คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : Brother in law 4
“เฮ้อ... ถึงซักที แบคฮยอนออกไปไหนเนี่ย”
เวลาบ่ายโมงกว่าประตูบ้านหลังใหญ่ถูกเปิดออกพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระมากมายที่ถูกขนเข้ามาวางกลางห้องโถง
ความเงียบภายในบ้านกับรองเท้าที่หายไปบ่งบอกว่าลูกชายคนเล็กของบ้านไม่ได้อยู่ที่นี่
แพยอนวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ เดินตะโกนเรียกชื่อน้องชายขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง
เธอผลักประตูห้องนอนออกแล้วก็พบว่าเจ้าของห้องไม่อยู่จริงๆ
เมื่อเห็นอย่างนั้นหญิงสาวก็กลับลงมาข้างล่าง
แบคฮยอนคงจะออกไปเที่ยวหรืออะไรเพราะเมื่อสักครู่เขายังส่งข้อความาบอกว่าอยู่บ้านอยู่
เลย
“ออกไปจากบ้านก็ไม่ยอมปิดไฟ”
“แบคฮยอนไม่อยู่หรอ” ชายหนุ่มหันไปถามคนรักแล้วก็ได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบ
“แล้วโทรหาไม่ติด?”
“อือ เข้ามาอ่านแต่ข้อความแต่ก็ไม่ยอมตอบ คงไปหาเพื่อนมั้ง”
มือที่กำลังล้วงโทรศัพท์หยุดชะงัก
เมื่อได้ยินอย่างนั้นคนตัวสูงก็เพียงแค่พยักหน้าพลางลอบถอนลมหายใจออกมา
ชานยอลพยายามไม่คิดอะไรมากก่อนจะยกกระเป๋าเสื้อผ้าของตนเองแฟนสาวขึ้นไปเก็บด้านบน
บานประตูห้องนอนถูกผลักออก
กระเป๋าเดินทางถูกลากไปวางไว้ข้างตู้เสื้อผ้าก่อนที่นายตำรวจหนุ่มจะไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียง
นัยน์ตาคมจ้องมองเพดานด้วยสายตาว่างเปล่า ปล่อยตัวเองให้จมดิ่งลงในความคิดมากมายกับความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ
ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่นะ...
หลังจากงานหมั้นจบลง
ในช่วงหัวค่ำหลังคืนสุขสันต์งานเลี้ยงสละโสดเล็กๆ
ถูกจัดขึ้นที่สวนหลังบ้านพร้อมกับเหล่าเพื่อนสนิทของว่าที่เจ้าสาว
นาฬิกาบอกเวลาทุ่มครึ่งแล้ว
ตอนนี้แบคฮยอนยังกลับไม่ถึงบ้านและไม่มีข้อความส่งมาบอกเหมือนทุกทีจนผู้เป็นแม่เริ่มเป็นกังวล
“เฮ้อ ทำไมไม่รับโทรศัพท์เนี่ย ไม่ใช่ไปโดนปล้นที่ไหนหรอกหรอ” ยูรากดหมายเลขเดิมโทรออกซ้ำไปมาพร้อมกับส่งข้อความหาลูกชายด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ทั้งที่ปกติเวลาไปไหนเจ้าตัวจะต้องส่งข้อความมาบอกแท้ๆ พอหายไปดื้อๆ
ก็อดเป็นห่วงไม่ได้เลย
“คงหนีเที่ยวมั้ง เดี๋ยวก็คงกลับ” คนเป็นพ่อตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจนักขณะพลิกหน้าหนังสือ
เด็กผู้ชายก็เป็นแบบนี้ไปไหนมาไหนคงไม่อยากให้ใครตามตื้อ
“ไปไหนก็น่าจะส่งข้อความมาบอกบ้างสิ ปกติก็บอกนี่
พ่อขับรถไปดูหน่อยได้ไหม”
“แบคฮยอนยังไม่กลับหรอครับ” เสียงทุ้มของชายหนุ่มดังขึ้นด้านหลัง
ชานยอลที่เดินกลับเข้าเอาแก้วในบ้านมองสีหน้าวิตกของแม่แฟนสาวก่อนจะเหลือบสายตามองนาฬิกาบนผนัง
“อือ ส่งข้อความไปก็ไม่อ่าน ชานยอลติดต่อน้องได้ไหม”
“เดี๋ยวผมลองโทร” คนตัวสูงว่าแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกหารายชื่อคุ้นเคย
ไม่นานเสียงสัญญาณรอสายก็ดังวนซ้ำไปมา สายตาของผู้เป็นแม่จ้องมองมาด้วยความคาดหวัง
กระทั่งสายถูกตัดลงอัตโนมัติเมื่อไม่มีคนรับ
ชานยอลส่ายหน้าไปมาเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจรถหน้าทีวี
“เดี๋ยวผมออกไปดูให้”
“งั้นเดี๋ยวแม่คอยโทรหานะ”
ด้วยความร้อนรนใจกลัวว่าตัวเองจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนตัวเล็กหายไป
ชานยอลไม่รอช้าเดินไปคว้าเสื้อคลุมแล้วออกจากบ้านไปทันทีโดยที่ไม่แม้แต่จะเดินไปบอกกับแฟนสาว
ความคิดกังวลใจที่สั่งสมมาตั้งแต่เช้าก่อตัวขึ้น
ทันทีที่ประตูรถปิดลงชานยอลก็รีบสตาร์ทเครื่องขับรถออกไปทันที
ตลอดสองข้างทางที่มีแต่รถยนต์ขวั่กไขว่ไปมายิ่งเวลาผ่านไปนานเข้าโทรศัพท์ชานยอลก็ยิ่งดังถี่
จากความเป็นกังวลเริ่มเปลี่ยนเป็นร้อนรนใจ ชานยอลขับรถชะลอไปตามป้ายรถเมล์ใกล้ๆ
บ้านไปจนถึงออกถนนใหญ่ แค่ขับไปเรื่อยๆ ทั้งที่ไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหน
ได้แต่พยายามข่มอารมณ์ตัวเองเอาไว้ขณะขับรถมุ่งไปตามทาง
บนสะพานข้ามแม่น้ำ
รองเท้าผ้าใบสีเขรอะฝุ่นย่ำเดินไปตามไหล่ทาง
สายลมอ่อนพัดปะทะใบหน้าพร้อมกับแสงไฟจากหน้ารถ ร่างเล็กๆ
เดินเอื่อยไปตามทางและหยุดอยู่ใต้ไฟถนน หันหน้าออกไปทางราวสะพานมองดูผืนน้ำนิ่งสงบ
จนถึงตอนนี้แบคฮยอนก็ยังไม่รู้จะกลับไปที่ไหนเมื่อบ้านมีความอึดอัดใจรออยู่
และเขาก็เอาแต่นั่งรถต่อไปเรื่อยๆ ราวกับต้องการหลีกหนีบางสิ่งบางอย่าง
ไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ารับรู้กับอะไรที่พร้อมจะทำให้ใจสลาย
ถ้าหายไปจะมีใครรู้ไหมนะ
หรือว่าก็จะแค่หายไปเฉยๆ...
โทรศัพท์เครื่องเล็กในกระเป๋าเสื้อยังกระพริบวาบไม่หยุดเมื่อมีสายเรียกเข้า
คนตัวเล็กหยิบมันขึ้นมาดูรายชื่อก่อนจะกดปิดเสียงไป สองแขนวางทาบบนราวเหล็ก
สายตาว่างเปล่าจ้องมองไปยังผิวน้ำเบื้องหน้า
กับก้อนน้ำตาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้
ความรู้สึกหนักอึ้งที่อยากจะโยนทิ้งออกไปให้หมด...
เด็กหนุ่มฟุบหน้าลงกับราวสะพานจ้องมองปลายเท้าเขรอะฝุ่น
นึกตลกตัวเองที่ทำตัวเป็นคนอกหักทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกับเขาด้วยซ้ำ
ตั้งแต่แรกก็รู้ตัวดีว่าเป็นได้แค่กาฝากที่เกาะขอความรักจากคนรักของคนอื่น
คิดอยู่เสมอว่าไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ จะมีความสุขเท่าที่ได้รับ
แต่ถึงอย่างนั้นก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
เคยรู้สึกอะไรบ้างหรือเปล่า
ที่ผ่านมาทำไปเพราะแค่สงสาร เห็นใจ หรือต้องการเพียงความสุขของตัวเอง
หยดน้ำตาที่เคยเหือดแห้งเริ่มไหลออกมาอีกครั้งเมื่อคิดว่าจะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่พร้อมบดขยี้หัวใจให้แตกสลาย
ไม่รู้จะทำอะไรได้บ้างนอกจากแค่ต้องยอมรับมัน
แสงไฟจากหน้ารถที่สาดเข้าดวงตาเรียกคนตัวเล็กให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองรถยนต์คันสีดำที่ขับเข้ามาจอดใกล้ๆ
ทันทีที่เห็นป้ายทะเบียนคุ้นตาเด็กหนุ่มก็ต้องรีบเช็ดน้ำตาออก
เสียงประตูรถปิดดังปังพร้อมกับพี่ชายตำรวจที่เดินตรงลงมาหาพร้อมกับเรียวคิ้วขมวดมุ่น
ทว่าวินาทีนั้นหัวใจที่บุบสลายไม่อาจรับรู้ความหวาดกลัวได้อีกต่อไป
“มาทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่รับโทรศัพท์พี่” เจ้าของใบหน้าดุดันกล่าวออกไปเสียงเข้ม
อารมณ์ที่สั่งสมมาตลอดทั้งวันทำชานยอลเผลอออกท่าทีไปโดยไม่รู้ตัว
“ลืมเปิดเสียงไว้”
“แล้วทำไมยังไม่กลับบ้าน ที่บ้านเค้าเป็นห่วงอยู่”
น้ำเสียงจริงจังและใบหน้าเคร่งขึมทำคนตัวเล็กยิ่งรู้สึกผิด
ถึงแม้ในใจจะอยากตะโกนออกไป อยากทำตัวพยศแค่ไหนแต่ก็ทำไม่ได้
“ยังไม่อยากกลับ...” กล่าวคำสารภาพออกไปเสียงแผ่ว
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าสลดลง
คนตัวสูงเองก็เหมือนจะรู้ตัวว่าเผลอแสดงอาการหงุดหงิดออกไป
พอเห็นสีตาแดงช้ำของอีกฝ่ายท่าทีของเขาก็อ่อนลง ชานยอลถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เสเบือนใบหน้าออกไปทางอื่น
“กลับบ้าน” นายตำรวจหนุ่มกล่าวแค่นั้นก็เดินไปเปิดประตูรถ
ปล่อยให้เด็กชายตัวเล็กยืนนิ่งอย่างไม่มีทางปฏิเสธ
สุดท้ายแบคฮยอนก็ต้องยอมเดินไปขึ้นรถ
ประตูฝั่งที่นั่งรถโดยสารถูกปิดลงเบาๆ
มีเพียงความเงียบท่ามกลางบรรยากาศแสนอึมครึมและก็ยังคงไม่มีคำพูดหรือคำอธิบายใดกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ศีรษะทุยเอนพิงกับกระจกรถ สายตาจ้องมองไปยังถนนเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย
พยายามข่มกลั้นน้ำตาเอาไว้กับความรู้สึกที่แทบจะทะลักพรั่งพรูออกมาเพียงแค่ได้เห็นหน้าพี่ชายคนโปรด
ในใจแบคฮยอนลึกๆ
ยังคงแอบหวังให้พวกเขาแกล้งลืมเรื่องทั้งหมดไปแล้วทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม
หากเพียงอีกฝ่ายจะเอ่ยปากสักนิด
รถยนต์คันสีดำขับเคลื่อนไปช้าๆ
คนตัวสูงเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
ต่างคนต่างอยู่ในมุมของตัวเองกระทั่งเสียงเรียกเล็กของเด็กหนุ่มดังขึ้น
“งานหมั้นเป็นไงบ้าง” คนตัวเล็กเอ่ยถามออกไปหวังทำลายกำแพงความน่าอึดอัดลง
อย่างน้อยก็ไม่อยากให้มีความลำบากใจต่อกันแบบนี้
ทว่าก็ไม่มีเสียงตอบกลับใดจากคนอายุมากกว่า นอกจากเสียงถอนลมหายใจเบาๆ
“ก็ดี” มีเพียงคำตอบสั้นๆ
ที่ยิ่งสร้างความรู้สึกเหินห่าง ก่อนที่เสียงเรียกมือถือจะดังขึ้นทำลายบรรยากาศ
ชานยอลหยิบเอาโทรศัพท์ที่วางอยู่หน้ารถขึ้นมาดูรายชื่อและกดรับสาย
“อือ...”
[………………….]
“เจอแล้ว กำลังจะกลับ”
[…………………]
“คงยังไม่กลับบ้าน ว่าจะให้ไปนอนบ้านพี่ก่อน... อือ... ”
เสียงสนทนาดังรอดออกมาเบาๆ
แบคฮยอนแทบอยากจะหายไปเมื่อได้ยินว่าต้องไปนอนบ้านพี่เขยก่อนเพราะคำพูดของตัวเองที่บอกว่าไม่อยากกลับบ้าน
ดวงตาเรียวรีหลับลงหลีกหนีความเหนื่อยหน่าย ไม่ว่าแบบไหนก็แย่ไม่ต่างกัน
แต่แบบนี้มันไม่ต่างจากการเอาตัวเองวิ่งเข้าไปหาหนาม โดยเฉพาะในสถานการณ์แบบนี้
“ครับ... แค่นี้ก่อนนะ”
สายโทรศัพท์ถูกวางไปก่อนที่ความเงียบจะกลับเข้ามาอีกครั้ง
ไม่มีคำพูดใดนอกจากนี้
รถยนต์คันหรูยังคงขับเคลื่อนไปตามทางท่ามกลางบรรยากาศแสนน่าอึดอัดในห้องโดยสาร
ราวกับมีคนเอากำแพงสูงใหญ่มาตั้งกลั้น ชานยอลจมอยู่ในความคิดตัวเอง
ขณะที่คนตัวเล็กก็ยังติดอยู่กับคำถามในใจ
อีกคนยังรอที่จะให้โอกาสทั้งที่รู้ว่าตัวเองต่างหากที่ไม่มีโอกาส
อีกคนไม่แม้แต่จะเอ่ยเศษเสี้ยวความคิดของตนเอง...
กุญแจรถสีดำถูกวางลงหน้าทีวีเมื่อเจ้าของบ้านกลับมาถึง
ชานยอลถอดเสื้อแจ๊คเก็ตวางพาดไว้บนพนักโซฟาก่อนจะคว้ารีโมทแอร์มาเปิด
แขกคนใหม่ของบ้านยืนเก้กังอยู่กลางห้องโถงไม่รู้ว่าจะนั่งจะยืนตรงไหน
มีแต่ความลำบากใจที่จะเอ่ยบทสนทนา
“จะอาบน้ำไหม เดี๋ยวพี่เอาเสื้อมาเปลี่ยนให้” คนตัวสูงกล่าวก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องนอน
ปล่อยให้เด็กหนุ่มยืนรออยู่ด้านนอก
แบคฮยอนถอดเป้วางไว้ข้างโซฟา
นัยน์ตากวาดมองไปรอบห้องโถงขณะที่คิดว่าอพาร์ทเม้นหลังนี้หรอที่พี่สาวจะย้ายมาอยู่
คงจะอบอุ่นน่าดู มองไปทางในก็ดูสวยงามไปหมด
พอนึกแล้วก็อดอิจฉาอดจินตนาการและเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้
“อาบเสร็จแล้วก็เอาเสื้อใส่เครื่องไว้นะ ห้องน้ำอยู่นู่น”
หายไปในห้องไม่นานเจ้าของบ้านก็ออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าและผ้าขนหนู
คนตัวเล็กรับมันก่อนจะเดินหายไปทางประตูห้องน้ำ
เมื่อร่างเล็กหายลับสายตาไปนายตำรวจหนุ่มก็ตรงไปทิ้งร่างบนโซฟาหลับสายตาลงด้วยความเหนื่อยล้า
มือหนายกขึ้นนวดหว่างคิ้ว พักจิตใจที่แสนวุ่นวายให้สงบลงแม้เพียงชั่วครู่...
23:24
เวลาห้าทุ่มเศษเสียงเคาะคีย์บอร์ดดังเบาๆ
สลับกับเสียงคลิกเมาส์
นายตำรวจหนุ่มบิดต้นคอไปมาเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยก่อนจะพับจอโน้ตบุ๊กลงเมื่อเห็นตัวเลขบอกเวลาอันสมควรแล้ว
ชานยอลลุกขึ้นไปดับไฟก่อนจะตรงไปหน้าห้องนอน
คนตัวสูงยืนคิดชั่งใจอยู่ชั่วครู่
มือหนาจับคันบิดและเปิดมันอย่างแผ่วเบา
ภายในห้องนอนที่มีเพียงแสงไฟสลัวจากหลอดเทียนบนหัวเตียง
เด็กหนุ่มร่างเล็กซุกตัวกับผืนผ้านวม ดวงตาเรียวรีลืมโพลง
ทั้งที่ร่างกายอ่อนล้าไปหมดแต่กลับไม่อาจข่มตาลงได้
เสียงเปิดประตูเบาๆ บอกแบคฮยอนให้รู้ว่าเจ้าของห้องเดินเข้ามา
คนตัวเล็กรีบหลับตาแสร้งทำเป็นนอนหลับกระทั่งรู้สึกได้ถึงแรงยวบบนเตียงข้างๆ
และผ้าห่มที่ถูกดึงรั้งไป
ไม่มีคำพูดใด ไม่มีอ้อมกอด
มีเพียงความเงียบระหว่างแผ่นหลังที่หันชนกัน...
ทั้งที่นอนห่างกันเพียงคืบแต่กลับรู้สึกเหมือนมีกำแพงสูงกั้นระหว่างกลาง
นัยน์ตาคมจ้องมองบานประตูตรงหน้า ชานยอลไม่ชอบเลยที่ต้องวางท่าอึมครึมใส่กันแบบนี้
คนตัวสูงถอนลมหายใจก่อนจะพลิกกายเข้าหาเด็กหนุ่มข้างตัว ความใกล้ระยะแผ่นหลังชิดอกทำให้ปลายจมูกโด่งชิดเรือนผม
สายตาคมไล่มองตั้งแต่เส้นผมสีเข้มมาจนถึงคอระหงส์ก่อนที่ท่อนแขนหนาจะวาดโอบเอวหวังเพียงแค่กอดเบาๆ
คนตัวเล็กได้แต่นอนตัวตัวแข็งเมื่อถูกสัมผัส
ดวงตาเรียวรีหลับแน่น ขณะที่คนด้านหลังขยับกายเข้ามาใกล้
ริมฝีปากอิ่มจูบประทับเบาๆ
ลงบริเวณใกล้ท้ายทอยเป็นเพียงแค่สัมผัสบางเบาไม่มีเกินเลย
ก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ที่บางอย่าง
ชายหนุ่มชะงักเมื่อเห็นรอยสีแดงจางบนผิวเนียนที่มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ของตน
ใบหน้าคมขยับเข้าไปใกล้ จ้องมองรอยรักด้วยความรู้สึกมวนแน่นในอก
อารมณ์ครุกรุ่นก่อตัวขึ้น
ลมหายใจอุ่นเป่ารดต้นคอก่อนที่ริมฝีปากร้อนผ่าวจะกดประทับลงต้นคอทับตำแหน่งรอยเก่า
ร่างน้อยสั่นเบาๆ
ด้วยความตระหนกเมื่อฝีปากของคนตัวโตเริ่มหนักหน่วงขึ้น
ท่อนแขนที่เคยพาดโอบกอดกระชับแน่น ปลายจมูกโด่งลากผ่านสันคอ
บดขยี้กลีบปากดูดดุนผิวเนื้ออย่างรุนแรงด้วยแรงอารมณ์
มือบางที่พยายามยกขึ้นดันแขนอีกฝ่ายถูกรวบ แรงบีบจากฝ่ามือหนาทำตัวเล็กต้องส่งเสียงร้องออกมา
“โอ้ย!”
ชานยอลรีบละใบหน้าออกเมื่อได้สติ
ลมหายใจร้อนเป่ารดต้นคอ สายตาจ้องมองรอยแดงที่ตอนนี้กลายเป็นสีเข้มไปแล้ว
กว่าจะรู้ตัวก็เผลอใจทำเรื่องที่ห้ามตัวเองไปจนได้
ชายหนุ่มคลายท่อนแขนที่กอดรัดร่างเล็กออกก่อนจะหยัดกายขึ้นนั่ง
ทั้งโกรธและหงุดหงิดตัวเอง รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้แต่ก็ยังปล่อยตัวทำตามอารมณ์
“พี่ขอโทษ...” เขากล่าวคำขอโทษออกไปเพียงเท่านั้นก่อนจะคว้าหมอนลุกออกจากเตียงไป
ปล่อยให้คนตัวเล็กได้แต่นอนน้ำตาหยดด้วยหัวใจที่สั่นไหว
เสียงปิดประตูดังเบาๆ
แบคฮยอนยกมือขึ้นปาดน้ำตาส่งเสียงสะอื้นออกมาเบาๆ
นึกโกรธตัวเองที่ยังหวั่นไหวพราะสัมผัสที่ปลุกความรู้สึกให้ครุขึ้นในใจ
ถามตัวเองว่าร้องไห้ทำไม
ร้องเพราะเสียใจหรือร้องออกมาเพราะกลัวว่าจะถูกเมินเฉยและไร้ตัวตนไปยิ่งกว่าเดิม
ต้องถูกเห็นแล้วแน่ๆ พี่ชานยอลจะโกรธไหม เพราะตัวเขาเองแท้ๆ ที่ทำอะไรบ้าๆ อยากไปอธิบาย
โกรธที่ไม่รักตัวเองแต่ก็หยุดความคิดนี้ไม่ได้
“อึก... ฮึก...” เสียงสะอื้นดังเบาๆ
คนตัวเล็กยกหลังมือเช็ดน้ำตากำคอเสื้อยืดตัวหลวมไว้แน่น
ไม่สามารถบอกตัวเองให้มั่นใจได้เลย อยากหันหลังให้
อยากเดินไปจากเขาแต่ก็ทำไม่ได้เพราะยังไงแบคฮยอนคือแบคฮยอนที่เอาแต่เดินตามหลังตลอด
ขณะที่ใครอีกคนกำลังนอนร้องไห้
ชายผู้แบกโลกทั้งใบไว้ก็เดินออกมานั่งที่โซฟา
ชานยอลไม่ชอบเลยเวลาที่สูญเสียความเป็นตัวเองหรือเผลอทำอะไรด้วยความไม่ยับยั้งชั่งใจ
มือหนายกขึ้นลูบใบหน้า พยายามดึงสติตัวเองไม่ให้ไขว้เขว
ทั้งที่แค่ตั้งใจจะทำลายบรรยากาศที่แสนน่าอึดอัดลง
แต่กลับไประบายอารมณ์ใส่แบคฮยอนจนได้ รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีสิทธิ์ไปทำอย่างนั้นเลย
เป็นอะไรไปนะชานยอล
ทำไมกับเรื่องนี้ถึงควบคุมตัวเองไม่ได้เลย
เวลายังคงหมุนเดินไป
เจ้าของนัยน์ตาสีอ่อนยังนอนคิดอะไรมากมายอย่างไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ มือบางควานไปหยิบมือถือมาดูนาฬิกาที่บอกเวลาตีหนึ่งเศษแล้ว
คนตัวเล็กหยัดกายลุกจากที่นอนเดินออกไปแง้มประตูดู
และกลับเข้าไปในห้องก่อนจะออกอีกครั้งพร้อมหมอนกับผ้าห่ม
ท่ามกลางความมืดโซฟานอนตัวยาวกลางห้องโถงถูกปรับเป็นเตียงโดยมีร่างของเจ้าของบ้านนอนหลับอยู่
แม้ว่าอากาศด้านนอกจะค่อนข้างหนาวแต่คนตัวสูงก็ยังหลับได้โดยที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนน้อยปกคลุมร่าง
แบคฮยอนสะบัดผ้าห่มคลุมร่างพี่เขยจัดแจงให้ชายปกคลุมถึงปลายเท้าก่อนจะวางหมอนลงข้างอีกฝ่าย
มุดกายเข้าผืนผ้านวมเข้าไปนอนใกล้ๆ
ถึงจะเจ็บหรือเสียใจก็อยากจะร้องไห้ในอ้อมกอดนี้อยู่ดี
แม้ว่าเจ้าของมันจะเป็นคนสร้างบาดแผลนี้ขึ้นมาก็ตาม
ถ้านี่เป็นโอกาสเดียวและเป็นคืนสุดท้ายที่จะได้ทำแบบนี้แบคฮยอนก็อยากเก็บทุกความรู้สึกเอาไว้ในใจก่อนที่จะต้องแยกจากกันไปทำตามหน้าที่ของตัวเองกับความรักที่ไม่ถูกทั้งที่และเวลา
ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ...
ความสุขที่อยากจะจดจำเป็นครั้งสุดท้าย
ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านไป
แต่แม้จะต้องการแค่ไหนเช้าพรุ่งนี้ก็ต้องมาถึงอยู่ดี...
ถึงไม่ได้อยู่ใกล้กันก็อยากขอแอบรักแบบนี้ไปเรื่อยๆ
พบเจอตามโอกาส แค่ยิ้มให้กันทุกครั้งที่เจอหน้าก็เพียงพอ...
นัยนตากลมโตลืมขึ้นท่ามกลางความมืดเมื่อรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เบียดเข้ามาชิดกาย
ใครบางคนที่ยังไม่สามารถข่มตาให้หลับสนิทได้นอนนิ่ง
ชานยอลหลับตาลงก่อนจะรวบร่างน้อยเข้ามากอด ริมฝีปากอิ่มกดจูบเบาๆ ลงบนศีรษะทุย
มีเพียงความเงียบและเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ภายใต้แผ่นอก
.
.
.
เสียงประตูรถคันใหญ่ถูกปิด เวลาเช้าของวันเสาร์แบคฮยอนกลับมาถึงบ้านโดยมีพี่เขยขับรถมาส่ง
มือบางกำสายสะพายเป้แน่น คนตัวเล็กถอนลมหายใจอย่างหมดอาลัย
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในบ้านทุกสายตาก็จับจ้องมาที่เขาราวกับต้องการจับผิด
กระทั่งเสียงของผู้เป็นแม่ดังขึ้น
“กินข้าวมาหรือยัง”
“กินแล้วฮะ”
“ปวดคออีกแล้วหรอ อ่านแต่หนังสือมากไปแล้วมั้ง” หญิงวัยกลางคนพูดติดตลกเมื่อเห็นแผ่นแปะบรรเทาปวดบนคอสองของลูกชาย
เธอส่งยิ้มจางๆ ให้เด็กหนุ่มตรงหน้าก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะกล่าวขึ้น
“คะแนนก็ทำได้ดีนี่ ไม่เห็นต้องเครียดเลย”
“........” คนตัวเล็กไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นัยน์ตาหลุบลงหลบสายตา รู้สึกโชคดีที่พ่อแม่ยังเข้าใจว่าตัวเองหายไปเพราะเครียดเรื่องสอบ หรือว่าอาจเป็นเพราะมีใครคอยแก้ตัวให้ แบคฮยอนหันไปมองพี่เขยที่กำลังยืนคุยกับพี่สาวหน้าบ้านก่อนจะเดินผ่านพ่อแม่ขึ้นบันไดกลับไปยังห้องของตัวเอง
เป้ใบเล็กถูกโยนไว้ข้างโต๊ะเขียนหนังสือ
ก่อนร่างที่แสนเหนื่อยล้าจะล้มลงบนเตียงนอน
ดวงตาเรียวรีจ้องมองผนังห้องสีอ่อนขณะที่ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัว
หลังจากนี้จะเป็นยังไงนะ ทุกอย่างจะเหมือนเดิม
หรือถึงเวลาต้องแยกทางกันกับฝันหวานที่แสนสั้นนี้...
ภายใต้แสงไฟสีนวลจากโคมไฟดวงน้อย
ปลายปากกาลูกลื่นขยับเขียนข้อความถ่ายทอดลงบนหน้ากระดาษ
วันเวลาที่ผ่านไปกับความเดียวดายและหยดน้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้ง
ทุกวันยังเอาแต่นอนร้องไห้ทุกครั้งที่มองดูรูปเขาในโทรศัพท์มือถือ
ไม่มีข้อความถูกตอบกลับมาอีก
ไม่มีการพูดคุยนอกเหนือจากธุระจำเป็น แม้จะเจอหน้ากัน
ยิ้มให้กันบ้างแต่คนต่างรู้ดีว่ามีบางอย่างที่เปลี่ยนไป
ชุดสูทสำหรับร่วมงานมงคลถูกตัดเตรียมอย่างดี
ขณะที่อีกคนต้องเดินหน้าต่อไป
ใครอีกคนก็ยังไม่ยอมไปไหน
ได้แต่เฝ้าถามตัวเองทุกวันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงความรู้สึกฉาบฉวยของชายคนหนึ่ง
เป็นหรือเป็นความหลงใหลของเด็กชายวัยอ่อนเดียงสา
ทำไมความรู้สึกมันถึงฝังติดใจอย่างกับแผลเป็น
ยังไงก็ยังรักอยู่เสมอ ยังเลิกคิดถึงไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว
ข้อความสุดท้ายถูกบันทึกลงบนสมุดก่อนที่จะถูกปิดลง
คนตัวเล็กเดินไปทิ้งกายนอนบนเตียง จ้องมองชุดสูทสำหรับร่วมงานแต่งพี่สาวด้วยหัวใจที่แสนเจ็บปวด
ทำไมนะ...
ทำไมไม่เจอเขาให้ไวกว่านี้ ทำไมถึงไม่เป็นแบคฮยอน ทำไมเป็นแบคฮยอนไม่ได้...
น้ำตาหยดเล็กๆ ไหลดิ่งลงหมอน
สายตาเหม่อลอยจ้องมองชุดสูทที่แขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าไม่วางตา
มีแต่หัวใจที่ชอกช้ำกับเสียงนาฬิกาที่ตอกย้ำว่าทุกอย่างต้องดำเนินไปต่อให้ไม่อยากให้พรุ่งนี้มาถึงแค่ไหน
สุดท้ายฝันดีแค่ไหนก็ต้องตื่น ขณะที่อีกคนเดินหน้าสู่การสร้างครอบครัว
แบคฮยอนได้แต่นอนกอดตัวเองด้วยหัวใจที่เจ็บร้าว
มือบางเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าไปยังกล่องข้อความที่ปรากฏรายชื่อแสนคุ้นตา
ก่อนที่ปลายนิ้วจะกดพิมพ์ข้อความแสนสั้นแต่แทนความรู้สึกทั้งหมดในใจ
‘รักนะ...’
มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตา
อ่านข้อความนั้นทวนซ้ำก่อนที่สุดท้ายจะตัดสินใจลบมันออกไป... บอกไม่ได้
คำนี้พูดไปไม่ได้...
ดวงตาเรียวรีหลับลง
ทั้งที่ยังปล่อยให้แสงจากโคมไฟอ่านหนังสือเปิดสว่าง
ได้แต่หวังให้ความทรมานนี้ทุเลาลงและหายไปในสักวัน....
.
.
.
กำหนดวันแต่งงานเข้าใกล้มาเรื่อยๆ
จนเหลืออีกเพียงหนึ่งสัปดาห์
แพยอนเตรียมเก็บของพร้อมออกจากบ้านทันทีที่ทำพิธีสมรสเสร็จ
ทั้งพ่อแม่และแขกเหรื่อก็ต่างหน้าชื่นตาบ้าน ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมอย่างดี
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่ำวันนึ้ครึกครื้นกว่าทุกที
โดยเฉพาะว่าที่เจ้าสาวยกเว้นเด็กหนุ่มที่แม้แต่จะกลืนข้าวลงคอก็ยังทำได้ยาก
ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็ยิ่งอึดอัดใจ
แบคฮยอนตัดสินใจลุกจากเก้าอี้นำจานข้าวไปเก็บหลังจากที่กินไปได้เพียงครึ่ง
“อิ่มแล้วหรอ” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยถาม
คนตัวเล็กเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องครัวไปทันที
ต่อหน้ากันก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ในใจอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมาย
แบคฮยอนได้แต่นึกขำตัวเองที่ยังหวั่นไหวกับรอยยิ้มและสายตานั้นทุกครั้ง
อยากให้เขากอด ได้สัมผัสกันเหมือนเก่า
แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ความสัมพันธ์นี้ยังไม่เกิดขึ้น
แบคฮยอนอาจจะมีความสุขมากกว่าที่ได้แอบรักอยู่อย่างเงียบๆ
ทำยังไงถึงจะเลิกรักได้นะ...
เวลาสี่ทุ่มเศษไฟผนังในห้องโถงถูกเปิดไว้สลัวๆ เมื่อทุกคนขึ้นบ้านนอนหมดยกเว้นลูกชายคนเล็กที่ยังนั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน สายลมที่ปะทะใบหน้าเหือดแห้งและหนาวเหน็บไม่ต่างจากความรู้สึกในใจ
ดวงตาเรียวรีเหม่อมองสนามหญ้าเบื้องหน้าขณะที่ในหัวคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ในเมืองที่มองไม่เห็นฟ้าเห็นดาวแบบนี้สิ่งเดียวที่พอจะคลายความเป็นกังวลได้ก็คงมีเพียงสายลมเท่านั้น
ทว่ายิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเริ่มหนาว
เด็กหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้นปัดกางเกงหันหลังเตรียมกลับเข้าบ้าน
ก่อนที่คนตัวเล็กจะต้องผงะเมื่อเห็นว่าที่พี่เขยยืนพิงขอบประตูมองอยู่
“ยังไม่นอนอีกหรอ” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยถาม
สายตาจดจ้องเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่วางตา
“กำลังจะไปนอนแล้ว”
“อือ...” ชานยอลเพียงแค่ครางตอบออกมาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ
ก่อนจะวางมือลงบนศีรษะเจ้าตัวเล็กขณะก้าวเท้าออกจากบ้าน “พี่ไปแล้วนะ...”
แบคฮยอนได้แต่ยืนนิ่งกับรอยยิ้มและสายตาที่จ้องมองมาราวกับเคลือบแฝงด้วยความรู้สึกบางอย่าง
กลิ่นน้ำหอมที่แสนคุ้นเคยลอยผ่านตัวเมื่ออีกฝ่ายเดินจากไป
ความรู้สึกบางอย่างบีบหัวใจคนตัวเล็กจนปวดหน่วง
ได้แต่หันหลังมองตามกระทั่งคนตัวสูงหายลับขึ้นไปบนรถคันโต...
สองวันก่อนงานแต่ง
ในตอนเช้าเสียงพูดคุยวุ่นวายจากชั้นล่างปลุกเด็กชายตัวเล็กให้ลืมตาตื่นขึ้น
แบคฮยอนงัวเงียคว้ามือถือมาดูนาฬิกาที่บอกเวลาสิบโมง
ใบหน้ามุดหน้าลงกับหมอนด้วยความหงุดหงิดใจกับเสียงพูดคุยที่ดังมาจากห้องข้างๆ
คิ้วเรียวขมวดมุ่นก่อนที่เด็กหนุ่มจะตัดสินใจหยัดกายลุกจากที่นอนไปเปิดประตูห้องก่อนที่จะพบชายหลายคนที่ดูท่าทางไม่น่าจะใช่ญาติเดินขวั่กไขว่ไปมาหน้าห้อง
คนตัวเล็กยืนนิ่งอยู่หน้าประตูก่อนจะก้าวเท้าเดินลงบันไดไปยังชั้นล่างแล้วก็พบกับแม่และพี่สาวยืนอยู่ข้างกันทั้งยังอยู่ในชุดลำลอง
มีตำรวจหลายนายเดินตรวจไปรอบบ้าน
“แม่”
“แบคฮยอน...” ผู้เป็นแม่หันไปมองลูกชายคนเล็กด้วยสีหน้าวิตกกังวลไม่ต่างกัน
ขณะที่แพยอนก็ยังพยายามต่อสายหาคู่หมั้น
“เกิดอะไรขึ้น...”
คนตัวเล็กเดินไปยืนข้างผู้เป็นแม่
มองเจ้าหน้าที่เดินเพล่นพล่านไปทั่วด้วยความตระหนกก่อนที่คำตอบจะยิ่งทำให้เขาสับสนและตื่นกลัว
“ตำรวจมาหาพ่อ”
“เรื่องอะไร...”
“แม่ไม่รู้เหมือนกัน”
“แล้วพี่ชานยอลล่ะ”
“............”
มีเพียงความเงียบที่เกิดขึ้น
คนเป็นแม่ได้แต่ลูบหัวลูกหัวลูกชายขณะหันไปมองลูกสาวที่ยังพยายามติดต่อคู่หมั้น
ตั้งแต่เช้าวันนี้ยังไม่มีใครติดต่อชานยอลทั้งที่มีเรื่องใหญ่ขนาดนี้เกิดขึ้น
เมื่อหัวหน้าครอบครัวถูกกักกุมตัวความหวังเดียวตอนนี้ก็เลยไปตกที่คนรักของลูกสาว
“ยังติดต่อไม่ได้เลย”
แบคฮยอนยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความสับสนขณะเรียบเรียงเรื่องราวและความรู้สึกบางอย่างเล็กๆ ที่เหมือนเสี้ยนแทงอยู่กลางใจก็ทำให้เขายิ่งต้องเป็นกังวล
“คุณนายครับ”
“เดี๋ยวแม่ไปก่อนนะลูก อยู่กับพี่พยายามติดต่อพี่ชานยอล
เดี๋ยวแม่จะโทรหาอา” หญิงวัยกลางคนฝากฝังกับลูกชายก่อนจะรีบรุดขึ้นไปเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าตามสามีไปที่สน.ด้วยเรื่องคดีความ
ปล่อยให้เด็กชายตัวเล็กได้แต่ยืนนิ่งด้วยความไม่เข้าใจ
นี่มันเรื่องอะไรกัน... ทั้งที่งานแต่งใกล้เข้ามาแล้วแท้ๆ...
.
.
.
บรรยากาศภายในห้องสอบสวนเต็มไปด้วยความน่าอึดอัด
อดีตที่ปรึกษาสส.ชานวุคเอาแต่นั่งเงียบ
แฟ้มคดีปึกใหญ่วางกองอยู่ตรงหน้าแต่ชายวัยกลางคนก็ยังวางท่าทีสุขุมไม่ได้แสดงความหวาดกลัวหรือตกใจแม้แต่น้อย
สายตาแน่วแน่ดุจสัตว์ร้ายจ้องมองเจ้าหนักงานไม่วางตา
“รู้ไหมว่ามาที่นี่ทำไม”
“ทนายผมมาหรือยัง”
นายตำรวจหนุ่มมองชายตรงหน้าพลางถอนลมหายใจก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ด้านหน้าเขา
แล้วหยิบเอาแฟ้มคดีหมายเลข 125/2561 ขึ้นมา
สองสายตาจ้องกันราวกับต้องการส่งนัยความหมายผ่านแววตา ทว่าผู้ต้องหาก็เอาแต่วางท่าราวกับเขารู้อยู่เต็มอกว่ายังไงก็ต้องรอดออกไปจากที่นี่
“พี่รู้ไหมใครทำคดีนี้” สรรพนามคุ้นเคยถูกยกขึ้นมาเรียกอดีตคนคุ้นเคย
แฟ้มคดีสีน้ำตาลจะถูกเลื่อนไปตรงหน้าว่าที่จำเลย
ชานวุคหลุบสายลงตามองแฟ้มกระดาษก่อนจะเปิดมันออกดูและภาพที่เห็นก็ทำให้ชายวัยกลางคนต้องเบือนหน้าหนี
สายตานิ่งสนิทปรายมองนายตำรวจผู้น้อยไม่วาง สีหน้าไม่บ่งบอกถึงพิรุธใด
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม...”
“ปาร์ค ชานยอล คุ้นๆ ไหม”
ทันทีที่ชื่อเอ่ยออกมาเสียงถอนลมหายใจดังขึ้น
แม้ว่าว่าที่จำเลยจะพยายามเก็บสีหน้าแค่ไหนแต่สารวัตคังอินก็รู้ว่าที่ปรึกษาชานวุคกำลังเก็บอารมณ์อยู่
เป็นใครจะไม่โกรธถ้าได้รู้ว่าลูกเขยตัวเองเป็นคนตลบหลังรื้อคดีจับพ่อตา
“คราวนี้พี่หลุดยากหน่อยนะ คุณแจอินเค้าก็ยุ่งๆ กับงานการเมืองอยู่
เรามาคุยกันดีๆ ดีกว่า ตอนนี้คดีอื่นของพี่ยังไม่ถูกรื้อ ถ้ารับอย่างมากอาจจะซัก 6 ปีเฉพาะคดีทุจริต แต่คดีนี้แหละที่เป็นต้นเหตุ” คังอินกล่าวย้ำ ใช้นิ้วเคาะไปบนแฟ้มคดีหน้าผู้ต้องหา
ท่าทางไม่มองตามของอีกฝ่ายเป็นภาษากายที่บ่งบอกว่าชานวุคกำลังปฏิเสธสิ่งที่เห็น “เราคุยกันแบบดีๆ นะพี่ พี่ช่วยผมผมก็ช่วยพี่
ถ้าหวังพึ่งนายตอนนี้ก็ยาก คดีพวกนี้มันอาจจะลดหย่อนได้ แต่จ้างวานฆ่ามันคดีหนัก”
“............”
“เฮ้อ...” ความดื้อด้านของชายแก่ทำสารวัตรร่างท้วมต้องถอนหายใจ
คังอินลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะเอ่ย “พี่จะไม่คุยกับผมก็ได้ แต่มีคนอยากคุยกับพี่อยู่” เขากล่าวแค่นั้นก่อนจะหันหลังเดินหนีไป
เป็นจังหวะเดียวกับที่ตำรวจอีกนายเปิดประตูสวนเข้ามา
นัยน์ตาเย็นเยียบของอดีตที่ปรึกษาสส.เหลือบมองชายหนุ่มคุ้นหน้าหรือที่รู้จักกันดีในฐานะลูกเขย
สีหน้าของชานยอลยังเคร่งขรึม แววตาสงบนิ่งเหมือนดั่งเช่นทุกที ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความเกรงกลัวหรือความไม่กล้าเผชิญหน้าอยู่เลย
ร้อยตำรวจเอกตรงไปขยับเก้าอี้และนั่งลงหน้าผู้ต้องหา
สองมือยกขึ้นประสานกันบนโต๊ะสายตาจ้องมองกัน
บรรยากาศภายในห้องสอบสวนอัดแน่นไปด้วยความกระอักกระอ่วน
กระทั่งชายวัยกลางคนขยับฝีปาก
“แกไม่คิดจะรับโทรศัพท์ลูกสาวฉันหน่อยหรอ...”
“ผมไม่ได้เปิดโทรศัพท์”
“แกเองหรอที่ทำเรื่องนี้ วางแผนมาตั้งแต่แรกเลยหรอ”
“.............”
“แกจับฉันไม่ได้หรอก...” ด้วยความเจ็บแค้นและความทะนงตนอยากเอาชนะ
ชานวุคสบถคำขู่รอดไรฟัน ทว่าชายหนุ่มตรงหน้าก็สงบนิ่ง ชานยอลจ้องมองว่าที่พ่อตาของเขาด้วยสีหน้าและแววตาที่ยากจะอ่านออก
“คุณถูกจับในคดีจ้างวานฆ่า ผมมีหลักฐานใหม่เอาผิดคุณ” เสียงทุ้มกล่าวราบเรียบ
ชายหนุ่มเว้นจังหวะจ้องมองผู้ต้องหาก่อนจะว่าต่อ “แต่ผมยังไม่ได้ส่งหลักฐานสำคัญเข้ากอง”
“แกมาบอกฉันทำไม ต้องการอะไร” ชานวุคจ้องหน้าอดีตว่าที่ลูกเขยไม่วางตา
เอ่ยถามออกไปเป็นการหยั่งเชิง สองมือใต้โต๊ะบีบกำแน่น
“ผมต้องการให้คุณสารภาพ ยอมรับผิดคดีนี้ซะ”
“สารภาพเรื่องอะไร”
“เห็นแก่แบคฮยอนกับแพยอนเถอะ”
“แกยังจำชื่อนี้ได้อยู่อีกหรอ”
ชานยอลไม่ตอบโต้หรือปฏิเสธกับสายตาเจ็บแค้นของว่าที่พ่อตา
แม้ว่าชานวุคจะเป็นคนเลวแต่ในฐานะพ่อของลูกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะโกรธ
และชานยอลเองก็ไม่ลืมสิ่งที่เขาทำกับครอบครัวนี้เช่นเดียวกัน
“ทำไมเราไม่ทำให้เรื่องมันง่ายๆ
ถ้ายอมรับผิดคดีจ้างวานฆ่าผมจะไม่ส่งหลักฐานคดีทุจริต ปล่อยให้หมดคดีความแล้วคุณรับผิดแค่คดีเดียว” เขาว่าก่อนจะเปิดกางแฟ้มอีกอันลงบนโต๊ะ
ซึ่งภายในเต็มไปด้วยหลักฐานต่างๆ
ที่เกี่ยวโยงอดีตที่ปรึกษานักการเมืองเข้ากับคดีลอบยิงนายตำรวจเมื่อหลายปีก่อน
ทั้งจดหมายลาที่ผู้ตายเขียนก่อนจะถูกลอบยิง
และเอกสารการโอนเงินต่างๆ ที่สืบค้นได้ภายหลัง
รวมถึงรูปถ่ายมือปืนยังไงชานวุคก็ดิ้นไม่หลุด
“ถ้าคุณไม่สารภาพผมจะส่งหลักฐานทั้งหมดทุกคดีและจะขึ้นให้การในฐานะพยานด้วย
”
“............”
“ถ้านับความผิดคดีทั้งหมดรวมลดหย่อนโทษอาจจะซัก 20 ปี คุณน่าจะนึกถึงครอบครัวบ้าง”
“คนอย่างแกพูดออกมาได้หรอ”
สองสายตาจ้องกันราวกับจะกินเลือดเนื้อ
นายตำรวจหนุ่มไม่หลบตาหรือแสดงความโกรธเกรี้ยวใดๆ ทางสีหน้า
ชานยอลเองก็รู้ว่าพี่ชายเขามีส่วนผิดที่เข้าไปพัวพันกับการรับเงินใต้โต๊ะเพื่อจัดการปัญหาต่างๆ
ให้กับนักการเมือง แต่เมื่อขึ้นหลังเสือแล้วเมื่อวันที่ตัดสินใจจะลงเขากลับจบมันไม่ได้สวยงามอย่างที่คาดหวัง
เมื่อถึงวันที่คิดได้และตัดสินใจจะกลับตัวก็สายไปเสียแล้ว
“ถามจริงๆ เถอะ แกรักลูกสาวฉันบ้างหรือเปล่า” นัยน์ตาแข็งกร้าวจ้องมองนายตำรวจตรงหน้าอย่าง
สีหน้าของชายวัยกลางคนดูอ่อนลงเมื่อพูดถึงลูกสาว
พวกเขากำลังมองกันในส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ “แกเคยรักแพยอนจริงๆ หรือเปล่า”
คนตัวสูงเอาแต่นั่งเงียบไม่ตอบอะไร
ซ่อนความเหนื่อยหน่ายไว้ใต้สายตาแน่วแน่
ตั้งแต่วันแรกที่ชานยอลตัดสินใจเดินเข้าบ้านของแฟนสาวความมุ่งมั่นของเขาตั้งอยู่กับการสะสางเรื่องที่ติดค้างจนไม่ได้สนใจอย่างอื่น
รู้ว่าตัวเองก็เลวไม่แพ้กัน แต่ในเมื่อตัดสินใจทำไปแล้วชานยอลก็ไม่คิดจะถอยหลัง
“ถ้าคุณยอมจบคดีนี้ ผมจะปล่อยให้เรื่องอื่นหายไป”
“แกยังไม่ตอบฉันเลย... แกทำแบบนี้เพราะแกรู้สึกผิดหรอ...”
“..........”
“ลูกสาวฉันอยู่ในแผนนี้ด้วยหรือเปล่า”
“ถ้าคุณไม่อยากคุยเรื่องคดีก็รอทนาย” คนตัวสูงกล่าวแค่นั้นก็ลุกขึ้นปิดแฟ้มหลักฐาน
หันหลังเดินออกไป ทว่ายังไม่ทันที่ฝ่ามือหนาจะจับถึงลูกบิดเสียงทุ้มก็ดังขึ้น
“แล้วแบคฮยอนล่ะ”
“...........”
“นั่นก็แผนแกด้วยหรือเปล่า...”
ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร
ชานยอลเพียงแค่เปิดประตูเดินออกจากห้องสอบสวนไป
ก้าวผ่านสายตาที่จ้องมองของเพื่อนร่วมงาน
นัยน์ตาคมสบเข้าสายตาของหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แถลงการณ์
สายตาที่มีแต่ความสับสนและผิดหวังของแม่อดีตคนรัก
ทำร้ายความรู้สึกใครไปบ้าง...
ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไร
แต่สิ่งที่ชานยอลทำไว้แม้แต่จะพูดว่าขอโทษก็ยังกระดากอายเหลือเกิน...
‘จากรายงานล่าสุด เรื่องคดีจ้างวานฆ่านายตำรวจเมื่อเจ็ดปีก่อน
ล่าสุดทางสำนักงานตำรวจก็ได้รายงานเพิ่มเติมแล้วว่า อี ชานวุค
อดีตที่ปรึกษาสส.มุนแจอินรับสารภาพว่ามีส่วนข้องกับการลอบยิงร้อยตำรวจอินซอง
เมื่อเจ็ดปีก่อน ซึ่งตอนนี้ก็ยังมีการพยายามยื่นขอประกันตัวระหว่างรอพิจารณาคดี
ส่วนเรื่องที่ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตที่ใกล้จะหมดคดีความไหม
ยังไม่มีข้อมูลยืนยันมา ณ ที่นี้ค่ะ’
เสียงรายงานข่าวจากเทปบันทึกข่าวภาคค่ำดังออกมาจากมือถือ
เช้าวันนี้ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เรื่องคดีความ
งานแต่งงานถูกยกเลิกท่ามกลางความสงสัยของแขกเหรื่อ ตำรวจเข้ามาค้นบ้านวุ่นวายไปหมด
พ่อถูกควบคุมตัวและยังถูกห้ามประกัน
แบคฮยอนเครียดจนหัวแทบระเบิดกับการได้ยินเสียงพี่สาวร้องไห้ทุกวัน
และมีคนใกล้ชิดนักการเมืองเข้ามาที่บ้านไม่หยุดหย่อน
เบื้องต้นก็พอจะทำความเข้าใจได้ว่าพ่อไปมีส่วนเกี่ยวพันกับคดีสั่งยิงนายตำรวจเมื่อหลายปีก่อน
และคดีถูกรื้อขึ้นมาสืบต่อ
พี่ชานยอลยังไม่มาที่บ้านตั้งแต่วันนั้นที่ไปคุยกันครั้งสุดท้าย
แพยอนเอาชุดแต่งงานไปเผาและเอาแต่นอนร้องไห้เหมือนฝันร้ายมาเยือนบ้าน
มีข่าวลือเรื่องพี่ชานยอลหักหลังครอบครัวดังไปทั่ว
ถึงจะไม่อยากเชื่อแต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันบ่งบอกและชี้ชัดไปในทางนั้นหมด
ตอนเช้าของวันอาทิตย์
แบคฮยอนตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงรถคันที่แสนคุ้นเคย
คนตัวเล็กรีบวิ่งไปเปิดหน้าต่างแล้วก็เห็นคนที่รอจะได้พบหน้ามาหลายวัน
ด้วยความดีใจแบคฮยอนรีบวิ่งไปคว้าลูกบิดแต่ยังไม่ทันจะได้เปิดประตู ความรู้สึกบางอย่างก็หยุดเขาเอาไว้
เด็กหนุ่มตัดสินใจเดินถอยกลับไปที่เตียงนอนและรอฟังเสียงกระทั่งได้ยินคนเดินขึ้นมาก่อนที่เสียงประตูห้องข้างๆ
จะดังขึ้น
แบคฮยอนนั่งนิ่งมองกำแพง
ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงตะโกนของพี่สาวดังขึ้น ร่างเล็กถอยหลังชิดกำแพงห้องด้วยความตระหนก
พยายามฟังจับใจความบทสนทนาแต่ก็ได้ยินเพียงเสียงตะคอก
ทั้งเสียงขว้างปาสิ่งของยิ่งทำให้คนตัวเล็กนึกอยากจะหนีไปไกลๆ
ทั้งที่ก่อนหน้าหน้านั้นทุกอย่างกำลังดีอยู่แท้ๆ
เขาตัดสินใจลุกออกจากเตียงไปเปิดแง้มประตูดูหน้าห้องพี่สาวที่ยังไม่มีท่าว่าเสียงทะเลาะกันจะเบาลง
สองเท้าก้าวออกจากห้องเดินไปตามทาง
ขณะที่ผ่านหน้าประตูห้องนอนสีหวานเสียงบทสนทนาก็ดังรอดออกมาให้ได้ยินแม้ไม่ได้ตั้งใจฟัง
“พี่ไม่เคยรักฉันเลย! ฮือ! ทั้งหมดมันแค่นี้หรอ!! พี่ทำลายชีวิตฉัน
ไอ้คนชั่ว!! ฮื่อ”
มีแต่เสียงแพยอนที่แผดดังออกมา
แบคฮยอนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของพี่เขย เขาอยากก้าวเท้าเดินต่อแต่ก็อดใจฟังไม่ได้
“พ่อฉันไว้ใจพี่! แต่พี่หักหลังเรา ฮือ...
ที่ผ่านมามันเคยมีอะไรจริงบ้างไหม!”
เสียงร้องไห้ดังคร่ำครวญ
ถึงตอนนี้แบคฮยอนก็คิดว่าเขาเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว
สองเท้าก้าวออกห่างจากประตู
คนตัวเล็กกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกใหญ่ก่อนจะเดินหนีบทสนทนาลงไปด้านล่าง
ถึงจะไม่เคยรู้เรื่องธุรกิจหรืองานที่พ่อทำนักแต่แบคฮยอนก็มองว่าถ้าหากพ่อทำผิดจริงก็ควรได้รับโทษ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยคิดเลยคือเรื่องพี่เขย...
ถึงแม้ว่าใครจะมองยังไง
จะเห็นว่าพี่ชานยอลเข้ามาเพียงเพื่อสืบหาข้อมูลทำคดีแต่สำหรับแบคฮยอนสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขามันมากกว่านั้น...
คนที่อยู่ตรงกลางท่ามกลางความสับสนและหวาดกลัวก็คงจะมีแต่ตัวเขาเอง
เสียงปิดกระแทกประตูดังปังจากชั้นบนทำคนขวัญอ่อนสะดุ้ง
สายตาจดจ้องไปยังช่องระหว่างราวบันได
ทันทีที่เห็นว่าใครเดินลงมาแบคฮยอนก็ได้แต่ยืนนิ่ง สองสายตาสบมองกัน
ใบหน้าของนายตำรวจมีแต่ร่องรอยของความเหนื่อยล้าและนัยน์ตาของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความสับสนลังเล
“...............”
“พี่ไปแล้ว ดูแลตัวเองดีๆ นะ” คนตัวสูงระบายยิ้มจางๆ
บนใบหน้าก่อนจะเดินมาลูบหัวคนขี้แยที่เริ่มน้ำตาคลอ
สายตาของชานยอลยังอบอุ่นอยู่เสมอเหมือนกับช่วงเวลาที่ผ่านมาแม้ว่ามันเกือบจะหายไป
ความรู้สึกมากมายโถมขึ้นมาอัดแน่นเต็มหัวใจ
แบคฮยอนยังเอาแต่เรียกร้องว่าอย่าไปนะ ถึงจะรู้ว่าเขาเข้ามาเพื่อทำลายครอบครัว
“เราจะได้เจอกันอีกไหม” คนตัวเล็กยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตาพยายามกลั้นตัวเองไม่ให้ร้องไห้
แต่พอเห็นสายตาที่เคยมอบความอบอุ่นใจให้เขาแล้วก็เริ่มทนไม่ไหว
“ถ้าอยากเจอ...” ชานยอลก้มลงจูบบนศีรษะทุยเป็นการทิ้งท้ายก่อนจะเดินผ่านเจ้าของบ้านไปปล่อยให้คนตัวเล็กได้แต่ยืนน้ำตาหยด
ชายหนุ่มถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ทันทีที่ก้าวเท้าพ้นประตูบ้านหลังน้อย
กับเรื่องราวหนักอึ้งที่แบกมาตลอดหลายเดือน...
มันคงดีกว่านี้ถ้าทุกอย่างดำเนินไปอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก
ชานยอลเดินไปขึ้นรถยนต์คันเก่ง
หันมองรั้วที่แสนคุ้นเคยเป็นครั้งสุดท้าย
มองใบหน้าของเด็กชายที่มายืนร้องไห้ให้อยู่หน้าประตู
ควรจะจบสักทีกับเรื่องวุ่นวายเหล่านี้...
#ficbtl
ความคิดเห็น