ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ฟิคเสื่อม] กวาง The series - Chanbaek

    ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 8 : Untouchable man

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ย. 64








    แกร๊ก


    หลังจากผ่านวันที่แสนสุขเหมือนฝันไป ก็ถึงเวลาที่แบคฮยอนต้องกลับมาใช้ชีวิตในโลกแห่งความจริง


    ทันทีที่บานประตูห้องปิดลง ความรู้สึกเดิมๆ เริ่มกลับมาอีกครั้ง แบคฮยอนยิ้มรับให้กับโลกใบเดิมของเขาก่อนจะเดินนำเอากระเป๋าเป้ไปวางไว้ข้างตู้เสื้อผ้า แล้ววิ่งไปกระโดดทับเพื่อนซี้ที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงทันที


    “อีอี้!!!


    “โอ้ย!!” ความรู้สึกจุกที่อัดกระแทกเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัวทำจางอี้ชิงแหกปากร้องลั่น เขาฟาดมือใส่แขนเพื่อนตัวเล็กรัวๆ ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นนั่งใช้เอาหมอนฟาดซ้ำ มือบางยกขึ้นอก การปรากฏตัวแบบไม่บอกไม่กล่าวของแบคฮยอนทำอี้ชิงตกใจแทบบ้า นี่ถ้าเกิดว่ามือไวกว่านี้แบคฮยอนอาจจะถูกขวดเบียร์ตีหัวแตกไปแล้ว


    “โอ้ย! มึงจะตีกูทำไม!” คนตัวเล็กมุ่ยหน้าว่าเสียงอ่อย แบคฮยอนยกมือคลำแขนที่ขึ้นรอยแดงป้อยๆ เขาจิกหน้าบึ้งใส่เพื่อนรักอย่างแสนงอน ก่อนจะหยิบเอาหมอนมากอดไว้ทันที


    “กูจะรู้ไหมว่าเป็นมึง? ทำไมมาแล้วไม่เคาะห้องก่อน?”


    “ก็ไม่รู้ว่าจะหลับอยู่อะ”


    “มึงนี่มัน...ดีกูไม่เอาขวดเบียร์ฟาด อีบ้า จะมาก็ไม่โทรมาบอกก่อน” อี้ชิงบ่นด้วยท่าทางหัวเสีย เขาล่ะอยากจะอัดแบคฮยอนให้น่วมไปทั้งตัวเลยจริงๆ เมื่อคืนเขาก็หายไปแบบไม่บอกกล่าวกว่าจะติดต่อมาก็มืดค่ำ แล้วตอนนี้ยังจะโผล่มาแบบกระทันหันอีก


    “กูหลับอะ ว่าจะโทรบอกตอนใกล้ถึงแต่ก็ถึงก่อน” แบคฮยอนว่าพลางนิ่วหน้าเรียกร้องความเมตตาจากเพื่อนรัก


    “แล้วใครมาส่ง? ผัวโจร?”


    “เปล่า นั่งรถไฟฟ้าแล้วต่อแท็กซี่มา”


    “เอ้า แล้วไหนไปอยู่กับมันมาทั้งคืน ก็นึกว่ามันจะมาส่ง ไหนเป็นยังไงบ้างอัพเดทหน่อย” อี้ชิงทิ้งตัวนอนลงกับเตียงอีกครั้ง เขาดึงแบคฮยอนให้พลิกตัวหันหน้าเข้ามาหากันก่อนจะถลกผ้าห่มขึ้นคลุมร่าง


    “ก็ไม่มีอะไรมาก ไปเที่ยวกันแล้วก็ไปนอนค้างห้องมัน ก็แค่นั้นอะ ก็สนุกดีแหละ” กวางนักพจญภัยยักไหล่ แบคฮยอนไม่ได้จะกั๊กข้อมูลอี้ชิงแต่ไม่รู้จะเล่าอะไรจริงๆ มันก็เหมือนการไปเดททั่วๆ ไป แต่แค่ต่างกันตรงที่พวกเขาไม่ได้กำลังเดท


    “ไปเที่ยวเฉยๆ? แล้วเมื่อคืนที่หายไปนี่ไม่ได้ไปเอากัน?”


    “เปล่า ไปนอนเฉยๆ ไม่ใช่ไรหรอกกูหลับ แล้วกูลืมบอกทางมันมันก็เลยพาไปห้อง แต่ก็ไม่ได้ทำไรนะ ก็ไปอาบน้ำแล้วก็นอน”


    “พูดจริงดิ? มึงกล้าสาบาน?” จางอี้ชิงเลิกคิ้วทวนถามอย่างไม่ค่อยเชื่อหูตัวเอง นี่เขาไม่ได้หูฝาดใช่ไหม แบคฮยอนเนี่ยหรอพลาดกินแท่งทองทั้งๆ ที่ไปถึงหอผู้แล้ว


    “จริงจริ๊ง~ ก็ไปนอนเฉยๆ ตื่นมากินข้าวแล้วมันก็มาส่งขึ้นรถไฟฟ้า ตอนแรกก็ว่าจะมาส่งที่บ้านแหละ แต่มันมีธุระต่อกูก็เลยบอกว่าไม่ต้องมา แล้วก็นั่งรถมาเอง” คนตัวเล็กว่าแล้วก็พยักหน้าหงึกหงักเป็นการย้ำกับเพื่อนรักที่ว่าสิ่งที่ตัวเองเล่าไปนั้นเป็นความจริง


     “แล้วเป็นไงมั่งวะ ไปอยู่กับมันมาทั้งวัน ได้แสกนมามั่งปะ”


    คำถามที่ถูกเอ่ยออกมาพร้อมกับน้ำเสียงสุดสงสัยใคร่รู้ทำแบคฮยอนถึงกับต้องขมวดคิ้ว เขาสไลด์ตัวลงนอนบนเตียงแล้วเหลือบตาขึ้นมองเพดาน พลางคิดทบทวนว่าสิ่งที่ตัวเองได้รู้มาจากการไปเที่ยวกับชานยอลครั้งนี้มีอะไรบ้าง แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีอะไรเท่าไหร่ แบคฮยอนไม่มีข้อมูลอะไรที่ชัดเจนเลย เขามีแต่ความรู้สึกกับเซนส์ล้วนๆ


    “อือ... ไม่รู้ว่ะ ยังไม่เห็นชัดเท่าไหร่ มันระวังตัวมากเลยอะ ทำตัวความลับเยอะ ถามอะไรก็ไม่ค่อยบอกหรอก” แบคฮยอนว่า เขานิ่วหน้าทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “แต่โดยรวมๆ แล้วก็นิสัยแบบลูกคนรวยแหละ เก่ง ขี้เอาใจ ดูมีพาวเวอร์ มีความมั่นใจไรเงี้ยอะ”


    “นิสัยดีปะวะ”


    “ไม่รู้ว่ะ ก็คิดว่าดีนะ ไม่ได้ดูเป็นคนเลวร้ายอะ ออกแนวขี้เอาใจหน่อยๆ ด้วยแหละ แต่ไม่รู้ว่ามาเอาใจเพราะจะหลอกกูไปแกล้งเปล่านะ มันพากูไปนั่งรถไฟเหาะสองรอบจนกูจะตายอะ ถึงมาทำดีกับกู ก่อนหน้านั้นก็มาทำเป็นยิ้มหวานส่งสายตา ชูนิ้วทำสัญญาว่าถ้ายอมขึ้นไปเล่นด้วยจะพาไปทำทุกอย่าง แล้วก็นั่นแหละ...” แบคฮยอนบ่นอุบ เขาก็ไม่ได้คิดว่าชานยอลเป็นคนเลวร้ายหรอก ถึงจะขี้แกล้งไปบ้าง ที่จริงแล้วแบคฮยอนคิดว่าชานยอลเป็นคนช่างดูแลเอาใจใส่คนนึงเลย


    “หรอ? ดูเป็นคนซึนๆ ปะ?” จางอี้ชิงเบะปากอย่างไม่ค่อยเชื่อหูตัวเอง เขากำลังถามตัวเองว่ามันใช่แน่หรอ? นี่คือชานยอลที่ขโมยโทรศัพท์คนอื่น และทำให้เขาเดือดร้อนซ้ำซากจริงหรอ? ฟังดูไม่เหมือนเป็นเด็กเกเรเลยนะ


    “ไม่นะ แต่ก็ไม่รู้อะ บางทีมันก็ทำเหมือนไม่ได้คิดไร บอกไม่ถูก แบบมาทำดีด้วย มาคอยดูแล เอาใจใส่ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาชัดๆ ว่าชอบอะ ก็อาจจะชอบแหละ แต่ไม่รู้ว่าชอบแบบไหน แค่เหงา อยากหาเพื่อนทำไรสนุกๆ หรือชอบจริงๆ งี้ กูว่ามันก็ดูเป็นเด็กมีปัญหาหน่อยๆ นะ” แบคฮยอนว่าแล้วก็ขมวดคิ้วทำหน้านิ่ว เขาไม่ได้อยากจะนินทาชานยอลหรอก แต่มันอดพูดถึงไม่ได้จริงๆ


    “ยังไง ไหนเล่ามา”


    “อันนี้กูไม่แน่ใจนะ กูอาจจะรู้สึกไปเอง กูว่ามันก็เป็นคนดื้อๆ หน่อยนะ เมื่อวานไปเที่ยวกันช้ะ แม่โทรหามันไม่รับเลยนะ ปิดเสียงใส่แล้วไม่หยิบมาดูเลย แต่พอกลางคืนโทรหาแม่บอกลืมเปิดเสียงโทรศัพท์ไว้ แล้วก็อ้อนแบบเดี๋ยวผมโทรหานะ ทั้งๆ ที่จริงๆ คือมันอะตั้งใจไม่รับโทรศัพท์ ร้ายปะ ดูเป็นคนดื้อเงียบอะ” พูดไปแล้วก็ได้แต่ส่งเสียงหัวเราะออกมา แบคฮยอนไม่รู้ว่าจะสงสารชานยอลหรือยังไงดี บางทีเขาก็แค่ดูเป็นเด็กหนุ่มที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัว


    “แม่มันก็ดูเป็นคนจู้จี้อยู่นะ เหมือนที่กูเล่าให้ฟังอะ เวลาอวยลูกก็อวยแบบ~ อวยสัส แล้วเมื่อเช้าชวนกิน kfc มันถามกูว่าทำไมกินอาหารขยะ กูก็ถามว่ามึงไม่กินหรอ? มันบอกกินบ้าง แต่ไม่ได้กินบ่อย เพราะแม่ไม่ชอบอาหารขยะ แล้วที่บ้านก็ไม่มีมาม่าเลยนะ โจ๊กก็มีแต่แบบโจ๊กน้ำซาวข้าวอะ มีแต่โจ๊กไม่มีผงปรุงรสให้กู แล้วจะให้เอามากินกับอะไรวะ? ขนมธัญพืชที่เป็นแท่งๆ แม่ก็ซื้อใส่รถไว้ให้ คือมันโตแล้วปะวะ เด็กอายุ 22 นี่พ่อแม่ต้องคอยดูแลขนาดเลยอ่อ ก็เข้าใจนะว่าอยู่บ้านเดียวกัน อ่ะ ถ้าแม่ไม่กินจั๊งค์ฟู้ด ก็ไม่มีจั๊งค์ฟู้ดติดบ้านก็เข้าใจ แต่กูว่าตัวมันเองก็ติดนิสัยมาจากแม่หน่อยๆ นะ” แบคฮยอนว่าด้วยสีหน้าออกรส เขานินทาชานยอลจนปากโด่งขึ้นไปจนจะถึงเพดานห้อง


    “อาหะๆ เข้าใจ นึกออกๆ”


    “มันก็คงอึดอัดมั่งแหละ เด็กวัยนี้ปะ แล้วมันเองก็ไม่ได้ดูเป็นคนง่ายๆ นะ คือมองเผินๆ ก็ดูเหมือนเด็กว่าง่าย แต่จริงๆ กูว่ามันก็เอาเรื่องอยู่แหละ ดูจากนิสัยขี้หงุดหงิด แล้วเวลาไม่พอใจอะไรนี่เก็บสีหน้าไม่อยู่ อยู่กับกูมันก็ไม่ค่อยพูด พูดบ้าง ยิ้มบ้าง บางทีก็ชอบกวนตีน มันดูเป็นคนอินดี้หน่อยๆ ออกแนวโลกส่วนตัวสูง ไม่ใช่คนประเภทแบบ แม่ครับ ผมอย่างงั้นอย่างงี้เลยอะ”


    “คือไม่ใช่ลูกแหง่ว่างั้นเหอะ”


    “เออ แต่ก็อาจจะต้องเอาใจแม่นิดนึง เผื่อแม่จะให้ตังค์ใช้ไรเงี้ย” พูดแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะหึออกมา แบคฮยอนเองก็คิดว่าเขาคงทำแบบชานยอลเหมือนกัน ถ้าทำแล้วแม่ให้ตังค์ค่าเอ็นดูเป็นพิเศษ


    “อิดอก ร้ายสัส” พอได้ฟังเรื่องราวจากเพื่อนรัก จางอี้ชิงก็ถึงกับต้องยกยิ้มร้าย ที่จริงเขาคิดว่าสันดานธาตุแท้ของชานยอลมันก็ออกมาตั้งแต่ที่เขาขโมยโทรศัพท์คนอื่นไปแล้วล่ะ เห็นได้ชัดว่าภายในจิตใจของชานยอลแสวงหาการปฏิบัติตัวนอกกรอบ ทั้งไม่แคร์ความรู้สึกคนอื่น ไม่สนกฎหมาย และที่เห็นได้ชัดคือเขาคิดว่าตัวเองมีพาวเวอร์พอจะจัดการเรื่องนี้ได้


     “แต่พูดไปแม่มันก็สอนลูกมาดีนะ มันเป็นคนวางตัวดีอะ แบบท่าทาง ลักษณะการพูดการจาไรเงี้ย มีมารยาท ใครเห็นใครก็ชอบ เค้าอาจจะสอนให้ลูกเค้าวางตัวเป็นคนน่าเอ็นดูก็ได้ แต่นิสัยจริงๆ ก็ไม่ใช่ไรเงี้ย” แบคฮยอนยักไหล่ เขาไม่คิดว่าชานยอลจะเป็นคนเสแสร้งหรอก เขาอาจจะถูกสอนให้เป็นคนแบบนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วมันออกจะเป็นเรื่องดีซะด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่ามันอาจจะขัดกับบุคลิกภายในจริงๆ ของชานยอล


    “อือ... ก็ลูกคนรวยอะนะ ก็ต้องเข้าสังคม มันก็คงจะชินแหละ” อี้ชิงได้แต่ถอนลมหายใจออกด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เขาไม่ค่อยเข้าใจความซับซ้อนของคนรวย รู้แค่ว่าพวกเขาไม่ชอบทำอะไรตรงไปตรงมา แล้วก็ชอบกลบปัญหาไม่ให้คนนอกรู้


    “อือ ก็คงอย่างงั้นแหละ แต่รวมๆ แล้วก็น่ารักดีแหละ”


    “แหม~ หมั่นไส้”


    “เป็นไรมากปะล่า~”


    ติ๊ง


    พูดถึงยังไม่ทันจะขาดคำเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าก็ดังขึ้น แบคฮยอนรีบล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อเช็คข้อความทันที ในขณะที่นิ้วมือกำลังพิมพ์ข้อความตอบกลับไปริมฝีปากบางก็เม้มเข้าหากัน แบคฮยอนไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อไหร่ที่ข้อความจากชานยอลทำให้เขาเผลอยิ้มออกมา

     


    Cyyyyyxx : ถึงยัง


    Bhxx0506 : ถึงแล้ว เพิ่งถึง

    Bhxx0506 : ถึงบ้านยัง


    Cyyyyyxx : ยัง รถติด

    Cyyyyyxx :

     

     


    “โอ้ย~ รถติด~ รถติดแล้วทำไมต้องส่งรูปมาบอกด้วย? บอกทำไม บอกแล้วมึงจะช่วยไรได้?”


    ข้อความสุดหยอดจากเด็กหนุ่มเมืองหลวงทำจางอี้ชิงถึงกับต้องเบะปากเบ้หน้า เขาเหล่ตามองเพื่อนรักก่อนจะยกมือขึ้นพัดจมูกทำท่าเหม็น


    ดูท่าทางแล้วแบคฮยอนไม่ทันชานยอลแน่ๆ เขาไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของไอ้หนุ่มเมืองหลวงแน่นอน ขนาดแค่โดนหยอดก็ยังฝันหวานไปถึงไหน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมแบคฮยอนถึงได้อวยชานยอลนักทั้งๆ ที่เขาฝากวีรกรรมเอาไว้แสบเหลือหลาย แค่นี้ก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังถูกหลอกให้คิดอะไรไปคนเดียว


    ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจเพื่อนตัวเองหรอก แต่สถานการณ์มันดูไม่น่าไว้วางใจยังไงก็ไม่รู้ อี้ชิงเองก็ได้แต่หวังว่าความซื่อตรงจะไม่ทรยศเพื่อนเขาเหมือนอย่างที่ผ่านๆ มา เพราะดูแล้วแบคฮยอนชอบชานยอลมากกว่าที่ตัวเขาคิดซะอีก


     “อิจฉาถูกปะ อิจฉาก็บอก” หันไปยกยิ้มร้ายใส่เพื่อนรักก่อนที่จะพลิกตัวหันหน้าหนีไปทางอื่น แบคฮยอนไม่ได้ขอให้อี้ชิงมาช่วยใส่ใจปัญหาของชานยอลสักหน่อย ถ้าแค่รู้สึกอิจฉาก็บอก


    “จ้า~ เอาเลยจ้า~ อยากชอบก็ชอบกันให้พอ มึงอย่ามาร้องไห้น้ำตาเช็ดหัวเข่าเพราะมันก็แล้วกัน”


    .


    .


    .


    ภายในห้องครัวที่มีของกินสารพัดประโยชน์วางเรียงรายกันอยู่รอบ ผงมาม่าชีสถูกฉีกเทลงในชาม แล้วตามด้วยผงมาม่าเผ็ด ชานยอลใช้ไส้กรอกหมูแทนไส้กรอกแป้ง เขาใส่ข้าวโพดหวานลงไป ตามด้วยไก่ทอดสามชิ้นและไข่ดาวน้ำ ตบด้วยผงชีสอีก 1 ช้อนและชีสแผ่น


    เป็นอันเสร็จสิ้นมาม่าสูตรทำลายล้างไตตามตำหรับบางบูชอน ชานยอลใช้ตะเกียบคนทุกอย่างในชามรวมกันก่อนจะคีบมันเข้าปาก


    รสชาติจัดจ้านกับความเผ็ดที่ไม่คุ้นเคย และความหอมที่ประดังเข้ามาเต็มจมูกทำชานยอลถึงกับต้องขมวดคิ้ว รสชาติทุกอย่างในปากเขามันเข้มข้นไปหมด ชีสหอมหนักหน่วง รสเผ็ดถูกเจือจางด้วยความมันของชีสในสัดส่วนที่พอดี ไม่ต้องพูดไปถึงข้าวโพดหวานกับไส้กรอกแฮม


    ชานยอลชอบไอเดียข้าวโพดกับไส้กรอก ที่จริงเขาก็ชอบกินมันอยู่แล้วถึงจะไม่ได้ใส่ลงในมาม่าก็ตาม


    “ทำอะไรอะลูก กินอะไร?”


    เสียงของผู้เป็นแม่ เรียกชานยอลที่กำลังตั้งใจระลึกรสชาติของอาหารขยะให้ต้องเงยหน้าขึ้น เขาเห็นแม่เดินนำแก้วน้ำไปวางไว้บนซิงค์ล้างจานก่อนจะตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอขมวดคิ้วลงเล็กน้อยตอนที่เห็นว่าอาหารในชามนั้นคืออะไร


    “ทำไมไม่กินข้าวล่ะ ข้าวก็มีเต็มตู้” ยูรินเอ่ยถามลูกชายด้วยสีหน้าติดเป็นกังวล เธอเอื้อมมือขึ้นไปหยิบเครื่องปั่นลงมาจากตู้ไม้ก่อนจะหันหลังไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบเอาผลไม้ออกมา


    “อยากกินเฉยๆ” ชานยอลว่าแล้วก็ยักไหล่ เขาคีบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคำยักษ์เข้าปากอีกครั้งพร้อมกับไก่ทอดและไส้กรอกแฮม


    “กินมากๆ เดี๋ยวก็เป็นโรคไตหรอก”


    “ผมไม่ได้กินทุกวันสักหน่อย”


    “แล้วนึกยังไงอยากกินขึ้นมา ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยอยากกิน”


    “ผมว่ามันก็อร่อยดี”


    ชานยอลแค่นั้นก็ยกกะละมังบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเขาเดินหนีออกจากห้องครัวไป ปล่อยให้ผู้เป็นแม่ได้แต่ยืนงงอยู่คนเดียวกับอารมณ์ประหลาดของลูกชาย...



    .


    .


    .



    ช่วงเวลา 3 วันสุดท้ายที่จะได้พักผ่อนผ่านไปไวอย่างกับโกหก... ในเช้าวันจันทร์ที่แสนน่าตื่นเต้น แบคฮยอนตื่นตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าเพื่อลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว วันนี้เป็นวันแรกที่เขาจะได้เริ่มทำงานกับบริษัทใหญ่ แบคฮยอนใส่นาฬิกาของพ่อที่ยืมมาเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับตัวเองก่อนที่จะหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายข้าง


    ใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาที พนักงานแบคฮยอนก็อยู่ในชุดพร้อมไปทำงาน เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าลายทางกับกางเกงสแล็คและรองเท้าหนังสีดำเงาวับ แน่นอนว่ามันสุดเชย แต่อย่างน้อยมันก็ไม่แย่ไปกว่าวันข้างหน้าที่ต้องใส่เสื้อสีเขียวของบริษัท


    ความประหม่าที่มีทั้งหมดถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในกระเป๋า แบคฮยอนปั้นหน้าเชิดสูดลมหายใจเรียกกำลังใจให้ตัวเองอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินไปเปิดประตูเตรียมก้าวออกสู่โลกแห่งการทำงานในสังคมเมืองหลวง


    คนตัวเล็กปิดงับประตูห้องอย่างเบามือเพื่อไม่ให้รบกวนเพื่อนที่กำลังนอนหลับอยู่ มือบางบีบกระชับสายสะพายเป้ไว้แน่น สองเท้าก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ลังแล


    แบคฮยอนตั้งใจว่าวันแรกของการทำงานเขาจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้มากที่สุด ไม่รู้หรอกว่าสังคมของบริษัทที่ไปทำมันจะเป็นแบบไหน แต่ก็คงเหมือนอย่างทุกทีนั่นแหละ แค่รอให้วันแรกผ่านไป แล้วทุกอย่าง ก็จะเริ่มโอเค...


    .


    .


    .


    เวลาเก้าโมงกว่าๆ ที่หน้าตึกศูนย์การค้าบริษัทโฮมแคร์ พนักงานแบคฮยอนตัวจิ๋วเดินก้าวขาฉับๆ ตรงเข้าไปในตัวอาคารทันทีด้วยท่าทางรีบร้อน เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นจับเต็มไรผม ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาเก้าโมงกว่าแล้ว แบคฮยอนมาทำงานสายตั้งแต่วันแรกเพราะมัวแต่เดินกินลมทำใจอยู่ข้างทาง และกว่าจะรู้ตัวอีกที เขาก็พบว่าตัวเองกำลังจะสาย


    “ขอโทษนะครับๆ” ทันทีที่เท้าก้าวเข้ามาพ้นประตู คนตัวเล็กก็รีบวิ่งตรงไปยังเคาน์เตอร์หมายเลข 1 ที่มีพนักงานสาวยืนอยู่ทันที แบคฮยอนพยายามจะบอกตัวเองให้นิ่งไว้ แต่จิตใจเขาลนลานหลือเกิน “พอดีนัดกับผู้จัดการที่ชื่อแฮจินไว้ ไม่ทราบว่าจะเจอได้ที่ไหนครับ”


    “พี่แฮจิน? พนักงานใหม่หรอ?” หญิงสาวหน้าตาสละสลวยหันมาเลิกคิ้วถาม พอเห็นชายหนุ่มพยักหน้าเธอก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมากดต่อสายหาห้องธุระการ ก่อนที่จะหันไปเรียกผู้หญิงอีกคนที่กำลังเดินอยู่ให้เข้ามาหา “อึนจูๆ เห็นพี่แฮจินไหม เค้านัดพนักงานใหม่ไว้”


    “พี่แฮจินหรอ? เห็นเค้าเดินวุ่นแต่เช้า แต่อยู่แถวนี้แหละ เดี๋ยวจะไปเรียกมาให้”


    “อ่าๆ ขอบใจๆ” พนักงานคนเดิมวางหูโทรศัพท์ลง เธอหันไปมองเด็กหนุ่มตัวเล็กที่ยังยืนทำหน้าเหรอหราอยู่ข้างๆ ก่อนที่จะพูดต่อ “น้องมันไปเรียกให้และ ยืนรออยู่ตรงนี้แหละ วันนี้เค้ายุ่งหน่อย”


    “ครับ” แบคฮยอนไม่ได้พูดอะไรมาก เขาแค่ขานรับพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ ออกมา


    ในช่วงเช้าที่คนยังมาไม่เยอะมากนัก แบคฮยอนมองเห็นแต่พนักงานเดินขวักไขว่ไปมา พวกเขาสวมเสื้อสีเขียวของบริษัทและใส่สูททับกันแทบทุกคน แบคฮยอนกำลังถามตัวเองว่าเขาพลาดอะไรไปหรือเปล่า? แบคฮยอนไม่ได้ลืมอ่านกฏเครื่องแต่งกายมาใช่ไหม? วันนี้เขามีนัดรับยูนิฟอร์มนี่ คงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง?


    “เอ้า นี่ไง มาแล้วๆ”


    ในขณะที่กำลังยืนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เสียงเรียกของพี่สาวข้างๆ ก็ดึงสติแบคฮยอนให้กลับเข้าร่าง เขาหันไปมองชายสวมสูทผมสีน้ำตาล ที่สูงประมาณ 170 กว่าๆ ด้วยความประหลาดใจ มองๆ ดูแล้วเขาดูไม่เหมือนกับพี่แฮจินที่เสียงนุ่มๆ ในมือถือเลย


    “คนนี้รองผู้จัดการ คุณโจควอน คุยกับเค้าก็ได้” หญิงสาวคนเดิมว่า


    “อ่อ ครับ”


    “พนักงานใหม่หรอ นัดกับพี่แฮจินไว้ใช่ไหม ตอนนี้เค้าไม่วาง วันนี้ยุ่งหน่อยแต่เดี๋ยวจะให้คนพาดูที่ทำงานนะ เอาสูทมาไหม”


    มาถึงยังไม่ทันแนะนำตัวอะไรผู้ชายที่ชื่อโจควอนก็รัวคำพูดใส่เหมือนกลัวว่าตัวเองจะเสียเวลาที่แสนมีค่า แบคฮยอนที่ยังไม่ทันจะได้ตั้งสติดีก้มลงมองเสื้อตัวเองก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นตอบ


    “เปล่าครับ พี่เค้าไม่ได้บอกให้เอามา บอกแค่ว่าให้มาเอายูนิฟอร์มวันนี้”


    “หรอ งั้นไปหามาซะ”


    “ห้ะ?”


    “ไปหาสูทมาถ้าอยากได้คะแนนพิเศษ วันนี้คนจากสำนักใหญ่เข้ามาตรวจ พี่แฮจินเค้าอยากให้เรียบร้อย ได้สูทแล้วมาเจอกันตรงนี้ แล้วก็เร็วด้วย เค้าจะมากันแล้ว”


    พอออกคำสั่งเสร็จรองผู้จัดการท่าทางสาวจ๋าก็สะบัดก้นเดินหันหลังไปทันที ปล่อยให้พนักงานแบคฮยอนได้แต่ยืนงงอยู่กับคุณพี่แคชเชียร์ที่หน้าเคาน์เตอร์ ท่าทางที่ดูรีบร้อนกับความวุ่นวายของพนักงานรอบตัวๆ บอกแบคฮยอนให้เข้าใจสถานการณ์ได้ทันที แต่ว่าเขาก็ไม่รู้ว่าจะไปหาสูทได้จากที่ไหน


    แบคฮยอนไม่ใช่แค่เพิ่งมาทำงานวันแรก นี่เป็นครั้งแรกสำหรับการใช้ชีวิตในเมืองหลวงของเขาด้วย... นอกจากหอกับที่ทำงานแล้วก็ไม่รู้จักที่ไหนอีกเลย


    “เอ่อ... แถวนี้พอมีร้านเช่าชุดไหมครับ?” พอตั้งสติได้ก็รีบหันไปถามพี่สาวคนข้างๆ ทันที เธอทำท่าหันซ้ายหันขวาเหมือนจะถามใครแต่สุดท้ายก็ไม่ช่วยอะไร


    “ไม่รู้อะ ลองเดินออกไปข้างนอกดู เผื่อมีใครให้ยืมได้ ข้างๆ มันเป็นออฟฟิศ”


    “อ่อ ครับ”


    คำแนะนำที่โคตรจะไม่ช่วยอะไรทำแบคฮยอนยิ่งรู้สึกเหมือนถูกดูดจมลงไปในหลุมดำ เขาเดินลนลานกลับออกมายืนที่หน้าตึกอีกครั้ง และในขณะที่กำลังคิดวิธีแก้ปัญหา สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นผู้ชายท่าทางภูมิฐานที่กำลังเดินลงมาจากรถคันสีดำ ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าเป็นระดับผู้บริหารแน่


    ความคิดที่แสนวุ่นวายทำแบคฮยอนเริ่มจิตตก ยิ่งเห็นว่ามีคนท่าทางตำแหน่งใหญ่โตเริ่มมาถึงแล้วเขาก็ยิ่งลนลาน


    ทำยังดี เอาไงดี หนีกลับบ้านเลยไหม หรือจะกลับไปบอกรองผู้จัดการดีว่าหามาไม่ได้ ถ้าทำอย่างงั้นต้องถูกมองว่าเป็นพวกไม่รู้จักแก้ปัญหาแน่ หรือว่าจะโทรหาอี้ชิงดี? แต่มันจะยังไง เขาจะช่วยอะไรได้? หรือว่าโทรหาชานยอลดีไหม? แล้วจะโทรไปทำไม


    ความคิดมากมายวิ่งวุ่นวายอยู่เต็มหัว ในสถานการณ์สุดขับขันแบคฮยอนนึกถึงคนรู้จักแค่ไม่กี่คนที่พอจะช่วยเขาได้ แต่มันก็ล้วนแล้วแต่เปล่าประโยชน์ เมื่อคืนเขานอนคุยโทรศัพท์กับชานยอลจนดึกดื่น ป่านนี้เขายังไม่ตื่นแน่ และถึงจะตื่นแล้วมันก็ไม่ใช่ธุระของเขาด้วย


    ดวงตาเรียวรีกวาดมองไปรอบตัวด้วยความรู้สึกมืดมน ผู้คนที่เดินผ่านหน้าไปมาไม่มีใครสวมสูทสักคน แล้วก็คงไม่มีใครให้ยืมง่ายๆ


    ทำยังไงดีแบคฮยอน!


    ขณะที่กำลังวิตกกังวลถึงขั้นสุด สายตาที่กวาดมองไปรอบๆ ก็ไปหยุดอยู่ที่รถคันสีดำที่แสนคุ้นตา แบคฮยอนยกมือขึ้นป้องหน้า หรี่ตามองรถคันนั้นจนกระทั่งมันจอดสนิทอยู่กับที่ เขาเห็นประตูรถถูกเปิดออก และคนที่ไม่อยากเจอมากที่สุดก็เดินออกมา


    “เหี้ย...”  คนตัวเล็กถึงกับเผลอหลุดอุทานตอนที่เห็นท่านประธานหญิงเดินออกมาจากรถพร้อมกับเลขาหน้าเดิม เธอสวมชุดสีมุขและสวมสูททับ ส่วนฝ่ายบุคคลนายอนก็ยังแต่งตัวเหมือนเดิม เธอเดินลงมาจากที่นั่งด้านหลัง แต่ประตูฝั่งคนขับยังไม่มีใครลงมา


    หัวใจของแบคฮยอนเต้นแรงไปหมดตอนที่คิดว่าเขาอาจจะได้เจอคนที่กำลังอยากเจอ พอประตูรถฝั่งคนขับเปิดออก ผู้ชายที่แสนคุ้นหน้าก็เดินออกมาพร้อมกับกระเป๋าถือสีดำ ชานยอลสวมชุดสูทเป็นทางการ ผมหน้าม้าที่เคยปัดไปมาอย่างไม่เป็นทรงถูกเซ็ทขึ้นอย่างดี


    ขนาดหลับตาดูก็ยังรู้เลยว่าหล่อขนาดไหน... ชานยอลแทบไม่มีภาพลักษณ์เด็กหนุ่มขี้กวนหลงเหลืออยู่เลยตอนที่แต่งชุดสูท เขาดูเหมือนลูกเจ้าของกิจการพันล้านแล้วก็เป็นจริงๆ


    หล่อจัง...


    แต่เห้ย.... ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาจะมาคิดถึงเรื่องนี้ปะวะ


    พอตั้งสติได้อีกครั้งแบคฮยอนก็เริ่มกลับมาคิดทบทวนปัญหา เขาล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าเบราเซอร์อินเตอร์เน็ตเพื่อค้นหาร้านเช่าสูทในระแวกทันที แต่ก่อนที่ตัวอักษรจะถูกพิมพ์จนครบความคิดที่ดีกว่าก็แล่นเข้ามาในหัว


    แบคฮยอนคิดว่ามันเปล่าประโยชน์ เพราะถึงเขาจะหาร้านเช่าสูทได้ก็ไปไม่ถูกอยู่ดี... พอคิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจเปลี่ยนไปโทรหาใครบางคนที่คิดว่าน่าจะช่วยได้มากกว่าทันที


    ตู๊ด... ตู๊ด... ตู๊ด...


    [ฮัลโหล]


    “ฮัลโหล เออ หลับอยู่ปะอะ”


    [เปล่า ทำไมอะ]


    “จะถามว่าพอรู้จักร้านเช่าสูทแถวๆ ห้างโคเอ็กซ์ปะ ต้องรีบใช้ด่วนอะ ไม่รู้จะโทรถามใคร โทษทีนะ” แสร้งทำเป็นคิดว่าอีกฝ่ายกำลังนอนอยู่ทั้งๆ ที่เพิ่งเห็นเขาเดินเข้าบริษัทไปเมื่อกี้ แบคฮยอนไม่ได้มีเจตนาจะโกหก เขาแค่ไม่อยากให้ชานยอลคิดว่าแบคฮยอนโทรมาเพื่อขอสิทธิพิเศษอะไร


    [ตอนนี้อยู่ไหนอะ]


    “อยู่ที่ทำงานอะ เค้าบอกให้หาสูทมาใส่ แต่ไม่รู้จักร้านอะ”


    [ใกล้ๆ ห้างปะ]


    “อื้อ ข้างในห้างมันมีร้านเช่าชุดมั่งปะ”


    [อยู่ตรงไหน]


    “..............” คนตัวเล็กชั่งใจคิดไปชั่วครู่ ก่อนที่จะเดินไปหลบอยู่หลังเสาต้นใหญ่แล้วพูดต่อ “อยู่ที่บริษัทเลย”


    [อยู่ตรงไหนของบริษัท]


    “อยู่ข้างหน้าบริษัทอะ”


    [อือ... ทำไมต้องใช้สูทอะ]


    “ไม่รู้อะ รองผู้จัดการเค้าบอกให้ไปหามา เห็นเค้าใส่กันหมดก็ไม่อยากแปลก”


    [รอแป้บนึง]


    “อื้อ” ครางตอบรับออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก ในขณะที่ยืนมุ่ยหน้าหลบอยู่หลังเสาต้นยักษ์


    แบคฮยอนไม่รู้ว่าเขาควรจะดีใจไหมที่มีชานยอลอยู่ด้วย ในส่วนลึกของจิตใจเขารู้สึกดีมากที่มีชานยอลคอยอยู่ช่วยแก้ปัญหา เขารู้สึกดีจริงๆ แต่ในอีกบทบาทหนึ่งของชานยอลก็ทำให้แบคฮยอนหนักใจ เขาไม่อยากถูกมองว่ากำลังทำตัวเป็นคนพิเศษ หรือพยายามเรียกร้องสิทธิพิเศษ


    แบคฮยอนแค่อยากได้ความช่วยเหลือจากชานยอล ไม่ใช่ลูกประธานบริษัทที่เขากำลังทำงานให้


    “คุณแบคฮยอน”


    ในขณะที่กำลังยืนคิดเรื่องหนักใจ เสียงทุ้มๆ จากคนด้านหลังก็เรียกให้แบคฮยอนต้องหันกลับไปมอง เขาเห็นชานยอลในชุดสูทกำลังยืนอยู่ ตัวเขายังหอมเหมือนเดิม และหล่อเหมือนเดิม แต่ดูแล้วอย่างกับเป็นคนละคนกับที่เคยไปเที่ยวด้วยเลย


    “เอ้า ทำไมมาอยู่นี่อะ” แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าอีกคนอยู่ที่นี่ ก่อนที่จะกดวางสายแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า รอยยิ้มกวนๆ ของคนตรงหน้าทำให้แบคฮยอนรู้ว่าเขากำลังคุยกับชานยอล ชานยอลที่เป็นแค่ชานยอล ไม่ใช่ลูกประธานรูปหล่ออย่างที่เห็น


    “มาทำธุระ” คนตัวสูงไม่ได้อธิบายอะไรมาก เขาดึงปลายแขนเสื้อสูทถอดออกจากด้านหลังก่อนจะวางคลุมบนหัวคนตัวเล็ก


    “หื้อ? อะไรอะ?”


     “ใส่ไว้ ดีกว่าไม่ใส่”


    เจ้าของเสื้อตัวใหญ่ว่าแค่นั้นก็หันหลังเดินจากไป ปล่อยให้พนักงานใหม่ได้แต่ยืนงงกับสูทเดลิเวอร์รี่ที่มาส่งไวยิ่งกว่าฟาสต์ฟู้ด


    กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่ลอยออกมาจากด้านในเสื้อทำแบคฮยอนเขินจนหน้าร้อนเห่อไปหมด เขายังรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของชานยอลที่ยังติดหลงเหลืออยู่กับเนื้อผ้า มันอุ่นจนรู้สึกอยากจะกอดตัวเจ้าของเอาไว้แน่นๆ


    ในความสุขที่มีความลำบากใจปะปนอยู่ แบคฮยอนไม่มีเวลาคิดอะไรมาก เขารีบถอดกระเป๋าออกแล้วสวมเสื้อสูทที่ตัวใหญ่อย่างกับผ้าห่มให้กับตัวเองทันที แขนเสื้อที่ยาวเกินฝ่ามือไปมาก กับช่วงไหล่ที่กว้างเกินจริงสร้างความรู้สึกประหม่าในใจให้กับคนสวม


    แบคฮยอนมองดูตัวเองในประตูกระจกก่อนจะย่นคิ้วลงเมื่อเห็นว่าสูทของชานยอลมันไม่เข้ากับรูปร่างตัวเองขนาดไหน แบคฮยอนคิดว่าเขาน่าจะโดนผู้จัดการด่าเพราะเรื่องขนาดของเสื้อมากกว่าไม่มีเสื้อใส่ซะอีก


    เอาวะ... ยังไงก็แค่ใส่ไปงั้นๆ ไม่มีใครมาดูหรอก


    แบคฮยอนหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายแล้วเดินตรงกลับเข้าไปในตึกอีกครั้ง เขาเบรกเอี๊ยดแทบไม่ทันตอนที่เห็นผู้จัดการกับรองยืนคุยอยู่กับผู้หญิงที่ตัวเองเคยสาปแช่งให้ไปตาย แบคฮยอนได้แต่ก้มหน้าแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปในห้างอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว


    เขาพยายามจะทำตัวไม่ให้เด่นนักจนเดินผ่านกลุ่ม men in black ไปโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองใคร จะได้ยินก็เพียงแค่เสียงสนทนาของคู่แม่ลูกที่มีอิทธิพลกับชีวิตมากที่สุดในช่วงที่ผ่านมา


    “สูทชานยอลไปไหนล่ะ” ประธานยูรินว่า เธอหันไปมองลูกชายที่สวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเดียวก่อนจะยกมือขึ้นจัดปกคอเสื้อที่กระดกขึ้นให้เขา


    “ผมถอดวางไว้บนรถ”


    “แล้วทำไมไม่ไปเอามาใส่”


    “ผมว่าแบบนี้หล่อกว่า” เด็กหนุ่มว่าแล้วก็ยักไหล่ส่งยิ้มขี้เล่นไปให้กับผู้เป็นแม่ ชานยอลรู้ว่ารอยยิ้มแบบไหนที่ทำให้แม่ใจดีได้เสมอ และคราวนี้ก็ใช้ได้ผลไม่ต่างกัน


    “งั้นก่อนเข้าประชุมก็ไปเอามาใส่ซะนะ อย่าลืมล่ะ”


    .


    .


    .


    “วันเนี้ยวันจันทร์คนไม่ค่อยเยอะหรอก ใครมีลูกค้าก็ดูลูกค้าไป เค้าก็แค่มาเดินดูแค่นั้นแหละ ใครไม่มีลูกค้าก็อย่าลืมก้มหัว เค้าถามอะไรก็ตอบ ยิ้มไว้เยอะๆ ไม่มีอะไรมากหรอก”


    ที่หน้าแผนกสุขภัณฑ์ในห้องส้วม แบคฮยอนได้แต่พยักหน้าหงึกหงักฟังคำแนะนำจากรองผู้จัดการท่าทางสาวจ๋า ดูเหมือนว่าแผนกนี้จะไม่มีคนมาประจำมากนักถ้าเทียบกับแผนกอื่น ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงถูกส่งมายืนที่นี่


    “แล้วนี่ไปยืมเสื้อพ่อมาใส่หรือไง พนักงานใหม่ใช่ไหม วันแรกไม่มีอะไรหรอก ยังไม่ต้องทำอะไร ยืนดูงานไปก่อน วันนี้เค้ามีประชุมกัน เดี๋ยวพวกผู้บริหารเค้าก็มาเดินๆ ดู มันไม่มีคนยืนประจำชั้นนี้ก็ยืนไปก่อน” โจควอนว่าพลางใช้มือจัดปกเสื้อให้กับผนักงานใหม่ก่อนจะพูดต่อ “ยืนกันไปนะ เดี๋ยวมา”


    “ครับ” แบคฮยอนพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เขาดึงหน้าทดลองฉีกยิ้มด้วยอินเนอร์แห่งมิสคะเรีย ถึงแม้ว่าความรู้สึกในใจจริงๆ จะไม่ต่างอะไรกับดอกเห็ดที่แห้งเหี่ยวและใกล้จะเน่า


    แบคฮยอนไม่กลัวพวกผู้บริหาร เขากลัวเจอประธานกับเจ๊ฝ่ายบุคคลมากกว่าและจะกลัวยิ่งกว่าถ้าเดินมากับชานยอล มันคงให้ความรู้สึกพิลึกดีกับการต้องมาเห็นคู่กรณีเก่ายืนอยู่ในที่ทำงานบริษัทตัวเอง และแบคฮยอนก็แค่ไม่อยากจะเป็นตัวเด่นในการทำงานวันแรก


    “ฟู่ว... เอาวะ...” คนตัวเล็กสบถพึมพำกับตัวเองเบาๆ เมื่อหันไปเห็นคู่กรณีทั้งหลายกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้


    แบคฮยอนก้มหัวโค้งให้กับชายอ้วนท่าทางใจดีที่เดินผ่านไปก่อน เขาฉีกยิ้มอ่อนหวาน มือบางที่กุมอยู่ใต้เข็มขัดบีบกำแน่น แขนเสื้อยาวๆ ช่วยปกปิดความประหม่าของแบคฮยอนได้เป็นอย่างดี เขารู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดหน่อยเมื่อเห็นว่าประธานไม่ได้ใส่ใจดูอะไรพนักงานมาก เธอแค่ยิ้มๆ แล้วก็เดินผ่านเหมือนกำลังประกวดนางงาม และแบคฮยอนก็แค่หวังว่าประธานจะเดินผ่านเขาไปเช่นกัน


    “คนนี้พนักงานใหม่ที่สำนักงานใหญ่ส่งมา เพิ่งมาทำงานวันแรกเลย ยังไม่ได้ฝึกงานให้เลยครับ”


    ยังไม่ทันจะได้ก้มหัว คำแนะนำตัวจากผู้จัดการที่เดินเคียงมากับท่านประธานบริษัทก็ทำแบคฮยอนตัวหดลีบ เขาได้แต่หันไปฉีกยิ้มสุดขืนให้กับหญิงวัยกลางคนพร้อมกับก้มหัวโค้งให้จนหน้าผากแทบจะติดเข่า ในขณะที่ในใจก็เอาแต่กู่ร้องด่าผู้จัดการ


    สีหน้าเรียบนิ่งของหญิงสาวที่มองมาสร้างความรู้สึกอึดอัดขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด ผู้จัดการที่ฉีกยิ้มมาตลอดทาง อยู่ๆ ฟันเฟืองก็หลุด เขาได้แต่ยืนนิ่งและปล่อยให้แบคฮยอนเผชิญหน้ากับความหนาวเย็นเพียงคนเดียว


    “พนักงานใหม่... ใส่สูทแพงจังนะ...” หญิงวัยกลางคนว่าพร้อมกับเอื้อมมือไปจับสาปเสื้อสูทที่แสนคุ้นตา เธอหันมองลูกชายที่ทำหน้าเหมือนพยายามกลั้นยิ้มก่อนที่จะเอ่ยต่อ “แบคฮยอนใช่ไหม”


    “ครับ...” ความรู้สึกหนาวเย็นแล่นวาบไปทั่วสันหลัง แบคฮยอนเอาแต่คิดว่าซวยแล้ว ซวยแล้ว ซวยแล้ว คราวนี้จะแก้ตัวยังไงดี เรื่องนี้มันจะทำให้ใครเดือดร้อนอีกไหม


    “ใส่เสร็จแล้วก็เอาไปคืนเจ้าของเค้าด้วยล่ะ... จำเป็นต้องใช้...”


    ประธานสาวกล่าวแค่นั้นก็เดินผ่านไป ปล่อยให้พนักงานใหม่ได้แต่ยืนกลืนน้ำลายเหนียวลงคออยู่คนเดียว...


    ดูเหมือนว่างานนี้คนที่ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรก็คงจะมีแต่ชานยอล เขาเฉียดตัวเดินเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะทิ้งบางอย่างหนักๆ ลงในกระเป๋าเสื้อ แล้วก็เดินผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


    แบคฮยอนคลำสูทของเขาแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบเอาอะไรบางอย่างที่ว่านั่นออกมา ทันทีที่เห็นว่าของสิ่งนั้นคืออะไรริมฝีปากบางก็เม้มเข้าหากันแน่น


    ถึงจะพยายามกลั้นยิ้มแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถเก็บความรู้สึกเอาไว้ได้ เขาหันไปมองแผ่นหลังคนที่แอบเอาโทรศัพท์มือถือมาหย่อนใส่ไว้ในกระเป๋าก่อนจะเผลอยิ้มออกมา


    แผ่นกระจกตรงแผนกสุขาที่อยู่ตรงหน้าชานยอลกำลังสะท้อนรอยยิ้มของเขาที่ส่งไปถึงคนด้านหลัง 


    เพียงแค่รอยยิ้มที่ส่งหากันผ่านบานกระจกก็ทำให้หัวใจของแบคฮยอนเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมานอกอก


    บางที... แบคฮยอนก็คิดว่าเขาเป็นคนที่มีดวงแปลกๆ ทุกครั้งที่ทำท่าว่าจะเจอเรื่องซวยก็มักจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นตามมาด้วยเสมอ และตอนนี้แบคฮยอนก็ไม่แน่ใจแล้วว่านายหัวขโมยชานยอลเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของเขากันแน่...










    #ฟิคกวาง





    แฮ่ ☺️☺️  ตอนแรกว่าจะลงแบ่งเป็นสองตอนแต่คิดว่าไม่จำเป็นก็เลยรวบซะเลย แล้วที่เหลือก็ตัดไว้คราวหน้าเด้อ  อย่าลืมไปฟัง Let me love you และอย่าลืม #ฟิคกวาง ด้วยนะ ขอบคุณที่อ่านและเอ็นจอยรีดดิ้งค่ะ โจ๊ะๆ  


    :D



     





    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×