คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 10 : Night Night ★
เวลาเที่ยงคืนกว่าๆ บนเตียงนอนสีน้ำเงินเข้ม
ชานยอลวางโทรศัพท์เอาไว้ที่ปลายเท้า
เขาเสียบหูฟังไว้ในหูข้างนึงในขณะที่สองมือก็จับคอร์ดกีต้าร์ดีดเล่นไปตามจังหวะ
เสียงกีต้าร์โปร่งใสๆ กับเสียงร้องเพลงจากปลายสายทำให้ค่ำคืนนี้ไม่น่าเบื่อนัก
[พรุ่งนี้ไปทำงานกี่โมงอะ]
“เที่ยงๆ”
[ปกติเข้างานกี่โมงอะ
ต้องตอกบัตรปะ]
“เข้าตอนไหนก็ได้”
[อันนี้เล่นมุกหรือพูดจริง]
“หึ พูดจริง” สีหน้าประหลาดๆ ของคนในกล้องทำชานยอลอดขำไม่ได้
เขาวางกีต้าร์ลงก่อนจะหยิบเอามือถือเข้ามาจ่อใกล้ๆ หน้าแล้วเขยิบตัวขึ้นไปพิงหลังกับหัวเตียง
[หมั่นไส้~]
“พรุ่งนี้เลิกงานกี่โมง”
[ก็เลิกทุ่มนึงทุกวันแหละ
แต่มันเสียเวลาตอนนั่งรถกลับบ้าน กว่าจะถึงบ้านก็สามทุ่ม
นั่งรถเหนื่อยกว่าทำงานอีก]
“หยุดเสาร์ – อาทิตย์ปะ”
[อื้อ
ถ้าทำวันเสาร์ด้วยก็ได้ค่าแรงเพิ่ม แต่ขี้เกียจทำก็เลยไม่ทำ]
“วันเสาร์ไปเที่ยวกัน”
[ไปไหนอะ ทำไมไปเที่ยวบ่อยจัง]
“เบื่ออะ ไม่อยากอยู่บ้าน”
ชานยอลตอบอย่างตรงไปตรงมา เขาหยิบเอาโทรศัพท์อีกเครื่องขึ้นมาพิมพ์ตอบข้อความจากคนที่อยู่ไกลออกไปอีกซีกโลกก่อนจะวางมันทิ้งไว้ข้างตัว
[แล้วไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนมั่งอ่อ]
“ไม่อยากไป”
[เป็นคนขี้เหงาปะถามจริง]
คำถามที่ตรงไปตรงมาของแบคฮยอนทำให้ชานยอลรู้สึกตลกได้เสมอ
เขาส่งเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะนิ่งไปชั่วครู่ ชานยอลไม่รู้จะตอบว่ายังไงดี
บางทีเขาก็เป็นคนขี้เหงา แต่หลายครั้งก็ชอบที่จะอยู่อย่างเหงาๆ
มากกว่าจะออกไปสังสรรค์กับเพื่อน
“ไม่รู้”
[ทำไมไม่รู้ นิสัยตัวเองอะ]
“ก็ไม่ชอบคนวุ่นวายๆ ชอบอยู่คนเดียว
แต่ก็อยากมีเพื่อนคุย”
[แสดงว่าต้องติดแฟนแน่เลยงี้อะ
แบบคนไม่ชอบเที่ยว ไม่ชอบอยู่กับเพื่อน พอมีแฟนก็อยู่แต่กับแฟนอะ]
“รู้ได้ไง” คิ้วเรียวเลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนว่าแบคฮยอนจะรู้คำตอบที่อยู่ในใจชานยอลอยู่แล้ว
[แล้วใช่ปะล่ะ]
‘ก๊อกๆๆ’
“แป๊บนึงนะ”
เสียงเคาะประตูเรียกคนตัวสูงให้ต้องละความสนใจออกจากมือถือ
ชานยอลถอดหูฟังออกแล้ววางโทรศัพท์ทิ้งไว้บนเตียงก่อนจะรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูให้กับคนที่รู้ว่าใคร
เขาเห็นแม่ยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง สองมือเต็มไปด้วยขนม ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่ามาทำอะไร
“แม่เอาขนมมาให้” หญิงวัยกลางคนว่า
เธอส่งนมกับขนมปังและน้ำอัดลมกระป๋องให้ลูกชายพร้อมกับระบายยิ้มออกมาแล้วพูดต่อ
“คุยกับโคลอี้หรอ ได้ยินเสียงเหมือนร้องเพลงกันเลย”
คำถามของผู้เป็นแม่ทำชานยอลได้แต่ยิ้มขืนตอบกลับไป
เขาไม่ได้พูดอะไรเพราะไม่อยากโกหกถึงจะไม่ได้พูดความจริงออกไปก็ตาม
“ถ้าโคลอี้กลับมาแล้วชานยอลไม่ต้องไปทำงานก็ได้นะ
เดี๋ยวแม่ลาให้”
“ผมยังไม่ได้คิดเลย”
“โอกาสดีๆ ไม่ได้มาบ่อยๆ นะ”
“เดี๋ยวผมจะบอกเอง” คนตัวสูงกล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ชานยอลส่งยิ้มให้กับแม่ของเขาทำเป็นกลบเกลื่อนว่าตัวเองไม่ได้อารมณ์เสียก่อนจะพูดต่อ
“มีอะไรอีกไหมครับ”
“ไม่ล่ะ แม่ไม่กวนแล้ว อย่านอนดึกนักล่ะ ฝันดีนะ”
มีไม่กี่ครั้งนักที่ยูรินยังอารมณ์ดีอยู่ได้ถึงแม้ว่าจะถูกลูกชายขัดใจ
เธอกล่าวฝันดีกับเด็กหนุ่มตรงหน้าก่อนจะสะบัดผ้าคลุมไหล่เดินกลับไปยังทางเดินที่มุ่งสู่ห้องตัวเอง
พอเห็นว่าแม่เดินหายไปแล้วชานยอลก็ปิดงับประตูแล้วกลับไปที่เตียงอีกครั้ง
เขายังเห็นแบคฮยอนนอนเอาคางเกยหมอนวางโทรศัพท์เอาไว้บนที่นอน
ในขณะที่มือก็กดโทรศัพท์อีกเครื่องยิกๆ แค่ได้ยินเสียงเอฟเฟคชานยอลก็รู้ได้ทันทีว่าคนในมือถือกำลังเล่นเกม
“เล่นเกมอยู่อ่อ” คนตัวสูงเอ่ยถามในขณะที่หยิบเอาโทรศัพท์อีกเครื่องขึ้นมากดตอบข้อความ
ใบหน้ายุ่งๆ ที่ปรากฏอยู่บนจอกับเสียงบ่นหงุงหงิงทำชานยอลเกือบจะเผลอหลุดยิ้ม
พอแบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองกล้องเขาถึงได้ปั้นหน้านิ่งแล้วหลุบตาลงมองอย่างอื่น ทำทีเป็นไม่ได้สนใจ
[เออ เล่นทีไรแม่งก็ชอบโดนด่า น่ะ.. ตายอีกและ]
เสียงบ่นงึมงำกับคิ้วเรียวที่ขมวดย่นเข้าหากันด้วยความไม่พอใจทำชานยอลถึงกับหลุดขำ โทรศัพท์เครื่องสีดำในมือกำลังกระพริบจอโชว์ว่ามีสายเรียกเข้า แต่เจ้าของมือถือก็ไม่ได้สนใจ ชานยอลวางมันคว่ำหน้าไว้ข้างตัวแล้วหันไปสนใจคนในจอต่อ
“ฮ่ะๆๆ เล่นตัวไร”
[เล่นตัวสีฟ้าอะ]
“ก็เล่นตัวที่มันเก่งๆ หน่อยดิ”
[ไม่มีเงินซื้ออะ แต่ไม่เล่นละ เล่นแล้วโมโห]
แบคฮยอนว่าแล้วก็มุ่ยหน้า
เขาโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างตัวก่อนจะฟุบหน้าลงกับหมอนใบใหญ่
ดวงตาเรียวรีหรี่ลงเหมือนคนใกล้จะหลับ
“จะนอนยัง”
[อื้อ... ง่วงแต่ยังไม่อยากนอนเลย
เพื่อนไม่อยู่ ไม่อยากนอนคนเดียว เดี๋ยวมันกลับบ้านแล้วก็ต้องนอนคนเดียวเนี่ย]
“ทำไมไม่อยากนอนคนเดียวอะ”
[เหงาอะ กลัวผีด้วย
หอเรามันน่ากลัวนะ ผีก็น่ากลัว คนก็น่ากลัว… ทางเข้าซอยมันเปลี่ยวอะ
หอก็อยู่ลึก เสียวโจรจะขึ้นห้องอยู่]
“แล้วหอไม่มียามหรอ”
[กลัวไอ้ยามนี่แหละขึ้นห้อง]
“ฮ่ะๆๆ”
[เดี๋ยวรอง่วงๆ ก่อน เดี๋ยววาง ไปทำอย่างอื่นก่อนก็ได้]
“ไม่ต้องวางก็ได้” ชานยอลหยัดตัวลุกขึ้นจากที่นอน
ย้ายตัวเองไปนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานโดยที่ไม่ลืมหยิบเอาโทรศัพท์ไปด้วย เขาวางมือถือตั้งไว้ข้างๆ
ก่อนจะเปิดฝาพับโน้ตบุ๊กออกแล้วกดเปิดเครื่อง
ในขณะที่กำลังรอให้โน้ตบุ๊กพร้อมทำงาน เสียงของคนในวิดีโอคอลก็เงียบลงเรื่อยๆ
แบคฮยอนหลับตาพริ้มนอนเอาคางเกยหมอนโชว์อยู่หน้ากล้อง มีเพียงแค่เสียงลมหายใจดังฟี้ๆ
ที่เล็ดลอดออกมา
ชานยอลระบายยิ้มขึ้นบนใบหน้าก่อนจะหยิบเอามือถือมากดแคปหน้าจอเอาไว้
เขากดเข้าไปดูภาพนั้นแล้วจัดการครอปหน้าตัวเองออกจากมุมรูป
ก่อนจะกดแชร์มันขึ้นบนทวิตเตอร์โดยที่ไม่ลืมใส่อีโมจิง่วงนอนลงไปด้วย
‘ติ๊ง’
ยังไม่ทันจะได้วางมือไปจับเมาส์ เสียงแจ้งเตือนจากเมนชั่นก็เรียกให้ชานยอลต้องหันกลับไปมองมือถือ
และเหมือนจะเป็นตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้กำลังจับโทรศัพท์แบคฮยอนอยู่ พอคิดได้ดังนั้นชานยอลก็รีบออกจากหน้าวิดีโอคอลไปเข้าแอพฯ
นกสีฟ้าแล้วกดลบภาพที่เพิ่งอัพโหลดไปออกจากทวิตส่วนตัวทันที
แต่ทว่าถึงอย่างนั้นมันก็ช้าเกินไป...
@Chloelee_ : Who?
.
.
.
ภายในห้องทำงานแผนก IT ของสำนักงานใหญ่
ช่วงกลางวันที่พนักงานไปพักกันหมด ยังมีใครบางคนที่เอาแต่บ้างานไม่เลิก
ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงเศษๆ แล้ว ชานยอลยังไม่ยอมลุกออกจากเก้าอี้ถึงแม้ว่าจะไม่มีงานอะไรให้ทำ
เขาเอาแต่นั่งดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย
เสียงเปิดประตูเรียกความสนใจจากคนตัวสูงไปได้เพียงครู่ พอชานยอลเห็นว่าใครเดินมาเขาก็รีบปิดหน้าจอเบราเซอร์ลงทันที
“ชานยอล ช่วยแฟกซ์นี่ไปให้สาขาใหญ่ที”
ประธานยูรินที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับซองเอกสารว่า
เธอนำมันไปยื่นให้กับลูกชายที่ยังไม่ยอมออกจากห้องไปไหนเลยตั้งแต่ที่มาถึงบริษัทเมื่อเช้า
“ทำไมแม่ไม่ให้นายอนทำ” เด็กหนุ่มตัวสูงว่าพร้อมกับยื่นมือไปรับซองเอกสารมาเปิดดูผ่านๆ
ชานยอลรู้ดีว่าแม่คงไม่ถ่อเดินมาถึงนี่เพียงเพราะแค่ต้องการแฟกซ์เอกสารแน่
“เค้าไปพักอยู่
แม่ได้ยินพนักงานบอกว่าชานยอลไม่ยอมออกจากห้องไปไหนเลย ก็เลยมาดู”
เธอว่าพลางขยับก้นขึ้นไปนั่งบนโต๊ะทำงานลูกชาย
“ผมฝากคนซื้อข้าวมาแล้ว”
“ไม่ได้กำลังหลบหน้าแม่อยู่หรอ มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ ผมยุ่ง” ชานยอลตอบปัด ถึงจะรู้ดีว่าแม่ไม่มีทางเชื่อแน่
เขาแค่เบื่อจะต้องพูดเรื่องเดิมๆ ตอบคำถามซ้ำๆ
แล้วก็ไม่อยากจะคุยกับแม่มากจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมด้วย
“หรอ...”
“ครับ”
“ชานยอล... แม่ถามตรงๆ นะ...”
“ครับ”
“ช่วงนี้มีแฟนใช่ไหม...”
คำถามของผู้เป็นแม่กับสายตาจริงจังที่จ้องมองมาทำเด็กหนุ่มถึงกับต้องถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยใจ
ชานยอลเอนหลังพิงลงกับพนักเก้าอี้ เขาเหลือบตาขึ้นมองผู้เป็นแม่ก่อนจะถามต่อ
“แม่ถามทำไม”
“ตอบแค่ว่าใช่ไหม”
“...............”
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากคนตัวสูง ชานยอลรู้ดีว่าไม่ว่าคำตอบจะเป็นแบบไหน
มันก็จะนำความลำบากใจมาสู่เขาได้เสมอ
“แม่ไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของชานยอลหรอกนะ
แต่โคลอี้ก็เป็นคนสำคัญใช่ไหม... ชานยอลเป็นคนพูดเอง...”
“...............”
“วันนี้แม่รู้เรื่องนึง ชานยอลกำลังเปลี่ยนไป...
ไม่ใช่แค่กับแม่แต่กับคนอื่นๆ ด้วย” หญิงวัยกลางคนว่าเสียงเย็น
สีหน้าที่เริ่มแสดงออกถึงความอึดอัดใจของลูกชายทำให้เธอต้องเว้นจังหวะพูดให้นานขึ้น
“ตอบแม่มาแค่ว่ายังคบกับโคลอี้อยู่ไหม”
“ผมไม่รู้” ชานยอลเลือกใช้ตอบคำถามแบบไม่ชัดเจนแทนที่จะพูดออกไปตรงๆ เขาหลุบตาลงมองหน้าตักพลางลอบถอนลมหายใจออกมา
“หมายถึงยังไงไม่รู้?”
“ผมยังบอกไม่ได้”
“เฮ้อ...
งั้นก็เอาไว้ทีหลัง... แม่ไม่ได้จะอะไรหรอกนะ
แม่แค่อยากรู้ว่าโคลอี้ยังเป็นคนพิเศษของชานยอลอยู่ไหม” ยูรินส่งยิ้มให้กับลูกชายที่เริ่มมีสีหน้าผ่อนคลายลง
เธอเอื้อมมือไปจับเส้นผมเขาก่อนจะพูดต่อ “รู้ไหมว่าผู้หญิงที่ดีขนาดนั้นชานยอลไม่ได้มีโอกาสเจอบ่อยๆ
ถ้ามีอยู่ก็รักษาไว้”
“ครับ”
“แล้วก็อาทิตย์หน้าอย่าลืมล่ะ”
“ครับ”
“แค่นี้แหละ แม่ไปแล้ว”
เธอส่งยิ้มให้ลูกชายเป็นการส่งท้าย
ก่อนจะเบี่ยงขาลงจากโต๊ะแล้วหันหลังเดินออกจากห้องทำงานไป
ปล่อยให้เด็กหนุ่มตัวสูงได้แต่นั่งทำหน้าอมทุกข์อยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่
ชานยอลยกมือขึ้นเสยผมพลางสูดลมหายใจเข้าออกแบบลึกสุดปอด
เขากำลังพยายามอย่างมากที่จะไม่หงุดหงิดแต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน เสียงร้องจากโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างเมาส์บอกชานยอลให้สงบสติซะ
เขาถอนลมหายใจออกมาอีกครั้งขณะที่เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มากดรับ
“ฮัลโหล...”
.
.
.
เวลาทุ่มเศษหลังจากที่แบคฮยอนตอกบัตรออกจากที่ทำงานเสร็จ
เขาก็หอบร่างกายที่แสนเหนื่อยล้าเดินกินลมไปตามถนน
ร้านค้าแผงลอยตามข้างทางและผู้คนที่วุ่นวายในช่วงหัวค่ำทำแบคฮยอนตื่นตาอยู่ไม่น้อย
พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ที่แบคฮยอนหยุดงาน
แน่นอนว่าวันนี้เขาจะไม่กลับบ้านไว
เท้าเล็กๆ ทั้งสองข้างก้าวเดินย่ำไปตามทางเท้า
แบคฮยอนแวะซื้อน้ำพีชที่เขาชอบหนึ่งกระป๋องกับลูกอมบ๊วย
ก่อนจะมุ่งหน้าเดินตรงไปเรื่อยๆ ตามทางเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้า
จุดหมายสำคัญของค่ำคืนนี้คือแม่น้ำฮัน แบคฮยอนตั้งใจจะไปนอนเล่นที่นั่นจนกว่าจะถึงเวลารถไฟเที่ยวสุดท้ายเลย...
.
.
.
ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงคนตัวเล็กก็มายืนอยู่หน้าร้านเช่าเสื่อ
แบคฮยอนจ่ายเงินให้ร้านแล้วซื้อน้ำอัดลมอีกหนึ่งกระป๋องก่อนจะเดินไปหาที่นั่งเงียบๆ
พนักงานเงินเดือนตัวเล็กทิ้งก้นนั่งลงบนเสื่อสีเขียวก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปส่งไปให้คนที่เงียบหายขาดการติดต่อไปเกือบทั้งวัน
อันที่จริงแล้วแบคฮยอนก็อยากชวนชานยอลมาเดินเล่นเหมือนกัน
แต่ก็กลัวว่าเขาจะยุ่งเพราะไม่ได้ติดต่อมาเลยตั้งแต่บ่าย
ภาพถ่ายมืดๆ ถูกส่งขึ้นไปในกล่องข้อความ
เพียงไม่นานสัญลักษณ์จุดสามจุดที่บอกว่าอีกฝ่ายกำลังพิมพ์ข้อความอยู่ก็ทำเจ้าของรูปเนื้อเต้น
แบคฮยอนเอนหลังนอนลงกับผืนเสื่อ
เขายิ้มไม่หยุดตอนที่รู้ว่าชานยอลไม่ได้เงียบหายไปเฉยๆ
‘ติ๊ง’
Cyyyyyxx : อยู่ไหน
Bhxx0506 : ให้เดา
Cyyyyyxx : อยู่ตรงไหน
Cyyyyyxx : ส่งรูปภาพ
ภาพถ่ายแสนคุ้นตาที่ถูกส่งมาทำแบคฮยอนถึงกับต้องเบิกตากว้าง
เขาตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบๆ ก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับไป
Bhxx0506 : อยู่แถวนี้อ่อ
Bhxx0506 : อยู่ใกล้สะพานอะ
ตรงเสาไฟ
Cyyyyyxx : เดี๋ยวไปหา
Ring Ring Ring Ring Ring Ring Ring
ยังไม่ทันจะได้ละมือออกจากแป้นพิมพ์เสียงเรียกเข้าจากมือถือและเบอร์โทรที่ไม่คุ้นตาก็ทำให้แบคฮยอนต้องนิ่วหน้า
เขาช่างใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจกดรับ
“ฮัลโหลครับ”
[อยู่ตรงสะพานใช่ไหม อยู่ฝั่งไหน]
เสียงทุ้มๆ จากปลายสายทำให้แบคฮยอนรู้ได้ทันทีว่าใครเป็นคนโทรมา
เขายกมือถือออกมาดูเบอร์อีกครั้งแล้วจึงตอบกลับไป
“ชานยอลอ่อ อยู่ฝั่งที่มันมีต้นไม้อะ”
[ต้นไม้มันก็มีทุกที่อะ]
“อยู่ใกล้ๆ ป้ายสีน้ำเงินอะ”
[เห็นแล้ว]
พอได้ยินอีกฝ่ายพูดว่าเห็นแล้วแบคฮยอนก็รีบหันหลังไปมองทันที
เขาเห็นชานยอลในชุดลำลองยืนถือกระป๋องเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์อยู่ด้านหลัง
เขาส่งยิ้มมุมปากมาให้เหมือนอย่างทุกทีก่อนจะเดินเข้ามาใกล้
แบคฮยอนรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป
เขาได้แต่คิดว่าทำไมตัวเองถึงได้มีดวงผูกกับชานยอลจัง ไม่ว่าจะไปที่ไหนแบคฮยอนก็มักจะเจอเขาเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นในแบบที่ดีหรือร้าย แม้แต่วันนี้ที่อุตส่าห์คิดว่าจะไม่ได้เจอกันแล้ว
“มาทำอะไร” แขกที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันเอ่ย ชานยอลทิ้งก้นนั่งลงข้างเจ้าของเสื่อพลางเหลือบตาไปมองก่อนจะยกกระป๋องน้ำผลไม้ผสมแอลกอฮอล์ขึ้นดื่ม
“ก็มาเดินเล่น แล้วมาทำไรอะ” กลิ่นแอลกอฮอล์ที่คละคลุ้งออกมาจากลมหายใจของเด็กหนุ่มข้างๆ ทำคนตัวเล็กรู้สึกเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เสียงพูดของชานยอลฟังดูงึมงำเล็กน้อยคล้ายคนเมา ดูท่าทางแล้วไม่น่าดื่มมาแค่น้ำผลไม้ผสมเหล้าแน่
“มาเดินเล่นเหมือนกัน”
“ตอนแรกว่าจะชวนมาอยู่ แต่เห็นหายไปทั้งวัน
นึกว่ายุ่งก็เลยไม่ได้ชวน” แบคฮยอนว่าขณะแกะลูกอมบ๊วยแบ่งให้กับคนข้างๆ
เขาเห็นชานยอลอ้าปากแล้วก้มหัวลงมาเป็นเชิงขอให้ป้อน พอยื่นลูกอมส่งให้ความร้อนจากริมฝีปากอุ่นๆ ที่แตะโดนนิ้วมือก็ทำหัวใจดวงเล็กเต้นแรงไปหมด
ไม่ว่าจะกี่ครั้งแบคฮยอนก็ไม่ชินสักทีกับการได้สัมผัสโดนตัวชานยอล
“อือ”
“แล้วมาตั้งแต่เมื่อไหร่อะ”
“ตั้งแต่เย็น”
“งั้นก็อยู่นานแล้วดิ”
“อือ...” คนตัวสูงเพียงแค่ส่งเสียงครางตอบออกมาจากในลำคอ
เขาเงียบลงไปชั่วขณะก็ว่าต่อ “ไปเดินเล่นบนสะพานกัน”
“ไปดิ”
พอเอ่ยรับปากเขาก็ยืนขึ้นพร้อมกับคนด้านข้างทันที
แบคฮยอนไม่ลืมม้วนเสื่อแล้วสะพายมันขึ้นบ่าพกติดตัวไปด้วย
เขาเห็นชานยอลมีสีหน้าไม่ดีเท่าไหร่ ใบหน้าที่เฉยชาอยู่แล้วดูมีความทุกข์ใจเจือปนอยู่อย่างเห็นได้ชัด
สองเท้าก้าวเดินตามเด็กหนุ่มที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหน้าไปอย่างเงียบๆ และในจังหวะที่กำลังจะเดินไปยืนขนาบข้างฝ่ามือของเขาก็เอื้อมมาจับข้อมือเอาไว้ มันราวกับมีกระแสไฟอ่อนๆ วิ่งผ่านปลายนิ้วขึ้นไปถึงหัวใจ ถึงจะไม่ใช่การจับมือโดยตรงแต่มันก็ทำให้แบคฮยอนรู้สึกเขินมาก
ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปสักหน่อย
แต่พอมือถูกจับเอาไว้แบบนี้แล้วก็ไม่กล้าทำอะไรเลย
ระหว่างทางเดินที่มีผู้คนเดินสวนไปมาประปราย มีเพียงแค่เสียงลมหวีดหวิวที่พัดผ่านช่องว่างระหว่างต้นไม้ ทันทีที่ก้าวเท้าขึ้นไปบนสะพานลมก็พัดผมเผ้าของแบคฮยอนกระเจิงไปคนละทิศละทาง
เขาเดินตามชานยอลขึ้นมาจนถึงจุดกึ่งกลางของสองเขตพื้นที่ในเมืองหลวง
ชานยอลยังคงไม่พูดอะไร
เขากระดกน้ำผลไม้อึกสุดท้ายลงคอก่อนจะโยนมันทิ้งลงไปในแม่น้ำอย่างมักง่าย
“อ้าว ทำไมโยนทิ้งไปงั้นอะ”
คนตัวเล็กว่าแล้วก็ชะโงกหน้าลงไปมองใต้สะพานจนเท้าลอยขึ้นเหนือพื้น
แต่ไม่ทันไรเขาก็ถูกดึงตัวให้ถอยออกจากราวกั้น
“เดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก”
“เดี๋ยวก็โดนปรับ”
“ช่างมัน” เด็กหนุ่มตัวสูงว่าอย่างไม่ใส่ใจ
เขาล้วงเอาหูฟังจากในกระเป๋าเสื้อฮู้ดออกมายัดใส่หูข้างหนึ่งก่อนจะหันหลังพิงกับราวกั้น
ดวงตากลมโตยังคงจ้องมองไปยังใบหน้าเด๋อด๋าของพนักงานแบคฮยอนไม่วางตา ลมที่พัดอย่างแรงทำผมหน้าม้าของเขาแตกสะบัดไปคนละทาง
รอยยิ้มเล็กๆ เริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เฉยชา
ยิ่งเห็นแบคฮยอนพยายามหันหน้าหลบลมเขาก็ยิ่งขำ
“หันหน้ามาทางนี้ดิ”
ว่าแล้วก็จับให้คนตัวเล็กยืนหันหลังชนกับราวกลั้น
คราวนี้ลมที่พัดมาไม่ทำให้ผมปรกหน้าแล้ว มันพัดผมม้าของแบคฮยอนให้เปิดขึ้นไปด้านบนแทน
“เออว่ะ แต่หนาวอะ ลมแรง”
ความเงียบที่เกิดขึ้นโดยรอบทำให้บรรยากาศดูน่าอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
แต่ก่อนที่แบคฮยอนจะได้คิดหัวข้อสนทนาหูฟังที่มีเสียงเพลงเล่นอยู่ก็ถูกยัดเข้ามาในหู
เขาหันไปมองชานยอลที่ส่งยิ้มมาให้ก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋าฮู้ดมากดเล่นเพลงซ้ำ
“ฟังเพลงแบบนี้ด้วยอะ นึกว่าชอบฟังเพลงสากล”
แบคฮยอนว่าพลางขยับหูฟังก่อนจะก้าวเท้าเขยิบตัวเข้าไปยืนใกล้ๆ เด็กหนุ่มตัวสูง
“ฟัง”
“ให้ฟังเพลงนี่จะบอกอะไรปะ”
“หึ...” ชานยอลไม่ได้ตอบอะไร
เขาแค่ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ จากในลำคอ ดวงตากลมโตจ้องมองไปยังแสงไฟที่กระทบกับผิวแม่น้ำฮันทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา
ผิวน้ำที่เรียบนิ่งทำให้ชานยอลรู้สึกสงบ มันทำให้เขาดีขึ้นหลังจากที่ต้องรับมือกับปัญหาที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเองเกือบทั้งวัน
“ทำไมทำหน้าอารมณ์ไม่ดีอะ เครียดอ่อ”
“นิดนึง”
“เรื่องไรอะ”
“เยอะแยะ”
แค่ได้ฟังคำตอบแบคฮยอนก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่อยากจะเล่า
สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงแค่ยืนยิ้มแห้งๆ อยู่ข้างเด็กหนุ่มที่กำลังจมดิ่งลงไปในจิตใจที่สับสนของตัวเอง
แบคฮยอนไม่รู้ว่าจะสามารถทำอะไรได้ เขาแทบไม่รู้เรื่องของชานยอลเลย
ไม่เคยรู้อะไรนอกจากสิ่งที่เขาอยากให้รู้
แต่ว่าถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้รู้สึกน้อยใจหรอก
เพราะบางครั้งแบคฮยอนเองก็รู้สึกได้ว่าแม้แต่ชานยอลเองก็ดูจะไม่ชอบโลกของตัวเองเท่าไหร่
“ฟังเพลงปะ เดี๋ยวร้องให้ฟัง”
ความเงียบทำให้แบคฮยอนอึดอัด
แสงไฟบนสะพานข้ามแม่น้ำทำให้เขานึกถึงเพลงน่ารักๆ
ที่อาจจะทำให้คนที่กำลังอมทุกข์รู้สึกดีขึ้นมาได้
“ร้องมาดิ” ชานยอลว่าแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะกดปิดเพลงในมือถือ
เสียงลมที่พัดแรงของหน้าร้อนทำให้เสียงพูดของแบคฮยอนไม่ดังนัก
คนตัวสูงจำเป็นต้องเขยิบตัวเข้าไปใกล้พร้อมกับเอียงหัวลงไปฟัง
“ผมรักคุณ~ ผ๊มรักคุณน้า~ รักมากที่ฉุด~”
เพียงแค่ประโยคแรกของเพลงดังขึ้นชานยอลก็ถึงกับต้องหลุดยิ้มออกมา
เสียงดัดเล็กๆ กับท่าขยิบตาทำเขาตลกจนต้องยกมือปิดหน้า อยู่ๆ
ทุกอย่างที่เคยมืดมนก็สว่างสดใสขึ้นมา ชานยอลแทบหุบยิ้มไม่ลงกับเพลงวัยรุ่นสุดน่ารักของพนักงานแบคฮยอน
“แค่เธอบอกหัวใจชั้นแทบหลุด~ หลุดลอยไปกับเธอ~”
“พอ” ความแด๊ดแด๊ระดับสิบที่ถูกใส่เข้าไปในท่าเต้นทำชานยอลหัวเราะไม่หยุด
เขารีบจับแขนแบคฮยอนเอาไว้ก่อนที่จะกลายเป็นจุดสนใจมากกว่านี้ แค่ผู้ชายสองคนมายืนหัวเราะกันบนสะพานมันก็น่าตลกพอแล้ว
“หัวเราะอะไร ก็ร้องเพลงให้ฟัง”
“วันนี้ไปห้องปะ” ชานยอลว่าพร้อมกับดึงคนตรงหน้าให้ขยับเข้ามาใกล้ๆ
เขาก้มลงมองดวงตาที่ใสแป๋วเหมือนกับลูกสุนัขก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจเมื่อได้เห็นสีหน้าตลกๆ
ของคู่สนทนา
“ไปได้อ่อ”
“จะไปปะล่ะ”
“ไปทำไรอะ”
“ไปนอนเล่นเฉยๆ ก็ได้”
“ไม่นอนเล่นเฉยๆ ได้ปะ”
“ก็ได้ แล้วแต่” ก้มหน้าลงไปพูดใกล้ๆ
จนปลายจมูกแทบจะชนกันก่อนที่จะกระตุกยิ้มสุดเจ้าเล่ห์ พอเห็นว่าคนที่ชวนเปิดประเด็นทะลึ่งขึ้นมาเป็นคนเขินซะเองชานยอลก็แทบจะกลั้นยิ้มไว้ไม่ไหว
“ด๊าย~ เดี๋ยวโทรบอกเพื่อนก่อน”
แบคฮยอนหลุบตาลงหลบสายตาที่จ้องมองเขาเหมือนกะจะเผากันให้ตายด้วยความเร่าร้อน ทั้งๆ
ที่ตัวเองเป็นคนเปิดยิงมุกทะลึ่งออกไปแท้ๆ พอโดนสวนกลับเข้าจริงๆ ก็ไปต่อไม่ไหวเลย
ช่างเป็นคนที่เงอะงะซะจริง
“ไปข้างล่างกัน” ชานยอลปล่อยท่อนแขนเล็กๆ
ให้เป็นอิสระก่อนที่จะตวัดแขนกอดรั้งต้นคอข้างๆ ให้เดินขนาบกันลงไปด้านล่างเมื่อลมบนสะพานเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ
ภายใต้แสงไฟที่สะท้อนจากทั้งบนผืนน้ำและบนฟ้า กลิ่นลมและกลิ่นไอน้ำช่วยเยียวยาหัวใจที่เหนื่อยล้าของชานยอลได้เป็นอย่างดี
ไม่นับแบคฮยอนที่มาปรากฏตัวได้อย่างถูกที่ถูกเวลา เขาเป็นเหมือนบางสิ่งบางอย่างที่สว่างสดใส
แบคฮยอนทำให้ชานยอลอารมณ์ดีได้เสมอในทุกครั้งที่ได้เจอ เขาทำให้ชานยอลมีความสุขจนรู้สึกเหมือนไม่ได้เป็นตัวเองเลย
เมื่อไหร่กันนะที่เริ่มรู้สึกแบบนี้...
แปลกจัง...
#ฟิคกวาง
ความคิดเห็น