ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My Fable -Chanbaek-

    ลำดับตอนที่ #16 : Wild flower l 4 (end)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.58K
      370
      8 ม.ค. 64

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     







    เสียงล่ำลือของสาวใช้ว่ากันให้ทั่วเรื่องนายหญิงรับเด็กใหม่เข้ามาเลี้ยงดูในปกครอง บางคนก็พูดว่าแบคฮยอนเป็นคนพิเศษของคุณหนูไปเสียแล้ว

     

    ภายในห้องอาหารที่มีแต่ความเงียบ เสียงเครื่องเงินกระทบจานเซรามิกวาดลวดลายดังเบาๆ ผู้การเทอร์ปินส์ชำเลืองตามองภรรยาของเขาพลางลอบถอนหายใจออกมา ก่อนที่แม่บ้านวัยชราจะเข้ามาเปลี่ยนจานใบใหม่สำหรับของหวานจานถัดไป

     

    “พรุ่งนี้ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย” เสียงทุ้มดังขึ้น เรียกสายตาจากชายหนุ่มที่ดังอยู่ฝั่งตรงข้าม ชานยอลเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไร “เจ้าอยากไปด้วยกันไหม”

     

    “พรุ่งนี้ข้ามีนัดตัดชุดกับช่าง” ยกข้ออ้างขึ้นมากล่าวไปเรื่อยทั้งที่พรุ่งนี้ตนเองว่างทั้งวัน ชานยอลขอยอมกินยาวินาศสิบเม็ดดีกว่าให้ออกไปข้างนอกกับท่านนายพล

     

    “ได้ยินว่าเจ้านำเด็กใหม่มาเลี้ยง”

     

    “เราเคยเป็นเพื่อนกัน สมัยก่อน”

     

    “อือ...” นายทหารใหญ่พยักหน้า รู้สึกได้ถึงบรรยากาศตรึงเครียดที่แผ่ตัวไปโดยรอบ ภารกิจคุมกองทัพที่แสนยาวนานทำให้หนุ่มใหญ่ในตอนนี้ไม่ต่างจากต้นไม้ที่แห้งเฉา “คืนนี้เจ้าไปพบข้าด้วย ข้าอยากอาบน้ำสักหน่อย”

     

    ชายวัยกลางคนพูดแค่นั้นก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกจากห้องทานอาหารไป ปล่อยให้เด็กหนุ่มได้แต่ต้องถอนหายใจออกมา นัยน์ตากลมโตหลุบลงมองขนมปังที่แห้งและจืดชืดไม่ต่างจากชีวิตของเขา ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ความอดทนในหน้าที่นี้จะจบลงเสียที....

     

     

     

     

     

    เวลาสองทุ่มภายในห้องนอนที่มีเพียงแค่แสงจากตะเกียง คุณนายสาวของบ้านในชุดสีขาวฟูฟ่องกำลังถูกประทินโฉมโดยเหล่าสาวใช้ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาถูกแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางบางๆ ชุดนอนสีขาวหวานยาวเลยคลุมข้อเท้า กับถุงน่องเนื้อเนียนที่ถูกเกี่ยวด้วยสายรัด

     

    นัยน์ตากลมโตที่แสนว่างเปล่าจ้องมองตัวเองในกระจก วิกผมสีดำขลับจากเส้นผมธรรมชาติถูกปล่อยยาว ก่อนที่จะหมวกตาข่ายผ้าบางจะถูกคลุมลงบนศีรษะ ดูอย่างกับเจ้าสาววัยแรกแย้ม

     

    “ผู้การรอท่านที่ห้องนอนค่ะคุณหนู”

     

    “เดี๋ยวข้าไป” เครื่องหอมถูกแตะลงบนซอกคอเป็นการสร้างกลิ่นยวนเย้าให้กับค่ำคืนอัศจรรย์ ก่อนที่สาวใช้จะพากันเดินออกไปจากห้อง

     

    ใครบางคนที่นั่งอยู่ในตรงมุมมืดได้แต่จ้องมองคุณชายผู้นั้นที่บัดนี้ได้กลายเป็นเจ้าสาวของคนอื่นไปเสียแล้ว ในตาของแบคฮยอนฉายแววตัดพ้อระคนสับสน เขาได้แต่นั่งมองดูคุณหนูของตนถูกจับประทินโฉมเพื่อเตรียมนำไปเสิร์ฟให้กับชายหนุ่มเหมือนของหวานยามค่ำ

     

    คุณหนูชานยอลที่ยังคงดูสวยอยู่เสมอ และมากเสียจนเกินที่จะจินตนาการได้ว่าใครคือคนที่คู่ควรกับความงามนี้

     

    “ข้าจะกลับห้อง” แบคฮยอนกระโดดลงจากโต๊ะไม้ที่มุมห้อง และตัดสินใจจะไปนอนในห้องเก็บของใต้บันไดที่ตัวเองเรียกว่าห้องนอน แทนที่จะอยู่ทนดูคุณหนูไปเป็นของชายอื่น

     

    ริมฝีปากบางงอคว่ำ แววตามีความสับสนและเสียใจ ตอนนี้คุณหนูของเขาเป็นใครกันแน่ เป็นแค่คนที่ใครๆ ก็อยากให้เป็นหรือเป็นคนของแบคฮยอน

     

    “แบคฮยอน” ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้จนสะดุดชายกระโปรง คนตัวสูงรีบตรงไปคว้าท่อนแขนของเด็กรับใช้ตัวเล็กไว้ นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเว้าวอนจับจ้องใบยังหน้าบึ้งตึง ชานยอลรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่แบคฮยอนจะชอบแต่เขาก็ไม่มีทางเลือก “มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด...”

     

    “คุณหนูไปเถอะ นายพลท่านรออยู่” คนตัวเล็กว่าแล้วก็บิดข้อมือเดินออกจากประตูห้องนอนไปทันที ปล่อยให้ชายหนุ่มได้แต่ถอนลมหายใจออกมาด้วยความหนักอก

     

    ชานยอลหลับตาลงก่อนที่จะตัดสินใจเดินออกไปพบกับสาวใช้ที่ยืนถือผ้าปูที่นอนชุดใหม่รออยู่ด้านนอก ท่ามกลางทางเดินที่เงียบสงัดมีเพียงแสงไฟจากเชิงเทียนส่องให้เห็นแผ่นหลังเล็กๆ ของคนที่กำลังเดินจากไป ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ กับไหล่ที่สั่นไหว

     

    ชานยอลอยากจะกอดแผ่นหลังนั้นและพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่มันก็ยากเหลือเกิน....

     


     

     

    ภายในห้องขนาดเท่ารูหนู แบคฮยอนทิ้งตัวลงนอนบนผ้าห่มเก่าๆ และปลอกหมอนที่เปียกชุ่มเป็นคราบ เวลายามค่ำคืนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ถึงจะบอกให้ตัวเองทำใจให้ได้แต่มันก็หยุดคิดไม่ได้สักที แบคฮยอนคงไม่มีเงินมากพอมาไถ่คุณหนูของเขาไปจากท่านผู้การ และบางทีนี่ก็คงเป็นโชคชะตา

     

    พลิกตัวไปมาท่ามกลางแสงเทียนที่วูบไหว ทำยังไงก็ข่มตาลงไม่หลับ คนตัวเล็กตัดสินใจลุกขึ้นคว้าตะเกียงแล้วเดินออกจากห้องใต้บันไดไปท่ามกลางความเงียบงัน สองเท้าที่เปลือยเปล่าเหยียบขั้นบันไดวนไปตามทาง มาถึงหน้าห้องนอนของชายหนุ่มที่ตัวเองหลงรัก

     

    มือเล็กๆ ผลักบานประตูเข้าไปอย่างเงียบเฉียบ ไม่มีใครอยู่ในห้องนอน เดินสะเปะสะปะออกไปจนถึงระเบียงด้านนอก ตะเกียงอันน้อยถูกวางลงก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจปีนออกไปนอกระเบียง...

     

     

     

    “อ้า... ฮ่ะ... ฮ่ะ....”

     

    เสียงครวญครางเริ่มดังให้ได้ยินเมื่อแบคฮยอนเข้าใกล้พอจะถึงระเบียงห้องท่านผู้การ คนตัวเล็กเหยียบขอบปูนอย่างระมัดระวังมาจนถึงรั้วกลั้นสีดำ น้ำเสียงคุ้นเคยที่ได้ยินเหมือนมีดกรีดซ้ำทับลงรอยแผลรู้ทั้งรู้ว่าต้องเจ็บแต่ก็ยังฝืน ขาข้างนึงค่อยๆ ปีนก้าวเข้าไปในรั้วเตี้ย

     

    เงาของสองร่างที่กำลังขยับขโยกเข้าหากันส่องกับแสงเทียนทะลุเป็นเงาบนผ้าม่านสีขาวซึ่งปลิวไสวไปมา เด็กรับใช้ตัวจ้อยเดินไปหลบอยู่หลังเสาประตู แม้จะต้องเห็นภาพบาดตาแต่มันก็ยังดีกว่าได้แต่จินตนาการและเจ็บช้ำอยู่กับความคิดสีเทา

     

    แบคฮยอนค่อยๆ แหวกม่านออก แนบดวงตาลงกับช่องว่าง เขากำลังมองเห็นร่างของคุณหนูคนสวยในชุดสีขาวกำลังขยับกายเหนือร่างท่านผู้การ ทว่า... มันไม่ใช่ในแบบที่จินตนาการ

     

    ชายหนุ่มในชุดของหญิงสาวอยู่เหนือร่างทหารวัยกลางคนที่นอนอยู่เบื้องล่าง ท่านผู้การพลิกตัวนอนคว่ำกับพื้นเตียงก่อนที่ภรรยาของเขาจะป้อนสิ่งนั้นเข้าที่หว่างขา

     

    หัวใจดวงเล็กกระตุกวูบเมื่อได้เห็นสายตาของชายหนุ่มในชุดกระโปรงยาวหันมาจับจ้องตน ถึงแม้ว่าชานยอลจะกำลังสวมชุดแบบผู้หญิงแต่เขากลับกระทำหน้าที่ของสามี แบคฮยอนได้แต่จ้องมองสายตาที่เศร้าหมองคู่นั้น รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกบีบก่อนที่หยดน้ำตาจะไหลร่วงเผาะลงบนหลังมือ

     

    คนตัวเล็กหันหลังให้กับภาพนั้น ยกมือปาดน้ำตาก่อนจะรีบปีนกลับออกจากรั้วไปทันที

     

    ไม่รู้ว่าควรต้องรู้สึกแบบไหน... แต่ถึงยังไงก็ยังหึงหวงอยู่ดี...

     

     

     

     

     

    แสงเทียนวูบไหวอาบไล้ใบหน้าและดวงตาที่ส่องสะท้อนแต่โศกนาถกรรมทางอารมณ์ ชายร่างสูงโปรงเปลื้องชุดเจ้าหญิงอยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มรับใช้ เผยให้เห็นรอยหวดจางๆ ที่ลำแขนและแผ่นหลัง ตรงหน้าเขามีเด็กหนุ่มกำลังยืนนิ่ง ใช้สายตาที่คาดเดาไม่ได้มองมา และชานยอลรู้ตัวดีว่าทำไม

     

    “คุณหนูเป็นสามีเค้า”

     

    “.............”

     

    “แล้วทำไมต้องใส่ชุดพวกนั้นด้วย”

     

    “ทีเจ้ายังชอบให้ข้าใส่เลย...” ไม่ให้คำตอบแต่เอ่ยแก้ตัวออกไปด้วยความสิ้นหวัง ชานยอลได้แต่หวังว่าแบคฮยอนจะเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องทนแบกรับทั้งหมดนี้มันก็เพื่อสิ่งที่พวกเขาล้วนไขว่คว้าทั้งนั้น

     

    ชานยอลได้แต่ขอร้องให้แบคฮยอนหยุดมองเขาด้วยแววตาสมเพชในใจ จะถูกคนเหยียดหยามอย่างไรก็ได้แต่ไม่ใช่กับแบคฮยอน...

     

    “ข้าจะไป”

     

    “อย่าไป” สองมือรีบเอื้อมไปคว้าร่างเด็กหนุ่มตรงหน้าเข้ามากอดไว้แน่น ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความเว้าวอน ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมา โผเข้ากอดร่างตรงหน้าไว้แน่น ถ้าแบคฮยอนไม่อยู่ชีวิตชานยอลก็ไม่มีความหมาย และสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดนี้มันก็จะไม่มีค่าอะไรเลย

     

    “ข้าทำไม่ได้คุณหนู ข้าไม่อยากเห็นท่านเป็นของคนอื่น ข้าไม่อยากทนแบบนี้”

     

    “ถ้าเจ้าไปข้าจะกระโดดลงไป” กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ความคิดเดียวในหัวชานยอลตอนนี้คือถ้าแบคฮยอนจากไปชานยอลก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ต่อกับชีวิตที่ไม่เคยเป็นของตัวเอง ความหดหู่และความน่าสมเพชนี้

     

    “ถ้าข้าไปนอนกับคนอื่นบ้างท่านจะรู้สึกยังไง” คนตัวเล็กกล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่งพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่จิตใจถูกล่ามโซ่ติดกับนกในกรงอีกตัวทั้งที่ตัวเขาสามารถบินออกจากรั้วกรงนี้ไปเมื่อไหร่ก็ได้ มันตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่แบคฮยอนเริ่มติดอยู่ในกรง

     

    “ช่วยทนอีกหน่อยได้ไหม ข้าสัญญาว่าสักวันข้าจะพาเจ้าออกไป ไปให้ไกลจากที่นี่”

     

    คำอ้อนว้อนของชายหนุ่มทำคนตัวเล็กอดหวั่นใจไม่ได้ ริมฝีปากบางเม้มแน่นก่อนที่ดวงตาเรียวรีจะหลับลงพร้อมกับหยดน้ำตาเล็กๆ บนผิวแก้ม ความอ่อนแอแทรกซึมเข้าในจิตใจ เมื่อได้มองเห็นคุณหนูผู้แสนเปราะบางอ้อนวอนอยู่ในอ้อมกอด ข้างในที่เจ็บช้ำของชานยอล

     

    แบคฮยอนรู้ว่ามันเป็นยังไง แต่บางครั้งเขาก็เป็นเพียงแค่เด็กชายเอาแต่ใจที่อยากจะถูกวิ่งตามบ้าง

     

    “อยู่กับข้าเถอะ... ถ้าไม่มีเจ้าข้าก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร”

     

    “คุณหนู...” มือบางยกขึ้นกอดแผ่นหลังหนาเอาหลวมๆ ใบหน้าหวานซบลงกับลาดไหล่กว้าง สุดท้ายเด็กรับใช้ผู้แสนโง่เขลาก็ต้องโอนอ่อนให้กับหัวใจตัวเองอีกครั้งและอีกครั้งเพราะไม่สามารถทอนต่อสายตาเว้าวอนของเขาได้

     

    ถึงต้องทนเป็นชู้ลับๆ แบคฮยอนก็คงต้องยอมเพียงเพื่อประคองหัวใจที่แตกสลายดวงนี้ให้อยู่ได้เหมือนสมบูรณ์

     

    “ให้ข้าเป็นผู้ชายของเจ้า...” ใบหน้าคมละออกจากบ่าเล็ก สายตาจ้องมองลึกลงไปยังนัยน์ตาสีตาลเข้ม ก่อนที่ริมฝีปากจะเคลื่อนเข้าบดขยี้กับกลีบปากเรียวเล็กด้วยความโหยหาจากก้นบึ้งหัวใจ

     

    ความอุ่นร้อนที่บดขยี้ลงบนกลีบปากอย่างรุนแรงทำแบคฮยอนตกใจจนสะดุ้ง นี่เป็นครั้งแรกที่คุณหนูของเขาไม่ได้สวมชุดแบบหญิงสาวตอนที่ทำเรื่องอย่างว่า แต่กว่าจะตั้งสติได้ร่างของเขาก็ถูกอุ้มขึ้นไปโยนลงกับพื้นเตียง

     

    “คุณหนู” 

     

    .

     


    behind curtain

    .

     

    .

     


     

    เสียงร้องครวญครางดังสะท้อนไปพร้อมกับเสียงของความรุนแรงที่ถูกเพิ่มลงในเพศรส เมื่อแบคฮยอนได้ถูกสนองด้วยสิ่งที่เขาต้องการ สองสายตาสบกันผ่านกระจกบานใหญ่ ไม่ต้องมีคำพูดใดพวกเขาก็เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังต้องการ แบคฮยอนอยากเป็นคนรับรอยเฆี่ยนตีนั้นไว้ ไม่ได้ด้วยบาดแผลทางกาย

     

    เพี๊ยะ!

     

    ทุกครั้งที่ฝ่ามือใหญ่หนาฟาดลงบนแผ่นหลัง รู้สึกได้ถึงกลิ่นของอารมณ์ที่กำลังบ้าคลั่งและถูกกักเก็บไว้ภายใน มันอาจถูกเก็บไว้ในซอกหลืบของความรู้สึก แต่ก็ช่างส่งกลิ่นที่หอมหวนเย้ายวนเหลือเกิน ทั้งหยดน้ำตาและความเจ็บปวดนี้   แบคฮยอนอยากจะรับมันไว้ทั้งหมดเลย

     

    “อ๊า!!

     

    ราวกับถูกส่งขึ้นไปแตะสวรรค์ก่อนที่จะถูกกระชากลงสู่พื้นดิน ร่างเล็กๆ ทิ้งตัวลงในอ้อมกอดของคนตัวสูงกว่า สองขาที่ไร้เรี่ยวแรงสั่นระริก กับเกมรักที่แสนยาวนาน แบคฮยอนแทบสลบลง สิ่งที่เดียวที่เขารับรู้ได้คือความอบอุ่นจากอ้อมกอดที่แสนคุ้นเคย

     

    ชานยอลซบปลายคางลงกับลาดไหล่เล็กๆ กอดตะกรองร่างของเด็กรับใช้ตัวจ้อยเอาไว้ ภายในคำเงียบ มีเพียงเสียงหอบหายใจเบาๆ และแสงเทียนที่วูบไหวไปมาเหมือนกับจิตใจที่แสนเปราะบางของคนทั้งสองคน...

     

     

     

     


     

     

    เสียงลมหวีดพัดยกปรอยผมสีน้ำตาลเข้มให้ปลิวไสวไปตามกระแส แสงแดดอ่อนๆ ในยามบ่ายตกกระทบลงบนหน้าหนังสือวรรณกรรมชั้นเยี่ยม ชาสีเหลืองอ่อนในถ้วยลายงดงามพร่องไปกว่าครึ่ง น้ำเสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นลงตามจังหวะการอ่าน บนประโปรงสีนวลฟูฟ่องมีศีรษะทุยของเด็กรับใช้นอนทับอยู่

     

    ดวงตาเรียวรีหลับลงช้าๆ ฝ่ามือหนาที่ลูบอยู่บนศีรษะและน้ำเสียงน่าฟังกล่อมให้ค่อยๆ จมลงสู่ความง่วงเหงา ในช่วงบ่ายแก่ๆ ที่กลิ่นหญ้าโชยครุ้งไปทั่ว มันช่างกว้างไกล แต่ต่อให้ใหญ่แค่ไหนก็ยังถูกห้อมล้อมด้วยรั้วสูงอยู่ดี

     

    คฤหาสน์ที่ไม่ต่างจากกรงทอง....

     

    “คุณหนูว่าถ้าออกไปข้างนอกเราจะใช้ชีวิตอยู่ยังไง”

     

    เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นพร้อมคำถามหยุดชายหนุ่มที่กำลังอ่านหนังสือให้เงียบลง นัยน์ตากลมโตจ้องมองออกไปนอกรั้วคฤหาสน์หลังใหญ่พร้อมกับคำถามอันโต ชานยอลไม่เคยจินตนาการชีวิตของเขานอกรั้วคฤหาสน์หรือนอกการปกครอง ไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร หรือชอบอะไร ชานยอลแค่ถูกฝึกให้เป็นภรรยาที่ดี

     

    “ข้าไม่รู้ แล้วเจ้าล่ะ”

     

    “ข้าอาจจะเป็นคนขัดรองเท้า หรือทำงานในบาร์”

     

    “ทำไมเจ้าชอบอยู่ในบาร์นัก”

     

    “เพราะว่าข้าได้เจอผู้คนทุกวัน อย่างน้อยข้าก็ไม่เหงาเหมือนอย่างตอนนี้”

     

    คำตอบของแบคฮยอนช่างฟังดูเรียบง่ายและเป็นจริง ชานยอลได้แต่หลุบตาลงมองคนที่นอนหนุนอยู่บนตักด้วยแววตาเศร้าหม่น บางทีมันคงดีถ้าเขาจะดูแลแบคฮยอนได้

     

    “แต่ข้าไม่ได้ว่าคุณหนูหรอกนะ คุณหนูอ่านหนังสือเก่ง มีความรู้ น่าจะทำงานนั่งโต๊ะอยู่ในห้องหนังสือ” เอ่ยว่าไปตามจินตนาการก่อนที่รอยยิ้มเล็กๆ จะระบายขึ้นบนใบหน้าขาวนวล แบคฮยอนกำลังนึกภาพผู้ชายที่แสนอ่อนโยนของเขานั่งอยู่บนโต๊ะไม้ใหญ่ประจำตำแหน่งและปากกาด้ามโปรด

     

    “เจ้าชอบฟังดนตรีหรือเปล่า”

     

    “ข้าชอบทุกเพลงที่คุณหนูเล่น”

     

    “งั้นข้าอาจเป็นนักแสดงเปิดหมวก”

     

    เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ ท่ามกลางสายลมเย็น วาดฝันจินตนาการนอกกรอบชีวิตที่ถูกตีตรา ชานยอลอาจสร้างบ้านเล็กๆ บนเขา เลี้ยงแกะสักหนึ่งฝูง หมาหนึ่งตัว และเขาจะใช้ชีวิตอยู่กับแบคฮยอนบนนั้นอย่างสงบจนแก่เฒ่า

     

    ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขอเพียงจิตใจได้เป็นอิสระก็เพียงพอ...

     

    “ข้ารักคุณหนูจัง”

     

    “ข้าก็รักเจ้า... ช่วยอดทนรออีกหน่อยนะ...”

     

    .

    .

     

    .

     

    กว่าวันเดือนเคลื่อนเข้าสู่แรมปีที่ความสัมพันธ์ลับๆ ยังคงดำเนินภายใต้ฉากหน้าของคุณหนูของบ้านและเด็กรับใช้ ภายใต้กฎของคฤหาสน์แห่งทิศตะวันตกที่มีเพียงสาวรับใช้ไม่กี่คนผ่านเข้าไปได้

     

    ในวันหนึ่งท่ามกลางฤดูหนาวภายในห้องนอนใหญ่ของท่านนายพล เสียงกร่นไอดังไปทั่วห้อง ชายร่างสูงใหญ่กอดตัวเองอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาโดยมีภรรยาและคนใช้นั่งอยู่เคียงข้าง คุณหมอประจำตระกูลย่นคิ้วพลางส่ายหน้าไปมา รอยแดงจ้ำบนผิวแสดงถึงอาการของโรคร้ายที่กำลังลุกลามอยู่ในกายนายพลทหาร เชื้อโรคร้ายจากแดนใต้ที่ยังไม่มียารักษา

     

     “แค่ก... แค่ก... แค่กๆ”

     

     “ข้าอยากคุยกับคุณหนูสักหน่อย” คุณหมอหนุ่มว่าพลางพเยิดหน้าไปทางสาวใช้ เมื่อหญิงสาวทั้งสองคนเดินออกจากประตูไปชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าสุดกล้ำกลืน

     

    “ตอนนี้ยังไม่มียารักษา ต้องรอดูว่าอาการจะหนักแค่ไหน ถ้าสามารถหายป่วยเองได้ก็อาจจะดีขึ้นภายใน 2 – 3 วัน หรือถ้าไม่....” เขาเงียบลง สายตาที่สะท้อนถึงความเจ็บปวดและสิ้นหวังของภรรยาท่านนายผลช่างชวนให้รู้สึกหดหู่

     

    “สามีข้ามีอาการมาเป็นอาทิตย์ เค้ามีแต่จะแย่ลง”

     

    “ข้าทำได้เท่านี้คุณหนู ตอนนี้แม้แต่ที่จีนก็ไม่มีทางรักษา ท่านนายพลอาจได้รับเชื้อมาตอนลงไปทางใต้ มันเป็นเชื้อร้ายที่พวกกบฏนำมาแพร่ เจ้าสวดมนต์อ้อนวอนขอพระผู้เป็นเจ้าเถอะ”

     

    “...............” ชานยอลเงียบไม่พูดอะไร มือเขายังกอบกุมฝ่ามือเย็นเยียบของชายบนเตียงไว้ก่อนที่ดวงตาจะหลุบลงมองหน้าตัก

     

    “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นคุณหนูใช้ม้าไปเรียกข้าได้ตลอด” คุณหมอหนุ่มยืนขึ้นวางมือลงบนไหล่ของภรรยาที่กำลังจะกลายเป็นหม้ายสาวตรงหน้า เขาแสดงความอยากปกป้องต่อหน้าคุณนายที่กำลังเปราะบางก่อนจะหยิบหมวก กระเป๋าและเสื้อโค้ทขึ้นเตรียมกลับคฤหาสน์

     

    คงไม่มีใครช่วยท่านเทอร์ปินส์ได้นอกจากพระผู้เป็นเจ้า

     

    “ข้าจะให้สาวใช้ไปส่งท่าน ข้าอยากจะใช้เวลา....”

     

    “ไม่เป็นไร ถ้าคุณหนูต้องการข้าก็เรียกหาได้เสมอ” เขากล่าวพร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะเดินออกจากประตูหลังใหญ่ไป ปล่อยให้เจ้าบ้านทั้งสองคนได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับค่ำคืนที่แสนทรมาน

     

    เสียงประตูบานใหญ่ถูกปิดลง ชายหนุ่มจ้องมองไปยังใบหน้าซีดเซียวของผู้เป็นสามีไม่วางตา  เรียวนิ้วไล้ไปตามกรอบหน้า เขาโน้มตัวลงแตะจูบเบาๆ ลงข้างโหนกแก้มด้วยความอาลัย เพียงเสี้ยววินาทีเสียงอุดอู้ก็ดังขึ้นเมื่อหมอนใบใหญ่ถูกจับอุดลงไปบนหน้าคนป่วย

     

    ขายาวก้าวขึ้นคร่อมอกร่างบนเตียง ชานยอลกดหมอนอุดหน้าชายวัยกลางคนเต็มแรง แววตาที่เคยเศร้าหมองเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว หยาดน้ำตาไหลอาบลงบนพวงแก้มแต่หาใช่ด้วยความเสียใจ มือใหญ่ๆ ทั้งสองข้างสั่นระริก นิ้วกำจนข้อกระดูกซีดขาว เพียงชั่วอึดใจคนไข้กาฬโรคก็หยุดดิ้น

     

    คุณหนูคนสวยเริ่มผ่อนแรงลง แผ่นหลังสั่นกระเพื่อมอย่างแรง คิดว่ามันคงจะจบลงแล้วกับพันธนาการที่แสนขมขื่นนี้

     

    “อื้อ!

     

    เสียงร้องดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับมือของนายทหารที่ยกขึ้นแบบแขนภรรยาไว้อย่างแรง ด้วยความตกใจมือหนารีบเอื้อมไปคว้ากริซประจำตำแหน่งของอดีตสามีแล้วเสียบมันปักลงไปบนอกเขาเต็มแรง

     

    ฉั๊วะ!

     

    หยดเลือดสาดกระเซ็นเมื่อปลายมีดถูกชักออกมา ชายหนุ่มแน่นิ่งลงอีกครั้ง ทว่าแทนที่คนด้านบนจะหยุดเขากลับใช้มีดแทงลงไปบนอกอีกครั้งและอีกครั้งด้วยความหน้ามืดตามัวจนชุดนอนสีขาวเต็มไปด้วยหยดเลือด หูของชานยอลอื้อดับ เขามองเห็นเพียงแค่ภาพอดีตนายพลที่นอนชุ่มเลือดอยู่ตรงหน้า แล้วทุกอย่างมันก็ว่างเปล่าไปหมด...

     

    “คุณหนู

     

    บานประตูถูกเปิดออกพร้อมกับสาวใช้อีกสองคนที่เดินเข้ามาในห้อง ภาพตรงหน้าทำเอาจิตใจของพวกเธอร่วงหล่นลงขาไปตามกัน แต่แทนที่จะวิ่งออกไปขอคว้าช่วยเหลือเอมิเรียกลับปรี่เข้าไปหาคุณชายของเธอพร้อมกับนำผ้าห่มไปห่อคลุมร่างที่กำลังสั่นด้วยความกลัวเอาไว้

     

    “ฮึก... อึก...”

     

    เสียงสะอื้นดังเบาๆ ไปทั่วห้อง ภายในค่ำคืนที่โศกนาถกรรมหนึ่งเกิดขึ้น อีกโศกนาถกรรมหนึ่งได้จบลง มีเพียงความเงียบและเสียงร้องไห้ที่สะท้อนถึงความเจ็บปวดในจิตใจของชายหนุ่มที่ต้องทุกข์ทนมาหลายปี ความเจ็บปวดและบาดแผลที่มองไม่เห็นของเขาขนาดที่พิษในถ้วยชาอาจสนองความแค้นได้ไม่ถึงใจอยาก...

     

    “อึก...”

     

    “ไม่เป็นไรคุณหนู พวกข้าจะจัดการเอง”

     

     

    .


    .


    .

     

     

     

    ภายในงานศพของอดีตนายทหาร ที่หน้าป้ายหินอ่อนแกะสลัก โรงสีดำสนิทถูกฝังไว้ใต้ดินพร้อมความลับแห่งความอัปยศ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเงียบเชียบและเป็นสงบภายในสุสานประจำตระกูลกับข้อสรุปเรื่องการติดโรคร้าย

     

    ในงานพิธีวันสุดท้ายคฤหาสน์เต็มไปด้วยความเงียบ สาวใช้ถูกสั่งให้ใส่ชุดดำเป็นการไว้อาลัยให้แก่เจ้าบ้านเก่าเป็นเวลาเจ็ดวัน และชานยอลก็ยังแต่งกายในชุดสีดำตลอดเจ็ดวันเพื่อเป็นการส่งวิญญาณของอดีตคู่สมรสของเขา

     

    “คุณหนู...”

     

    ภายในห้องนอนที่สลัวไปด้วยแสงตะเกียง เสียงเล็กๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เจ้าของห้องนอนใหญ่ยืนอยู่หน้าบานกระจกสามทิศก่อนที่ชุดกระโปรงยาวสีดำตัวสุดท้ายถูกปลดออกกองกับพื้น ดวงตากลมโตจ้องมองร่างกายที่ใหญ่กว้างของตัวเองในกระจกก่อนที่รอยยิ้มเล็กๆ จะปรากฏขึ้นบนใบหน้า

     

    ชานยอลหันไปหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวจากคนข้างๆ มาสวม ติดเม็ดกระดุมอย่างเชื่องช้าราวกับต้องการดื่มด่ำกับมันทุกวินาทีก่อนที่สูทสีดำสนิทขนาดพอดีตัวจะถูกสวมลง

     

    ใช้เวลาเพียงไม่นานคุณหญิงน้อยของบ้านก็กลายเป็นชายหนุ่มรูปงามสมกับที่เขาควรเป็นอีกครั้ง ดั่งเช่นคำที่ว่าต้นเบอร์รี่ยังไงก็ย่อมออกผลมาเป็นลูกเบอร์รี่...

     

     

     

     

    เสียงส้นลงเท้าก้าวเดินลงไปตามขั้นบันไดเป็นจังหวะอย่างเชื่องช้า ที่กลางห้องโถงใหญ่สาวใช้กว่ายี่สิบคนยืนเรียงรายกันด้วยท่าทีอ่อนน้อม บางคนไม่กล้าเงยขึ้นสบตากับคนตรงหน้า บางคนก็ได้แต่นิ่งเงียบ เสียงกระแอมไอดังเบาๆ ก่อนที่ปลายไม้เท้าสีดำจะเทาะลงกับพื้นหินอ่อน

     

    ชายหนุ่มผมสั้นรูปร่างสูงโปร่งในชุดสูทที่ถูกตัดเย็บอย่างดี สเน่ห์จากรูปหน้าและแววตาที่เจือปนด้วยความเศร้าหมองของเขาทำให้ใครต่อใครต่างต้องหลงใหล แม้แต่สาวใช้ที่อยู่ด้วยกันมาเนิ่นนาน...

     

    “หลังจากนี้ ข้าเป็นคุณชายของบ้าน....”

     

     

    .


    .


    .

     

     

     

     

    แกร๊ก

     

    เสียงเปิดประตูเรียกสายตาชายหนุ่มจากหน้าหนังสือให้ต้องเหลือบขึ้นมองใครบางคนที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถ้วยชาและจานขนมอันเล็ก รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าชายในเสื้อกั๊กสูทสีดำสนิท ชานยอลวางปากกาลงเมื่อเด็กรับใช้ส่วนตัวของเขาเดินเข้ามาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะและหย่อนก้นนั่งทับบนตัก

     

    “พวกคนใช้เก็บของหมดแล้ว เอมิเลียจะกลับวันนี้”

     

    “ข้าจะไปส่งพวกนาง”

     

    “คุณหนูคิดดีแล้วหรอที่จะขายบ้านหลังนี้ ข้าว่าที่จริงมันก็สวยดี ข้าชอบห้องหนังสือนี่” ดวงตาเรียวรีกวาดมองไปรอบห้องหนังสือแสนกว้างขวาง ชั้นไม้ตั้งสูงขึ้นไปจรดเพดาน ห้องหนังสือของท่านผู้การทำให้แบคฮยอนรู้สึกเหมือนเป็นเม็ดถั่วเล็กๆ ในท้องปลาวาฬ

     

    “มันไม่ได้มีความทรงจำที่ดีกับข้า ข้าก็ไม่มีเหตุผลต้องเก็บมันไว้” ชายหนุ่มว่า นิ้วเรียวลูบสางลงบนเส้นผมสีดำขลับ กับคฤหาสน์ต้องสาปที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งโศกนาฏกรรมนี้ มันคงไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บไว้ และชานยอลก็แค่ขายมันคืนให้กับญาติของตระกูลสามีเก่าหลังจากที่ได้รับทรัพย์สินจำนวนมากเป็นมรดกสินสมรส

     

    ชานยอลไม่มีเหตุผลที่จะอยากอยู่ในกรงนี้...

     

    “คุณหนูจะย้ายหนังสือพวกนี้ไปด้วยไหม”

     

    “ก็ได้ถ้าเจ้าต้องการ”

     

    “ข้าชอบมัน”

     

    “งั้นข้าก็จะเอาไป” ริมฝีปากกดจูบประทับลงบนเรือนผมสีเข้ม คุณชายแห่งคฤหาสน์นายพลดันคนบนตักให้ลุกยืนขึ้นเพื่อเตรียมออกไปส่งคนใช้กลับบ้านเกิดหลังจากที่พวกเธอทำงานรับใช้ให้กับบ้านหลังนี้มาเป็นเวลานาน

     

    ให้มันจบลงสักทีกับความรักและการแต่งงานที่แสนกำมะลอนี้ แม้แต่ท่านนายผลที่ต้องสวมฉากหน้าเป็นสามีที่พึ่งพาได้ของทุกคน และชานยอลที่ถูกกักขังมาอย่างเนิ่นนาน...

     

    ให้มันจบลงสักทีกับการรอคอยที่แสนยาวนานนี้...

     


     

     

    เสียงรถม้าควบกรับไปตามทางด้าน นัยน์ตากรมโตจ้องมองไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่และรั้วเหล็กที่กำลังปิดตัวลงเป็นครั้งสุดท้าย รถม้าที่กำลังมุ่งหน้าสู่เนินเขาลูกเล็กที่แสนเงียบสงบและรอบล้อมไปด้วยฝูงแกะ นกน้อยกำลังบินแล่นสู่อิสรภาพ

     

     



     Wild flower

     

     





    “สิบ สิบเอ็ด สิบสอง...”

     

    เสียงนับเลขดังเบาๆ ภายในห้องหนังสือ เรียกสายตาของคนตัวสูงให้ต้องชำเลือขึ้นมองภรรยาตัวน้อยที่กำลังนับเล่มหนังสือรรณกรรมบนชั้น รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคม ชานยอลวางปากกาลงเอนหลังพิงบนพนักเก้าอี้ก่อนที่จะเอ่ยออกมา

     

    “ทำไมเจ้าไม่ย้ายลงมาไว้ชั้นเดียวกัน”

     

    “ก็ข้าเขย่งไม่ถึง”

     

    “เจ้าไปลากบันไดมาก็ได้” เขาชี้นิ้วไปยังบันไดชั้นวางหนังสือสูงลิ่ว มันอยู่ห่างจากแบคฮยอนไปเพียงแค่สูงตู้ทำไมเขาไม่ลากมันมา

     

    “ข้าไม่อยากขึ้นไป” คนตัวเล็กนิ่วหน้า สอดหนังสือเล่มสุดท้ายแทรกเข้าไปในชั้นก่อนจะหันหลังเดินไปผู้เป็นสามีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ “คุณหนูเขียนหนังสือเล่มที่เท่าไหร่แล้ว ต่อไปข้าคงจำไม่ได้”

     

    “หึ... มานั่งนี่สิ” ชานยอลเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับเรียกอดีตเด็กรับใช้ของเขาให้มานั่งลงบนตัก คางมนวางเกยบนลาดไหล่เล็กๆ เพียงแค่ได้สวมกอดร่างนี้เอาไว้ความเหนื่อยหน่ายจากการทำงานทั้งหมดก็แทบจะหายไป “เรามาเล่นเกมกัน”

     

    “วันนี้ท่านจะทายอะไรข้าอีก” เท้าเล็กๆ แกว่งไปมา ดวงตาเรียวรีเหลือบขึ้นมองด้านบนทำท่าเหมือนกำลังคิดบางสิ่ง ในช่วงทายปัญหาเชาว์ที่แบคฮยอนจะได้รางวัลเป็นหนังสือหนึ่งเล่ม เขากำลังคิดว่าวันนี้จะเป็นปัญหาประเภทไหน

     

    “เป็นคำถามง่ายๆ”

     

    “อื้อ”

     

    “อะไรอยู่ในกระเป๋าข้า”

     

    ใบหน้าหวานนิ่วลงด้วยความแปลกใจกับคำถามที่ไม่คาดคิด แบคฮยอนพยายามจะคิดว่ามันเป็นปัญหาแบบไหน ให้กลับคำหรือว่าเดาสุ่ม สิ่งของที่ชานยอลมักจะพกติดตัวเสมอก็คงเป็นปากกา หรือไม่ก็นาฬิกาพก

     

    “นาฬิกา”

     

    “ผิด ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้งนึง แล้วข้าจะเฉลย” ชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบเอาของบางสิ่งออกมา เขากำมันไว้ในมือและทำให้คนตัวเล็กพอเดาได้ว่าสิ่งนั้นเล็กกว่ากำปั้น

     

    “กระดาษหรอ?”

     

    “ผิด” ฝ่ามือหนาแบออกเผยให้เห็นแหวนเพชรวงเล็กเกลี้ยงเกลา มันดูน่ารักและเรียบง่ายทว่ามีราคาแพงเหลือเชื่อ ชานยอลจับมือเล็กๆ ขึ้นมาก่อนจะสวมมันลงไปบนนิ้วนางข้างซ้ายแล้วพูดต่อ “คำถามต่อไป เจ้ายินดีจะเป็นภรรยาข้าหรือไหม”

     

    “คุณหนู...” การกระทำที่เหลือเชื่อทำคนตัวเล็กอึ้งไปชั่วขณะแบคฮยอนกำลังคิดว่ามันคืออะไร นี่คือการขอแต่งงานหรอ หรือว่าขอให้แบคฮยอนเป็นคนใช้ตลอดไปเพราะว่าหน้าที่ของภรรยาก็ไม่ต่างจากคนใช้

     

    “แค่ตอบมา”

     

    “ข้ายิ่งกว่ายินดีเลย” เจ้าเด็กแก่แดดตลอดกาลกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพร้อมตาเป็นประกาย ร่างของเขาถูกรวบดึงเข้าไปกอดไว้แน่น

     

    มันอย่างกับตกอยู่ในความฝันเมื่อเจ้าชายที่แบคฮยอนไมคิดว่าจะมีจริงในชีวิตนี้อยู่ตรงหน้าเขา และทำในสิ่งที่เหลือเชื่อ

     

    เจ้าชายคนนั้นของแบคฮยอนที่เห็นมาตลอด และเมื่อถึงวันเวลาที่เหมาะสม ในเวลาที่กิ่งก้านพร้อมจะออกดอกเต็มที่เขาก็กลายเป็นชายรูปงามและแสนดีเกินกว่าที่ใครจินตนาการได้...

     

    “เจ้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย” คนตัวสูงส่งเสียงหัวเราะออกมาน้อยๆ ในจิตใจอิ่มเอมไปด้วยความสุข นัยน์ตากลมจ้ององไปยังแหวนเล็กๆ บนหลังมือขาว ทองคำขาวที่สะท้อนใบหน้าทำให้เขานึกถึงวันเวลาเก่าๆ ตอนที่หนอนดักแด้ตัวนี้ยังไม่ฟักกาย ช่วงเวลาที่ทั้งโหดร้ายและซึมเศร้า 


    ริมฝีปากอิ่มประทับจูบลงบนพวงแก้มของเด็กชายผู้เป็นดั่งรักแรกของเขา ส่งผ่านความรู้สึกลึกซึ้งผ่านเรียวปากจากหัวใจ ประทับจุดเริ่มต้นและจุดจบที่สวยงามนี้ไว้ในความทรงจำตลอดไป...

     

    “ข้านึกว่าข้าต้องขอคุณหนูแต่งงานซะแล้ว”

     

    “ข้าไม่ปล่อยให้เจ้ารอนานขนาดนั้นหรอก...”

     





















    #myfablecb

















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×