คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : On the top floor 🌃
มันเป็นวันที่ลมพายุพัดแรง...
บนถนนทางยกระดับที่แน่นขนัด
การสัญจรเป็นไปอย่างเชื่องช้า
อาการหนาวเย็นภายในรถตู้ทำให้คนตัวเล็กต้องกอดตัวเองแน่น
เสียงเพลงในหูฟังเงียบลงเมื่อเครื่องโทรศัพท์ดับเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าแบตหมดลงแล้ว
ดวงตาเรียวรีมองออกไปนอกหน้าต่าง
อ่านป้ายบอกทาง ป้ายโฆษณาหลายสิบป้าย
ตึกสูงระฟ้าใจกลางเมืองบางแห่งยังมีไฟเปิดไว้สลัวๆ
รถตู้คันสีขาวขับเคลื่อนไปข้างหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะชะลอตัวลง การมีเวลาว่างมากๆ
ทำให้แบคฮยอนอดคิดไม่ได้ว่าตึกพวกนี้เป็นของบริษัทอะไร
เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาจ้องมองไปยังตึกลักษณะคล้ายทรงกรมที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากทางด่วน
ไฟด้านในตึกถูกเปิดไว้สลัวๆ หลายชั้น มองเข้าไปดูไม่ออกว่าเป็นออฟฟิศหรือโชว์รูม
ห้องที่กว้างและไฟสีเหลืองกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างในตัวเด็กหนุ่มนักศึกษา
ความรู้สึกคุ้นเคยจี้จุดความทรงจำที่เจ้าตัวนึกไม่ออก
คิ้วเรียวขมวดย่นลงเล็กน้อย อารมณ์คุกรุ่นเกิดขึ้นในจิตใจ
แบคฮยอนพยายามนึกว่ามีอะไรกำลังกระตุ้นความรู้สึกเขา
เรื่องบางอย่างที่รู้ว่ามีอยู่แต่จำไม่ได้
ไฟสลัว ห้องโถงกว้าง หรือทางเดิน...? เหมือนกำลังอยู่ในอาคารที่มีแสงเพียงเล็กน้อย รู้สึกเหมือนกำลังรออะไรสักอย่าง กำลังจะเดินทาง? หรือว่าไปไหน
ความรู้สึกเดียวที่เด่นชัดอยู่ในใจคือความความเหงา และความโดดเดี่ยว
แบคฮยอนกำลังนั่งรออะไรสักอย่างอยู่คนเดียวในโถงกว้างของอาคารที่มีไฟมืดสลัว
และเหงามาก...
รถตู้คันสีขาวขยับตัวอีกเล็กน้อย
แบคฮยอนนั่งมองอาคารนั้นอยู่นาน ชั่วขณะหนึ่งสายตาก็เหลือบไปเห็นชายในชุดสูทสีดำสนิทกำลังยืนสงบนิ่งอยู่ที่ด้านในกระจก
การปรากฏตัวที่ฉับพลันทำคนตัวเล็กต้องตกใจ
สายตาเขาจดจ้องชายคนนั้นที่เหมือนจะกำลังจ้องมองกลับมาจนกระทั่งรถขับเคลื่อนจนผ่านพ้นตาไป...
.
.
.
“แบคฮยอน
วันนี้มาทำงานวันแรกใช่ไหม ช่วยเอาเอกสารไปแฟกซ์ให้พี่ที
แล้วเอามาใส่แฟ้มนี่ไว้ด้วย”
“ได้ครับ”
เวลาสิบเอ็ดโมงภายในอาคารของบริษัทยักษ์ใหญ่
พนักงานบริษัทตัวเล็กเดินวุ่นไปทั่วชั้นเพื่อถ่ายเอกสารให้กับคุณเลขาของบริษัท
ดวงตาเรียวรีกวาดมองไปทั่วชั้นพิเศษซึ่งเห็นสถานที่ทำงานของคุณเลขา
บรรยากาศในโลกที่เข้าไม่ถึงทำแบคฮยอนอดเกร็งไม่ได้
ห้องทำงานบนตึกสูงระฟ้าท่ามกลางใจกลางเมือง
ดูจะเป็นเรื่องเหนือฝันเหลือเกินสำหรับเด็กชายนักศึกษาธรรมดาๆ
“ให้ใส่ไว้ในแฟ้มของท่านประธานเลยใช่ไหมครับ”
แบคฮยอนหันไปถามคุณเลขาที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็คกองเอกสาร
ยูมีเงยหน้าขึ้นจากหน้ากระดาษก่อนจะหันไปหยิบแฟ้มเปล่าๆ
หนึ่งอันส่งใส่กับพนักงานฝึกงาน
“ใส่ไว้ในนี้
เรียงหน้ากระดาษให้เป็นระเบียบด้วยนะ... สวัสดีค่ะท่านประธาน” เธอว่าแล้วก็หันไปรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นต่อ
ท่าทางรีบร้อนของเธอทำแบคฮยอนอดขำไม่ได้
คนตัวเล็กจัดเรียงเอกสารใส่แฟ้มสีดำที่มีตัวอักษรณ์เล็กๆ
สลักอยู่บนปกว่า ‘President’ เขาปิดแฟ้มลงเมื่อจัดการหน้ากระดาษเรียบร้อยก่อนจะนำไปวางไว้บนโต๊ะคุณเลขา
ทว่ายังไม่ทันจะได้หันหลังกลับไปปิดเครื่องแฟกซ์ชายแขนเสื้อก็ถูกคนบนเก้าอี้ดึงไว้
“ได้ค่ะ ค่ะ ได้ค่ะท่าน... ค่ะ...”
ยูมีวางสายโทรศัพท์ลงเมื่อรับปากเสร็จสิ้น
เธอจับแฟ้มยัดใส่มือเด็กหนุ่มฝึกงานแล้วหยิบเสื้อสูทมาสวมก่อนจะลุกจากเก้าอี้คว้ากระเป๋าทันทีด้วยท่าทางรีบร้อน
“ฉันจะออกไปข้างนอก เธอดูแลแฟ้มนี่
ถ้าหนึ่งทุ่มฉันยังไม่กลับมาให้เอากุญแจอันนี้ไปไขลิฟ
แล้วเอาเอกสารขึ้นไปให้ท่านประธานข้างบน แล้วก็อย่าเพิ่งไปไหนนะ”
“ให้ผมเอาขึ้นไปหรอครับ?”
“ถ้าฉันยังไม่กลับมาน่ะนะ
จะออกไปทำธุระนิดหน่อย ฝากด้วยล่ะ”
หญิงสาวว่าแล้วก็หุนหันวิ่งออกไปจากเก้าอี้ทันที
อุปนิสัยพลันแล่นดูเหมือนจะเป็นที่เลื่องลือของคุณเลขาสาวอยู่มาก
แบคฮยอนวางแฟ้มไว้บนโต๊ะแล้วเดินไปยืนอยู่ริมหน้าต่าง
เศษใบไม้ที่ปลิวว่อนบอกเขาสภาพอากาศด้านนอกคงกำลังมีลมพายุเหมือนเคย
สองมือบางวางทาบลงบนกระจก
สายตามองออกไปยังเมืองและถนนที่มีรถวิ่งวุ่นวาย
ท่ามกลางชีวิตที่กำลังดำเนินไปตามวิธีของมัน...
.
.
ติ๊ก... ติ๊ก...
เสียงเข็มนาฬิกาบนผนังดังอย่างเชื่องช้า
แบคฮยอนเดินวนไปมาอยู่หน้าลิฟด้วยท่าทีกระวนกระวายเพราะตอนนี้ใกล้จะหนึ่งทุ่มแล้วแต่คุณเลขายังไม่กลับมาเลยจนท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิท
กุญแจลิฟถูกเสียบค้างจนปุ่มกดขึ้นสีแดงแสดงว่าพร้อมใช้
คนตัวเล็กตัดสินใจ สูดลมหายใจแล้วเปิดประตูลิฟท์ออก ก้าวเท้าเข้าไปด้วยใจมุ่งมั่นก่อนที่จะกดนิ้วลงบนปุ่มที่เขียนว่า
VIP floor ทันที
แค่นับหนึ่งยังไม่ทันถึงสิบประตูลิฟท์เปิดออกอีกครั้ง
จนไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ น่าแปลกที่ชั้นพิเศษไม่มีทางเดิน
แค่เปิดประตูลิฟท์ออกมาก็เป็นห้องทำงานเลย
ภายในห้องโถงใหญ่ถูกเปิดไฟสีเหลืองไว้ให้เพียงแค่มองเห็นทาง
ลมเย็นจากแอร์ลอยปะทะเข้าใบหน้า บรรยากาศเย็นเยียบบนชั้นพิเศษยิ่งชวนให้รู้สึกแปลก
มันกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างในแบคฮยอนอย่างมาก
คนตัวเล็กก้าวท้าวเดินอย่างเงียบเชียบออกจากลิฟท์ไปยืนอยู่ด้านหน้าโซฟาตัวสีแดงขนาดใหญ่
กลิ่นหอมประหลาดลอยคลุ้งไปทั่วห้อง ของใช้ทุกอย่างที่จัดวางอย่างลงตัว
รู้สึกเหมือนมีแรงดึงดูดมหาศาลเกิดขึ้นรอบๆ
แบคฮยอนแทบก้าวเท้าไม่ออกทั้งที่โต๊ะอยู่แค่ด้านหน้า
บรรยากาศมันเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ
“พนักงานใหม่หรอ”
เสียงทุ้มดังขึ้นจากทางด้านหน้าทำคนตัวเล็กถึงกับสะดุ้ง
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำสนิทเดินมาจากประตูห้องทางฝั่งซ้าย
ใบหน้าหล่อเหลาอันเป็นที่เลื่องลือสะกดสายตาของเด็กหนุ่มไร้เดียงสา
กว่าจะรู้ตัวก็เผลอจ้องหน้าท่านประธานไปเสียแล้ว
แบคฮยอนรีบอึกอักพูดออกไปคล้ายกับคนมีลิ้นคับปาก
“เอ่อ
คุณยูมีบอกว่าถ้าหนึ่งทุ่มยังไม่กลับมาให้เอาเอกสารมาให้ครับ” ดวงเรียวรีหลุบลงเมื่อได้จ้องมองเจ้าของนัยน์ตาสีดำสนิทชัดๆ
แบคฮยอนหัวใจเต้นตึกตักไปหมด ปลายนิ้วเริ่มสั่นนิดๆ
เมื่อบรรยากาศเย็นเยียบสอดแทกเข้ามาระหว่างนิ้วมือ
“นั่งก่อนสิ” ชายหนุ่มในชุดสูทเดินไปยังโต๊ะทำงาน เปิดจุกขวดไวน์ดังป๊อกแล้วรินใส่แก้วทรงสูง
เขาหยิบมันขึ้นจิบขณะย่างเท้าเดินไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งเกร็งอยู่บนโซฟาสีเลือดนกตัวใหญ่
“ชื่ออะไร”
“บ... แบคฮยอนครับ”
“เงยหน้าขึ้นสิ” คนมีอำนาจใช้ฝ่ามือเชยคางเด็กหนุ่มให้เงยขึ้นสบตา
น้ำเสียงเย็นเยียบและนัยน์ตาสีดำสนิทสะกดจ้องเด็กชายให้หยุดนิ่ง
แบคฮยอนเผลอกำแฟ้มเสียแน่นเมื่อถูกชายตรงหน้าจ้องลึกเข้ามาในดวงตาเหมือนเขาทะลวงเข้ามาอ่านจิตใจจนสิ้นทะลุปรุโปร่ง
รู้สึกเหมือนมีภาพบางอย่างที่เลือนรางปรากฎอยู่ในหัวก่อนที่มันจะหายไป
เจ้าของปลายนิ้วหยาบวาดเกลี่ยลงบนสันกรามคนตัวเล็กไล่ขึ้นมาจนถึงพวงแก้มใส
ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
ก่อนจะละมือออกมาเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเริ่มออกอาการกลัว
“เอามาสิ” เขาเอื้อมมือลงไปขอแฟ้มสีดำจากเด็กหนุ่ม
บรรยากาศน่าขนลุกทำแบคฮยอนงกเงิ่นเกินทน
คนตัวเล็กส่งแฟ้มให้กับผู้เป็นนายก่อนลุกยืนขึ้น ดวงตาเรียวรีหลุบลงอย่างไม่กล้าสบตา
หัวใจดวงเล็กเต้นตึกตักราวกับโดนยาพิษเล่นงาน
“ขอตัวครับ” พนักงานตัวจ้อยค้อมศีรษะลงเล็กน้อย
แล้วเบี่ยงตัวเดินเลี่ยงออกไปจากชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ทันที
ไม่มีคำพูดใดท่ามกลางความเงียบ
ทันทีที่ประตูลิฟท์ปิดลงคนตัวเล็กก็ยกมือขึ้นจับหน้าอกที่หัวใจกำลังเต้นแรง ราวกับมีมนต์สะกดบางอย่างถูกจารึกลงในอกแบคฮยอนไม่สามารถลืมสายตาคู่นั้นที่จ้องมองเขาได้เลย...
.
.
.
ติ๊ดๆ... ติ๊ดๆ...
เสียงนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนตรง
แบคฮยอนยังนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงนอน พลิกไปมาเหมือนหนอนแด้
ทุกครั้งที่หลับตาเขามองเห็นแต่สายตาคู่นั้นและใบหน้าที่ทรงเสน่ห์ของชายหนุ่ม
ราวกับว่ามันไม่ถูกเทียบทับให้จำไว้ในความทรงจำ
ทำไมถึงรู้สึกคุ้นจังนะ...
ทั้งที่แน่ใจว่าไม่เคยเจอหน้า
ถ้าได้เห็นผู้ชายที่ดูดีขนาดนี้แบคฮยอนคงลืมไม่ลงไปตลอดชีวิตแน่
มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกคุ้นเคยที่แสนเบาบางในจิตใต้สำนึก
ดวงตาเรียวรีหลับลงอีกครั้งด้วยจิตใจที่วุ่นวายยิ่งกว่าคืนไหนๆ
แบคฮยอนกระชับผ้าห่มขึ้นคลุมถึงแผ่นอก ก่อนจะพลิกกายซุกหน้าลงกับตุ๊กตาหมีตัวโปรด
และหวังว่ามันจะปลอบให้ความกังวลใจของเขาเบาลง...
“แบคฮยอน ช่วยชงกาแฟให้หน่อย”
“ได้ครับ”
“วันนี้ช่วยอยู่ด้วยกันก่อนนะ”
คำพูดของคุณเลขาทำพนักงานฝึกหัดอดลอบถอนหายใจไม่ได้เมื่อรู้ว่าวันนี้ต้องอยู่ล่วงเวลางานอีกแล้ว
แบคฮยอนเพียงแค่ตอบรับไปก่อนจะตรงไปยังโต๊ะชงกาแฟ
ความรู้สึกบางอย่างที่รบกวนจิตใจเด็กหนุ่มทำเจ้าตัวเผลอกดน้ำร้อนเสียจนแทบล้นถ้วยกาแฟ
แบคฮยอนจัดการเทมันคืนลงกาน้ำแล้วใช้ช้อนตักผงกาแฟสีดำลงไปคนในแก้วอย่างเชื่องช้า
ภาพสะท้อนของตนเองบนผิวน้ำสีดำสนิททำให้แบคฮยอนนึกถึงบางอย่าง
“ผมไม่ค่อยเห็นท่านประธานเลย
ท่านลงมาข้างล่างบ้างไหมครับ” เสียงเล็กๆ
เอ่ยถามท่ามกลางความเงียบ สายตาของหญิงสาวที่เงยหน้าขึ้นมามองทำแบคฮยอนอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป
“ท่านไม่ค่อยลงมาหรอก
หรือถ้าออกไปไหนเราก็ไม่ค่อยรู้หรอก ยกเว้นเวลาไปทำงาน” ยูมีว่า
เธอวางปากกาลงพลางทำหน้าครุ่นคิด “แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยไปไหน
ได้เจอท่านแล้วหรอ”
“ครับ เมื่อวานก่อนก็เจอ
คุณยูมีเคยขึ้นไปข้างบนบ้างไหม”
“เคยสิ
แต่ปกติท่านไม่ค่อยอยู่ในห้องทำงานหรอก แค่เอาเอกสารไปวางบนโต๊ะ”
“ท่านประธานพักข้างบนหรอครับ”
แบคฮยอนเคาะช้อนลงกับขอบถ้วยกาแฟเบาๆ
ก่อนจะนำมันไปเสิร์ฟให้กับหญิงสาว สีหน้าของเธอดูผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อได้กลิ่นกาแฟ
“อื้อ”
“ท่านมีภรรยาไหมครับ” เอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยถึงจะรู้ว่าไม่เหมาะสมนัก
แบคฮยอนลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ
ด้วยความอึดอัดเมื่อคิดว่าจะต้องนำเอกสารไปส่งให้ประธานประหลาดคนนั้นอีกแล้ว
“มีนะ แต่ไม่ค่อยเห็นมาที่ทำงาน
เคยมาครั้งเดียวเองตอนงานเลี้ยงบริษัทเอง”
“หรอครับ”
“เอานี่ขึ้นไปได้แล้ว” ยูมีส่งแฟ้มเอกสารให้กับผู้ช่วยฝึกงานของเธอก่อนจะหันไปสนใจทำตารางงานต่อ
ปล่อยให้เด็กหนุ่มได้แต่ยืนมองแฟ้มสีดำก่อนที่รองเท้าหนังสีดำจะก้าวเดินออกจากโต๊ะไป
แบคฮยอนชำเลืองตามองลิฟท์เพียงครู่ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปและกดมันขึ้นชั้นพิเศษ
เพียงแค่อึดใจเดียวลิฟท์ก็เลื่อนขึ้นมาจอด
ทันทีที่บานประตูเปิดออกกลิ่นหอมยั่วเย้าแบบประหลาดก็ลอยเข้าปะทะใบหน้า
คนตัวเล็กก้าวขาออกไปด้วยท่าทีกล้ากลัวๆ มาจนถึงหน้าโซฟาสีแดงสด
เจ้าของแผ่นหลังใหญ่ยังคงยืนหันหลังมองออกไปยังนอกหน้าต่าง
บรรยากาศภายในห้องชวนให้รู้สึกประหลาดเหมือนทุกที
“เอ่อ...
คุณยูมีให้เอาเอกสารมาส่งให้ท่านครับ”
“ก็เอามาให้ฉันสิ” ร่างสูงใหญ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ชานยอลไม่แม้แต่จะหันไปมองพนักงานตัวจ้อย
จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้
“ผมวางไว้ตรงนี้นะครับ”
“วันนี้เธอกลับดึกหรือเปล่า”
คำถามที่ไม่ได้เตรียมตัวมาแบคฮยอนอึกอักเล็กน้อย
แต่เขาก็รีบตอบออกไปอย่างรวดเร็ว
“ครับ ผมต้องอยู่ช่วยคุณยูมีก่อน”
“งั้นก็ดีสิ” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาหันไปสบตากับคนตัวเล็กข้างกาย
เพียงแค่ฝ่ามือหนาวางลงบนบ่าแบคฮยอนก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ
เขารีบหลุบสายตาลงหนี รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมประหลาดที่ลอยเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
จนรู้สึกวิงเวียน เท้าก้าวถอยออกห่างจากร่างสูงใหญ่ตรงหน้าแต่ก็ช้าไป
เมื่อถูกอีกฝ่ายเกี่ยวตัวเข้าไปประชิด
“เอ่อ... ผม...”
“มองหน้าฉันสิ”
มือหนาเชยคางมนของคนในอ้อมแขนให้เชิดสบตา
นัยน์ตาสดใสทอประกายสีน้ำตายของพนักงานตัวจ้อยทำให้ชานยอลนึกถึงดิน
ท้องฟ้าที่อบอุ่นในยามเช้า
เพียงแค่สบตาทุกอย่างก็ง่ายดายเหมือนการเปิดอวนเพื่อจับปลา
ไม่มีอะไรที่ชานยอลต้องการและไม่ได้มา
หยาดฝนจากด้านนอกตกกระทบลงบนผนังกระจก
ไหลดิ่งลงเหมือนม่านหยาดน้ำ พร้อมกับสายฟ้าและเสียงโครมคราม แบคฮยอนหมดท่าลงในอ้อมกอด
หัวใจเขาเต้นโครมคราม นึกอยากจะวิ่งหนีออกไปแต่ทำไมขามันขยับไม่ได้เลย...
“อ๊า... อ๊า... ฮ่ะ... อ้า...”
เสียงร้องครวญครางดังเคล้าไปกับเสียงฟ้าผ่าจากด้านนอก
โต๊ะทำงานตัวใหญ่โยกเอี๊ยดอ๊าดเมื่อร่างสูงใหญ่โหมกายกระหน่ำลงบนหว่างขาคนตัวเล็กที่กำลังนั่งกางขาอยู่ด้านบน
เสื้อเชิ้ตสีขาวหลุดลุ่ย เผยให้เห็นแผ่นอกขาวที่เต็มไปด้วยรอยจูบแดงๆ
“ฮ่า... อ้า...”
ประธานหนุ่มใหญ่วางมือลงบนโต๊ะกระจกพร้อมกับโหมกระทั้นกายใส่ร่างพนักงานตัวเล็กไม่หยุด
ใบหน้าชื้นเหงื่อคลอเคลียไม่ห่างจากลำคอ เขาใช้ฟันขบกัดลงไปเบาๆ บนผิวเนื้อขาวนวลชวนล่อใจ
ท่ามกลางคืนที่ฝนฟ้ากระหน่ำ
เกมพันธนาการที่แสนดุเดือดยังคงดำเนินอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบลง
เสียงหอบหายใจดังสะท้านไปทั่วห้องที่เปิดมืดสลัวไปด้วยไฟสีนวล
ท้องฟ้าด้านนอกสีแดงจัดและเอาแต่ส่งเสียงคำราม สายฟ้าแลบเป็นประกายออกจากก้อนเมฆ
ภายในห้องที่หนาวเย็น
แผ่นอกบางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรงเมื่อถูกลิ้นร้อนแยงทะลวงเข้าในโพรงหู
เสียงหอบหายใจดังเคล้าไปกับเสียงครวญคราง
รู้สึกราวกับร่างกายกำลังหลอมละลายลงด้วยความร้อนรุ่มของชายหนุ่มตรงหน้า
ความสากของปลายคางที่เฉียดลงกับผิวคอและเสียงหายใจสั่นเครือลดใบหูทำแบคฮยอนทั้งหวั่นและกระหายแต่ก็ไม่อาจสามารถต้านทานความร้อนแรงของชายหนุ่มตรงหน้าได้
“ฮ่ะ.... คุณชานยอล...”
ใบหน้าหวานเชิดขึ้นเมื่อถูกปลายจมูกโด่งซุกไซ้ลงกับซอกคอขาว
ริมฝีปากร้อนผ่าวทำขนลุกเกรียวไปทั่วร่าง เอวบางถูกกอดกระชับด้วยท่อนแขนหนา
กลิ่นหอมพิลึกที่หวานเกินต้านทานทำแบคฮยอนหลงใหลลงไปในความนุ่มลึก
“อ้า... อ้า... แบคฮยอน...”
ความบริสุทธิ์กลับกลายเป็นสิ่งยั่วเย้าที่หลอกล่อชายหนุ่มได้มากที่สุด มันหอมหวนเสียยิ่งกว่าดอกไม้หรือน้ำหอมชนิดไหน กลิ่นที่ไร้เดียงสาของแบคฮยอนทำชานยอลยิ่งคลั่ง เกมรักดำเนินไปอย่างดุดเดือด สร้างไอร้อนรอบกายท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเย็น เสียงหอบหายใจดังและเงียบลงเมื่อริมฝีปากทั้งสองคู่ประกบกัน เรียวลิ้นที่สอดแทรกเข้ามาด้วยความกระหายปั่นหัวแบคฮยอนจนสูญเสียความเป็นตัวเอง
ราวกับถูกชักนำไปได้โดยง่ายเพียงแค่ได้สบมองกับดวงตาคู่นี้
ทุกสัมผัสบนผิวนี้ที่ฝ่ามือร้อนลากผ่านไป
เหมือนถูกมองทะลุเข้าไปในจิตใจและแบคฮยอนจะไม่สามารถต้านทานมันได้
“เธอเป็นเด็กดีมาก... ฮ่า...”
“คุณชานยอล ฮ่ะ... ฮ่ะ!”
ดวงตาเรียวรียาดเยิ้มด้วยไฟราคะที่สุมอยู่ในแผ่นอก
แบคฮยอนไม่เคยคิดว่าเขาจะทำสิ่งที่ต่ำช้าไปถึงเพียงนี้อย่างการทำเรื่องอย่างว่ากับชายวัยกลางคนที่แต่งงานมีภรรยาแล้ว
ถึงรู้สึกผิดอยู่เต็มหัวใจแต่ก็ไม่อาจฝืนความต้องการได้
แบคฮยอนถูกรักหลายครั้งจนร่างกายแทบไม่ไหวแต่คนตรงหน้าก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาได้หยุดสักที
สัมผัสอุ่นชื้นจากเรียวลิ้นที่เลียไปตามผิวเนื้อทำหนุ่มน้อยผู้ไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์รักหวั่นระทวย
ชานยอลทำรอยทิ้งไว้แทบจะทุกจุดบนเรือนร่างของร่างในอ้อมกอด
กลิ่นแบคฮยอนหอมบริสุทธิ์เหมือนกับกลิ่นดอกไม้และไอแดดในยามเช้า และนั่นทำให้เขาไม่สามารถหยุดความต้องการได้เลย
“อ้า... แบคฮยอน... แบคฮยอน....”
เสร็จสม และสุขสม...
ชายหนุ่มหอบหายใจเหมือนม้าที่เพิ่งผ่านสนาม
สายตาจดจ้องไปยังร่างเล็กๆ ที่เอนล้มพิงลงกับโต๊ะกระจก เอื้อมมือไปสัมผัสปอยผมช้าๆ
ก่อนจะอุ้มร่างตรงหน้าขึ้นด้วยสองแขน
สองเท้าก้าวเดินไปยังบานประตูสีน้ำตาลและเปิดเข้าสู่ห้องพักส่วนตัว
ชานยอลวางร่างเด็กหนุ่มคนใหม่ของเขาลงกับที่นอนสีเข้มก่อนจะเดินไปทิ้งกายนั่งลงบนเก้าอี้นวม...
.
.
.
ความรักหอมหวน ชวนให้ลุ่มหลง...
“วันนี้ผมมีประชุมตอนบ่าย
คุณช่วยส่งใครไปแทนด้วย วันนี้ผมไม่ไป”
ชายหนุ่มกรอกเสียงลงกับโทรศัพท์ก่อนจะวางมันแล้วเดินไปจัดการแฟ้มเอกสารอื่นๆ
ต่อ
ท่าทีรีบร้อนของท่านประธานบริษัทเรียกแบคฮยอนที่กำลังปัดกวาดชั้นหนังสือให้หันไปมอง
เขาวางผ้าขี้ริ้วลงก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังมุมชงเครื่องดื่มเพื่อเตรียมกาแฟ
“อยากดื่มกาแฟไหมครับ”
“อะไรก็ได้ แค่เธอชงก็พอ”
คำพูดหยอกล้อทำแบคฮยอนต้องหัวเราะกับตัวเอง
เขารีบจัดการชงกาแฟดำเพรียวๆ ด้วยเวลาที่แสนรวดเร็วแล้วนำมันไปวางไว้บนโต๊ะกระจก
ดวงตาเรียวรีเอาแต่จ้องมองไปยังชายหนุ่มตรงหน้าไม่วางตาพลางคิดว่า
มันเมื่อไหร่กันนะที่แบคฮยอนเอาแต่จ้องมองใบหน้านี้อย่างมีความสุข
“จะจ้องฉันอีกนานไหม”
“ขอโทษครับ”
ถึงอีกฝ่ายจะพูดอย่างนั้นแต่รอยยิ้มเอ็นดูที่ส่งมากลับไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ากำลังโดนดุเลย
ชานยอลละมือออกจากเอกสารตรงหน้า เขาเอื้อมมือไปคว้าแขนคนตัวเล็กให้ขยับเข้ามาใกล้
ใช้สายตาจ้องมองลงไปในดวงตาสดใสคู่นั้นด้วยความเอ็นดู
“วันนี้ไปที่สวนกันดีกว่า
เธออยากกินอะไร”
“คุณชานยอลอยากทานอะไรครับ”
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเรียกคุณ”
เขาว่าพร้อมกับดึงร่างเล็กๆ ให้นั่งลงบนตักพร้อมกับวางคางลงเกยไหล่
สองแขนกอดเกี่ยวเอวบางไว้หลวมๆ ที่จริงวันนี้ชานยอลเองก็เบื่อที่จะทำงานแล้ว
แต่เขาก็ไม่อยากถูกเลขาดุว่าไม่ยอมส่งเอกสารให้ตรงเวลา “ฉันจะโดดงานยังไงไม่ให้โดนยูมีว่าดี”
“ถ้าอย่างคุณยูมีคงต้องแกล้งตาย”
“ชักอยากจะแกล้งตายแล้วสิ” ว่าแล้วก็หลับตาลงซุกหน้าลงกับลาดไหล่เล็ก
สูดดมกลิ่นหอมประจำตัวเด็กหนุ่มด้วยความชื่นอกชื่นใจ
มันกลายเป็นความสัมพันธ์ที่มากกว่าใกล้ชิดเมื่อเจ้านายไม่ได้เป็นเพียงเจ้านายของลูกน้อง...
ความสัมพันธ์ที่ยากเกินจะนิยาม... ผูกเกี่ยวด้วยพันธนาการจากร่างกายและหัวใจ
ความลุ่มลึกที่เผาไหม้ทุกอย่างจนมอดมิด
แบคฮยอนมีความสุขทุกครั้งที่ได้นั่งอยู่ในอ้อมกอดชายร่างสูงใหญ่นี้
แม้ว่าจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์มันจะไม่ปกตินักแต่เขาก็เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันคือความรักออกมาจากหัวใจ...
“ไปที่สวนสาธารณะดีกว่า
เธออยากจะทำอะไรก็ตามใจ”
ร้านดินเนอร์สุดหรูไม่ใช่ที่สถานที่ปลายทางของค่ำคืนนี้
ชานยอลกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นพลางโยกตัวไปมาเหมือนกำลังกล่อมเด็ก
กลิ่นหอมของแบคฮยอนทำให้ชานยอลรู้สึกสบายใจได้เสมอ เหมือนกับว่าพื้นที่ข้างๆ
คนตัวเล็กนี้มีไว้เพื่อเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ผมไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย
คงต้องออกไปซื้อตอนเย็นนี้”
“งั้นก็ไม่ต้องทำหรอก
แค่ไปนั่งเล่นกันก็พอ”
“คืนนี้คุณชานยอลจะนอนที่นี่ไหมครับ”
เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงอึกอักติดจะเก้อเขินเล็กน้อย
ดวงตาเรียวรีหลุบลงมองฝ่ามือหนาบนหน้าตัก
แบคฮยอนรู้ว่าถ้าคืนนี้ประธานนอนที่นี่เขาก็จะได้อยู่ด้วย และนั่นหมายถึงการใช้ค่ำคืนด้วยกัน...
“อือ... แต่ว่าฉันมีนัดแขกเอาไว้
เดี๋ยวจะไปส่งที่บ้านนะ”
คำตอบจากอีกฝ่ายทำคนตัวเล็กสีหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย
ทว่าเขาก็ยังพยายามยิ้มออกมาด้วยความเข้าใจ
นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองไปยังวันที่บนหน้าปฏิทินที่บอกวันที่ 6 พฤษภาคม
บางทีมันคงดีถ้าแบคฮยอนได้ฉลองวันเกิดปีนี้กับคนรักของเขา
แต่ดูเหมือนจะหมดโอกาสซะแล้ว
“วันหยุดยาวเธอกลับไปหาครอบครัวไหม”
“ผมอยู่คนเดียว...”
“งั้นหรอ
เอาไว้ฉันจะให้เธอมาค้างที่นี่บ่อยๆ นะ ตกลงไหม” คนตัวสูงว่าพร้อมกับยกนิ้วก้อยขึ้นเป็นการให้สัญญากับคนตัวเล็ก
พออีกฝ่ายยิ้มออกมาด้วยสีหน้าสุดใจชานยอลก็อดมีความสุขไปด้วยไม่ได้
เขากดปลายจมูกหอมฟอดลงบนแก้มนุ่ม
ดอกไม้ที่แสนโดดเดี่ยว...
มิอาจต้านทานแรงจากลมพายุเชี่ยวกราก
แบคฮยอนเป็นเหมือนเด็กหนุ่มตัวคนเดียวที่ต้องพยายามใช้ชีวิตท่ามกลางเมืองใหญ่
ไร้ที่พึ่งพาเมื่อพบหลักพักพิงที่มั่นคงก็วิ่งโผเข้าซบเหมือนลูกนกน้อยโดยที่ไม่ได้คิดว่าสักวันจะถูกกองไฟที่ให้ความอบอุ่นนั้นเผามอดเอา
“งั้นผมจะไปทำงานก่อน” ว่าแล้วคนตัวเล็กก็ผละตัวลุกขึ้นจากอ้อมกอดแต่ก็ไม่วายถูกดึงลงไปประกบริมฝีปากอีกครั้ง
ความหวานจากกลีบปากที่บดคลึงลงมาอย่างนุ่มนวลชวนให้เคลิบเคลิ้มอย่างห้ามไม่ได้
“ห้าโมงเย็นฉันจะรอ...”
ภายในสวนพฤกษชาติที่ถูกลอบล้อมไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด
ชานยอลเลือกใช้พื้นที่ใกล้โคนต้นไม้ใหญ่อายุไม่ต่ำกว่าพันปีเป็นที่พักผ่อน
บรรยากาศที่เงียบสงัดและสายลมโชยช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้มาก ชายหนุ่มเอนล้มตัวนอนลงบนตักเด็กหนุ่มร่างเล็ก
ดวงตากลมโตจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า
ลมหายใจผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอเป็นจังหวะเดียวกับหน้าท้องที่เคลื่อนขึ้นลง
“ทำไมถึงชอบที่นี่หรอ” แบคฮยอนเอนหลังพิงลงกับต้นไม้ใหญ่อายุพันปีอีกที
ทุกครั้งที่มาที่นี่เขาสังเกตได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้ามักจะดูผ่อนคลายเสียยิ่งกว่าการได้ไปพักผ่อนในโรงแรมดีๆ
“ฉันมีความทรงจำกับมัน”
“อื้อ...”
“เมื่อก่อนฉันชอบมาอ่านหนังสือที่นี่”
เมื่อได้ยินคำว่าหนังสือ
ดวงตาเรียวรีก็มองไปยังหนังสือปกแข็งสีดำขอบทองที่วางอยู่บนหน้าท้องชายหนุ่มโดยอัตโนมัติ
แบคฮยอนมักจะเห็นหนังสือเล่มนี้อยู่ข้างกายท่านประธานทั้งบนโต๊ะทำงานและบนเตียง
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่เดือนเหมือนว่าเขาได้อ่านมันซ้ำจนนับครั้งไม่ถ้วน
“เมื่อคืนก็อ่านหนังสือหรอครับ”
มือบางไปหยิบหนังสือเล่มนั้นมาเปิดอ่านดูด้วยความสนใจ
เขาเปิดมันไปยังหน้าที่มีที่คั่นสอดเอาไว้พลางไล่สายตามองมันผ่านๆ
เมื่อคืนแบคฮยอนกลับบ้านไปก่อนตั้งแต่สองทุ่มก็เลยไม่ได้อยู่ช่วยคนรักจัดการห้องทำงานเลย
เมื่อคืนเขาก็คงนั่งอ่านหนังสือจนดึกเหมือนอย่างทุกที
แล้วก็ลืมเอกสารที่ต้องส่งให้คุณยูมีซะสนิท
“อื้อ”
“เป็นวรรณกรรมหรอครับ”
“ลองอ่านดูสิ” ชานยอลไม่ได้แสดงท่าทีหวงหนังสือของตน
เขาจ้องมองปกสีดำสนิทของมันพลางพลางหลับตาลง
“เกี่ยวกับอะไรหรอ” คนตัวเล็กเปิดไปที่หน้าปกเพื่อทำความเข้าใจคร่าวๆ
ก่อนจะอ่านมันในใจอีกไม่กี่ประโยค สายตาเขาสดุดลงกับบรรทัดที่ถูกทำสัญลักษณ์เอาไว้
ก่อนที่ริมฝีปากบางจะอ้าเอ่ยอ่านมันออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ว่าด้วยเรื่องอดีตองค์ชายผู้กระหายความเป็นอมตะ เขาผู้นั้นทำสัญญากับเทพเจ้าและขายวิญญาณของคนรักซึ่งเปรียบเสมือนดั่งดวงใจให้แก่เจ้าแห่งความตาย
โดยหารู้ไม่ว่านางนั้นคือบุตรสาวของเจ้าแห่งโลกันตร์ ฮีเดสยอมรับวิญญาณนางและประทานพรให้ชายหนุ่มหนึ่งข้อ
แต่ชายผู้โง่เขลาหาได้รู้ว่านั่นคือคำสาป...."
ริมฝีปากบางหยุดขยับเพื่อเว้นจังหวะ
แบคฮยอนสูดลมหายใจแล้วกล่าวต่อ
“ด้วยความหลงระเริงในอำนาจ ความโลภ
โกรธ หลง ความกระหายขององค์ชายไร้ที่สิ้นสุด
เปลี่ยนราชาผู้กล้าเป็นปีศาจร้ายเกินกว่าใครจะต้านทานได้
วันเวลาผ่านไปปีศาจตนนั้นยังดำรงชีวิตอยู่ด้วยคำสาปซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถลบล้างได้
และจะเป็นเช่นนั้นต่อไปตราบนานเท่านาน...." -
เพียงแค่อ่านย่อหน้าแรกแบคฮยอนก็รู้ได้ว่ามันคือวรรณกรรมเรื่องตำนานกรีกอะไรเทือกนั้น
เขาไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่ไม่นึกเลยว่าอย่างท่านประธานจะอ่านด้วย
"ไม่รู้ว่าคุณชานยอลชอบอ่านหนังสือแนวนี้ด้วย"
"ฉันชอบสิ"
“ต้องทำยังไงเจ้าชายถึงจะพ้นคำสาปหรอครับ”
“ฉันไม่รู้เหมือนกัน...”
นัยน์ตากลมโตจ้องมองออกไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้า
ชานยอลไม่อาจหาคำตอบได้จากวรรณกรรมที่ไม่มีตอนจบ
และถ้ามีมันคงเป็นตอนจบที่แสนเศร้า ซึ่งนั่นคงไม่ใช่สิ่งที่นักอ่านคาดหวัง
“แต่มันเป็นคำสาปยังไงถ้าสุดท้ายเจ้าชายก็ได้ตามสิ่งที่ปารถนาอยู่ดี”
แบคฮยอนปิดหน้าหนังสือลงด้วยความไม่เข้าใจ
เขาพยายามอ่านต่อไปแต่มันเหมือนเป็นแค่การเกริ่นถึงเรื่องสั้นๆ เพียงเท่านั้น
“เธอจะเป็นยังไงถ้ามีชีวิตอยู่แบบไม่มีวันตาย
เมื่อเพื่อนของเธอจากไป คนที่เธอรัก หรือแม้แต่ตัวฉัน
ชื่อเสียงและอำนาจถูกส่งต่อไป
เธอคิดว่ามันจะจบลงแต่ยิ่งนานวันเข้าจุดจบก็ยิ่งยาวออกไป
ยุคสมัยเปลี่ยนผ่านแต่เธอยังต้องอยู่ดูมันต่อไปอย่างไม่รู้จบ”
คำพูดของชานยอลฉุดแบคฮยอนให้คิดได้ถึงบางอย่าง
เขานึกเอาเองสั้นๆ ว่าสุดท้ายเจ้าชายจะตายลงเพราะคำสาปนั้นหลังจากที่สำนึกผิด
แต่มันคงไม่ใช่และคาดเดาไม่ได้จากการอ่านหนังสือแค่ย่อหน้าเดียว
“ไม่มีคำสาปไหนเลวร้ายกว่าการถูกสาปให้มีชีวิตอยู่ตลอดไป”
“ตลอดไปของคุณชานยอลนานแค่ไหนหรอครับ”
“เท่าที่ฉันมีเธอ...” กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบก่อนที่มือหนาจะยกขึ้นจับพวงแก้มและปลายคางเด็กหนุ่มขี้สงสัย
ปลายนิ้วหยาบไล้ลงบนกลีบปากบางด้วยความรักใคร่
น่าเสียดายที่ชานยอลไม่รู้จุดจบของเรื่องนี้ และมันคงดีถ้าเขารู้
“งั้นการมีชีวิตตลอดไปก็คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด”
“มันมีความหมายสำหรับการมีจุดเริ่มต้นและจุดจบ
มีหลายสิ่งเลวร้ายกว่าความตายเด็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าฉันต้องอยู่แบบไม่มีเธอ”
น้ำเสียงเศร้าหมองของคนตัวโตทำแบคฮยอนอดคิดไม่ได้ว่าท่านประธานของเขาอินนิยายมากเกินไปจนคิดอะไรเป็นตุตะ
เขาสบตากับชายหนุ่มพลางส่งเสียงหัวเราะออกมา ชานยอลเป็นคนที่แบคฮยอนชอบมากที่สุด
เป็นรักครั้งแรกของเขา และจะรักตลอดไปตราบใดที่มันไม่จบลง
“ผมว่าคุณอ่านหนังสือมากเกินไป”
“ฉันอินอะไรง่ายซะด้วยสิ” ชานยอลยกมือขึ้นนวดหัวคิ้วพลางถอนลมหายใจออกมาแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายเต็มทน “นี่ หลับตาสิ”
“หื้อ?” คนตัวเล็กเบิกตาเล็กน้อยเมื่อได้ยินอีกฝ่ายสั่งให้หลับตา
รอยยิ้มแปลกๆ บนใบหน้าของชายหนุ่มทำเขาอดคิดอะไรพิลึกไม่ได้ แบคฮยอนหลับตาลง
รู้สึกได้ว่าอีกคนลุกออกไปจากตัก ริมฝีปากบางเม้มแน่นด้วยความตื่นเต้นระคนประหม่า
วัตถุบางอย่างเย็นเหมือนเหล็กผัสผัสลงกับลำคอ
มันเบาหวิวเหมือนกับเป็นสร้อยเส้นเล็ก แบคฮยอนลืมตาขึ้น
ยกมือขึ้นจับสร้อยคอสีเงินวาวของเขาและจี้อันเล็ก
“สุขสันต์วันเกิด”
เสียงทุ้มดังเบาๆ
ที่ข้างใบหูก่อนที่ท่อนแขนหนาจะรวบกอดร่างเล็กจากด้านหลัง แบคฮยอนแทบหุบยิ้มไม่ได้
เขาคิดว่าชานยอลจะไม่รู้ซะแล้วว่าวันนี้สำคัญยังไง
และเขาก็ยังทำให้เซอร์ไพรส์ได้เสมอ
“ฉันรักเธอนะ”
‘รักเธอนะ...’
“ผมก็รักคุณเหมือนกัน”
.
.
.
“ผมจะกลับแล้วนะครับ”
“แน่ใจนะว่าไม่อยากให้ไปส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ”
ที่หน้าประตูลิฟท์แบคฮยอนก้มมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาสามทุ่มเศษก่อนจะเดินเข้าไปลิฟท์ไปโดยที่ไม่ลืมหันไปรับจูบจากคนรักเป็นการกล่าวลา
แบคฮยอนหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ
ภาพสะท้อนในกระจกลิฟท์เผยให้เห็นรอยยิ้มของคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
ทันทีที่บานประตูลิฟท์เปิดออกแบคฮยอนก็รีบเดินออกจากอาคาร
ลมพายุพัดปะทะเข้ากับใบหน้าพร้อมกับละอองฝน
คนตัวเล็กตัดสินใจใช้กระเป๋าบังฝนแล้วกระโดดขึ้นรถเมล์จากป้ายหน้าบริษัทแทน
แทนที่จะต้องไปขึ้นฝั่งนู้น ถึงจะต้องนั่งอ้อมนานไปหน่อยแต่อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้เอกสารเปียก
ทันทีที่ก้าวขึ้นมาบนรถโดยสารผู้คนบนรถหลับกันแทบทั้งหมด
แบคฮยอนเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง แล้วห่อตัวลงกับเก้าอี้แบบเงียบๆ
ขณะที่รถเริ่มขับเคลื่อนต่อไป
ในวันที่ฝนตกหนักสภาพจราจรค่อนข้างติดขัดเป็นพิเศษ
แบคฮยอนต่อรถตู้ที่เดินทางได้รวดเร็วกว่านั่งวนรถกลับมายังทางเดิมที่เขานั่งย้อนไป
บนทางด่วนโทรลเวย์แม้จะมองจากที่ไกลๆ
ก็ยังเห็นตึกกระจกและชั้นบนสุดหรูของบริษัทใหญ่
ทุกครั้งที่แบคฮยอนนั่งรถผ่านบริษัทเขามักจะมองดูเสมอว่าไฟของชั้นบนเปิดเอาไว้ไหม
และวันนี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม รถตู้คันสีขาวจอดค้างอยู่บนทางด่วน
ดวงตาเรียวรีเหลือบขึ้นไปมองชายในชุดสูทที่กำลังยืนมองออกมานอกผนังกระจก
ดูเหมือนว่าท่านประธานจะต้องพบแขกคนสำคัญจริงๆ
อยากรู้จังว่าเขาคิดอะไรนะตอนที่มองออกมายังตึกสูงเบื้องหน้า
การสัญจรของคนเล็กคนน้อยที่ไม่มีโอกาสได้อยู่บนในจุดสูงสุดของฐานะทางสังคม...
ขณะที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
ไฟบนชั้นสูงสุดของตึกก็ดับลงก่อนที่จะติดขึ้นอีกครั้ง
แบคฮยอนเห็นหญิงสาวคนหนึ่งในชุดแดงเดินเข้ามาโอบกอดท่านประธานจากด้านหลัง
คนตัวเล็กถึงกับต้องหลิ่วตาและพยายามจะเพ่งมอง เธอวางคางเกยลงกับไหล่ของเขา
ก่อนที่ชานยอลจะหันไปโอบรัดเอวหญิงสาว
แบคฮยอนอยากนึกว่านั่นไม่ใช่คนที่เขาเห็นแต่มันก็เป็นไปไม่ได้
ริมฝีปากบางเม้มแน่น มือบางยกโทรศัพท์ขึ้นมากดหาหมายเลขที่แสนคุ้นเคย
ขณะที่สายตาก็ยังมองไปยังภาพเบื้องหน้า
เสียงสัญญาณรอสายที่ดังซ้ำๆ
ทำเหมือนจะขาดใจให้ได้ แบคฮยอนเห็นคนรักของเขาเดินไปหายออกไปจากหน้าชั้นกระจก
ก่อนที่ปลายสายจะกดรับ
[มีอะไร]
“เอ่อ...”
[หื้อ]
“แบคฮยอนลืมของ
คุณชานยอลยังอยู่ที่บริษัทไหมครับ”
[ลืมอะไรล่ะ เดี๋ยวฉันจะดูให้]
“ของไม่สำคัญหรอกครับ
แค่โทรมาถามดู... แต่ผมถึงบ้านแล้วนะ”
[อือ งั้นแค่นี้ก่อนนะ ฉันมีธุระ]
“ครับ ผมจะวางแล้ว” เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แบคฮยอนหันไปมองคนข้างๆ
เขาที่ยังเอาแต่นอนหลับ ตัวเลขบนหน้าจอบอกเวลาสนทนาที่ยังดำเนินไป คนตัวเล็กตัดสินใจที่จะไม่กดวางสาย แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมกดวาง
[ใครหรอคะ]
[ผู้ช่วยเลขาบอกว่าลืมของไว้น่ะ]
[คุณลืมหรือเปล่าว่าวันนี้วันอะไร]
[หึ... หลับตาสิ]
หลับตาสิ...
แบคฮยอนอยากจะหลับตาหนีภาพตรงหน้าเหลือเกิน
แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับยิ่งทำร้ายใจ
สาวสวยในชุดสีแดงยืนหันหลังหลับตาก่อนที่ชายหนุ่มจะสวมสร้อยลงบนลำคอของเธอพร้อมกับสวมกอดและช่อดอกไม้สีแดง
[ใส่ไว้เป็นตัวแทนฉันนะ...]
[สวยจังค่ะ]
[ฉันรักเธอ... ที่สุดเลย...]
[พูดจริงหรอ]
[มากกว่าใครทั้งนั้น...]
หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงอาบผิวแก้มเหมือนกับหยดน้ำฝนที่เกาะกระจก
มือบางวางทาบหน้าต่างรถโดยสารก่อนที่มันจะขับเคลื่อนออกไป หัวใจดวงเล็กปวดหน่วง
ถึงจะรู้อยู่แล้วแต่ก็หวังเพียงว่าจะได้รับความรักจากใจจริง
แบคฮยอนอยากเชื่อมาตลอดว่าภรรยาของคุณชานยอลเป็นเพียงแค่ภรรยาตามทะเบียนที่สมรสกันตามความเหมาะสม
แต่มันคงไม่เป็นอย่างนั้น...
ทรมานจัง... ทำไมถึงเจ็บแบบนี้นะ...
หยาดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นลงบนหมอน
แบคฮยอนกอดตัวเองนอนร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กไม่รู้จักความรัก
หัวใจของเขามันเป็นเจ็บไปหมด
ไม่ว่าจะเปิดน้ำชะล้างแค่ไหนความรู้สึกนี้ก็ไม่หายไปสักที
ต่อให้ร้องไห้จนตายไปต่อหน้าก็คงไม่มีประโยชน์
รักเธอนะ...
รักเธอนะ...
ทำไมถึงได้ทรมานแบบนี้...
ทำไมโง่แบบนี้นะแบคฮยอนแค่ได้นอนกับเขาอาทิตย์ละครั้งก็หลงคิดว่าตัวเองเป็นที่รัก
หากเทียบกับภรรยาที่รักที่ท่านประธานต้องจองโต๊ะไปกินข้าวด้วยทุกอาทิตย์แล้วแบคฮยอนคนนี้จะสำคัญยังไง
ไม่ว่าจะด้วยความโง่เขลาหรือความโกรธแค้น
คนตัวเล็กตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมากดส่งรูปภาพและข้อความจำนวนมากเข้าไปในแชทของใครบางคนที่พูดว่ารักเขา
พร้อมกับคำพูดระบายความเสียใจ
Baekhyun : อยากให้ภรรยาคุณเห็นไหม?
'ข่าวฉาว
นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ถูกฟ้องหย่าเหตุแอบซุกกิ๊กที่ทำงาน!'
“นี่มันเป็นเรื่องของเราสองคนนะ!
ทำไมเธอทำแบบนี้!”
“แล้วคุณล่ะ ฮึก... คุณบอกว่ารักผม
แต่คุณ... ฮือ... คุณไม่เคยสนใจผมจริงๆ สักครั้ง”
“เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไง
ใช่ไหม...”
ภายในห้องนอน เสียงถกเถียงกันของคู่รักดังไปทั่ว
ชานยอลพยายามใจเย็นให้มากที่สุด เขาจับไหล่คนตัวเล็กที่ยังเอาแต่ห้องไห้ฟูมฟาย
จดจ้องเข้าไปในดวงตาที่อาบเคลือบม่านน้ำสีใส ชานยอลไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนี้เลย
เขาไม่ต้องการเลย
“ฮึก... ผม...”
“มันไม่มีอะไรทั้งนั้น ใจเย็นๆ
แล้วก็เชื่อฉันซิ”
“ฮึก...”
“ไปพักผ่อนซะ ฉันจะไปทำธุระต่อ”
เขาเอ่ยเพียงแค่นั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องไป
ปล่อยให้คนรักที่แสนเศร้าทรุดตัวนั่งลงบนเตียงพร้อมกับความทุกข์ทรมานที่มากเกินจะแบกรับไว้
มันเจ็บจนล้า เจ็บจนเกินจะทนไหว
ทุกวันผ่านไปเหมือนตายทั้งเป็นที่ต้องเป็นชู้หลังม่าน
บริการเขาเหมือนกับโสเภณีแถมยังถูกคำว่ารักหลอกล่อจนสูญเสียความเป็นตัวเอง สองมือจิกกำลงบนต้นแขนแน่น ทรมานจนใจจะขาดอยู่แล้ว ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้....
หนังสือพิมพ์ประจำวันถูกโยนลงบนโต๊ะกระจกพร้อมกับเสียงถอนลมหายใจเฮือกใหญ่
ชานยอลนึกอยากจะบ้าตายกับข่าวใส่สีตีไข่ที่ถูกเขียนลงบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์
เขาเดินไปทิ้งก้นนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดอย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์
ติ๊ง... ติ๊ง...
เสียงโทรศัพท์เรียกชายหนุ่มต้องละสายตาจากภาพเขียนตรงหน้า
ชานยอลมองรายชื่อบนจอมือถือก่อนจะลุกขึ้นหันมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วกดรับสาย
[………..]
“ที่รักผมไม่อยากมีปัญหา
ทำไมคุณบอกนักข่าวว่าจะฟ้องหย่า คุณไม่เคยยื่นเอกสารอะไรให้ผมเลย”
[……….]
“คุณต้องการแบบนั้นจริงๆ หรอ”
[……………]
“ผมกับเด็กนั่น? คุณทำเป็นเรื่องใหญ่หรอ?"
ที่หลังบานประตูแบคฮยอนกำลังเกาะลูกบิดฟังเสียงสนทนาของคนรักที่ดูกำลังเครียดไม่ตกเรื่องข่าวการฟ้องหย่า
คำพูดแต่ละคำที่ออกมาช่างบาดลึกลงในหัวใจให้เจ็บเหลือทน ทั้งคำที่เรียกว่าเด็กนั่น
คำที่บอกว่าไม่สำคัญ ทุกอย่างที่แบคฮยอนคิดว่าเห็นอยู่ตลอดแต่ไม่อยากจะยอมรับมัน
“ผมไม่อยากให้เราจบแบบนี้...
เรื่องนั้นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก”
..............
“มันไม่สำคัญเลย
ผมจะกลับไปคุยเรื่องนี้ที่บ้าน”
................
“ผมรักคุณนะ...”
...............
“คุณเชื่อผมสิ...
มันไม่สำคัญหรอก...”
คำก็รัก สองคำก็รัก
คงจะมีแต่แบคฮยอนละมั้งที่รู้สึกเจ็บกับมันคนเดียว หัวใจดวงน้อยช้ำไปหมด
ตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งเรื่องที่เหมือนจะคุยกันรู้เรื่องไปแล้วก็ไม่รู้เรื่อง
นับวันพิษรักที่กัดกินหัวใจจนเจ็บเรื้อรัง เหมือนพยายามวิ่งไล่จับเงาแต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่คนโง่ที่หัวเราะเยาะตัวเอง
หยดน้ำตาร่วงเผาะลงบนหลังมือ
แบคฮยอนแบกร่างผอมซูบของเขาไปนอนลงบนเตียงด้วยสภาพอิดโรยเหมือนทุกที
น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลดิ่งลงบนหมอนสีขาว
สถานที่ซึ่งเคยเป็นรังรักบัดนี้มันเหมือนกับฟูกที่ถูกยึดด้วยลวดหนามจนไม่สามารถบินจากไปไหนได้
ตราบใดที่ตัวเขานั้นยังถูกพันธนาการด้วยสิ่งที่เรียกความรัก
แบคฮยอนก็คงไม่เป็นอิสระ ใจเขาเอาแต่คิดว่าไม่น่าถลำลึกเลยเถิดมาตั้งแต่แรก
แต่ก็ไม่อาจต้านทานความดึงดูดและเสียงเรียกร้องของหัวใจ
ถ้ามันจะผิดที่ใครแบคฮยอนก็คงโทษตัวเขาเอง
แกร๊ก...
“ฉันจะออกไปข้างนอกนะ
เธอหาอะไรกินซะ เดี๋ยวฉันกลับมา”
เสียงบานประตูถูกเปิดออกเบาๆ
ชานยอลเดินเข้ามาในห้องและหยุดยืนอยู่ข้างเตียงมองใบหน้าแสนอิดโรยของคนตัวเล็กที่กำลังแกล้งหลับ
ปลายนิ้วปาดลงบนคราบน้ำตาบนพวงแก้ม คนตัวสูงเพียงแค่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป
ทิ้งให้คนป่วยได้แต่นอนซมอยู่กับหัวใจที่ช้ำตรอมตรม
แบคฮยอนร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน พิษรักที่ขมขื่นกัดกินจิตวิญญาณอย่างร้ายกาจ
ทรมานจนอยากจะควักมันออกมาจากอก ไม่อยากจะรู้สึกอะไรอีกแล้ว
ยิ่งอยู่ยิ่งทนยิ่งทรมาน
ทุกครั้งที่ถูกกอดก็ไม่ต่างอะไรจากการถูกหนามคมทิ่มตำทั่วร่าง
อ้อมแขนที่เคยอบอุ่นกลับหนาวเย็นเสียจนเกินทนไหว
รู้ว่าเขามีใครคนนั้นอยู่แล้วก็ยังดื้อรั้น
ดันทุรังคิดว่าอย่างน้อยตัวเองก็น่าจะพอได้ความรักบ้าง
แต่แบคฮอนคงยังรู้น้อยและอ่อนหัดเกินไป
เป็นแค่หนึ่งในประวัติของเขาแต่ไม่เคยได้ถูกจดจำไว้ในใจ...
ไม่อยากจะรู้สึกอะไรอีกแล้ว
ทำไมมันทรมานแบบนี้...
ความรักนี่คือพรจากสวรรค์หรือคำสาปกันนะ...
ภายใต้บรรยากาศแสนเงียบงันของชั้นบนสุดที่ถูกหรี่ไฟเอาไว้สลัวๆ
ความเงียบทำให้ชานยอลอดแปลกใจไม่ได้ เขาเหลือบตาลงมองนาฬิกา วางสูทไปบนพนักโซฟาก่อนจะตรงเข้าไปเปิดประตูห้องที่อยู่ข้างชั้นหนังสือ
ทว่ากลับไม่พบใครนอนอยู่ในนั้น
“แบคฮยอน...”
ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา
ชานยอลก้าวเดินต่อไปยังห้องน้ำที่ถูกเปิดแง้มเอาไว้
เขาผลักบานประตูเข้าไปก่อนที่จะพบกับน้ำสีแดงไหลนองเต็มพื้นกระเบื้อง
ในอ่างน้ำมีร่างขาวซีดนอนอย่างสงบนิ่งอยู่กลางอ่างเลือด
คนตัวสูงถึงกับทรุดกายลงกับพื้นห้องน้ำจ้องมองร่างไร้วิญญาณนั้นด้วยหัวใจที่แตกสลาย
ความด้านชาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ เพียงแค่ได้เห็นข้อความที่เขียนอยู่บนผนัง
‘ผมรักคุณ’
ปลายนิ้วของชายหนุ่มเริ่มสั่นระริก
เมื่อสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นท้ายที่สุดแล้วมันก็เกิด
หยดน้ำตาไหลออกจากดวงตากลมโตร่วงเผาะลงกระทบผิวน้ำ
รู้ว่าพยายามแค่ไหนก็คงช่วยร่างตรงหน้าเอาไว้ไม่ได้
ความรักที่เป็นดั่งคำสาป...
แสนทรมานเหนือคำสาปทั้งปวง...
คนตัวสูงลุกขึ้นเดินไปช้อนร่างเล็กๆ
ขึ้นจากอ่างน้ำสีแดง ชุดสูทของเขาเปียกโชก สองขาก้าวเดินไปเหมือนจะหมดแรง
ไม่มีแม้แต่เสียงร้องไห้หรือคำพูดใดที่จะแทนความรู้สึกได้
ชานยอลวางร่างคนรักของเขาลงบนโซฟาและหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันร่างนั้นไว้อย่างทะนุถนอมเหมือนอย่างที่ทำมาตลอด
ปลายนิ้วเรียวเกี่ยวปอยผมชื้นน้ำ
พร้อมกับสายตาที่จดจ้องไปยังใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความสดใสไม่สร่าง แบคฮยอนที่สดใสเหมือนกับดินและแสงอาทิตย์ในยามเช้า
บางทีคำสาปทั้งหมดนี่อาจยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ตัวเขากำลังเผชิญอยู่นี้
คนตัวสูงลุกขึ้นไปหยิบดอกไม้จากช่อกุหลาบมาหนึ่งดอก
ไขชั้นใต้โต๊ะและหยิบเอาของบางอย่างติดมือมา
มีเพียงความเงียบและบรรยากาศที่แสนเศร้าโศก ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่ข้างกายคนรัก
เขาจับดอกไม้ใส่มือแบคฮยอนก่อนจะทรุดร่างลงนั่งข้างๆ
ริมฝีปากอิ่มจูบประทับลงบนหน้าผากขาวซีด
“ฉัน... รักเธอนะ...”
ราวกับได้ยินเสียงหัวเราะเยาะมากับความเงียบ
ชานยอลกอบกุมมือบางเอาไว้ ทอดสายตาออกไปยังท้องฟ้าที่มืดสนิทเบื้องหน้า
เสียงโทรศัพท์สำนักงานบนโต๊ะดังขึ้นและตัดเข้าสู่ระบบอัตโนมัติพร้อมกับเสียงของหญิงสาวที่ดังออกมา
[ฉันขอโทษนะ...
ฉันโทรเข้ามือถือแล้วคุณไม่รับ ตอนนี้ฉันอยู่บ้านแม่ พรุ่งนี้จะกลับ
เราเข้าใจกันดีแล้วใช่ไหม พรุ่งนี้ฉันจะเตรียมดินเนอร์นะ]
ตู๊ด...
เสียงนั้นดังกังวานอยู่ในหู
ชานยอลเอาแต่คิดว่าทำไมไม่เป็นเธอล่ะ ทำไมถึงไม่เป็นเธอ...
แต่ถึงตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว
ฉันใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มานานเกินพอแล้ว...
ข้า... ร้องขอความตาย...
ปัง!!
วัตถุสีดำถูกยกขึ้นจ่อขมับ เสียงลูกกระสุนถูกยิงดังปัง
ชายหนุ่มทรุดลงกับร่างคนรักทันทีพร้อมกับเลือดที่ไหลนอง
หากจะมีบางสิ่งที่ทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าความตาย
ก็คงเป็นการถูกสาปให้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวตลอดไป...
ในความมืดมิด
สิ่งที่มองเห็นมีเพียงปลายเท้าและกลีบกุหลาบที่ร่วงโรย...
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองไปด้านหน้า และเดินตามกลีบกุหลาบไปเรื่อยๆ
ตามทางเดินที่มืดสนิท รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะอยู่ตลอดเวลา
พร้อมกับกลิ่นหอมแสนคุ้นเคยและเสียงฮัมเพลงที่ดังอยู่ไม่ไกล
รองเท้าสีดำมันวาวก้าวเดินไปเรื่อยๆ
ตามเสียงเพลงกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าประตูบานใหญ่
ทันทีที่มาถึงมันก็เปิดออกราวกับรอต้อนรับอยู่นานแล้ว
พลันเปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นสะท้อนในแววตาทว่ามิอาจกลบกลิ่นหอมและเสียงเพลงนั้นได้ลง
นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องมองไปยังคนรักที่นั่งอยู่ในโคมกระดิ่งแก้ว
แบคฮยอนยังนั่งเด็ดดอกกุหลาบร้องเพลงอยู่ในนั้น สีหน้าอมยิ้มมีความสุขราวกับไม่รับรู้ถึงการมาของคนรักเลย
ชานยอลมองดูภาพนั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ยืนมองอยู่รอบกองไฟที่ลุกโชนอยู่รอบด้าน...
“คราวนี้เจ้ามีธุระอะไรกับข้า”
เสียงทุ้มใหญ่ดังก้องกังวาน ชายร่างใหญ่พร้อมไม้สามง่ามเดินออกมาจากกองไฟ
ทันทีที่เขาเอื้อมมือมาแตะกรงแก้วนั้นก็หดเล็กลงเท่ากับแก้วไวน์
เทพเจ้าแห่งความตายนำมันไปวางไว้บนถาดทองใกล้กับองุ่นของเขาราวกับมันเป็นของประดับตกแต่ง
“ข้าไม่ได้เพื่อร้องขอสิ่งใดจากท่านนอกจากความตาย”
สายตาที่แสนทะนงทำเทพเจ้าถึงกับต้องหัวเราะเสียงดังเมื่อชายหนุ่มที่เคยร้องขอความเป็นอมตะชีวิตกับเขาลงมาที่โลกันตร์เพื่อร้องขอความตาย
ชานยอลยังทำตัวเหมือนเคย เขาอยากจะได้ทุกอย่างไปโดยคิดว่ามันไม่มีค่า
และไม่มีราคาต้องจ่าย
“ข้าไม่อยากได้วิญญาณเจ้า”
“ข้ายอมทุกอย่าง
ขอเพียงข้าได้เจอนางอีกครั้ง”
“ฮ่าๆๆๆ
เจ้ายังพูดจาเอาแต่ใจเหมือนเคย เจ้าคิดว่ามีอะไรที่ได้มาโดยที่ไม่ต้องจ่ายเรอะ”
ชายร่างสูงใหญ่หัวเราะเยอะจนเสียงก้องกังวาลไปทั่ว
เขาแกว่งกระดิ่งลูกแก้วไปมาและเอ่ยต่อ “นางอยู่ในกำมือข้า”
“...............”
“ครั้งนึงเจ้าลงมาเพื่อขอชีวิตอมตะจากข้า
หนีจากความตายที่เจ้ารังเกียจ
และวันหนึ่งเจ้าลงมาเพื่อร้องขอความตายเมื่อมีบางอย่างทำให้เจ้าทรมานยิ่งกว่า
และข้าสาปให้เจ้ามีชีวิตอยู่ตลอดไป...”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม
การได้หยามหน้าชายผู้แสนทะนง
เห็นเขาอ้อนวอนต่อความตายเป็นสิ่งที่เฮดีสอยากเห็นมากที่สุด
ชายผู้ถือกำความยโสเอาไว้ในมือแน่น ทั้งความโดดเดี่ยว
ความอ้างว้างตัวคนเดียวบนโลกตลอดหลายพันปีก็มิอาจทำให้ชายผู้นี้ยอมตาย
เพราะเขาจะไม่มีทางยอมให้เจ้าแห่งความตายหัวเราะเยาะ
แต่วันนี้ชานยอลกำลังจบสิ้นแล้ว
“ความโอหังของเจ้ามันแน่นอนเสียยิ่งกว่าคำสาป”
และนี่คือสิ่งที่เฮดีสรอมาอย่างยาวนาน คำสาปที่ลบล้างได้ด้วยเพียงความรักจากหัวใจที่บริสุทธิ์... แม้ว่าชานยอลจะพยายามหลอกให้คนอื่นคิดว่าเขารักหญิงสาวคนนั้นมากแค่ไหนเพื่อปกป้องแบคฮยอน แต่ก็มิอาจโกหกเทพเจ้าได้ เฮดีสรอวันที่จะได้หยามหน้าชายผู้เคยสร้างหนี้ไว้กับเขา
วันหนึ่งชานยอลยอมสละภรรยาผู้เปรียบเสมือนดวงใจให้แก่ความเห็นแก่ตัวของเขา
และเฮดีสก็รอวันที่จะได้เห็นชายผู้นี้ดิ้นรนทรมานต่อความรักจนต้องร้องขอความตาย
แบคฮยอนอยู่ในโลกของวิญญาณ... และชานยอลจะเป็นแค่บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่ทั้งมนุษย์และคนตาย...
“เจ้าเอาเปรียบโลกนี้มามากแล้วชาร์ล”
ชานยอลอยากทรุดกายลงคุกเข่าแต่เขารู้ว่าไม่มีอะไรทำให้เทพเจ้าองค์นี้พอใจได้
เมื่อกว่าจะรู้ตัวมันก็สายไปเสียแล้ว...
ชานยอลคิดว่าการมีชีวิตนิรันดร์นั้นคือคำสาปแต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่
ทุกวันผ่านไปกับการไม่ได้กลิ่น ไม่รับรู้รสชาติ ไม่สามารถรู้สึกได้ถึงความเมตตา
ความรัก ความเห็นใจ มีแต่ความอยากกระหายอันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นปีศาจมากขึ้นทุกวัน
กระทั่งเขาได้พบเจอกับเด็กหนุ่มที่มีกลิ่นหอมเหมือนกับแสงแดดยามเช้า
รอยยิ้ม ความใจดี และความน่ารักของแบคฮยอน
ชานยอลลืมตัวไปว่าเขาขายลูกสาวให้กับพ่อตาเพื่อความเห็นแก่ตัวของตัวเอง
ขายหัวใจ ขายจิตวิญญาณ
และนั่นทำให้เขาต้องพบกับสิ่งที่ทรมานเสียยิ่งกว่าความเป็นอมตะ
สิ่งที่เรียกว่าความรัก
เมื่อรวมตัวเข้ากับความไม่สิ้นสุดมันคือความทุกข์ทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์...
มนุษย์แสนโง่เขลาคนหนึ่ง คิดอ่านอะไรง่ายๆ
นึกเพียงว่าเขาจะมีชีวิตอยู่บนโลกต่อไปเพียงเพื่อเยาะเย้ยเทพเจ้าที่แสนโง่เขลา
แต่กลายเป็นว่าเขาเองที่ปรามาสความเจ้าเล่ห์ของเทพแห่งความตายมากเกินไป
“ข้าเกิดมานานเสียยิ่งกว่าโลกนี้...
เจ้าคิดว่าเจ้าอยู่มากี่พันปีกัน”
“ข้ายอมแลกทุกอย่าง”
“เจ้ามีอะไรมาแลกกับข้างั้นรึ”
“...........”
“ข้าไม่อยากได้ความตายของเจ้า
แม้แต่วิญญาณเจ้า ข้าก็ไม่อยากได้...” ชายร่างสูงใหญ่โน้มใบหน้าลงเฉียดปลายจมูกลงกับมนุษย์เล็กจ้อยพ่นลมหายใจร้อนเป็นไฟรดใส่ใบหน้า
“เจ้าเอาเปรียบโลกนี้มามากแล้ว
ถึงเวลาทำประโยชน์ให้ข้าเสียที...”
“...............”
“ข้าให้เวลาเจ้าทุกสิบปีเจอนางเพียงหนึ่งครั้ง
เจ้าจะยอมรับข้อตกลงรึไม่”
ข้อเสนอดูไม่ยุติธรรมนักแต่ชานยอลอาจไม่มีทางเลือก
ชายหนุ่มยืนเงียบกริบไม่พูดจา สิบปีสำหรับชานยอลอาจแค่พริบตาเดียว แต่สิบปีที่ไม่มีแบคฮยอนคงเหมือนพันปี...
“ท่านจะขังนางไว้ในกรงแก้วตลอดไปงั้นหรอ”
“หรืออยากให้ข้าส่งนางไปขุมนรก...”
นัยน์ตาสีดำสนิทจดจ้องลงไปในดวงตาโปนลึก
แบคฮยอนที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างไร้จิตวิญญาณในกรงแก้วก็ไม่ต่างจากตายไปแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก่อนอื่นข้าอยากให้บางสิ่งกับนาง”
ชายหนุ่มว่าพร้อมกับควักเจ้านกสีขาวตัวน้อยออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท
มันส่งเสียงร้องอย่างสดใสราวกับมิได้รู้สึกหวาดกลัวสิ่งใดในนรกภูมินี้เลย “ให้นกนางแอ่นของข้าดูแลนางได้หรือไม่
ข้าจะได้แน่ใจว่าท่านจะไม่ผิดสัญญากับนางตอนที่ข้าไม่อยู่ที่นี่”
“หึ... เจ้านี่มันช่างโง่เขลานัก”
ชายร่างสูงใหญ่กล่าวเสียงเข้ม “ตามใจเจ้าสิ...”
เมื่อสิ้นคำรอบตัวนกนางแอ่นก็ส่องประกายแสงสีขาวออกมาโดยรอบ
พลันกลายร่างเป็นหญิงสาวแสนงามงด งดงามเสียยิ่งกว่าผู้ใดในโลกนี้
เธอถือดอกกุหลาบสีแดงไว้ในมือ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยน
“งั้นข้าจะขอรับวิญญาณของนางไป”
ฉับพลันกรงแก้วก็แตกละเอียดลงตรงหน้า ชายร่างใหญ่โกรธจัด
ส่งเสียงคำรามออกมาเมื่อตัวว่าถูกตลบหลัง
ทว่าก็มิอาจแก้ไขสิ่งใดได้อีกเมื่อตนเป็นคนเอ่ยเองว่าจะยอมให้ดวงวิญญาณเป็นของนกนางแอ่น
โดยมิทันได้คิดว่าแม่นกนางแอ่นคือตัวแทนของวีนัส
“ข้าขอสาปเจ้า!!!”
มหาเพลิงลุกโชนขึ้นท่วมเสาวิหารด้วยความกราดเกรี้ยว
ทว่ามันก็สายไปเสียแล้วเมื่อประตูนรกปิดลงพร้อมกับหนึ่งเทพีกับหนึ่งดวงวิญญาณและชายหนุ่มที่เดินออกจากสถานที่ซึ่งแสนพิศวง
เมื่อเฮดีสมอบวิญญาณให้กับเทพองค์อื่นเขาก็ไม่มีสิทธิ์ในตัวบุคคลนั้นอีกต่อไป
ชานยอลอยากสำนึกผิดและขอโทษ
แต่เขาคงรอที่จะได้พบแบคฮยอนทุกสิบปีไม่ไหว
จึงตัดสินใจทำสัญญากับเทพองค์ใหม่เพื่อรักษาชีวิตคนรักเอาไว้
อย่างน้อยก็เท่าเวลาที่มีชีวิตอยู่...
“เจ้าอย่าลืมสัญญาของข้า...”
“ข้าไม่มีวันลืม...”
ไม่มีอะไรที่องค์ชายผู้นี้ต้องการอีกแล้ว
ไม่ว่าจะชีวิตหรือความเป็นอมตะนิรันดร์
เพราะตลอดไปของชานยอลคือเท่าที่มีแบคฮยอนยู่เคียงข้าง...
ติ๊ด... ติ๊ด... ติ๊ด...
ดวงตาเรียวรีลืมขึ้นช้าๆ
กลิ่นเหม็นฉุนอันเป็นเอกลักษณ์ของโรงพยาบาลทำคนตัวเล็กมึนงงไปหมด
แบคฮยอนพยายามจะหันมองรอบกายแต่ฤทธิ์ยาบางอย่างทำให้เขาเชื่องช้าเหลือเกิน
ความอบอุ่นบริเวณหลังมือบอกแบคฮยอนให้รู้ว่ามีบางคนหลับอยู่ข้างกายเขา
ชายหนุ่มที่เป็นสาเหตุให้แบคฮยอนเลือกปิดชีวิตตัวเอง...
.
.
.
ไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับความรักที่แสนสุดเหวี่ยงนี้
แบคฮยอนตกหลุมรักอย่างหนักและเสียใจจนคิดอะไรไม่ได้เลย
พอลืมตาตื่นมาอีกทีเขาก็เหมือนได้สติและทุกอย่างมันก็เบาบางลงจนทำให้อดคิดไม่ได้ว่าที่ผ่านมานั้นคืออะไร...
“พรุ่งนี้นายจะเข้าประชุมไหม”
“พรุ่งนี้ฉันจองโต๊ะอาหารเอาไว้
เราน่าจะไปด้วยกัน”
“ไม่ทำงานอีกแล้วหรอ
แต่ฉันจะออกไปข้างนอกนะ”
เสียงถกเถียงกันดังเบาๆ ในห้องทำงาน
แบคฮยอนเก็บหนังสือใส่ชั้นก่อนจะตรงไปหยิบกระเป๋าเพื่อเตรียมออกไปทำงานต่อ
แน่นอนว่าเขาลาออกจากบริษัทนี้แล้วเพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำงานเท่าที่ควรเลย
“ทำไมใจร้ายจัง” ชายหนุ่มแสร้งทำหน้าซึมแต่ก็หาได้ทำให้คนตรงหน้าสนใจไม่
แบคฮยอนเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
ให้กับตาแก่สุดขี้เกียจก่อนจะเดินเข้าไปจุ๊บริมฝีปากเขาเบาๆ เป็นการให้รางวัล
“อย่าขี้เกียจนักสิ”
“เมื่อก่อนเธอไม่เห็นเคยขัดใจฉันเลย”
สองมือพยายามเกาะอกเอวบางแต่ก็ถูกอีกฝ่ายแกะมือออก
เป็นสัญญาณที่บอกว่าให้เลิกหวังได้แล้ว
“งั้นก็ไปหาแบคฮยอนคนก่อนสิ”
“ก็ได้...” ชานยอลยกสองมือขึ้นเป็นการยอมแพ้และปล่อยให้แฟนตัวเล็กเดินออกจากห้องไปเพื่อไปทำงาน
เขาเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะกับตัวเองเบาๆ จนกระทั่งบานประตูปิดลง
เมื่อคำสาบสูญสิ้นและมนต์ตราต่างๆ ได้คลายลงรวมทั้งกลิ่นหอมล่อแมลง สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยก็คือความน่ารักของแบคฮยอน
ความเป็นธรรมชาติในแบบของมนุษย์กลับยิ่งทำให้เขารู้สึกหลงรักและเอ็นดูเด็กหนุ่มตรงหน้ามากขึ้นกว่าเดิม
บางครั้งชานยอลอยากปฏิเสธความรู้สึกต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในใจเพราะมันทำให้เขาวุ่นวายเหลือเกินหลังจากที่อยู่กับความเรียบเฉยมานานนับเกือบพันปีตั้งแต่สงครามล้างเผ่าพันธุ์ ยุคโจรสลัดชานยอลก็เป็นหนึ่งในแม่ทัพ
เป็นนักเขียนชื่อดัง ตั้งแต่นักวาดรูป จิตกร หมอ ทนายความ แม้แต่นักธุรกิจ...
ชานยอลเกลียดความหึงหวง เกลียดความวิตกกังวล
เป็นห่วง ไม่สบายใจ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เขาไม่ได้เผชิญมานาน
แต่สิ่งเหล่านั้นทำให้เขาเป็นคนมากขึ้น รวมถึงความสุขที่ได้รับในทุกๆ วัน
อย่างน้อยข้อดีอย่างหนึ่งของการเป็นคนตายที่ไร้ญาติก็คือชานยอลไม่ต้องกลัวว่าบริษัทจะเจ๊ง
เพราะเดี๋ยวก็ต้องตาย ความรับผิดชอบที่ไม่มีจุดจบมันช่างแสนทรมาน บางทีชีวิตดีๆ
ที่มีความสุขแม้จะเป็นช่วงเวลาที่แสนสั้น
ก็อาจคุ้มค่ากว่าการต้องมีชีวิตที่ทุกข์ทรมานอย่างยาวนาน
ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว
สิ่งที่ทำให้ผู้คนกลัวความตายคือการจากลา
มันมีความหมายสำคัญของการมีจุดเริ่มต้นและจุดจบ
เพราะถ้าทุกอย่างไม่มีจุดจบก็คงไม่มีความหมาย...
ตลอดไปนั้นสั้นเพียงความทรงจำของใครบางคน...
-
“นายช่วยเล่าเรื่องในหนังสือให้ฟังต่อได้ไหม”
บนเตียงนอน
แบคฮยอนพิงศีรษะซบลงกับแผ่นอกหนาของคนข้างกาย
ดวงตาเรียวรีจ้องมองไปยังหน้าหนังสือเล่มเดิมที่คนรักยังอ่านอยู่ทุกวัน
“ต่อจากไหนล่ะ”
“เจ้าชายโดนคำสาปแล้วยังไงต่อ”
“ก็...” ชานยอลปิดหนังสือลงเพราะเนื้อหาเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในหนังสือเล่มที่เขาเขียนไปเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว
มือหนายกขึ้นสางเส้นผมของคนรักด้วยความรักใคร่ก่อนริมฝีปากอิ่มจะอ้าเอ่ยเล่าเรื่องราวออกมา...
"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...."
end (?)
#myfablecb
ความคิดเห็น