คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : Brother in law 3
“แบคฮยอน นี่พี่ชานยอลไง ชานยอลนี่แบคฮยอนน้องชาย”
เสียงแนะนำตัวแฟนหนุ่มจากพี่สาวดังขึ้นพร้อมกับชายแปลกหน้าที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล ใบหน้าคมกับแววตาสงบนิ่งส่อแววดุดันกระทั่งนายตำรวจหนุ่มระบายยิ้มขึ้นบนใบหน้า เด็กชายตัวเล็กที่ยืนอยู่ตีนบันไดได้แต่ยืนมองตาไม่กระพริบกับความหล่อเหลาของพี่ชายตรงหน้า
“ตัวเล็กจัง”
นั่นเป็นคำพูดแรกที่แบคฮยอนได้ยินจากคนที่ถูกแนะนำตัวว่าเป็นแฟนของพี่สาว น้ำเสียงนุ่มทุ้มกับรอยยิ้มและฝ่ามือที่วางทาบลงบนศีรษะ หัวใจดวงเล็กเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แล่นวาบไปทั่วแผ่นอกรวมถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ จากข้อมือ
แม้จะเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยที่อีกฝ่ายอาจกระทำอย่างไม่ใส่ใจ แต่กลับถูกประทับติดตรึงในความทรงจำของใครบางคนไปแสนนาน...
“แบคฮยอน ตื่นได้แล้ว”
แรงเขย่าเบาๆ ปลุกร่างที่กำลังหลับใหลให้ลืมตาตื่นขึ้นศีรษะทุยส่ายมุดเข้าหาแผ่นอกที่ใช้พักพิงเหมือนลูกนก รู้ว่ามาถึงที่พักแล้วแต่ไม่อยากผละกายลุกออกไปไหน ดวงตาเรียวรีปรือปรอย อยากอยู่ตรงนี้ไปนานๆ จัง...
นานแค่ไหนแล้วนะที่ได้เจอกัน... วันนี้เข้าใกล้กันมากกว่าเดิมหรือยัง...
.
.
.
ในช่วงสายของวันที่สุดท้ายสำหรับการพักผ่อน รถยนต์คันหรูขับเคลื่อนไปตามทางมุ่งหน้าสู่เมืองเล็กๆ ตามแผนเที่ยวก่อนกลับ เสียงพูดคุยดังเบาๆ ในห้องโดยสาร ขณะที่ลูกชายคนเล็กของบ้านได้แต่นั่งเงียบเกาะกระจกมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูวิวข้างทางเปลี่ยนผ่านไปเรื่อยๆ
บนสะพานข้ามทะเลข้างทางมีรถจอดประปรายรวมถังร้านขายอาหารเคลื่อนที ท้องไส้ที่ว่างเปล่าของแบคฮยอนกำลังเรียกร้องขนมปังที่เพิ่งผ่านหน้าเขาเมื่อครู่ ใจนึกอยากจะเปิดกระจกรับลงแต่ก็กลัวโดนว่า
“แม่ ขอแวะลงสะพานได้ไหม” คนตัวเล็กหันไปถามผู้เป็นแม่ ทว่ายังไม่ทันจะมีใครได้ตอบอะไรเสียงหญิงสาวก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน
“จะลงไปทำไม ร้อนก็ร้อน ดูตรงนี้ก็ได้นี่” แพยอนรีบเอ่ยขึ้นแทรกก่อนที่จะมีใครเห็นดีเห็นงามกับน้องชายไปด้วย ความหงุดหงิดที่สะสมจากการมีปากเสียงกับคนรักเมื่อคืนทำหญิงสาวไม่สบอารมณ์นัก เธอเบือนหน้าหนีไปทางกระจกเพื่อหลบเลี่ยงสายตาตำหนิของแฟนหนุ่ม สองแขนกอดอกอย่างถือตัว
“อยากลงไปหรอ เดี๋ยวพี่หาที่จอดให้” เจ้าของรถกล่าวเสียงเรียบฟังดูใจดีอย่างทุกที่ ทว่าเด็กชายตัวเล็กที่นั่งหน้าจ๋อยอยู่ทางเบาะหลังก็ไม่กล้าพูดอะไรเพราะกลัวว่าหากยิ่งพูดขัดใจพี่สาวก็จะทำให้บรรยากาศแย่ลงไปอีก
“เดี๋ยวก็ไปสาย แดดออก” แพยอนชักน้ำเสียงทำสีหน้าเบื่อหน่าย ยิ่งเห็นแฟนหนุ่มพยายามเอาใจน้องชายก็ยิ่งไม่ชอบใจใหญ่
“พี่เค้าไม่อยากลงอะลูก ไว้มาตอนเย็นกับพ่อไหม” คนเป็นแม่หันไปปลอบลูกชายพร้อมกับวางมือลูบศีรษะ แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไร ในเมื่อสุดท้ายแบคฮยอนก็ไม่ได้อยากไปเที่ยวที่ๆ อยากไปอยู่ดี
“แวะหน่อยก็ได้ เดี๋ยวพี่พาลง”
ชานยอลเองเมื่อเห็นแฟนสาวเริ่มทำนิสัยไม่ดีก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ เขาชะลอรถให้ช้าลงเพื่อหาที่จอดโดยไม่สนใจคนรักที่ออกอาการกระฟัดกระเฟียด ชายหนุ่มหมุนพวงมาลัยย้ายรถชิดเข้าไหล่ทางก่อนจะจอดลง
เมื่อเสียงเครื่องยนต์ดับเจ้าของใบหน้าสวยหวานยิ่งงอง้ำ แพยอนเอาแต่นั่งนิ่งไม่ยอมขยับตัว แสดงความไม่พอใจหวังให้แฟนหนุ่มยอมอ่อนตาม
“จะลงไปไหม” เจ้าของเสียงทุ้มหันไปถามแฟนสาว เมื่ออีกฝ่ายนิ่งเฉยเขาจึงพูดต่อ “ถ้าไม่ลงก็รออยู่ในรถนะ”
ชานยอลกล่าวแค่นั้นก็เปิดประตูรถลงไปทันที ปล่อยให้คนรักนั่งอยู่คนเดียวในรถเป็นการดัดนิสัย
ลมบนสะพานสูงพัดแรงเสียยิ่งกว่าด้านล่างแถมท้องฟ้าก็ยังมีเปิดโล่งให้แดดส่งอลงมาให้ความอบอุ่น แบคฮยอนแทบเก็บอาการดีใจเอาไว้ไม่อยู่ แม้จะแอบกังวลว่าจะทำให้พี่สาวโกรธจนบรรยากาศการท่องเที่ยวเสียไป แต่พอเห็นแม่ลงมาด้วยแบบนี้ก็สบายใจ
“จะกินอะไร พี่เลี้ยง”
นายตำรวจหนุ่มเดินไปกอดคนอายุน้อยกว่าจนร่างเล็กเดินเซ สี่เท้ามุ่งตรงไปยังรถขายไส้กรอกชุบแป้งทอดและเครื่องดื่ม ลมเย็นๆ บนสะพานทำให้แบคฮยอนรู้สึกปลอดโปร่งมากกว่าการนั่งรถนานๆ ไปเที่ยวที่อื่นซะอีก มันคงดีถ้าได้มาที่นี่กับพี่ชานยอลสองคน
พอเผลอใจก็แอบคิดอะไรแบบนี้อีกแล้ว คนตัวเล็กทุบหัวตัวเองให้เลิกคิดไร้สาระก่อนจะหันไปสนใจเมนูน้ำดื่มต่อ
"เอาโอวัลตินแก้วนึงฮะ"
"เอาอเมริกาโน่แก้วนึง"
"ทำไมพี่กินแต่กาแฟ" คนขี้สงสัยหันเงยหน้าขึ้นถามพี่ชายตัวสูงที่ไปไหนก็สั่งแต่กาแฟตลอด ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะถูกกำปั้นทุบเข้าที่หัว
"ทีเรายังกินแต่ของหวานๆ เลย"
"แล้วพี่ไม่ชอบกินของหวานๆ หรอ" เอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมามีเพียงแค่สายตาที่จ้องมองภายใต้เงาปลีกหมวกจนทำให้หัวใจเริ่มเต้นผิดจังหวะ
"ชอบ..."
เสียงทุ้มกล่าวตอบราบเรียบ แต่แววตาที่แสดงออกกลับทำให้เด็กหนุ่มตกประหม่าจนต้องหลบสายตาด้วยความสับสน ชานยอลได้แต่ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมจับศีรษะทุยโยกไปมาด้วยความเอ็นดู
ตอนนี้หัวใจแบคฮยอนวิ่งเตลิดลงทะเลไปหมดแล้ว กระทั่งเสียงของพ่อค้าเรียกสติเขาให้กลับมาที่ร่าง ทั้งสายตาและคำพูดนั้นยั่งฉายซ้ำวนในหัวไม่หยุดจนลืมไปเลยว่าจะพูดอะไรต่อ
"เอาลาเต้ด้วยอีกแก้วนึงครับ ไม่ต้องหวานมาก"
เครื่องดื่มถูกสั่งเป็นแก้วที่สาม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าลาเต้นหวานน้อยเป็นของใคร คนตัวเล็กนึกขำตัวเองที่เผลอคิดอะไรเหลิงไปไกลก่อนจะถูกเตือนสติว่ายังมีใครอีกคนอยู่ที่นี่ แบคฮยอนถือจานกระดาษไปยืนกินคอร์นด็อกรับลมที่ริมสะพานระหว่างรอเครื่องดื่ม
เพียงไม่นานกาแฟดำรสขมกับลาเต้หวานน้อยก็เสร็จ นัยน์ตาเรียวรีจับจ้องไปยังแผ่นหลังของพี่เขยที่เดินตรงไปยังรถซึ่่งจอดอยู่ไม่ไกล ชายหนุ่มเปิดประตูออกยืนพูดคุยกับแฟนสาวพร้อมส่งแก้วเครื่องดื่มให้ แม้ว่าจะไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกันแต่แบคฮยอนก็เดาได้ไม่ยาก
ใบหน้าของนายตำรวจหนุ่มขมวดมุ่น นัยน์ตาส่อแววดุดันต่อท่าทีเอาแต่ใจของคนรัก แต่เพียงไม่นานสีหน้าของเขาก็อ่อนลง มือหนาเอื้อมเข้าไปจับสัมผัสใบหน้าหญิงสาว สุดท้ายชานยอลก็ต้องยอมโอนอ่อนต่อคนที่รัก เขาเป็นอย่างนั้นเสมอไม่ว่าแพยอนจะทำตัวไม่น่ารักแค่ไหน
แบคฮยอนได้แต่ยืนมองภาพนั้นพร้อมความรู้สึกตัดพ้อเล็กๆ ในใจ ถึงจะไม่อยากคิดอะไรมากแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าลึกๆ ก็ยังมีความอิจฉา แต่ได้แค่พยายามทำใจให้ชินที่สุด แม้จะแอบมีความคิดเล็กๆ ว่าอยากให้พวกเขาเลิกกัน แต่มันคงเห็นแก่ตัวไปหน่อยเมื่อตัวเองเป็นฝ่ายที่มาที่หลัง
ถ้าแต่งงานไปแล้วทุกอย่างจะยังเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่านะ...
หวังเพียงเท่านี้ล่ะ ขอให้ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิม สำหรับแบคฮยอนแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว...
ทริปฉลองวันสอบที่แสนอึมครึมจบลงอย่างรวดเร็วด้วยระยะเวลาแสนสั้นเพราะแต่ผู้เป็นพ่อยังมีงานอีกมากให้ต้องกลับไปสะสาง ขณะที่รถยนต์คันสีดำขับเคลื่อนไปอย่างช้าๆ เด็กชายร่างเล็กก็ได้แต่นั่งเอาคางเกยกระจกมองออกไปยังวิวทะเลด้วยสายตาระห้อย
สายลมพัดปอยผมปลิวสไว อยากจะเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้เป็นความทรงจำแสนสุขเล็กๆ ในใจ พับไว้ในช่องแคบเล็กๆ หลังจากนี้ก็คงไม่มีโอกาสได้มาเที่ยวแบบนี้บ่อยๆ แล้วแต่ก็คงไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่ทำให้แบคฮยอนมีความสุขอาจไม่ใช่ทะเลหรือการได้มาเที่ยว
เก็บเขาเอาไว้เป็นความลับในใจ เป็นความสุขเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ หล่อเลี้ยงหัวใจที่แสนเหนื่อยล้า สำหรับแบคฮยอนแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว...
.
.
.
ประตัวรั้วถูกปิดลงเมื่อรถคันใหญ่เข้ามาจอดในรั้วบ้านเป็นอันจบสิ้นทริปท่องเที่ยวที่แสนกระฉับ กระเป๋าเดินทางและของฝากถูกย้ายลง ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสี่โมงกว่าๆ แล้ว ชานยอลต้องรีบกลับเข้าสน.ด้สยเรื่องเร่งด่วน หลังจากที่ช่วยย้ายสำภาระแล้วล่ำลาพ่อแม่คนรักเสร็จก็รีบกลับไปขึ้นรถทันที
“พี่ไปแล้วนะ” คนตัวสูงกล่าวลากับแฟนสาวและน้องชายที่ยืนห่างอยู่ไม่ไกลผ่านทางกระจกรถ ได้ยินเสียงว่าที่พ่อตาเอ่ยแซวแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปนอกจากรอยยิ้มเล็กๆ
“อย่าทำงานจนลืมงานหมั้นซะล่ะ”
“ขับรถดีๆ นะคะ” หญิงสาวยื่นหน้าเข้าไปจูบล่ำลากับคนรักพร้อมกับโบกมือบ๊าบบ่ายก่อนที่ประตูกระจกรถจะปิดลงท่ามกลางสายตาของเด็กหนุ่มที่ยืนมองอยู่ด้านหลัง แบคฮยอนก็โบกมือบ๊ายบ่ายๆ เหมือนกันแต่ก็ไม่ทันเมื่อกระจกรถปิดไปซะก่อน
รถยนต์คันหรูขับเคลื่อนออกจากหน้าบริเวณบ้าน เป็นอันจบสิ้นช่วงเวลาที่แสนสุขสม เด็กชายตัวเล็กถอนหายใจก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าหงอยเหงาอย่างเคย หลังจากนี้ก็คงทำได้แต่นับวันเฝ้ารอให้อีกฝ่ายมาที่บ้านเหมือนเคย...
ทรมานจังที่ทำได้แค่คิดถึงแบบนี้แต่ก็ไม่มีทางไหนที่จะได้ติดต่อกันเลย
“ผู้กองครับ คดีนี้ยังสืบต่ออีกหรอครับ”
เวลาสี่ทุ่มเศษบนโต๊ะทำงานที่รกไปด้วยกองเอกสาร เสียงจากลูกน้องเรียกนายตำรวจหนุ่มให้ต้องเงยหน้าขึ้นรับแฟ้มคดีเขรอะฝุ่นที่ไปรื้อมาจากห้องเก็บสำนวน เขาเปิดดูมันผ่านๆ ก่อนจะวางไว้ข้างแก้วกาแฟ
“มีหลักฐานใหม่ก็ต้องเปิดคดีสืบต่อ” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ ใบหน้าคมมีแต่ร่องรอยของความเหนื่อยล้าหลังจากที่เอาแต่นั่งอ่านสรุปสำนวนคดีซ้ำไปมาตั้งแต่สิบโมงเช้า
“เกือบจะหมดอายุความไปแล้วนะครับ ”
“อือ...”
“วันก่อนไปเที่ยวมาเป็นไงบ้างครับ”
“ก็ดี” ชานยอลเพียงแค่พยักหน้าตอบรับไปแบบปัดส่ง เขาหยิบเอาแฟ้มใหม่มาเปิดก่อนที่สายตาจะเหลือบขึ้นมองลูกน้องที่ยังคงยืนเกาะโต๊ะอยู่ไม่ยอมไปไหนสักที “หมวดมีอะไรกับผมหรือเปล่า”
“อ๋อ เปล่าครับ ผมเห็นผู้กองดูเหนื่อยๆ เดี๋ยวจะงานหมั้นแล้วด้วย จะเป็นเจ้าบ่าวแล้วก็ต้องพักหน่อยนะครับ”
คำตอบของผู้หมวดอีจุนทำคนตัวสูงต้องส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ดูเหมือนข่าวเรื่องงานหมั้นของเขาจะหลุดออกไปแล้วทั้งที่ไม่เคยบอกใครเลย
“ใครเป็นคนบอก”
“แหม เขารู้กันหมดแล้วครับ ถ้าอยากจัดงานเลี้ยงฉลองเดี๋ยวผมจัดให้นะ” อีจุนหยักยิ้มเจ้าเล่ห์บนมุมปาก นานๆ ทีจะมีงานสำคัญของคนในแผนกสักที หัวหน้าชานยอลก็ชอบเป็นอย่างนี้ซะทุกที เอาแต่เก็บแยกเรื่องส่วนตัวไว้เป็นความลับ งานหมั้นงานแต่งไม่คิดจะชวนลูกน้องเลย “มีเรื่องดีๆ ไม่เคยบอกลูกน้องเลยนะครับ”
“ก็แค่งานหมั้นเอง” ว่าที่เจ้าบ่าวกล่าวพร้อมกับพลิกแฟ้มกระดาษในมือ ชานยอลเองก็ไม่ค่อยสนใจหรอกแค่ไปใส่ชุดแต่งงาน ถ่ายรูป แลกแหวน สิ่งที่สำคัญของเขาก็คือการปิดคดีให้ได้ก่อนงานแต่งต่างหาก
“ว่าแต่เดี๋ยวนี้ผมไม่เห็นผู้กองออกไปสืบคดีไกลๆ เลย ติดบ้านหรอครับ”
“ผมก็ทำอยู่นี่ไง”
“ยังไงก็พักบ้างนะครับ งานมันไม่อยู่กับเราไปทั้งชีวิตหรอก”
“ขอบคุณมากหมวด”
ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณกับลูกน้องก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินหายไปจากโต๊ะทำงาน ชานยอลถอนลมหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับเริ่มเปิดแฟ้มกระดาษ โทรศัพท์เครื่องน้อยที่กำลังสั่นฉุดสายตาเขาให้ต้องหลุบมองแจ้งเตือนข้อความ
ปลายนิ้วแตะลงเปิดอ่านข้อความจากน้องชายของคนรัก นัยน์ตาจ้องมองเนื้อความบนจออยู่นานทว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้ตอบข้อความใดกลับไป...
.
.
.
วันเวลาผ่านไปนับถอยหลังสู่งานมงคลที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ งานหมั้นถูกกำหนดวันและสถานที่เรียบร้อย บริเวญกลางห้องโถงหน้าโซฟาว่าที่เจ้าสาวในชุดสีขาวยาวพริ้วที่ถูกตัดเย็บด้วยผ้าชีฟองจับชายกระโปรงหมุนไปมาต่อหน้าผู้เป็นแม่ตรวจเช็คจุดบกพร่องเป็นครั้งสุดท้าย
“แม่ว่าตรงนี้มันหลวมไปนะ เดี๋ยวให้ช่างเอาเข้าอีกหน่อยก็ได้”
สองเท้าเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มก้าวเดินลงบันไดอย่างเงียบเชียบมายืนอยู่ที่ชั้นล่าง คนตัวเล็กหยุดมองพี่สาวที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดทรงชุดงานหมั้น หญิงสาวในชุดสีขาวประกายมุกหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจกบานใหญ่บนผนัง ชายกระโปรงลูกไม้ลากยาวกับพื้น ส่วนสูงกับใบหน้าได้สัดส่วนยิ่งส่งให้แพยอนดูสง่าไม่ต่างจากเจ้าหญิง
ราวกับมองเห็นภาพในจินตนาการของตัวเองถูกซ้อนทับโดยคนอื่น แบคฮยอนแทบนึกภาพไม่ออกว่าถ้ามีพี่ชายอีกคนมายืนเคียงข้างมันจะเป็นภาพที่สมบูรณ์แบบขนาดไหน
“แบคฮยอนดูสิ สวยไหม”
เสียงเอ่ยทักของผู้เป็นแม่เอ่ยถามหยุดเท้าที่กำลังจะก้าวเดินหนีไว้ หญิงวัยกลางคนกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจขณะที่ลูกชายคนเล็กได้แทบยิ้มไม่ออก ทั้งที่คิดไว้แล้วว่าถึงวันจริงคงไม่เป็นไร ยังไงก็แค่งานหมั้นอยู่แล้วแต่พอเห็นแบบนี้ในก็อดรู้สึกจุกในอกไม่ได้
“อื้อ พี่ใส่อะไรก็สวย” ตอบออกไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก นัยน์ตาสีอ่อนจ้องมองชุดสีขาวระยับไม่วางตา ถึงจะทำใจยอมรับได้ยากแต่แบคฮยอนก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแพยอนเหมาะสมกับคู่หมั้นของเธอจริงๆ
“แล้วแกจะไม่ไปงานหมั้นจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย”
“ก็แค่ถ่ายรูปแต่งงานนี่ เค้าไม่อยากพลาดเอาผลสอบ” อ้างเหตุผลเรื่องรับผลสอบไปทั้งที่ใจรู้ดีว่าเพราะเหตุใดถึงทำให้ไม่อยากไปงานหมั้น ยังไงแบคฮยอนก็ลืมไม่ได้ว่าพี่สาวของเขายังเป็นตัวจริงและก็ไม่อยากตอกย้ำตัวเอง
“นี่ถ้าแพยอนไม่อยู่แกจะคิดถึงพี่ไหมเนี่ย”
“หมายถึงยังไงไม่อยู่?” ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยขมวดมุ่นเล็กน้อย ดวงตาเรียวสบมองผู้เป็นแม่สลับกับพี่สาว
“ก็ถ้าฉันแต่งงานแล้วก็ต้องย้ายออกไปอยู่บ้านพี่ชานยอลสิ ต่อไปนี้แกก็ต้องเป็นคนดูแลบ้านแทน” หญิงสาวตอบ และวินาทีนั้นเองที่จิตใจของเด็กหนุ่มวูบหายไปราวกับลมหายใจถูกริดลง
ในหัวแบคฮยอนว่างเปล่าไปหมด ได้แต่ยืนนิ่งงันและจมลงในห้วงอารมณ์แห่งความสับสนของตัวเอง ทำไมไม่มีใครบอกเรื่องนี้เลย...
“จะย้ายออกไปหลังแต่งเลยหรอ”
“ก็ใช่สิ แกไม่รู้หรือไง?” แพยอนย่นคิ้วทำสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นว่าน้องชายไม่รู้เรื่องการย้ายออกหลังแต่งงาน เด็กหนุ่มได้แต่ส่ายหน้าไปมา พอเริ่มรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไรความรู้สึกสีขาวก็หนักอึ้ง “พี่ชานยอลไม่ได้บอกหรอ เห็นสนิทกัน”
คำว่าสนิทกันหมือนสิ่วตอกซ้ำลงกลางหน้าอก คนตัวเล็กตัดสินใจหันหลังเดินขึ้นบันไดกลับห้องไปโดยที่ไม่ได้ตอบอะไร ไม่สนใจขนมที่ตั้งใจจะลงมาเอา สองเท้าก้าวฉับตรงไปยังห้องนอนทันที
เมื่อประตูถูกปิดลงเด็กหนุ่มก็ได้แต่ยืนนิ่งติดอยู่ในห้วงภวังค์ของความสับสน คนตัวเล็กเดินไปทิ้งตัวนั่งบนที่นอน ย้ำคิดถึงสิ่งที่ได้ยิน ความรู้สึกวูบโหวงตีขึ้นมาในอกและตามมาด้วยคำถามทำไม ทำไม ทำไม...
ทำไมถึงไม่มีคนบอกเรื่องนี้กับเขาเลยแม้แต่คนที่นอนด้วยกัน พอมารู้เองตอนนี้ความรู้สึกมันไม่ต่างจากการถูกคลื่นซัดใส่อย่างแรงก่อนจะพรากทุกอย่างหายไปหมด มีแต่คำถามในหัวกับความสับสน และความรู้สึกหนักอึ้งแต่ไม่รู้จะจับต้นชนปลายจากตรงไหน หมายความว่าไงที่แพยอนจะย้ายออกไปอยู่บ้านพี่เขยหลังแต่งงาน แล้วแบคฮยอนล่ะ...
แล้วเรื่องของเราล่ะ...
เหมือนหัวใจกำลังถูกบีบช้าๆ ด้วยมือที่มองไม่เห็น เด็กหนุ่มล้มกายลงบนเตียงเหมือนคนหมดแรง นัยน์ตาสะท้อนความว่างเปล่า เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจหรือไม่อยากเข้าใจ แบคฮยอนไม่อยากสนใจหรอก ไม่ว่างานหมั้นหรืออะไรแต่ไม่ใช่การจากไปแบบนี้
มือบางเอื้อมไปคว้าโทรศัพท์มือถือมากดเข้ากล่องข้อความของใครบางคน พยายามบอกตัวเองว่าอย่าคิดวิตกไปเองถ้ายังไม่ได้คำตอบของคำถามจากปากเขา ปลายนิ้วเรียวกดพิมพ์ข้อความ นิ้วหัวแม่มือชะงักค้างเมื่อคิดว่าควรจะส่งไปดีไหม สุดท้ายก็ตัดสินใจลบแล้วพิมพ์ข้อความใหม่ก่อนจะกดส่งไป
‘วันนี้มาบ้านไหม’
วันสำคัญเดินทางใกล้เข้ามาถึงแล้ว ลูกสาวคนเดียวของตระกูลเตรียมตัวพร้อมถ่ายรูปเป็นเจ้าสาว คุณนายพยอนจัดกระเป๋าเรียบร้อยเตรียมเดินทางไปเป็นสักขีพยานให้ลูก ขณะที่ทุกคนยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานหมั้น เด็กหนุ่มอีกคนก็จมอยู่กับวังวนความเวิ้งว้างและจิตใจที่ถดถอยลงทุกวัน
จนถึงวันนี้ชานยอลก็ยังไม่มาที่บ้านทั้งที่มีเวลาออกไปกินข้าวกับแฟนสาว ไม่มีข้อความถูกตอบกลับแม้จะมีคนอ่าน แบคฮยอนรู้สึกเหมือนเปลือกความเข้มแข็งของตัวเองกำลังถูกกระเทาะลงเรื่อยๆ และมันเปราะบางลงทุกที ทุกวันที่ผ่านไปท่ามกลางความสับสน กับคำถามที่ไม่มีคำตอบ ได้แต่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางความรู้สึกอ้างว้างที่รอเข้าฉีกทึ้ง
ที่หน้าประตูห้องนอนของผู้เป็นพี่ แบคฮยอนยืนกำมือด้วยกำมือด้วยความกังวลก่อนจะตัดสินใจเคาะเรียกอีกฝ่ายหลังจากลังเลอยู่นาน บานประตูห้องนอนสีขาวถูกเปิดออกพร้อมกับใบของคนตัวเล็กที่ชะโงกเข้าไปพูดกับเจ้าของห้อง
“พี่ วันนี้พี่ชานยอลไม่มาหรอ”
เจ้าของร่างระหงส์ที่นอนเหยียดกายอยู่บนที่นอนเพียงแค่เหลือบสายตามามองน้องชายก่อนจะตอบปัดไปอย่างไม่ใส่ใจ
“คงไม่มาหรอก น่าจะมาพรุ่งนี้เช้าแหละ มีอะไร”
“เปล่า”
เมื่อได้ยินคำตอบแบบนั้นคนตัวเล็กก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาก่อนจะปิดประตูลง เด็กหนุ่มเดินลากร่างกายที่อ่อยโรยราของตัวเองกลับไปที่ห้องนอนก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง
มือบางหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความซ้ำด้วยนัยน์ตาเศร้าจ๋อย อยากจะส่งคำถามไปย้ำอีกทีแต่ก็ไม่กล้า ทั้งที่พรุ่งนี้จะเป็นวันหมั้นแล้วแท้ๆ พี่ชานยอลก็ยังไม่มาที่บ้าน นี่ก็เกือบอาทิตย์แล้วที่พวกเขาไม่ได้คุยกัน ไม่ได้เจอตั้งแต่วันที่ส่งข้อความไปและไม่มีข้อความใดถูกส่งมาอีกจนหัวใจคนรอเหือดแห้ง
แพยอนคงไม่รู้สึกอะไรในเมื่อได้พูดคุยกับคนรักอยู่ตลอด ออกไปกินข้าวด้วยกัน และพรุ่งนี้ก็กำลังจะเข้าพิธีหมั้นด้วยกัน แต่สำหรับคนที่ทำได้แค่รออยู่ตรงนี้มันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนยาวนาน กับความรู้สึกที่เริ่มแตกร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจที่ไม่มั่นคงและเหือดแห้ง
ความรู้สึกเดิมๆ ย้อนกลับมาอีกแล้ว... ความรู้สึกที่เหมือนกำลังถูกแยกห่างออกไปเรื่อยๆ และแบคฮยอนก็เพียงแค่ต้องการให้พี่ชานยอลกลับมาทำให้เขารู้สึกมั่นใจอีกครั้ง เพียงแค่ได้พบหน้ากัน ไม่ว่าจะบอกอะไรก็พร้อมเชื่อทั้งนั้น แต่ยิ่งนานนับวันเหมือนทุกอย่างมันยิ่งสวนไปในทางตรงกันข้ามราวกับความจริงเริ่มกระจ่าง
ทั้งๆ ที่นี่เป็นสิ่งเดียวที่อยากจะขอเท่านั้น ไม่ต้องติดต่อกัน ไม่เรียกร้องอะไร ขอแค่ได้อยู่ใกล้ๆ ให้มีฝ่ามือนี้ปลอบใจยามรู้สึกท้อแท้เท่านั้น ทั้งๆ ที่นี่เป็นสิ่งเดียวที่อยากจะขอเท่านั้น
ตลอดเวลาเอาแต่คิดว่าแค่ได้อยู่ข้างผู้ชายคนนี้ก็พอไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวอะไร มีแต่ความปรารถนาที่จะยืดความรักนี้ต่อไปเรื่อยๆ เชื่อมั่นในความรู้สึกมากโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังนับถอยหลังสู่วันจากลา...
ร่างไร้เรี่ยวแรงเอนล้มลงบนที่นอน ขณะที่ทุกอย่างรอบตัวดำเนินผ่านไปทุกวินาที คนตัวเล็กยังคงติดอยู่ในภวังค์เอาแต่เฝ้ารอแม้ความหนาเหน็บจะเริ่มกัดกินเขาจนเจ็บร้าวไปทั้งใจ
ความรู้สึกทรมานนี้มันคืออะไรกัน...
ค่ำคืนที่หนาวเย็นผ่านไปอย่างทุกข์ทรมานทั้งพี่สาวและน้องชายต่างนอนไม่หลับอีกคนตื่นเต้นที่จะได้เป็นเจ้าสาวขณะที่อีกคนทุกข์ทรมานอยู่ในห้องนอนด้วยความหว้าเหว่ แบคฮยอนแทบนอนไม่หลับ ใจนับถอยหลังรอแต่จะเจอพี่เขยตอนเช้าอยากได้คำพูดสักคำ หรือคำอธิบายอะไรก็ตามที่พร้อมจะทำให้เขาได้เดินต่อ
เสียงนาฬิกาบนโต๊ะเขียนหนังสือดังติ๊กต่อก ตอนนี้เป็นเวลาตีสี่แล้วเริ่มได้ยินเสียงคนในบ้านลุกออกมาเตรียมตัว หัวใจดวงเล็กสั่นไหวด้วยความกระวนกระวายรอแต่จะได้ยินเสียงรถที่แสนคุ้นเคย...
ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ คนตัวเล็กสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความผวาเมื่อได้ยินเสียงแม่และพี่สาว ท้องฟ้าด้านนอกสว่างมากแล้ว แบคฮยอนรีบลุกขึ้นดูนาฬิกาเพราะกลัวว่าจะคาดกับคนที่รอจะได้เจอมาทั้งสัปดาห์
สองขารีบก้าวลงจากเตียงก่อนจะเปิดประตูก็ไม่ลืมแวะส่องกระจกเพื่อเช็คว่าบนใบหน้าไม่มีคราบน้ำตา แบคฮยอนรีบสาวเท้าออกจากห้องลงบันไดมาอย่างว่องไว และก็ราวกับได้อากาศเฮือกสุดท้ายต่อลมหายใจเมื่อได้เห็นว่าที่พี่เขยยืนอยู่ข้างโซฟา
นายตำรวจหนุ่มเพียงแค่เงยหน้าจากมือถือขึ้นมามองพร้อมกับส่งรอยยิ้มเล็กๆ ให้ แต่ก็ไม่มีคำพูดใด...
แม้ว่าคนที่อยากคุยด้วยมากที่สุดจะอยู่ตรงหน้า และมีคำถามมากมายแต่พอได้เจอหน้าอีกฝ่ายกลับกลายเป็นว่าทุกอย่างกลับจุกอยู่ในคอ มีแต่ความรู้สึกวูบโหวงที่อัดแน่นอยู่เต็มอก
“จะไปกันแล้วหรอ” ได้แต่เอ่ยถามออกไปอย่างไม่เต็มเสียงเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นบทสนทนายังไง หัวใจดวงเล็กเต้นระรัว คิดถึงมาก อยากเข้าไปสัมผัสแต่ก็ไม่สามารถทำได้...
“อือ ตกลงแกไม่ไปจริงๆ หรอ”
เสียงของผู้เป็นแม่กว่าวตอบแทน ทว่าเจ้าของดวงตาเรียวรีกลับเอาแต่จับจ้องไปยังว่าที่พี่เขยที่ยังคงวางท่าทีนิ่งเฉย ไม่แม้แต่จะทักทายกันเหมือนเคยราวกับคนไม่รู้จักกันและนั่นยิ่งตอกย้ำให้หัวใจที่บอบบางสั่นไหว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สนใจสุดท้ายคนตัวเล็กก็ตัดสินใจรวบรวมความกล้าเอ่ยถามออกไป
“ที่บอกว่าแต่งงานแล้วจะย้ายไปอยู่บ้านพี่ชานยอลนี่พูดจริงหรอ” แสร้งทำเป็นพูดผ่านผู้เป็นแม่แต่ก็รู้ว่าอีกคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ต้องได้ยินแน่ ดวงตาเรียวรีจดจ้องคนตัวโตอย่างคาดหวังและมันก็ได้ผล
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างเล็กที่กำลังยืนส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความหมายมาที่เขา นัยน์ตาคมที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนว่างเปล่า คนตัวสูงเพียงแค่ลอบถอนลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเบือนสายตาหลบไป
“เป็นผู้หญิงแต่งงานแล้วก็ต้องย้ายออกไปอยู่กับแฟนสิ แกกลัวไม่ได้เจอพี่หรือไง”
ราวกับหัวใจที่ร้าวเต็มทีถูกทุบทำลายเข้าอย่างจัง ท่าทีห่างเหินยิ่งทำให้แบคฮยอนอยากร้องไห้ ความสับสนพุ่งเข้าทิ่มแทงเขาเหมือนคมมีดที่รอกระหน่ำ ท่าทีเฉยเมยแบบนั้นมันหมายความว่ายังไงกัน
“ชานยอล ไปกันได้แล้วลูก เดี๋ยวพ่อรอ”
ไม่ทันให้ได้รับคำตอบใดเสียงของผู้เป็นแม่ก็ดังขัดขึ้นเรียกชายหนุ่มให้ละความสนใจจากมือถือ
“พี่ไปแล้วนะ”
ชานยอลลุกขึ้นจากโซฟาเดินไปจับศีรษะน้องชายโยกเบาๆ รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้าคมคายทว่ากลับไม่ได้ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจในวันนี้ ก่อนจะเดินผ่านไปพร้อมกับกระเป๋าเของแฟนสาวโดยไม่มีการล่ำลาอะไรมากกว่านั้น
คนตัวเล็กได้แต่ยืนจ้องมองแผ่นหลังกว้างที่เคลื่อนห่างออกไปพร้อมกับหัวใจที่พังลง ไม่มีแม้คำอธิบายอะไรหรือคำปลอบใจ มีเพียงรอยยิ้มที่ไม่เคยเข้าใจในความหมายเลย...
แบคฮยอนตัดสินใจวิ่งกลับขึ้นบันไดไปโดยไม่สนใจฟังแม้แต่เสียงของผู้เป็นแม่ พยุงความรู้สึกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ เอาไว้วิ่งเข้าหลุมหลบภัยเหมือนคนขี้แพ้
ทันทีที่บานประตูห้องนอนสีขาวถูกปิดลงหยดน้ำตาเม็ดเล็กก็ร่วงเผาะ เด็กหนุ่มเดินไปทิ้งตัวนั่งบนเตียงด้วยความรู้สึกเหมือนโลกที่เคยมีพังลงเหลือเพียงความว่างเปล่าสีขาว ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ... ความรู้หนักอึ้งอัดแน่นอยู่เต็มอก ภาพตรงหน้าพร่าเลือนก่อนที่หยาดน้ำตาไหลหยดลงบนขาโดยไร้เสียงสะอื้นใดๆ
ไม่เข้าใจและผิดหวัง... มีแต่ความรู้สึกเสียใจอัดแน่นเต็มอก
รอยยิ้มนั้นมันหมายความว่าอะไรกัน...
ที่ผ่านมาคืออะไร เคยรู้สึกอะไรบ้างหรือเปล่า แม้เพียงสักนิด กับความหวั่นไหวแค่เพียงนิดเดียว...
นาฬิกาหมุนเดินผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า เจ้าของห้องนอนยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงเหมือนหุ่นยนต์ชำรุด เวลาของแบคฮยอนเดินช้าจนแทบจะหยุดลง ขอบตาสีช้ำชุ่มฉ่ำเอาแต่นอนซมน้ำตาจนไข้ขึ้น อาการครั่นเนื้อครั่นตัวแล่นลามไปทั่ว ศีรษะหนักอึ้งไปหมด
หน้าจอโทรศัพท์มือถือแสดงสายเรียกเข้าที่พลาดรับหลายสาย แต่กลับไม่มีเบอร์ของชายหนุ่มที่อยากจะคุยด้วยเลย จิตใจเด็กหนุ่มมีแต่ความสับสนและแตกสลาย คนตัวเล็กเอาแต่นั่งมองปากกาด้ามโปรดพลางนึกทบทวนว่าเรื่องที่ผ่านมามันคืออะไรกันแน่ ที่ทำเหมือนเป็นห่วง การกระทำที่แสนอ่อนโยนและเรื่องพวกนั้น ถ้าหากว่าเป็นแค่ความสัมพันธ์ทางกายทำไมต้องมาทำให้หลงรัก...
ทั้งที่ไม่เจอกันตั้งนาน เมื่อมาเจอกันอีกทีก็มาพร้อมกับการรับรู้ว่าจะไม่ได้เจอกันอีก...
ขาที่ไร้เรี่ยวแรงก้าวลุกจากเตียง ออกจากห้องไปเพื่อหลีกเลี่ยงสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องที่ถูกตอกย้ำลงในความรู้สึก
เสียงรายการทีวีตลกดำเนินไปพร้อมเสียงหัวเราะจากผู้คนในห้องส่ง ท่ามกลางความมืดมีเพียงแสงจากจอโทรทัศน์ที่ส่องสว่าง แบคฮยอนคว้าเอารีโมทมากดเปลี่ยนช่องทีวีด้วยสีหน้าเฉยเมย ก่อนที่สุดท้ายจะต้องปิดไปเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่สามารถรับสารอะไรได้อีกต่อไป
นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาสี่ทุ่มกว่า คนตัวเล็กหยิบใช้ผ้าห่มคลุมกายเดินขึ้นชั้นสองไปด้วยสภาพอิดโรย ความเงียบเหงาภายในบ้านทำให้ความคิดยิ่งดังยิ่งกว่าสิ่งใด
ประตูห้องนอนสีขาวถูกปิดลงเบาๆ เด็กหนุ่มผู้ไร้เรี่ยวแรงเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียง สายตามีแต่ร่องรอยของความบอบช้ำ พอความเงียบเกิดขึ้นรอบตัวเรื่องราวต่างๆ ก็พากันย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกจนได้
คิดถึงจัง... คิดถึงมากกว่าทุกครั้ง อยากกอดมากกว่าทุกที โหยหาอยากเจอหน้าแม้จะรู้ว่ายิ่งต้องเจ็บ
มือบางเอื้อมไปคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดอ่านข้อความที่ถูกส่งค้างไว้ตั้งแต่บ่าย หัวใจยิ่งถูกขยี้ซ้ำลงที่รอยช้ำ ในกลุ่มสนทนาครอบครัวมีแต่รูปถ่ายงานหมั้นริมทะเลถูกส่งมาเต็มไปหมดแต่กลับไม่มีข้อความจากพี่เขยตอบกลับมาในแชทส่วนตัว
หยดน้ำตาเริ่มไหลดิ่งลงบนปลอกหมอนอีกครั้งทับรอยเก่า ความเงียบเหงาบีบแบคฮยอนให้ตัวเล็กลงเรื่อยๆ และต้องพ่ายแพ้ต่อความอ่อนแอ สุดท้ายก็ปล่อยมือถือทิ้งไปโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับ สองแขนกอดกระชับร่างตัวเองแน่นเพื่อบรรเทาความรู้สึกอ้างว้าง
สองแขนหยัดร่างกายที่แสนโรยราลุกจากเตียง เดินออกจากห้องนอนไปพร้อมกับหยดน้ำตาที่เปื้อนอาบใบหน้า ปล่อยให้เสียงแจ้งเตือนข้อความในมือถือยังดังไม่หยุด ไม่นานคนตัวเล็กก็กลับมาพร้อมเสื้อแจ๊คเก็ตสีดำตัวใหญ่ของพี่ชายคนโปรด
เด็กหนุ่มล้มร่างบนเตียงใช้แจ็คเก็ตห่มคลุมกายสะอื้นไห้จนตัวโยน กลิ่นหอมประจำกายลอยอวลอยู่รอบกาย เสียงสะอื้นดังไปทั่วห้อง คิดถึงจนทรมานเหมือนใจจะขาด ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นขอเพียงแค่ได้เจอหน้า ได้อยู่ด้วยกันเหมือนเคย ถึงจะรู้ตัวดีว่าเป็นได้แค่กาฝากที่พยายามจะเกาะขอส่วนแบ่งความรักจากคนรักของคนอื่น
มือบางจิกกำผ้าปูที่นอนแน่น ใบหน้าหวานซุกลงกับปกเสื้อที่ยังหลงเหลือกลิ่นน้ำหอมอยู่จางๆ ไม่ต่างจากความหวังอันแสนเลือนลาง สุดท้ายก็ได้แต่เก็บความรู้สึกเอาไว้คนเดียวเหมือนเคย
“ฮึก... ฮึก...”
ความรู้สึกทรมานนี้ ใครช่วยเอาออกไปให้พ้นที...
มือบางไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าใช้งานเบราว์เซอร์อินเตอร์เน็ต ม่านน้ำตาเบลอภาพตรงหน้าจนแทบมองไม่เห็น พิมพ์คำค้นลงไปไม่นานรายชื่อเว็บบอร์ดนิรนามก็ขึ้นมาเรียงรายปลายนิ้วเรียวแตะเลือกลงบนตัวเลือกบนสุด รายชื่อเพื่อนที่ไม่ประสงค์ออกนามมากมายขึ้นแสดงเต็มหน้าเว็บ
ความอ้างว้างผลักดันหัวใจให้ขับเคลื่อนอย่างไร้ทิศทาง คนตัวเล็กสูดน้ำมูกปาดเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ก่อนที่จะกดลงตรงปุ่มสร้างบัญชีผู้ใช้ ร่างอวตารใหม่ของเด็กหนุ่มก็ถูกสร้างขึ้น เพียงไม่นานก็มีข้อความหลายฉบับส่งมาอย่างรวดเร็ว
‘ม.ปลายหาพี่ชายกอดคืนนี้’
งานหมั้นเล็กๆ ริมทะเลผ่านไปอย่างราบรื่น
แม้จะเป็นแค่งานเล็กๆ
แต่ก็สร้างความสุขให้คนในครอบครัวได้มากเมื่อลูกสาวสุดที่รักคนเดียวของอดีตที่ปรึกษานักการเมืองได้เป็นฝั่งเป็นฝากับนายตำรวจดีกรีแรง
เรียกได้ว่าไม่มีอะไรเหมาะสมไปมากกว่านี้
“แม่อยากกลับไปอัดรูปเร็วๆ
แล้วเนี่ย” หญิงวัยกลางคนยิ้มระรื่น
ขณะเลื่อนภาพถ่ายในมือถือด้วยความภาคภูมิใจ
นายตำรวจหนุ่มไม่ได้ตอบโต้อะไรเพียงแค่ยกกระเป๋าเดินทางใส่รถไปเงียบๆ
กระทั่งกล่องใบสุดท้ายถูกขนย้ายจนเสร็จ
ชุดสูทและชุดเจ้าสาวที่ซื้อมาสำหรับถ่ายรูปเป็นพรีเวดดิ้งถูกแขวนไว้ข้างกัน
ชายหนุ่มปิดกระโปรงรถด้านหลังก่อนจะย้ายไปขึ้นรถทางฝั่งที่นั่งคนขับ
“แม่ เสร็จแล้ว ไป ขึ้นรถ” ว่าที่เจ้าสาวหันไปเรียกผู้เป็นแม่ให้มาขึ้นรถเมื่อได้ยินเสียงปิดประตูก่อนจะย้ายตัวขึ้นไปนั่งที่ประจำข้างคนขับ
“เดี๋ยวไปแวะกินข้าวก่อนนะ”
ชายหนุ่มกล่าวเสียงราบเรียบพร้อมกับปรับประจกมองหลัง
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผู้โดยสารครบชานยอลก็สตาร์ทรถเครื่องทันที
รถยนต์คันสีดำเคลื่อนไปท่ามกลางเสียงพูดคุยของสองแม่ลูก
ขณะที่หญิงสาวบนที่นั่งฝั่งผู้โดยสารยังเอาแต่กดโทรศัพท์ซ้ำๆ
ใบหน้าหวานขมวดมุ่นก่อนที่เธอจะถอนลมหายใจออกมา
“แบคฮยอนเป็นอะไรเนี่ย
โทรไปไม่รับสักสายเลย” แพยอนบ่นอุบ
กดปิดมือถือลงแล้ววางมันไว้หน้ารถพลางถอนลมหายใจด้วยอารมณ์ขุ่นมัวจนแฟนหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้างชำเลืองสายตามอง
“ยังไม่ตื่นหรือเปล่า”
“เมื่อวานโทรไปก็ไม่รับ
เข้ามาอ่านแต่ข้อความ คงอ่านหนังสือแหละมั้ง” เธอกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
แม้ว่าเจ้าน้องชายจะไม่ยอมรับโทรศัพท์แต่อย่างน้อยการที่แบคฮยอนเข้ามาตอบข้อความก็อาจช่วยยืนยันว่าเขายังอยู่ดี
“อือ” คนตัวสูงพียงครางตอบรับในลำคอ
ใบหน้าคมเรียบเฉยไม่แสดงอาการใดๆ
ชานยอลจมอยู่ในความคิดตัวเองขณะที่ครอบครัวของแฟนสาวยังคุยกันอย่างสนุกสนานเรื่องงานหมั้นที่ผ่านมา
นัยน์ตาสีดำสนิทสงบนิ่งเหมือนผิวน้ำทะเลที่ซ่อนความเชี่ยวกรากเอาไว้
ภายใต้สีหน้านิ่งเฉยของนายตำรวจหนุ่มปกปิดความรู้สึกมากมายทั้งความเป็นห่วง
ความเป็นกังวล
แต่ก็ได้แค่เก็บอาการแล้วอยู่กับสิ่งที่ตัวเองเลือกต่อไปอย่างไม่คิดตัดพ้อ...
.
.
.
เวลาเที่ยงเศษๆ
เด็กมัธยมตัวเล็กในชุดลำลองนั่งอยู่ในมุมอับของร้านกาแฟอันเป็นจุดนัดหมาย
ในใจเขามีแต่ความสับสนลังเล สายตาจ้องมองโกโก้ร้อนในแก้วอย่างเหม่อลอย
ความวุ่นวายใจทำให้แบคฮยอนลืมที่จะนึกถึงเรื่องอื่นไปได้ชั่วครู่
“โทษนะครับ แบคฮยอน?”
เสียงนุ่มทุ้มที่ดังอยู่ตรงหน้าพร้อมกับเงาพาดคนรูปร่างสูงใหญ่เรียกสายตาคนตัวเล็กให้เงยขึ้นมองชายตรงหน้า
รอยยิ้มกับดวงตาเรียวตีบทำให้เขาดูใจดีกว่าที่คิดเอาไว้ซะอีก
“ฮะ พี่จองมุน...?”
“ครับ เป็นไง มาถึงนานหรือยัง”
บทสนทนาเล็กๆ เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติแม้ในใจเด็กหนุ่มจะเต็มไปด้วยความประหม่า
มือบางเผลอกำแก้วโกโก้ด้วยความลืมตัว สายตาจดจ้องพี่ชายตรงหน้าอย่างพิจรณา
จองมุนเป็นนักศึกษาปี 4 ถึงจะไม่โตกว่ามากแต่ก็มีภาพลักษณ์ที่ดูเป็นพี่ชาย
รูปร่างสูงโปร่ง ต่างจากใครบางคนแต่ก็ถือว่าใช้ได้
“เพิ่งมาครั้งแรกหรอ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ
ดูจากท่าทีขัดเขินกับการหลบสายตาของคนตรงหน้าแล้วก็เดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นครั้งแรกของหนุ่มน้อยมัธยม
นัยน์ตาสีน้ำตาลสดใสเหมือนลูกกวาง ริมฝีปากเล็ก
หน้าตาจิ้มลิ้มกว่าที่คิด แบคฮยอนดูเหมือนเด็กมัธยมแก่เรียนทั่วๆ
ไปมากกว่าคนที่จะมาทำอะไรแบบนี้ซะอีก
“ฮะ”
“งั้นก็ไม่ต้องกลัวนะ”
นักศึกษาหนุ่มกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ
ตรงมุมปาก
แม้ว่าจะดูใจดีแต่ในความรู้สึกของเด็กชายกลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นแบบที่ต้องการเลย
แบคฮยอนเพียงแค่ส่งยิ้มจางๆ กลับคืนให้
ก่อนจะตัดสินใจลุกจากเก้าอี้เพื่อไปยังจุดหมายต่อไป...
ภายในห้องโรมแรมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่
เด็กชายตัวเล็กนั่งอยู่บนเตียงนอนสีขาวด้วยความรู้สึกว่างเปล่าเหมือนเคย
เขาไม่เปิดเสียงโทรศัพท์ตั้งแต่ออกจากบ้านมา พยายามหลีกหนีทุกอย่างที่ทำให้เป็นบ้า
ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาจบลงบนเตียงนอนในโรงแรมกับชายแปลกหน้าที่นัดเจอในเว็บบอร์ดได้
เสียงปิดฝักบัวและเสียงเปิดประตูเรียกแบคฮยอนให้ต้องหันไปมองพี่ชายที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ
จองมุนเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนู
เขาตรงมายืนอยู่หน้าคนตัวเล็กพร้อมเชยคางอีกฝ่ายให้เงยขึ้นสบตา
“จูบได้ไหม”
ไม่มีคำตอบใด คนตัวเล็กเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ ก่อนที่ชายหนุ่มตรงหน้าจะโน้มตัวลงกดจูบลงกับริมฝีปากเรียวเล็กและเคล้าคลึงเบาๆ
เพื่อสร้างความคุ้นชิน มันเหมือนกับสัมผัสของผิวเนื้อที่บางเบา
“ตัวหอมจัง”
ฝ่ามือของชายแปลกหน้าสอดเข้าไปถลกเสื้อยืดสีขาว
แบคฮยอนเองก็ยอมชูแขนให้อีกฝ่ายถอดเสื้อแต่โดยดีก่อนที่เขาจะคลานขยับขึ้นมาบนเตียง
ร่างเล็กๆ
กระเถิบถอยหลังไปจนเกือบชิดหมอนขณะที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายเริ่มลูบไล้ไปทั่วผิวกาย
“ลูบหัวหน่อยได้ไหม” เอ่ยออกไปพร้อมกับเชยนัยน์ตาใสซื่อขึ้นมองพี่ชายตรงหน้า
ชายหนุ่มที่ได้ยินอย่างนั้นก็เพียงแค่ระบายยิ้มออกมาก่อนจะวางมือลงบนศีรษะเด็กชายตัวเล็ก
“ได้ อยากให้ทำอะไรอีกไหม”
“ช่วยทำรอยให้หน่อย” กล่าวคำขอออกไปด้วยหัวใจที่เจ็บช้ำ
แม้ว่าจะกำลังถูกลูบหัวอยู่แต่ในความรู้สึกของเขากลับแย้งปฏิเสธ
ร่างเล็กๆ ถูกผลักลงนอนบนเตียง
จองมุนขยับขึ้นคร่อมร่างคู่นัดของเขากดท่อนแขนผอมบางลงกับเตียงพร้อมกับโน้มกายลงบดขยี้ริมฝีปากเรียวเล็ก
เสียงจูบดังรอดออกมาเบาๆ
สัมผัสอุ่นร้อนบนริมฝีปากสร้างเพียงความรู้สึกประหลาดเล็กๆ ให้กับเด็กหนุ่ม
แบคฮยอนได้แต่นอนนิ่งเฉย สายตาจ้องมองเพดานปล่อยให้ชายแปลกหน้าสัมผัสเรือนร่างได้ตามใจหวังให้ช่วยลบความรู้สึกเก่าๆ
ออกไปจนสิ้น
ดวงตาเรียวรีหลับลงปล่อยร่างกายให้ผ่อนคลายกับความเพลิดเพลินขณะที่ชายหนุ่มถดกายลงต่ำ
ทันทีที่ริมฝีปากร้อนผ่าวแตะลงบนต้นคอ ร่างเล็กๆ ก็สะดุ้งเฮือกด้วยความผวา ความรู้สึกที่พยายามกดซ่อนเอาไว้โหมขึ้นเป็นพายุ
ทุกภาพเหตุการณ์ ทุกสัมผัส แม้แต่ใบหน้าที่อยากจะลืม
ความร้อนของฝ่ามือหยาบกร้านที่ลูบไล้ไปตามเนื้อตัว
ความอบอุ่นจากอ้อมกอด หรือแม้แต่กลิ่นหอมประจำกาย...
นอกจากสัมผัสวาบหวิวบนร่างกายแล้ว
แบคฮยอนก็ไม่รู้สึกถึงความสุขทางจิตใจที่ได้เติมเต็มเลย
หยดน้ำตาเม็ดเล็กร่วงดิ่งบนหมอนอย่างไม่รู้ตัว
แรงดูดเบาๆ บนต้นคอยิ่งตอกย้ำให้ภาพต่างๆ
หมุนเข้ามาในหัวไม่หยุดราวกลับแผ่นเทปตกร่อง
กว่าจะรู้ตัวก็เผลอส่งเสียงสะอื้นออกมาเบาๆ แล้ว
“อึก...”
เสียงสะอื้นหยุดชายหนุ่มที่กำลังปรนเปรอร่างกายคู่นอนให้ต้องเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ
พอเห็นเด็กชายกำลังร้องไห้จองมุนก็ทำอะไรไม่ถูก เขาหยุดกิจกรรมทุกอย่างเอาไว้
ได้แต่นั่งมองคนตรงหน้าสะอึกสะอื้นยกมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างน่าสงสาร
“ฮึก... ฮึก...”
แม้ไม่ต้องมีคำพูดใด
คนอายุมากกว่าก็พอจะเดาได้ว่าอะไรเป็นอะไร
ชายหนุ่มเพียงแค่เอื้อมมือไปดึงคนตัวเล็กที่กำลังร้องไห้อยู่ให้ลุกขึ้นนั่งก่อนจะคว้าร่างเข้ามากอดไว้
“ไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร” มือหนาลูบเบาๆ ลงบนแผ่นหลังหวังปลอบโยนให้ตรงหน้าสงบลง
คนที่นัดคนอื่นออกมามีอะไรด้วยเพื่อจะลืมเรื่องเก่าๆ หรือความเสียใจจากความรักก็มีอยู่บ่อยๆ
ดูจากสิ่งที่ขอให้ทำก็คงคิดได้ไม่ไกลกว่าเรื่องคนเก่า
“ฮึก...”
เสียงร้องไห้ดังเบาๆ
ไปทั่วห้องแบคฮยอนซบหน้าลงกับไหล่เปลือยเปล่าของชายแปลกหน้า
ปล่อยน้ำตาออกมาด้วยความอ่อนแอ
ไม่ว่าอะไรก็ลบสัมผัสของผู้ชายคนนั้นไม่ได้เมื่อทุกอย่างมันถูกฝังลงในจิตใจหาใช่เพียงร่างกาย
อยากจะลืมหรือหาสิ่งอื่นมาทดแทนก็ไม่ได้ ทั้งความอบอุ่น สายตา
หรือแม้แต่สัมผัสร้อนรุ่มของเขา
ทุกอย่างที่มีเพียงเฉพาะผู้ชายที่เป็นคนรักของพี่สาว
#ficbtl
ความคิดเห็น