คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 13 : ติดกับ
เวลาตีสองกว่าๆ บนถนนนอกเขตเมืองหลวงที่เงียบสงบ รถยนต์คันสีดำสนิทจอดอยู่หน้าป้ายบอกทางเข้าเขตชุนอี ปาร์ค ชานยอลโยนกระป๋องเบียร์ทิ้งออกไปนอกกระจกรถก่อนจะสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง หน้าจอโทรศัพท์ของเขายังไม่หยุดส่งแสงกระพริบเมื่อมีคนโทรเข้า... คนตัวสูงเหลือบตาลงมองหน้าจอ GPS เพียงครู่ก็เหยียบคันเร่ง พารถยนต์มุ่งสู่จุดหมายปลายทางทันที
.
.
.
ก๊อกๆๆ... ก๊อกๆๆ...
“แบคฮยอน.... แบคฮยอน”
เสียงเคาะประตูกับเสียงเรียกของผู้เป็นแม่ปลุกเจ้าของห้องนอนสีฟ้าที่กำลังหลับใหลให้ลืมตาตื่นขึ้น
แบคฮยอนหยัดตัวลุกจากที่นอนด้วยท่าทางงัวเงีย เขาเดินโงนเงนไปเปิดไปประตูให้กับผู้เป็นแม่ด้วยสีหน้ายุ่งๆ
ก่อนที่จะอ้าปากหาวออกมาวอดใหญ่
“ห้ะ...”
“เพื่อนมาหา”
“เพื่อน? ใครอะ?” คิ้วเรียวขมวดย่นเข้าหากันด้วยความแปลกใจ แบคฮยอนหันไปมองนาฬิกาบนฝาผนังที่บอกเวลาตีสามก่อนจะหันกลับมามองหน้าแม่อีกครั้ง เขาปิดงับประตูห้องแล้วก้าวเท้าเดินตามหลังผู้เป็นแม่ไปยังประตูหน้าบ้าน
ทันทีที่มือบางเอื้อมไปคว้าลูกบิดแล้วเปิดประตูออก ภาพของ ‘เพื่อนคนนั้น’ ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ทำแบคฮยอนถึงกับต้องยืนนิ่ง ดวงตาเรียวรีกระพริบถี่ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด
แบคฮยอนกำลังเห็นชานยอลยืนอยู่หน้าประตูบ้านเขา และนี่ก็คือชานยอลจริงๆ แบบไม่ใช่ในฝัน... แต่ว่าเขามาทำอะไรที่นี่ป่านนี้ล่ะ
“มาทำอะไรอะ” นิ่วหน้าพร้อมกับเอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วงก่อนที่จะเปิดประตูให้เพื่อนตัวสูงเดินเข้ามาในบ้านเมื่อเห็นว่าข้างนอกกำลังมีลมพายุพัด
แบคฮยอนยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์นัก เขาเพิ่งตื่นแล้วก็ง่วงเกินกว่าจะคิดอะไร
“ก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์เลยมาหา” เด็กหนุ่มตัวสูงตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับกำลังพูดเรื่องฝนฟ้าอากาศ มือที่เคยซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อเอื้อมไปคว้ามือเล็กๆ มาจับไว้ราวกับต้องการจะสื่อว่า ตอนนี้ชานยอลสามารถจับตัวคนที่กำลังหนีเขากลับคืนมาได้แล้ว
“เออ... โทษที หลับอะ แล้วมายังไงอะ”
“ขับรถมา”
“หาบ้านเจอได้ไงอะ อยู่ตั้งลึก”
“ก็หาเจอแล้วกัน” ไม่มีคำพูดอธิบายอะไรมาก ชานยอลแค่ระบายยิ้มเจื่อนๆ
ออกมาก่อนจะยกมือขึ้นสัมผัสกับใบหน้าที่เอาแต่คิดถึงมาตลอดสองวัน...
ไม่เคยรู้เลยว่าคิดถึงแบคฮยอนมากขนาดไหนจนกระทั่งได้เห็นเขายืนอยู่ตรงหน้า แล้วชานยอลก็ไม่รู้สึกว่าเขาต้องการอะไรอีกนอกจากนี้ แค่ได้กอดแบคฮยอนเอาไว้ตอนนี้ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว...
“อือ งั้นเข้ามาห้องก่อนดิ”
เจ้าของบ้านตัวเล็กว่าพร้อมกับดึงมือเพื่อนคนสำคัญให้เดินตามไปยังห้องนอนของตัวเอง ถึงจะยังงงอยู่เล็กน้อยแต่แบคฮยอนก็คิดว่าเขาพอจะเข้าใจเรื่องราวได้แล้ว แบคฮยอนจำได้ว่าเขานอนรอโทรศัพท์ชานยอลอยู่นาน แล้วก็เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ แต่ก็ไม่คิดเลยว่ามันจะทำให้เขาตามมาถึงที่นี่
“ทำไมปิดโทรศัพท์อะ” คนตัวสูงเอ่ยถามในขณะที่เดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปในห้อง ชานยอลตรงไปหย่อนก้นนั่งลงบนที่นอนสีฟ้าก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเอามือถือตัวการมากดเปิดเครื่องอย่างถือวิสาสะ
เขาเห็นหน้าจอโทรศัพท์กระพริบแจ้งเตือนแบตเตอรี่ต่ำก่อนที่จะดับลงอีกครั้ง ดูเหมือนว่าแบคฮยอนจะไม่ได้โกหก ยกเว้นแต่ว่าเขาจะตั้งใจปล่อยให้มันดับ
“สงสัยแบตหมด ก็รอโทรศัพท์อยู่แหละ แต่เผลอหลับอะ ไม่รู้ว่าแบตมันจะหมด”
“หรอ นึกว่าปิดเครื่องหนี”
“จะปิดหนีทำไม” คนตัวเล็กว่าแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะคลานขึ้นไปนอนบนที่นอนฝั่งติดผนัง แบคฮยอนไม่ชอบเป็นคนงี่เง่าหรอก บางทีเขาก็แค่ต้องการเวลารักษาหัวใจตัวเอง ถึงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าแอบดีใจอยู่ลึกๆ ที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนอึดอัดคุยกับชานยอลผ่านโทรศัพท์ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้สึกโอเค
“ยังไม่หายโกรธอีกหรอ”
“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้โกรธ...”
สถานการณ์ที่น่าอึดอัดระหว่างความสัมพันธ์ที่แสนซับซ้อนดูท่าทางจะไม่ยอมคลายลงง่ายๆ ชานยอลได้แต่ถอนลมหายใจออกมาด้วยความหนักใจ เขาเขยิบตัวไปนอนข้างเจ้าของห้องที่ยังไม่ยอมหันหน้ามาคุยกัน ก่อนจะพลิกตัวตวัดแขนเกี่ยวรั้งเอวบางให้ขยับเข้ามาใกล้พรางซุกหน้าลงกับหลังต้นคอ
ชานยอลไม่รู้ว่าเขาควรจะเริ่มพูดจากประโยคไหนดี จะต้องขอโทษหรือต้องปรับความเข้าใจก่อน หรือว่าต้องเคลียร์คำถามของแบคฮยอนที่ยังติดค้างอยู่
“ไม่โกรธแล้วหลบหน้าทำไม”
“............”
“ขอโทษ”
“ขอโทษทำไมก็ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” คนตัวเล็กตอบออกไปด้วยน้ำเสียงไม่จริงจัง ก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ จากในลำคอ แบคฮยอนไม่ได้บอกว่ามันเป็นความผิดของชานยอลสักหน่อย แล้วเขาก็ไม่อยากได้คำขอโทษ
“ก็โกธรเรื่องที่ไปเที่ยวกับเพื่อนไม่ใช่อ่อ”
“ไม่ได้โกรธหรอก ก็บอกว่าเสียใจเฉยๆ แต่ช่างมันเหอะ”
“ไม่โกรธแล้วหนีทำไม ทำไมไม่คุยกันเหมือนเดิม”
“เปล่า....”
“กลับไปคุยกันเหมือนเดิมได้ไหม...”
เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างมากดทับความมั่นใจเอาไว้ และสิ่งนั้นมันคือความรู้สึกผิด
ชานยอลรู้ตัวดีว่าเขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเรียกร้องอะไร
แต่ก็แค่อยากจะกลับไปคุยด้วยกันเหมือนเดิมเท่านั้น...
“อื้อ ก็ได้แหละ”
คำพูดของชานยอลทำแบคฮยอนได้แต่นึกขำตัวเอง เขาไม่รู้เลยว่าทำไมถึงยังคาดหวังว่าจะได้ยินคำพูดอะไรที่จะทำให้ทุกอย่างชัดเจนมากขึ้น ที่ชานยอลตามมาง้อเพราะเขาแค่กลัวว่าตัวเองจะรู้สึกเหงาหรอ
เพราะแบคฮยอนทำให้ชานยอลมีความสุขได้ แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่านั้น
ที่จริงแบคฮยอนน่าจะรู้นานแล้วว่ามันไม่เคยมีอะไรชัดเจนมาตั้งแต่แรก สุดท้ายก็ได้แต่คิดว่าถ้าตัวเองฐานะดีกว่านี้อีกฝ่ายจะลังเลไหมนะ ถ้าแบคฮยอนเป็นคนมีหน้ามีตามากกว่านี้ชานยอลจะลังเลไหม เขาจะพูดอะไรบ้างหรือเปล่า..
“ก็ได้หรอ... เจ็บจัง” คนตัวสูงว่าแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความรู้สึกที่แย่พอกัน คำว่าก็ได้ของแบคฮยอนทำชานยอลจุกจนพูดไม่ออก เขาเหมือนกำลังติดอยู่ในกับดักของตัวเอง แล้วตอนนี้พิษของมันก็เริ่มเล่นงานแล้ว
“ก็หมายถึงก็กลับไปคุยกันเหมือนเดิมก็ได้ เหงาก็โทรมา ก็คุยกันเหมือนเดิม”
“............”
“ก็นั่นแหละ...”
“หึ... ไม่รู้เลยว่าต้องทำไง...” ลมหายใจอุ่นๆ ถูกถอนออกมาเฮือกใหญ่ ชานยอลที่แสนโง่เง่าหลงทางติดอยู่ในปัญหาของตัวเอง เขาไม่มีคำแก้ตัวอะไรทั้งนั้น ในตอนนี้แม้แต่สิ่งที่อยากจะเก็บรักษาเอาไว้มากที่สุดก็ทำท่าเหมือนจะหลุดออกไปอีกแล้ว
ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ทุกที... แม้แต่ความสุขเล็กๆ ที่อยากจะเก็บเอาไว้ ไม่ว่าอะไรถ้าเข้าใกล้ชานยอลมากเกินไปเมื่อไหร่มันก็จะกลายเป็นปัญหาทันที เขาเหมือนบางสิ่งที่จับต้องไม่ได้... เป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบจนไม่มีอะไรดีพอทั้งนั้นในโลกใบนี้ แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่ชานยอลหลงรักในสิ่งที่ใครต่อใครคิดว่าไม่ดีพอมันก็มักจะถูกพรากไปเสมอไม่ว่าด้วยวิธีใด...
“ทำอะไรอะ”
“อือ... ไม่รู้เลย...”
“ร้องไห้อ่อ” คำพูดแปลกๆ กับหยดน้ำอุ่นๆ ที่สัมผัสโดนต้นคอทำแบคฮยอนถึงกับต้องนิ่วหน้า เขาพลิกตัวหันกลับไปหาคนด้านหลังพร้อมกับยกมือขึ้นประครองใบหน้าของเด็กหนุ่มตัวเอาไว้ ดวงตาเรียวรีเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าสิ่งที่สัมผัสโดนต้นคอนั้นไม่ใช่หยดน้ำตา “เลือดกำเดามึงไหลอะ!”
“หรอ... โทษที มีทิชชู่ปะ” ชานยอลไม่ได้แสดงท่าทีตกใจอะไร
เขาแค่ยกมือขึ้นปาดเลือดกำเดาก่อนจะพลิกตัวนอนหงายแล้วแหงนหน้าขึ้นมองเพดานด้วยความรู้สึกเซ็ง
ทั้งๆ ที่มีจังหวะดีๆ ที่จะได้อธิบายแล้วแท้ๆ แต่ก็พลาดอีกจนได้
ไม่รู้มันเรื่องอะไรนักหนา
“เป็นอะไรอะ เดี๋ยวไปเอาทิชชู่ให้นะ” ภาพของเลือดที่ไหลออกมาจากโพรงจมูกทำแบคฮยอนลนลานจนแทบทำอะไรไม่ถูก เขารีบคลานไปหยิบทิชชู่จากปลายเตียงมาส่งให้กับคนที่นอนแหงนหน้าบีบจมูกหยีตาอยู่ด้วยสีหน้าทรมาน
ชานยอลเอาแต่ทำท่าเหมือนจะจามอยู่ตลอด ตั้งแต่เข้าห้องมาเขายังไม่หยุดทำเสียงฟุดฟิดเลย
“อากาศร้อนมั้ง”
“อย่าจามดิ นอนเฉยๆ เดี๋ยวก็ไม่หายหรอก” นิ่วหน้าว่าออกไปด้วยความเป็นห่วงก่อนจะดึงทิชชู่ไปซับเลือดที่ไหลออกมาเลอะปลายคางให้ ดูเหมือนว่าฉากดราม่าจะกลายเป็นฉากความโกลาหนไปแล้ว แบคฮยอนแทบจะลืมไปเลยว่าเขาโกรธชานยอลอยู่ตอนที่เห็นเขาเลือดแตก
“เป็นห่วงไง”
“เอ้า ก็ต้องห่วงดิ”
คำพูดลนๆ กับสีหน้าเป็นกังวลของคนข้างๆ ทำเด็กหนุ่มตัวสูงอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ถึงแม้ว่าจะมีเลือดกลบอยู่เต็มโพรงจมูก ชานยอลเอื้อมมือไปคว้ามือเล็กๆ มาจับเอาไว้แน่น ความห่วงใยทำให้หัวใจที่เกือบจะแห้งเหี่ยวของเขากลับมาพองโตอีกครั้ง อย่างน้อยถึงจะแค่ตอนนี้ก็ยังดี
“ตกลงว่าไม่โกรธแล้วใช่ไหม”
“อื้อ ก็บอกหลายรอบแล้วว่าไม่ได้โกธร” คิ้วเรียวขมวดย่นเข้าหากันด้วยความไม่สบายใจ แบคฮยอนหลุบตาลงมองฝ่ามือที่ถูกกอบกุมเอาไว้ ก่อนจะพูดต่อ “แต่ถามอะไรอย่างนึงได้ปะ ที่ผ่านมาอะ เคยรู้สึกอะไรมั่งไหม อะไรก็ได้อะ สักนิดนึง ที่ไม่ใช่แค่ความรู้สึกที่ว่าเบื่อแล้วก็อยากมีเพื่อนคุยอะ”
คำถามที่ตรงไปตรงมาทำให้ชานยอลถึงกับต้องหยุดคิดคำตอบ เขาเหลือบตาไปมองคนตัวเล็กที่นั่งทำหน้าจ๋อยอยู่ข้างๆ ก่อนจะพูดออกมา
“ถามทำไมอะ”
“แค่ตอบได้ปะล่ะ”
“อือ ชอบ...”
แค่คำตอบสั้นๆ ก็ทำให้คนฟังยิ้มออกมาได้ แบคฮยอนไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ชานยอลพูดออกมานั้นเชื่อได้แค่ไหน ไม่รู้สิ... เขาแค่ดูเป็นคนไม่ค่อยพูด แล้วแบคฮยอนก็เดาไม่ได้ว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นเป็นคำโกหกหรือเรื่องจริง แต่สำหรับตอนนี้ แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ
“แล้วกับคนนั้นอะ”
“ก็เพื่อนเฉยๆ สนิทกัน รู้จักตั้งแต่เด็ก”
“แบบคนที่แม่เชียร์อะไรเงี้ยหรอ”
“อือ” ชานยอลไม่ปฏิเสธว่าสิ่งที่แบคฮยอนพูดเป็นความจริง โคลอี้ก็เป็นคนที่แม่เชียร์ให้เขาคบด้วยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และมันก็เป็นโอกาสดีของแม่เมื่อชานยอลรู้สึกสับสน แต่ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่
ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
และชานยอลก็คิดว่าแม่กำลังหัวเสียเพราะกลัวเรื่องนี้
เขาไม่เคยเห็นแม่ทำอะไรรีบร้อนแบบนี้มาก่อน มันเห็นได้ชัดว่าเธอกำลังวิตกกังวล
ที่จริงโคลอี้ก็ยังเป็นคนสำคัญ เธอเป็นเพื่อนสนิทของเขา
แต่มันไม่ใช่ความรักในรูปแบบนั้น
“อือ... นะ แล้วเค้าดีปะล่ะ”
“ก็ดี แต่ไม่ชอบ... แล้วก็ไม่ต้องไล่ให้ไปชอบคนอื่นด้วย” เหมือนชานยอลจะรู้ว่าคำพูดต่อไปของแบคฮยอนจะเป็นแบบไหน เขารีบพูดดักออกมาก่อนที่จะได้ยินคำพูดทำร้ายจิตใจเป็นครั้งที่ร้อย
“แต่ว่ามันก็ดีไม่ใช่อ่อ ก็เป็นคนที่แม่...”
“อย่าทำเหมือนแม่ได้ปะ”
น้ำเสียงห้วนๆ กับอาการชักสีหน้าแบบฉับพลันของชานยอลทำให้แบคฮยอนรู้ได้ว่าตัวเองเผลอเหยียบกับระเบิดของเด็กเจ้าอารมณ์เข้าให้แล้ว สุดท้ายเขาก็ได้แต่พยักหน้าเออตามไปถึงจะยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจติดค้างอยู่อีกมากมายก็ตาม
ตอนนี้แบคฮยอนไม่กล้าคิดอะไรเข้าข้างตัวเองอีกแล้ว บางทีเขาก็รู้สึกเหมือนถูกดันให้หลบอยู่หลังกำแพง ไม่รู้หรอกว่าภายในกำแพงของชานยอลมีอะไรเกิดขึ้น และสิ่งนั้นก็อาจเป็นสิ่งที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงอยู่เช่นกัน
“แล้วทำไมต้องหงุดหงิดด้วย”
“ขอโทษ” พอรู้ตัวว่าเผลอแสดงท่าทางที่ไม่ดีออกไปชานยอลก็รีบขอโทษ เขายังจับมือแบคฮยอนเอาไว้แน่น วันนี้ชานยอลเจอเรื่องหนักหนามากมาย เขาแค่ไม่ต้องการจะพูดถึงคนอื่นอีก ตอนนี้มีแค่แบคฮยอนก็พอแล้ว
ชิ้ว!
“อา....”
“จามอีกและ บอกว่าอย่าจาม กินแตงโมปะ เผื่อตัวจะได้เย็นๆ เดี๋ยวไปเอามาให้”
“อือ”
“งั้นรอแป๊บนึงนะ” พอว่าแล้วคนตัวเล็กก็ลุกจากเตียงแล้วเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้คนที่ยังเลือดกำเดาไหลไม่หยุดนอนอยู่บนเตียง
ดวงตากลมโตยังคงจ้องมองแผ่นฝ้าบนเพดานด้วยความรู้สึกว่างเปล่า และในขณะที่ชานยอลกำลังคิดว่าคืนนี้เขาต้องนอนที่นี่ไม่ได้แน่ เสียงดังกรุ๊งกริ๊งของอะไรบางอย่างก็ฉุดสายตาคมออกจากฝ้าเพดาน ชานยอลค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้นนั่งช้าๆ พยายามมองหาว่าเสียงนั้นมาจากไหนแต่ก็ไม่พบอะไร
“ไม่มีน้ำแข็งให้ประคบอะ กินอันนี้ไปก่อนแล้วกัน”
เสียงแบคฮยอนเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง เขาถือแตงโมผ่าครึ่งซีกกลับเข้ามาด้วยพร้อมกับช้อนสองคันที่ปักอยู่ด้านบน คนตัวเล็กย้ายตัวเองขึ้นไปนั่งบนเตียงพร้อมกับถุงพลาสติกใบเล็กสำหรับใส่เมล็ด แบคฮยอนตักแตงโมคำแรกเข้าปาก ก่อนที่จะตักคำที่สองไปส่งป้อนให้กับคนที่ยังนั่งเงยหน้ามองเพดานอยู่
“ไม่ได้หั่นมาอ่อ”
“อือ ขี้เกียจไปเข้าครัวอะ กินอย่างงี้ไปก่อน”
“ไม่เอาอะ ขี้เกียจแกะเม็ด”
คำพูดที่แสนเอาแต่ใจของเด็กหนุ่มข้างตัวทำเจ้าของห้องถึงกับต้องหันไปมองพร้อมกับทำสีหน้าประมาณว่า ‘มึงว่าไงนะ?’ ทั้งๆ ที่แบคฮยอนอุตส่าห์ยอมสละแตงโมที่จะเก็บไว้กินกับมงรยงพรุ่งนี้ แต่ชานยอลกลับทำเหมือนว่ามันไม่สำคัญ ถ้าแตงโมไม่ถูกหั่นมาเขาก็จะไม่กิน
“ก็แค่เขี่ยๆ ออกปะ ถึงหั่นก็ต้องแกะเม็ดอยู่ดี”
“งั้นแกะให้หน่อย”
“เรื่องมากชิบเป๋งเลยว่ะ” ถึงจะพูดไปอย่างนั้นแต่แบคฮยอนก็ยอมนั่งเขี่ยเม็ดแตงโมออกเพื่อที่คุณชายจะได้รับประทานอย่างสะดวก เขาตักแตงโมที่ถูกแกะเม็ดออกจนเกลี้ยงไปส่งป้อนให้กับชานยอลอีกครั้ง ก่อนที่จะตักอีกคำเข้าปากตัวเอง
“มันกินยาก ไม่ชอบ”
“แสดงว่าไม่มีสกิลลิ้นอะดิ” แบคฮยอนตักเนื้อแตงโมที่เต็มไปด้วยเมล็ดเข้าปากอีกครั้ง เขาเคี้ยวมันไม่กี่ทีก็พ่นเมล็ดออกมาใส่ถุงได้อย่างชำนาญโดยที่ไม่มีเนื้อแตงโมหลุดลอดออกมาเลย
พอชานยอลเห็นอย่างนั้นแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ แบคฮยอนเนี่ยมีความสามารถแปลกๆ เยอะจัง แล้วเขาก็ดูจะภูมิใจกับมันมากซะด้วย
‘กริ๊ง’
“เสียงอะไรอะ” เป็นอีกครั้งที่ชานยอลได้ยินกระดิ่งดัง เขาหันไปมองแบคฮยอนที่กำลังตั้งใจเขี่ยเม็ดแตงโมก่อนที่จะจามออกมาอกีครั้ง คอเสื้อฮู้ดถูกยกขึ้นปิดจมูกเมื่อชายหนุ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างทำให้เขารู้สึกคันจมูกอย่างมาก
“เสียงอะไร?”
“เสียงเหมือนกระดิ่งอะ”
“อ๋อ อีอ้วนส้มแน่เลย แม่มงรยงอะ”
“มันอยู่ไหนอะ”
“ก็นอนอยู่ใต้เตียงนี่ไง”
“โอ้ย... ถึงว่า” ชานยอลถึงกับสบถออกมาเมื่อรู้ว่ามีหมากำลังนอนหลับอยู่ใต้เตียง เขารีบคลานหนีไปนั่งชิดกำแพงก่อนที่จะพูดออกมา “เอาออกไปได้ปะ”
“ทำไมอะ แพ้ขนหมาอ่อ”
“เออ”
“เอ้า ถึงว่า รอแป๊บนะ มงรยง~” แบคฮยอนตักแตงโมมาถือไว้แล้วกระโดดลงจากเตียงไปเรียกชื่อเจ้าหมาเตี้ยที่นอนหลับอยู่ใต้เตียงให้ออกมาหา เขาเอาแตงโมให้มันกินก่อนที่จะอุ้มมันขึ้นมาแล้วจับขาโบกบ๊ายบ่ายให้กับชานยอลพร้อมกับดัดเสียงแหลมเป็นแม่มงรยง “มงรยงหวัดดีพี่ชานยอลก่อนเร็ว หวัดดีค้าบ~”
“เอาออกไปๆ” ชานยอลรีบเบือนหน้าหนีทันทีเมื่อแบคฮยอนอุ้มเจ้าหมาสีส้มเข้ามาใกล้ แม่มงรยงที่ตัวอ้วนและขนสั้นกระดิกหางที่มีอยู่เท่ากำปั้นไปมา ชานยอลแอบเห็นด้วยว่าแม่มงรยงของแบคฮยอนนั้นมี ‘จู๋’ มันเป็นหมาตัวผู้แล้วก็ไม่ใช่แม่มงรยงอย่างที่คิด
“ทำไมต้องรังเกียจแม่มงรยงด้วย! เค้าเป็นเจ้าของบ้านนะรู้เปล่า โถ่ว มงรยงไปนอนกับแม่ก่อนน้า~” พอว่าแล้วแบคฮยอนก็อุ้มอีอ้วนส้มของเขาไปปล่อยไว้ที่หน้าห้อง เขาตบก้นมัน 2 – 3 ที เจ้าหมาคอร์กี้ขาสั้นก็วิ่งไปตะกุยประตูห้องผู้เป็นแม่แล้วนั่งลงรออย่างเป็นระเบียบ
“มันเป็นตัวผู้ไม่ใช่อ่อ” เด็กหนุ่มที่ยังไม่ยอมเอาเสื้อปิดจมูกลงนิ่วหน้าถามด้วยน้ำเสียงอู้อี้ เขาใช้มือตบที่นอนปุ๊ๆ ก่อนจะหยิบเอาผ้าขนหนูลายก้อนเมฆมาปัดขนหมาออกจากเตียง
“ก็ตัวผู้แงะ”
“แล้วไหนบอกตอนเด็กๆ คลานไปกินนมหมาใต้ท้องรถ”
“เออ ก็คิดนะว่าตอนนั้นคลานไปดูดอะไร” แบคฮยอนยิ้มกริ่ม เขาทำสีหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยในขณะที่คลานกลับไปนอนข้างๆ คนตัวยักษ์ “แต่พอมานึกดู กูอาจจะค้นพบหนทางของตัวเองตั้งแต่ตอนนั้นก็ได้”
“ทะลึ่งว่ะ” คนตัวสูงว่าแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกับดึงกระดาษทิชชู่ออกจากรูจมูกเมื่อเลือดเริ่มน้อยลงแล้ว ชานยอลอ้าปากรับแตงโมไร้เมล็ดอีกคำก่อนที่จะย้ายตัวเองกลับไปนั่งที่เดิม
“เอ้า ใครจะรู้ ก็ตอนนั้นยังเด็ก ไม่รู้หรอกว่าดูดอะไร อ่ะ เอาไปตักกินเอง” พอแบคฮยอนเขี่ยเมล็ดออกจากหน้าแตงโมจนหมดเขาก็ยื่นมันให้อีกฝ่ายแต่คนตัวสูงกลับไม่ยอมรับไว้ ชานยอลเบือนหน้าหนีอย่างเอาแต่ใจ ซ่อนมือซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อฮู้ดก่อนจะพูดออกมา
“มันยังออกไม่หมด มันอยู่ข้างในอะ”
“โอ้ย~ นิดเดียวก็ไม่ได้ พ่อคุ๊ณ อยู่บ้านมึงกินอะไรเนี่ย” แบคฮยอนขมวดคิ้วทำหน้านิ่วด้วยความรู้สึกขัดใจ เขาถึงกับต้องเบ้หน้ากับความมากเรื่องของไอ้คุณชายที่เป็นผัวก็ไม่ใช่ แต่ยังต้องมานั่งแกะเม็ดแตงโมให้อีก ชานยอลนี่มันโคตรเรื่องเยอะจริงๆ ไม่รู้เลยว่าแม่เลี้ยงมายังไง “แฟนก็ไม่ใช่ ผัวกูยังไม่เคยผ่าแตงโมให้กินเลยนะ แล้วอย่างงี้อยู่บ้านกินยังไงวะ”
“ก็ให้แม่บ้านทำ”
“แล้วถ้าแม่บ้านไม่อยู่อะ”
“ก็ไม่กิน กินอย่างอื่น” คนตัวสูงตอบกลับไปด้วยสีหน้าสุดเฉยชา ชานยอลไม่คิดว่ามันจะผิดยังไงกับการที่เขาไม่ชอบกินผลไม้ที่เม็ดเยอะๆ หรือต้องปลอกเปลือก
“ขอหมั่นไส้ได้แมะ เกลียดอะ งี้แสดงว่าก็กินผลไม้ยากอะดิ”
“ก็กินได้หมด แต่ไม่ชอบแกะ ไม่ชอบปลอกเปลือก เหนียวมือ ไม่ชอบเม็ดเยอะด้วย”
“มึงโคตรเรื่องมากอะ รู้ตัวปะ”
“แต่ผมกินแอปเปิ้ลนะ”
“มีแต่ลิ้นจี่อะ กินปะ”
“แกะให้ปะล่ะ”
แบคฮยอนถึงกับหลุดหัวเราะออกมากับประโยคสนทนาแห่งความแน่วแน่ที่จะไม่แกะผลไม้ของชานยอล ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรน่าขำแต่มันก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่ากำลังงอนอยู่ ชานยอลนี่มันชานยอลจริงๆ เขาเป็นคนที่คาดเดาไม่ได้เลย
“ขำอะไร”
“เปล่า แล้วพรุ่งนี้ไปทำงานไม่ใช่อ่อ แล้วจะกลับตอนไหนอะ” เอ่ยถามออกไปในขณะที่สายตายังจดจ่ออยู่กับเมล็ดแตงโมจนไม่รู้เลยมีใครกำลังแอบมองอยู่ แบคฮยอนเกือบจะลืมไปเลยว่าชานยอลมีงานต้องทำอีกเยอะ งานอะไรของเขาที่แบคฮยอนไม่เข้าใจแล้วก็ไม่อยากเข้าใจ
“อือ ค่อยกลับเช้า”
“จะกลับกี่โมงอะ”
“หกโมงค่อยกลับ”
“อ่อ งั้นก็รีบนอน พรุ่งนี้จะได้ไม่ง่วง”
“พรุ่งนี้ไปไหนปะ” ชานยอลเอ่ยถามออกมาในขณะที่ไหลตัวลงนอนกับเตียง เขารับแตงโมคำสุดท้ายเข้าปากก่อนจะนำมันไปวางทิ้งไว้บนพื้นข้างเตียงอย่างมักง่าย ที่จริงพรุ่งนี้ชานยอลต้องกลับถึงบ้านตอนหกโมงเช้า แต่มันคงไม่สำคัญแล้วตอนนี้ เผลอๆ แม่อาจจะโทรเรียกคนขับรถใหม่แล้วก็ได้
“อือ พรุ่งนี้ว่าจะไปดูหนัง”
“ไปกับใคร”
“กับเพื่อนนี่แหละ” คนตัวเล็กตอบออกไปอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินลงจากเตียงไปหยิบเอาแตงโมที่ชานยอลวางทิ้งไว้ไปทิ้งลงขยะแล้ววนกลับไปปิดไฟ
พอไฟดวงใหญ่ดับลงสติ๊กเกอร์เรืองแสงราคาถูกก็สะท้อนขึ้นมาเต็มฝาผนัง แบคฮยอนคลานกลับขึ้นไปบนเตียงอีกครั้ง ก้าวขาข้ามตัวชานยอลเพื่อที่จะกลับไปนอนทางฝั่งติดผนัง แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นก็ถูกแขนยาวๆ ตวัดขึ้นมารัดพร้อมกับดึงตัวให้ล้มลงนอนทับบนอก
แบคฮยอนมองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด เขาได้กลิ่นน้ำหอมจากเสื้อของชานยอลลอยขึ้นเตะจมูก ก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงสัมผัสอบอุ่นจากกลีบปากที่แตะลงบนหน้าผาก เสียงลมหายใจจากปลายจมูกโด่งไล่ลงมาจนถึงพวงแก้ม หัวใจดวงเล็กเต้นแรงไปหมด แบคฮยอนกำลังจะตกลงไปในหลุมพรางของชานยอลอีกครั้ง...
ทั้งกลิ่นกายและความอบอุ่นจากร่างกายใหญ่หนา ทุกอย่างของชานยอลทำให้แบคฮยอนแพ้หมดท่า
ในความมืดมิดเขารู้สึกได้ถึงความร้อนของลมหายใจจากปลายจมูกที่ไล่กดหอมไปทั่วใบหน้า ริมฝีปากอุ่นกดจูบลงบนเปลือกตา ค่อยๆ ไล่มาจนถึงปลายจมูก ก่อนที่จะมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปาก
มันเป็นแค่จูบเบาๆ ที่ไม่มีการล่วงล้ำใดๆ... แต่กัดกินลึกเข้าไปถึงข้างในจิตใจที่ไร้เกาะป้องกัน
“ถ้าวันนึงชานยอลมีแฟนเราต้องเสียใจมากแน่เลย..” พูดออกไปเสียงแผ่วก่อนจะซุกหน้าลงกับคอเสื้อที่มีกลิ่นหอม แบคฮยอนคงทำใจได้ยากหากความรักที่แสนหอมหวานนี้ต้องสิ้นสุดลงในสักวันหนึ่ง
เขาคงจะลืมความสุขในวันนี้ไม่ลง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเร็ววัน...
“ถ้าเรารวยกว่านี้เราคงขอชานยอลเป็นแฟน...”
“ไม่ต้อง”
“..........”
“พร้อมแล้วเดี๋ยวขอเอง...”
กระซิบคำพูดลงที่ข้างใบหูราวกับต้องการให้มันเป็นความลับที่จะไม่มีใครได้ยินนอกจากเราสองคนที่อยู่ที่นี่ ชานยอลกดปลายจมูกหอมลงบนพวงแก้มอีกครั้ง เขารู้ว่าแบคฮยอนรู้สึกยังไงและชานยอลเองก็ไม่ต่างกัน
“อย่าไล่ให้ไปชอบคนอื่นนะ ผมอยากชอบคนที่ผมอยากชอบ ผมจะรักคนที่ผมอยากรัก ถ้าพูดอีกจะโกรธเลยนะ...”
ชานยอลไม่รู้หรอกว่าเขาชอบแบคฮยอนมากแค่ไหน ไม่รู้ว่ามันเหมาะสมมากแค่ไหน ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง... ชานยอลไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาเป็นใครตอนที่อยู่กับแบคฮยอน
เป็นแค่คนที่หลงเดินเข้าไปในโลกที่มีแต่ความสุขแล้วก็หาทางกลับออกมาไม่ได้ ชานยอลแค่ไม่อยากให้ความสุขนี้หายไป ไม่ว่ายังไงก็ไม่อยากให้แบคฮยอนหายไป
ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นการตกหลุมรักได้ไหม... ชานยอลแค่อยากจะกอดแบคฮยอนเอาไว้ กอดแบบไม่ต้องคิดอะไร กอดไว้ให้นานที่สุด กอดไว้ให้แน่นในแบบที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถมาพรากไปได้เลย...
.
.
.
แถม
ติ๊ง
‘ตื่นแล้วอ่อ’
‘อือ...’
‘กี่โมงแล้วอ่ะ’
‘เพิ่งเจ็ดโมง’
‘อือ... จะไปทำงานยัง’
‘อือ’
‘คิส’
‘หื้อ... ไรนะ’
‘คิสคิส’
“หื้อ...”
‘จุ๊บ...’
วิดีโอ Snapchat ที่มีเพียงแค่ภาพจอสีดำกับเสียงสนทนาความยาว 5 วินาที ถูกอัพโหลดขึ้นบนแอคเคาน์ pcypcy พร้อมกับแคปชั่น ‘morning’ ปาร์ค ชานยอลส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจก่อนจะโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้แล้วพลิกตัวหันไปกอดหมอนข้างส่วนตัวเอาไว้แน่น
ในเช้าที่แสนสดใสการทำเรื่องไร้สาระทำให้ชานยอลมีความสุข... ตอนนี้เขาก็เริ่มเชื่ออย่างจริงจังแล้วว่าตัวเองเป็นพวกชอบสร้างปัญหาโดยแท้ ชานยอลไม่รู้เลยว่าทำไมเขาถึงไม่ชอบอยู่อย่างสงบ ยิ่งคิดว่าต้องมีคนสงสัยมันก็ยิ่งน่าสนุก
ไม่รู้สิ บางทีชานยอลอาจเกิดมาเพื่อเป็นแบบนี้ เขาเป็นตัวสร้างปัญหา แล้วก็คิดว่าแม่น่าจะรู้นานแล้ว...
Morning :)
ปล. ชานยอลเลือดกำเดาไหลเพราะอากาศร้อน และนางขยี้จมูกแรง ไม่ได้เป็นโรคร้ายอะไรใดๆ นะคะ ฮ่าาาาาา
ความคิดเห็น