ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My Fable -Chanbaek-

    ลำดับตอนที่ #25 : Brother in law 4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.34K
      367
      29 ต.ค. 63

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     


     

    เฮ้อ... ถึงซักที แบคฮยอนออกไปไหนเนี่ย

     

    เวลาบ่ายโมงกว่าประตูบ้านหลังใหญ่ถูกเปิดออกพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระมากมายที่ถูกขนเข้ามาวางกลางห้องโถง ความเงียบภายในบ้านกับรองเท้าที่หายไปบ่งบอกว่าลูกชายคนเล็กของบ้านไม่ได้อยู่ที่นี่ แพยอนวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ เดินตะโกนเรียกชื่อน้องชายขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง

     

    เธอผลักประตูห้องนอนออกแล้วก็พบว่าเจ้าของห้องไม่อยู่จริงๆ เมื่อเห็นอย่างนั้นหญิงสาวก็กลับลงมาข้างล่าง แบคฮยอนคงจะออกไปเที่ยวหรืออะไรเพราะเมื่อสักครู่เขายังส่งข้อความาบอกว่าอยู่บ้านอยู่

    เลย

     

    ออกไปจากบ้านก็ไม่ยอมปิดไฟ

     

    แบคฮยอนไม่อยู่หรอชายหนุ่มหันไปถามคนรักแล้วก็ได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบ แล้วโทรหาไม่ติด?”

     

    อือ เข้ามาอ่านแต่ข้อความแต่ก็ไม่ยอมตอบ คงไปหาเพื่อนมั้ง

     

    มือที่กำลังล้วงโทรศัพท์หยุดชะงัก เมื่อได้ยินอย่างนั้นคนตัวสูงก็เพียงแค่พยักหน้าพลางลอบถอนลมหายใจออกมา ชานยอลพยายามไม่คิดอะไรมากก่อนจะยกกระเป๋าเสื้อผ้าของตนเองแฟนสาวขึ้นไปเก็บด้านบน

     

    บานประตูห้องนอนถูกผลักออก กระเป๋าเดินทางถูกลากไปวางไว้ข้างตู้เสื้อผ้าก่อนที่นายตำรวจหนุ่มจะไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียง นัยน์ตาคมจ้องมองเพดานด้วยสายตาว่างเปล่า ปล่อยตัวเองให้จมดิ่งลงในความคิดมากมายกับความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ

     

    ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่นะ...

     

     

     

     

     

     

     

     

    หลังจากงานหมั้นจบลง ในช่วงหัวค่ำหลังคืนสุขสันต์งานเลี้ยงสละโสดเล็กๆ ถูกจัดขึ้นที่สวนหลังบ้านพร้อมกับเหล่าเพื่อนสนิทของว่าที่เจ้าสาว นาฬิกาบอกเวลาทุ่มครึ่งแล้ว ตอนนี้แบคฮยอนยังกลับไม่ถึงบ้านและไม่มีข้อความส่งมาบอกเหมือนทุกทีจนผู้เป็นแม่เริ่มเป็นกังวล

     

    เฮ้อ ทำไมไม่รับโทรศัพท์เนี่ย ไม่ใช่ไปโดนปล้นที่ไหนหรอกหรอยูรากดหมายเลขเดิมโทรออกซ้ำไปมาพร้อมกับส่งข้อความหาลูกชายด้วยสีหน้าเป็นกังวล ทั้งที่ปกติเวลาไปไหนเจ้าตัวจะต้องส่งข้อความมาบอกแท้ๆ พอหายไปดื้อๆ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้เลย

     

    คงหนีเที่ยวมั้ง เดี๋ยวก็คงกลับคนเป็นพ่อตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจนักขณะพลิกหน้าหนังสือ เด็กผู้ชายก็เป็นแบบนี้ไปไหนมาไหนคงไม่อยากให้ใครตามตื้อ

     

    ไปไหนก็น่าจะส่งข้อความมาบอกบ้างสิ ปกติก็บอกนี่ พ่อขับรถไปดูหน่อยได้ไหม

     

    แบคฮยอนยังไม่กลับหรอครับเสียงทุ้มของชายหนุ่มดังขึ้นด้านหลัง ชานยอลที่เดินกลับเข้าเอาแก้วในบ้านมองสีหน้าวิตกของแม่แฟนสาวก่อนจะเหลือบสายตามองนาฬิกาบนผนัง

     

    อือ ส่งข้อความไปก็ไม่อ่าน ชานยอลติดต่อน้องได้ไหม

     

    เดี๋ยวผมลองโทรคนตัวสูงว่าแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกหารายชื่อคุ้นเคย ไม่นานเสียงสัญญาณรอสายก็ดังวนซ้ำไปมา สายตาของผู้เป็นแม่จ้องมองมาด้วยความคาดหวัง กระทั่งสายถูกตัดลงอัตโนมัติเมื่อไม่มีคนรับ ชานยอลส่ายหน้าไปมาเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจรถหน้าทีวี

     

    เดี๋ยวผมออกไปดูให้

     

    งั้นเดี๋ยวแม่คอยโทรหานะ

     

    ด้วยความร้อนรนใจกลัวว่าตัวเองจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนตัวเล็กหายไป ชานยอลไม่รอช้าเดินไปคว้าเสื้อคลุมแล้วออกจากบ้านไปทันทีโดยที่ไม่แม้แต่จะเดินไปบอกกับแฟนสาว ความคิดกังวลใจที่สั่งสมมาตั้งแต่เช้าก่อตัวขึ้น ทันทีที่ประตูรถปิดลงชานยอลก็รีบสตาร์ทเครื่องขับรถออกไปทันที

     

     

     

     

     

    ตลอดสองข้างทางที่มีแต่รถยนต์ขวั่กไขว่ไปมายิ่งเวลาผ่านไปนานเข้าโทรศัพท์ชานยอลก็ยิ่งดังถี่ จากความเป็นกังวลเริ่มเปลี่ยนเป็นร้อนรนใจ ชานยอลขับรถชะลอไปตามป้ายรถเมล์ใกล้ๆ บ้านไปจนถึงออกถนนใหญ่ แค่ขับไปเรื่อยๆ ทั้งที่ไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหน

     

    ได้แต่พยายามข่มอารมณ์ตัวเองเอาไว้ขณะขับรถมุ่งไปตามทาง

     

     

     

     


     

     

     

     

    บนสะพานข้ามแม่น้ำ รองเท้าผ้าใบสีเขรอะฝุ่นย่ำเดินไปตามไหล่ทาง สายลมอ่อนพัดปะทะใบหน้าพร้อมกับแสงไฟจากหน้ารถ ร่างเล็กๆ เดินเอื่อยไปตามทางและหยุดอยู่ใต้ไฟถนน หันหน้าออกไปทางราวสะพานมองดูผืนน้ำนิ่งสงบ

     

    จนถึงตอนนี้แบคฮยอนก็ยังไม่รู้จะกลับไปที่ไหนเมื่อบ้านมีความอึดอัดใจรออยู่ และเขาก็เอาแต่นั่งรถต่อไปเรื่อยๆ ราวกับต้องการหลีกหนีบางสิ่งบางอย่าง ไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ารับรู้กับอะไรที่พร้อมจะทำให้ใจสลาย

     

    ถ้าหายไปจะมีใครรู้ไหมนะ หรือว่าก็จะแค่หายไปเฉยๆ...

     

    โทรศัพท์เครื่องเล็กในกระเป๋าเสื้อยังกระพริบวาบไม่หยุดเมื่อมีสายเรียกเข้า คนตัวเล็กหยิบมันขึ้นมาดูรายชื่อก่อนจะกดปิดเสียงไป สองแขนวางทาบบนราวเหล็ก สายตาว่างเปล่าจ้องมองไปยังผิวน้ำเบื้องหน้า กับก้อนน้ำตาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ ความรู้สึกหนักอึ้งที่อยากจะโยนทิ้งออกไปให้หมด...

     

    เด็กหนุ่มฟุบหน้าลงกับราวสะพานจ้องมองปลายเท้าเขรอะฝุ่น นึกตลกตัวเองที่ทำตัวเป็นคนอกหักทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกับเขาด้วยซ้ำ ตั้งแต่แรกก็รู้ตัวดีว่าเป็นได้แค่กาฝากที่เกาะขอความรักจากคนรักของคนอื่น คิดอยู่เสมอว่าไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ จะมีความสุขเท่าที่ได้รับ แต่ถึงอย่างนั้นก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

     

    เคยรู้สึกอะไรบ้างหรือเปล่า ที่ผ่านมาทำไปเพราะแค่สงสาร เห็นใจ หรือต้องการเพียงความสุขของตัวเอง

     

    หยดน้ำตาที่เคยเหือดแห้งเริ่มไหลออกมาอีกครั้งเมื่อคิดว่าจะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่พร้อมบดขยี้หัวใจให้แตกสลาย ไม่รู้จะทำอะไรได้บ้างนอกจากแค่ต้องยอมรับมัน

     

     

    แสงไฟจากหน้ารถที่สาดเข้าดวงตาเรียกคนตัวเล็กให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองรถยนต์คันสีดำที่ขับเข้ามาจอดใกล้ๆ ทันทีที่เห็นป้ายทะเบียนคุ้นตาเด็กหนุ่มก็ต้องรีบเช็ดน้ำตาออก

     

    เสียงประตูรถปิดดังปังพร้อมกับพี่ชายตำรวจที่เดินตรงลงมาหาพร้อมกับเรียวคิ้วขมวดมุ่น ทว่าวินาทีนั้นหัวใจที่บุบสลายไม่อาจรับรู้ความหวาดกลัวได้อีกต่อไป

     

    มาทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่รับโทรศัพท์พี่เจ้าของใบหน้าดุดันกล่าวออกไปเสียงเข้ม อารมณ์ที่สั่งสมมาตลอดทั้งวันทำชานยอลเผลอออกท่าทีไปโดยไม่รู้ตัว

     

    ลืมเปิดเสียงไว้

     

    แล้วทำไมยังไม่กลับบ้าน ที่บ้านเค้าเป็นห่วงอยู่

     

    น้ำเสียงจริงจังและใบหน้าเคร่งขึมทำคนตัวเล็กยิ่งรู้สึกผิด ถึงแม้ในใจจะอยากตะโกนออกไป อยากทำตัวพยศแค่ไหนแต่ก็ทำไม่ได้

     

    ยังไม่อยากกลับ...กล่าวคำสารภาพออกไปเสียงแผ่ว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าสลดลง คนตัวสูงเองก็เหมือนจะรู้ตัวว่าเผลอแสดงอาการหงุดหงิดออกไป พอเห็นสีตาแดงช้ำของอีกฝ่ายท่าทีของเขาก็อ่อนลง ชานยอลถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เสเบือนใบหน้าออกไปทางอื่น

     

    กลับบ้านนายตำรวจหนุ่มกล่าวแค่นั้นก็เดินไปเปิดประตูรถ ปล่อยให้เด็กชายตัวเล็กยืนนิ่งอย่างไม่มีทางปฏิเสธ สุดท้ายแบคฮยอนก็ต้องยอมเดินไปขึ้นรถ

     

    ประตูฝั่งที่นั่งรถโดยสารถูกปิดลงเบาๆ มีเพียงความเงียบท่ามกลางบรรยากาศแสนอึมครึมและก็ยังคงไม่มีคำพูดหรือคำอธิบายใดกับเรื่องที่เกิดขึ้น ศีรษะทุยเอนพิงกับกระจกรถ สายตาจ้องมองไปยังถนนเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย

     

    พยายามข่มกลั้นน้ำตาเอาไว้กับความรู้สึกที่แทบจะทะลักพรั่งพรูออกมาเพียงแค่ได้เห็นหน้าพี่ชายคนโปรด ในใจแบคฮยอนลึกๆ ยังคงแอบหวังให้พวกเขาแกล้งลืมเรื่องทั้งหมดไปแล้วทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม หากเพียงอีกฝ่ายจะเอ่ยปากสักนิด

     

    รถยนต์คันสีดำขับเคลื่อนไปช้าๆ คนตัวสูงเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ต่างคนต่างอยู่ในมุมของตัวเองกระทั่งเสียงเรียกเล็กของเด็กหนุ่มดังขึ้น

     

    งานหมั้นเป็นไงบ้างคนตัวเล็กเอ่ยถามออกไปหวังทำลายกำแพงความน่าอึดอัดลง อย่างน้อยก็ไม่อยากให้มีความลำบากใจต่อกันแบบนี้ ทว่าก็ไม่มีเสียงตอบกลับใดจากคนอายุมากกว่า นอกจากเสียงถอนลมหายใจเบาๆ

     

    ก็ดีมีเพียงคำตอบสั้นๆ ที่ยิ่งสร้างความรู้สึกเหินห่าง ก่อนที่เสียงเรียกมือถือจะดังขึ้นทำลายบรรยากาศ ชานยอลหยิบเอาโทรศัพท์ที่วางอยู่หน้ารถขึ้นมาดูรายชื่อและกดรับสาย

     

    อือ...

     

    [………………….]

     

    เจอแล้ว กำลังจะกลับ

     

    […………………]

     

    คงยังไม่กลับบ้าน ว่าจะให้ไปนอนบ้านพี่ก่อน... อือ...

     

    เสียงสนทนาดังรอดออกมาเบาๆ แบคฮยอนแทบอยากจะหายไปเมื่อได้ยินว่าต้องไปนอนบ้านพี่เขยก่อนเพราะคำพูดของตัวเองที่บอกว่าไม่อยากกลับบ้าน ดวงตาเรียวรีหลับลงหลีกหนีความเหนื่อยหน่าย ไม่ว่าแบบไหนก็แย่ไม่ต่างกัน แต่แบบนี้มันไม่ต่างจากการเอาตัวเองวิ่งเข้าไปหาหนาม โดยเฉพาะในสถานการณ์แบบนี้

     

    ครับ... แค่นี้ก่อนนะ

     

    สายโทรศัพท์ถูกวางไปก่อนที่ความเงียบจะกลับเข้ามาอีกครั้ง ไม่มีคำพูดใดนอกจากนี้ รถยนต์คันหรูยังคงขับเคลื่อนไปตามทางท่ามกลางบรรยากาศแสนน่าอึดอัดในห้องโดยสาร ราวกับมีคนเอากำแพงสูงใหญ่มาตั้งกลั้น ชานยอลจมอยู่ในความคิดตัวเอง ขณะที่คนตัวเล็กก็ยังติดอยู่กับคำถามในใจ

     

    อีกคนยังรอที่จะให้โอกาสทั้งที่รู้ว่าตัวเองต่างหากที่ไม่มีโอกาส อีกคนไม่แม้แต่จะเอ่ยเศษเสี้ยวความคิดของตนเอง...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    กุญแจรถสีดำถูกวางลงหน้าทีวีเมื่อเจ้าของบ้านกลับมาถึง ชานยอลถอดเสื้อแจ๊คเก็ตวางพาดไว้บนพนักโซฟาก่อนจะคว้ารีโมทแอร์มาเปิด แขกคนใหม่ของบ้านยืนเก้กังอยู่กลางห้องโถงไม่รู้ว่าจะนั่งจะยืนตรงไหน มีแต่ความลำบากใจที่จะเอ่ยบทสนทนา

     

    จะอาบน้ำไหม เดี๋ยวพี่เอาเสื้อมาเปลี่ยนให้คนตัวสูงกล่าวก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องนอน ปล่อยให้เด็กหนุ่มยืนรออยู่ด้านนอก

     

    แบคฮยอนถอดเป้วางไว้ข้างโซฟา นัยน์ตากวาดมองไปรอบห้องโถงขณะที่คิดว่าอพาร์ทเม้นหลังนี้หรอที่พี่สาวจะย้ายมาอยู่ คงจะอบอุ่นน่าดู มองไปทางในก็ดูสวยงามไปหมด พอนึกแล้วก็อดอิจฉาอดจินตนาการและเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้

     

    อาบเสร็จแล้วก็เอาเสื้อใส่เครื่องไว้นะ ห้องน้ำอยู่นู่น

     

    หายไปในห้องไม่นานเจ้าของบ้านก็ออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าและผ้าขนหนู คนตัวเล็กรับมันก่อนจะเดินหายไปทางประตูห้องน้ำ เมื่อร่างเล็กหายลับสายตาไปนายตำรวจหนุ่มก็ตรงไปทิ้งร่างบนโซฟาหลับสายตาลงด้วยความเหนื่อยล้า มือหนายกขึ้นนวดหว่างคิ้ว พักจิตใจที่แสนวุ่นวายให้สงบลงแม้เพียงชั่วครู่...

     



     

     

     

     

     

     

    23:24

     

    เวลาห้าทุ่มเศษเสียงเคาะคีย์บอร์ดดังเบาๆ สลับกับเสียงคลิกเมาส์ นายตำรวจหนุ่มบิดต้นคอไปมาเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยก่อนจะพับจอโน้ตบุ๊กลงเมื่อเห็นตัวเลขบอกเวลาอันสมควรแล้ว ชานยอลลุกขึ้นไปดับไฟก่อนจะตรงไปหน้าห้องนอน

     

    คนตัวสูงยืนคิดชั่งใจอยู่ชั่วครู่ มือหนาจับคันบิดและเปิดมันอย่างแผ่วเบา

     

    ภายในห้องนอนที่มีเพียงแสงไฟสลัวจากหลอดเทียนบนหัวเตียง เด็กหนุ่มร่างเล็กซุกตัวกับผืนผ้านวม ดวงตาเรียวรีลืมโพลง ทั้งที่ร่างกายอ่อนล้าไปหมดแต่กลับไม่อาจข่มตาลงได้

    เสียงเปิดประตูเบาๆ บอกแบคฮยอนให้รู้ว่าเจ้าของห้องเดินเข้ามา คนตัวเล็กรีบหลับตาแสร้งทำเป็นนอนหลับกระทั่งรู้สึกได้ถึงแรงยวบบนเตียงข้างๆ และผ้าห่มที่ถูกดึงรั้งไป

     

    ไม่มีคำพูดใด ไม่มีอ้อมกอด มีเพียงความเงียบระหว่างแผ่นหลังที่หันชนกัน...

     

    ทั้งที่นอนห่างกันเพียงคืบแต่กลับรู้สึกเหมือนมีกำแพงสูงกั้นระหว่างกลาง นัยน์ตาคมจ้องมองบานประตูตรงหน้า ชานยอลไม่ชอบเลยที่ต้องวางท่าอึมครึมใส่กันแบบนี้ คนตัวสูงถอนลมหายใจก่อนจะพลิกกายเข้าหาเด็กหนุ่มข้างตัว ความใกล้ระยะแผ่นหลังชิดอกทำให้ปลายจมูกโด่งชิดเรือนผม สายตาคมไล่มองตั้งแต่เส้นผมสีเข้มมาจนถึงคอระหงส์ก่อนที่ท่อนแขนหนาจะวาดโอบเอวหวังเพียงแค่กอดเบาๆ

     

    คนตัวเล็กได้แต่นอนตัวตัวแข็งเมื่อถูกสัมผัส ดวงตาเรียวรีหลับแน่น ขณะที่คนด้านหลังขยับกายเข้ามาใกล้ ริมฝีปากอิ่มจูบประทับเบาๆ ลงบริเวณใกล้ท้ายทอยเป็นเพียงแค่สัมผัสบางเบาไม่มีเกินเลย ก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ที่บางอย่าง

     

    ชายหนุ่มชะงักเมื่อเห็นรอยสีแดงจางบนผิวเนียนที่มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ของตน ใบหน้าคมขยับเข้าไปใกล้ จ้องมองรอยรักด้วยความรู้สึกมวนแน่นในอก อารมณ์ครุกรุ่นก่อตัวขึ้น ลมหายใจอุ่นเป่ารดต้นคอก่อนที่ริมฝีปากร้อนผ่าวจะกดประทับลงต้นคอทับตำแหน่งรอยเก่า

     

    ร่างน้อยสั่นเบาๆ ด้วยความตระหนกเมื่อฝีปากของคนตัวโตเริ่มหนักหน่วงขึ้น ท่อนแขนที่เคยพาดโอบกอดกระชับแน่น ปลายจมูกโด่งลากผ่านสันคอ บดขยี้กลีบปากดูดดุนผิวเนื้ออย่างรุนแรงด้วยแรงอารมณ์ มือบางที่พยายามยกขึ้นดันแขนอีกฝ่ายถูกรวบ แรงบีบจากฝ่ามือหนาทำตัวเล็กต้องส่งเสียงร้องออกมา

     

    โอ้ย!

     

    ชานยอลรีบละใบหน้าออกเมื่อได้สติ ลมหายใจร้อนเป่ารดต้นคอ สายตาจ้องมองรอยแดงที่ตอนนี้กลายเป็นสีเข้มไปแล้ว กว่าจะรู้ตัวก็เผลอใจทำเรื่องที่ห้ามตัวเองไปจนได้ ชายหนุ่มคลายท่อนแขนที่กอดรัดร่างเล็กออกก่อนจะหยัดกายขึ้นนั่ง ทั้งโกรธและหงุดหงิดตัวเอง รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้แต่ก็ยังปล่อยตัวทำตามอารมณ์

     

    พี่ขอโทษ...เขากล่าวคำขอโทษออกไปเพียงเท่านั้นก่อนจะคว้าหมอนลุกออกจากเตียงไป ปล่อยให้คนตัวเล็กได้แต่นอนน้ำตาหยดด้วยหัวใจที่สั่นไหว

     

    เสียงปิดประตูดังเบาๆ แบคฮยอนยกมือขึ้นปาดน้ำตาส่งเสียงสะอื้นออกมาเบาๆ นึกโกรธตัวเองที่ยังหวั่นไหวพราะสัมผัสที่ปลุกความรู้สึกให้ครุขึ้นในใจ ถามตัวเองว่าร้องไห้ทำไม ร้องเพราะเสียใจหรือร้องออกมาเพราะกลัวว่าจะถูกเมินเฉยและไร้ตัวตนไปยิ่งกว่าเดิม ต้องถูกเห็นแล้วแน่ๆ พี่ชานยอลจะโกรธไหม เพราะตัวเขาเองแท้ๆ ที่ทำอะไรบ้าๆ อยากไปอธิบาย โกรธที่ไม่รักตัวเองแต่ก็หยุดความคิดนี้ไม่ได้

     

    อึก... ฮึก...เสียงสะอื้นดังเบาๆ คนตัวเล็กยกหลังมือเช็ดน้ำตากำคอเสื้อยืดตัวหลวมไว้แน่น ไม่สามารถบอกตัวเองให้มั่นใจได้เลย อยากหันหลังให้ อยากเดินไปจากเขาแต่ก็ทำไม่ได้เพราะยังไงแบคฮยอนคือแบคฮยอนที่เอาแต่เดินตามหลังตลอด

     


     

    ขณะที่ใครอีกคนกำลังนอนร้องไห้ ชายผู้แบกโลกทั้งใบไว้ก็เดินออกมานั่งที่โซฟา ชานยอลไม่ชอบเลยเวลาที่สูญเสียความเป็นตัวเองหรือเผลอทำอะไรด้วยความไม่ยับยั้งชั่งใจ มือหนายกขึ้นลูบใบหน้า พยายามดึงสติตัวเองไม่ให้ไขว้เขว ทั้งที่แค่ตั้งใจจะทำลายบรรยากาศที่แสนน่าอึดอัดลง แต่กลับไประบายอารมณ์ใส่แบคฮยอนจนได้ รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีสิทธิ์ไปทำอย่างนั้นเลย

     

    เป็นอะไรไปนะชานยอล ทำไมกับเรื่องนี้ถึงควบคุมตัวเองไม่ได้เลย

     

     

     

     

     

    เวลายังคงหมุนเดินไป เจ้าของนัยน์ตาสีอ่อนยังนอนคิดอะไรมากมายอย่างไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ มือบางควานไปหยิบมือถือมาดูนาฬิกาที่บอกเวลาตีหนึ่งเศษแล้ว คนตัวเล็กหยัดกายลุกจากที่นอนเดินออกไปแง้มประตูดู และกลับเข้าไปในห้องก่อนจะออกอีกครั้งพร้อมหมอนกับผ้าห่ม

     

    ท่ามกลางความมืดโซฟานอนตัวยาวกลางห้องโถงถูกปรับเป็นเตียงโดยมีร่างของเจ้าของบ้านนอนหลับอยู่ แม้ว่าอากาศด้านนอกจะค่อนข้างหนาวแต่คนตัวสูงก็ยังหลับได้โดยที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนน้อยปกคลุมร่าง

     

    แบคฮยอนสะบัดผ้าห่มคลุมร่างพี่เขยจัดแจงให้ชายปกคลุมถึงปลายเท้าก่อนจะวางหมอนลงข้างอีกฝ่าย มุดกายเข้าผืนผ้านวมเข้าไปนอนใกล้ๆ

     

    ถึงจะเจ็บหรือเสียใจก็อยากจะร้องไห้ในอ้อมกอดนี้อยู่ดี แม้ว่าเจ้าของมันจะเป็นคนสร้างบาดแผลนี้ขึ้นมาก็ตาม

     

    ถ้านี่เป็นโอกาสเดียวและเป็นคืนสุดท้ายที่จะได้ทำแบบนี้แบคฮยอนก็อยากเก็บทุกความรู้สึกเอาไว้ในใจก่อนที่จะต้องแยกจากกันไปทำตามหน้าที่ของตัวเองกับความรักที่ไม่ถูกทั้งที่และเวลา

     

    ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ...

     

    ความสุขที่อยากจะจดจำเป็นครั้งสุดท้าย ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านไป แต่แม้จะต้องการแค่ไหนเช้าพรุ่งนี้ก็ต้องมาถึงอยู่ดี...

     

    ถึงไม่ได้อยู่ใกล้กันก็อยากขอแอบรักแบบนี้ไปเรื่อยๆ พบเจอตามโอกาส แค่ยิ้มให้กันทุกครั้งที่เจอหน้าก็เพียงพอ...

     

    นัยนตากลมโตลืมขึ้นท่ามกลางความมืดเมื่อรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เบียดเข้ามาชิดกาย ใครบางคนที่ยังไม่สามารถข่มตาให้หลับสนิทได้นอนนิ่ง ชานยอลหลับตาลงก่อนจะรวบร่างน้อยเข้ามากอด ริมฝีปากอิ่มกดจูบเบาๆ ลงบนศีรษะทุย มีเพียงความเงียบและเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ภายใต้แผ่นอก





    .



    .



    .





     

     

    สียงประตูรถคันใหญ่ถูกปิด เวลาเช้าของวันเสาร์แบคฮยอนกลับมาถึงบ้านโดยมีพี่เขยขับรถมาส่ง มือบางกำสายสะพายเป้แน่น คนตัวเล็กถอนลมหายใจอย่างหมดอาลัย ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในบ้านทุกสายตาก็จับจ้องมาที่เขาราวกับต้องการจับผิด กระทั่งเสียงของผู้เป็นแม่ดังขึ้น

     

    กินข้าวมาหรือยัง

     

    กินแล้วฮะ

     

    ปวดคออีกแล้วหรอ อ่านแต่หนังสือมากไปแล้วมั้งหญิงวัยกลางคนพูดติดตลกเมื่อเห็นแผ่นแปะบรรเทาปวดบนคอสองของลูกชาย เธอส่งยิ้มจางๆ ให้เด็กหนุ่มตรงหน้าก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะกล่าวขึ้น

     

    คะแนนก็ทำได้ดีนี่ ไม่เห็นต้องเครียดเลย

     

    “........” คนตัวเล็กไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นัยน์ตาหลุบลงหลบสายตา รู้สึกโชคดีที่พ่อแม่ยังเข้าใจว่าตัวเองหายไปเพราะเครียดเรื่องสอบ หรือว่าอาจเป็นเพราะมีใครคอยแก้ตัวให้ แบคฮยอนหันไปมองพี่เขยที่กำลังยืนคุยกับพี่สาวหน้าบ้านก่อนจะเดินผ่านพ่อแม่ขึ้นบันไดกลับไปยังห้องของตัวเอง

     

    เป้ใบเล็กถูกโยนไว้ข้างโต๊ะเขียนหนังสือ ก่อนร่างที่แสนเหนื่อยล้าจะล้มลงบนเตียงนอน ดวงตาเรียวรีจ้องมองผนังห้องสีอ่อนขณะที่ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัว หลังจากนี้จะเป็นยังไงนะ ทุกอย่างจะเหมือนเดิม หรือถึงเวลาต้องแยกทางกันกับฝันหวานที่แสนสั้นนี้...

     

     



     

     

     


     

    ภายใต้แสงไฟสีนวลจากโคมไฟดวงน้อย ปลายปากกาลูกลื่นขยับเขียนข้อความถ่ายทอดลงบนหน้ากระดาษ วันเวลาที่ผ่านไปกับความเดียวดายและหยดน้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้ง ทุกวันยังเอาแต่นอนร้องไห้ทุกครั้งที่มองดูรูปเขาในโทรศัพท์มือถือ

     

    ไม่มีข้อความถูกตอบกลับมาอีก ไม่มีการพูดคุยนอกเหนือจากธุระจำเป็น แม้จะเจอหน้ากัน ยิ้มให้กันบ้างแต่คนต่างรู้ดีว่ามีบางอย่างที่เปลี่ยนไป ชุดสูทสำหรับร่วมงานมงคลถูกตัดเตรียมอย่างดี

     

    ขณะที่อีกคนต้องเดินหน้าต่อไป ใครอีกคนก็ยังไม่ยอมไปไหน ได้แต่เฝ้าถามตัวเองทุกวันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงความรู้สึกฉาบฉวยของชายคนหนึ่ง เป็นหรือเป็นความหลงใหลของเด็กชายวัยอ่อนเดียงสา

     

    ทำไมความรู้สึกมันถึงฝังติดใจอย่างกับแผลเป็น ยังไงก็ยังรักอยู่เสมอ ยังเลิกคิดถึงไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว

     

    ข้อความสุดท้ายถูกบันทึกลงบนสมุดก่อนที่จะถูกปิดลง คนตัวเล็กเดินไปทิ้งกายนอนบนเตียง จ้องมองชุดสูทสำหรับร่วมงานแต่งพี่สาวด้วยหัวใจที่แสนเจ็บปวด

     

    ทำไมนะ... ทำไมไม่เจอเขาให้ไวกว่านี้ ทำไมถึงไม่เป็นแบคฮยอน ทำไมเป็นแบคฮยอนไม่ได้...

     

    น้ำตาหยดเล็กๆ ไหลดิ่งลงหมอน สายตาเหม่อลอยจ้องมองชุดสูทที่แขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าไม่วางตา มีแต่หัวใจที่ชอกช้ำกับเสียงนาฬิกาที่ตอกย้ำว่าทุกอย่างต้องดำเนินไปต่อให้ไม่อยากให้พรุ่งนี้มาถึงแค่ไหน สุดท้ายฝันดีแค่ไหนก็ต้องตื่น ขณะที่อีกคนเดินหน้าสู่การสร้างครอบครัว แบคฮยอนได้แต่นอนกอดตัวเองด้วยหัวใจที่เจ็บร้าว


    มือบางเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าไปยังกล่องข้อความที่ปรากฏรายชื่อแสนคุ้นตา ก่อนที่ปลายนิ้วจะกดพิมพ์ข้อความแสนสั้นแต่แทนความรู้สึกทั้งหมดในใจ

     

    รักนะ...

     

    มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตา อ่านข้อความนั้นทวนซ้ำก่อนที่สุดท้ายจะตัดสินใจลบมันออกไป... บอกไม่ได้ คำนี้พูดไปไม่ได้...

     

    ดวงตาเรียวรีหลับลง ทั้งที่ยังปล่อยให้แสงจากโคมไฟอ่านหนังสือเปิดสว่าง ได้แต่หวังให้ความทรมานนี้ทุเลาลงและหายไปในสักวัน....

     

     

     

     

    .




    .


     

    .

     

     


     

    กำหนดวันแต่งงานเข้าใกล้มาเรื่อยๆ จนเหลืออีกเพียงหนึ่งสัปดาห์ แพยอนเตรียมเก็บของพร้อมออกจากบ้านทันทีที่ทำพิธีสมรสเสร็จ ทั้งพ่อแม่และแขกเหรื่อก็ต่างหน้าชื่นตาบ้าน ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมอย่างดี

     

    บรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่ำวันนึ้ครึกครื้นกว่าทุกที โดยเฉพาะว่าที่เจ้าสาวยกเว้นเด็กหนุ่มที่แม้แต่จะกลืนข้าวลงคอก็ยังทำได้ยาก ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็ยิ่งอึดอัดใจ แบคฮยอนตัดสินใจลุกจากเก้าอี้นำจานข้าวไปเก็บหลังจากที่กินไปได้เพียงครึ่ง

     

    อิ่มแล้วหรอเจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยถาม คนตัวเล็กเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องครัวไปทันที

     

    ต่อหน้ากันก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ในใจอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมาย แบคฮยอนได้แต่นึกขำตัวเองที่ยังหวั่นไหวกับรอยยิ้มและสายตานั้นทุกครั้ง อยากให้เขากอด ได้สัมผัสกันเหมือนเก่า แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ความสัมพันธ์นี้ยังไม่เกิดขึ้น แบคฮยอนอาจจะมีความสุขมากกว่าที่ได้แอบรักอยู่อย่างเงียบๆ

     

    ทำยังไงถึงจะเลิกรักได้นะ...

     

     

     

     

    เวลาสี่ทุ่มเศษไฟผนังในห้องโถงถูกเปิดไว้สลัวๆ เมื่อทุกคนขึ้นบ้านนอนหมดยกเว้นลูกชายคนเล็กที่ยังนั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน สายลมที่ปะทะใบหน้าเหือดแห้งและหนาวเหน็บไม่ต่างจากความรู้สึกในใจ

     

    ดวงตาเรียวรีเหม่อมองสนามหญ้าเบื้องหน้าขณะที่ในหัวคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ในเมืองที่มองไม่เห็นฟ้าเห็นดาวแบบนี้สิ่งเดียวที่พอจะคลายความเป็นกังวลได้ก็คงมีเพียงสายลมเท่านั้น ทว่ายิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเริ่มหนาว เด็กหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้นปัดกางเกงหันหลังเตรียมกลับเข้าบ้าน ก่อนที่คนตัวเล็กจะต้องผงะเมื่อเห็นว่าที่พี่เขยยืนพิงขอบประตูมองอยู่

     

    ยังไม่นอนอีกหรอเจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยถาม สายตาจดจ้องเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่วางตา

     

    กำลังจะไปนอนแล้ว

     

    อือ...ชานยอลเพียงแค่ครางตอบออกมาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะวางมือลงบนศีรษะเจ้าตัวเล็กขณะก้าวเท้าออกจากบ้าน พี่ไปแล้วนะ...

     

    แบคฮยอนได้แต่ยืนนิ่งกับรอยยิ้มและสายตาที่จ้องมองมาราวกับเคลือบแฝงด้วยความรู้สึกบางอย่าง กลิ่นน้ำหอมที่แสนคุ้นเคยลอยผ่านตัวเมื่ออีกฝ่ายเดินจากไป

     

    ความรู้สึกบางอย่างบีบหัวใจคนตัวเล็กจนปวดหน่วง ได้แต่หันหลังมองตามกระทั่งคนตัวสูงหายลับขึ้นไปบนรถคันโต...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    สองวันก่อนงานแต่ง ในตอนเช้าเสียงพูดคุยวุ่นวายจากชั้นล่างปลุกเด็กชายตัวเล็กให้ลืมตาตื่นขึ้น แบคฮยอนงัวเงียคว้ามือถือมาดูนาฬิกาที่บอกเวลาสิบโมง ใบหน้ามุดหน้าลงกับหมอนด้วยความหงุดหงิดใจกับเสียงพูดคุยที่ดังมาจากห้องข้างๆ

     

    คิ้วเรียวขมวดมุ่นก่อนที่เด็กหนุ่มจะตัดสินใจหยัดกายลุกจากที่นอนไปเปิดประตูห้องก่อนที่จะพบชายหลายคนที่ดูท่าทางไม่น่าจะใช่ญาติเดินขวั่กไขว่ไปมาหน้าห้อง คนตัวเล็กยืนนิ่งอยู่หน้าประตูก่อนจะก้าวเท้าเดินลงบันไดไปยังชั้นล่างแล้วก็พบกับแม่และพี่สาวยืนอยู่ข้างกันทั้งยังอยู่ในชุดลำลอง มีตำรวจหลายนายเดินตรวจไปรอบบ้าน

     

    แม่

     

    แบคฮยอน...ผู้เป็นแม่หันไปมองลูกชายคนเล็กด้วยสีหน้าวิตกกังวลไม่ต่างกัน ขณะที่แพยอนก็ยังพยายามต่อสายหาคู่หมั้น

     

    เกิดอะไรขึ้น...

     

    คนตัวเล็กเดินไปยืนข้างผู้เป็นแม่ มองเจ้าหน้าที่เดินเพล่นพล่านไปทั่วด้วยความตระหนกก่อนที่คำตอบจะยิ่งทำให้เขาสับสนและตื่นกลัว

     

    ตำรวจมาหาพ่อ

     

    เรื่องอะไร...

     

    แม่ไม่รู้เหมือนกัน

     

    แล้วพี่ชานยอลล่ะ

     

    “............”

     

    มีเพียงความเงียบที่เกิดขึ้น คนเป็นแม่ได้แต่ลูบหัวลูกหัวลูกชายขณะหันไปมองลูกสาวที่ยังพยายามติดต่อคู่หมั้น ตั้งแต่เช้าวันนี้ยังไม่มีใครติดต่อชานยอลทั้งที่มีเรื่องใหญ่ขนาดนี้เกิดขึ้น เมื่อหัวหน้าครอบครัวถูกกักกุมตัวความหวังเดียวตอนนี้ก็เลยไปตกที่คนรักของลูกสาว

     

    ยังติดต่อไม่ได้เลย

     

    แบคฮยอนยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความสับสนขณะเรียบเรียงเรื่องราวและความรู้สึกบางอย่างเล็กๆ ที่เหมือนเสี้ยนแทงอยู่กลางใจก็ทำให้เขายิ่งต้องเป็นกังวล

     

    คุณนายครับ

     

    เดี๋ยวแม่ไปก่อนนะลูก อยู่กับพี่พยายามติดต่อพี่ชานยอล เดี๋ยวแม่จะโทรหาอาหญิงวัยกลางคนฝากฝังกับลูกชายก่อนจะรีบรุดขึ้นไปเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าตามสามีไปที่สน.ด้วยเรื่องคดีความ ปล่อยให้เด็กชายตัวเล็กได้แต่ยืนนิ่งด้วยความไม่เข้าใจ

     

    นี่มันเรื่องอะไรกัน... ทั้งที่งานแต่งใกล้เข้ามาแล้วแท้ๆ...

     

     


     

    .

     

    .

     

    .

     

     


     

     

    บรรยากาศภายในห้องสอบสวนเต็มไปด้วยความน่าอึดอัด อดีตที่ปรึกษาสส.ชานวุคเอาแต่นั่งเงียบ แฟ้มคดีปึกใหญ่วางกองอยู่ตรงหน้าแต่ชายวัยกลางคนก็ยังวางท่าทีสุขุมไม่ได้แสดงความหวาดกลัวหรือตกใจแม้แต่น้อย สายตาแน่วแน่ดุจสัตว์ร้ายจ้องมองเจ้าหนักงานไม่วางตา

     

    รู้ไหมว่ามาที่นี่ทำไม

     

    ทนายผมมาหรือยัง

     

    นายตำรวจหนุ่มมองชายตรงหน้าพลางถอนลมหายใจก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ด้านหน้าเขา แล้วหยิบเอาแฟ้มคดีหมายเลข 125/2561 ขึ้นมา สองสายตาจ้องกันราวกับต้องการส่งนัยความหมายผ่านแววตา ทว่าผู้ต้องหาก็เอาแต่วางท่าราวกับเขารู้อยู่เต็มอกว่ายังไงก็ต้องรอดออกไปจากที่นี่

     

    พี่รู้ไหมใครทำคดีนี้สรรพนามคุ้นเคยถูกยกขึ้นมาเรียกอดีตคนคุ้นเคย แฟ้มคดีสีน้ำตาลจะถูกเลื่อนไปตรงหน้าว่าที่จำเลย

     

    ชานวุคหลุบสายลงตามองแฟ้มกระดาษก่อนจะเปิดมันออกดูและภาพที่เห็นก็ทำให้ชายวัยกลางคนต้องเบือนหน้าหนี สายตานิ่งสนิทปรายมองนายตำรวจผู้น้อยไม่วาง สีหน้าไม่บ่งบอกถึงพิรุธใด

     

    แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม...

     

    ปาร์ค ชานยอล คุ้นๆ ไหม

     

    ทันทีที่ชื่อเอ่ยออกมาเสียงถอนลมหายใจดังขึ้น แม้ว่าว่าที่จำเลยจะพยายามเก็บสีหน้าแค่ไหนแต่สารวัตคังอินก็รู้ว่าที่ปรึกษาชานวุคกำลังเก็บอารมณ์อยู่ เป็นใครจะไม่โกรธถ้าได้รู้ว่าลูกเขยตัวเองเป็นคนตลบหลังรื้อคดีจับพ่อตา

     

    คราวนี้พี่หลุดยากหน่อยนะ คุณแจอินเค้าก็ยุ่งๆ กับงานการเมืองอยู่ เรามาคุยกันดีๆ ดีกว่า ตอนนี้คดีอื่นของพี่ยังไม่ถูกรื้อ ถ้ารับอย่างมากอาจจะซัก 6 ปีเฉพาะคดีทุจริต แต่คดีนี้แหละที่เป็นต้นเหตุคังอินกล่าวย้ำ ใช้นิ้วเคาะไปบนแฟ้มคดีหน้าผู้ต้องหา ท่าทางไม่มองตามของอีกฝ่ายเป็นภาษากายที่บ่งบอกว่าชานวุคกำลังปฏิเสธสิ่งที่เห็น เราคุยกันแบบดีๆ นะพี่ พี่ช่วยผมผมก็ช่วยพี่ ถ้าหวังพึ่งนายตอนนี้ก็ยาก คดีพวกนี้มันอาจจะลดหย่อนได้ แต่จ้างวานฆ่ามันคดีหนัก

     

    “............”

     

    เฮ้อ...ความดื้อด้านของชายแก่ทำสารวัตรร่างท้วมต้องถอนหายใจ คังอินลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะเอ่ย พี่จะไม่คุยกับผมก็ได้ แต่มีคนอยากคุยกับพี่อยู่เขากล่าวแค่นั้นก่อนจะหันหลังเดินหนีไป เป็นจังหวะเดียวกับที่ตำรวจอีกนายเปิดประตูสวนเข้ามา

     

    นัยน์ตาเย็นเยียบของอดีตที่ปรึกษาสส.เหลือบมองชายหนุ่มคุ้นหน้าหรือที่รู้จักกันดีในฐานะลูกเขย สีหน้าของชานยอลยังเคร่งขรึม แววตาสงบนิ่งเหมือนดั่งเช่นทุกที ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความเกรงกลัวหรือความไม่กล้าเผชิญหน้าอยู่เลย

     

    ร้อยตำรวจเอกตรงไปขยับเก้าอี้และนั่งลงหน้าผู้ต้องหา สองมือยกขึ้นประสานกันบนโต๊ะสายตาจ้องมองกัน บรรยากาศภายในห้องสอบสวนอัดแน่นไปด้วยความกระอักกระอ่วน กระทั่งชายวัยกลางคนขยับฝีปาก

     

    แกไม่คิดจะรับโทรศัพท์ลูกสาวฉันหน่อยหรอ...

     

    ผมไม่ได้เปิดโทรศัพท์

     

    แกเองหรอที่ทำเรื่องนี้ วางแผนมาตั้งแต่แรกเลยหรอ

     

    “.............”

     

    แกจับฉันไม่ได้หรอก...ด้วยความเจ็บแค้นและความทะนงตนอยากเอาชนะ ชานวุคสบถคำขู่รอดไรฟัน ทว่าชายหนุ่มตรงหน้าก็สงบนิ่ง ชานยอลจ้องมองว่าที่พ่อตาของเขาด้วยสีหน้าและแววตาที่ยากจะอ่านออก

     

    คุณถูกจับในคดีจ้างวานฆ่า ผมมีหลักฐานใหม่เอาผิดคุณเสียงทุ้มกล่าวราบเรียบ ชายหนุ่มเว้นจังหวะจ้องมองผู้ต้องหาก่อนจะว่าต่อ แต่ผมยังไม่ได้ส่งหลักฐานสำคัญเข้ากอง

     

    แกมาบอกฉันทำไม ต้องการอะไรชานวุคจ้องหน้าอดีตว่าที่ลูกเขยไม่วางตา เอ่ยถามออกไปเป็นการหยั่งเชิง สองมือใต้โต๊ะบีบกำแน่น

     

    ผมต้องการให้คุณสารภาพ ยอมรับผิดคดีนี้ซะ

     

    สารภาพเรื่องอะไร

     

    เห็นแก่แบคฮยอนกับแพยอนเถอะ

     

    แกยังจำชื่อนี้ได้อยู่อีกหรอ

     

    ชานยอลไม่ตอบโต้หรือปฏิเสธกับสายตาเจ็บแค้นของว่าที่พ่อตา แม้ว่าชานวุคจะเป็นคนเลวแต่ในฐานะพ่อของลูกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะโกรธ และชานยอลเองก็ไม่ลืมสิ่งที่เขาทำกับครอบครัวนี้เช่นเดียวกัน

     

    ทำไมเราไม่ทำให้เรื่องมันง่ายๆ ถ้ายอมรับผิดคดีจ้างวานฆ่าผมจะไม่ส่งหลักฐานคดีทุจริต ปล่อยให้หมดคดีความแล้วคุณรับผิดแค่คดีเดียวเขาว่าก่อนจะเปิดกางแฟ้มอีกอันลงบนโต๊ะ ซึ่งภายในเต็มไปด้วยหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวโยงอดีตที่ปรึกษานักการเมืองเข้ากับคดีลอบยิงนายตำรวจเมื่อหลายปีก่อน

     

    ทั้งจดหมายลาที่ผู้ตายเขียนก่อนจะถูกลอบยิง และเอกสารการโอนเงินต่างๆ ที่สืบค้นได้ภายหลัง รวมถึงรูปถ่ายมือปืนยังไงชานวุคก็ดิ้นไม่หลุด

     

    ถ้าคุณไม่สารภาพผมจะส่งหลักฐานทั้งหมดทุกคดีและจะขึ้นให้การในฐานะพยานด้วย

     

    “............”

     

    ถ้านับความผิดคดีทั้งหมดรวมลดหย่อนโทษอาจจะซัก 20 ปี คุณน่าจะนึกถึงครอบครัวบ้าง

     

    คนอย่างแกพูดออกมาได้หรอ

     

    สองสายตาจ้องกันราวกับจะกินเลือดเนื้อ นายตำรวจหนุ่มไม่หลบตาหรือแสดงความโกรธเกรี้ยวใดๆ ทางสีหน้า ชานยอลเองก็รู้ว่าพี่ชายเขามีส่วนผิดที่เข้าไปพัวพันกับการรับเงินใต้โต๊ะเพื่อจัดการปัญหาต่างๆ ให้กับนักการเมือง แต่เมื่อขึ้นหลังเสือแล้วเมื่อวันที่ตัดสินใจจะลงเขากลับจบมันไม่ได้สวยงามอย่างที่คาดหวัง

     

    เมื่อถึงวันที่คิดได้และตัดสินใจจะกลับตัวก็สายไปเสียแล้ว

     

    ถามจริงๆ เถอะ แกรักลูกสาวฉันบ้างหรือเปล่านัยน์ตาแข็งกร้าวจ้องมองนายตำรวจตรงหน้าอย่าง สีหน้าของชายวัยกลางคนดูอ่อนลงเมื่อพูดถึงลูกสาว พวกเขากำลังมองกันในส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ แกเคยรักแพยอนจริงๆ หรือเปล่า

     

    คนตัวสูงเอาแต่นั่งเงียบไม่ตอบอะไร ซ่อนความเหนื่อยหน่ายไว้ใต้สายตาแน่วแน่ ตั้งแต่วันแรกที่ชานยอลตัดสินใจเดินเข้าบ้านของแฟนสาวความมุ่งมั่นของเขาตั้งอยู่กับการสะสางเรื่องที่ติดค้างจนไม่ได้สนใจอย่างอื่น รู้ว่าตัวเองก็เลวไม่แพ้กัน แต่ในเมื่อตัดสินใจทำไปแล้วชานยอลก็ไม่คิดจะถอยหลัง

     

    ถ้าคุณยอมจบคดีนี้ ผมจะปล่อยให้เรื่องอื่นหายไป

     

    แกยังไม่ตอบฉันเลย... แกทำแบบนี้เพราะแกรู้สึกผิดหรอ...

     

    “..........”

     

    ลูกสาวฉันอยู่ในแผนนี้ด้วยหรือเปล่า

     

    ถ้าคุณไม่อยากคุยเรื่องคดีก็รอทนายคนตัวสูงกล่าวแค่นั้นก็ลุกขึ้นปิดแฟ้มหลักฐาน หันหลังเดินออกไป ทว่ายังไม่ทันที่ฝ่ามือหนาจะจับถึงลูกบิดเสียงทุ้มก็ดังขึ้น

     

    แล้วแบคฮยอนล่ะ

     

    “...........”

     

    นั่นก็แผนแกด้วยหรือเปล่า...

     

    ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร ชานยอลเพียงแค่เปิดประตูเดินออกจากห้องสอบสวนไป ก้าวผ่านสายตาที่จ้องมองของเพื่อนร่วมงาน นัยน์ตาคมสบเข้าสายตาของหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แถลงการณ์ สายตาที่มีแต่ความสับสนและผิดหวังของแม่อดีตคนรัก

     

    ทำร้ายความรู้สึกใครไปบ้าง...

     

    ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไร แต่สิ่งที่ชานยอลทำไว้แม้แต่จะพูดว่าขอโทษก็ยังกระดากอายเหลือเกิน...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    จากรายงานล่าสุด เรื่องคดีจ้างวานฆ่านายตำรวจเมื่อเจ็ดปีก่อน ล่าสุดทางสำนักงานตำรวจก็ได้รายงานเพิ่มเติมแล้วว่า อี ชานวุค อดีตที่ปรึกษาสส.มุนแจอินรับสารภาพว่ามีส่วนข้องกับการลอบยิงร้อยตำรวจอินซอง เมื่อเจ็ดปีก่อน ซึ่งตอนนี้ก็ยังมีการพยายามยื่นขอประกันตัวระหว่างรอพิจารณาคดี ส่วนเรื่องที่ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตที่ใกล้จะหมดคดีความไหม ยังไม่มีข้อมูลยืนยันมา ณ ที่นี้ค่ะ

     

    เสียงรายงานข่าวจากเทปบันทึกข่าวภาคค่ำดังออกมาจากมือถือ เช้าวันนี้ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เรื่องคดีความ งานแต่งงานถูกยกเลิกท่ามกลางความสงสัยของแขกเหรื่อ ตำรวจเข้ามาค้นบ้านวุ่นวายไปหมด พ่อถูกควบคุมตัวและยังถูกห้ามประกัน แบคฮยอนเครียดจนหัวแทบระเบิดกับการได้ยินเสียงพี่สาวร้องไห้ทุกวัน และมีคนใกล้ชิดนักการเมืองเข้ามาที่บ้านไม่หยุดหย่อน

     

    เบื้องต้นก็พอจะทำความเข้าใจได้ว่าพ่อไปมีส่วนเกี่ยวพันกับคดีสั่งยิงนายตำรวจเมื่อหลายปีก่อน และคดีถูกรื้อขึ้นมาสืบต่อ พี่ชานยอลยังไม่มาที่บ้านตั้งแต่วันนั้นที่ไปคุยกันครั้งสุดท้าย แพยอนเอาชุดแต่งงานไปเผาและเอาแต่นอนร้องไห้เหมือนฝันร้ายมาเยือนบ้าน

     

    มีข่าวลือเรื่องพี่ชานยอลหักหลังครอบครัวดังไปทั่ว ถึงจะไม่อยากเชื่อแต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันบ่งบอกและชี้ชัดไปในทางนั้นหมด



    ตอนเช้าของวันอาทิตย์ แบคฮยอนตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงรถคันที่แสนคุ้นเคย คนตัวเล็กรีบวิ่งไปเปิดหน้าต่างแล้วก็เห็นคนที่รอจะได้พบหน้ามาหลายวัน ด้วยความดีใจแบคฮยอนรีบวิ่งไปคว้าลูกบิดแต่ยังไม่ทันจะได้เปิดประตู ความรู้สึกบางอย่างก็หยุดเขาเอาไว้

     

    เด็กหนุ่มตัดสินใจเดินถอยกลับไปที่เตียงนอนและรอฟังเสียงกระทั่งได้ยินคนเดินขึ้นมาก่อนที่เสียงประตูห้องข้างๆ จะดังขึ้น

     

    แบคฮยอนนั่งนิ่งมองกำแพง ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงตะโกนของพี่สาวดังขึ้น ร่างเล็กถอยหลังชิดกำแพงห้องด้วยความตระหนก พยายามฟังจับใจความบทสนทนาแต่ก็ได้ยินเพียงเสียงตะคอก ทั้งเสียงขว้างปาสิ่งของยิ่งทำให้คนตัวเล็กนึกอยากจะหนีไปไกลๆ

     

    ทั้งที่ก่อนหน้าหน้านั้นทุกอย่างกำลังดีอยู่แท้ๆ

     

    เขาตัดสินใจลุกออกจากเตียงไปเปิดแง้มประตูดูหน้าห้องพี่สาวที่ยังไม่มีท่าว่าเสียงทะเลาะกันจะเบาลง สองเท้าก้าวออกจากห้องเดินไปตามทาง ขณะที่ผ่านหน้าประตูห้องนอนสีหวานเสียงบทสนทนาก็ดังรอดออกมาให้ได้ยินแม้ไม่ได้ตั้งใจฟัง

     

    พี่ไม่เคยรักฉันเลย! ฮือ! ทั้งหมดมันแค่นี้หรอ!! พี่ทำลายชีวิตฉัน ไอ้คนชั่ว!! ฮื่อ

     

    มีแต่เสียงแพยอนที่แผดดังออกมา แบคฮยอนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของพี่เขย เขาอยากก้าวเท้าเดินต่อแต่ก็อดใจฟังไม่ได้

     

    พ่อฉันไว้ใจพี่! แต่พี่หักหลังเรา ฮือ... ที่ผ่านมามันเคยมีอะไรจริงบ้างไหม!

     

    เสียงร้องไห้ดังคร่ำครวญ ถึงตอนนี้แบคฮยอนก็คิดว่าเขาเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว สองเท้าก้าวออกห่างจากประตู คนตัวเล็กกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกใหญ่ก่อนจะเดินหนีบทสนทนาลงไปด้านล่าง ถึงจะไม่เคยรู้เรื่องธุรกิจหรืองานที่พ่อทำนักแต่แบคฮยอนก็มองว่าถ้าหากพ่อทำผิดจริงก็ควรได้รับโทษ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยคิดเลยคือเรื่องพี่เขย...

     

    ถึงแม้ว่าใครจะมองยังไง จะเห็นว่าพี่ชานยอลเข้ามาเพียงเพื่อสืบหาข้อมูลทำคดีแต่สำหรับแบคฮยอนสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขามันมากกว่านั้น... คนที่อยู่ตรงกลางท่ามกลางความสับสนและหวาดกลัวก็คงจะมีแต่ตัวเขาเอง

     

    เสียงปิดกระแทกประตูดังปังจากชั้นบนทำคนขวัญอ่อนสะดุ้ง สายตาจดจ้องไปยังช่องระหว่างราวบันได ทันทีที่เห็นว่าใครเดินลงมาแบคฮยอนก็ได้แต่ยืนนิ่ง สองสายตาสบมองกัน ใบหน้าของนายตำรวจมีแต่ร่องรอยของความเหนื่อยล้าและนัยน์ตาของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความสับสนลังเล

     

    “...............”

     

    พี่ไปแล้ว ดูแลตัวเองดีๆ นะคนตัวสูงระบายยิ้มจางๆ บนใบหน้าก่อนจะเดินมาลูบหัวคนขี้แยที่เริ่มน้ำตาคลอ สายตาของชานยอลยังอบอุ่นอยู่เสมอเหมือนกับช่วงเวลาที่ผ่านมาแม้ว่ามันเกือบจะหายไป

     

    ความรู้สึกมากมายโถมขึ้นมาอัดแน่นเต็มหัวใจ แบคฮยอนยังเอาแต่เรียกร้องว่าอย่าไปนะ ถึงจะรู้ว่าเขาเข้ามาเพื่อทำลายครอบครัว

     

    เราจะได้เจอกันอีกไหมคนตัวเล็กยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตาพยายามกลั้นตัวเองไม่ให้ร้องไห้ แต่พอเห็นสายตาที่เคยมอบความอบอุ่นใจให้เขาแล้วก็เริ่มทนไม่ไหว

     

    ถ้าอยากเจอ...ชานยอลก้มลงจูบบนศีรษะทุยเป็นการทิ้งท้ายก่อนจะเดินผ่านเจ้าของบ้านไปปล่อยให้คนตัวเล็กได้แต่ยืนน้ำตาหยด

     

    ชายหนุ่มถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ทันทีที่ก้าวเท้าพ้นประตูบ้านหลังน้อย กับเรื่องราวหนักอึ้งที่แบกมาตลอดหลายเดือน... มันคงดีกว่านี้ถ้าทุกอย่างดำเนินไปอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก

     

    ชานยอลเดินไปขึ้นรถยนต์คันเก่ง หันมองรั้วที่แสนคุ้นเคยเป็นครั้งสุดท้าย มองใบหน้าของเด็กชายที่มายืนร้องไห้ให้อยู่หน้าประตู

     

    ควรจะจบสักทีกับเรื่องวุ่นวายเหล่านี้...

     

     

     

     

     

     








    #ficbtl

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×