๆ แล้ว
ชายหนุ่มตรงไปนั่งบนโซฟาหน้าทีวีแต่กลับไม่หยิบรีโมทขึ้นมาเปิดดูรายการ
นัยน์ตาจ้องมองไปยังหน้าจอสีดำว่างเปล่า
รู้ว่าผลกรรมเริ่มย้อนกลับมาเล่นงานแล้วแต่มันก็ช่วยไม่ได้
ชานยอลคงหลีกหนีความรู้สึกนี้ไม่พ้น
กับการลากตัวคนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย
แต่ทำร้ายหัวใจของคนที่ไม่เกี่ยวข้องไปอย่างเลือดเย็น...
หลายวันมาแล้วที่ต้องอยู่อย่างเงียบเหงาโดดเดี่ยว
ตัวตนของชานยอลถูกลบหายไปทั้งบัญชีโซเชี่ยลต่างๆ
เบอร์โทรศัพท์มือถือก็ถูกปิดราวกับไม่เคยมีอยู่
แต่สิ่งหนึ่งที่ลบไปจากใจไม่ได้ก็คือใบหน้าและสายตาของคนที่เขาทำลายจิตใจ
ถึงแม้ว่าชานยอลเองจะโดนทำร้ายไม่ต่างกันจากอดีตคนรักแต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเธอสมควรถูกกระทำแบบนั้น
ชานยอลยอมทนทุกอย่างเพื่อที่จะได้รับความไว้ใจจากชานวุคไม่ว่าจะหมั้นหรือแต่งงาน
จนกว่าอีกฝ่ายจะวางใจยอมให้เข้าถึงหลักฐาน
ความรู้สึกของแพยอนก็เป็นสิ่งที่พอจะคาดเดาและทำใจยอมรับเอาไว้ได้แล้ว
แต่ความผิดพลาดเดียวที่ชานยอลไม่ได้ตั้งใจให้เกิดก็คือแบคฮยอน...
วันที่เขาได้มองเห็นลูกชายคนเล็กของบ้านที่เอาแต่เก็บตัวอยู่บนห้องนอน
นัยน์ตาใสแจ๋วที่มักจ้องมองมาเหมือนต้องการจะสื่ออะไรบ้างอย่างแต่เจ้าตัวก็เอาแต่เงียบอยู่เสมอ
จุดเริ่มต้นจากความเอ็นดู
ความสงสารที่เห็นคนตัวเล็กไม่ได้รับความเป็นธรรมในบ้าน
การเอาใจใส่เล็กน้อยที่ทำให้เด็กหนุ่มเริ่มเปิดใจและได้เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนไปตอนไหน
อาจเป็นเพราะชานยอลที่เหนื่อยและเบื่อหน่ายเหลือเกินกับความสัมพันธ์ที่เขาต้องเป็นฝ่ายทนอยู่คนเดียวกับแฟนสาวและต้องคอยเอาใจทุกอย่าง
แบคฮยอนเป็นเหมือนน้ำหวานปลอบประโลมจิตใจหลังจากที่ต้องเหนื่อยล้ากับการรับมือกับแพยอน
จากความใกล้ชิดเพียงเล็กน้อย เริ่มจากการแตะตัวเล็กๆ ไปจนถึงจับมือ
ความใสซื่อภายใต้สีหน้าเศร้าจ๋อยที่ทำให้ชานยอลอดเผลอใจไม่ได้
และความเผลอไผลจากอารมณ์ชั่ววูบเดียวก็ทำให้เรื่องทุกอย่างซับซ้อน
ชานยอลรู้อยู่เต็มหัวใจว่าผิดแต่ก็ไม่อาจห้ามตัวเองได้ ผิดกับทั้งแฟนสาวในหน้าที่
ผิดกับทั้งเป้าหมายของตัวเอง
จากที่คิดว่าแบคฮยอนจะเป็นคนที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดกลับกลายเป็นคนที่เจ็บที่สุดเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเขาเอง
ไม่ว่ายังไงก็ลืมใบหน้านั้นไม่ได้
ความเงียบและความรู้สึกผิดที่กำลังกัดกินจิตใจต่อจากการจมอยู่กับคดีของพี่ชายมาหลายปี
ชานยอลทำลายความบริสุทธิ์ของแบคฮยอนไปด้วยความไม่ตั้งใจและความเห็นแก่ตัวของตัวเอง
สวมบทบาทโกหกผู้คนมากมายแต่สิ่งเดียวที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริงคือเรื่องนี้...
รู้ว่าผิด รู้ว่าไม่ควรทำ
แต่เพราะไม่อาจหักห้ามใจเรื่องที่มันควรจะเป็นไปถึงยิ่งยุ่งเหยิง
ไม่เคยให้สัญญา ไม่เคยบอกว่ารัก
ไม่อยากให้ของขวัญที่เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายยึดติดเพราะตั้งแต่วันแรกที่ชานยอลตัดสินก้าวเข้ามาในบ้านนี้
ความมุ่งมั่นของเขามีเพื่อจุดหมายเดียว
ยังอยากจะรัก ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรเผลอใจแต่ก็กลับยิ่งถลำลึก
ลากเอาเด็กหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องราวเข้ามาติดบ่วงความวุ่นวายนี้ไปด้วย
เข้าไปเปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กผู้ชายคนนึงและทิ้งเขาไปอย่างน่าผิดหวัง
ชานยอลรู้สึกผิดกับตัวเองเกินกว่าจะกล้าขอโทษหรืออธิบายอะไร
เรื่องนี้มันผิดพลาดไปแค่เพียงเพราะ 'ใจ' ของเขาเอง ...
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปหลายสัปดาห์
การพิจารณาคดีจบลงด้วยการเร่งเร้าจากสังคมด้วยบทสรุปสั่งจำคุกอดีตที่ปรึกษาชานวุคและสั่งให้มีการสอบสวนนักการเมืองคนดังเพิ่ม
โชคดีที่ยังมีเพื่อนสนิทในวงการของพ่อมาช่วยดูแลเรื่องธุรกิจต่อ
บริษัทถูกตรวจสอบละเอียดยิบย่อย ขณะที่ครอบครัวก็ยังวิ่งเต้นเรื่องคดีไม่หยุด
แบคฮยอนติดต่อพี่ชานยอลไม่ได้อีกจนหลายสัปดาห์แล้ว
เหมือนเขาหายไปจากโลกนี้
ทุกวันได้แต่นอนถามตัวเองจมอยู่ในความคิดเหมือนติดกับแมงมุม
จากที่เคยมีแต่คำถามเรื่องความสัมพันธ์ตอนนี้ทุกอย่างยิ่งน่าสับสนไปกันใหญ่
เรื่องที่ผ่านมานั้นไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องจริงเลยหรอ...
ไม่ใช่ทั้งคนรัก ไม่ใช่ทั้งพี่เขย
ถ้าไม่มีใครรู้เรื่องของเราแล้วแบคฮยอนเป็นส่วนหนึ่งของแผนด้วยหรือเปล่า...
ที่ผ่านมาไม่เคยรู้จักเขาเลยหรือว่ายังไงและความรู้สึก
ความทรงจำทั้งหมดนี้ก็จะแค่หายไปหรอ...
รูปถ่ายใบเล็กขนาด 3*4
นิ้วถูกแปะลงในหน้ากระดาษ ถึงตอนนี้แบคฮยอนก็ยังโกรธตัวเองที่ไม่เคยโกรธพี่เขยเลย
และยังเอาแต่คิดถึงเขาอยู่ตลอด
เสียงร้องไห้จากห้องพี่สาวที่ดังให้ได้ยินทุกวันยิ่งทำให้หัวใจดวงเล็กหม่นหมอง
มันคงเป็นเรื่องยากของพี่เหมือนกันเมื่องานแต่งที่ฝันไม่เคยมีอยู่
ทุกอย่างเป็นเรื่องลวงหลอก สถานที่จัดงานมีแต่ห้องว่างเปล่า
ไม่มีช่อดอกไม้หรือการจัดเวที ไม่มีแม้แต่เจ้าบ่าว...
อยากเจออีกสักครั้งจัง...
แต่ไม่รู้ว่าจะไปหาตัวได้ที่ไหน ห้องสนทนาในมือถือว่างเปล่า
ไม่มีข้อมูลอะไรหลงเหลืออยู่ แบคฮยอนเหมือนกำลังยืนมองเรือลำหนึ่งแล่นห่างออกไปไกล
เรือที่คิดว่าตั้งใจจะมารับเขาแต่เท้าตัวเองยังอยู่บนท่า
รู้ว่ามันเป็นคำโกหกแต่ก็ยังหวัง...
ที่ผ่านมารักกันบ้างไหมนะ
อยากจะรู้แค่นั้น อยากได้คำอธิบายอื่นๆ มากกว่านี้
จนถึงตอนนี้โรงเรียนเปิดเทอมแล้ว
มีแต่เรื่องหนักๆ โถมเข้ามาไม่หยุด แบคฮยอนยังต้องอ่านหนังสือจนมืดค่ำบางครั้งเหนื่อยจนร้องไห้ออกมา
แล้วก็เอาแต่นึกถึงฝ่ามือนั้น รอยยิ้มของใครบางคน
อยากได้ยินคำพูดให้กำลังใจหรือคำปลอบใจอีกสักครั้ง
ทำไมมันเหนื่อยจัง...
แค่ขาดกำลังใจไปก็รู้สึกเหมือนจะเดินต่อไม่ไหวแล้ว...
เวลาสี่โมงเย็นหน้าโรงเรียนมัธยมที่ขวักไขว้ไปด้วยนักเรียน
เด็กชายตัวเล็กเดินก้มหน้าฝ่าฝูงชนที่มองมายังเขาด้วยสายตาตั้งคำถาม
แบคฮยอนรีบตรงไปยังป้ายรถบัสขึ้นรถสายหนึ่งเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดมุ่งหมาย
ขณะที่รถเคลื่อนตัวไปช้าๆ ดวงตาเรียวรีเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง คนตัวเล็กหยิบหูฟังขึ้นมาสวมก่อนจะฝังตัวเองจมลงในโลกส่วนตัว...
ใช้เวลาเดินทางเพียง 30
นาทีรถบัสก็มาจอดอยู่หน้าสถานีตำรวจใจกลางเมือง
เด็กหนุ่มเดินลงจากรถบัสชะเง้อคอมองตึกสูง
สองมือกำสายสะพายด้วยความประหม่าก่อนจะก้าวเดินตรงไปอย่างมุ่งมั่น
บานประตูกระจกถูกผลักออก
ทันทีที่ลมแอร์สัมผัสใบหน้าอยู่ๆ หัวใจก็ฝ่อขึ้นมาซะอย่างงั้น
แบคฮยอนหันซ้ายมองขวาก่อนจะเดินไปเกาะเคาน์เตอร์บริการประชาชนที่มีคุณตำรวจสาวนั่งอยู่
“ขอโทษฮะ พอดีอยากขอพบคุณตำรวจชานยอลหน่อย” กล่าวออกไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก สายตาของร้อยเวรสาวที่มองมาคนตัวเล็กนยิ่งสบประหม่า
“นัดไว้หรือเปล่าคะ?” หญิงสาวเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ไม่ได้นัดไว้ฮะ”
“ตอนนี้ผู้กองไม่อยู่ที่นี่ค่ะ ไม่ได้ทำหน้าที่ มีอะไรไหมคะ?”
คนตัวเล็กได้แต่ยืนอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบไปว่าอะไร เพราะตัวเองก็ไม่ได้มีธุระสำคัญเพียงแค่อยากจะเจอเท่านั้น แต่ถ้าจะขอเบอร์ของตำรวจสืบสวนจะดูแปลกหรือเปล่า
“พอมีเบอร์ติดต่อไหมฮะ”
“สักครู่นะคะ” หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปหยิบหูโทรศัพท์ต่อสายหาใครบางคน
ขณะที่เด็กหนุ่มก็ยืนรอด้วยความระทึกใจ
หมายความว่ายังไงที่บอกว่าพี่ชานยอลไม่ได้ทำหน้าที่ ถูกย้ายงาน ลาออกไปแล้วหรอ
หรือว่าแค่พักราชการ
“ค่ะ... ค่ะ...” เพียงไม่นานร้อยเวรสาวก็กลับมานั่งบนเก้าอี้ก่อนจะแจ้งข่าวที่ทำให้สีหน้าเด็กหนุ่มต้องสลดลง
“ตอนนี้ยังติดต่อกับผู้กองไม่ได้นะคะ
เพราะอยู่นอกราชการแต่ถ้ามีอะไรฝากไว้ได้”
ใบหน้าหวานเศร้าสลดลงเมื่อได้ยินคำตอบ
แบคฮยอนถอนลมหายใจและกล่าวขอบคุณกับคุณตำรวจสาวเบาๆ
ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว ดูเหมือนคดีจะยังไม่สิ้นสุด
ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรกับพี่ชานยอลบ้างแต่ก็แค่อยากจะเจอสักครั้งเท่านั้น
สองเท้าก้าวออกจากสถานีตำรวจ
แบคฮยอนยืนมองรถยนต์วิ่งขวักไขว่ไปมาด้วยความรู้สึกอ้างว้างยิ่งกว่าเดิม
ก่อนที่จะตัดสินใจโบกรถแท็กซี่เพื่อตรงไปยังสถานที่ต่อไป...
กว่าจะนั่งรถมาถึงหน้าหมู่บ้านท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว
พอตกค่ำอากาศก็เริ่มหนาวเด็กหนุ่มถูมือเข้าด้วยกันเพื่อบรรเทาอาการปวดข้อนิ้ว
เบื้องหน้าเป็นตึกอพาร์ตเม้นสูงใหญ่ที่มีกั้นราวกั้นปิดทางเข้าอยู่
แบคฮยอนตัดสินใจที่จะยืนรออยู่ตรงกำแพงด้านนอก
ก้มลงมองนาฬิกาตอนนี้บอกเวลาหกโมงกว่าใกล้ทุ่มแล้ว
สองมือเล็กๆ ซุกเข้ากระเป๋าเสื้อ
ไม่รู้ว่ามายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ทั้งที่เขาอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วก็ได้
แต่อย่างน้อยก็อยากทำอะไรสักอย่างที่มากกว่าแค่รอ
ทำอะไรอยู่นะ...
อย่างกับรอเครื่องบินมารับทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางให้ลงจอด
เอาแต่รอหมือนคนโง่ทั้งที่อีกฝ่ายกำลังวิ่งหนีออกไปไกล
ทำยังไงความรู้สึกนี้ก็ไม่ทุเลาลงซักที...
เวลาผ่านไปจนท้องฟ้ามืดสนิทคนตัวเล็กยืนจามอยู่หน้าอพาร์ทเม้นต์อากาศหนาวทำให้แบคฮยอนมีน้ำมูก
แถมขาก็เริ่มชาแล้ว รถยนต์หลายคันขับผ่านเข้าไปแต่กลับไม่มีคันที่เฝ้ารอเลย
คนตัวเล็กก้มมองนาฬิกาด้วยหัวใจที่เจ็บชา
ถ้าไม่กลับตอนนี้เขาจะพลาดรถเที่ยวสุดท้าย แต่อีกใจก็บอกให้อยู่รอต่อ
พี่ชานยอลอาจจะกลับบ้านดึกก็ได้หรือว่าจะกลับมารอพรุ่งนี้ดีจะได้อยู่นานๆ
หันมองอาคารสูงใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนที่สุดท้ายจะต้องตัดใจเดินออกห่างไปด้วยหัวใจที่สิ้นหวัง
รองเท้าผ้าใบเขรอะฝุ่นก้าวย่ำไปตามพร้อมกับหยดน้ำตาที่ร่วงหล่นลง...
ต่อให้รอไปถึงพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ที่นี่ก็อาจจะไม่ได้เจอกันอยู่ดี...
กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ดึกดื่นแต่วันนี้ไม่มีใครมารอรับแบคฮยอนอย่างทุกวันเพราะทุกคนต่างมัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องคดีความ
พออาบน้ำกินข้าวที่อุ่นไว้เสร็จคนตัวเล็กก็ต้องขึ้นไปอ่านหนังสือต่อ
บรรยากาศในบ้านเงียบเหงาพาลทำให้นึกถึงเมื่อช่วงเวลาก่อนหน้านี้ไม่ได้
บางครั้งแบคฮยอนหลับไปและขอให้ตัวเองตื่นมาพบว่าเรื่องทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน
แม้ว่าพี่ชานยอลจะต้องกลับไปอยู่ในฐานะพี่เขยแต่มันอาจจะไม่ทรมานเหมือนตอนนี้ก็ได้
ปากกาที่กำลังจดบทสรุปโน้ตสั้นหยุดชะงักเมื่อรอยหมึกขาดช่วง
แบคฮยอนสะบัดหัวปากกาและลองเขียนอีกครั้งแต่ก็ปรากฏเพียงรอยกดทับ
เขาหยิบเอาแท่งใหม่ขึ้นมาเขียนก่อนที่จะพบว่าปากกาอีกด้ามก็หมึกหมดเช่นกัน
สุดท้ายเจ้าของห้องนอนก็เลยต้องเปิดลิ้นชักหยิบไส้ปากกาขึ้นเปลี่ยน
เด็กหนุ่มหมุนหัวปากกาออกพร้อมกับดึงไส้ออกก่อนที่บางอย่างจะทำให้เขาต้องชะงักมือ
คนตัวเล็กดึงปลายมวนกระดาษสีขาวที่แลบออกมาจากในปลอกปากกามากางออก
และสิ่งที่เห็นก็ทำให้น้ำตาลื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพียงแค่ข้อความสั้นๆ
ที่ถูกซ่อนไว้ในปากกาหลังจากที่ได้มันมาหลายเดือน
‘ตั้งใจเรียนนะ’
เสียงสะอื้นดังเบาๆ ไปทั่วห้อง
รู้ตัวอีกทีก็หยุดน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ซะแล้ว อยู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องตอนนั้นขึ้นมาได้
‘ทำไมชอบซื้อไส้ปากกาจัง’
‘ก็เค้าชอบเปลี่ยนใส่ปากกานี่ ปากกามีแท่งที่ชอบอยู่แล้ว
ไม่อยากเปลี่ยนบ่อย’
เหตุการณ์ที่เกิดในร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียนกับคำถามเพียงหนึ่งประโยคที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจำได้
ทั้งที่ปกติไม่ค่อยจะมีใครฟังคำพูดของแบคฮยอนเลยแท้ๆ ทำไมกันนะ
แม้แต่ตอนที่จากไปก็ยังทำให้รู้สึกเหมือนได้รับการเอาใจใส่
ความรู้สึกที่เหมือนจะชินชาไปแล้วย้อนกลับเข้ามาราวกับพายุ
คิดถึงจัง อยากเจออีกสักครั้งนึง...
ยังไงก็ทนอยู่กับความสับสนแบบนี้ไม่ได้
มีแต่คำถามและความคับข้องในใจ ไม่เคยรู้และเข้าใจอะไรเลย
.
.
.
วันนี้แบคฮยอนก็ยังคงมายืนรอที่หน้าอาพาร์ทเม้นเหมือนเดิมแต่คราวนี้เขามีเสื้อกันหนาวมาเป็นเพื่อน
คนตัวเล็กยืนอยู่หน้าอาคารสูงใหญ่ตรงหน้า
ตอนนี้เป็นเวลาทุ่มกว่าเศษแล้วอากาศข้างนอกมีแต่จะหนาวขึ้นเรื่อยๆ กับความหวังลมๆ
แล้ง
ถ้ามายืนอยู่แบบนี้ทุกวันแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหนกันแน่ก็คงไม่มีประโยชน์
คนตัวเล็กตัดสินใจมองหาผู้คนรอบๆ
ที่เดินผ่านไปมาก่อนจะตัดสินใจเลือกเดินตามพนักงานคนหนึ่งผ่านยามเข้าไปจนถึงหน้าทางเข้า
อาจจะด้วยความที่เป็นเด็กใส่ชุดโรงเรียนเอกชนก็เลยไม่มีใครสงสัย
พอพี่ชายตรงหน้าใช้คีย์การ์ดแตะประตูแบคฮยอนก็รีบแทรกตัวตามเข้าไปด้วย
พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด
เดินไปขึ้นรถพร้อมกับพี่ชายพนักงานกดลิฟท์ไปยังชั้นที่จำได้ดี
ช่วงเวลาในลิฟท์ที่แสนน่าอึดอัดผ่านไปเพียงชั่วอึดใจ
เมื่อมาถึงชั้น 4 คนตัวเล็กก็รีบเดินตรงไปยังห้องหมายเลข 42 ทันที
แบคฮยอนยืนมองบานประตูนั้นด้วยความประหม่า
ริมฝีปากบางเม้มแน่นก่อนที่จะตัดสินใจเคาะลงไป
........
ทว่าไม่มีเสียงใดตอบกลับมา...
คนตัวเล็กยืนหันหลังชนประตูและตัดสินใจที่จะรอ
สองมือยกขึ้นกอดอกมองไปตามทางเดินส่องสว่างเห็นเพียงกำแพงสีขาวว่างเปล่า
แบคฮยอนได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะกลับมาเมื่อไหร่
เวลาผ่านไปนานเรื่อยๆ
จนเลยเวลารถเที่ยวสุดท้าย คนตัวเล็กทั้งนั่งทั้งลุกยืน เดินวนไปมารอบๆ
เพื่อคลายอาการล้าขาแต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครผ่านมา
มีเพียงสายตาของเพื่อนบ้านที่เดินผ่านไปและมองเขาราวกับมีคำถามในใจ
ไม่รู้ว่าจะทำแบบนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่
เข็มสั้นบนนาฬิกาข้อมือบอกเวลาห้าทุ่มเศษแล้ว
แบตโทรศัพท์ของแบคฮยอนกำลังจะหมดแล้วก็ไม่รู้ว่าจะออกไปจากตึกนี้ได้ไหม
ถึงตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกของคนที่รอจนท้อมันเป็นยังไง
ได้แต่เก็บความอัดอั้นใจเอาไว้ ไม่กล้าแม้แต่จะร้องไห้ออกมา
นั่งอยู่หน้าประตูเหมือนตัวตลกให้คนเดินผ่านไปมามอง
แบคฮยอนได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมต้องพยายามพยุงความรู้สึกที่แตกสลายของตัวเองด้วยในเมื่อคนที่ทำลายมันยังไม่คิดจะใส่ใจ
มือบางยกขึ้นเช็ดหยดน้ำตาที่ไหลผ่านแก้ม
ยิ่งอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่ยิ่งเห็นแต่ความหวังริบหรี่
คนตัวเล็กตัดสินใจลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนพื้นขึ้นสะพายพร้อมกับหัวใจที่พังลง
บางทีพี่ชานยอลคงไม่อยู่ที่นี่แล้วหรือเขาอาจไม่เคยอยู่ที่นี่เลย
จะเอาแต่วิ่งตามไปถึงเมื่อไหร่กันนะ...
เสียงเปิดประตูลิฟท์เรียกคนตัวเล็กให้ต้องหันไปมองชายหนุ่มในเสื้อแจ็คเก็ตคุ้นตาที่เดินออกพร้อมกระเป๋าเป้สีดำ
หัวใจดวงเล็กหล่นวูบทันทีที่ได้เห็นใบหน้าคุ้นเคยภายใต้เงาปีกหมวก
ราวกับได้อากาศเฮือกสุดท้ายต่อลมหายใจ...
นายตำรวจหนุ่มยืนนิ่งเมื่อเห็นคนที่ไม่คิดว่าจะเจออยู่ตรงหน้า
กำแพงความเงียบก่อตัวขึ้นกลางอากาศ สองสายตาสบมองกันก่อนที่คนตัวสูงจะเป็นฝ่ายตั้งสติได้ก่อน
รองเท้าสีดำก้าวเดินตรงไปยังประตูห้องตัวเองเชื่องช้า
หยุดยืนยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มโดยไร้ซึ่งคำพูดใด
คนตัวเล็กโผกายเข้ากอดพี่ชายตรงหน้าแน่นถึงจะรู้ว่าอาจไม่หลงเหลือความสนิทใจต่อกันแล้วก็ตาม
หยดน้ำตาไหลอย่างห้ามไม่อยู่ ริมฝีปากเม้มกลั้นเสียงสะอื้น
แบคฮยอนเอาแต่ร้องไห้จนร่างไหวไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ในหัวมันโล่งไปหมด
ทุกอย่างที่เตรียม สิ่งที่คิดว่าจะพูดถูกกลืนหายไปในลำคอ
ขณะที่นายตำรวจนุ่มได้แต่ยืนนิ่ง
ราวกับกำแพงหัวใจที่แข็งแกร่งได้พังลง
มือหนาวางลงเบาๆ บนศีรษะทุยพร้อมกับท่อนแขนที่วาดโอบหลังคนอายุน้อย
เสียงร้องไห้ยิ่งดังมากขึ้นจนคนฟังรับรู้ได้ถึงความรู้สึกแตกสลายที่ส่งออกมา
"ฮึก... ฮึก..."
ความรู้สึกที่คิดว่าจะหายเลือนไปตามกาลเวลาย้อนกลับเข้ามาหมดเพียงแค่ได้พบหน้า
ได้สัมผัสอ้อมกอด ลืมสิ่งที่เรียกร้องอยากจะได้คำตอบจนหมด
กลับคิดเพียงว่าแค่ได้กอดกันอีกครั้งก็ดีมากแล้ว
“มาทำอะไรตรงนี้” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยถามเสียงเรียบทั้งที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจ
ชานยอลคิดผิดเองที่นึกว่าแบคฮยอนจะไม่มารอหรือกลับบ้านไปแล้ว
ไม่นึกเลยว่าจะมาเจออยู่ที่หน้าห้องที่เขาเกือบจะไม่ได้กลับมา...
“พี่... ฮึก... ไปไหนมา”
“ไปทำงาน”
“ฮึก... ทำไมพี่ไม่ติดต่อมาเลย... ทำไม...” เสียงเล็กขาดหายตามจังหวะสะอื้น
แบคฮยอนกลัวที่สุดว่าสุดท้ายแล้วเรื่องมันจะจบลงที่ตรงนี้แล้วทุกอย่างจะหายไป
นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้คุยกับพี่ชานยอลไม่ว่าเขาจะเป็นใครหรือมีตัวตนแบบไหน
แล้วแบคฮยอนก็จะยืนติดอยู่ตรงนี้ไปอีกนานแสนนาน
“..............”
“เราไม่รู้จักกันแล้วหรอ...”
ราวกับมีค้อนหนักๆ ทุบเข้ากลางอก
แม้จะกอดกันแต่กลับรู้สึกราวกับมีกำแพงกั้นอยู่ระหว่างกลางกับความรู้สึกที่ไม่สามารสื่อออกไปได้อย่างตรงไปตรงมา
“.............”
คำตอบมีเพียงความเงียบงัน...
ชานยอลไม่กล้าแม้แต่จะพูดขอโทษหรือปลอบใจเมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งที่เขาทำลาย
รู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน มันไม่ควรเป็นอย่างนี้เลย
แบคฮยอนไม่ได้เป็นฝ่ายเดียวที่เอาแต่คิดถึงหรือจมติดอยู่กับความรู้สึก
ถึงจะพยายามกันตัวเองออกห่างเพื่อจบความวุ่นวายนี้
แต่ดูเหมือนไม่ว่าทางไหนก็ทำให้คนตัวเล็กต้องเสียใจทั้งนั้น
ต้องห้ามใจไปอีกแค่ไหน
เมื่อไหร่แบคฮยอนจะหยุดวิ่งตามสักที
“ฮึก... ที่ผ่านมาไม่รู้สึกอะไรเลยหรอ...”
หยดน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาไม่หยุด
ยิ่งอีกฝ่ายเอาแต่เงียบหัวใจดวงน้อยก็ยิ่งสั่นไหว อยากได้ยินคำพูดอะไรสักคำ
จะไล่หรือให้อยู่ต่อก็เพียงแค่พูดออกมาแล้วแบคฮยอนจะได้เข้าใจสักที
หรือถ้าการปล่อยให้สงสัยให้รออย่างทรมานแบบไร้จุดหมายจะเป็นการแก้แค้นด้วยเหมือนกันแบคฮยอนก็พร้อมยอมรับ
“พี่ไม่เคยรักเค้าเลยหรอ... อึก...”
เสียงร้องไห้ยิ่งตอกย้ำให้ชานยอลเห็นว่าสิ่งที่เขาทิ้งไว้กับคนตรงหน้านั้นมากมายแค่ไหน
มือหนาเลื่อนลงจับใบหน้าคนในอ้อมอกให้ละออก ปาดนิ้วเช็ดคราบน้ำตาบนพวงแก้ม
นัยน์ตาสีอ่อนและแพขนตาอาบชุ่มไปด้วยหยดน้ำ จ้องมองแววตาที่สะท้อนความเศร้า
ก่อนโน้มใบหน้าลงกับประทับริมฝีปากลงกับเรียวปากบางเบา...
ส่งผ่านความรู้สึกผ่านรอยจูบเหมือนกับครั้งแรก
ตอกย้ำความรู้สึก
บอกให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าเรื่องบางเรื่องที่เป็นความลับระหว่างเรานั้นเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในใจ
ในส่วนลึกของกันและกัน
อยากขอโทษ อยากจะรัก
แต่ไม่อยากทำให้แบคฮยอนเจ็บไปมากกว่านี้อีกแล้ว กับความผิดที่ตัวเองได้กระทำลงไป...
“พี่ขอโทษ...”
สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อน้ำตาทุกที
รสเค็มปร่ายังติดอยู่บนริมฝีปาก ชานยอลเองรู้ดี
แบคฮยอนก็รู้ดีแต่ความรู้สึกที่มันสวนทางกับความเป็นจริงนี้จะไปต่อก็เห็นแต่ทางตัน…
จะทำยังไงดีกับความรู้สึกครึ่งๆ
กลางๆ ที่หันหลังกลับก็ไม่ได้เดินต่อไปก็ไม่ถึง...
ถูกดึงดูดเข้าหากันด้วยความโหยหาก่อนไฟรักที่เหมือนกับผ่านไฟเก่าจะโหมครุ...
โยนความคิดวุ่นวายออกไปจนหมดเหลือเพียงความรู้สึกที่ถูกชักนำด้วยสัญชาตญาณ
ร่างเล็กๆ ถูกดันชนกับชั้นเก็บของข้างประตูจนกรอบรูปพับตกลงพื้น
เด็กหนุ่มได้แต่เผยอริมฝีปากรับจูบที่บดคลึงลงมาอย่างเร่าร้อนด้วยความคิดถึงและความโหยหา
เรือนกายบิดเร้าไปมาตามสัมผัสจากฝ่ามือร้อนที่สอดเข้าไปลูบไล้แผ่นหลังใต้เสื้อนักเรียน
ชานยอลถอดเป้โยนไว้บนพื้นขณะที่ยังไล่งับต้อนกลีบปากเด็กชายตรงหน้า
สายตาดุดันจ้องลึกลงไปในแววตาที่ชุ่มฉ่ำด้วยหยดน้ำ สายตาที่กระตุ้นชานยอลให้นึกถึงวันแรก
ไม่นานแจ็คเก็ตสีดำก็ถูกถอดออกกองลงบนพื้น
“อื้อ” แบคฮยอนส่งเสียงครางอื้อเมื่อถูกยกร่างขึ้นวางบนชั้น
สองมือเกาะวางอยู่บนหัวไหล่ รู้สึกเหมือนโดนไฟเผาอ่อนๆ
เมื่อร่างกายใหญ่หนาเบียดเข้ามาต้อนจนแผ่นหลังชิดผนัง
แบคฮยอนคิดถึงความรู้สึกนี้...
CUT
กว่าอารมณ์รักจะสงบลงเสียงหอบหายใจก็ดังเคล้ากันไปทั่วห้อง
รู้สึกราวกับกำแพงที่มีต่อกันได้พังลงอีกขั้น
ชายหนุ่มก้าวขายาวข้ามพนักโซฟาพร้อมกับยกสะโพกคนตัวเล็กพลิกร่างลงมานอนบนเบาะ
สองร่างกายกอดทับกันแนบแน่น
ชานยอลพ่นลมหายใจหอบรดต้นคอก่อนจะหยัดกายขึ้นมองใบหน้าเด็กหนุ่มข้างใต้
ปาดปลายนิ้วเช็ดเหงื่อบนผิวแก้มออกด้วยความเอ็นดู
แบคฮยอนยังดูเหมือนกับวันแรกที่ชานยอลได้ลิ้มลอง
สีหน้าเหนื่อยหอบและแพรขนตาที่ชื้นด้วยหยาดน้ำ สุดท้ายก็เผลอทำอะไรเกินห้ามใจ
ปมถูกพันให้ยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก ต่อก็ไม่ติดตัดก็ไม่ขาด
จนถึงตอนนี้ชานยอลก็ยังเอาแต่คิดว่าจะทำยังไงดีนะถึงจะทำให้แบคฮยอนเจ็บน้อยที่สุด...
ถ้าเป็นอย่างงี้ก็คงมีแต่ต้องยื้อกันไปไม่มีวันจบ...
“พี่...”
“หื้อ”
“เค้าถามคำเดียวได้ไหม ห้ามโกหกนะ”
“อือ...”
ดวงตาเรียวรีเชยขึ้นมองอดีตพี่เขยตรงหน้าก่อนจะหลุบลงด้วยความประหม่า
แม้ว่าโอกาสจะมาอยู่ตรงหน้าแล้วแต่การพูดความรู้สึกในใจไม่ใช่สิ่งที่แบคฮยอนเคยชินเลย
ตัวเขาที่มีแต่ความไม่มั่นใจ
เป็นเงาของคนอื่นและได้แต่คิดว่าตัวเองต้องเป็นตัวสำรองตลอดไป พอได้มองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านี้แล้วก็ยังคิดอยู่ดีว่าจะสามารถเอ่ยคำถามนั้นได้ไหม
“พูดมาสิ”
“ที่ผ่านมาเคยรู้สึกดีต่อกันมั่งไหม...” สุดท้ายก็เอ่ยถามออกไป
ถึงตอนนี้แบคฮยอนยังคงไม่กล้าใช้คำว่ารักหรือชอบเพราะมันอาจจะมากเกินไป
“อือ...”
“แล้วกับพี่ล่ะ”
“............” คนตัวสูงเงียบไม่ตอบอะไร
ชานยอลไม่อยากโกหก
เรื่องระหว่างเขากับแพอนมันเป็นเรื่องที่ยิ่งกว่าความรู้สึกรักชอบ ชานยอลอาจเห็นใจ
อาจสงสารแต่มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนักแต่ถึงพูดไปมันก็ไม่มีประโยชน์
“ถ้าสมมติเราไม่รู้จักกันพี่จะรักเค้าไหม...
ถ้ามันไม่มีเรื่องแบบนี้” เสียงเล็กเริ่มสั่นเครือ
ทุกครั้งที่มองลงไปในแววตาอบอุ่นคู่นี้แบคฮยอนไม่เคยเห็นคนที่ทำลายเขา
แต่กลับมองเห็นพี่ชายที่แสนใจดี
ไม่ว่าจะยังไงในมุมมองที่แบคฮยอนเห็นพี่ชานยอลก็ยังเป็นฮีโร่ของเขาเสมอ
และมันจะไม่เปลี่ยนไป
นัยน์ตาคมจ้องลึกลงไปในแววตาใสซื่อราวกับต้องการสื่อความหมาย
ชานยอลอยากให้แบคฮยอนตัดใจถึงจะรู้สึกดีต่อกัน
แต่ถ้าพูดออกไปว่ารักจะตัดขาดได้ยังไง...
“อือ....”
นายตำรวจหนุ่มพ่นเสียงหัวเราะผ่านลมหายใจพลางใช้ฝ่ามือเกี่ยวปอยผมสีเข้มทัดใบหู
สำหรับแบคฮยอนในตอนนี้มันอาจเป็นความรักที่ใหญ่หลวงแต่สักวันหนึ่งเขาจะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่
และเมื่อมองกลับมามันอาจเป็นเรื่องไร้สาระในวัยเด็ก
และสำหรับชานยอลที่ดำเนินชีวิตอยู่บนสิ่งที่ควรทำ
เขาคิดว่ามันดีกว่าถ้าจบความสัมพันธ์ตอนนี้
และไม่ว่าตอนไหนชานยอลก็ไม่ใช่คนที่เหมาะจะคู่ควรกับใคร หรือมีความรู้สึกใดๆ
หยดน้ำตาเม็ดเล็กไหลดิ่งออกจากหางตาอีกครั้ง
แบคฮยอนได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลลง ทั้งที่คิดว่าเมื่อได้คำตอบแล้วจะมีสุขแท้ๆ
แต่ทำไมกลับยิ่งเหมือนเดินเข้าไปเจอทางตัน
ถึงอย่างน้อยจะดีใจที่ได้รู้แต่ความคิดบางอย่างก็หยุดเขาไว้เพียงแค่นั้น
ถึงอยากจะรักแต่ก็รักกันไม่ได้หรอ...
แบคฮยอนเองก็โตพอจะเข้าใจเหตุผลแต่ก็ยังไม่อยากเข้าใจอยู่ดี ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ ได้คำตอบแล้วก็ยังมีแต่คำถาม
“โตไปเดี๋ยวก็เจอคนที่ดีกว่านี้” กล่าวคำปลอบโยนออกไปสมเป็นพี่ที่ดีพร้อมกับใช้หลังมือเช็ดน้ำตา
ทั้งที่รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่อาจพูดอะไรได้
ชานยอลเป็นตัวอันตรายที่ไม่ควรอยู่ใกล้แบคฮยอน
ถ้าคบกันไปก็มีแต่คนตัวเล็กเองที่จะต้องแบกรับความกดดัน
แบคฮยอนจะมองหน้าครอบครัวยังไง ไหนจะเรื่องเรียนที่กำลังไปได้ดี
ถ้าถูกตัดกำลังสนับสนุนจากคนที่บ้านใครจะเป็นคนที่ต้องลำบาก
มันไม่คุ้มที่ต้องแลกกัน
และชานยอลเองก็รู้ตัวดีว่าเขาอยู่ดูแลใครตลอดไม่ได้ ทั้งงานที่ไม่เคยมีเวลาส่วนตัว
ต้องเสี่ยงอันตรายกับการต้องเดินทางไปนู่นมานี่ตลอด
ถ้าจะแค่พบกันเป็นครั้งคราวก็อาจจะพอจะได้
“ก็ไม่อยากรักคนอื่นนี่” คนตัวเล็กโพล่งออกไปด้วยความอัดอั้นใจ
ทั้งชีวิตแบคฮยอนเอาแต่ทำสิ่งที่คนอื่นต้องการมาตลอด
ทำไมแม้แต่เรื่องความรักเขาก็ยังทำตามใจตัวเองไม่ได้อีก “เค้าไม่ได้ใจร้ายอย่างพี่นี่... ฮึก...”
ไม่เข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่เลย
ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆ แต่กลับต้องแบกรับความรู้สึกทุกอย่าง
แบคฮยอนอยากโทษตัวเองที่ไปหลงรักเขาเอง มันผิดตั้งแต่เริ่มคิดไม่ซื่อกับพี่เขยตัวเอง
หักหลังพี่สาวด้วยการแอบมีความสัมพันธ์กัน
ก่อนจะถูกตลบหลังด้วยการรู้ว่าทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องโกหก
ถ้านี่เป็นกรรมมันก็สาสม
ชานยอลได้แต่มองภาพนั้นขณะที่คิดว่านี่คือผลจากสิ่งที่เขากระทำ
มีคนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องราวและไม่เคยทำอะไรผิดเลยต้องรับมัน
ถึงแม้วิ่งหนีต่อไปแบคฮยอนก็คงเอาแต่วิ่งตามไม่เลิก
หรืออย่างมากก็แค่ผลักความรับผิดชอบของตัวเองให้อีกฝ่ายแบกไว้คนเดียว
ไม่ว่าจะทางไหนก็ดูเหมือนมีแต่แบคฮยอนที่ต้องเจ็บปวด...
“งั้นทำข้อตกลงกันไหม...”
.
.
.
รถยนต์คันใหญ่ขับมาจอดหน้าสถานีรถไฟฟ้า
เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเบาะผู้โดยสารมุ่ยหน้าพลางถอนลมหายใจเมื่อคิดว่าถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้วแม้ว่าจะอยากอยู่ต่อแค่ไหน
เสียงสูดน้ำมูกดังฟุดฟิด ขอบตายังคงแดงช้ำหลังจากผ่านการร้องไห้มาหลายยก
“ไม่ลืมอะไรนะ”
“อื้อ”
“ไว้เจอกัน” คนตัวสูงเอื้อมมือไปโน้มศีรษะเด็กชายข้างตัวเข้ามาจูบเบาๆ
ลงบนหน้าผากเป็นการอำลา ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมากับใบหน้าบึ้งตึงของอีกฝ่าย
แม้ไม่อยากจากกันแค่ไหนถึงเวลาก็ต้องแยกย้าย
ยอมอดทนแลกกับสิ่งที่ดีกว่า คนตัวเล็กโถมกายเข้ากอดพี่ชายตัวโตเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะฮึดใจหยิบกระเป๋านักเรียนเปิดประตูรถออกไป
"พี่ห้ามลืมรับโทรศัพท์นะ"
"อื้อ"
นัยน์ตาสีอ่อนสะท้อนแววตาเศร้ามองขณะที่ประตูรถถูกปิดลง
แบคฮยอนยืนมองรถยนต์คันสีดำจนกระทั่งมันขับเคลื่อนห่างออกไปไกลเรื่อยๆ
ด้วยหัวใจที่ยังคงหวาดหวั่นแต่ก็พยายามจะเชื่อมั่น
ถึงจะไม่ได้เจอกันบ่อยครั้งแต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ได้เจอกันเลย
ถ้าการอดทนเป็นสิ่งทุกคนทำต้องทำแบคฮยอนก็อยากพิสูจน์ตัวเอง...
แบบนี้ดีแล้วหรือเปล่านะ...
#ficbtl
ความคิดเห็น