คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : EP.2 ใครจะเป็นนางเอกรด.
ปรี๊ดดด!!!!
เสียงนกหวีดดังลั่นไปทั่วลานกางเต๊นท์ทั้งที่ท้องฟ้ายังมืดสนิท นักศึกษาทหารดีดตัวขึ้นราวกับมีสปริงดีดที่หลังเมื่อเสียงนกหวีดดัง
“หมอบ!!!”
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดประกาศลั่นทั่วสนาม รด.ขี้เกียจทั้งหลายรีบพุ่งตัวออกมาจากเต๊นท์แล้วหมอบตัวลงบนพื้นดินลูกรังในขณะที่กระบอกไฟฉายของครูฝึกกวาดส่องไปทั่ว ยังไม่ทันจะได้ตื่นดีก็มีการสั่งหมอบกันซะแล้ว แบคฮยอนที่แทบจะไม่มีสติหลับลงไปกับพื้น เขาเอาหน้าแนบดินลูกรังแล้วนอนมันทั้งอย่างนั้นเลยเพราะง่วงมากไม่ไหวแล้ว
ดวงตาเรียวรีหรี่ปรือ เสียงครูฝึกออกคำสั่งให้เตรียมตัวเก็บของเพื่อที่จะเดินทางตอนเช้า แบคฮยอนหยัดร่างที่อ่อนปวกเปียกกลับเข้าไปในเต๊นท์ อาการปวดร้าวที่บ่าของเขาเริ่มหนักหน่วงมากขึ้นจนแทบจะทนไม่ไหว
แสงจากไฟฉายสาดส่องไปทั่วเต๊นท์ ชานยอลยกมือขึ้นเสยผมด้วยความเคยชิน สภาพเขาดูง่วงซึมไม่แพ้กัน มือหนายกขึ้นเกาใบหน้าและลำคอที่มีเม็ดแดงๆ เล็กๆ ขึ้นอยู่เพราะถูกมดกัด บนหัวนอนมีซองขนมเยลลี่ถูกวางทิ้งไว้ คนตัวสูงส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมาอย่างนึกเซ็งก่อนจะหยิบเป้มาเพื่อเตรียมจัดของเดินทาง
“นี่กี่โมงแล้วอะ” แบคฮยอนส่งเสียงงึมงำออกมาในขณะที่หยิบกระเป๋ามาเปิดค้นหายาทาแก้ปวดกับแป้งเด็กที่ตั้งใจพกมาทาหน้า ส่องไฟจากกระบอกไฟฉายส่องไปยังเท้าที่มีแผลพุพองจากรองเท้ากัดถึงแม้ว่ามันจะเริ่มแห้งขึ้นมาบ้างแล้วหลังจากที่นอนเอาเท้าตากลมทั้งวัน
“ตีห้า”
คนตัวเล็กมุ่ยหน้าแล้วเทแป้งลงบนเท้า ก่อนที่จะคลานออกไปนอกเต็นท์เพื่อหยิบเอาถุงเท้าที่แอบตากไว้เมื่อคืนมาสวม แบคฮยอนแกะพลาสเตอร์แปะลงไปบนแผลแล้วเหยาะแป้งลงไปในถุงเท้าด้วยเพื่อที่มันจะได้ไม่ชื้นระหว่างเดินทาง เพราะวันนี้เขาคงต้องเดินอีกนาน
“เป็นไรอะ”
“รองเท้ากัด”
“แล้วไม่เอาผ้าพันอะ” น้ำเสียงทุ้มติดแหบเอ่ยขึ้น ชานยอลคว้ากระเป๋าตัวเองมาหยิบผ้าก๊อตแล้วส่งมันให้กับเพื่อนร่วมหมู่ของเขาก่อนที่จะหยิบแปรงสีฟันกับกระบอกน้ำของตัวเองออกมา
แบคฮยอนที่ได้รับม้วนผ้าพันแผลมาก็ได้แต่นั่งงง เขานำผ้าก็อตมาพันไว้รอบๆ แผลที่เจ็บโดยใช้มันอย่างประหยัดที่สุด กะเพียงแค่ว่าพาสเตอร์ไม่ลอกก็พอ อาการปวดร้าวตามเนื้อตัวทำแบคฮยอนแทบอยากหายตัวกลับบ้าน เขาคิดถึงเตียงอุ่นๆ กับผ้าห่มหนาๆ ด้วย
“พันอะไรแค่นั้นอะ เดี๋ยวก็ลอกหมด มานี่” เจ้าของสีหน้าหงุดหงิดเอ่ยขึ้นก่อนจะจับเท้าเพื่อนร่วมห้องตัวเล็กมาวางบนหน้าตักแล้วลงมือใช้ผ้าพันแผลพันไปรอบเท้าเล็กๆ ตั้งแต่ข้างนิ้วมาจนถึงตาตุ่มเพื่อกันไม่ให้ถุงเท้าเสียดสีโดนแผล
ท่าทีที่แสนคล่องแคล่วของหัวหน้าหมู่ทำคนตัวเล็กอดใจสั่นไม่ได้ถึงจะยังง่วงอยู่มากก็ตามที ใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึงสองนาทีเท้าทั้งสองข้างของแบคฮยอนก็ถูกพันด้วยผ้าก๊อตไว้ทั้งหมดเหมือนกับมัมมี่ ก่อนที่ถุงเท้าสีเขียวจะถูกสวมทับ
ชานยอลไม่ได้พูดอะไรมาก เขาหันไปย้ายของจากเป้ตัวเองใส่ถุง แล้วเหลือของในเป้ไว้เพียงแค่ถาดหลุมกับพลาสเตอร์แปะแผลและของที่อาจจำเป็นต้องใช้นิดหน่อย
คนตัวสูงคลานออกมานั่งแปรงฟันอยู่หน้าเต๊นท์โดยใช้น้ำในกระบอกบ้วนปาก และนักเรียนส่วนใหญ่ก็ทำแบบนั้น ส่วนพวกที่ไปเข้าห้องน้ำก็มีแต่พวกปลดทุกข์
ให้เวลาเตรียมตัวเพียงแค่ 20 นาทีเสียงนกหวีดเรียกนับยอดที่จุดรวมพลก็ดังขึ้น พอนับยอดและออกกำลังกายเสร็จก็ปล่อยกินข้าวซื้ออาหารตามปกติ เวลาหกโมงกว่าๆ ที่ท้องฟ้าเริ่มสว่างนักเรียนทหารเองก็ฟื้นตัวบ้าง ช่วงเวลาอาหารเช้าก่อนออกเดินทางไปสนามฝึกบนเขา แบคฮยอนซื้อขนมปังไปตุนนิดหน่อย หลังจากที่ได้มือดีช่วยพันเท้าให้อาการเจ็บเท้าของเขาก็ทุเลาลงอย่างมาก เรียกได้ว่าเกือบจะปกติเต็มร้อย
“เมื่อคืนเป็นไงมั่งวะ” คยองซูเดินมาทิ้งตัวนั่งข้างเพื่อนของเขาที่กำลังเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ แบคฮยอนทำหน้าอิดออดก่อนจะตอบออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
“ปวด... กูปวดทั้งตัวเลย”
“กูหมายถึงแบบ... เค้าบอกมึงแลกเต๊นท์กับชานยอล”
“อ๋อ เออ มันแลกเต๊นท์กับไอ้อูยองเพราะมันจับตูดกู”
“แล้วเป็นไงมั่งวะ”
“ก็เขินดิถามได้ เมื่อคืนกูนอนกว่าจะหลับ นับแกะก็แล้ว นับหมาก็แล้ว แบบพอนอนๆ ใกล้จะหลับลืมตาขึ้นมาเห็นมันนอนข้างๆ กูก็เริ่มฟุ้งซ่านอีกและ แม่ง” พูดไปก็พยายามกลั้นยิ้มไป แบคฮยอนจำความรู้สึกเมื่อคืนได้ดีเลย เขาพยายามข่มตาหลับหลายรอบ แต่พอลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นชานยอลนอนหลับทีไรใจมันก็เต้นแรง จนสุดท้ายต้องนอนหันหลังให้เลย
“แล้วไม่ได้ทำไร?”
“บ้า จะทำไรวะ มันอุตส่าห์มาช่วยปะ เมื่อเช้ามันก็ช่วยพันแผลให้” ว่าแล้วคนตัวเล็กก็หันไปมองหนุ่มหล่อในดวงใจที่กลับไปยืนประจำอยู่กับกลุ่มเพื่อนสนิทเหมือนเดิม
พอแยกกันออกจากเต๊นท์เมื่อเช้าแบคฮยอนก็แทบไม่ได้คุยกับชานยอลเท่าไหร่ แต่วันนี้หัวหน้าหมู่ของเขาดูอารมณ์ดีมาก ชานยอลยืนคุยอยู่กับเพื่อนแล้วก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งตัวเขาก็ยังได้แต่แอบมองอยู่เหมือนอย่างทุกที ชานยอลที่ไม่ค่อยจะยิ้ม เวลาเขาหัวเราะกับเพื่อนๆ ทีไรมันก็ทำให้หัวใจคนมองสั่นไหวไปหมด คนตัวเล็กก้มหน้าลงยิ้มให้กับต้มข่าไก่ในถาดหลุมก่อนจะขยับริมฝีปากพึมพำออกมา “กูว่ากูชอบมันมากขึ้นกว่าเดิมอีกว่ะ”
“เหมือนที่กูคิดเป๊ะ”
เป๊ะ!
เสียงตบหัวเหม่งดังขึ้น อี้ชิงใช้มือฟาดหัวเกรียนของเพื่อนรักเต็มแรงด้วยหมั่นไส้จนแบคฮยอนแทบจะหัวทิ่มลงไปในถาดข้าว ท่าทีเพ้อรักของแบคฮยอนทำเพื่อนๆ ต่างเอือมไปตามๆ กันซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจหรอกก็เจ้าตัวเล่นได้นอนร่วมเต๊นท์กันขนาดนั้น แต่ที่หน้าเสียดายกว่าคือแบคฮยอนไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนอนเขินทั้งคืน
“อีอี้มึงอะ”
“เลิกเพ้อได้แล้ว รีบแดก เค้าจะเรียกรวมพลแล้ว” จาง อี้ชิงดุเพื่อนซี้ที่ยังเอาแต่แอบมองหนุ่มหล่อที่เจ้าตัวฝันถึงไม่เลิก
ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาหกโมงกว่าๆ แล้วเดี๋ยวอีกไม่ถึงสิบนาทีนกหวีดรวมพลจะดังแน่ถ้าแบคฮยอนไม่รีบไปจัดการล้างถาดแล้วเก็บมันลงเป้
“เออ รู้แล้ว กำลังจะกินอยู่เนี่ย”
.
.
.
ตลอดทางเดินเกือบ 10 กิโลเมตรแบคฮยอนเดินเหยาะแหยะไปตลอดทาง ที่ด้านหน้าสุดมีครูฝึกคอยนำขบวนอยู่ห่างๆ นักเรียนหมู่หลังๆ ก็เริ่มแตกแถวไปบ้างเล็กน้อย ตอนนี้เป็นแปดโมงกว่าๆ แล้วแดดเริ่มร้อนแถมฝุ่นดินแดงยังคละคลุ้งไปทั่วบริเวณจนต้องใช้ผ้าสามเหลี่ยมผูกจมูกไว้ทำตัวเป็นโม่งลายพราง
แบคฮยอนเอาแต่เดินๆ หยุดๆ เป็นพักๆ เมื่อรู้สึกว่าเท้าเริ่มเจ็บและถ้าก๊อตที่พันไว้เริ่มย่นแล้ว ชานยอลเองเมื่อสังเกตเห็นว่าลูกหมู่ของเขาไม่โอเคก็หยุดรอเพื่อที่จะได้เดินไปพร้อมกัน ก่อนที่แบคฮยอนจะเดินช้าไปจนหลงหมู่
“ไหวเปล่า” คนตัวสูงถามออกมาพลางนิ่วหน้าด้วยความเป็นห่วง พอเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้าชานยอลกก็เบาใจ ถึงจะรู้ว่าแบคฮยอนคงโอเคไปได้ไม่หมดวันแน่
การเดินทางขึ้นเขาผ่านสมรภูมิฝุ่นใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าจะมาถึงฐานฝึกยิงปืนที่เป็นสนามเป้าดินลูกรัง
แบคฮยอนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อคิดว่าจะได้หยุดเดินสักที เสียงครูผู้ฝึกบนหอคอยประกาศให้แต่ละหมู่ในกองร้อยวางเป้แล้วไปเรียงแถวเพื่อทดสอบยิ่งปืนเป็นหมู่ๆ เรียงไป 20 แถว โดยหัวหน้าหมู่จะเป็นคนทดสอบคนแรกแล้วต้องคอยดูแลลูกหมู่ให้ทำการทดสอบต่อไป
“พวกคุณ!!! ต้องปฏิบัติตามคำสั่งให้ดี! ห้ามเล่น ห้ามอวดรู้ ถ้ามีใครบาดเจ็บขึ้นมาพวกคุณจะถูกส่งกลับบ้านทันทีทั้งหมู่! หัวหน้าดูแลลูกหมู่ให้ดี ยิงตามสัญญาณธงสิบนัดแล้วหยุด เข้าใจไหม!!”
“เฮ้!!!”
เสียงตะโกนรับคำสังดังลั่นสนาม แบคฮยอนเห็นบางคนเริ่มหยิบที่อุดหูมาใส่ แล้วเขาก็กลายเป็นคนเอ๋ออีกครั้งเมื่อไม่รู้ว่าคนอื่นๆ ไปเอาที่อุดหูมาจากไหน
สัญญาณธงแดงยกขึ้น หัวหน้าหมู่ลั่นไกลปืนยาว 10 นัดเป็นจังหวะเสียงดังปัง! ปัง! ปัง! กึกก้องไปทั่วสนามดินแดง คนตัวเล็กรีบยกมือขึ้นปิดหู เมื่อเสียงนั้นดังสะท้อนมากจนทำให้เขาหูอื้อไปหมดก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงวิ้ง
เพียงไม่นานสัญญาณธงก็ลดลง ชานยอลย้ายตัวเองไปนั่งด้านข้างแล้วลูกหมู่คนถัดไปก็ไปหมอบซ้อมยิงโดยมีหัวหน้าหมูดูแลความเรียบร้อยอยู่อย่างใกล้ชิด
“ดูสัญญาณธง!”
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
รู้สึกราวกับมีใครมาเคาะถาดกินข้าวอยู่ใกล้ๆ หู เสียงมันดังอื้ออึงไปหมด ถึงแม้ว่าจะใช้นิ้วอุดแล้วก็ตาม ยิ่งเดินเข้าใกล้สนามปืนเสียงก็ยิ่งดังขึ้นเรื่ยๆ จนตอนนี้แบคฮยอนมายืนอยู่ตรงตำแหน่งที่ต้องทดสอบยิงแล้ว เขาหมอบตัวลงด้วยท่าทีเหรอหรา เสียงวิ้งยังคงดังอื้ออยู่ในหู
“เอาที่อุดหูมาไหม”
“ห้ะ?”
“ที่อุดหู เอาที่อุดหูมาไหม” ชานยอลพูดเสียงดังพร้อมกับใช้นิ้วชี้ไปที่หู แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าโดยที่ไม่รู้ว่าไม่ได้ยินหรือไม่ได้เอามากันแน่
“ใส่ไว้” คุณหัวหน้าหมู่ถอดที่อุดหูตัวเองยัดใส่หูเพื่อนตัวเล็กเพื่อป้องกันเสียงปืนก่อนที่ธงจะสะบัดขึ้นเป็นสัญญาณยิง
แบคฮยอนเหนี่ยวไกลยิงกระสุนนัดแรกออกไป แรงอัดจากปืนของจริงกระชากมือเขาแรงกว่าที่คิดไว้ พอกดให้ลูกกระสุนลั่นออกไปได้อีก 9 นัดก็ไม่ยากอะไร แบคฮยอนยิงปืนรัวโดยที่ไม่ได้สนใจว่ามันจะโดนเป้าไหม พอเสียงกระสุนนัดสุดท้ายดังขึ้นธงก็ลดลง
คนตัวเล็กถอดที่อุดหูออกแล้วส่งมันให้กับคนข้างๆ ที่นั่งหน้านิ่วมองเป้ายิงอยู่ ชานยอลหลุบตามองเขาเพียงครู่ก็รับที่อุดหูไปใส่ให้ตัวเองเหมือนเดิมเพื่อที่จะทำการทดสอบคนถัดไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ส่วนแบคฮยอนก็เดินออกจากแถวเพื่อกลับไปเอาเป้
“กระผมจ่าสิบตู่ ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ฐานฝึกที่ 213 ผมขอให้ทุกคนไปทำการพรางหน้าเดี๋ยวนี้ ให้เวลา 5 นาทีแล้วกลับมารวมกันที่จุดนี้ ห้านาที! เร็ว!!”
เมื่อเดินทางมาถึงฐานสอง ยังไม่ทันจะได้วางเป้ลงเสียงครูฝึกผู้เร่งรีบอยู่ตลอดเวลาก็ดังขึ้น ทำเอานักเรียนรีบสาละวนหาสีมาพรางหน้ากันใหญ่ และเนื่องจากตอนเช้าพวกเขาส่วนใหญ่ได้รับคำสั่งว่าไม่ต้องพกอะไรมานอกจากถาด แบคฮยอนก็เลยไม่ได้เอาอะไรมาเลยนอกจากผ้าคลุมกันแดดคิตตี้ของเขาและถาดกินข้าวกับขนม
“เหี้ย มีใครเอาสีพรางมาปะวะ” อินซองล้วงมือไปตามกระเป๋าเสื้อ ต่างคนต่างรื้อเป้ตัวเองเผื่อว่าจะมีใครพกสีติดตัวมาบ้าง ซึ่งคราวนี้ดูเหมือนว่าหัวหน้าหมู่ก็ช่วยไม่ได้เพราะชานยอลเองก็ไม่ได้เอามาเหมือนกัน
“กูไม่ได้เอามาว่ะ”
“เหี้ยและ”
“เดี๋ยวๆๆ กูว่ากูเอามา” ชานซองล้วงมือเข้าไปในช่องกระเป๋าเล็กๆ แล้วหยิบเอาตลับสีพรางหน้าออกมา พอเพื่อนๆ ในหมู่สี่เห็นทุกคนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ชานซองเปิดตลับออกแล้วเป็นคนแรกที่ใช้สีทาลงไปบนใบหน้าก่อนที่จะเวียนส่งต่อไปให้เพื่อนข้างๆ
“เห้ย อย่างงี้ไม่มันเลยว่ะ มาโอนอยออกกันดีกว่า ใครแพ้มึงต้องให้คนอื่นทาสีบนหน้ามึง เอางี้ป่ะ ทั้งวง” จีฮวานจอมขี้เล่นเสนอเกมเล็กๆ ขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่ดูเหมือนจะเร่งรีบ สมาชิกหมู่สี่มองหน้ากัน และไม่ต้องเดาเลยว่าผลจะออกมาแบบไหน มีเพียงแค่แบคฮยอนคนเดียวที่ไม่ได้ตัดสินใจ แต่เพื่อนว่าอะไรเขาก็ว่าตาม
“มา ไอ้สัส” จงอินว่าอย่างเอาเรื่อง เขาหัวเราะออกมาด้วยความคึกคะนองแล้วยื่นมือออกไปเตรียมเปิดศึกชิงชะตาทันที
“มาๆ มึงเล่นกันให้หมด”
“โอนอยยยย อ๊อก!”
จงอินขาว อินซองขาว ชานซองดำ แบคฮยอนดำ ชานยอลดำ อินซองขาว ดงโฮขาว
“เห้ยยย”
เมื่อผู้ต้องรับชะตาถูกตัดออกเหลือสามคนและหนึ่งในนั้นมีหัวหน้ากองร้อยสุดหล่อพวกเขาก็คึกครื้นกันใหญ่ แบคฮยอนใจเต้นตึกตักเมื่อคิดว่าตัวเองอาจได้มีโอกาสป้ายสีลงบนหน้าชานยอล ขนาดแค่คิดหัวใจมันก็เต้นผิดจังหวะไปหมด
“โอนอยยยย ออก!”
แบคฮยอนขาว ชานยอลดำ ชานซองดำ
“อะไรวะ เมื่อกี้ชานยอลมันออกช้าอะ!” แบคฮยอนรีบโวยวายเมื่อเห็นว่าคู่แข่งของเขาเล่นไม่ยุติธรรม คนตัวสูงเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะออกมาน้อยๆ ด้วยความดีใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรขณะที่เพื่อนๆ เฮนำไปแล้ว ชานยอลไม่ยอมให้ใครมาทำลายความหล่อบนหน้าเขาได้จริงๆ
“มึงไม่ต้องเลยอีโล้น มึงมา กูจะเติมผมให้” จงอินไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น เขาส่งเสียงหัวเราะด้วยความสะใจแล้วป้ายสีทาหน้าไปเต็มสองมือก่อนจะลูบมันลงไปบนหน้าขาวๆ ของน้องนุชในหมู่
แบคฮยอนที่เห็นว่าพูดไปก็คงไม่ได้อะไรก็ได้แต่นิ่งเงียบ ใจเขาแอบคิดว่า เอาวะ อย่างน้อยก็ถูกชานยอลป้ายสีใส่ ก็แค่แกล้งโวยวายออกไปนิดหน่อยให้พอหายเขิน ทั้งที่ในใจตื่นเต้นจนแทบจะลงไปนอนดิ้น คนตัวเล็กได้แต่ยืนนิ่งให้เพื่อนๆ เอาสีมาละเลงหน้าจนดำเมี่ยมไปหมดทั้งที่คนอื่นพรางเอาแค่พอหล่อ
“มา กูใส่ผมสามเส้นให้ เป็นปังปอนด์” จีฮวานว่าขณะที่ใช้นิ้วลากเขียนไปบนหน้าผากเพื่อนตัวเล็ก
“มึงสนุกมากปะ”
“กูโคตรมีความสุขเลย” ไอ้ตัวบงการหัวเราะขำ
สีทาหน้าถูกแต้มลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงคนสุดท้ายที่แบคฮยอนจดจ่อรอจะให้สัมผัสใจแทบขาด เขาเอาแต่จินตนาการไม่หยุด ขณะที่หัวใจในอกเต้นโครมครามเมื่อสุดหล่อของทีมเอาปลายนิ้วจิ้มลงไปบนตลับสี
ชานยอลมองหน้าเพื่อนตัวเล็กอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจใช้นิ้วป้ายสีลงไปบนปลายจมูกเป็นจุดเล็กๆ สีดำเพียงแค่นั้นก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
และวินาทีนั้นเองที่แบคฮยอนรู้สึกเหมือนร่างกายของเขากำลังกลายเป็นระเบิดนิ้วเครียร์ ทั้งสัมผัสจากปลายนิ้วและดวงตาที่จ้องมองมา รวมไปถึงรอยยิ้มนั่น หัวใจมันเต้นแรงไปหมดจนได้ยินเสียงตึกตักตักในหู ถ้าหากว่าตอนนี้แบคฮยอนไม่ได้หน้าดำอยู่ๆ ใครๆ คงเห็นเขาหน้าแดงแน่
“หูมึงแดงแล่ว” จีฮวานยิ้มกว้างพลางส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู เขาใช้มือจับใบหูที่แดงของเพื่อนตัวเล็กก่อนจะเดินผ่านไปกับกลุ่ม ปล่อยให้แบคฮยอนได้แต่ยืนนิ่งมองแผ่นหลังของพี่หัวหน้ากลุ่มที่เดินผ่านไปเหมือนไม่ได้สนใจอะไรมากกับเกมแกล้งตัวตลก
ตั้งแต่ฝึกมาสองวันยังไม่รู้สึกว่าหัวใจทำงานเหนื่อยมากขนาดนี้มาก่อนเลย บ้าเอ้ย ไม่มีสติเลยแบคฮยอน!
“คลานไปๆ!!! ไปสิวะ! มึงดูเพื่อนด้วย!! ไปไม่ครบมึงกลับมาเริ่มใหม่ทั้งหมู่!!”
เสียงจ่าหน้าดำตะโกนลั่น นักเรียนทหารกองร้อย 101 ก็รีบคลานรอดใต้ลวดหนามกันอย่างขยันขันแข็ง แบคฮยอนที่รอเข้าปฏิบัติการทดสอบเป็นหมู่ถัดไปแทบร้องไห้เมื่อเห็นโคลนเพื่อนรัก และคราวนี้ต้องนอนเอาตัวแนบไปทั้งหน้าและหลังเหมือนทำสปา มันโคตรยิ่งกว่าการลุยน้ำข้ามกำแพง
“ระวังปืนๆ!! ไป!! หมู่สี่ไป!”
พอได้ยินคำว่าหมู่สี่แบคฮยอนก็รีบหมอบตัวคลานตามเพื่อนๆ เขาไปทันที คนตัวเล็กเม้มปากแน่นเพื่อกันไม่ให้โคลนกระเด็นเข้าปากในขณะที่คลานตัวลอดใต้ลวดหนาม แต่ดูเหมือนทุกอย่างมันจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ปลายเท้าของคนด้านหน้าที่สะบัดไปมาดีดเอาน้ำโคลนขึ้นมาติดหน้าเขาจนชุ่มฉ่ำ
ยิ่งเสียงครูฝึกตะโกนเร่งต่างคนก็ต่างรีบจนไม่ได้สนใจใคร พอเอาหน้าคลุกยังไม่เท่าไหร่ก็ต้องนอนหงายเอาหลังไถขี้โคลนเหลวๆ เพื่อไปให้พ้นสุดรั้วลวดหนาม
เมื่อคลานออกมาพ้นโคลนก็เจอสนามหญ้าแห้ง วิ่งไปไม่ไกลเจอลวดหนามอีกแล้วแล้วก็หมอบๆ คลานๆ กันจนบางคนกางเกงขาด ระหว่างทางก็มีครูฝึกเร่งอยู่ตลอด แบคฮยอนที่ได้รับกำลังใจมาเต็มเปี่ยมพยายามจะตามให้ทันแต่ก็ช้าอยู่ดี จนอินซองต้องคอยหันมาดูบ่อยๆ
กว่าจะผ่านด่านลวดหนามไปได้ หมู่ที่สี่แห่งกองร้อยอินทรีย์ก็ตัวเปียกไปหมด ใบหน้าของแต่ละคนเลอะโคลนและสีพรางหน้า แบคฮยอนหน้าดำปิ๊ดเหลือแต่ลูกกะตา เขาถูกพรางหนักสุดเลยจากทั้งกองร้อย ในขณะที่เพื่อนคนอื่นมีแค่รอยดำประปรายบนหน้า
และแบคฮยอนก็ได้แต่ถามตัวเองทำไมชานยอลยังดูหล่ออีกทั้งที่หน้าเขามีรอยสีและโคลน เรียกได้ว่าหล่อทะลุโคลนออกมาแบบอะไรก็เอาไม่อยู่จริงๆ
“ต่อไปจะเป็นการฝึกดูดาวและเคลื่อนย้ายกลับกองพัน ให้แบ่งกันไปเป็นหมวด หนึ่งหมวดต่อครูฝึกหนึ่งคน ต้องดูแลกันให้ดี หมู่ไหนทำเพื่อนหายจะต้องเริ่มทำการฝึกใหม่ อย่าให้ใครหาย ดูแลกันให้ดี”
ในเวลาที่ท้องฟ้าเริ่มมืด ช่วงทุ่มเศษๆ หลังจากที่ได้พักกินข้าวกันแล้วก็ยังมีการฝึกภาคค่ำอีกนิดหน่อย ตอนนี้แบคฮยอนอยากถอดรองเท้ามากเพราะเขารู้สึกเจ็บสุดๆ มันเหมือนมีบางอย่างกำลังถูกดึงออกทุกครั้งที่ขยับเท้าคล้ายกับหนังที่มันถูกเสียดสีเมื่อวานใกล้จะลอก
“ฝึกเสร็จแล้วเดินกลับกองพันกันให้เป็นระเบียบ อย่าให้ใครหาย อย่าออกนอกแถว เข้าใจไหม!!!”
“เฮ้!!”
ณ วินาทีนี้คนตัวเล็กเริ่มไม่แฮปปี้กับการเดินทางเป็นกิโลฯ เพื่อกลับกองพัน พอสั่งปล่อยแถวเพื่อไปฝึกภารกิจสุดท้ายยังไม่ทันจะก้าวเท้า ขาข้างที่โดนรองเท้าเสียดก็แทบล้ม แบคฮยอนนิ่วหน้าด้วยท่าทีเจ็บปวด แต่พอเห็นเพื่อนทุกคนเหนื่อยล้าและอยากพักเต็มทีแล้วเขาก็ไม่กล้าพูดอะไร
ใช้เวลาเพียงแค่ไม่นานกับการฝึกดูแผนที่ดวงดาวและเคลื่อนที่ตามสัญญาญมือ นักเรียนทหารกองร้อยอินทรีย์ก็ต้องเดินผ่านถนนลูกรังมืดๆ กลับบ้านโดยใช้มือเกาะบ่ากันและเดินตามไฟฉายครูฝึกที่ตามประกบหน้าหลังอยู่ ตลอดทาง
แบคฮยอนยังกัดฟันเดินกระเผลกไปเท่าที่สามารถจะทำได้ ถึงแม้ว่าอินซองจะอาสาให้ขี่หลังแต่คนตัวเล็กก็ปฏิเสธเพราะต่างคนก็ต่างเหนื่อยมากแล้วกับการฝึกนรกวันนี้
กัดฟันเดินฝ่าถนนลูกรังเขรอะฝุ่นมาพร้อมเท้าเจ็บๆ ได้เกือบสองชั่วโมง นศท.ที่แสนเหนื่อยล้าก็ต้องมายืนเข้าแถวรอนับยอดอีก กว่าจะเป่านกหวีดปล่อยให้ไปพักก็เล่นเอาขาร้าวระบมไปหมด พอถึงเวลาอาบน้ำแบคฮยอนก็เดินกะเผลกกลับไปที่เต๊นท์ก่อนเป็นอย่างแรกเพื่อถอดรองเท้า
เขาดึงถุงเท้าออกแล้วใช้ไฟฉายส่องก่อนที่จะต้องนิ่วหน้าด้วยความเป็นกังวลเมื่อเห็นว่ามีเลือดซึมอยู่เต็มผ้าก็อต
“ซี๊ดดดดด...” คนตัวเล็กส่งเสียงซี๊ดปากครางเบาๆ ตอนที่พยายามลอกผ้าก็อตออกจากแผล แบคฮยอนรู้แล้วว่าสิ่งที่ดึงเนื้อเขามันคือหนังที่ลอกติดกับแผ่นผ้าก๊อต และเมื่อผ้ามันหลุดลุ่ยออกก็กระชากหนังที่แห้งติดไปด้วย แต่ก็ถือว่ายังโชคดีแล้วที่ส่วนอื่นๆ ไม่ได้ช้ำเพิ่ม
“มึงไหวปะเนี่ย” เสียงทุ้มดังขึ้นเรียกคนเจ็บที่กำลังพยายามจัดการแผลตัวเองให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง ชานยอลย่อตัวลงดูเท้าที่เต็มไปด้วยแผลของเพื่อนร่วมห้องก่อนจะคลานไปหยิบกระเป๋าตัวเองมาเพื่อค้นหาอุปกรณ์ทำแผล ดูท่าทางแล้วถ้าไม่ทำความสะอาดเท้าแบคฮยอนได้เน่าคาคอมแบตแน่
“ไหวๆๆ ซี๊ดดดด”
“ไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมาทำแผล เดี๋ยวก็เน่า”
“เออๆ เดี๋ยวไป” แบคฮยอนตอบปากรับคำก่อนจะพยุงร่างขึ้นยืนแล้วหยิบเอาผ้าขนหนูออกมาจากถุงอีกใบที่เก็บของแยกไว้ เขาเดินเท้าเปลือยเปล่าย่ำไปบนดินแดงเพราะไม่สามารสวมใส่อะไรได้อีก โดยที่ในใจก็คิดว่า เอาวะ วันสุดท้าย เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้กลับบ้านแล้ว
ชานยอลยืนมองเพื่อนร่วมเต๊นท์ของเขาจนกระทั่งแผ่นหลังของคนตัวเล็กเดินหายลับไป ก่อนที่จะคลานเข้าไปหยิบผ้าขนหนูของตัวเองเตรียมไปอาบน้ำบ้างหลังจากที่เหนื่อยมาทั้งวัน
“คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่พวกคุณจะได้พักผ่อนที่นี่ ผมขอให้พวกคุณนอนให้สบายเพื่อที่จะทำการฝึกวันสุดท้ายในวันพรุ่งนี้ แต่ก่อนอื่น ผมมีเรื่องอย่างจะถามพวกคุณสักนิด!”
ณ ลานรวมพลเวลาเกือบสามทุ่มก่อนปล่อยพักนอน จ่าคิมกวาดสายตามองไปรอบกองร้อย 101 ก่อนที่จะยกกางเกงชั้นในสีขาวขึ้นมาชูกางอากาศ
“อันนี้ของใคร!”
เสียงฮือฮาดังไปทั่วกองร้อย 101 ปนกับเสียงหัวเราะเบาๆ แบคฮยอนที่นั่งอยู่ในแถวและเกือบจะหลับเหลือบตาขึ้นมองกางเกงชั้นในขาสั้นสีขาวในมือครูฝึกประจำกองร้อยก่อนที่ดวงตาเรียวรีจะเบิกโพลงขึ้น เมื่อเห็นว่ากางเกงชั้นในตัวนั้นมันคือของเขาเอง
คนตัวเล็กทำหน้าเลิ่กลั่ก เสียงครูฝึกประกาศกร้าวเสียงเหี้ยม แบคฮยอนได้แต่คิดในใจว่าซวยแล้ว เพราะมัวแต่สนใจแผลถึงได้ลืมกางเกงซะได้ เขาหันซ้ายหันขวาพยายามขอความช่วยเหลือจากเพื่อนแต่ทั้งอี้ชิงและคยองซูเองก็เอาแต่นั่งนิ่ง
“ผมถามว่าของใคร!! จะไม่มีใครยอมรับกันเลยใช่ไหม!! คุณเรียนรด.มาเพื่อที่จะเป็นทหาร ผมสอนให้พวกคุณมีระเบียบ มีความรับผิดชอบ!! แล้วสิ่งนี้ที่ตกอยู่ในห้องน้ำคืออะไร!!”
“..........”
น้ำเสียงดุดันตวาดดังขึ้นกว่าเดิมแต่ทุกคนก็ยังเงียบ แบคฮยอนเองก็ได้แต่นั่งร้อนรนทนใจ เขาอยากลุกขึ้นยืนแต่ก็ทั้งอายทั้งกลัวว่าจะถูกให้วิ่งเพราะเท้าเจ็บจนแทบจะเดินไม่ไหวแล้ว
“ถ้าไม่มีใครยอมรับก็ไปวิ่งรอบสนามกันทั้งกองร้อย!!!”
“โห่~!”
คราวนี้เสียงโห่และเสียงโอดครวญดังขึ้นระงมทั่วทั้งกองร้อย เมื่อทุกคนต่างก็เหน็ดเหนื่อยกันหมดเกินกว่าที่จะยอมถูกลงโทษแทนใคร แบคฮยอนนิ่วหน้าด้วยความเป็นกังวลก่อนที่จะตัดสินใจลุกขึ้นเพราะไม่อยากให้ใครเดือดร้อน แต่ยังไม่ทันจะได้เหยียดขาน้ำเสียงทุ้มๆ ที่แสนคุ้นเคยก็ดังมาจากทางด้านหลัง
“ของผมเองครับ”
หัวหน้ากองร้อยชานยอลยืนขึ้นพูดเสียงดัง ใบหน้าของเขาเรียบนิ่งและเต็มไปด้วยร่องรอยของความเหนื่อยล้า ทุกสายตาหันไปมองชายหนุ่มผู้เสียสละ ก่อนที่ชานยอลจะถูกเรียกให้วิ่งออกไปหน้าสนามในขณะที่แบคฮยอนได้แต่นั่งนิ่งด้วยความรู้สึกผิด
“เหี้ย แม่งของใครวะ” อินซองบ่นอย่างหัวเสียเหมือนเขารู้อยู่แล้วว่านั่นไม่มีทางเป็นของชานยอล
เสียงครูผู้ฝึกประกาศใส่ไมค์ปาวๆ กล่าวโทษอย่างโหดร้ายพร้อมทั้งออกคำสั่งให้เจ้าของกางเกงในตัวปลอมไปวิ่งรอบสนามสามรอบ วินาทีนั้นเองที่แบคฮยอนอยากโทษตัวเองในความขี้ขลาด
ชานยอลคงไม่อยากให้เพื่อนที่ฝึกเหนื่อยกันมาทั้งวันต้องถูกลงโทษ และเขาเป็นหัวหน้ากองร้อย ถ้าชานยอลออกไปวิ่งคนเดียวทุกคนก็จะได้พักผ่อนตามปกติ เขาทำเพื่อกองร้อยอีกครั้งสมกับเป็นหัวหน้าทั้งที่ตัวเองก็เหนื่อยไม่แพ้กัน และนั่นก็ทำให้แบคฮยอนรู้สึกผิดมาก
“วันนี้เวรยามเต๊นท์ B12 13 14 แยกกันไปพักได้!!”
เสียงประกาศออกไมค์ครั้งสุดท้าย แบคฮยอนที่มัวแต่มองพี่สุดหล่อของเขาเหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่เต๊นท์ที่ 12 กับชานยอล แต่ว่าเมื่อวานชานยอลก็เฝ้ายามไปแล้ว ถ้าต้องให้เขามาเฝ้าอีกเพราะย้ายเต๊นท์มันคงไม่ยุติธรรมนัก
คนตัวเล็กเดินลากเท้าเจ็บๆ ไปที่หน้าเต๊นท์ ในขณะที่สายตาก็ยังมองไปยังสนามลูกรังกลางแจ้งที่มีท่านหัวหน้าผู้เสียสละวิ่งอยู่อย่างไม่ลดละ แบคฮยอนถอนลมหายใจด้วยความรู้สึกผิดก่อนจะคลานเข้าเต๊นท์เพื่อหยิบเอาไฟฉายและพลาสเตอร์ออกไปเฝ้ายามที่หน้ากองไฟเมื่อเพื่อนๆ เริ่มหายหัวเข้านอนกันหมดแล้ว
บรรยากาศเย็นๆ ของเวลาสี่ทุ่ม ค่ำคืนนี้เสียงเงียบลงเร็วกว่าปกติเนื่องจากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันทำให้ทุกคนต่างก็อยากรีบนอนเพื่อเอาแรงสำหรับวันพรุ่งนี้ แบคฮยอนเห็นหัวหน้าหมู่ของเขาที่เพิ่งวิ่งเสร็จเดินกลับเข้าไปในเต๊นท์ก่อนที่จะเดินออกมาพร้อมกับกระบอกไฟฉายและกระติกน้ำ ชานยอลทิ้งตัวนั่งลงข้างกองไฟเงียบๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร
“เหนื่อยป่ะ” แบคฮยอนเหลือบตาขึ้นมองพี่หล่อของเขาด้วยท่าทีรู้สึกผิด ทว่าชานยอลก็ไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแค่ชำเลืองสายตาขึ้นมามองก่อนจะยกกระติกน้ำขึ้นดื่มอีกอึก
“กูมีเรื่องจะสารภาพ...” คนตัวเล็กว่าพร้อมกับฝืนยิ้มแห้งๆ ออกไป ยิ่งได้เห็นสายตาของอีกฝ่ายที่มองมาอย่างคาดหวังแบคฮยอนก็ยิ่งรู้สึกแย่ “กางเกงในอันนั้นของกูเองอะ... กูมัวแต่ซักถุงเท้าก็เลยลืม”
“.............”
“กูขอโทษ กูน่าจะเป็นคนยอมรับผิด กูน่าจะยืนขึ้น”
“ยืนขึ้นแล้ววิ่งไหวอ่อ” หัวหน้ากองร้อยเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขาปิดฝาแล้ววางกระติกน้ำลงก่อนจะเอนหลังพิงต้นไม้เหยียดขาข้างนึงออกด้วยท่านั่งประจำ
“แต่ก็ทำให้มึงเหนื่อยอยู่ดี”
“อือ” คนตัวสูงไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแค่ส่งเสียงครางออกมาจากในลำคออย่างที่ไม่รู้ความหมาย ใบหน้าของชานยอลไม่ได้ดูโกรธ ท่าทางเขาเหนื่อยและอยากนอนพักมากกว่าจะอยากเถียงว่าใครถูกใครผิด
ชานยอลแค่อยากให้ทุกคนได้พักเหนื่อยไวๆ เพราะวันนี้ถือว่าเป็นวันที่หนักที่สุด ถึงแม้เขาจะไม่ได้คิดว่าตัวเองจะซวยต้องมาโดนเวรซ้อนสองวันเพราะดันเปลี่ยนเต๊นท์นอน
“เหนื่อยเลยเนาะ แต่เดี๋ยวก็จบแล้ว” พอได้มานั่งอยู่หน้าต่อหน้าคนที่ชอบใกล้ๆ แบคฮยอนก็ไม่รู้จะพูดอะไร เขาเห็นคนตรงหน้าเหลือบตาขึ้นมองมาเพียงครู่ก็กลับไปสนใจใช้ไม้เขี่ยกองไฟต่อ
พอไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกดดันให้สามัคคีกันชานยอลก็ยังดูเงียบและเย็นชาเหมือนเดิม แต่ไม่ว่ายังไงแบคฮยอนก็เขินอยู่ดี
“เดี๋ยวปีหน้าก็ต้องมาอีก”
“ห้ะ? ปีหน้าต้องมาด้วยหรอ?” คนตัวเล็กเบิกตากว้างเหมือนเห็นผีเมื่อยินว่าปีหน้าก็ต้องมาฝึกอีก ทำไมแบคฮยอนถึงไม่รู้เลยว่าเขาต้องฝึกกี่ปีถึงได้จบพ้นจากการเป็นรด.
“มึงเรียนยังไงไม่รู้วะ” ชานยอลนิ่วหน้าน้อยๆ ขณะโยนเศษไม้เข้าไปในกองไฟก่อนยกแขนขึ้นกอดอก เอนหลังพิงลงกับต้นไม้ด้วยท่าทีผ่อนคลาย นาฬิกา G-shock สีดำบนข้อมือบอกเวลาสี่ทุ่มเศษๆ แล้ว อีกไม่นานการฝึกภาคสนามนี้ก็จะจบลง และชานยอลรู้สึกเสียดายมากกว่าจะดีใจ
“หรอ แล้วจะได้อยู่ด้วยกันอีกปะ”
“อือ ก็เหมือนเดิม หมู่เดิม หมวดเดิม กองร้อยเดิม”
“อ๋อ งั้นไม่เป็นไรละ” คนตัวเล็กว่าแล้วก็ก้มหน้าลงแอบยิ้มกับตัวเองด้วยความเขิน ถ้าหากว่าปีหน้าต้องมาอีกแบคฮยอนก็ไม่กลัวถ้าเขาจะได้อยู่กับชานยอล เพราะอย่างน้อยสิ่งเล็กๆ ที่เกิดขึ้นที่นี่ก็ทำให้มีความสุขมากเลย
ขณะที่คนตัวเล็กเอาแต่ก้มหน้าก็ไม่ได้สังเกตว่ามีใครบางคนกำลังนั่งมองอยู่ ชานยอลใช้สายตาจ้องลูกหมู่ตัวเล็กของเขาที่เอาแต่ก้มลงกอดเข่าพลางส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างนึกขันก่อนจะหลับตาลงงีบเอาแรงระหว่างรอผลัดเวร ...
#แม่บ้านทหารบกcb
:D
ความคิดเห็น