ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ฟิคเสื่อม] กวาง The series - Chanbaek

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 6 : ใกล้ขึ้นกว่าเดิม

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ย. 64






    ในช่วงสายของเช้าวันพฤหัสที่แสนวุ่นวาย แบคฮยอนตื่นตั้งแต่แปดโมงมานอนหาวิธีสั่งสตาร์บัคในมือถือ และล่ารายชื่อร้านกาแฟชั้นนำมาไว้หลายย่าน


    เขารีบลุกขึ้นอาบน้ำด้วยความตื่นเต้นตั้งแต่เก้าโมงครึ่ง ดีใจเหมือนตอนนัดกับชานยอลครั้งแรกไม่มีผิด พอปะแป้งประทินโฉมเสร็จก็มานั่งเลือกเสื้อผ้าในเป้อยู่นาน


    ตอนนี้ดูเหมือนว่าแบคฮยอนจะกำลังประสบปัญหา... เสื้อผ้าเขาที่ขนมามีอยู่แค่ไม่กี่ตัวเพราะตั้งใจจะใส่พักไม่กี่วันก่อนจะกลับไปขนของ แล้วเสื้อผ้าแต่ละตัวมันก็แฟชั่นสุดๆ...


    แบคฮยอนมีเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์สีขาวอยู่หนึ่งตัว เสื้อเชิ้ตลายทาง 1 เสื้อนอน 1 กางเกงยีนส์สีน้ำเงิน กับกางเกงแสลคไว้สำหรับทำงาน 1 ตัว กับเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งของพ่อ


    ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าวันนี้จะพังแค่ไหน กระเป๋าเป้สุดเก๋ไก๋ที่ใช้บ่อยๆ ก็ไม่ได้พกมา แบคฮยอนกำลังคิดว่าจะเอายังไงดี ควรต้องไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ไหม นี่มันนัดครั้งสำคัญเลยนะ


    “มึง กูว่ากูใส่เสื้อเชิ้ตกับกางแสลคไปดีปะวะ มันจะได้ดูไม่สะดุดตา” คนตัวเล็กมุ่ยหน้าพรางยกเสื้อเชิ้ตลายทางขึ้นมาทาบอก แบคฮยอนกำลังคิดว่าถ้าเกิดว่าแฟชั่นมันไม่ได้ก็ใส่ชุดทำงานนี่แหละมาตรฐานสุด


    “มึงจะไปขายประกันหรออีบ้า ไม่เอาสูทไปด้วยเลยล่ะ ไปแบบนี้แหละน่ารักแล้ว” อี้ชิงถึงกับปวดหัวเมื่อเพื่อนรักคิดจะใส่ชุดทำงานไปเดท นี่มันเกือบ 20 นาทีแล้วที่แบคฮยอนเอาแต่ยืนหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจก เขาทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่นกับเดทแรกไม่มีผิด


    “ก็มันไม่มีชุดเลยอะ นี่มันธรรมดามากเลยนะ” กล่าวออกมาด้วยสีหน้าติดกังวลก่อนจะรีบก้มลงเก็บเสื้อผ้ายัดใส่ตู้ เมื่อเห็นว่าเข้มสั้นบนนาฬิกาเริ่มเดินเข้าใกล้เลข 10 เข้าไปทุกที


    “แล้วตอนมึงนัดมันครั้งแรกมึงแต่งตัวยังไง?” อี้ชิงเลิกคิ้วถาม


    “ก็ประมาณนี้แหละ แต่มันคนละสถานการณ์กันปะวะ? อันนั้นกูไปแก้ผ้านี่ ไม่ได้ใส่เจอมันทั้งวัน”


    “มึง แบบนี้แหละ น่ารักใสๆ บอยๆ เชื่อกู” อี้ชิงที่เริ่มรู้สึกรำคาญเต็มทนเดินไปหยิบกระเป๋าเป้สีดำมาส่งให้กับเพื่อนรัก โดยที่ไม่ลืมเดินกลับไปหยิบรองเท้าผ้าใบมาส่งให้ด้วย


    “หรอวะ? มึงพูดจริงนะ?” นิ่วหน้าอย่างไม่ค่อยรู้สึกมั่นใจนักแต่ก็รับกระเป๋ามาสะพายไว้พร้อมกับก้มลงใส่รองเท้า พอมองดูตัวเองในกระจกอีกทีแบคฮยอนก็คิดว่ามันไม่แย่เท่าไหร่ เขาดูเหมือนเด็กส่งหนังสือพิมพ์อะไรประมาณนั้น แน่นอนแหละว่ามันไม่แย่หรอกจนกว่าจะได้ยืนอยู่ข้างชานยอล


    “มึง นี่แหละลุคบูชอนบอย น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ เผยเสน่ห์แบบแมนๆ ตามฉบับผู้ชายเรียบง่าย”


    “หรอ งั้นกูไปนะ” พอได้รับคำยืนยันจากเพื่อนแบคฮยอนรู้สึกมั่นใจจนทะลุขีดปรอท เขารีบเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์จอยู่ปลายเตียงใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะวิ่งออกจากห้องไปทันทีเมื่อคิดได้ว่าตัวเองใกล้สายแล้ว ปล่อยให้จางอี้ชิงได้แต่ยืนบ่นพึมพำอยู่คนเดียวกลางห้อง


    “เฮ้อ... หลอกง่ายชิบหาย”

     

    .


    .


    .

     

     

    เวลาสิบโมงเศษ แบคฮยอนย้ายตัวเองจากหอพักซอมซ่อมายืนอยู่หน้าร้านเค้กติดสถานีรถไฟในย่านคนรวย ตอนนี้เขามีไอเทมเสริมคือหมวกแก๊ปสีน้ำเงิน 1 ใบบนหัว ไอเทมที่จะมาช่วยผลักดันแฟชั่นบูชอนบอยให้เปล่งประกาย


    .....


    เฮ้อ... มันเปล่งประกายจริงๆ หรอเนี่ย


    แบคฮยอนกำลังถามตัวเองแบบนั้นจริงๆ ในขณะที่กำลังยืนมองดูผู้คนเดินผ่านไปมาทั้งชายหญิง สิ่งนึงที่แบคฮยอนสังเกตได้คือคนเมืองหลวงแต่งตัวจัดมาก บางคนเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสาร บางคนก็แต่งตัวเรียบๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไมออร่ามันถึงรุนแรง ดูหรู ดูแพง ดูมีเซนส์อย่างเหลือเชื่อ พอมานึกดูแล้วก็ไม่แปลกใจเลยที่ชานยอลดูดีโคตรๆ ทั้งที่ใส่เพียงแค่เสื้อฮู้ดกับกางเกงยีนส์


    มาลองคิดดูอีกทีแล้ว เสื้อผ้าสบายๆ แบบนี้กับกระเป๋าเป้ทรงเชยๆ แบบนี้... แบคฮยอนดูอย่างกับนักเรียนที่จะไปเรียนกวดวิชาอย่างนั้นแหละ


    Rrrrrrrrrrrr


    ในขณะที่กำลังยืนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้นพอดี แบคฮยอนรีบหยิบมันขึ้นมากดรับก่อนจะกรอกเสียงพูดลงในมือถือ


    “ฮัลโหล อยู่ไหนแล้วอะ”


    [หันหลังมา]


    พอได้ยินปลายสายบอกให้หันหลังแบคฮยอนหันหลังทันที เขาเห็นผู้ชายตัวสูงในชุดลำลองสีดำกำลังยืนโบกมือให้อยู่ไม่ไกล ชานยอลยังตัวสูงใหญ่และเด่นกว่าใครเหมือนเดิม เขาสวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์และหมวกแก๊บ แถมยังสวมแว่นดำ


    หลับตาดูก็ยังรู้เลยว่าหล่อขนาดไหน... แล้วท่ายืนกอดอกมันก็คูลสุดๆ บางทีแบคฮยอนน่าจะลองทำท่าเท่ๆ แบบนั้นดูบ้าง เผื่อเขาจะดูดีแบบหนุ่มเมืองโซล


    “เออ เห็นแล้ว เดี๋ยวไป” ตอบออกไปแค่นั้นก็รีบเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะก้าวเท้าวิ่งดุ๊กดิ๊กข้ามถนนไปหาชายในฝันที่ตัวเองเฝ้ารอที่จะได้เจอมาทั้งคืน


    ไม่รู้ว่าทำไมทำยังไงก็โกรธชานยอลไม่ลงสักที แค่เห็นหน้าเขาก็หางกระดิกระริกระรี้อยากจะได้เจอไวๆ แบคฮยอนล่ะเบื่อตัวเองเหลือเกิน ทำไมเขาถึงได้เป็นคนที่ลืมง่ายขนาดนี้


    “มาถึงนานยังอะ” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นถามเด็กหนุ่มที่สูงกว่าตนเกือบ 20 เซนฯ กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยทำหัวใจดวงน้อยเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นหลุดออกมานอกอก ชานยอลยังดูนิ่งๆ เหมือนอย่างทุกที ยิ่งเมื่อเขายกยิ้มทุกอย่างก็ดูสดใสไปหมด


    “เพิ่งมาถึง”


    “แล้วจะไปรถไรกันอะ”


    “ขับรถไปไง” เด็กหนุ่มตัวสูงว่าพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาก่อนจะพูดต่อ “จะกินอะไรก่อนไหม ถ้าจะกินก็แวะไปซื้อก่อน แต่ถ้าไม่ก็รอไปกินที่นู่น”


    “ไม่อะ เดี๋ยวค่อยไปกินก็ได้” แบคฮยอนส่ายหน้าปฏิเสธ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกหิวจนไส้แทบขาดแต่ก็ไม่อยากทำให้ชานยอลเสียเวลาไปมากกว่านี้


    “แน่ใจนะว่าไม่หิว?” คนตัวสูงถามย้ำ


    “ก็.... นิดนึง มันนั่งรถนานไหมอะ”


    “20 นาที งั้นไปกินขนมบนรถก็ได้” ชานยอลว่าแล้วก็ไม่รอช้า เขาคว้าแขนคนตรงหน้าพาเดินไปยังที่จอดรถทันที ตอนนี้นาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาสิบโมงเศษแล้ว ชานยอลไม่อยากไปสาย เขาไม่ชอบอากาศร้อนแล้วก็ไม่ชอบที่ต้องต่อแถวกับคนเยอะๆ ด้วย


    “ลอตเต้นี่มันคือที่ที่มีประสาทใหญ่ๆ ใช่ปะ ปราสาทสีฟ้าอะ ที่มีพาเหรดอะ”


    “อื้อ”


    “แล้วไปได้บัตรฟรีมาจากไหน”


    “มีบัตรรายปี”


    “หรอ พาเหรดมันมีกี่โมงอะ ไปตอนนี้จะทันได้ดูปะ อยากเล่นไรที่มันหนุกๆ อะ เครื่องเล่นมันเยอะไหม”


    ในขณะที่เท้าก้าวเดินไปแบคฮยอนก็เอาแต่ถามนู่นนี่ไม่หยุด เขาพูดเจื้อยแจ้วเหมือนนกแก้วนกขุนทองที่ถูกโปรแกรมมา โดยที่ชานยอลก็ทำเพียงแค่ครางตอบรับ สลับกับส่งเสียงหัวเราะในลำคอเท่านั้น แบคฮยอนไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกเหงา เขาชอบเวลาที่ชานยอลยิ้มเพราะอย่างน้อยมันก็ยังแสดงให้เห็นว่าเขามีอารมณ์ร่วมอยู่บ้าง


    “เดี๋ยวไปถึงก็รู้เอง”


    เด็กหนุ่มตัวสูงไม่ได้ตอบอะไรมาก ชานยอลแค่หันไปมองพี่ชายตัวเล็กที่ยังไม่เลิกถามนู่นถามนี่ก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมา...


    เดี๋ยวพอไปถึงสวนสนุกแบคฮยอนก็รู้เองว่าเครื่องเล่นของเมืองโซลที่เขาคาดหวังมันสุดเหวี่ยงแค่ไหน...

     

    .


    .


    .


    ภายในสวนสนุกวันธรรมดาช่วงที่คนน้อยมากกว่าทุกที แบคฮยอนถ่ายรูปสายรัดข้อมือของเขาโพสท์ลงทวิตเตอร์ในขณะที่รอให้ชานยอลไปแลกบัตร ใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึง 5 นาที คนตัวสูงก็วิ่งกลับมาพร้อมกับบัตรใช้แทนเงินสดสองใบ แบคฮยอนรับมันมาเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อก่อนจะกางแผ่นพับแผนที่ออก


    ความตั้งใจอย่างแรกของเขาสำหรับการมาสวนสนุกในครั้งนี้คือปราสาท... แบคฮยอนอยากไปที่ปราสาท เขาชี้นิ้วไปบนแผ่นพับ แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากพูดอะไร คนข้างๆ ก็ใช้แขนเกี่ยวคอแล้วลากกึ่งดึงให้เดินตามไปทันทีโดยที่ไม่บอกกล่าวอะไรสักคำ


    “เราจะไปไหนกันอะ ไปไอ้นี่ก่อนไม่ได้อ่อ” แบคฮยอนพยายามจะหันไปคุยกับไกด์ของเขา เท้าเล็กๆ พยายามเหยียบดันพื้นคอนกรีตเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวถูกลากเดินไปไหนมาไหนได้ตามใจแต่ก็เปล่าประโยชน์


    อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนได้กลิ่นลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา แบคฮยอนพยายามยื้อตัวอย่างเต็มที่เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะถูกพาไปที่ที่ไม่ปลอดภัย เขาเห็นชานยอลหันมายกยิ้มให้น้อยๆ และนั่นก็ยิ่งทำให้แบคฮยอนระแวงไปกันใหญ่


    “ผมจะไปเล่นไอ้นั่นก่อน” ชานยอลชี้นิ้วไปยังปากทางเครื่องเล่นที่อยู่ใกล้ๆ เขาเห็นแบคฮยอนย่นคิ้วทำสีหน้าไม่ไว้วางใจก่อนจะหยิบแผ่นพับขึ้นมากางดู


    “มันคือไรอะ ดูน่ากลัวอะ” นิ่วหน้าว่าออกมาด้วยความไม่สบายใจก่อนจะหันไปสบตากับเด็กหนุ่มข้างๆ แบคฮยอนกำลังรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล เหมือนเขาจะเพิ่งนึกได้เมื่อกี้เองว่าน่าจะเอะใจตั้งแต่ตอนที่ถูกชวนมาเที่ยวสวนสนุกแล้ว


    ชานยอลไม่ได้กำลังวางแผนแกล้งอะไรแปลกๆ ใช่ไหม วันนี้แบคฮยอนจะน่วมกลับไปหรือเปล่า?


    “ของเล่นเด็ก ก็รถไฟวิ่งเร็วๆ วิ่งในอุโมงค์” ชานยอลพยายามใช้คำพูดอธิบายเครื่องเล่นรถไฟดิ่งนรกให้ดูน่ารัก เขาแค่กำลังหมายถึงรถไฟที่วิ่งเร็วๆ ในความมืด กับความตื่นเต้นที่เหนือจะบรรยาย


    “ไม่เล่นที่มันหวาดเสียวได้ไหมอะ”


    “ก็มาด้วยกันแล้ว ผมเป็นคนเลี้ยงนะ?”


    นั่นไง... และแล้วคำพูดที่ไม่อยากได้ยินก็ถูกเอ่ยออกมา พอได้ยินคำนี้แบคฮยอนก็รู้สึกเหมือนถูกมัดมือชก คนตัวเล็กได้แต่นิ่วหน้าพลางถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะยอมก้าวขาเดินตามเด็กหนุ่มตัวสูงด้วยหัวใจที่แกว่งเขว


    “นี่กลัวจริงๆ นะเนี่ย อย่าแกล้งนะ” พูดออกไปหวังให้อีกฝ่ายเห็นใจแต่ก็ได้รับมาเพียงแค่เสียงหัวเราะกับรอยยิ้มเท่านั้น


    รองเท้าผ้าใบสองคู่ก้าวเข้ามาอยู่ในอุโมงค์เครื่องเล่นที่เกือบจะมืดสนิท แบคฮยอนเห็นเด็กเดินเครื่องเล่นยืนเหงาๆ อยู่คนเดียวที่หน้าขบวน เขาแทบเป็นลมเมื่อเห็นว่าไม่มีใครรอคิวเล่นเครื่องเล่นนี้เลย รถไฟปริศนาของชานยอลว่างเปล่า ไม่มีคนนั่งและไม่มีคนรอขึ้น นอกจากชานยอลแล้วก็ไม่มีใครเดินทางไปกับรถไฟขบวนนี้อีก


    “ต้องรอคนอื่นไหมอะ” คนตัวเล็กเอ่ยถามออกไปด้วยความไม่มั่นใจ บรรยากาศที่มืดทึมภายในอุโมงค์ทำเขากลัวยิ่งกว่าเดิม นี่มันไม่เหมือนการนั่งรถไฟเหาะ แบคฮยอนไม่เห็นเลยว่าอะไรเป็นอะไร


    “ไม่ต้องครับ ไปได้เลย” พนักงานเดินเครื่องเล่นว่า


    พอได้ยินแบบนั้นหัวจิตหัวใจที่ไม่ค่อยจะมั่นคงอยู่แล้วก็ไหลตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม แบคฮยอนถูกลากคอขึ้นไปนั่งบนรถไฟทันทีเมื่อเด็กเดินเครื่องใช้ไฟฉายส่องข้อมือเสร็จ


    ความรู้สึกพะอืดพะอมแบบบอกไม่ถูกเริ่มเล่นงานเขา  อยู่ๆ ก็พูดอะไรไม่ออก แบคฮยอนกำชายเสื้อเด็กหนุ่มที่ลากคอเขามาขึ้นเครื่องเล่นปริศนาไว้แน่นก่อนจะหลับตาก้มหน้าลง แบคฮยอนไม่อยากเห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาแค่อยากให้มันจบไปไวๆ


    “เงยหน้าดิ ลืมตาด้วย” ชานยอลเอียงคอลงไปกระซิบคำพูดเบาๆ ที่หูคนด้านข้าง เสียงดังเอี๊ยดอ๊าดของล้อเหล็กที่บดไปกับรางทำแบคฮยอนตัวเกร็งยิ่งกว่าเดิม และมันยิ่งทำให้ชานยอลมีความสุข


    “มึง กูกลัวจริงๆ ...“


    ครืน!!!


    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!


    ยังไม่ทันจะได้พูดจบรถไฟคันเล็กก็พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงก่อนที่จะดิ่งหัวทิ่มลงอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างรอบตัวมืดไปหมด แบคฮยอนมองไม่เห็นว่าทางข้างหน้าคดเคี้ยวไปทางไหน เขาแหกปากกรี๊ดออกมาดังลั่นจนความเป็นชายหนีกระเจิง รถไฟในหลุมดำกระชากความแมนออกจากร่างเก้งสาวแล้วฉีกทำลายมันจนไม่เหลือชิ้นดี


    “มึง!! มึง!!!


    ความรู้สึกวูบโหวงในท้องไส้ทำแบคฮยอนพะอืดพะอมจนแทบอ้วก ความกลัวทำให้เขาต้องหาที่ยึดเหนี่ยว แขนเล็กๆ ทั้งสองข้างกอดกระชับเอวคนข้างตัวเอาไว้แน่น ในช่วงที่รถไฟกำลังชะรอตัวอย่างช้าๆ เสียงหัวเราะสะใจของชานยอลก็ตรงเข้ามาตอกย้ำหัวใจที่แสนเปราะบาง แบคฮยอนเอาแต่ซบหน้าลงกับต้นแขนของตัวเอง เขาหุบปากเงียบไม่กล้าพูดอะไรสักคำเมื่อรถไฟเริ่มเคลื่อนตัวเร็วขึ้นอีกครั้ง


    “ฮ่ะๆๆๆ กลัวอ่อ” เด็กหนุ่มตัวสูงส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ ในขณะที่ใช้มือลูบศีรษะของคนด้านข้างไปด้วยเป็นการปลอบใจ ถึงจะบอกว่าชอบที่แบคฮยอนกำลังรู้สึกกลัวแล้วก็เอาแต่กรี๊ด แต่ชานยอลก็ไม่ใจร้ายถึงขนาดจะปล่อยให้แบคฮยอนนั่งตัวสั่นอยู่คนเดียว


    เสียงดังครืนของรางเหล็กทำให้บรรยากาศที่ตกอยู่ภายใต้ความมืดยิ่งน่ากลัว แบคฮยอนยังคงเอาแต่นั่งเงียบ และเพียงไม่นานรถไฟดิ่งนรกขบวน VIP ก็ขับมาจอดเทียบท่า


    “จบแล้ว” ชานยอลใช้กำปั้นทุบหัวคนตัวเล็กที่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาจนกระทั่งเซฟตี้ล็อคปลดออก เขาได้แต่ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้เห็นใบหน้ายุ่งเหยิงของรับตัวเล็กจากบางบูชอนที่เพิ่งจะได้ลองเครื่องเล่นในสวนสนุกกรุงโซลครั้งแรก


    ดูเหมือนว่าจะมีวิญญาณของใครบางคนได้หลุดหายไประหว่างทาง แบคฮยอนยังนั่งนิ่งอยู่นานสองนานกว่าจะตัดสินใจลุกออกจากขบวนรถไฟ ใบหน้าของเขางอง้ำ แบคฮยอนพยายามจะหายใจให้ลึกเพื่อที่จะได้รู้สึกใจเย็นลงขาจะได้เลิกสั่นสักที


    “ไปเล่นอย่างอื่นต่อกัน” ชานยอลว่า เขาเดินไปกอดคอพี่รับตัวเล็กเอาไว้แล้วพาเดินออกไปจากอุโมงค์หรรษาเพื่อหาอย่างอื่นเล่นต่อ ชานยอลยังมีเครื่องเล่นอีกหลายอย่างที่อยากจะเล่นให้ได้ และเขาจะไม่ยอมให้แบคฮยอนพลาด


    “ไม่เล่นอันที่น่ากลัวแล้วนะ” คนตัวเล็กนิ่วหน้าหันไปส่งสายตาอ้อนวอนให้เจ้ามือที่เหมือนกับเจ้ากรรม เขาตลกไม่ออกเมื่อรู้สึกได้ว่าขาตัวเองยังสั่นไม่หายหลังจากที่ลงจากขบวนรถด่วนในความมืด


    “ไหนๆ ก็มาแล้ว”


    “ถ้างั้นก็ไปเล่นคนเดียวดิ” เผลอพูดชักน้ำเสียงออกไปด้วยความไม่พอใจก่อนจะเบือนหน้าหนีไอ้จอมเจ้าเล่ห์ที่เอาแต่หลอกลวงคนอื่นซ้ำซาก แบคฮยอนไม่อยากจะเชื่อชานยอลแล้ว เขาอุตส่าห์วาดฝันว่าจะได้มานั่งรถกระเช้าชมวิวด้วยกันหวานๆ แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกหลอกมาแกล้งซ้ำสามซ้ำสี่


    “มาด้วยกันจะให้ผมเล่นคนเดียวได้ไง?” คนตัวสูงยังคงไม่ยอมแพ้ ชานยอลโน้มคอลงไปมองหน้าคนตัวเล็กกว่าก่อนจะยิ้มออกมา “ไปเล่นด้วยกัน มันไม่น่ากลัวขนาดนั้นหรอก” เขาว่าแล้วก็ยกมือขึ้นบีบแก้มแม่กวางแสนงอนที่ยังไม่เลิกทำหน้าบึ้ง


    แบคฮยอนที่ยังไม่ได้สติกลับมาครบถ้วนได้แต่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หันไปมองหน้าเด็กหนุ่มที่ยังส่งสายตาวิบวับมาให้อย่างมีความหวัง และถึงแม้ว่าแบคฮยอนจะรู้ว่าสีหน้าและสายตาของชานยอลมันโคตรเฟคแต่เขาก็ยังยอมหลงเชื่อ


    “มึง... กูกลัวจริงๆ นะเว้ย...”


    “งั้นอีกรอบเดียว สัญญา แล้วจะพาเล่นทุกอย่าง” คนเจ้าเล่ห์ว่าพร้อมกับชูนิ้วก้อยขึ้น หากใครที่เดินผ่านไปผ่านไม่ได้รู้จักพวกเขาคงคิดว่าเป็นคู่รักที่กำลังง้องอนกันอยู่แน่


    “งั้นอีกรอบเดียวนะ”


    “อีกรอบเดียว”


    “...........”


    “ไปขึ้นรถไฟเหาะกัน...”


    .


    .


    .



    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!


    เสียงกรี๊ดบนรางรถไฟดังสนั่นไปทั่วทั้งขบวนเมื่อหัวรถไฟดิ่งจากจุดสูงสุดลงไปด้านล่างในช่วงไคลแม็ก


    ในขณะที่ทุกคนกำลังเอ็นจอยอยู่กับความมันสุดเหวี่ยงใครบางคนบนรถไฟก็ได้แต่นั่งหลับตาแล้วภาวนาขอให้ขบวนรถไฟนรกนี้มันจบลงเร็วๆ สักที แบคฮยอนกรี๊ดไม่ออกเลยสักแอะ เขากลัวมากจนตัวเกร็งไม่กล้าแม้แต่จะขยับปากส่งเสียง ตอนที่รถไฟดิ่งลงจากจุดสูงสุด ความรู้สึกว่างเปล่าในท้องก๋ทำเอาพะอืดพะอมไปหมด


    ฟู่ว...


    เสียงรถไฟหรรษาเข้าจอดเทียบชานชลาเมื่อขบวนรถหยุดนิ่งเซฟตี้ก็ปลดออก แบคฮยอนเหมือนได้อากาศหายใจอีกครั้งแต่ขาเขาก้าวไม่ออก มือบางเอื้อมไปจับที่นั่งคนด้านหน้าเอาไว้แล้วพยุงขาที่ไร้เรี่ยวแรงพาตัวเองเดินหนีออกจากขบวนรถไฟไปทันทีโดยที่ไม่รอเพื่อนร่วมเดินทางอีกคน


    มือเล็กๆ ทั้งสองข้างกำแน่น แบคฮยอนเดินเซไปนั่งลงบนม้านั่งอย่างหมดแรง ได้แต่นั่งก้มหน้านิ่ง ใบหน้าซีดเซียว แบคฮยอนเกลียดที่ขาเขายังสั่นไม่เลิก และตอนนี้ก็ไม่มีแรงแม้แต่จะเดินไปเข้าห้องน้ำ


    “ไหวปะเนี่ย” ชานยอลที่เพิ่งจะวิ่งตามมาเดินนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าคนตัวเล็กที่ยังเอาแต่นั่งนิ่ง แบคฮยอนไม่พูดอะไรเขาแค่ส่ายหน้าไปมา และชานยอลเองก็เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าเล่นแรงเกินไป


    “ผมขอโทษ ไม่รู้ว่าจะกลัวขนาดนี้” คิ้วเรียวขมวดย่นเข้าหากันด้วยความเป็นกังวล มือหนาวางลงบนเข่าที่ยังสั่นนิดๆ ก่อนจะหยิบเอาขวดน้ำเย็นออกมาเปิดส่งให้คนตรงหน้า 


    แบคฮยอนจิบมันเพียงแค่นิดหน่อยก็ส่งคืนให้กับเจ้าของ ตอนนี้ท้องเขาปั่นป่วนจนรู้สึกว่าถ้ากลืนอะไรลงไปแม้แต่นิดเดียวมันจะพุ่งออกมาแน่


    “เข้าไปนั่งข้างในกัน เดินไหวเปล่า ไม่ไหวก็ขึ้นมา” คนตัวสูงเก็บขวดน้ำลงกระเป๋าพร้อมกับปลดเป้สะพายออกแล้วนั่งหันหลังรับร่างเล็กๆ ขึ้นมาแบก พออีกฝ่ายย้ายร่างมานอนแปะชานยอลก็ใช้แขนล็อคท่อนขาเอาไว้ เขาส่งเป้ให้แบคฮยอนถือก่อนจะลุกขึ้นแบกร่างที่ไร้วิญญาณเดินฝ่าฝูงคนที่กำลังมองมาด้วยความสงสัย


    แบคฮยอนตัวไม่ได้หนักมากเท่าไหร่ ร่างกายเขาอ่อนปวกเปียกเป็นผักลวก พอยกขึ้นหลังก็นอนเปลี้ยฟุบหน้าแนบลงกับไหล่ทันที


    “ไปดูขบวนพาเหรดปะ” ชานยอลว่าพร้อมกับหันไปมองใบหน้าเล็กๆ ที่วางเกยอยู่บนบ่า เขาพยายามจะทำให้แบคฮยอนรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นแต่มันก็ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ คนตัวเล็กทำเพียงแค่ครางอื้มตอบรับในลำคอก่อนที่จะเงียบไป “แต่มันอีก 40 นาทีนะ ต้องรอ หิวข้าวเปล่า”


    “อือ หิว แต่มันไกลอะ” แบคฮยอนตอบเสียงงึมงำ กลิ่นน้ำหอมจากเสื้อชานยอลกับแผ่นหลังกว้างๆ ที่แบกร่างของเขาไว้มันยังดูแข็งแรงเสียยิ่งกว่ารางรถไฟเหาะเมื่อกี้


    รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกวางเจ้าเล่ห์ที่ยังแกล้งทำเป็นเล่นบทลูกกวางน้อยขาเปลี้ย ถึงตอนนี้ขาแบคฮยอนจะแข็งแรงจนวิ่งมาราธอนได้แล้ว แต่เขาก็ยังต้องการที่จะอยู่สบายบนนี้ไปจนกว่าจะรู้สึกพอใจ


    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพาไป”


    “อื้อ ขอบคุณ” ทำเป็นพูดเสียงแผ่วเหมือนคนใกล้จะตายเต็มทีทั้งที่ความรู้สึกภายในกำลังกระโดดลิงโลด แบคฮยอนกางแผ่นพับสวนสนุกออกเพื่อที่ดูว่าศูนย์อาหารที่พวกเขากำลังไปอยู่ตรงไหน รอยยิ้มที่แสนชั่วร้ายปรากฏขึ้นจางๆ บนใบหน้า จิตใจของแบคฮยอนกำลังล่ำร้องว่า เชิญมึงแบกกูไปถึงสุดขอบทะเลนู่นเถอะ!!ด้วยความสะใจ


    .


    .


    .


    เวลา 19 นาฬิกาที่ท้องฟ้าเริ่มมืด หลังจากที่ตะลอนเที่ยวสวนสนุกกันจนครบทุกซอกทุกมุมแล้วแบคฮยอนปิดวันที่แสนสนุกของเขาด้วยต๊อกปกกิชีส หลังจากที่ไปขึ้นรถไฟเหาะเที่ยวนรกเสร็จ แบคฮยอนก็ได้ทุกอย่างตามที่ชานยอลสัญญาไว้ เขาได้ไปทุกที่ที่อยากไป ได้เล่นทุกอย่างที่อย่างเล่น แล้วก็ได้กินทุกอย่างที่อยากกิน


    วันที่แสนสนุกและแสนเหนื่อยจบลงแล้ว แบคฮยอนไม่รู้ว่าเขาจะได้มีโอกาสแบบนี้อีกเมื่อไหร่ แต่ก็ตั้งเป้าไว้ว่ายังไงก็จะต้องกลับมาที่นี่ให้ได้อีกครั้ง แล้วก็หวังว่าจะได้มากับชานยอลอีก


    ปัง!


    เสียงประตูรถคันสีดำถูกปิดดังปัง พอแบคฮยอนได้ย้ายตัวเองเข้าไปนั่งในรถร่างเขาก็ไหลไปกับเบาะเหมือนของเหลว ความเหนื่อยจากทั้งร่างกายและจิตใจทำแบคฮยอนพลังงานหมดหลอด วันนี้เขาใช้หัวใจเปลืองมาก โกรธชานยอลก็มาก แต่ก็เผลอหวั่นไหวไปเยอะมาก


    ชานยอลดูเหมือนจะเป็นคนดีมากกว่าที่คิดถึงจะขี้กวนไปหน่อย แบคฮยอนชอบเวลาที่เห็นชานยอลหัวเราะถึงเขาจะไม่ค่อยพูด แต่ถึงอย่างนั้นบางสิ่งบางอย่างในการกระทำที่ดูสมบูรณ์แบบเกินไปก็ทำให้แบคฮยอนอดคิดไม่ได้ว่าชานยอลดูไม่เป็นตัวของตัวเอง หรือบางทีเขาอาจแค่คิดอคติไปเองก็ได้


    ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวไปตามทางที่ถูกประดับด้วยไฟ แอร์เย็นๆ ทำให้แบคฮยอนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา เขาเหลือบตาไปมองเด็กหนุ่มที่กำลังขับรถด้วยความตั้งใจก่อนจะพูดออกมา


    “ชานยอล”


    “หื้อ”


    “ถามไรหน่อยดิ ถ้าถามจะโกรธปะ”


    “ก็ถามมาดิ” คนตัวสูงว่าอย่างไม่ใส่ใจในขณะที่เอื้อมมือไปกดเปิดเครื่องเล่นเพลงพร้อมกับปรับเสียงให้เบาลง


    “เป็นคนเสแสร้งปะ” เอ่ยถามออกไปอย่างตรงไปตรงมาจนคนถูกถามถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ชานยอลไม่ได้มีทีท่าว่าจะโกรธ เขาดูขำมากเลยกับคำถามนี้


    “ทำไมคิดงั้นอะ”


    “ก็ไม่รู้อะเลยถาม” แบคฮยอนยักไหล่ เขาเห็นชานยอลหันมายิ้มให้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร “เห็นชอบยิ้มแบบไม่จริงใจอะ ใช่ปะ”


    “รู้ได้ไงว่าผมไม่จริงใจ?” ชานยอลหันไปส่งยิ้มให้กับพี่กวางจอมขี้สงสัยอีกครั้ง เขาเคาะปลายนิ้วลงกับพวงมาลัยเป็นจังหวะก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมา


    “รู้ตัวปะว่าตัวเองเป็นคนเก็บสีหน้าไม่อยู่อะ” แบคฮยอนว่าในขณะที่เปิดลิ้นชักเพื่อหยิบเอาขนมธัญพืชออกมาแกะกินแก้หิว  เขาไม่ได้จะบอกว่าชานยอลเป็นคนไม่ดีหรือขี้โกหก แบคฮยอนคิดว่าเขาจะไม่มีทางรู้แน่ว่าชานยอลเป็นคนแบบไหนถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันทั้งวัน


    “อือ”


    “เวลายิ้มเหมือนยิ้มกลบเกลื่อนอะ ยิ้มแบบยิ้มไปงั้น เราไม่ได้บอกว่าชานยอลเสแสร้งกับเรานะ แต่เวลาตัวเองไม่พอใจหน้ามันออกชัดมากเลยรู้ปะ” แบคฮยอนยกธัญพืชอัดแท่งขึ้นกัดก่อนจะพูดต่อ “ดูไม่เหมือนคนง่ายๆ เลยอะ”


    คำพูดที่แสนตรงไปตรงมาทำชานยอลอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เขาไม่รู้เลยว่าจะต้องตอบยังไงดีกับคำถามที่ชัดเจนมากขนาดนี้


    “หรอ”


    “แล้วจริงๆ เป็นคนแบบไหนอะ...”








    #ฟิคกวาง







    เดี๋ยวมาต่ออีกตอนค่ะ เมื่อวานลง 2 ตอนไม่ทัน อย่าลืม #ฟิคกวาง เด้อ เอ็นจอยรีดดิ้งค่า :D





    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×