ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Catch me if you can (ft.toben) #2
“คุณชานยอลคะ โทรศัพท์จากเรือนจำค่ะ”
“ผมรู้แล้ว บอกเค้าว่าผมกำลังไป”
“ได้ค่ะ”
เวลาผ่านไปเกือบเดือนแล้วตั้งแต่คดีปล้นครั้งใหญ่เกิดขึ้น แต่ทางตำรวจก็ยังไม่สามารถจับกุมผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดได้ ชานยอลได้รับสายจากทำเนียบทุกวัน และเขาแทบจะเป็นประสาทที่ต้องทำทั้งคดีปล้นและคดีฟอกเงินไปพร้อมๆ กัน
นายตำรวจหนุ่มหยิบสูทและคว้ากุญแจรถติดมือไปออกจากห้องทำงานทันที เพื่อที่จะไปค้นหาเบาะแสเพิ่มที่เรือนจำ ชานยอลบอกเลขาของเขาให้คอยเฝ้าห้อง อย่าให้ใครเข้าไปตอนที่ไม่อยู่ ก่อนที่ตัวเองจะเดินลงลิฟท์ไป...
.
.
.
การขับรถมาสามชั่วโมงเพื่อไปยังเรือนจำติดเกาะไม่ใช่เรื่องสนุก และชานยอลหวังว่าเขาจะได้ประโยชน์อะไรจากแบคฮยอนบ้าง
หลังจากที่ตรวจร่างกายจนเสร็จ ชายหนุ่มก็เดินไปยังห้องสอบสวนประจำ ที่หน้าห้องเขาเจอกับคุณหมอที่รักษาคนไข้ในเรือนจำกับผู้คุมเกาะกลุ่มยืนคุยกันอยู่ ทันทีที่ชานยอลเดินไปถึง ทั้งหมอและผู้คุมต่างรุมกรูเข้ามาฟ้องพฤติกรรมของนักโทษพิเศษคนนี้กันใหญ่
“ฉันทนไม่ไหวแล้วนะคะคุณชานยอล... เดือนนี้นักโทษของคุณขโมยยาจากห้องพยาบาลสิบครั้ง เค้าขโมยส้อมจากห้องครัว ขโมยส้ม ขโมยถุงสำลีกับถุงก๊อบแก๊บ เค้าเอาไปทำอะไร? ฉันว่าเค้าเป็นโรคจิตนะคะ คุณควรให้หมอมาตรวจเค้า” พยาบาลผิวสีเดินหน้ายุ่งเข้ามาฟ้องนายตำรวจใหญ่ และชายหนุ่มก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เขาแค่หัวเราะออกมาเบาๆ จากในลำคอเหมือนอย่างที่ชอบทำ
“ไม่หรอก เค้าแค่อยากปั่นหัวคุณเล่นแก้เบื่อเท่านั้นน่ะ อดทนหน่อยนะ ช่วยเปิดประตูให้ผมหน่อย” ชานยอลสั่งกับผู้คุม และทันทีที่ประตูเปิดออกเขาก็พบกับแฟนตัวเล็กที่ยังมีสภาพอยู่ดีครบ 32 แบคฮยอนยังกวนโอ้ยเหมือนเดิม
เขายังนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วก็ตีหน้านิ่งเฉยๆ เหมือนไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร
“นายดูดีนะ” ชานยอลเอ่ยทัก เขาเดินไปนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก่อนที่จะเปิดแฟ้มออก
“คราวนี้อะไรอีกอะ”
“รู้ไหมแบคฮยอนตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนนายข้างนอก...วันนี้คนที่ปล้นเพชรถูกยิง ตอนนี้เค้านอนอยู่ที่โรงพยาบาล ยังไม่ฟื้น” แฟ้มที่มีรูปชายชาวจีนนอนใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่บนเตียงถูกยื่นไปให้กับนักโทษหัวหน้าแก๊งปล้น ชานยอลเหลือบตามองดูปฏิกิริยาของแฟนเขาครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเปิดแฟ้มหน้าถัดไป
“นี่ทองของเคลวิน ใช่ไหม เค้าทิ้งทองไว้ แล้วก็หนีหายไป ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง...” นายตำรวจหนุ่มเงียบไปก่อนที่จะพูดต่อ “อะไรทำให้โจรยอมทิ้งของที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อชิงมาบอกหน่อยสิแบคฮยอน...”
“..........”
“นายรู้ไหมว่านายโชคดีแค่ไหนที่ได้อยู่ที่นี่”
“เพราะนายคิดเอาเองต่างหากว่าฉันโชคดี” แบคฮยอนไม่ได้ตอบอะไร เขาไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองโชคดีที่ถูกจับติดคุก แบคฮยอนกำลังคิดว่าถ้าเขาได้ออกไปรวมกลุ่มกับพวกเพื่อนๆ ป่านนี้ก็คงไม่มีคนเจ็บ และเราทุกคนก็คงจะได้แยกย้ายไปทำตามความฝันของตัวเอง
“ตอนนี้ไม่ได้มีแค่คดีปล้นแล้วแบคฮยอน พวกฟอกเงิน มันตามล่าพวกนายทุกคน... นายต้องให้ฉันพูดอีกกี่รอบ... มันไม่ใช่แค่เรื่องขโมยเงิน นายกำลังเค้าไปยุ่งกับปัญหาของพวกค้ายา”
“............”
“ฉันปกป้องพวกนายทุกคนไม่ได้ เพราะเค้าไม่ยอมให้ช่วย และฉันจะไม่เสียเวลาพูดเรื่องที่นายรู้อยู่แล้วเป็นครั้งที่สอง บอกทุกอย่างที่นายรู้มาแบคฮยอน ก่อนที่เพื่อนนายทุกคนจะตาย ทำไมต้าฉวนไปปล้นร้านเพชร... ทำไมเคลวินถึงไปปล้นตลาดทอง”
“ฉันไม่รู้”
“ไม่รู้หรอ? ทั้งร้านเพชรทั้งตลาดทองที่พวกนายไปปล้นเป็นแหล่งฟอกเงิน เป็นปลายทางของเงินที่นายไปปล้นมาไงแบคฮยอน”
“ฉันบอกว่าฉันไม่รู้...” แบคฮยอนไม่ยอมตอบอะไร เขาหลุบตาลงมองแฟ้มเพียงแค่แว้บเดียวก็เชิดหน้าขึ้นพูดต่อ “ทำไมไม่ไปถามเอิลวินล่ะ หรือว่าตามจับเค้าไม่ได้”
“ทำไมฉันต้องไปถามเอิลวินในเมื่อนายเป็นหัวหน้า และนายรู้ทุกอย่างที่เค้าทำ”
“ใช่ ฉันรู้ทุกอย่างยกเว้นเรื่องที่ว่าทำไมเราต้องไปปล้นที่ร้านทองนั่นกับเพชรไง... เอิลวินบอกว่าเค้ารู้ระบบความปลอดภัย เราเข้าไปที่นั่นได้ ฉันแค่เข้าไปเป็นพนักงานที่ตึก ตรวจสอบลาดเลาแล้วก็ขโมยเงิน ฉันไม่รู้เรื่องเพชร”
“เค้าเป็นคนวางแผง”
“ใช่”
”ไม่สงสัยเลยหรอว่าทำไมต้องไปปล้นพร้อมกัน”
“ฉันบอกเค้าแล้วว่ามันจะเอิกเกริก เราแค่อยากได้เงินแล้วก็หนีไป แต่เค้าไม่ฟัง เค้าบอกว่าถ้าเกิดเรื่องพร้อมกันตำรวจจะหัวหมุน... แต่เค้าก็พูดถูก วันที่ฉันปล้นเงินพวกตำรวจเหยาะแหยะอย่างกับนักเรียนทหาร” แบคฮยอนยักไหล่ เขาไม่สนใจเรื่องที่ยุ่งยากวุ่นวายขนาดนั้นหรอก
“แล้วยังไง เค้าบอกอะไรอีก”
“ฉันไม่รู้ ไม่ได้สนใจด้วย ฉันสนแค่งานของฉัน”
“รู้ไหมว่าเคลวินขโมยทองไปเท่าไหร่”
“เชื่อเลยว่าเต็มกระเป๋า เท่าที่เค้าขนไหว”
“งั้นหรอ”
“เมื่อวานฉันนอนกับไอ้ดำผิวสี”
“มาบอกทำไม”
“เผื่อนายอยากรู้”
“งั้นหรอ” ชานยอลไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เขาแค่เปิดแฟ้มไปอีกหน้านึงแล้วเริ่มพูดต่อ “เอิลวินมีประวัติค้ายายาวเป็นหางว่าว มีเรื่องบาดหมางกับพวกตัวพ่อเป็นสิบ แล้วทำไมอยู่ๆ เอาเค้ามาเข้าทีม”
“ตอนนั้นฉันไม่รู้นี่ ไม่สนใจด้วย”
“งั้นนายควรจะสนได้แล้ว เพราะเพื่อนรักของนายพาพวกไปปล้นแหล่งฟอกเงินของพวกค้ายา แล้วตอนนี้มันหนีหายจ้อย นายถูกจับ ส่วนเพื่อนนายถูกตามล่าหัว”
“มันก็ช่วยไม่ได้นี่ ก็มันเกิดขึ้นแล้ว”
“ไม่ใช่แบคฮยอน... มันไม่ใช่เรื่องผิดพลาด เพราะสิ่งที่เค้าทำคือพาพวกนายไปปล้นเพื่อแก้แค้น แล้วตอนที่เค้าหอบเงินชิ่งหาย พวกนายรับเคราะห์แทน” ชานยอลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาลอบสังเกตสีหน้าของคนตรงหน้าเป็นระยะ แล้วก็ดูเหมือนว่าคนตัวเล็กจะเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองบ้างแล้ว
“แล้วจะให้ฉันทำไง ฉันอยู่ในคุกจะทำอะไรได้”
“นายบอกทุกอย่างที่รู้เกี่ยวกับเพื่อนนายทุกคน”
“แล้วนายก็จะจับพวกเค้ามาขังเหมือนกับที่ทำกับฉัน”
“นายรู้ว่าฉันทำอะไร...”
“คิดว่าอยู่ในคุกกับตำรวจแล้วจะดีกว่าอยู่แบบเสี่ยงๆ ข้างนอกงั้นหรอ”
“ขอโทษนะแบคฮยอน แต่ฉันไม่สนใจหรอกว่าเพื่อนนายจะอยู่หรือตาย พวกเค้าสำคัญกับงานของฉัน แต่ถ้าไม่มีมันเรายังมีหลักฐานอื่น แต่นายล่ะ เค้าไม่ใช่เพื่อนหรอ ไม่ห่วงว่าเค้าจะต้องตายอยู่ข้างนอกหรอ”
“พวกเค้ารู้วิธีเอาตัวรอดน่า ฉันเบื่อกับวิธีการพูดเกลี้ยกล่อมของนายแล้วชานยอล เมื่อไหร่จะปล่อยฉันสักที” คนตัวเล็กถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่พรางเอนหลังลงพิงกับพนักเก้าอี้ ใบหน้าสวยหวานยังคงนิ่งเรียบ ไม่มีสีหน้าใดถูกแสดงออกมา
“ฉันรู้แบคฮยอน.... ฉันรู้ว่านายคิดอะไร แต่ถ้านายยังไม่ยอมช่วยฉันเราก็คงจะไปกันได้แค่นี้ และฉันจะไม่ปราณีนาย” ชานยอลยกมือขึ้นประสานบนโต๊ะ เอนหลังลงกับพนักพิงด้วยท่าทีจริงจัง เขารู้ว่าคนอย่างแบคฮยอนมันแสนรั้น ชอบบุกเดี่ยว ไม่ชอบทำงานร่วมกับใครแล้วก็ไม่ชอบพวกตำรวจเอามากๆ ด้วย แต่ว่าตลอดระยะเวลามานี้ชานยอลเองก็ชักจะเครียดมากขึ้นทุกที
กว่าจะได้ข้อมูลจากแบคฮยอนทีก็ต้องเถียงกันจนเหนื่อยใจ และชานยอลก็แทบจะเป็นประสาทอยู่แล้ว
“ฉันพูดอยู่ว่าฉันรู้ว่าตัวเองทำอะไร”
“งั้นหรอ นายจะบอกว่านายรู้งั้นหรอ เรื่องทั้งหมดนี่”
“งั้นนายอยากรู้ไหมว่าตอนนี้เอิลวินอยู่ที่ไหน”
“ใช่ ฉันอยากรู้”
“บอกมาสิว่าถ้าได้ตัวเค้าแล้วจะทำยังไง”
“นั่นเป็นงานของตำรวจ”
“เค้าตายแล้วชานยอล... กว่านายจะหาเค้าเจอก็คงเน่าไปแล้ว นายคิดว่านายคิดเรื่องพวกนี้เป็นอยู่คนเดียวหรอ...”
“...........”
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันเบื่อนิสัยอวดฉลาดของนายเต็มทีแล้ว...”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นชานยอลก็รวบแฟ้มเดินออกจากห้องสอบสวนไปทันที เขาเดินเร็วๆ ไปหาผู้คุมที่เป็นคนเฝ้าสมุดเข้าเยี่ยมนักโทษ แล้วตรงเข้าไปเปิดสมุดบันทึกญาติทันที
“ทั้งเดือนมานี้มีใครเข้ามาเยี่ยมแบคฮยอนมั่งไหม” นายตำรวจหนุ่มถาม เขาได้แต่จิ๊ปากอย่างนึกขัดใจเมื่อนึกได้ว่าตัวเองอาจจะทำอะไรพลาดไป
“ไม่มีครับ มีแต่เขียนจดหมายเข้ามา แล้วก็ส่งออกไปสองครั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว”
“มีสำเนาไหม”
“มีครับ”
“เอามาให้ฉัน” ชานยอลร้อนรนจบแทบทนไม่ไหว เขายืนรอให้ผู้คุมหาสำเนาจดหมายของนักโทษอยู่ด้วยจิตใจที่ไม่ปกติสุข มือหนายกขึ้นลูบปลายคางด้วยความเป็นกังวล เพียงไม่นานกระดาษสำเนาของจดหมายสองแผ่นก็ถูกยื่นส่งมา
“มีแค่ที่เขียนแล้วส่งไป ส่วนจดหมายที่ส่งมานักโทษขอเก็บไว้ ผมเช็คแล้วว่าไม่มีอะไร ก็เลยให้ไป”
ชานยอลพยักหน้าให้กับผู้คุมก่อนที่จะหยิบเอาจดหมายฉบับแรกมาเปิดออก จ่าหน้าของมันส่งไปที่ถนนบ้านเด็กกำพร้าที่ตั้งอยู่บนถนนหมายเลข 56 ส่งถึง วิลเลี่ยนผู้เป็นที่รัก ในความจดหมายเขียนเอาไว้ว่า
‘ถึง วิลเลี่ยนที่รัก ผมได้ทราบข่าวแล้วเรื่องที่เบนจามินหนีออกจากบ้านไป มันเป็นหมาที่ซุกซน และผมคิดว่ามันคงไม่กลับมา คุณอาจต้องไปตามหามัน
ผมมีเรื่องเล็กน้อยอยากจะบอกกับคุณ ในวันนี้ตอนที่ผมนั่งกินกาแฟอยู่ผมได้นึกถึงเรื่องเก่าๆ ของเราสมัยยังอยู่ด้วยกัน ตอนที่แหวนคุณหายไปแล้วคุณโทษผม ผมมีความจริงที่อยากจะบอก ผมเห็นคนขับรถเอามันไป เขาหยิบมันไปตอนที่คุณทำตกตรงสนามเด็กเล่น แต่ผมก็ไม่พูดอะไร
เค้าบอกว่าจะให้เงิน 1 ดอลล่าถ้าผมเงียบปาก และตอนนี้ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองถูกหลอกใช้ มาจนถึงตอนนี้ผมได้แต่นั่งนึกย้อนไปแล้วก็รู้สึกขำ อาจจะเป็นเพราะคุณเห็นแววของการเป็นขโมยในตัวผม เพราะผมมักจะขโมยขนมปังของคุณอยู่บ่อยครั้ง คุณถึงได้กล่าวโทษผม แต่ว่าสิ่งที่คุณพูดวันนั้นมันก็คือเรื่องจริง
คนขับรถช่างเป็นคนเลวร้ายอะไรอย่างนี้ เค้าหลอกพวกเรา และผมก็ไม่ได้เงินแม้แต่ดอลล่าเดียวในขณะที่เค้าเอาแหวนหนีไป แล้วปล่อยให้ผมถูกลงโทษ ตอนนี้วิคเตอร์กับวิลลิสบายดีไหม ฝากบอกพวกเขาด้วยว่าผมคิดถึง ฝากบอกเด็กๆ ที่บ้านด้วยว่าผมคิดถึงพวกเค้าเสมอ
เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ ที่ผมต้องมานั่งเขียนจดหมายอยู่ในตะรางแบบนี้ ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะไปหาพวกคุณทุกคน
ฝากความคิดถึงทั้งหมดนี้ส่งให้เด็กๆ ที และฝากกำจัดหญ้าที่หน้าบ้านด้วยตอนที่ผมอยู่ที่นี่
ปล.อย่าลืมตามเบนจามินกลับมา ผมห่วงว่ามันอาจจะออกไปเจออันตราย
ด้วยรัก B’
“จดหมายที่ตอบกลับมาบอกว่ายังไงจำได้ไหม” ชานยอลเอ่ยถามกับผู้คุมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาเปิดจดหมายฉบับที่สองออกแล้วตั้งในอ่านมันพร้อมกับยกมือขึ้นจับปลายคาง
“เอ่อ... ก็ธรรมดาทั่วไปครับ คุณนายบอกว่าเจอหมาที่ชื่อเบญจามินแล้ว แล้วก็ส่งคนไปตัดหญ้าให้เรียบร้อยแล้ว เด็กที่ชื่อวิลลิสอยู่กับวิคเตอร์สบายดี อะไรแบบนี้” ผู้คุมเล่าเท่าที่จำได้
“อื้อ...”
จดหมายฉบับที่สอง
‘ถึงวิลเลี่ยน ผมดีใจที่ได้ทราบว่าพวกเด็กๆ คิดถึงผม ขอบคุณเรื่องจัดการหญ้าหน้าบ้านด้วย มันอาจจะเป็นภาระของคุณไปสักหน่อย แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะกลับไปตัดมันด้วยตัวเอง
ผมฝากดูแลเด็กๆ ที่รักของผมและเบญจามินด้วย ฝากความคิดถึงถึงวิลลิสและวิคเตอร์ เวลาเข้านอนอย่าลืมปิดล๊อคประตูบ้านให้ดี ระวังอย่าให้พวกหมาสีดำมันเข้ามายุ่มย่ามอีก ผมหวังว่าจะได้เจอคุณเร็วๆ นี้’
จดหมายฉบับที่สองสั้นและไม่มีใจความอะไรไปมากกว่าการแสดงความคิดถึง แต่ชานยอลก็ไม่ได้ชะล่าใจ เขายิ่งกว่ามั่นใจอีกว่าแบคฮยอนสั่งคนไปฆ่าเอิลวินแน่ เมื่อเขารู้ตัวว่าถูกหักหลัง
“โธ่เว้ย!!!” นายตำรวจหนุ่มได้แต่สบถออกมาด้วยความหงุดหงิด ชานยอลเดินกลับไปที่ห้องสอบสวนด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เขาทุบโต๊ะดังปังก่อนที่จะเดินเข้าไปขยุ้มคอเสื้อนักโทษตัวแสบเอาไว้
“นายรู้ตัวไหมแบคฮยอนว่าทำอะไรลงไป!”
“ฉันทำอะไรหรอ” คนตัวเล็กยังคงแสดงท่าทีเฉยเมยเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร แบคฮยอนเป่าหมากฝรั่งของเขาเป็นลูกโตๆ จนมันแตกปุ๊คาปาก
“ฉันปกป้องนาย แต่นายทำลายงานฉัน...”
“งั้นนายคงต้องเรียนรู้วิธีการปกป้องคนใหม่แล้วล่ะ...”
“หึ... ครั้งนึงฉันสาบานไว้ว่าจะปกป้องนาย และไม่ว่ายังไงฉันก็จะทำ ไม่ว่านายจะคิดยังไงกับวิธีของฉัน...”
“นายจะปกป้องฉันด้วยการขังไว้ในเรือนจำแบบนี้หรอ ทำไมไม่ใส่ปลอกคอให้ฉันซะเลยล่ะ”
“พรุ่งนี้ ฉันจะย้ายนายแบคฮยอน รับรองว่านายได้เข็ดไปอีกหลายทศวรรษแน่...”
.
.
.
แกร๊ก...
เสียงประตูเหล็กถูกปิดล๊อคจากด้านนอก ทันทีที่บานประตูปิดลงรถขนส่งนักโทษก็ขับเคลื่อนออกจากเรือนจำที่สบายที่สุดในโลก แบคฮยอนได้แต่นึกของคุณในใจที่ชานยอลส่งไอ้ล่ำเพื่อนร่วมห้องนั่นมาปกป้องเขา รวมถึงผู้คุมหนุ่มหล่อคนนั้นด้วย แต่ว่าหลังจากนี้มันก็คงจะไม่มีอีกแล้ว
“วันนี้น่าเบื่อนะ... ว่าไหม...” คนตัวเล็กพูดขึ้นลอยๆ ด้วยท่าทีเบื่อหน่าย กรงเหล็กเคลื่อนที่ทำให้แบคฮยอนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์อะไรสักอย่างที่กำลังจะถูกส่งไปสวนสัตว์
“อือ...”
“ช่วยพาฉันออกไปจากที่นี่ทีสิ... วิลลิส...”
.
.
.
“ท่านครับ!! นักโทษหลบหนีระหว่างเคลื่อนย้ายครับ!”
เสียงของนายตำรวจหนุ่มที่เปิดประตูเข้ามารายงานความเคลื่อนไหวเรื่องการย้ายนักโทษ ทำให้หัวหน้าหน่วยปราบอาชญากรรมต้องรีบวางโทรศัพท์ทันที
“หมายความว่าไง”
“แบคฮยอนหลบหนีไปแล้วครับ ตอนนี้ตำรวจกำลังตามตัว คิดว่าอาจจะยังไปได้ไม่ไกล เราปิดถนนทุกเส้นหมดแล้วครับ!”
“ดี ตามตัวมาให้ได้ อย่าให้หนีไปได้อีก” ชานยอลว่าเสียงเข้ม เขารีบคว้าโทรศัพท์มือถือเดินออกจากห้องทำงานไปทันที เพื่อไปมุงดูรายงานสถานการณ์ข่าวสดเรื่องการหลบหนีของนักโทษคดีปล้น
เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือบอกชานยอลว่านักโทษของเขากำลังหลบหนีออกนอกเส้นทาง และตอนนี้ตำแหน่งของแบคฮยอนก็อยู่ไม่ห่างจากจุดเกิดเหตุนัก เขาคงจะหนีไปได้ไม่ไกล
“ปิดถนนให้รอบ! จับตัวแบคฮยอนมาให้ได้!”
-
“บ้าเอ้ย!”
หลังจากที่เวลาผ่านไปกว่า 30 นาทีกับการพยายามจับกุมผู้ต้องหาหลบหนี และตำรวจยังคว้าน้ำเหลว ชานยอลเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะของแบคฮยอนที่ข้างหู เขาเหมือนกำลังยืนมองคนรักเดินห่างออกไปอย่างหน้าตาเฉย
ชานยอลไม่รู้เลยว่าแฟนของเขาทำได้ยังไง ทั้งๆ ที่ถนนทุกเส้นถูกปิด เขาติดอยู่กลางดงตำรวจเกือบ 15 นาทีแล้วอยู่ๆ ก็เคลื่อนตัวออกไปเหมือนแค่เดินออกมาเฉยๆ และตอนนี้แบคฮยอนก็กำลังมุ่งหน้าไปที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมันไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตาย
หลังจากนี้มันไม่ใช่หน้าที่ของตำรวจอีกแล้ว... ชานยอลจะทำหน้าที่ของเขาในฐานะแฟนที่อยากจะดูแลคนรักให้ดีที่สุด...
คนตัวสูงคว้าสูทของตัวเองขึ้นมาสวมก่อนที่จะหยิบกุญแจรถเดินออกจากสำนักงานไป ปล่อยให้โทรศัพท์บนโต๊ะยังคงดังต่อไป และจะไม่มีใครรับสายจนกว่างานนี้จะเสร็จ...
.
.
.
“ยินดีต้อนรับกลับ”
ภายในโบสท์เก่าๆ ที่ถูกสร้างเอาไว้กลางป่า แบคฮยอนได้เดินกลับเข้าสู่อ้อมกอดที่อบอุ่นอีกครั้งหลังจากที่ถูกส่งเข้าบ้านพักตะรางอยู่นาน
เขาตรงเข้าไปกอด วิลเลี่ยนเค เซวิลลิส และวิคเตอร์วู ตามลำดับ ก่อนที่จะเซไปล้มตัวลงนอนบนโซฟา ตอนนี้ต้าฉวนยังอยู่ที่โรงพยาบาล และแบคฮยอนไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก หลังจากที่เขาสั่งให้เด็กๆ ไปเก็บกวาดหญ้าหน้าบ้านที่มันรกรุงรังเสร็จ ทุกอย่างก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มเข้าร่องเข้ารอย
เคลวินซ่อนทองที่ปล้นมาไว้ได้จำนวนหนึ่งไว้ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว ไคชิงเพชรมาจากต้าฉวนได้สำเร็จหลังจากที่ลอบยิงเขา ส่วนเซฮุนก็ชิงเงินกลับมาได้จนครบหลังจากที่ตามตัว ‘คนขับรถ’ จนเจอแล้วเก็บกวาดซะ
แต่ว่าเรื่องมันยังไม่จบเท่านี้.... พวกเขายังต้องหาทางหนีพ่อค้ายาที่กำลังตามล่าเงินของมันคืนอยู่อีก
“ทุกอย่างเรียบร้อยใช่ไหม” แบคฮยอนถาม
“ใช่ ทุกอย่าง...”
“งั้นก็รีบหนีกันเถอะ ก่อนที่จะมีใครเจ็บ”
ปัง!!
ไม่ทันที่แบคฮยอนจะได้พูดจบเสียงปืนก็ดังขึ้น พวกเด็กๆ ของเขารีบก้มลงหมอบกับพื้น และทันทีที่เสียงปืนดับลงประตูโบสถ์ก็ถูกเปิดออกอย่างแรง
ชายสามคนในชุดสีดำที่สวมไอ้โม่งเดินย่างเท้าเข้ามาในโบสถ์อย่างเชื่องช้า พวกเขาจ่อปลายกระบอกไปยังเด็กหนุ่มสี่คนที่นอนหมอบอยู่กับพื้น
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนสี่นัดดังสนั่นหวั่นไหว แบคฮยอนไม่อยากรับรู้ว่าตัวเองกำลังตาย ตัวเขาสั่นงันงก สองมือกำชายเสื้อน้องชายเอาไว้แน่น แต่ก่อนที่ความรู้สึกเจ็บจะได้แผ่ซ่านเสียงปืนอีกนัดนึงก็ดังขึ้น
ปัง!
“ลุกขึ้นมาได้แล้ว”
เสียงทุ้มที่แสนคุ้นหูเรียกแบคฮยอนให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ เขาเห็นผู้ชายสามคนที่ยืนอยู่เมื่อครู่ล้มลงนอนกองกับพื้น ส่วนผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็คือคนที่แบคฮยอนพยายามจะหนีมาตลอดทั้งเดือนนี้
ในมือของเขามีปืนยาวแบบหน่วยสวาท ทั้งๆ ที่สวมเสื้อสูทแต่ยังทำเป็นแอคเท่เหมือนกับตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนาม
“นายมาได้ยังไง...” แบคฮยอนรู้สึกเหมือนไม่เชื่อสายตา เขายืนขึ้นมองผู้ชายตรงหน้าในขณะที่มือก็ยังกระชับกระบอกปืนไว้แน่น
ชานยอลทำตัวเหมือนผี.... เขารู้ทุกทีเวลาที่แบคฮยอนหนีไปไหน แล้วก็ตามไปจับได้ทุกครั้ง มันทำให้แบคฮยอนทั้งทึ่งและปวดหัว
“นายน่าจะรู้ก่อนที่จะหนีมานะ” ชานยอลไม่ยอมตอบคำถาม เขายึดปืนออกมาจากมือแฟนตัวเล็กแล้วเหน็บมันลงกับสีข้างที่มีซองปืนสั้นเหน็บอยู่
“นายมาที่นี่ทำไม มาจับฉันหรอ”
“ฉันดูเหมือนมาจับนายหรอ ห้ะ คิดไหมว่าจะเป็นยังไงถ้าฉันไม่อยู่ที่นี่”
“เดี๋ยว... นี่มันตำรวจที่เห็นในทีวีนี่” จงอินรีบเอื้อมมือไปคว้าข้อมือพี่ชายของเขาเอาไว้ทันทีเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นใคร สายตาของเขาเต็มไปด้วยความระแวง ท่าทางของผู้ชายสีหน้านิ่งเรียบคนนี้ จงอินดูไม่ออกว่าเขามาดีหรือมาร้าย แต่ที่แน่ๆ ถ้าเป็นตำรวจก็ไม่น่าไว้ใจเลย
“ไม่เป็นไร” แบคฮยอนหันไปปรามน้องชายของเขา
“แล้วคราวนี้นายจะรู้สึกขอบคุณฉันได้หรือยังห้ะ แบคฮยอน....” ชานยอลไม่ได้สนใจเด็กหนุ่มที่ตั้งท่าระแวงใส่เขา เขาเพียงแค่เหลือบตาไปมองดูแค่ครู่เดียวก็กลับไปจ้องหน้าคนที่ตัวเองกำลังคุยด้วยต่อ
“พวกนายไปเก็บของ... ทางนี้ฉันจัดการเอง” แบคฮยอนหันไปบอกกับพวกเด็กๆ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้ชายตรงหน้า
คนตัวเล็กได้แต่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่าย แบคฮยอนเบื่อเต็มทีแล้วกับการหนีชานยอล เขาหนีตำรวจทั้งกรมมาเป็นร้อย และมันไม่เคยมีครั้งไหนเหนื่อยเท่าครั้งนี้มาก่อน
“ตกลงนายไม่ได้มาจับฉันใช่ไหม”
“............”
“ก็ได้ ขอบคุณ...”
“...........”
“นี่ อย่างอนน่า” แบคฮยอนยกมือขึ้นตบข้างแก้มแฟนหนุ่มของเขาเบาๆ ก่อนที่จะเขย่งปลายเท้าขึ้นไปกดจูบลงบนริมฝีปากที่หยาบเพราะรอยแตก นี่มันพอแล้วใช่ไหม? แบคฮยอนว่าเขาตอบแทนชานยอลมากพอแล้ว... ใช่ไหม?
“เหอะ...”
“นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ หนีไปด้วยกันเถอะ...”
“นายกำลังชวนตำรวจให้ทำผิดรู้ไหม”
“ฉันรู้น่า หยุดพูดเรื่องกฎสักที ไปด้วยกันเถอะนะ” แบคฮยอนรบเร้า เขาจะไม่ยอมถูกแฟนตัวเองจับเข้าคุกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้อีกแล้ว แบคฮยอนรู้ว่าชานยอลรักงานนี้ เขารักการเป็นตำรวจ แต่แล้วไงใครสนล่ะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาตามจับกันได้ไหม
“นายจะหนีไปไหน นายก็รู้ว่าหนีไปที่ไหนก็ไม่พ้นฉัน”
“อยากรู้ก็ไปด้วยกันสิ”
“ของอย่างนั้นไม่ต้องทำก็รู้”
“แล้วอยากจะจับฉันไหม ฉันยืนอยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง” แบคฮยอนยื่นมือทั้งสองข้างของเขาให้กับนายตำรวจอย่างท้าทาย แต่สุดท้ายเขาก็แค่โดนชกกลับที่ข้อมือเบาๆ เท่านั้น
“ฉันเบื่อจะจับนายแล้ว...”
“งั้นจะทำยังไงอะ ปล่อยฉันหนีไปหรอ”
“ไม่ทั้งสอง... เรามาทำข้อตกลงกันดีไหม ถ้านายช่วยฉันทำงานให้เสร็จ ฉันสัญญาว่าจะล้างคดีให้” ชานยอลพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เขาใช้แขนกอดรั้งเอวแฟนตัวเล็กให้ขยับเข้ามาใกล้ก่อนที่จะยื่นหน้าเข้าไปคลอเคลียใกล้กับปลายจมูกรั้นเล็กๆ
“อยากให้ฉันทำอะไรล่ะ”
“ช่วยฉันจับพวกฟอกเงินให้หมด แล้วฉันจะล้างคดีให้ นายจะได้มีเงินใช้สบายๆ แบบไม่ต้องหนีไปไหนไง ไม่ต้องถูกตามล่าด้วย”
“อย่างงั้นหรอ... แล้วจะได้อะไรนอกจากนี้อีกล่ะ” มือบางสอดล้วงเข้าไปใต้เสื้อสูท ลูบไล้ผ่านแผ่นหลังลามมายังบริเวณหน้าท้อง
และก่อนที่จะได้พูดอะไรริมฝีปากบางก็ถูกประกบจูบอย่างหนักหน่วง แบคฮยอนถูกผลักให้นอนลงบนโซฟาในขณะกลีบปากของเขายังถูกดูดดึงอย่างหิวกระหาย
การลงโทษของนักโทษหลบหนีคดีได้เริ่มต้นขึ้น ต่อหน้าพระเจ้าผู้เป็นสักขีพยาน....
“ผมรู้แล้ว บอกเค้าว่าผมกำลังไป”
“ได้ค่ะ”
เวลาผ่านไปเกือบเดือนแล้วตั้งแต่คดีปล้นครั้งใหญ่เกิดขึ้น แต่ทางตำรวจก็ยังไม่สามารถจับกุมผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดได้ ชานยอลได้รับสายจากทำเนียบทุกวัน และเขาแทบจะเป็นประสาทที่ต้องทำทั้งคดีปล้นและคดีฟอกเงินไปพร้อมๆ กัน
นายตำรวจหนุ่มหยิบสูทและคว้ากุญแจรถติดมือไปออกจากห้องทำงานทันที เพื่อที่จะไปค้นหาเบาะแสเพิ่มที่เรือนจำ ชานยอลบอกเลขาของเขาให้คอยเฝ้าห้อง อย่าให้ใครเข้าไปตอนที่ไม่อยู่ ก่อนที่ตัวเองจะเดินลงลิฟท์ไป...
.
.
.
การขับรถมาสามชั่วโมงเพื่อไปยังเรือนจำติดเกาะไม่ใช่เรื่องสนุก และชานยอลหวังว่าเขาจะได้ประโยชน์อะไรจากแบคฮยอนบ้าง
หลังจากที่ตรวจร่างกายจนเสร็จ ชายหนุ่มก็เดินไปยังห้องสอบสวนประจำ ที่หน้าห้องเขาเจอกับคุณหมอที่รักษาคนไข้ในเรือนจำกับผู้คุมเกาะกลุ่มยืนคุยกันอยู่ ทันทีที่ชานยอลเดินไปถึง ทั้งหมอและผู้คุมต่างรุมกรูเข้ามาฟ้องพฤติกรรมของนักโทษพิเศษคนนี้กันใหญ่
“ฉันทนไม่ไหวแล้วนะคะคุณชานยอล... เดือนนี้นักโทษของคุณขโมยยาจากห้องพยาบาลสิบครั้ง เค้าขโมยส้อมจากห้องครัว ขโมยส้ม ขโมยถุงสำลีกับถุงก๊อบแก๊บ เค้าเอาไปทำอะไร? ฉันว่าเค้าเป็นโรคจิตนะคะ คุณควรให้หมอมาตรวจเค้า” พยาบาลผิวสีเดินหน้ายุ่งเข้ามาฟ้องนายตำรวจใหญ่ และชายหนุ่มก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เขาแค่หัวเราะออกมาเบาๆ จากในลำคอเหมือนอย่างที่ชอบทำ
“ไม่หรอก เค้าแค่อยากปั่นหัวคุณเล่นแก้เบื่อเท่านั้นน่ะ อดทนหน่อยนะ ช่วยเปิดประตูให้ผมหน่อย” ชานยอลสั่งกับผู้คุม และทันทีที่ประตูเปิดออกเขาก็พบกับแฟนตัวเล็กที่ยังมีสภาพอยู่ดีครบ 32 แบคฮยอนยังกวนโอ้ยเหมือนเดิม
เขายังนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วก็ตีหน้านิ่งเฉยๆ เหมือนไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร
“นายดูดีนะ” ชานยอลเอ่ยทัก เขาเดินไปนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก่อนที่จะเปิดแฟ้มออก
“คราวนี้อะไรอีกอะ”
“รู้ไหมแบคฮยอนตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนนายข้างนอก...วันนี้คนที่ปล้นเพชรถูกยิง ตอนนี้เค้านอนอยู่ที่โรงพยาบาล ยังไม่ฟื้น” แฟ้มที่มีรูปชายชาวจีนนอนใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่บนเตียงถูกยื่นไปให้กับนักโทษหัวหน้าแก๊งปล้น ชานยอลเหลือบตามองดูปฏิกิริยาของแฟนเขาครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเปิดแฟ้มหน้าถัดไป
“นี่ทองของเคลวิน ใช่ไหม เค้าทิ้งทองไว้ แล้วก็หนีหายไป ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง...” นายตำรวจหนุ่มเงียบไปก่อนที่จะพูดต่อ “อะไรทำให้โจรยอมทิ้งของที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อชิงมาบอกหน่อยสิแบคฮยอน...”
“..........”
“นายรู้ไหมว่านายโชคดีแค่ไหนที่ได้อยู่ที่นี่”
“เพราะนายคิดเอาเองต่างหากว่าฉันโชคดี” แบคฮยอนไม่ได้ตอบอะไร เขาไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองโชคดีที่ถูกจับติดคุก แบคฮยอนกำลังคิดว่าถ้าเขาได้ออกไปรวมกลุ่มกับพวกเพื่อนๆ ป่านนี้ก็คงไม่มีคนเจ็บ และเราทุกคนก็คงจะได้แยกย้ายไปทำตามความฝันของตัวเอง
“ตอนนี้ไม่ได้มีแค่คดีปล้นแล้วแบคฮยอน พวกฟอกเงิน มันตามล่าพวกนายทุกคน... นายต้องให้ฉันพูดอีกกี่รอบ... มันไม่ใช่แค่เรื่องขโมยเงิน นายกำลังเค้าไปยุ่งกับปัญหาของพวกค้ายา”
“............”
“ฉันปกป้องพวกนายทุกคนไม่ได้ เพราะเค้าไม่ยอมให้ช่วย และฉันจะไม่เสียเวลาพูดเรื่องที่นายรู้อยู่แล้วเป็นครั้งที่สอง บอกทุกอย่างที่นายรู้มาแบคฮยอน ก่อนที่เพื่อนนายทุกคนจะตาย ทำไมต้าฉวนไปปล้นร้านเพชร... ทำไมเคลวินถึงไปปล้นตลาดทอง”
“ฉันไม่รู้”
“ไม่รู้หรอ? ทั้งร้านเพชรทั้งตลาดทองที่พวกนายไปปล้นเป็นแหล่งฟอกเงิน เป็นปลายทางของเงินที่นายไปปล้นมาไงแบคฮยอน”
“ฉันบอกว่าฉันไม่รู้...” แบคฮยอนไม่ยอมตอบอะไร เขาหลุบตาลงมองแฟ้มเพียงแค่แว้บเดียวก็เชิดหน้าขึ้นพูดต่อ “ทำไมไม่ไปถามเอิลวินล่ะ หรือว่าตามจับเค้าไม่ได้”
“ทำไมฉันต้องไปถามเอิลวินในเมื่อนายเป็นหัวหน้า และนายรู้ทุกอย่างที่เค้าทำ”
“ใช่ ฉันรู้ทุกอย่างยกเว้นเรื่องที่ว่าทำไมเราต้องไปปล้นที่ร้านทองนั่นกับเพชรไง... เอิลวินบอกว่าเค้ารู้ระบบความปลอดภัย เราเข้าไปที่นั่นได้ ฉันแค่เข้าไปเป็นพนักงานที่ตึก ตรวจสอบลาดเลาแล้วก็ขโมยเงิน ฉันไม่รู้เรื่องเพชร”
“เค้าเป็นคนวางแผง”
“ใช่”
”ไม่สงสัยเลยหรอว่าทำไมต้องไปปล้นพร้อมกัน”
“ฉันบอกเค้าแล้วว่ามันจะเอิกเกริก เราแค่อยากได้เงินแล้วก็หนีไป แต่เค้าไม่ฟัง เค้าบอกว่าถ้าเกิดเรื่องพร้อมกันตำรวจจะหัวหมุน... แต่เค้าก็พูดถูก วันที่ฉันปล้นเงินพวกตำรวจเหยาะแหยะอย่างกับนักเรียนทหาร” แบคฮยอนยักไหล่ เขาไม่สนใจเรื่องที่ยุ่งยากวุ่นวายขนาดนั้นหรอก
“แล้วยังไง เค้าบอกอะไรอีก”
“ฉันไม่รู้ ไม่ได้สนใจด้วย ฉันสนแค่งานของฉัน”
“รู้ไหมว่าเคลวินขโมยทองไปเท่าไหร่”
“เชื่อเลยว่าเต็มกระเป๋า เท่าที่เค้าขนไหว”
“งั้นหรอ”
“เมื่อวานฉันนอนกับไอ้ดำผิวสี”
“มาบอกทำไม”
“เผื่อนายอยากรู้”
“งั้นหรอ” ชานยอลไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เขาแค่เปิดแฟ้มไปอีกหน้านึงแล้วเริ่มพูดต่อ “เอิลวินมีประวัติค้ายายาวเป็นหางว่าว มีเรื่องบาดหมางกับพวกตัวพ่อเป็นสิบ แล้วทำไมอยู่ๆ เอาเค้ามาเข้าทีม”
“ตอนนั้นฉันไม่รู้นี่ ไม่สนใจด้วย”
“งั้นนายควรจะสนได้แล้ว เพราะเพื่อนรักของนายพาพวกไปปล้นแหล่งฟอกเงินของพวกค้ายา แล้วตอนนี้มันหนีหายจ้อย นายถูกจับ ส่วนเพื่อนนายถูกตามล่าหัว”
“มันก็ช่วยไม่ได้นี่ ก็มันเกิดขึ้นแล้ว”
“ไม่ใช่แบคฮยอน... มันไม่ใช่เรื่องผิดพลาด เพราะสิ่งที่เค้าทำคือพาพวกนายไปปล้นเพื่อแก้แค้น แล้วตอนที่เค้าหอบเงินชิ่งหาย พวกนายรับเคราะห์แทน” ชานยอลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาลอบสังเกตสีหน้าของคนตรงหน้าเป็นระยะ แล้วก็ดูเหมือนว่าคนตัวเล็กจะเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองบ้างแล้ว
“แล้วจะให้ฉันทำไง ฉันอยู่ในคุกจะทำอะไรได้”
“นายบอกทุกอย่างที่รู้เกี่ยวกับเพื่อนนายทุกคน”
“แล้วนายก็จะจับพวกเค้ามาขังเหมือนกับที่ทำกับฉัน”
“นายรู้ว่าฉันทำอะไร...”
“คิดว่าอยู่ในคุกกับตำรวจแล้วจะดีกว่าอยู่แบบเสี่ยงๆ ข้างนอกงั้นหรอ”
“ขอโทษนะแบคฮยอน แต่ฉันไม่สนใจหรอกว่าเพื่อนนายจะอยู่หรือตาย พวกเค้าสำคัญกับงานของฉัน แต่ถ้าไม่มีมันเรายังมีหลักฐานอื่น แต่นายล่ะ เค้าไม่ใช่เพื่อนหรอ ไม่ห่วงว่าเค้าจะต้องตายอยู่ข้างนอกหรอ”
“พวกเค้ารู้วิธีเอาตัวรอดน่า ฉันเบื่อกับวิธีการพูดเกลี้ยกล่อมของนายแล้วชานยอล เมื่อไหร่จะปล่อยฉันสักที” คนตัวเล็กถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่พรางเอนหลังลงพิงกับพนักเก้าอี้ ใบหน้าสวยหวานยังคงนิ่งเรียบ ไม่มีสีหน้าใดถูกแสดงออกมา
“ฉันรู้แบคฮยอน.... ฉันรู้ว่านายคิดอะไร แต่ถ้านายยังไม่ยอมช่วยฉันเราก็คงจะไปกันได้แค่นี้ และฉันจะไม่ปราณีนาย” ชานยอลยกมือขึ้นประสานบนโต๊ะ เอนหลังลงกับพนักพิงด้วยท่าทีจริงจัง เขารู้ว่าคนอย่างแบคฮยอนมันแสนรั้น ชอบบุกเดี่ยว ไม่ชอบทำงานร่วมกับใครแล้วก็ไม่ชอบพวกตำรวจเอามากๆ ด้วย แต่ว่าตลอดระยะเวลามานี้ชานยอลเองก็ชักจะเครียดมากขึ้นทุกที
กว่าจะได้ข้อมูลจากแบคฮยอนทีก็ต้องเถียงกันจนเหนื่อยใจ และชานยอลก็แทบจะเป็นประสาทอยู่แล้ว
“ฉันพูดอยู่ว่าฉันรู้ว่าตัวเองทำอะไร”
“งั้นหรอ นายจะบอกว่านายรู้งั้นหรอ เรื่องทั้งหมดนี่”
“งั้นนายอยากรู้ไหมว่าตอนนี้เอิลวินอยู่ที่ไหน”
“ใช่ ฉันอยากรู้”
“บอกมาสิว่าถ้าได้ตัวเค้าแล้วจะทำยังไง”
“นั่นเป็นงานของตำรวจ”
“เค้าตายแล้วชานยอล... กว่านายจะหาเค้าเจอก็คงเน่าไปแล้ว นายคิดว่านายคิดเรื่องพวกนี้เป็นอยู่คนเดียวหรอ...”
“...........”
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันเบื่อนิสัยอวดฉลาดของนายเต็มทีแล้ว...”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นชานยอลก็รวบแฟ้มเดินออกจากห้องสอบสวนไปทันที เขาเดินเร็วๆ ไปหาผู้คุมที่เป็นคนเฝ้าสมุดเข้าเยี่ยมนักโทษ แล้วตรงเข้าไปเปิดสมุดบันทึกญาติทันที
“ทั้งเดือนมานี้มีใครเข้ามาเยี่ยมแบคฮยอนมั่งไหม” นายตำรวจหนุ่มถาม เขาได้แต่จิ๊ปากอย่างนึกขัดใจเมื่อนึกได้ว่าตัวเองอาจจะทำอะไรพลาดไป
“ไม่มีครับ มีแต่เขียนจดหมายเข้ามา แล้วก็ส่งออกไปสองครั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว”
“มีสำเนาไหม”
“มีครับ”
“เอามาให้ฉัน” ชานยอลร้อนรนจบแทบทนไม่ไหว เขายืนรอให้ผู้คุมหาสำเนาจดหมายของนักโทษอยู่ด้วยจิตใจที่ไม่ปกติสุข มือหนายกขึ้นลูบปลายคางด้วยความเป็นกังวล เพียงไม่นานกระดาษสำเนาของจดหมายสองแผ่นก็ถูกยื่นส่งมา
“มีแค่ที่เขียนแล้วส่งไป ส่วนจดหมายที่ส่งมานักโทษขอเก็บไว้ ผมเช็คแล้วว่าไม่มีอะไร ก็เลยให้ไป”
ชานยอลพยักหน้าให้กับผู้คุมก่อนที่จะหยิบเอาจดหมายฉบับแรกมาเปิดออก จ่าหน้าของมันส่งไปที่ถนนบ้านเด็กกำพร้าที่ตั้งอยู่บนถนนหมายเลข 56 ส่งถึง วิลเลี่ยนผู้เป็นที่รัก ในความจดหมายเขียนเอาไว้ว่า
‘ถึง วิลเลี่ยนที่รัก ผมได้ทราบข่าวแล้วเรื่องที่เบนจามินหนีออกจากบ้านไป มันเป็นหมาที่ซุกซน และผมคิดว่ามันคงไม่กลับมา คุณอาจต้องไปตามหามัน
ผมมีเรื่องเล็กน้อยอยากจะบอกกับคุณ ในวันนี้ตอนที่ผมนั่งกินกาแฟอยู่ผมได้นึกถึงเรื่องเก่าๆ ของเราสมัยยังอยู่ด้วยกัน ตอนที่แหวนคุณหายไปแล้วคุณโทษผม ผมมีความจริงที่อยากจะบอก ผมเห็นคนขับรถเอามันไป เขาหยิบมันไปตอนที่คุณทำตกตรงสนามเด็กเล่น แต่ผมก็ไม่พูดอะไร
เค้าบอกว่าจะให้เงิน 1 ดอลล่าถ้าผมเงียบปาก และตอนนี้ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองถูกหลอกใช้ มาจนถึงตอนนี้ผมได้แต่นั่งนึกย้อนไปแล้วก็รู้สึกขำ อาจจะเป็นเพราะคุณเห็นแววของการเป็นขโมยในตัวผม เพราะผมมักจะขโมยขนมปังของคุณอยู่บ่อยครั้ง คุณถึงได้กล่าวโทษผม แต่ว่าสิ่งที่คุณพูดวันนั้นมันก็คือเรื่องจริง
คนขับรถช่างเป็นคนเลวร้ายอะไรอย่างนี้ เค้าหลอกพวกเรา และผมก็ไม่ได้เงินแม้แต่ดอลล่าเดียวในขณะที่เค้าเอาแหวนหนีไป แล้วปล่อยให้ผมถูกลงโทษ ตอนนี้วิคเตอร์กับวิลลิสบายดีไหม ฝากบอกพวกเขาด้วยว่าผมคิดถึง ฝากบอกเด็กๆ ที่บ้านด้วยว่าผมคิดถึงพวกเค้าเสมอ
เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ ที่ผมต้องมานั่งเขียนจดหมายอยู่ในตะรางแบบนี้ ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะไปหาพวกคุณทุกคน
ฝากความคิดถึงทั้งหมดนี้ส่งให้เด็กๆ ที และฝากกำจัดหญ้าที่หน้าบ้านด้วยตอนที่ผมอยู่ที่นี่
ปล.อย่าลืมตามเบนจามินกลับมา ผมห่วงว่ามันอาจจะออกไปเจออันตราย
ด้วยรัก B’
“จดหมายที่ตอบกลับมาบอกว่ายังไงจำได้ไหม” ชานยอลเอ่ยถามกับผู้คุมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาเปิดจดหมายฉบับที่สองออกแล้วตั้งในอ่านมันพร้อมกับยกมือขึ้นจับปลายคาง
“เอ่อ... ก็ธรรมดาทั่วไปครับ คุณนายบอกว่าเจอหมาที่ชื่อเบญจามินแล้ว แล้วก็ส่งคนไปตัดหญ้าให้เรียบร้อยแล้ว เด็กที่ชื่อวิลลิสอยู่กับวิคเตอร์สบายดี อะไรแบบนี้” ผู้คุมเล่าเท่าที่จำได้
“อื้อ...”
จดหมายฉบับที่สอง
‘ถึงวิลเลี่ยน ผมดีใจที่ได้ทราบว่าพวกเด็กๆ คิดถึงผม ขอบคุณเรื่องจัดการหญ้าหน้าบ้านด้วย มันอาจจะเป็นภาระของคุณไปสักหน่อย แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะกลับไปตัดมันด้วยตัวเอง
ผมฝากดูแลเด็กๆ ที่รักของผมและเบญจามินด้วย ฝากความคิดถึงถึงวิลลิสและวิคเตอร์ เวลาเข้านอนอย่าลืมปิดล๊อคประตูบ้านให้ดี ระวังอย่าให้พวกหมาสีดำมันเข้ามายุ่มย่ามอีก ผมหวังว่าจะได้เจอคุณเร็วๆ นี้’
จดหมายฉบับที่สองสั้นและไม่มีใจความอะไรไปมากกว่าการแสดงความคิดถึง แต่ชานยอลก็ไม่ได้ชะล่าใจ เขายิ่งกว่ามั่นใจอีกว่าแบคฮยอนสั่งคนไปฆ่าเอิลวินแน่ เมื่อเขารู้ตัวว่าถูกหักหลัง
“โธ่เว้ย!!!” นายตำรวจหนุ่มได้แต่สบถออกมาด้วยความหงุดหงิด ชานยอลเดินกลับไปที่ห้องสอบสวนด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เขาทุบโต๊ะดังปังก่อนที่จะเดินเข้าไปขยุ้มคอเสื้อนักโทษตัวแสบเอาไว้
“นายรู้ตัวไหมแบคฮยอนว่าทำอะไรลงไป!”
“ฉันทำอะไรหรอ” คนตัวเล็กยังคงแสดงท่าทีเฉยเมยเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร แบคฮยอนเป่าหมากฝรั่งของเขาเป็นลูกโตๆ จนมันแตกปุ๊คาปาก
“ฉันปกป้องนาย แต่นายทำลายงานฉัน...”
“งั้นนายคงต้องเรียนรู้วิธีการปกป้องคนใหม่แล้วล่ะ...”
“หึ... ครั้งนึงฉันสาบานไว้ว่าจะปกป้องนาย และไม่ว่ายังไงฉันก็จะทำ ไม่ว่านายจะคิดยังไงกับวิธีของฉัน...”
“นายจะปกป้องฉันด้วยการขังไว้ในเรือนจำแบบนี้หรอ ทำไมไม่ใส่ปลอกคอให้ฉันซะเลยล่ะ”
“พรุ่งนี้ ฉันจะย้ายนายแบคฮยอน รับรองว่านายได้เข็ดไปอีกหลายทศวรรษแน่...”
.
.
.
แกร๊ก...
เสียงประตูเหล็กถูกปิดล๊อคจากด้านนอก ทันทีที่บานประตูปิดลงรถขนส่งนักโทษก็ขับเคลื่อนออกจากเรือนจำที่สบายที่สุดในโลก แบคฮยอนได้แต่นึกของคุณในใจที่ชานยอลส่งไอ้ล่ำเพื่อนร่วมห้องนั่นมาปกป้องเขา รวมถึงผู้คุมหนุ่มหล่อคนนั้นด้วย แต่ว่าหลังจากนี้มันก็คงจะไม่มีอีกแล้ว
“วันนี้น่าเบื่อนะ... ว่าไหม...” คนตัวเล็กพูดขึ้นลอยๆ ด้วยท่าทีเบื่อหน่าย กรงเหล็กเคลื่อนที่ทำให้แบคฮยอนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์อะไรสักอย่างที่กำลังจะถูกส่งไปสวนสัตว์
“อือ...”
“ช่วยพาฉันออกไปจากที่นี่ทีสิ... วิลลิส...”
.
.
.
“ท่านครับ!! นักโทษหลบหนีระหว่างเคลื่อนย้ายครับ!”
เสียงของนายตำรวจหนุ่มที่เปิดประตูเข้ามารายงานความเคลื่อนไหวเรื่องการย้ายนักโทษ ทำให้หัวหน้าหน่วยปราบอาชญากรรมต้องรีบวางโทรศัพท์ทันที
“หมายความว่าไง”
“แบคฮยอนหลบหนีไปแล้วครับ ตอนนี้ตำรวจกำลังตามตัว คิดว่าอาจจะยังไปได้ไม่ไกล เราปิดถนนทุกเส้นหมดแล้วครับ!”
“ดี ตามตัวมาให้ได้ อย่าให้หนีไปได้อีก” ชานยอลว่าเสียงเข้ม เขารีบคว้าโทรศัพท์มือถือเดินออกจากห้องทำงานไปทันที เพื่อไปมุงดูรายงานสถานการณ์ข่าวสดเรื่องการหลบหนีของนักโทษคดีปล้น
เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือบอกชานยอลว่านักโทษของเขากำลังหลบหนีออกนอกเส้นทาง และตอนนี้ตำแหน่งของแบคฮยอนก็อยู่ไม่ห่างจากจุดเกิดเหตุนัก เขาคงจะหนีไปได้ไม่ไกล
“ปิดถนนให้รอบ! จับตัวแบคฮยอนมาให้ได้!”
-
“บ้าเอ้ย!”
หลังจากที่เวลาผ่านไปกว่า 30 นาทีกับการพยายามจับกุมผู้ต้องหาหลบหนี และตำรวจยังคว้าน้ำเหลว ชานยอลเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะของแบคฮยอนที่ข้างหู เขาเหมือนกำลังยืนมองคนรักเดินห่างออกไปอย่างหน้าตาเฉย
ชานยอลไม่รู้เลยว่าแฟนของเขาทำได้ยังไง ทั้งๆ ที่ถนนทุกเส้นถูกปิด เขาติดอยู่กลางดงตำรวจเกือบ 15 นาทีแล้วอยู่ๆ ก็เคลื่อนตัวออกไปเหมือนแค่เดินออกมาเฉยๆ และตอนนี้แบคฮยอนก็กำลังมุ่งหน้าไปที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมันไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตาย
หลังจากนี้มันไม่ใช่หน้าที่ของตำรวจอีกแล้ว... ชานยอลจะทำหน้าที่ของเขาในฐานะแฟนที่อยากจะดูแลคนรักให้ดีที่สุด...
คนตัวสูงคว้าสูทของตัวเองขึ้นมาสวมก่อนที่จะหยิบกุญแจรถเดินออกจากสำนักงานไป ปล่อยให้โทรศัพท์บนโต๊ะยังคงดังต่อไป และจะไม่มีใครรับสายจนกว่างานนี้จะเสร็จ...
.
.
.
“ยินดีต้อนรับกลับ”
ภายในโบสท์เก่าๆ ที่ถูกสร้างเอาไว้กลางป่า แบคฮยอนได้เดินกลับเข้าสู่อ้อมกอดที่อบอุ่นอีกครั้งหลังจากที่ถูกส่งเข้าบ้านพักตะรางอยู่นาน
เขาตรงเข้าไปกอด วิลเลี่ยนเค เซวิลลิส และวิคเตอร์วู ตามลำดับ ก่อนที่จะเซไปล้มตัวลงนอนบนโซฟา ตอนนี้ต้าฉวนยังอยู่ที่โรงพยาบาล และแบคฮยอนไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก หลังจากที่เขาสั่งให้เด็กๆ ไปเก็บกวาดหญ้าหน้าบ้านที่มันรกรุงรังเสร็จ ทุกอย่างก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มเข้าร่องเข้ารอย
เคลวินซ่อนทองที่ปล้นมาไว้ได้จำนวนหนึ่งไว้ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว ไคชิงเพชรมาจากต้าฉวนได้สำเร็จหลังจากที่ลอบยิงเขา ส่วนเซฮุนก็ชิงเงินกลับมาได้จนครบหลังจากที่ตามตัว ‘คนขับรถ’ จนเจอแล้วเก็บกวาดซะ
แต่ว่าเรื่องมันยังไม่จบเท่านี้.... พวกเขายังต้องหาทางหนีพ่อค้ายาที่กำลังตามล่าเงินของมันคืนอยู่อีก
“ทุกอย่างเรียบร้อยใช่ไหม” แบคฮยอนถาม
“ใช่ ทุกอย่าง...”
“งั้นก็รีบหนีกันเถอะ ก่อนที่จะมีใครเจ็บ”
ปัง!!
ไม่ทันที่แบคฮยอนจะได้พูดจบเสียงปืนก็ดังขึ้น พวกเด็กๆ ของเขารีบก้มลงหมอบกับพื้น และทันทีที่เสียงปืนดับลงประตูโบสถ์ก็ถูกเปิดออกอย่างแรง
ชายสามคนในชุดสีดำที่สวมไอ้โม่งเดินย่างเท้าเข้ามาในโบสถ์อย่างเชื่องช้า พวกเขาจ่อปลายกระบอกไปยังเด็กหนุ่มสี่คนที่นอนหมอบอยู่กับพื้น
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนสี่นัดดังสนั่นหวั่นไหว แบคฮยอนไม่อยากรับรู้ว่าตัวเองกำลังตาย ตัวเขาสั่นงันงก สองมือกำชายเสื้อน้องชายเอาไว้แน่น แต่ก่อนที่ความรู้สึกเจ็บจะได้แผ่ซ่านเสียงปืนอีกนัดนึงก็ดังขึ้น
ปัง!
“ลุกขึ้นมาได้แล้ว”
เสียงทุ้มที่แสนคุ้นหูเรียกแบคฮยอนให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ เขาเห็นผู้ชายสามคนที่ยืนอยู่เมื่อครู่ล้มลงนอนกองกับพื้น ส่วนผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็คือคนที่แบคฮยอนพยายามจะหนีมาตลอดทั้งเดือนนี้
ในมือของเขามีปืนยาวแบบหน่วยสวาท ทั้งๆ ที่สวมเสื้อสูทแต่ยังทำเป็นแอคเท่เหมือนกับตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนาม
“นายมาได้ยังไง...” แบคฮยอนรู้สึกเหมือนไม่เชื่อสายตา เขายืนขึ้นมองผู้ชายตรงหน้าในขณะที่มือก็ยังกระชับกระบอกปืนไว้แน่น
ชานยอลทำตัวเหมือนผี.... เขารู้ทุกทีเวลาที่แบคฮยอนหนีไปไหน แล้วก็ตามไปจับได้ทุกครั้ง มันทำให้แบคฮยอนทั้งทึ่งและปวดหัว
“นายน่าจะรู้ก่อนที่จะหนีมานะ” ชานยอลไม่ยอมตอบคำถาม เขายึดปืนออกมาจากมือแฟนตัวเล็กแล้วเหน็บมันลงกับสีข้างที่มีซองปืนสั้นเหน็บอยู่
“นายมาที่นี่ทำไม มาจับฉันหรอ”
“ฉันดูเหมือนมาจับนายหรอ ห้ะ คิดไหมว่าจะเป็นยังไงถ้าฉันไม่อยู่ที่นี่”
“เดี๋ยว... นี่มันตำรวจที่เห็นในทีวีนี่” จงอินรีบเอื้อมมือไปคว้าข้อมือพี่ชายของเขาเอาไว้ทันทีเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นใคร สายตาของเขาเต็มไปด้วยความระแวง ท่าทางของผู้ชายสีหน้านิ่งเรียบคนนี้ จงอินดูไม่ออกว่าเขามาดีหรือมาร้าย แต่ที่แน่ๆ ถ้าเป็นตำรวจก็ไม่น่าไว้ใจเลย
“ไม่เป็นไร” แบคฮยอนหันไปปรามน้องชายของเขา
“แล้วคราวนี้นายจะรู้สึกขอบคุณฉันได้หรือยังห้ะ แบคฮยอน....” ชานยอลไม่ได้สนใจเด็กหนุ่มที่ตั้งท่าระแวงใส่เขา เขาเพียงแค่เหลือบตาไปมองดูแค่ครู่เดียวก็กลับไปจ้องหน้าคนที่ตัวเองกำลังคุยด้วยต่อ
“พวกนายไปเก็บของ... ทางนี้ฉันจัดการเอง” แบคฮยอนหันไปบอกกับพวกเด็กๆ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้ชายตรงหน้า
คนตัวเล็กได้แต่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่าย แบคฮยอนเบื่อเต็มทีแล้วกับการหนีชานยอล เขาหนีตำรวจทั้งกรมมาเป็นร้อย และมันไม่เคยมีครั้งไหนเหนื่อยเท่าครั้งนี้มาก่อน
“ตกลงนายไม่ได้มาจับฉันใช่ไหม”
“............”
“ก็ได้ ขอบคุณ...”
“...........”
“นี่ อย่างอนน่า” แบคฮยอนยกมือขึ้นตบข้างแก้มแฟนหนุ่มของเขาเบาๆ ก่อนที่จะเขย่งปลายเท้าขึ้นไปกดจูบลงบนริมฝีปากที่หยาบเพราะรอยแตก นี่มันพอแล้วใช่ไหม? แบคฮยอนว่าเขาตอบแทนชานยอลมากพอแล้ว... ใช่ไหม?
“เหอะ...”
“นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ หนีไปด้วยกันเถอะ...”
“นายกำลังชวนตำรวจให้ทำผิดรู้ไหม”
“ฉันรู้น่า หยุดพูดเรื่องกฎสักที ไปด้วยกันเถอะนะ” แบคฮยอนรบเร้า เขาจะไม่ยอมถูกแฟนตัวเองจับเข้าคุกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้อีกแล้ว แบคฮยอนรู้ว่าชานยอลรักงานนี้ เขารักการเป็นตำรวจ แต่แล้วไงใครสนล่ะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาตามจับกันได้ไหม
“นายจะหนีไปไหน นายก็รู้ว่าหนีไปที่ไหนก็ไม่พ้นฉัน”
“อยากรู้ก็ไปด้วยกันสิ”
“ของอย่างนั้นไม่ต้องทำก็รู้”
“แล้วอยากจะจับฉันไหม ฉันยืนอยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง” แบคฮยอนยื่นมือทั้งสองข้างของเขาให้กับนายตำรวจอย่างท้าทาย แต่สุดท้ายเขาก็แค่โดนชกกลับที่ข้อมือเบาๆ เท่านั้น
“ฉันเบื่อจะจับนายแล้ว...”
“งั้นจะทำยังไงอะ ปล่อยฉันหนีไปหรอ”
“ไม่ทั้งสอง... เรามาทำข้อตกลงกันดีไหม ถ้านายช่วยฉันทำงานให้เสร็จ ฉันสัญญาว่าจะล้างคดีให้” ชานยอลพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เขาใช้แขนกอดรั้งเอวแฟนตัวเล็กให้ขยับเข้ามาใกล้ก่อนที่จะยื่นหน้าเข้าไปคลอเคลียใกล้กับปลายจมูกรั้นเล็กๆ
“อยากให้ฉันทำอะไรล่ะ”
“ช่วยฉันจับพวกฟอกเงินให้หมด แล้วฉันจะล้างคดีให้ นายจะได้มีเงินใช้สบายๆ แบบไม่ต้องหนีไปไหนไง ไม่ต้องถูกตามล่าด้วย”
“อย่างงั้นหรอ... แล้วจะได้อะไรนอกจากนี้อีกล่ะ” มือบางสอดล้วงเข้าไปใต้เสื้อสูท ลูบไล้ผ่านแผ่นหลังลามมายังบริเวณหน้าท้อง
และก่อนที่จะได้พูดอะไรริมฝีปากบางก็ถูกประกบจูบอย่างหนักหน่วง แบคฮยอนถูกผลักให้นอนลงบนโซฟาในขณะกลีบปากของเขายังถูกดูดดึงอย่างหิวกระหาย
การลงโทษของนักโทษหลบหนีคดีได้เริ่มต้นขึ้น ต่อหน้าพระเจ้าผู้เป็นสักขีพยาน....
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น