คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2
[2]
นักกายภาพบำบัด
เสียงปิดกระโปรงหลังรถดังปึก! หลังจากที่วลีวิไลกวาดสารพัดของที่วางเกะกะอยู่ในรถมาเก็บไว้ข้างท้าย เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นเห็นรัมภา เสียงหวานของหญิงสาวร่างอ้อนแอ้นก็เจื้อยแจ้วทันทีกับผู้สูงอายุที่กำลังเดินมาทางรถยนต์สีขาวสว่าง
“วันนี้หลังจากตรวจหลังกับเข่าของคุณย่าเสร็จแล้ว เดี๋ยวหนูลีพาคุณย่าไปทานข้าวต่อนะคะ มีร้านที่อยากลองกินอยู่พอดี ไปกับหนูลีนะคะ” วันนี้เธอแต่งตัวต่างไปจากวันทำงาน วลีวิไลสวมเสื้อคอวีแขนกุดสีนวลตาซึ่งเข้ากันดีกับกางเกงยีนขายาว ทำให้เธอดูทะมัดทะแมงและปราดเปรียว แต่ก็เสริมด้วยส้นสูงสองนิ้วสีขาวให้เธอดูหวานได้อย่างไม่ขัดสายตา
“จ้ะ ดี๊ด๊าใหญ่เชียวนะ ได้ลางานทั้งทีต้องเอาให้คุ้มใช่ไหมจ๊ะ” รัมภาหัวเราะแผ่วและอดหยอกเอินท่าทางของหลานสาวไม่ได้
“ใช่แล้วค่ะ ยิ่งคุณพ่อออกปากอนุญาตให้ลาได้ทั้งวันอย่างนี้ยิ่งต้องเก็บให้ครบทุกเม็ดทุกหน่วยค่ะ”
วลีวิไลหันมายิ้มหน้าแป้นแล้นใส่คุณย่าพร้อมทั้งประคองเจ้าของสีผมดอกเลาขึ้นรถยนต์ของเธอด้วยท่าทางเหมือนเด็กเล็กๆ ที่คุณพ่อคุณแม่กำลังจะพาไปเที่ยวสวนสนุก แต่กลับกันที่ว่าเป็นเธอต่างหากที่พาคุณย่าไปโรงพยาบาลเพราะท่านบ่นปวดหลัง ปวดเข่ามาเป็นสัปดาห์แล้ว
สองย่าหลานคุยกันจ้อกแจ้กไปตลอดทางท่ามกลางแอร์เย็นฉ่ำภายในรถ ขณะที่รถยนต์คันเล็กก็ทะยานไปสู่การจราจรที่หนาแน่นในช่วงเช้า ซึ่งเป็นเวลาเร่งด่วนของกรุงเทพมหานคร
“ได้ลงแล้วค่ะ!!” หญิงสาวส่งเสียงดังลั่นรถคล้ายกับจะแสดงความดีใจที่เจ้าหล่อนหาที่จอดในโรงพยาบาลได้สำเร็จหลังจากที่วนรถแล้ววนรถอีกอยู่สองสามชั้นจนคนแก่เริ่มรู้สึกมึนศีรษะเล็กน้อย
วลีวิไลลงจากรถก่อนจะวิ่งปรูดเดียวไปอีกด้านของรถแล้วประคองรัมภาลงมาด้วยท่าทางน่าเอ็นดู
“เข้าไปที่วอร์ดกายภาพบำบัดให้นักกายภาพฯ ดูอาการหน่อยแล้วกันนะคะ หนูลีว่าน่าจะเป็นเพราะคุณย่าอาจจะนั่งนานไป ฮิฮิ”
ก่อนที่เสียงหัวเราะจะต้องแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเมื่อเธอถูกคุณย่าสุดที่รักตีเผียะจนได้รอยปื้นสีแดงๆ บนต้นแขนเล็ก
“โอ๊ย เจ็บแล้วค่ะเจ็บแล้ว” สงคราวย่อยๆ ที่นางสาววลีวิไลทำได้แค่กระโดดหลบเหย็งๆ เกิดขึ้นทันทีในพริบตาเดียวเพราะริมฝีปากบางที่เอาแต่ขยับพูดอะไรไม่เข้าเรื่องแท้ๆ ปากหนอปาก
กระทั่งทั้งคู่มาหยุดลงที่ข้างหน้าวอร์ดกายภาพบำบัด วลีวิไลถึงค่อยรอดปลอดภัยจากมือเหี่ยวย่นที่ทำร้ายร่างกายเธอมาตลอดทางได้สำเร็จ
วลีวิไลแจ้งจุดประสงค์ที่พาคุณย่ามาตรวจในวันนี้กับพนักงานประจำแผนก แล้วดึงใบกรอกรายละเอียดมากรอกให้คุณย่าเอง แต่ก็ต้องหันมาถามเจ้าตัวเป็นระยะอยู่ดีเพราะไม่แน่ใจว่าข้อมูลที่เธอจำได้ตรงกับความจริงมากน้อยแค่ไหน จนตอนหลังๆ คนที่จะมารับการตรวจเลยดึงใบกรอกข้อมูลมาจากหลานแล้วจรดปากกาเขียนลงไปแทน
หลังจากกรอกเสร็จ พนักงานก็พาวลีวิไลและรัมภาไปที่ห้องตรวจทันที เพราะตอนนี้เป็นเวลาเพียงแปดนาฬิกาเศษๆ เท่านั้นจึงแทบไม่มีคนไข้รายอื่นเลย
หญิงสาวกล่าวคำขอบคุณกับพนักงานแล้วจึงเดินตามคุณย่าเข้าไปด้านใน ภายในห้องสว่างตาที่ได้รับการดูแลสะอาดสะอ้านอย่างดี มีเตียงนอนยกสูงจากพื้นที่สามารถปรับเพิ่มลดระดับได้ซึ่งวลีวิไลเดาว่าเป็นที่ไว้สำหรับตรวจคนไข้ และแบบจำลองโครงกระดูกคนตั้งอยู่หนึ่งโครงในบริเวณถัดมาอีกหน่อย ก่อนที่เธอจะมองเลยมาถึงโต๊ะทำงานตัวใหญ่ซึ่งมีนักกายภาพบำบัดวัยหนุ่มนั่งอยู่ที่ด้านหลัง
เขาเงยขึ้นจากแฟ้มคนไข้ที่เพิ่งอ่านรายละเอียดจบเพื่อมองมายังเธอ
วลีวิไลมองไปยังเขาไม่วางตาก่อนที่ริ้วรอยของความตกตะลึงจะผุดผาดขึ้นเต็มดวงหน้า... ผู้ชายที่สวนสาธารณะ... พี่ชา...
โอ๊ย หนูลีหายใจไม่ทัน จะเป็นลม โลกกล๊มกลมจริงๆ
รอยยิ้มต้อนรับเธอกับย่าบิดอยู่บนริมฝีปากของชายหนุ่ม ก่อนที่เสียงนุ่มจะเชื้อเชิญอย่างสุภาพให้ทั้งคู่นั่งลง “เชิญนั่งครับ”
เขาไม่ได้แสดงท่าทางอะไรว่าจำเธอได้จนกระทั่งสังเกตเห็นความตกใจบนใบหน้าหวานแช่มช้อย เขาจึงเอะใจแล้วค่อยนึกออก
“อ๋อ คุณนั่นเอง ที่สวนสาธารณะใช่ไหมครับ?”
วลีวิไลสะดุ้งก่อนจะพึมพำตอบรับเสียงแผ่ว แล้วเอาแต่ก้มหน้างุด
“เอ๋ หมอกับยัยหนูลีรู้จักกันหรอคะ?” รัมภาเห็นท่าทางของทั้งคู่แล้วก็เอ่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนที่สายตาของคนแก่ที่ถึงแม้จะเริ่มฝ้าฟางไปบ้างแล้วหากก็ยังใช้การได้ดีพอควรจะมองไปเห็นกรอบรูปที่บนโต๊ะของหมอ
เด็กผู้ชายในวัยไม่เกินมัธยมปลายถ่ายคู่กับตัวเธอเองในอดีต .. ชื่อนามสกุลของใครคนหนึ่งจึงผุดวาบขึ้นมาในหัว
ปกรณ์ เกียรติฤดี
เกียรติฤดี... นามสกุลที่กระตุ้นความทรงจำของคนแก่ให้ทำงานได้อย่างรวดเร็ว เพราะนามสกุลนี้เป็นนามสกุลของเด็กชาย 2 คนและเด็กหญิงอีกหนึ่งซึ่งเคยอยู่บ้านหลังติดกันที่ต่างจังหวัด และเมื่อนานแสนนานมาแล้วรัมภาก็เคยรับอุปการะเด็กทั้งสามในตอนที่เด็กพวกนั้นกลายเป็นเด็กกำพร้าเมื่อพ่อแม่เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตอย่างกะทันหัน
“ชา... ใช่ชาหรือเปล่าลูก?”
หลังจากคำถามของหญิงสูงวัย วลีวิไลก็หันไปมองคุณย่าอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเอ่ยถามคำถามที่ก่อนหน้านี้คุณย่าเป็นฝ่ายถามเธอแต่ตอนนี้เธอกลับเป็นฝ่ายถามคุณย่าแทน
“คุณย่ารู้จักเขาเหรอคะ?” เธอพูดพลางพยักเพยิดไปยังชายหนุ่มหนึ่งเดียวในห้องนี้
ย่าและหลานสบตากัน แววงุนงงสงสัยปรากฏถ้วนทั่วในสายตาทั้งคู่ ก่อนที่ชายหนุ่มหนึ่งเดียวในห้องนี้จะเป็นฝ่ายเฉลย
“คุณย่าหรือเปล่าครับ? คุณย่ารัมภาที่อุปการะผม พี่น้ำ น้องกาแฟใช่ไหมครับ” รอยแห่งความยินดีปรากฏเต็มด้วงหน้าขาวตี๋อย่างลูกเสี้ยวจีน เขาควรจะจำรัมภาได้ตั้งแต่แรก แต่เพราะมัวแต่มองวลีวิไล เขาจึงไม่ทันมองผู้หญิงสูงวัยอีกคน
“ชาใช่ไหมลูก... เรียนจบแล้วไม่กลับมาหาย่าบ้างเลย ส่งมาแต่เงินเข้าบัญชีย่าอยู่นั่นแหละ พี่น้ำกับน้องแฟที่อยู่บ้านสวนชอบโทรมาบ่นให้ย่าฟังว่าเราน่ะยุ่งจนแม้กระทั่งพี่น้องอย่างพวกเขาก็เจอหน้ายากเหลือเกิน”
หญิงสูงวัยร่ายยาวเป็นชุดเพราะความคิดถึงที่อัดแน่นอยู่ในใจ ส่วนหญิงอีกคนที่ยังสาวนั้นตอนนี้ได้แต่นั่งอ้าปากค้างมองคุณนักกายภาพบำบัดหนุ่มอย่างตกตะลึงพรึงเพริศมากกว่าเก่า
คุณชา .. ที่สวนสาธารณะ .. กับ พี่ชา .. ที่บ้านสวน เป็นคนเดียวกัน!?!
“ก็เพิ่งบินกลับมาหลังเรียนจบที่สิงคโปร์ได้ไม่นานน่ะครับ ว่าจะแวะไปหาพี่น้ำกับน้องแฟอยู่เหมือนกัน คิดว่าจะโทรไปหาคุณย่าด้วย แต่เพิ่มเริ่มงานได้ไม่นานก็เลยยังยุ่งๆ ไม่มีเวลาน่ะครับ ขอโทษนะครับ” ชายหนุ่มตอบอย่างแสนสุภาพ ไม่เหลือเค้าเดิมที่วลีวิไลเคยผนึกไว้ล้ำลึกสุดในช่องของความทรงจำเลยสักนิด
ใครจะไปจำหมอนี่ได้ล่ะ อยู่ๆ ก็เกิดจะเปลี่ยนนิสัยจากเลวร้ายสุดๆ ดุจปีศาจกลายมาเป็นเทพบุตรสุดหล่อขนาดนี้
นี่ถ้าไม่เห็นกับตาแล้วอมพระมาพูดหนูลีก็ไม่อยากเชื่ออยู่ดี แต่นี่คือต้องเชื่อแล้วสิ .. ก็ดันมีพยานหลักฐานชี้ชัดขนาดนี้ว่าเป็นคนคนเดียวกัน
...
เลิกเลยนะหนูลี ! เลิกชอบนายนี่ไปได้เลย !!
เด็กหญิงวลีวิไลหรือหนูลีที่อายุ 5 ขวบมักจะผูกผมแกะสองข้างและใส่ชุดกระโปรงพองๆ ที่คุณพ่อกับคุณย่าเลือกให้ เพราะได้รับบทบาทในครอบครัวเป็นนางฟ้าตัวน้อยของบ้านที่ทุกคนต่างรักใคร่และเอ็นดู
ในตอนนั้นไม่ว่าเธอจะอยากได้ของเล่นอะไรก็ไม่เคยถูกขัดใจ จะกินหรือไม่กินอะไรก็ไม่เคยมีใครบังคับต่อว่า ดุด่าสั่งสอนอะไรก็ไม่เคยจะมีให้ขุ่นใจสักครั้งเดียว เรียกได้ว่าแม้ไม่ต้องพูดแค่ชี้สั่งอะไรก็เป็นนกเป็นไม้ได้ดั่งใจนางฟ้าตัวน้อยไปเสียทุกประการ
จะมีอยู่อย่างนึงเท่านั้นที่หนูลีปฏิเสธจนถึงขั้นแทบจะรังเกียจเลยด้วยซ้ำ ก็คือ พี่ชา... เด็กชายวัย 7 ปีที่มาอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกับหนูลีเพราะเป็นเด็กกำพร้าและชอบแกล้งให้หนูลีร้องไห้ทุกวันจนเป็นกิจวัตร
‘น้องหนูลี... น้องหนูลี...’ เสียงเรียกจากพี่คนละพ่อคนละแม่ทำให้เด็กหญิงหันขวับทั้งที่ยังเล่นตบแปะกับเด็กหญิงอีกคนที่ชื่อว่ากาแฟอยู่
‘พี่ชาเรียกหนูลีทำไม’ ริมฝีปากงอง้ำหลังจากถามเสียงเจื้อยแจ้วออกไปเพราะถูกขัดจังหวะการเล่น
‘ไม่มีอะไรหรอก นี่แหน่ะ!!’ เด็กชายชากระตุกหางแกะของเด็กหญิงหนูลีจนศีรษะเล็กหันหวืดไปตามแรงดึง ก่อนจะตามด้วยเสียงร้องไห้จ้าขึ้นมาทันที
บางครั้งเขาก็มาแกล้งสำนึกผิดขอโทษหนูลีด้วย แต่สุดท้ายเขาก็ทำแลบลิ้นปลิ้นตาแล้วมาแกล้งหลอกหนูลีอยู่ดี หรือบางทีเขาก็แย่งของเล่นของหนูลีไป เขาชอบเอาตุ๊กตาบาร์บี้ของหนูลีไปถือไว้แล้วยืดสุดแขนเพื่อให้หนูลีต้องไปกระโดดหย็องแหย็งแย่งคืนมาจากเขา
และนั่นเป็นกิจวัตรประจำวันของ ‘พี่ชา’ ที่หนูลีแสนจะรังเกียจคนนั้น เขาชอบแกล้งหนูลี แกล้งเสร็จแล้วก็หัวเราะดีใจ ทำท่าสนุกสนานที่ได้แกล้งจนหนูลีร้องไห้จ้า ถ้าวันไหนหนูลีไม่ร้องไห้ก็ดูเขาจะไม่ค่อยมีความสุขนัก...
เพราะฉะนั้นหนูลีล่ะฝังใจเกลี๊ยดเกลียดพี่ชามาเป็นสิบเกือบจะยี่สิบปีแล้ว
แล้วทำไมวันนี้ต้องดันจ๊ะเอ๋มาเจอไอ้พี่ชาบ้านี่ด้วยล่ะ! อุตส่าห์แยกย้ายกันไปเรียนคนละมหา’ลัย ทำงานคนละสายงาน บ้านก็ไม่ได้อยู่ติดกันแล้ว ทำไมต้องดันมาเจอกันด้วยเนี่ย!
เชื่อขนมกินได้เลยว่า .. ผู้ชายที่หล่อและน่าประทับใจแบบคนๆ นั้นที่หนูลีเผลอไปชายตามองน่ะไม่มีในความเป็นจริงหรอก เพราะหนูลีรับรองได้ว่าพี่ชาต้องสร้างภาพแน่นอน! ไม่ต่างจากเมื่อสมัยตอนเด็กๆ ไงที่เจ้าตัวน่ะเก่งเป็นที่หนึ่งในเรื่องการสร้างภาพจนไม่เคยถูกผู้ใหญ่จับได้จริงๆ จังๆ สักครั้งว่าเขาตั้งใจแกล้งให้หนูลีร้องไห้
“ว่าแต่...นี่หนูลีใช่ไหมครับคุณย่า” คุณพี่ชายคนละครอบครัวเริ่มหันมาสนใจการมีอยู่ของหญิงสาวนามวลีวิไล เขาหันมาสบตาเธอพร้อมรอยยิ้มสว่างไสวที่ทำให้หนูลีรู้สึกเขม่นเขามากขึ้น
เชอะ! หว่านเสน่ห์ใส่หนูลีเหรอ? ฝัน!!
“ใช่แล้วจ้ะ หนูลีจำพี่เขาได้ไหมลูกที่เราชอบเล่นกับพี่เขาตอนเด็กๆ น่ะ สวัสดีพี่ชาสิลูก”
หญิงสาวกระพุ่มมือยกขึ้นไหว้ด้วยท่าทางเสี ยไม่ได้จนคุณย่าตีลงไปบนมือเล็ก เธอจึงต้องประนมมือไหว้ตามมารยาทของกุลสตรีที่เธอถูกสอนเมื่อยามที่โตเป็นสาวแล้ว
“สวัสดีค่ะพี่ชา” เอ่ยน้ำเสียงเย็นเยียบ ปรายตามองอย่างอาฆาต และแน่นอนว่าสีหน้าก็ย่อมต้องบอกบุญไม่รับแน่นอนอยู่แล้ว จนคนรับไหว้รู้สึกร้อนๆ ขึ้นมาเหมือนเหงื่อจะแตก
ดุจริงๆ เลยน้องหนูลี ตอนเด็กๆ ไม่เห็นดุแบบนี้เลย
“แล้ววันนี้ย่าเป็นอะไรมาครับ เดี๋ยวชาช่วยดูแลให้สุดฝีมือเลยครับ” นักกายภาพบำบัดหนุ่มพยายามไม่สนใจหญิงสาวที่ทำท่าจะงับหัวเขาให้ได้จึงหันไปซักประวัติคนไข้ที่เขาต้องดูแลตอนนี้
“ก็ย่า...” ขณะที่รัมภากำลังจะบอกอาการเจ็บป่วยทั้งหมดที่เป็นอยู่ เสียงแข็งๆ ของหลานสาวก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน
“หายแล้ว”
ใบหน้าขาวจงใจแสดงอารมณ์หงุดหงิดออกมาอย่างไม่ต้องการจะปิดบัง
“หนูลี” คุณย่าเรียกชื่อของเธอพร้อมทั้งสบตาแล้วส่ายหน้าอย่างไม่พอใจเช่นกันที่เธอแสดงอาการเช่นนี้
“คุณย่าจะกลับแล้วใช่ไหมคะ?”
“หนูลี” เสียงของผู้สูงวัยเข้มขึ้นอีก หัวคิ้วเริ่มขมวดมุ่นขณะที่จ้องหลานสาวอย่างไม่วางสายตา
ปกรณ์มองท่าทางของทั้งย่าหลานฮึ่มฮั่มใส่กันแล้วใจคอไม่ดีชอบกลจึงพยายามจะช่วยไกล่เกลี่ยแต่เรื่องกลับเลวร้ายลงไปอีก
“ถ้าตอนนี้หนูลีไม่สะดวกรอคุณย่าตรวจก็ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่ขอเบอร์โทรไว้แล้วนัดวันมาตรวจใหม่ก็ได้ หรือจะให้พี่ไปตรวจให้ที่บ้านก็ได้ครับ”
“ไม่ต้อง! กลับค่ะคุณย่า!!” เธอตะโกนกร้าวพร้อมทั้งถลึงตาใส่ชายหนุ่ม ทำให้ปกรณ์สะดุ้งจนแทบหงายตกจากเก้าอี้เพราะความตกใจ
วลีวิไลลากรัมภาออกไปจากห้องทำงานของเขาด้วยท่าทางฉุนเฉียว นักกายภาพฯ หนุ่มได้ตามองประตูที่ถูกกระแทกปิดลงดังปังจนเขาถึงกับสะดุ้งโหยงอีกรอบอย่างไม่เข้าใจ
หนูลีเปลี่ยนไป... เธอเหมือนคนไปกินรังแตมาจากไหนเลย
พี่ชาวัยละอ่อนน้ออออ :))))*
ความคิดเห็น