คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : [SF] Time Machine 1/2
ในวันที่หิมะตกปรอยๆ... พื้นถนนคอนกรีตเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งสีขาว รองเท้าสีดำสนิทก้าวเดินย่ำไปเส้นทางที่แสนเปล่าเปลี่ยว....
ปาร์ค ชานยอลในเสื้อโค้ทสีดำตัวใหญ่และผ้าพันคอสีแดงทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้นที่เปียกชื้น เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนที่จะสาวเท้าก้าวเดินต่อไปเพื่อกลับบ้าน
ในวันธรรมดาๆ ที่แสนเหงา ชานยอลเดินกลับบ้านเหมือนทุกวันหลังจากที่เรียนเสร็จ ดวงตาของเขาเอาแต่จ้องมองไปยังพื้นหิมะสีขาวละเอียด กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ชนเข้ากับแผ่นหลังเล็กๆ เข้าเสียแล้ว
“ขอโทษครับ” ชานยอลว่า เขาเงยหน้ามองดูเด็กผู้ชายผิวขาวซีดอายุราว 15 – 16 ปี ตรงหน้าก่อนที่จะเบี่ยงตัวเดินหลบไป แต่ไม่ทันจะได้ก้าวเท้าไปไหนเสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นจากด้านหลังก็ทำให้คนตัวสูงต้องหยุดชะงัก
“เราเคยเจอกันมาก่อนไหมครับ?”
“ไม่นี่ครับ” ชานยอลหันไปมองเด็กหนุ่มด้านหลัง เขานิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อพยายามจะนึกว่าเด็กที่ตัวกำลังสนทนาอยู่ด้วยเป็นใคร
“งั้นยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“ครับ?”
“ผมแบคฮยอนครับ”
เขาว่าออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม... ชานยอลสาบานได้ว่าเขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มของใครสวยงามเท่านี้มาก่อน ริมฝีปากสีแดงกับผิวขาวซีดไม่ต่างจากหิมะ ผมลอนสีน้ำตาลอ่อนกับดวงตาที่หยีไปตามมุมปากที่ยกขึ้น
สวยงาม...
ราวกับรูปปั้น...
“อ่า... ครับ”
“ฝากตัวด้วยนะครับ...”
'There's a first time for everything. I glad it was this time…'
.
.
.
หิมะยังคงร่วงโรยลงมาเหมือนทุกปี แต่ในปีนี้ชานยอลไม่ได้นั่งเหงาอยู่คนเดียวกับถุงเท้าคู่ใจ... ในวันที่ 27 พฤศจิกายนที่หิมะตกหนัก บนโซฟาหน้าเตาผิงตัวใหญ่ ชานยอลนอนกอดเด็กผู้ชายที่แสนรักของเขาเอาไว้แน่น
จมูกโด่งปัดคลอเคลียไปมาบนกลุ่มเส้นผมสีน้ำตาลอ่อน ความอบอุ่นจากร่างกายและเตาผิงทำให้ชานยอลรู้สึกสงบ เขาก้มลงจูบศีรษะของเด็กผู้ชายตรงหน้าก่อนที่จะหลับตาลง
ครบรอบหนึ่งปีแล้วหรอ... วันนั้นยังเป็นคนที่ไม่รู้จักกันอยู่เลย เวลาแห่งความสุขมันช่างผ่านไปไวเหลือเกิน...
“ชานยอล... รักนะ...”
ท่ามกลางความเงียบ แบคฮยอนตัวน้อยที่กำลังถูกกอดเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขาซุกหน้าลงกับหน้าอกที่แสนอบอุ่นของผู้ชายที่แสนอบอุ่น ก่อนที่จะยกแขนขึ้นกอดพาดเอวหนาไว้หลวมๆ
ในตอนที่ได้อยู่ใกล้กันจนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายแบบนี้มันรู้สึกดีจนพูดไม่ถูกเลย แบคฮยอนกำลังคิดว่าเขาจะมีความสุขอยู่กับช่วงเวลานี้ได้อีกนานเท่าไหร่... แบคฮยอนจะได้กอดผู้ชายที่เขารักสุดหัวใจคนนี้ไปอีกนานแค่ไหนกันนะ...
มีใครบางคนเคยบอกไว้ว่าเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ และแบคฮยอนไม่อยากให้เวลาแห่งความสุขของเขาไหลไปเร็วเกินกว่าที่ควรเป็น
“ครับ รักเหมือนกันนะ...”
“นี่... ถ้าเกิดว่าเราไม่ใช่คนอย่างที่ชานยอลคิด ชานยอลจะรักเราไหม”
“แบบไหนหรอ”
“อย่างเช่นว่า ถ้าวันนึงชานยอลรู้ว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อคู่กันล่ะ...”
“ใครจะเป็นคนกำหนดนอกจากตัวผมล่ะ” ชานยอลว่า เขาส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะใช้คางกระแทกศีรษะของคนในอ้อมกอดเบาๆ จนอีกฝ่ายต้องส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ
ชานยอลไม่คิดหรอกว่าบนโลกนี้จะมีใครมากำหนดโชคชะตาของเขาได้ ชานยอลจะไม่มีวันหยุดรักแบคฮยอน ตราบใดที่ตัวเขาไม่ได้เป็นคนหมดรักเอง...
“มันเจ็บนะ ฮ่าๆๆ”
“วันนี้ครบรอบหนึ่งปีแล้วนะ อยากจะอยู่ด้วยกันต่ออีกไหม”
“อยากสิ อยากจะอยู่ด้วยตลอดไปเลย...”
“ถ้าอย่างงั้นก็อยู่ด้วยกันนะ...”
“ชานยอลสัญญานะ”
“สัญญาครับ...”
มันนานเท่าไหร่แล้วนะ...
ตั้งแต่วันที่ชานยอลเดินชนกับเด็กผู้ชายตัวกระเปี๊ยกที่ข้างถนน รู้ตัวอีกทีก็ได้เดินกลับบ้านด้วยกันทุกวัน ได้พูดคุยกัน เป็นเพื่อนกันและเลื่อนตำแหน่งกลายมาเป็นคนรักในที่สุด
แบคฮยอนเป็นเหมือนคนที่เกิดมาเพื่อชานยอล แบคฮยอนที่แสนน่ารัก พวกเขาคุยกันถูกคอ แบคฮยอนรู้ในทุกเรื่องที่ชานยอลชอบทำ ทำอาหารที่ชานยอลชอบกิน เป็นทั้งเพื่อนคลายเหงาและกำลังใจของเขาในยามที่รู้สึกท้อแท้ เมื่อไหร่ที่ชานยอลรู้สึกอ้างว้าง แบคฮยอนจะนั่งอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งในห้องรอบๆ ตัวเขาเสมอ
เพราะอย่างนั้นถึงได้ไม่อยากให้หายไปไหน...
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขารู้สึกอย่างนั้น ชานยอลแค่รู้สึกว่าแบคฮยอนเป็นคนที่ใช่ มันเหมือนกับโชคชะตา... และชานยอลคิดว่าแบคฮยอนคือโชคชะตาของเขา...
“สัญญาแล้วนะ!”
“สัญญาสิ สัญญาให้กินเข็มพันเล่มเลย ฮ่าๆๆๆ”
.
.
.
“แบคฮยอน จดหมาย”
ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของปีที่ชานยอลกำลังเรียนจบ ในเช้าที่อากาศหนาวเย็น จดหมายแปลกๆ ที่สอดอยู่ตรงช่องประตูถูกดึงขึ้นมาโบกไปมา คนตัวสูงเดินนำซองจดหมายไปส่งให้กับคนรักของเขาก่อนที่จะเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาสีเลือดนกตัวใหญ่
เวลาหกโมงเช้าที่ท้องฟ้ายังมืดอยู่ ชานยอลเลือกที่จะกินโกโก้และนั่งดูข่าวฆ่าเวลา เขาหันไปมองคนรักเพียงครู่เดียวก็หันกลับไปมองจอโทรทัศน์ต่อ ความรู้สึกฉงนที่ติดอยู่ในใจทำให้ชานยอลอดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้
“ใครส่งมาหรอ”
“เปล่า คนรู้จัก” แบคฮยอนส่ายหัวไปมา เขาสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนที่จะพับจดหมายเก็บใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเปิดประตูห้องออกไปดูด้านนอก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่พบใครเลยที่ทางเดิน แต่ว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกหนักอึ้งในใจเบาลง
“มีอะไรหรอ?”
“อ๋อเปล่า เห็นเมื่อเช้าหรอ?”
“อื้อ เพิ่งเห็นเมื่อกี้อะ มันเขียนว่าไรอะ”
“จดหมายจากญาติอะ” แบคฮยอนยักไหล่ เขาเดินไปทิ้งตัวนั่งลงข้างแฟนตัวสูงแล้วเอนหัวซบลงกับลาดไหล่หนาๆ ดวงตาเรียวรีจ้องมองไปยังจอโทรทัศน์เครื่องใหญ่ตรงหน้าไม่วางตา ความรู้สึกอึดอัดและเป็นกังวลทำให้แบคฮยอนคลื่นไส้
หัวใจของเขาเต้นแรงจนคุมไม่อยู่ ผ่ามือทั้งสองข้างชื้นเหงื่อไปหมด เมื่อสิ่งที่กำลังวิ่งหนีมาโดยตลอดจ่ออยู่ที่ก้น...
แบคฮยอนแกล้งหลับตาลงทำทีเหมือนต้องการพักผ่อนต่อเพื่อไม่ให้แฟนตัวสูงสังเกตได้ถึงความผิดปกติ ฝ่ามืออุ่นๆ ที่ลูบสางเส้นผมอยู่ทำแบคฮยอนแทบน้ำตาร่วง เขาทำได้เพียงแค่พลิกตัวหันหน้าซุกเข้ากับหน้าท้องแกร่งที่มีเสื้อฮู้ดสีเทาปกคลุมอยู่เพื่อซ่อนน้ำตา
ถูกเจอแล้ว...
หนีไปไหนไม่ได้แล้ว...
ไม่ว่าที่ไหนก็หนีไปไม่ได้แล้ว...
“ง่วงหรอ”
“อื้อ...”
“พรุ่งนี้วันเกิดเขา ไปกินข้าวเย็นข้างนอกกันไหม”
“ไปดิ เดี๋ยวซื้อของขวัญให้ด้วย” แบคฮยอนพูดเสียงอู้อี้ เขากลืนก้อนน้ำตาลงคอด้วยความรู้สึกสุดขมขื่น หัวใจของเขาหนักอึ้ง ท้องไส้ปั่นป่วน ราวกับมีกำปั้นขนาดใหญ่จุกอยู่ที่ลำคอ
“อื้อ”
“ปีนี้ปีที่เท่าไหร่แล้วนะ”
“สี่แล้ว... อยู่ด้วยกันมาสี่ปีแล้วนะ” ชานยอลว่าพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เขาก้มลงจูบขมับของแฟนตัวเล็กที่รักสุดหัวใจก่อนที่จะโน้มตัวลงไปหยิบรีโมทมาเปลี่ยนช่องทีวี
นี่เป็นปีที่สี่แล้วที่ชานยอลใช้ชีวิตอยู่กับเด็กประหลาดที่ชื่อแบคฮยอน มันอาจจะเพราะว่าพวกเราเหงาเหมือนกันก็เลยเข้าใจกันดี...
ชานยอลไม่มีญาติที่ไหน นอกจากป้าที่คอยส่งเงินให้เขาก็ไม่มีใครอีก แบคฮยอนเองก็ไม่มีใคร เขาไม่มีครอบครัว ไม่มีญาติสนิทชิดใกล้ ถึงจะไม่ได้เรียนหนังสือแต่ก็สามารถเอาตัวรอดได้ด้วยการทำงานพิเศษ แบคฮยอนที่มีอารมณ์ขัน และบางทีก็น่ารักเหมือนกับเด็กๆ
แบคฮยอนเป็นเด็กผู้ชายที่ชานยอลถูกชะตาที่สุดในโลกเลย...
“ชานยอล...”
“หื้อ”
“รักนะ”
“อื้อ... รักเหมือนกันครับ”
“ถึงยังไงก็รักนะ...”
พูดออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่มาพร้อมกับน้ำตา แบคฮยอนหลับตาลงแล้วปล่อยให้ฝ่ามือที่แสนอบอุ่นปลอบโยนเขาให้ความรู้สึกแสนเศร้านี้จางหายไป...
ความรักในวันนี้มันคือเรื่องจริงใช่ไหม...
มีความสุขมากเลย...
“อื้อ ถึงยังไงก็รัก...”
“นานแค่ไหนก็ยังรักใช่ไหม”
“ก็ต้องรักสิ ทำไมชอบถามแบบนี้ล่ะ?”
“รักตลอดไปเลยนะ”
“สัญญาครับ”
“ขอบคุณนะ”
ตลอดไปนี่มันนานแค่ไหนกันนะ...
.
.
.
แก๊ง...
เหรียญสีเหลืองอมน้ำตาลกลิ้งไปชนกับแก้วเหล็กขึ้นสนิม... แบคฮยอนถอนลมหายใจออกมาอีกครั้งก่อนที่จะลุกยืนขึ้น กระดาษที่มีข้อความเขียนเอาไว้ถูกวางทับด้วยแก้วกาแฟ
คนตัวเล็กหยิบกระเป๋าใบเล็กคู่ใจกับเสื้อไหมผมสีฟ้าอมเทาขึ้นมาจากโต๊ะ ก่อนที่จะเดินออกไปทางประตูโดยที่ไม่ลืมล็อคกุญแจไว้
รองเท้าผ้าใบสีน้ำเงินเหยียบย่ำไปตามเกล็ดหิมะที่กองพะเนินสูงขึ้นจนถึงข้อเท้า แบคฮยอนเดินออกจากบ้านหลังเล็กไปด้วยหัวใจที่แสนปวดร้าว ทิ้งไว้เพียงแค่รอยเท้าที่จะถูกหิมะกลบในอีกไม่ช้า
ความโหดร้ายของอากาศที่หนาวเย็นกำลังพุ่งเข้ากัดกินจิตใจที่แสนเปราะบางอย่างหิวกระหายราวกับเกล็ดน้ำแข็งที่กัดกินชิ้นเนื้อ แบคฮยอนเดินร้องไห้ราวกับจะขาดใจไปตลอดทาง เขาได้แต่ปลอบตัวเองว่า ‘เราทุกคนต้องเดินหน้าสู่อนาคต ไม่ว่าอะไรจะรออยู่เราก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน’
หวังเพียงว่าสักวันหนึ่งชานยอลจะเข้าใจ... หากเขาไม่ชิงโกรธไปเสียก่อน...
ไม่ว่าอย่างไรใจก็ยังรัก... ต่อให้เป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ความรู้สึกรักก็ยังคือรักอยู่ดี...
อย่าลืมฉันนะ...
นั่นเป็นสิ่งเดียวที่อยากจะขอล่ะ....
.
.
.
เวลาที่แห่งความทุกข์ทรมานผ่านไปอย่างยากลำบาก ชานยอลที่แสนปวดร้าวกินเหล้าหนักจนร่างกายทรุดเอาๆ วันๆ เขาใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องนอนสี่เหลี่ยมแคบๆ บ้านใหม่ที่เคยหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเป็นเพียงความฝัน
กระดาษที่มีแต่ความไม่เข้าใจถูกทิ้งเอาไว้พร้อมกับเหรียญงี่เง่า ชานยอลอ่านมันซ้ำหลายครั้งด้วยหัวใจที่แตกสลายจนไม่เหลือชิ้นดี
‘อย่าลืมฉันนะ’
ทำไมถึงหายไปล่ะ...
ถ้าไม่อยากให้ลืมทำไมถึงหายไป... หมดหนทางที่จะตามหาแล้ว... ไปอยู่ที่ไหนกันนะ...
ลมหายใจอุ่นๆ ถูกถอนออกมาเฮือกใหญ่ ชานยอลที่ยังคงทุกข์ทรมานกับการถูกทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใยกลายเป็นคนที่แสนไร้ค่า เขาได้แต่เฝ้าถามว่าตัวเองทำอะไรผิดไป... นับตั้งแต่วันที่คนรักหายตัวไปนี่ก็กินเวลาเกือบสองเดือนแล้ว ชานยอลหมดหนทางจะตามหา...
แบคฮยอนหายไปอย่างไม่มีเหตุผล อยู่ดีๆ วันหนึ่งที่ชานยอลควรจะได้กลับมาถึงบ้านอย่างมีความสุขก็ไม่เหมือนเดิม คนรักของเขาหายตัวไป ชานยอลเหมือนตกอยู่ในเกมปริศนา เขาได้รับเพียงแค่ข้อความในกระดาษใบเดียวกับเหรียญแปลกๆ ที่วางอยู่ข้างแก้วกาแฟ แล้วหลังจากนั้นมันก็มีแต่ความทุกข์ทรมาน...
แบคฮยอนหายไปเหมือนไม่เคยมีอยู่.... หายไปแบบไม่ทิ้งร่องรอยราวกับหิมะที่ละลายหายไป...
ชานยอลแค่กลับมาไม่เจอคนรักของเขาที่บ้าน แล้วหลังจากนั้นแบคฮยอนที่เคยเป็นความสุข เป็นความรัก เป็นทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป...
มันมีแต่ความสับสนและความปวดร้าวอัดแน่นอยู่ในใจ ชานยอลรู้ว่าแบคฮยอนไม่มีญาติที่ไหน และไม่รู้ว่าจะไปตามหาได้ที่ไหน แจ้งตำรวจให้ช่วยค้นหาที่อยู่ก็ไม่เจอแม้แต่ประวัติ
แบคฮยอนหายไปโดยทิ้งไว้เพียงแค่ความทรงจำที่แสนสุข กับความปวดร้าวแทบขาดใจ...
สัญญาแล้วไงว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ทำไมถึงหายไปล่ะ...
ถ้าไม่อยากให้ลืมก็อยู่ด้วยกันสิ...
อยู่ที่ไหนกันนะ... จะต้องทนทรมานแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ถ้าเห็นใจก็ช่วยกลับมาเถอะ ไม่ว่าจะทิ้งไปด้วยเหตุผลอะไรก็รับได้ทั้งนั้น แค่กลับมาหากันได้ไหม
อย่าทิ้งให้ฉันต้องทรมานเลยนะ...
.
.
.
.
.
ไทม์แมชชีน
หมุนวนไป
อย่างไม่มีวันสิ้นสุด...
“คุณชานยอลคะ ดิฉันกลับบ้านแล้วนะคะ”
“อ๋อ เชิญครับ กลับบ้านดีๆ”
“คุณเฮรารอพบอยู่ด้วยค่ะ”
“ให้เข้ามาเลย”
“ได้ค่ะ”
ประตูห้องถูกปิดลงพร้อมกับเลขาสาวที่เดินออกไป ปาร์ค ชานยอลในวัย 30 ปี ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเอนหลังพิงลงกับพนักเก้าอี้ มือหนายกขึ้นนวดขมับหลายครั้ง เพียงไม่นานบานประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับหญิงสาวในชุดสีขาวสะอาดตา
รอยยิ้มที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักระบายขึ้นจางๆ บนใบหน้าที่แสนตรึงเครียด ชานยอลยิ้มให้กับภรรยาของเขาที่เดินมานั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ใบหน้าของเธอยังดูอ่อนเยาว์และเต็มไปด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ...
รอยยิ้มที่เหมือนกับใครบางคน...
“วันนี้ทำงานเหนื่อยไหมคะ” หญิงสาวว่า ปาร์ค เฮราวางตะกร้าสานลงบนโต๊ะก่อนที่จะหยิบเอาข้าวกล่องที่ทำมาออกมาวาง
“เหนื่อยสิ... ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้องทำข้าวมา เดี๋ยวจะออกไปกินข้างนอกกัน” ชานยอลโคลงศีรษะไปมา เขายื่นหน้าไปจูบริมฝีปากของภรรยาเบาๆ ก่อนที่จะยกมือเธอขึ้นมาจูบด้วยความรักใคร่
ในวันครบรอบแต่งงานแบบนี้ ชานยอลไม่อยากจะนั่งกินข้าวอยู่ที่บริษัทกับกองงานที่สูงท่วมหัวหรอก เขาอยากจะไปร้านอาหารดีๆ ที่มีไวน์และความทรงจำ...
“ก็เอามาเผื่อคุณทำงานไม่เสร็จไง”
“ต้องเสร็จสิ ผมทำงานเสร็จแล้วไง จองร้านอาหารไว้แล้วด้วย”
“งั้นก็ไปสิ วันนี้มีเรื่องจะบอกด้วยนะ”
“หื้อ? เรื่องอะไร?”
“ไม่บอกจนกว่าจะถึงร้านอาหาร”
“หึ งั้นรอผมก่อนนะ ขอห้านาที”
“ค่ะ!”
ชานยอลได้แต่ระบายยิ้มออกมาจางๆ กับภาพของภรรยาสาวที่แสนร่าเริง... ทันทีที่เธอเดินพ้นประตูออกไปรอด้านนอก ชานยอลก็เริ่มลงมือเก็บเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ
วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่ชานยอลแต่งงานแล้ว... เขากับภรรยาเจอกันที่บริษัทและได้แต่งงานกันเมื่อปีที่แล้ว
เฮราสดใสร่าเริงเหมือนกับดอกไม้ ริมฝีปากและดวงตาของเธอเหมือนกับใครบางคนที่ชานยอลลืมไม่ลง... ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มหรือดวงตาที่หยีลงเพราะแก้มกลมๆ เธอดูเหมือนกับ...
ถึงจะเป็นเหตุผลที่ฟังดูใจร้ายไปสักหน่อย แต่ชานยอลก็คิดว่านั่นคือเหตุผลที่เขาตกหลุมรักเธอ และยอมเปิดหัวใจที่ตายด้านอีกครั้ง
มันกี่ปีผ่านมาแล้วนะ... ที่ผู้ชายคนนี้เอาแต่เฝ้ารอ และวิ่งไล่จับเงาเหมือนกับคนโง่ ชานยอลยังคงหวังว่าสักวันหนึ่งใครบางคนที่ทิ้งเขาเอาไว้กับความเจ็บปวดจะเดินเคาะประตูบ้านพร้อมกับอธิบายเรื่องทุกอย่างให้ฟัง
ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่เคยลืมเลย...
มือหนายกขึ้นจับสร้อยคอของตัวเองที่ทำจากเหรียญสีเหลืองอมน้ำตาล เขาใช้ปลายนิ้วรูปลายพิมพ์ของมันด้วยหัวใจที่แสนอ้างว้าง
ควรจะลืมมันได้หรือยังนะ...
กับความเจ็บปวดที่แบกมันมาตลอดหลายปีนี้...
.
.
.
ภายในร้านอาหารอิตาเลี่ยนชื่อดังที่ลอยอยู่เหนือพื้นดินหลายสิบเมตร ชานยอลนั่งมองภรรยาของเขาชื่นชมช่อดอกไม้อยู่นานสองนานในขณะที่รออาหารมาเสิร์ฟ – เฮราก้มลงดมดอกไม้แล้ววางมันเอาไว้บนโต๊ะก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นสบตากับสามีพร้อมกับรอยยิ้ม
เธอเอื้อมมือไปกุมมือเขาเอาไว้ก่อนที่จะพูดออกมา “ฉันมีข่าวดีจะบอก”
“หื้อ อะไรล่ะ ผมรอฟังอยู่นี่ไง” ชานยอลส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เขาใช้ปลายนิ้วลูบแหวนแต่งงานที่ทำจากทองคำขาวของภรรยาก่อนที่ยกมือเธอขึ้นมาจูบอีกครั้ง
“ฉันท้องแล้วนะ...”
“หื้อ? จริงหรอ?”
“จริงสิ สองเดือนแล้วนะ”
ข่าวดีที่เป็นข่าวใหญ่ที่สุดในรอบปีทำให้ชานยอลถึงกับต้องยิ้มออกมา เขาลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปจูบภรรยาด้วยความรู้สึกที่หาที่เปรียบมิได้ ชานยอลใช้หน้าผากของเขาอังกับหน้าผากของภรรยาพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมา
นี่เป็นข่าวดีที่สุดที่ชานยอลเฝ้ารอคอยมาตลอดตั้งแต่แต่งงาน... การเป็นพ่อคนอาจทำให้เขามีชีวิตชีวาขึ้นอย่างมาก ชานยอลยิ่งกว่าคาดหวังอีกว่าลูกจะเป็นเหมือนแสงสว่างที่จุดวาบขึ้นในชีวิตอีกครั้ง
“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้”
“เพิ่งรู้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เลยตั้งใจว่าจะบอกวันนี้ ชานยอลดีใจไหม”
“ดีใจสิ ผมดีใจที่สุดเลย...”
“มาสร้างครอบครัวกันเถอะนะ”
“ได้สิ มันต้องได้อยู่แล้ว ฮ่ะๆๆ”
ดีใจจัง... กำลังจะมีลูกแล้ว ได้กลายเป็นพ่อคนแล้ว แถมยังมีภรรยาที่แสนน่ารัก... ชานยอลกำลังจะเริ่มต้นใหม่อย่างจริงจังแล้ว...
.
.
ไทม์แมชชีน
หมุนวนไป
อย่างไม่มีวันสิ้นสุด...
“ข่าวทั่วไปวันนี้นะครับ เริ่มต้นกันที่เรื่องรัฐบาลได้เพิ่มเหรียญใหม่ที่เป็นเหรียญ 500 วอน ที่เป็นลักษณะแบบนี้ ดังที่ทุกท่านเห็นบนจอนะครับ เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ทางกระทรวงการคลังก็ได้มีการประกาศเพิ่มเหรียญห้าร้อยที่เคยได้ประกาศเลิกใช้ไปเมื่อปีพันเก้าร้อยหกสิบ ตอนนี้ก็ได้นำมาประกาศใช้ใหม่แล้ว แต่รูปลักษณ์เนี่ย จะไม่เหมือนกับของเก่า เห็นได้จากภาพเปรียบเทียบบนจอนะครับ โดยล็อตแรกจะผลิตห้าแสนเหรียญ และเริ่มนำมาปล่อยต่อให้ประชาชนได้นำไปใช้ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป...”
“ที่รักช่วยเบาเสียงทีวีหน่อยได้ไหมคะ...”
ในวันอาทิตย์กลางฤดูร้อนภายในบ้านหลังใหญ่ ในขณะที่ผู้รายงานข่าวกำลังรายงานความเคลื่อนไหวของบ้านเมืองไปตามหน้าที่ ชานยอลที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่กับลูกชายวัย 5 ขวบก็ได้แต่นั่งมองจอโทรทัศน์เครื่องใหญ่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ข่าวประกาศใช้เหรียญใหม่ทำให้ชานยอลต้องลุกขึ้นจากโซฟาไปเปิดกล่องเก็บเครื่องประดับที่ซ่อนอยู่ในชั้นวางทีวีแล้วหยิบเอาสร้อยคอที่เคยใส่ประจำขึ้นมาดู
ความรู้สึกแปลกปนฉงนใจทำให้ชายหนุ่มถึงกับต้องนิ่วหน้า ชานยอลมองดูเหรียญประหลาดที่สร้อยคอของเขาสลับกับรูปบนจอทีวีด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
เหรียญแปลกๆ ที่ชานยอลเก็บได้จากจดหมายของอดีตคนรักของเขามันเหมือนกับเหรียญของคุณผู้ประกาศข่าวอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าหรือด้านหลัง
คนตัวสูงเดินถอยกลับไปนั่งลงบนโซฟาอย่างงงๆ ในใจชานยอลเอาแต่คิดว่าทำไมเหรียญที่เขาเคยได้มาเมื่อหลายสิบปีก่อนถึงได้บังเอิญมาเหมือนกับเหรียญที่เพิ่งประกาศใช้ใหม่ ทั้งๆ ที่มันถูกออกแบบมาใหม่ แถมยังไม่ได้ส่งต่อให้ประชาชนใช้
นี่มันเรื่องอะไรกัน...
“แบคฮยอน ไปนอนได้แล้วนะลูก”
เฮราที่เพิ่งเดินลงมาจากบนชั้นสองยืนเท้าเอวทำหน้ามุ่ยมองสองพ่อลูกที่ยังไม่ยอมขึ้นไปหลับนอนทั้งๆ ที่ตอนนี้มันจะสี่ทุ่มแล้ว หญิงสาวเดินไปอุ้มลูกชายของเธอที่นอนสะลึมสะลือเกาะแขนผู้เป็นพ่ออยู่ สีหน้าแปลกๆ ของสามีทำให้เฮราอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“มีอะไรหรอคะ? ข่าวประกาศใช้เหรียญใหม่หรอ” เธอว่าพร้อมกับหันไปมองจอทีวี
“อ๋อ... เปล่า ผมแค่... ไม่มีอะไร...”
“ประหลาดจังคุณเนี่ย ฉันจะเอาลูกไปนอนแล้วนะ”
“เอาไปเลย เดี๋ยวผมขึ้นไป”
ชานยอลว่า เขาโบกมือให้ภรรยาพร้อมกับส่งจูบให้กับลูกชายตัวหน่อยก่อนที่จะหยิบเอามือถือขึ้นมาค้นหารูปเหรียญใหม่ทันที
ในปีที่เทคโนโลยีก้าวเดินไปไกลแบบนี้ ผู้คนต่างก็ให้ความสนใจกับเรื่องในอนาคตกันหมดจนลืมอดีต แต่ว่าสำหรับชานยอลแล้วมันไม่ใช่ เขายังเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับความทรงจำเก่าๆ ถึงแม้ว่าโลกของเราจะมุ่งหน้าก้าวไปสู่อนาคตก็ตาม
ชานยอลค้นหารูปเหรียญเกาหลีที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ทั้งเก่าและใหม่ แต่เขาก็ไม่พบเหรียญที่ตัวเองมีอยู่เลย และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชานยอลทำแบบนี้ เขาเคยทำมันซ้ำหลายครั้งมาตลอดหลายปี และก็หยุดทำไปนานมากแล้วจนกระทั่งวันนี้
วันที่เหรียญของชานยอลถูกบรรจุอยู่ในประวัติศาสตร์เหรียญกษาปณ์ แต่ทว่ามันกลับไม่ใช่เหรียญของเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว...
มันคือเหรียญที่เพิ่งถูกเพิ่มเข้าไปใหม่เมื่อสองวันนี้เอง...
“จิ๊...” คนตัวสูงส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมาด้วยความรู้สึกขัดใจ ชานยอลปิดทีวีก่อนที่จะเดินขึ้นบนชั้นสองไปโดยที่ไม่ลืมตบมือเพื่อปิดไฟทั้งหมดของชั้นล่าง
ความรู้สึกพิศวงแปลกๆ ทำให้ชานยอลเริ่มขนลุก เขาสวมสร้อยนั้นใส่ให้ตัวเองอีกครั้งหลังจากที่ไม่ใส่มาหลายปี
ไม่รู้ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน...
ขายาวๆ ก้าวเดินไปยังห้องทำงานแทนที่จะเป็นห้องนอน ชานยอลจัดการลงกลอนประตูอย่างแน่นหนาก่อนที่จะเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้แล้วดีดนิ้วเบาๆ เพื่อเรียกจอ Interface ขึ้นมา
“แบคฮยอน”
เพียงแค่พูดเบาๆ เทคโนโลยีที่แสนลึกล้ำก็จัดการค้นหาทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ ‘แบคฮยอน’ ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่เพิ่งเกิดใหม่ ตายไปแล้ว หรือชื่อของสุนัข ชานยอลเลื่อนนิ้วขึ้นเพื่อดูข้อมูลของผู้คนที่ชื่อแบคฮยอน แต่ว่ามันก็เหมือนคว้าน้ำเหลว
แบคฮยอนเป็นชื่อของเด็ก 5 ขวบ เป็นชื่อของยามวัยเกษียณ เป็นชื่อของนักเรียนในมหาวิทยาลัย เป็นชื่อของปลาทอง มันไม่ต่างอะไรจากครั้งก่อนๆ ที่ชานยอลพยายามค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแบคฮยอนด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย
แบคฮยอนหายไปราวกับว่าเขาไม่เคยมีอยู่... อย่างกับมันเป็นแค่ฝันที่ยาวนานของผู้ชายขี้เหงาในตอนฤดูหนาว...
สิ่งเดียวที่พอจะแทนที่แบคฮยอนได้ ก็มีแต่ความทรงจำกับลูกชายตัวเล็กของเขาเท่านั้นเอง...
‘แบคฮยอน’ ยังเป็นคนที่ชานยอลยังรักมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นคนรักหรือลูกชาย...
.
.
.
ไทม์แมชชีน
หมุนวนไป
อย่างไม่มีวันสิ้นสุด...
“แบคฮยอน”
“........”
“พ่อเรียกไม่ได้ยินหรอ”
บนโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยบรรยากาศที่น่าอึดอัด แบคฮยอนในวัย 15 ปี เอาแต่เขี่ยผักในจานไปมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เขาไม่ยอมพูดตอบอะไรถึงแม้ว่าจะได้ยินคำถามของผู้เป็นพ่อเต็มสองหู
“ไม่อยากพูดกันก็ไม่ต้องพูด” ชานยอลว่าเสียงฉุน เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปจากห้องอาหารทันที ปล่อยให้ลูกชายและผู้เป็นแม่นั่งซึมอยู่ที่โต๊ะอาหารสองคน
ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น...
ตั้งแต่แบคฮยอนเริ่มโตชานยอลก็เริ่มเปลี่ยนไป แม้แต่เฮราเองก็ยังรู้สึกได้ว่าสามีของเธอฉุนเฉียวบ่อย แถมยังไม่ค่อยจะเข้าหาลูกชายทั้งๆ ที่เมื่อก่อนก็รักกันมากแท้ๆ แบคฮยอนเองก็เอาแต่ทำตัวมีปัญหา ทั้งๆ ที่เรื่องเรียนก็ไม่ได้มีปัญหา เขาแค่ดูเหมือนเด็กแปลกๆ ที่ชอบเก็บตัว
แบคฮยอนเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในยุคเทคโนโลยี ในวันที่ผู้คนยืนบนเครื่องเล่นเป่าลมที่เหาะเหินไปไหนมาไหนได้ ในวันที่รถไม่ต้องใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง แบคฮยอนป็นเด็กที่เรียนเก่งมากจนได้รับการยอมรับไปทั่ว ครอบครัวก็ไม่ได้มีปัญหา แต่ทว่าเขากลับเป็นคนเก็บตัว และผู้เป็นพ่อเองก็เปลี่ยนไป
ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกัน...
“ผมอิ่มแล้ว” แบคฮยอนว่า เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินหนีขึ้นห้องไปทันที ปล่อยให้ผู้เป็นแม่นั่งเหงาอยู่คนเดียวที่โต๊ะอาหาร
ขาเล็กๆ ก้าวเดินตรงไปยังห้องนอนที่เป็นห้องเดียวกับห้องทำงาน แบคฮยอนปิดล็อคประตูก่อนที่จะเดินไปนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ระบบ Interface ของเขา
‘โลกของเวลาเกิดขึ้นในทุกเสี้ยววินาทีที่เวลาผ่านไป มิติเวลาเกิดขึ้นมากเป็นอนันต์ มันเหมือนกับการหั่นขนมปังแผ่น จะมีโลกในมิติเวลาเกิดขึ้นทุกครั้งที่เวลาผ่านไป หมายความว่าหากคุณย้อนกลับไปแก้ไขอะไรในห้วงเวลานั้นๆ มันจะไม่ส่งผลกับปัจจุบันของคุณหากคุณเดินทางย้อนกลับมา เหมือนกับมีคุณเป็นหลายล้านๆๆๆ คนในโลกของเวลาอีกเป็นล้านๆๆๆ ใบ อย่างเช่นหากคุณย้อนเวลากลับไปฆ่าพ่อของคุณเอง มันก็เหมือนกับการเดินทางข้ามมิติ และเมื่อพ่อของคุณตาย ก็จะไม่มีตัวตนของคุณเกิดขึ้นในมิติเวลานั้นๆ แต่พ่อของคุณในมิติเวลาที่คุณจากมาจะยังอยู่ เราทุกคนมีโลกที่ไม่เหมือนกัน บางทีตอนนี้ผมในอีกมิติเวลาหนึ่งอาจจะกำลังดูซีรีส์ผีซอมบี้อยู่ก็ได้ ฮ่าๆๆ’
เท้าเล็กๆ ถูกยกขึ้นพาดบนโต๊ะทำงาน แบคฮยอนมองดูตู้อันตธานของเขาด้วยความชั่งใจ แต่ก่อนที่จะได้คิดอะไรเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
คนตัวเล็กรีบลุกจากเก้าอี้เดินไปเปิดประตูทันทีเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่หน้าห้อง ทันทีที่บานประตูเปิดออก ใบหน้าที่แสนเย็นชาของผู้เป็นพ่อก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
“มีอะไรหรอ”
“..........”
“ขอเข้าไปหน่อย”
“อื้อ”
เมื่อได้รับอนุญาตชานยอลก็เดินเข้าไปในห้องนอนของลูกชายทันที เขาเดินไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงรังนกสีน้ำเงินเข้ม จอ Interface ที่ฉายยาวเต็มผนังห้องดูไม่ต่างอะไรกับภาพในหนัง Sci-Fi เมื่อหลายสิบปีก่อน ชานยอลยกมือขึ้นจับสร้อยคอของเขาก่อนที่จะพูดออกมา
“ทำอะไรอยู่”
“ทำงาน”
“ไม่อยากจะพูดกันหน่อยหรอ”
“ไม่อยาก”
คำตอบของลูกชายทำให้ชานยอลได้แต่ถอนลมหายใจจออกมา เขามองดูใบหน้าของ ‘แบคฮยอน’ ที่เหมือนกับคนรักในอดีตของตัวเองด้วยความรู้สึกที่แสนเจ็บปวด... ไม่ว่าจะเป็นผมสีน้ำตาลอ่อน ดวงตา ริมฝีปาก รอยยิ้ม หรือนิสัยที่ดื้อรั้นแต่ก็ขี้อ้อนเหมือนกับลูกแมว เหมือนกันแม้กระทั่งสายตาที่มองตาด้วยความอาวรณ์อาวรณ์กึ่งเศร้าสร้อย
สายตาที่ชานยอลไม่เคยเข้าใจ...
ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้มองสบกับดวงตาคู่นั้นอีก...
เหมือนกันไม่มีผิดเลย...
อย่างกับสวรรค์เล่นตลก ชานยอลได้เจอคนที่เขาเฝ้ารอคอยมาทั้งชีวิต แต่ทว่ามันกลับไม่ใช่ในรูปแบบที่ต้องการ เหมือนห่างกันเพียงแค่เอื้อมมือแต่ก็มีกำแพงของสายเลือดกั้นอยู่สูงลิบฟ้า
มันเพราะอะไรกันนะ... เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง...
“แบคฮยอน...”
“อะไรหรอ...”
“............”
“หื้อ?....”
“เปล่า ถ้าทำงานพ่อจะออกไปแล้วนะ”
“อื้อ ไปสิ” แบคฮยอนยักไหล่ เขามองดูผู้เป็นพ่อลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ลืมปิดประตูให้
ดวงตาเรียวรีที่เต็มไปด้วยความเศร้าเหม่อมองออกไปยังกำแพงห้องสีฟ้าที่อยู่อีกฝั่งกับโต๊ะทำงาน แบคฮยอนเปิดลิ้นชักแล้วหยิบเอารูปถ่ายของเขากับพ่อออกมาวางเอาไว้บนอกก่อนที่จะหลับตาลง...
ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ...
‘ชานยอล รักนะ...’
‘ทำไมไม่เรียกพ่อล่ะ’
‘ไม่เรียกแล้วรักไม่ได้หรอ’
‘ได้สิ’
‘แต่ไม่ได้รักแบบนั้นหรอกนะ...’
‘ทำไมล่ะ’
‘ไม่ดีเลยนะ’
เป็นแบบนี้น่ะ ไม่ดีเลย...
.
.
.
ภายในห้องนอนสีเทา ชานยอลที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ยกมือขึ้นนวดขมับตัวเองก่อนที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียง
วันนี้ภรรยาของเขากลับบ้านไปหาแม่ที่ต่างประเทศ ชานยอลก็เลยต้องนอนเหงาอยู่คนเดียว
ในขณะที่ดวงตาเรียวรีกำลังหลับลงช้าๆ เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น เพียงไม่นานบานประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับลูกชายตัวเล็กที่เดินหอบตุ๊กตาหมีเข้ามา
“ขอนอนด้วยได้ไหม”
“มาสิ”
ชานยอลไม่ได้ว่าอะไร เขาตบเตียงเรียกแบคฮยอนให้มานอนข้างๆ ก่อนที่จะหลับตาลง แรงยวบที่เตียงกับสัมผัสอบอุ่นที่รอบเอวทำให้ชานยอลต้องพลิกตัวหันกลับไปกอดลูกชายตัวเล็กของเขา
ปลายจมูกโด่งไซ้ลงบนเรือนผมสีน้ำตาลอย่างลืมตัว พอนึกขึ้นมาได้ว่าเด็กผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่แบคฮยอนที่ชานยอลกำลังคิดถึงเขาก็ละใบหน้าออกด้วยความรู้สึกผิด
เหมือนกันมากเลย... แบคฮยอนที่อยู่ตรงนี้เหมือนกับแบคฮยอนเมื่อยี่สิบปีที่แล้วมากๆ เลย บางครั้งมันก็ทำให้เขาลืมตัว...
ดวงตากลมโตหลับลงช้าๆ ชานยอลหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้จิตใจสงบลง เขากำลังคิดกับตัวเองว่าควรจะชินได้แล้วกับการเห็นแบคฮยอนที่เป็นลูกชายคนนี้ แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นในความเป็นจริงมันก็ทำได้ยากมากเหลือเกิน
ลืมไม่ได้หรอก ยังไงก็ลืมไม่ลง...
จุ๊บ...
สัมผัสอุ่นๆ ที่ริมฝีปากทำให้ชานยอลต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขามองเห็นลูกชายที่กำลังหลับตาพริ้มเงยหน้าขึ้นบดริมฝีปากเล็กๆ ลงกับกลีบปากของเขา มันอย่างกับเป็นภาพทับซ้อน ชานยอลรู้สึกเหมือนหัวใจของเขาได้รับการเติมเต็มจากอะไรที่ขาดหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ
ภาพของแบคฮยอนในวันนั้นเงยหน้าขึ้นจูบเขาก่อนที่จะซุกหน้าลงกับอก ภาพที่ทำให้ชานยอลมีความสุขจนลืมไม่ลง... ใบหน้าที่เขาไม่มีวันลืม...
“อื้อ...” ชานยอลเผลอจูบตอบอย่างลืมตัว กว่าจะรู้ตัวอีกทีลิ้นเล็กๆ ก็เริ่มสอดแทรกเข้ามาในปากแล้ว ทันทีที่ตั้งสติได้มือหนาทั้งสองข้างก็ผลักเด็กผู้ชายตรงหน้าออกห่างทันที
ชานยอลยกมือขึ้นเช็ดริมฝีปากพร้อมกับส่งเสียงตะโกนออกมาดังลั่น
“ทำอะไรน่ะ!”
“ทำแบบนี้ไม่ได้หรอ... ก็บอกว่ารักไง”
“ออกไปเดี๋ยวนี้เลย!”
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธ... เพียงแค่ถูกริมฝีปากของลูกชายบดจูบชานยอลก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาถีบผ้าห่มออกก่อนที่จะเดินกระแทกเท้าตึงตังออกไปจากห้องนอนทันทีด้วยท่าทางหัวเสีย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมลุกไป ปล่อยให้แบคฮยอนได้แต่นอนเคว้งอยู่คนเดียวบนเตียงนอนที่กว้างยิ่งกว่ามหาสมุทร
ทำไมถึงไม่ใจดีเหมือนเมื่อก่อนเลยล่ะ... ชานยอลที่ทั้งอบอุ่นและอารมณ์ดี หายไปไหนกันนะ...
.
.
.
‘ไม่ต้องตามหานะ ไม่อยากจะอยู่ที่นี่แล้ว’
หน้าตู้อันตรธานที่ถูกเดินเครื่องจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว แบคฮยอนที่แสนเศร้าวางซองจดหมายเอาไว้บนโต๊ะก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปในด้านใน เขากำรูปถ่ายในมือเอาไว้แน่น ดวงตาเรียวรีหลับลงช้าๆ
คนตัวเล็กสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกความมั่นใจให้กับตัวเอง เงินสดในกระเป๋าของเขาหนักอึ้งพอๆ กับหัวใจที่กำลังสั่นเขว
แบคฮยอนหมุนเข็มวันที่บนหน้าปัดย้อนกลับช้าๆ เมื่อเข็มวันที่หมุนย้อนหนึ่งครั้ง ก็เท่ากับเวลาหนึ่งปี เข็มบนหน้าปัดถูกหมุนย้อนกลับไป 22 ปี วันนี้ที่แบคฮยอนเฝ้ารอมาตลอดกำลังมาถึง...
‘ปี๊บ’
‘Time reversing’
ราวกับถูกดูดเข้าไปในหลุมอากาศขนาดใหญ่ แบคฮยอนคลื่นไส้จนแทบอ้วกหัวใจของเขาหวิวเหมือนกับตอนที่นั่งรถไฟเหาะ เพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งนาทีทุกอย่างก็มืดสนิท ความรู้สึกรอบตัวเหมือนสูญญากาศ มันเชื่องช้า อืดอาด รู้สึกเหมือนอารมณ์กำลังแปรปรวนอย่างหนัก
จะไปถึงไหมนะ...
ที่รักของฉัน....
.
.
.
ในวันที่หิมะตกปรอยๆ... พื้นถนนคอนกรีตเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งสีขาว รองเท้าสีดำสนิทก้าวเดินย่ำไปเส้นทางที่แสนเปล่าเปลี่ยว....
ปาร์ค ชานยอลในเสื้อโค้ทสีดำตัวใหญ่และผ้าพันคอสีแดงทิ้งก้นบุหรี่ลงบนที่เปียกชื้น เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนที่จะสาวเท้าก้าวเดินต่อไปเพื่อกลับบ้าน
ในวันธรรมดาๆ ที่แสนเหงา ชานยอลเดินกลับบ้านเหมือนทุกวันหลังจากที่เรียนเสร็จ ดวงตาของเขาเอาแต่จ้องมองไปยังพื้นหิมะสีขาวละเอียด กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ชนเข้ากับแผ่นหลังเล็กๆ เข้าเสียแล้ว
“ขอโทษครับ” ชานยอลว่า เขาเงยหน้ามองดูเด็กผู้ชายผิวขาวซีดอายุราว 15 – 16 ปี ตรงหน้าก่อนที่จะเบี่ยงตัวเดินหลบไป แต่ไม่ทันจะได้ก้าวเท้าไปไหนเสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นจากด้านหลังก็ทำให้คนตัวสูงต้องหยุดชะงัก
“เราเคยเจอกันมาก่อนไหมครับ?”
“ไม่นี่ครับ” ชานยอลหันไปมองเด็กหนุ่มด้านหลัง เขานิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อพยายามจะนึกว่าเด็กที่ตัวกำลังสนทนาอยู่ด้วยเป็นใคร แต่ก็ไม่รู้สึกคุ้นเคยเลย
“งั้นยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“ครับ?”
“ผมแบคฮยอนครับ”
เจอกันแล้วนะ... ที่รักของฉัน...
ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่ผิดแล้วใช่ไหม...
1/2
ความคิดเห็น