คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : EP.3 เรื่องความรักรด.ก็มักจะตรอม
"รีบเดินเร็วๆๆๆ! ถ้าใครไปถึงช้าแล้วไม่เหลือข้าวกินไม่ต้องบ่น! คนที่ไปถึงก่อนจะมีสิทธิ์เลือกก่อน ส่วนคนที่ไปช้าก็ไม่ต้องกิน!!”
เสียงครูฝึกประกาศกร้าวเร่งให้นักเรียนทหารที่ยังไม่ได้แตะข้าวเช้าเร่งฝีเท้าวิ่งกระหืดกระหอบเพื่อที่จะไปถึงฐานให้เร็วที่สุด เวลาเจ็ดโมงเช้าวันสุดท้ายของสัปดาห์การฝึกภาคสนามตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นแบคฮยอนก็วิ่งๆ จนแทบจะวิ่งไม่ไหวแล้ว ตอนนี้หมู่เขาอยู่รั้งท้ายสุดของกองร้อย
คนตัวเล็กนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดกับเท้าที่โดนรองเท้ากัดอย่างหนัก เขาวิ่งกะเผลกไปเกือบตลอดทาง แต่เพื่อนในหมู่ก็ไม่มีใครบ่นสักคนแม้แต่คนที่ดูจะหงุดหงิดที่สุดอย่างจงอิน
“มึงไหวปะเนี่ย” อินซองหันมานิ่วหน้าถามด้วยความเป็นห่วง
“ไหวๆ”
เมื่อเห็นว่าทุกคนพยายามกันเต็มที่แบคฮยอนก็ไม่อยากปริปากบ่น เขากัดฟันทนเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะได้ไม่เสียเวลาคนอื่นแม้จะรู้สึกเจ็บมากก็ตาม พวกเขาวิ่งมาจนถึงฐานฝึกกลางแจ้งเป็นกลุ่มสุดท้าย ขณะที่ทุกคนเริ่มจุดกองไฟเพื่อเตรียมประกอบอาหารเช้ากันแล้ว
พอจับจองที่ว่างกันได้แล้วทุกคนก็ทิ้งกระเป๋าเป้แล้ววิ่งไปเอาวัตถุดิบพร้อมกับช่วยกันหาอุปกรณ์สำหรับก่อไฟทันที ชานยอลมีหน้าหน้าที่จุดฟืนในขณะที่เพื่อนคนอื่นวิ่งไปหาอุปกรณ์ที่โรงครัวเล็ก แบคฮยอนเองก็ช่วยหัวหน้าหมู่หาฟืนใกล้ๆ
ใช้เวลาเพียงแค่ไม่นานกองไฟหย่อมเล็กๆ ก็ถูกจุดขึ้นบนลานว่างเหนือพื้นดินลูกรัง จงอินกับดงโฮวิ่งหืดหอบหน้าตั้งมาพร้อมกับกระแป๋งใส่น้ำสแตนเลสหนี่งอันกับมาม่าสามห่อ
“แม่งเหลือแค่นี้ว่ะ หมู่อื่นแม่งเอากันไปหมดแล้วอะ”
สมาชิกหมู่สี่กว่า 13 ชีวิตมองหน้ากันสลับกับจ้องไปยังมาม่ารสต้มยำสามห่อและกระแป๋งเน่าๆ ชานยอลถึงกับต้องยกมือขึ้นลูบหัว พวกเขาจะแบ่งกันกินยังไงกับมาม่าแค่ 3 ห่อนี้กับคน 13 ชีวิต
“ไปตักข้าวมาแดกกับมาม่าก็ได้ปะ เค้าแจกข้าวฟรีอยู่แล้วอะ ก็แดกให้มันพออิ่มไปก่อน” จีฮวานว่า ตอนนี้พวกเขาไม่มีเวลาทำตัวเยาะแหยะเพราะถ้าไม่กินคงได้เป็นลมกันคาสนาม
“เออๆ มึงไปตักข้าวมา” ชานยอลไม่รอช้า รีบเอากระแป๋งน้ำที่ไม่ใช่แม้แต่หม้อตั้งไปบนกองไฟ ก่อนที่จะรับซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาฉีกแล้วใส่เส้นลงไปโดยที่ไม่ได้ดูปริมาณน้ำเลยว่ามันเยอะน้อยแค่ไหน
ในขณะที่รอให้มาม่าเดือดคนอื่นๆ ก็เอาถาดหลุมไปขอตักข้าวที่แจกฟรีกับแม่ครัวมาคนละทัพพีสองทัพพี แบคฮยอนเดินผ่านกลุ่มอี้ชิงที่กำลังร้องหู้วววด้วยความตื่นตากับต้มยำเห็ดรสเด็ด พอหันไปมองทางขวาก็เห็นคยองซูกับหมู่กำลังเจียวไข่กันบนแผ่นเหล็กที่ดูไม่ค่อยเหมือนกระทะ
แบคฮยอนไม่อยากสนใจมาก เขารีบเดินกลับไปที่หมู่แล้วก็เห็นจงอินกำลังด่าอินซองด้วยท่าทางหัวเสีย
เปรี๊ยะ!
“มึงใส่เครื่องไม่ดูน้ำเลยวะ ไอสัส แล้วน้ำเยอะขนาดนี้จะแดกยังไงอร่อยวะ” คิมจงอินตวัดมือตบหัวเพื่อนที่แสนโง่เง่าของเขาดังเปรี๊ยะ ดวงตาดุดันจ้องมองไปยังกระแป๋งน้ำต้มมาม่าที่เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีรสชาติของเครื่องปรุงเหลืออยู่เลย
“ก็มึงเป็นคนตักน้ำมาอะ กูเห็นชานยอลมันเอาเส้นใส่กูก็ใส่ดิ”
“มึงจะทะเลาะกันทำไมวะ แดกๆ ไปเหอะ” ชานยอลชักสีหน้าหงุดหงิด แบคฮยอนที่แอบลอบมองอยู่ห่างๆ ก็ได้แต่นั่งเงียบ
เสียงน้ำเดือดปุดๆ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสจืดจางส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมา มีคนเคยบอกว่าอาหารที่อร่อยที่สุดคืออาหารที่กินเวลาหิว หลังจากที่เดินทางแบกเป้วิ่งล้มลุกคลุกคลานขึ้นเขามาเป็นกิโลฯ สมาชิกในหมู่สี่ก็หิวโซ จีฮวานกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกใหญ่
กระแป๋งน้ำเก่าๆ ก้นเลอะขี้เขม่าถูกยกลงจากกองไฟ ก่อนที่ไฟจะถูกดับตามระเบียบ นักเรียนทหารหมู่สี่นั่งล้อมกันเป็นวงกลมถือช้อนรอรับกับข้าวเหมือนกับเด็กอนุบาล ชานยอลที่เป็นหัวหน้าหมู่มีหน้าที่ต้องแบ่งมาม่าให้เพื่อนอย่างเท่าเทียมกัน
เขาใช้ช้อนตักเส้นอืดๆ และน้ำอีกนิดหน่อยใส่ถาดหลุมให้กับดงโฮเป็นคนแรก ชายหุ่นหมีที่เห็นกับข้าวปริมาณเท่าหยิบมือเงยหน้าขึ้นมองหัวหน้าหมู่อย่างคาดหวัง แต่อีกฝ่ายก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ชานยอลเดินเวียนไปรอบๆ เพื่อตักมาม่าแบ่งให้ทุกคนกินปะทังชีวิตมาจนถึงแบคฮยอนที่นั่งหัวใสอยู่ข้างๆ อินซอง
“มึงตัวเล็กกินน้อยหน่อยแล้วกัน” เขาพูดไปแล้วก็ตักเส้นมาม่าใส่ให้น้องนุชของทีมที่มีอาการบาดเจ็บมาตั้งแต่เช้า
แบคฮยอนที่ถูกพูดด้วยอย่างไม่มีสาเหตุได้แต่นั่งเขินหัวแดงหัวใจเต้นแรงถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำพูดที่แสนธรรมดา ไม่รู้ว่าหัวหน้าหมู่พูดจริงหรือหยอกเล่น แต่ตอนนี้หัวใจเขามันอิ่มเอมไปหมดจนแทบจะไม่ต้องกินข้าวแล้ว
เสียงช้อนเคาะถาดข้าวดังแกร๊กๆ ในเวลาที่หิวโหยแม้แต่กับข้าวรสจืดชืดก็ยังดูน่าอร่อย ชานยอลแทบจะต้องกินข้าวกับน้ำต้มมาม่ารสจืดจางเพราะกว่าจะตักแบ่งให้เพื่อนเสร็จเส้นก็แทบไม่มีเหลือแล้วแต่เขาก็ไม่ได้บ่นอะไร
แบคฮยอนตบท้องปุๆ หลังจากที่กินข้าวซาวน้ำจนอิ่ม เขาใช้ทิชชู่เช็ดถาดจนแห้งก่อนจะเปิดกระเป๋าเตรียมเก็บของ และในขณะนั้นเองสายตาเจ้าดีก็เหลือบไปเห็นบางอย่างสีเหลืองๆ ที่นอนนิ่งอยู่ตรงก้นกระเป๋า
“เห้ย!”
เสียงร้องเห้ยจากลูกหมู่ตัวเล็กเรียกทุกสายตาให้หันมามอง และทันทีที่ที่ของสิ่งนั้นถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าทุกคนก็รุมกรูกันเข้าขย้ำแบคฮยอนราวกับไฮยีน่าตะครุบเหยื่อเพื่อแย่งชิงขนมปังเนยก้อนใหญ่ที่เป็นแรร์ไอเท็มสูงสุด ณ ตอนนี้
“เห้ย ขอกูๆๆ”
“ไอเหี้ย แบ่งกันดิวะ”
“มึงแดกไปแล้วอะ”
“โว้ยยยยย!!” คนตัวเล็กร้องตะโกนเสียงดังลั่น ใช้เท้าถีบไล่พวกแร้งกาผู้หิวโหยให้ออกไปห่างๆ แล้วลุกขึ้นนั่งปัดฝุ่นที่ศอก เขาเห็นท่านหัวหน้าหมู่ยังนั่งกินข้าวอยู่เงียบๆ โดยที่ไม่ได้สนอะไร และในหลุมกับข้าวของชานยอลก็แทบจะไม่มีเส้นมาม่าเหลืออยู่เลย
“แบ่งกันโอเคปะ”
“ไม่แบ่งเว้ย กูให้หัวหน้า มันอะทำงานหนักสุดเลย แล้วดูมันกินดิ พวกมึงอะไร้ประโยชน์”
“มึงอะตัวถ่วงสุดเลยอีโล้น” จงอินว่าพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมา แต่ก็ไม่ได้ขัดข้องใจอะไร
ส่วนจีฮวานก็ยังคงทำหน้าที่ตัวชงได้เป็นอย่างดี เขาทำทีเป็นยิ้มกริ่มส่งเสียงผิวปากวี๊ดวิ่วออกมา ซึ่งแบคฮยอนเองก็ไม่อยากใส่ใจมาก คนตัวเล็กคลานเอาขนมไปยื่นให้หัวหมู่ผู้เสียสละที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่อย่างเงียบๆ โดยที่ไม่สนใจใคร
“อะ ให้”
ชานยอลเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนตัวเล็กของเขาก่อนจะเอื้อมมือไปรับขนมปังเนยก้อนใหญ่มาด้วยสีหน้างงๆ ถึงจะไม่รู้ว่ามันมีความหมายอะไรแต่ชานยอลก็รับไว้ก่อนที่จะเอ่ยคำขอบคุณออกมา
“ขอบใจ”
.
.
.
ณ ฐานฝึกประถมพยาบาลอันเป็นสถานีสุดท้ายของการเรียนภาคปฏิบัติท่ามกลางสนามกลางแจ้ง เนื่องจากครูฝึกอนุญาติให้ทำตัวตามสบายได้พวกเขาบางคนก็เลยจับกลุ่มกันนั่งตามใจชอบ แบคฮยอนแอบเนียนไปนั่งกับคยองซูและอี้ชิง แต่สายตาของเขายังเอาแต่จ้องมองไปยังหัวหน้ากองร้อยสุดหล่อที่นอนขัดสมาธิหนุนตักเพื่อนสนิทอยู่เหมือนอย่างทุกที
ทุกครั้งที่ครูฝึกเล่นมุกตลกชานยอลก็จะหัวเราะออกมาเบาๆ เขาแอบล้วงขนมเยลลี่ออกมากินจากกระเป๋าเสื้อในระหว่างที่ฟังครูฝึกพูดไปด้วย พอเห็นอย่างนั้นแล้วก็อดอิจฉาจงอินไม่ได้ ถ้าได้สนิทกับชานยอลขนาดนั้นก็คงจะได้เป็นหมอนให้เขานอนหนุนบ้าง
“มองไรวะ”
“มองผัว”
“สามวันมานี่ยังมองไม่เต็มตาอีกไง” คยองซูนิ่วหน้าเหลือบสายตามองเพื่อนที่กำลังทำท่าทีน่าหมั่นไส้ เขาอดใช้มือตบขมับเกรียนๆ ของเพื่อนตัวเล็กที่นอนหนุนหัวอยู่บนตักไม่ได้ แบคฮยอนเอาแต่ทำตัวเป็นสาวน้อยแอบปลื้มรุ่นพี่ เขาไม่ยอมบุกสักทีจนเพื่อนๆ รำคาญ
“ก็ปกติไม่ได้อยู่ใกล้ขนาดนี้อะ กูก็เขินปะวะ เชี่ย!”
สายตาของคนตัวสูงที่ตวัดมองมาเหมือนรู้ตัวว่ากำลังแอบถูกจ้องอยู่ทำแบคฮยอนต้องรีบหลบตา เขาแสร้งทำเป็นคุยกับคยองซูแก้เขินอยู่นานสองนาน แล้วพอหันไปมองอีกทีก็พบว่าชานยอลไม่ได้กำลังมองอยู่แล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาที่จะปรากฏขึ้นเฉพาะเวลาอยู่กับเพื่อนสนิททำแบคฮยอนอดใจเต้นตึกตักไปหมด
ตอนนี้เขาเริ่มอยากเป็นเพื่อนกับชานยอลแล้วแต่ก็รู้ดีว่าถ้ากลับไปโรงเรียนก็คงไม่ได้คุยกันเหมือนเดิม นึกไปนึกมาก็อยากจะอยู่ต่ออีกสักสามวันเผื่อจะได้สนิทสนมกันให้มากกว่านี้
“เดี๋ยวผมจะให้พวกคุณแบ่งหมู่ จำลองสถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องหามผู้ป่วย แบ่งเป็นหมู่ละหกถึงเจ็ดคน ให้คนนึงเป็นผู้ป่วยแล้วหามวิ่งไปอ้อมเสาตรงนู้น แล้วกลับมาที่ฐาน ถ้าทำคนป่วยตก ไปวิ่งกันใหม่ เอ้า แบ่งกลุ่มๆ หมู่นึงแบ่งเป็นสองกลุ่ม”
เสียงครูฝึกประกาศภารกิจเรียกให้นักเรียนทหารที่แสนขี้เกียจเริ่มขยับตัว แบคฮยอนย้ายตัวเองกลับไปนั่งยังที่เดิม และยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเขาก็ถูกอินซองคว้าคอเข้าให้อย่างไว
“เห้ย เอาไอ้แบ้กๆๆ แม่งตัวเบา”
“เออ ให้มันเป็นคนป่วย”
“กลุ่มเรามีใครมั่งวะ” ดงโฮเอานิ้วชี้นับไปตามตัวเพื่อนห้องเดียวกันของเขาซึ่งประกอบด้วย จงอิน แบคฮยอน อินซอง ชานยอล จีฮวาน และชานซอง พวกเขาส่งเสียงเสียงหัวเราะพร้อมกับหยักยิ้มสุดโกงออกมาเมื่อเห็นว่าทั้งทีมมีแต่นักกีฬาตัวใหญ่ๆ กับคนผู้ป่วยที่ตัวเล็กกว่าใคร
“หมูว่ะ” จีฮวานว่าอย่างคึกครื้น เขาถอดเสื้อรด.ออกจนเหลือแต่ซับในสีเขียวขี้ม้าก่อนจะวิ่งไปหยิบไม้หามที่เป็นเหมือนไม้กระบองลูกเสือมาเตรียมผูกเปลด้วยเสื้อรด.
สมาชิกหมู่ 4.1 นำเสื้อมาผูกต่อกันแล้วเสียบเข้ากับไม้คานตามที่ครูฝึกสอนอย่างชานฉลาด ก่อนที่จะพากันเดินไปไประจำเสาอันเป็นหลักเริ่มต้นซึ่งมีนศท.หมู่ต่างๆ เข้าแถวเรียงกันตามหมู่ 1 2 3 4 5 และหนึ่งหมู่ก็มีสองกลุ่มซึ่งชานยอลเป็นกลุ่มแรกของหมู่สี่ที่จะต้องวิ่ง
“พร้อมนะ! วิ่งอ้อมเสาแล้วกลับมาที่ฐาน! อย่าทำเพื่อนตก ถ้าทำตกกลับมาวิ่งใหม่!”
“เฮ้!!”
ปรี๊ด!!!
เมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้น แบคฮยอนก็ทิ้งตัวนอนลงบนเปลสนามทำมือก่อนที่เขาจะถูกหามขึ้นแล้วเคลื่อนตัวไปอย่างไว เปลที่โคลงเคลงอยู่ตลอดเวลาทำคนที่ต้องรับบทเป็นคนป่วยเริ่มเหงื่อตกเนื่องจากเขาต้องวางมือไขว้กันไว้บนอกโดยไม่มีที่จับยึดใดๆ
เปลสนามสายด่วนของเหล่านักกีฬาเคลื่อนที่ไวมากจนจิตใจผู้ป่วยเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เสียงร้องเฮดังลั่นเมื่อหมู่ที่สี่เข้าใกล้ถึงเสาหลักก่อนใคร พวกเขาซอยเท้าอย่างไม่มีการชะลอ และในจังหวะที่จะต้องเลี้ยวตัวอ้อมเสา การหยุดอย่างกระทันหันทำให้ร่างของผู้ป่วยแบคฮยอนพุ่งตัวหลุดออกจากเตียงเอาหัวปักดินเหมือนหนังซิทคอม
“โอ้ยยยย!”
เสียงร้องดังลั่นสนามก่อนจะถูกกลบด้วยเสียงหัวเราะ คนตัวเล็กกลิ้งคลุกๆ เหมือนมันเผาไปตามสนามดินแดง แบคฮยอนรีบใช้มือกุมศีรษะตัวเองด้วยสัญชาตญาณ เขาเห็นเพื่อนกลุ่มอื่นๆ วิ่งอ้อมนำไปแล้ว ส่วนทีมนักกีฬาขาซิ่งของหมูสี่ก็ได้แต่ทำหน้าเซ็งกันก่อนที่จะต้องกลับไปต่อแถวเริ่มใหม่
การแข่งขันยังเป็นไปอย่างดุเดือด แน่นอนว่าคนที่กลับมาถึงหลักลำดับท้ายสุดก็คือหมู่สี่ แบคฮยอนถูกหามขึ้นไปบนเวทีที่มีครูฝึกยืนต้อนรับอยู่ สภาพแต่ละคนเหนื่อยจนหอบส่วนแบคฮยอนก็ได้รอยถลอกที่หัวเหม่งและข้างแก้มมาหนึ่งแผล
“มาๆๆ เป็นอะไรมาครับ โอ้โหหน้าตาซีดเซียว” ครูฝึกรูปร่างสูงผอมเอ่ยแซวนักศึกษาทีมสุดท้ายที่แบกคนป่วยเปื้อนฝุ่นขึ้นมาบนเวที
ร่างของแบคฮยอนถูกเทลงบนพื้น จีฮวานรีบใช้มือวางบนหน้าอกแกล้งทำเป็น CPR หัวใจเพื่อแสดงการประฐมพยาบาลผู้ป่วย
“ท้องครับ”
เสียงเพื่อนร่วมกองร้อยหัวเราะครืน ครูฝึกหนุ่มยิ้มออกมาก่อนจะเอาไมค์ไปจ่อปากคุณหมอจำเป็นที่กำลังประถมพยาบาลคนท้องอยู่
“เป็นอะไรมานะ?”
“ท้องครับ ท้องกับหัวหน้ากองร้อย”
“ฮิ้ว~!”
เสียงร้องโห่ฮิ้วดังไปทั่วทั้งลานฝึกใต้ร่ม แบคฮยอนแกล้งตายทันที ดวงตาเรียวรีหลับตาลงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนหัวหน้ากองร้อยก็ยังคงตีหน้านิ่งไม่ได้ตอบโต้อะไร ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นอย่างพยายามกลั้นยิ้ม แต่ทว่าพอถูกแซวหนักๆ เข้าชานยอลก็เริ่มจะเก๊กไม่ไหว อยู่ๆ เขาก็หลุดหัวเราะออกมาก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ทำเอาเพื่อนๆ ยิ่งขำไปกันใหญ่
แน่นอนว่าแบคฮยอนที่นอนหรี่ตามองอยู่นั้นก็ตายของจริงเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเขินๆ ของพี่หล่อหน้านิ่ง เขาได้แต่ตะโกนกรีดร้องในใจว่าน่ารักจังโว้ย!! หัวใจใต้แผ่นอกเต้นโครมครามอย่างหนักจนแม้แต่คนที่วางมือทำท่า CPR อยู่บนอกยังตกใจ
“เอ้า! หัวหน้ากองมึงก็มาช่วยเมียหน่อยสิวะ!”
“ฮ่าๆๆๆ”
“ไอ้ห่า อ่ะๆๆ ไปๆๆ คราวหลังอย่าทำคนท้องตกเปลอีกนะ เดี๋ยวแท้งเอา”
ครูฝึกสายฮาไล่นักเรียนหมู่สุดท้ายลงไปจากเวที เสียงนกหวีดเป่าดังให้นศท. ยืนขึ้นเพื่อเตรียมเคลื่อนย้ายไปฐานต่อไป แบคฮยอนยังเกร็งหน้าไม่เลิก ไม่รู้จะทำยังไงให้มันเลิกเขินสักทีแต่พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทีไรมือมันก็ชื้นเหงื่อไปหมด
คนตัวเล็กก้มลงมองนาฬิกาข้อมือแล้วก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว อีกไม่นานก็คงปล่อยพักแล้วก็จะถึงเวลาที่ได้กลับบ้านอย่างจริงจัง
พอนึกแล้วก็เสียดายอยู่นิดๆ แบคฮยอนคิดว่าเขาชอบการฝึกรด.มากกว่าที่คิดซะอีก อาจจะเพราะว่ามีผู้ชายหล่อๆ ที่ยืนอยู่ตรงนั้นอยู่ด้วยมันถึงทำให้การต้องมาทรหดตากแดดหน้าดำกลายเป็นเรื่องสนุก กระเป๋าเป้หนักๆ ถูกยกขึ้นสะพายบ่า คนตัวเล็กเดินไปจัดแถวตามหมู่เหมือนปกติก่อนที่เสียงนกหวีดจะดังพร้อมคำสั่งเคลื่อนกอง
.
.
.
“จะได้กลับบ้านแล้วโว้ย!”
เสียงนักเรียนชายหน้าดำคนหนึ่งตะโกนลั่นด้วยความดีใจในระหว่างเวลาปล่อยพักเพื่อรอเคลื่อนย้ายกลับไปยังศูนย์ฝึกในเมืองเพื่อจบพิธีฝึกภาคสนาม พอผ่านฐานการฝึกสุดท้ายมาได้ก็ไม่มีอะไรที่สำคัญต้องทำอีกแล้ว แบคฮยอนที่นั่งห้อยขากินไอติมรสโคล่าอยู่บนเก้าอี้นิ่วหน้าออกมาน้อยๆ เมื่อในใจเขาลึกๆ ยังไม่รู้สึกอยากกลับเท่าไหร่
พอหันไปเห็นชานยอลที่กำลังยืนคุยอยู่กับเพื่อนสนิทตรงใต้ต้นไม้หัวใจมันก็วูบโหวงเหมือนโดนบีบยังไงก็บอกไม่ถูก ถ้าไม่ได้มีสถานการณ์ที่ถูกบังคับให้ต้องฝึกร่วมกันแบคฮยอนก็คงจะไม่ได้มีโมเม้นที่แสนสุขกับหัวหน้าสุดหล่อแบบนี้ หลังจากนี้เขาก็คงเป็นแค่แบคฮยอนคนเดิมที่ได้แต่แอบมองชานยอลต่อไป
“มองอะไร เสียดายไง๊ ทีมีเวลาตั้งสองวันไม่จัดการ วันสุดท้ายทำมาเป็นมองตาละห้อย” จางอี้ชิงพูดเหน็บ เขาเห็นเพื่อนตัวเล็กหันมาทำหน้าจ๋องใส่ก่อนที่จะหลุบตาลงมองพื้น
“แม่ง กูอยากเข้าค่ายอีกว่ะ”
“ไหนตอนนั้นมึงบอกไม่อยากมา?”
“ก็ไม่รู้ว่ามันจะสนุกอะ ได้นอนเต๊นท์เดียวกับคนที่มึงชอบอะ มึงจะดีใจปะ อีเหี้ย... กูจะได้มีโอกาสแบบนี้อีกเมื่อไหร่วะ” ฟันคมกัดลงบนแท่งไอติมที่เริ่มละลาย แบคฮยอนไม่อยากจะยอมรับว่า 2 – 3 วันมานี้การฝึกทำเขาเหนื่อยมากกก แต่ก็มีความสุขมากกกกับทุกขณะที่ได้อยู่ร่วมกับชานยอล แม้ว่ามันเป็นแค่โมเม้นเล็กๆ ที่เกิดขึ้นจากการถามไถ่เรื่องทั่วไปก็ตาม
ไม่ว่าชานยอลจะทำอะไรแบคฮยอนก็เขินทั้งนั้นซึ่งมันเป็นเรื่องที่บ้าบอสุดๆ ถ้ามีโอกาสได้อยู่ด้วยกันอีกสัก 2 – 3 วันก็อาจจะสนิทกันขึ้นมาก็ได้
“เพ้อแล้วมึงอะ” คยองซูว่า
“ปีหน้าไง สี่วันสามคืน มึงลากเลือดแน่”
“แต่ถ้าได้อยู่กับมันกูก็โอเคนะเว้ย... มึงดูดิ เหงื่อแม่งออกยังหล่อเลย”
แบคฮยอนไม่รู้เลยว่าอะไรทำให้เขาหลงใหลชานยอลได้ขนาดนี้ แม้กระทั่งผดแดงเล็กๆ จากเหงื่อที่ขึ้นอยู่บริเวณกรอบหน้าของชานยอลก็ยังดูดี มันทำให้เขาดูเป็นผู้ชายมากขึ้นไปอีกแบบที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
“อาการหนักแล้วมึงอะ”
“ทำไมมันต้องน่ารักด้วยวะ...”
ปรี๊ดดดดดดดดดด!!
เสียงนกหวีดเรียกรวมพลดังขึ้น นักเรียนทหารทุกนายที่นั่งเอ้อระเหยกันอยู่ลุกขึ้นวิ่งขาขวิดแม้แต่แบคฮยอนเองก็ด้วย บางส่วนแหกปากร้องเฮออกมาดังลั่นเมื่อเห็นว่ามีรถขับเข้ามาจอดในค่ายอันเป็นสัญญาณว่าจะได้กลับบ้านแล้ว
สิ้นสุดเวลาสามวันอันแสนทรหดที่ทั้งสนุกสนาน มีความสุข และทุกข์ทรมาน มันเป็นความรู้สึกที่แบคฮยอนเชื่อว่าจะหาไม่ได้ที่ไหนจริงๆ เขาคิดว่าตัวเองจะต้องอยากกลับมาที่นี่ในสักวันนึงแม้มันจะเหนื่อยมากก็ตาม
.
.
.
ณ ศูนย์รวมตัวนักศึกษาวิชาทหารท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยงเวลาบ่ายโมงกว่าๆ บนเวทีมีครูผู้ฝึกอาวุโสกำลังกล่าวคำปิดพิธีการศึกอย่างเชื่องช้า ในขณะที่นักเรียนรด.หลายคนเริ่มเมาแดด หัวหน้ากองร้อยชานยอลถูกเรียกขึ้นไปรับประกาศนียบัตรเพื่อเป็นเกียรติ เสียงปรบมือดังเกรียวทั่วสนามเมื่อทุกคนได้ประจักษ์ถึงความมีน้ำใจและความอดทนของเขาโดยเฉพพะเพื่อนๆ หมู่สี่
เวลากว่าเกือบชั่วโมงกว่าที่ลุงๆ ป้าๆ ทั้งหลายจะกล่าวคำนู่นนี่เสร็จซึ่งการยืนตากแดดฟังคำพูดที่แสนน่าเบื่อมันทรมานใจกว่าการวิ่งผ่านฐานทดสอบกำลังใจซะอีก
หลังจากที่การประกาศเสร็จสิ้น เสียงนักศึกษาวิชาทหารร้องไชโย ไชโย ไชโย! สามครั้งแบบงงๆ แล้วก็เป็นอันเสร็จพิธี พวกเขาถูกปล่อยขึ้นรถอีกครั้ง
การเดินทางกลับบ้านไม่คึกครื้นเหมือนกับขามาเมื่อทุกคนเหนื่อยจนหลับสนิทกันหมดทั้งคันรถไม่เว้นแม้แต่หัวหน้าหมู่เอง เรียกได้ว่าหลับปุ๋ยนอนเอาหัวพิงกันทั้งขบวน เป็นอันเสร็จสิ้นการฝึกภาคสนามอย่างแท้จริงและพวกเขาทุกคนก็จะได้กลับบ้านสักที
“ใครลงตรงนี้ตื่นนะครับ รีบตื่นนะครับ”
เมื่อรถขนส่งนักเรียนขับมาจอดที่หน้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งนักเรียนส่วนหนึ่งที่ต้องการลงกลางทางก็ทยอยแบกกระเป๋าเดินลงไปโดยทั้งรถมีลงกันเกือบ 20 คนเนื่องจากเป็นป้ายใหญ่ ภาพของนักเรียนทหารจับกลุ่มยืนรอรถสองแถวที่แบคฮยอนเคยเห็น ตอนนี้เขาได้กลายเป็นนักเรียนกลุ่มนั้นแล้ว มันรู้สึกขำแปลกๆ ยังไงไม่รู้ที่วันนี้ต้องมาใส่ชุดทหารซะเอง
“มึงกลับยังไงวะ” ชานยอลหันไปถามเพื่อนสนิทของเขาที่กำลังยกโทรศัพท์กดหาใครบางคนขณะที่ยืนรอรถเล็ก หลังจากที่ผ่านอากาศร้อนมาทั้งวันแน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือห้างและแอร์เย็นๆ กับของอร่อย รวมถึงอินเตอร์เน็ตและเกมด้วย
“พ่อกูมารับว่ะ”
“ไอ้ฮุนอะ”
“มันไปหาแฟน แล้วมึงอะ”
“ไปตากแอร์” ชานยอลยักไหล่พร้อมพ่นลมหายใจออกมา เขาหันไปมองเพื่อนตัวเล็กที่มาอาศัยยืนหลบแดดอยู่ก่อนจะพูดต่อ “งั้นกูไปละ”
“เออๆ ไว้เจอกัน”
เมื่อรถคันสีแดงมาจอดเทียบหน้าสะพานลอยนักเรียนรด.กว่าเกือบยี่สิบคนก็ขึ้นไปบนรถจนเกือบจะเต็มคัน ชานยอลยืนโหนอยู่ตรงทางขึ้นข้างๆ และแบคฮยอนก็ยืนเกาะราวจับอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าเรียวขึ้นสีแดงระเรื่อจากฤทธิ์แดด มันทำให้แบคฮยอนดูเหมือนกับมะเขือเทศยังไงอย่างงั้น
“จะไปไหนอะ” คนตัวเล็กเอ่ยถามขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศที่ชวนให้อึดอัดพิลึก ชานยอลหลุบตาลงมองเพื่อนตัวเตี้ยของเขาพลางเอนหลังพิงลงกับเหล็กกั้นรถสองแถวแล้วพูดต่อ
“ไปฟิวฯ”
“ไปเหมือนกันเลย” โกหกออกไปคำโตพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ ออกมา ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปขึ้นรถกลับบ้านแท้ๆ แบคฮยอนไม่รู้เลยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ทั้งที่เท้าเจ็บขนาดนี้ยังจะซ่าไปเดินเล่นกินลมที่ห้างอีก
“ไปเกมเซนเตอร์กันปะ?” คนตัวสูงเอ่ยชวนออกมาขณะที่ก้มลองดูนาฬิกาข้อมือที่เพิ่งบอกเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง ชานยอลยกมือขึ้นกอดอกพลางหลุบตาลงมองหน้าเพื่อนร่วมห้องของเขา
“ชวนอ่อ?”
“อือ”
“ไปดิ แต่เราเล่นไม่เก่งนะ”
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงลูกบาสกระแทกแป้นชู้ตปั้งๆ ดังผสมไปกับเสียงเกมตู้ต่างๆ ที่ดังกระหึ่มอยู่กลางเกมเซนเตอร์ แบคฮยอนเขย่งเท้าเร่งโยนบาสลงห่วงอย่างเร่งรีบจนลูกกระเด็นกระดอนไปคนละข้าง ในขณะที่เพื่อนตัวสูงของเขาเพียงแค่ยืนเฉยๆ แล้วใช้มือข้างเดียวโยนลูกลงห่วงแบบสวยๆ
‘Stage 4’
“ยังไม่จบไม่อีกหรอวะ เหนื่อยละเนี่ย”
คนตัวเล็กนิ่วหน้าสะบัดแขนไปมาเพื่อบรรเทาความปวดล้า ชานยอลที่ยืนอยู่ตู้ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไรนอกจากระบายยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นเพื่อนตัวเล็กพยายามโยนบาสใส่ห่วงแบบมั่วๆ โดยอาศัยความเร็วเข้าว่าแต่คะแนนก็ยังไม่พ้น 300
“แพ้มึงเลี้ยงข้าวนะเว้ย” ชานยอลว่าพร้อมกับเร่งโยนลูกบาสเพื่อทำแต้มในสิบวินาทีสุดท้าย คะแนนของชานยอลตอนนี้อยู่ที่ 520 และเป็นสกอร์สูงสุดของตู้ไปแล้ว แน่นอนว่ายังไงก็ชนะ
“เครื่องมันโกงอะ”
คนตัวสูงเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นว่าลูกหมู่ของเขายังเอาแต่โยนบาสแบบมั่วๆ แบคฮยอนอาศัยความเร็วเข้าช่วยโยนลูกจนคะแนนแทบไม่ขึ้นเลย
ในวินาทีสุดท้ายลูกบาสสีส้มที่ถูกโยนออกไปไม่ถึงแป้นกระแทกราวเหล็กและกระเด้งย้อนกับมาหาคนตัวเล็กอย่างรวดเร็ว แบคฮยอนรีบยกมือขึ้นป้องหน้าแต่ก่อนที่ลูกบาสจะพุ่งเข้ามากระแทกหัวเหม่ง ชานยอลที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เอี้ยวตัวมาใช้มือปัดลูกให้กลับเข้าไปในคอกเหล็กได้ทัน
“อ่อนว่ะ”
เกมโยนบาสจบลงที่คะแนน 530 ต่อ 355 คนตัวสูงยิ้มกริ่มด้วยความดีใจ แต่แบคฮยอนั้นแทบลงไปนอนชักกับโมเม้นปัดลูกบอลสุดมาดแมน หน้าเขาคงจะเริ่มแดงอีกแล้วเพราะหัวใจกำลังเต้นแรงมากๆ ไหนจะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคนข้างๆ อีก
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย จะอยู่ตายแล้ว
“ก็ไม่ได้เล่นบาสนี่หว่า”
“เลี้ยงข้าวเลย”
“เลี้ยงก็ได้”
สองนักเรียนทหารผมสั้นในชุดรด. พากันเดินออกมาจากเกมเซ็นเตอร์ หันมองไปทางไหนก็เห็นแต่นักเรียนชายใส่ชุดเขียวๆ เดินอยู่ด้วยแทบตลอดทาง แถมบางคนก็รู้สึกเหมือนคุ้นหน้ากัน
หลังจากที่ต้องใช้ชีวิตนอนกลางดินกินกลางแดดมาสามวันเต็มๆ พอร่างกายได้โดนลมแอร์เย็นๆ ต้นอ่อนของแบคฮยอนก็ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เขาเลือกเข้าร้านราเม็งเพราะกินง่ายและราคาถูกที่สุด ในขณะที่เดินขนาบเพื่อนตัวสูงไปหัวใจก็เต้นตึกตักตลอดทาง
แบคฮยอนไม่คิดเลยว่าเขาจะถูกชานยอลชวนมาเกมเซ็นเตอร์ด้วย อาจจะเป็นเพราะโอกาสที่เพื่อนสนิทของหัวหน้าไม่อยู่ แถมเพื่อนคนอื่นก็กลับบ้านหมด แบคฮยอนอาจเป็นคนเดียวที่ชานยอลสนิทที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็อดเขินไม่ได้อยู่ดี
ตลอด 2 – 3 วันมานี้แบคฮยอนเหมือนจะได้สนิทกับคนที่แอบชอบมากกว่าที่เรียนด้วยกันมาสามปีซะอีก
“เอาบะหมี่ต้มยำสองครับ น้ำเปล่าหนึ่ง โค้กหนึ่ง”
พอสั่งอาหารเสร็จชานยอลก็หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเกมหลังจากที่ไม่เข้าเช็คนาน ส่วนแบคฮยอนก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร เขาแกล้งดูเมนูพลางเหลือบตาแอบมองสุดหล่อตรงหน้าเป็นระยะ ตาของชานยอลโตมาก แถมจมูกยังโด่ง ยิ่งเวลาที่เขาตั้งใจทำอะไรก็ยิ่งดูเท่
แบคฮยอนไม่อยากจินตนาการเลยว่าถ้าชานยอลไปฝึกเป็นตำรวจอย่างที่อยากเขาอยากทำจริงๆ จะเท่ขนาดไหน
น่ารักจัง ทำยังไงจะได้คนหล่อๆ แบบนี้เป็นแฟนนะ
"ไปละ ไว้เจอกัน”
ที่หน้าประตูรถเมล์แบคฮยอนโบกมือลาเพื่อนร่วมห้องที่เดินมาส่งเขาก่อนที่ตัวเองจะเดินกลับไปรอรถอีกคัน คนตัวเล็กเดินไปนั่งลงตรงที่นั่งริมหน้าต่าง รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าอย่างกับคนบ้า จบจากการฝึกครั้งนี้เขาคงมีเรื่องเมาท์กับอี้ชิงเยอะเลย
ในขณะที่กำลังยิ้มเป็นบ้าอยู่คนเดียวสายตาก็เหลือบไปเห็นหมวกสีเขียวที่วางอยู่บนกระเป๋า แบคฮยอนยกมือขึ้นคลำหัวตัวเองแล้วก็พบว่าหมวกของเขายังอยู่บนหัว แต่กว่าจะนึกขึ้นได้รถเมล์ก็เคลื่อนออกจากป้ายซะแล้ว
#แม่บ้านทหารบกcb
ความคิดเห็น