คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๒ :: เพียงเอื้อมถึงเงาจันทร์
แสงเทียนในเงาจันทร์
______________
บทที่ ๒ :: เพียงเอื้อมถึงเงาจันทร์

ขาเรียวก้าวสลับข้างกันไปมาอย่างคล่องแคล่ว เดินเข้าๆ ออกๆ ระหว่างชั้นหนังสือ แขนบอบบางหอบเอาสารพัดหนังสือที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยามาไว้ในอ้อมอก ก่อนจะเอามารวมกันเป็นกองพะเนินอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือ สาวน้อยในชุดนิสิตหย่อนตัวลงนั่งแล้วเริ่มพลิกหน้ากระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า
"แก หาอะไรเยอะแยะวะ แล้วนี่ไม่ใช่เนื้อหาของรายงานที่อาจารย์สั่งด้วยนี่" เพื่อนร่วมคณะที่นั่งเฝ้าโต๊ะอยู่ก่อนแล้วแอบกระซิบถามท่ามกลางความเงียบของหอสมุดซึ่งเงียบขนาดที่ว่าเข็มตกอาจจะยังได้ยินเสียงด้วยซ้ำ
"คือเราสนใจเรื่องนี้น่ะมล" พาฝันกระซิบตอบกลับพร้อมรอยยิ้มนิดๆ และจมอยู่กับกองหนังสือโดยไม่ได้สนใจเพื่อนในกลุ่มคนอื่นๆ และสิ่งรอบข้างอีกเลย
เพราะเธอสนใจเพียงแต่เรื่องของเขา...
อันที่จริงแล้วเธอหลับไปเพียงแค่สองคืนหนึ่งวันเท่านั้น เลยอาจเป็นไปได้ว่าเธอแค่ฝันไปจริงๆ เธอเลยต้องมาพยายามหาหลักฐานพิสูจน์ให้ได้
เธอไม่เชื่อหรอกว่าความรู้สึกของเธอทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่ความฝัน ก็เขา...คนที่อยู่ในความรู้สึกของเธอมันแสนจะจริงขนาดนั้นแท้ๆ
นัยน์ตาของหญิงสาวยังคงทอดมองเหล่าตัวหนังสือที่อัดแน่นอยู่ตรงหน้า หากแท้จริงแล้วเธอกลับเหม่อลอยออกไปไกล... ไกลโพ้นเหลือเกิน
เพราะเธอกำลังคิดไปถึงตอนที่เธอตื่นขึ้นมาในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา
"แม่หญิง... แม่หญิง..." เปลือกตาหนาเลื่อนขึ้นเพราะเสียงเรียก ขนตางอนยาวกระพือสองสามครั้ง ก่อนนัยน์ตากลมโตจะเบิกกว้างขึ้นอีก เห้ย...นี่ฉันอยู่ที่ไหนนะ
เพราะเจ้าของน้ำเสียงที่เรียกเธออยู่เมื่อครู่นั้นเป็นบุรุษเพศ ไม่สิ...ไม่ได้ตกใจเพราะเขาเป็นชายหรอก แต่เพราะเขาไว้ผมทรงมหาดไทย
สวมเสื้อคอกลมผ่าหน้าแขนยาว มีผ้าอะไรบางอย่างคล้องคอ ส่วนท่อนล่างเป็นโจงกระเบนสีเข้ม*
"แม่หญิงลุกไหวไหม ข้าขอโทษด้วยที่ชนเจ้า" อีกฝ่ายพยายามช่วยดึงเธอให้ลุกขึ้น เธอตัดสินใจขอความช่วยเหลือด้วยการวางฝ่ามือลงบนมือแข็งแกร่ง และทำให้สายตาของเธอพบเข้ากับกำไลทองที่ข้อมือของตัวเอง เห้ย...!
หลังจากลุกขึ้นยืนได้ หญิงสาวจึงเริ่มต้นสำรวจตนเองและพบว่าเธออยู่ในชุดไทยโบราณ ห่มสไบเฉียงสีนวลตา เครื่องประดับทองที่เธอก็ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไรประดับเต็มตัว และบรรยากาศรอบข้างเธอนั้นดูแปลกประหลาด คล้ายกับอยู่ในฉากของละครย้อนยุคอย่างไรอย่างนั้น มีแต่ผู้คนแต่งตัวในเครื่องแต่งกายโบราณเดินขวักไขว่ไปมา พวกเขาพูดคุยและแลกสิ่งของกันอย่างคึกคัก
"นามเจ้ามีว่าอย่างไร"
ยังไม่ทันหายตกใจอะไร คำพูดสำนวนแปลกหูจากชายหนุ่มตรงหน้าก็ทำให้เธอหันกลับไปมองเขา หญิงสาวรู้สึกงุนงงเพราะคำถามที่ได้ยิน หากเธอยังไม่ทันได้ปริปากเอ่ยสิ่งใดตอบกลับก็มีคนเร่งรีบตรงมาทางเธออีกคนหนึ่งและดูเหมือนคนๆ นั้นจะกำลังเรียกชื่อเธออยู่ด้วย
"ท่านหญิงเทียน ห้ามวิ่งหนีอิชั้นแบบนี้อีกนะเจ้าคะ ถ้าท่านหญิงหายตัวไป อิชั้นถูกเฆี่ยนหลังลายแน่" ผู้หญิงวัยกลางคนกำลังกระหืดกระหอบพาร่างตุ้ยนุ้ยของตนมาทางหญิงสาวด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อย
"ท่านหญิงเทียน... จากราชสกุลใดรึ" เสียงพึมพำจากชายหนุ่มผิวเข้มตรงหน้าทำให้เธอผินหน้ากลับไปมองสบตาเขาอีกครั้ง หญิงเทียนที่กำลังพูดนี่หมายถึงเธอเหรอ? เอาก็เอาวะ ถึงจะงงไปหมดแต่ก็รับมุกก็ได้
"ใช่ ข้าชื่อเทียน ทำไมข้าต้องบอกสกุลข้าแก่ท่านด้วย" เสียงหวานเจือแววดื้อดึงอย่างเห็นได้ชัด ความจริงเธอไม่ได้ไม่อยากบอกหรอก แต่เธอก็ไม่รู้นามสกุลของเธอเหมือนกันนี่แหละ...
"เพราะข้าเป็นหนึ่งในลูกหลานของราชวงศ์สุพรรณภูมิที่ยิ่งใหญ่ นามว่าจันทร์"
“งั้นหาที่ราชวงศ์สุพรรณภูมิแล้วกัน…” ทีปภาพึมพำแผ่วเบากับตนเอง ถ้าเธอแน่ใจได้ว่าเขามีตัวตนอยู่ในยุคนั้นจริง อย่างน้อยก็คงจะไม่ใช่การคิดไปเอง
แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เธอยังไม่เจอสิ่งที่ต้องการ หญิงสาวพบว่าพงศาวดารนั้นมีบันทึกเรื่องราวของกษัตริย์ผู้ปกครองโดยละเอียด เธอเองก็รู้เพียงว่าในยุคที่เธอหลงเวลาไปอยู่นั้นปกครองโดยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จุลศักราชที่ 910-911 ตรงกับพุทธศักราชที่ 2091-2092 แน่นอนว่าเธอพบเพียงแต่ชื่อของพระมหากษัตริย์กับเชื้อพระวงศ์คนสำคัญๆ แต่ไร้ซึ่งชื่อของเขาในพงศาวดาร...
ระหว่างที่ยังหน้าดำคร่ำเคร่งกับการไล่สายตาค้นหาชื่อของคนที่อยากพบเหลือเกิน เครื่องมือสื่อสารของหญิงสาวก็สั่นเบาๆ เพราะโปรแกรมสนทนาสีเขียวแจ้งเตือนว่ามีคนติดต่อเข้ามา
ทีปภาจัดแจงทัชสกรีนเปิดดู เป็นข้อความจากญาติผู้พี่ว่ามารอรับเธอไปกินข้าวอยู่ที่หน้าตึกหอสมุดแล้ว ร่างบอบบางจำต้องตัดใจไปก่อน เธอบอกลากลุ่มเพื่อนเบาๆ แล้วอุ้มหนังสือไปยังที่วางหนังสือเพื่อให้บรรณารักษ์เป็นคนจัดเข้าชั้นเอง แต่ก็แอบหยิบยืมติดมือมาเล่มนึงจนได้ ในใจได้แต่หวังว่าคืนนี้เธอจะไล่เปิดอ่านให้จบและคงจะเจอชื่อของชายผู้ที่เธอทั้งรักและเทิดทูนบูชา...
“สวัสดีค่ะพี่พาย ขอบคุณที่มารับฝันนะคะ อะ...” เจ้าของชื่อพาฝันพาร่างของตัวเองมาถึงรถคันคุ้นตา เธอเหลือบดูทะเบียนเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจก่อนจะเปิดประตูขึ้นไปพร้อมเอ่ยทักทายคนในรถที่ควรจะเป็นลูกพี่ลูกน้องสาวคนสนิทของเธอ แต่กลับไม่ใช่
ท่านจันทร์...!!!
ท่านจันทร์ตัวเป็นๆ แต่เปลี่ยนเวอร์ชั่นมาใส่แว่นดำกับเสื้อเชิ้ตอยู่ในเบาะที่นั่งคนขับ!
“ท่านจันทร์...” น้ำเสียงหวานดังผะแผ่วก่อนจะคล้ายกับกลืนหายไปในลำคอดื้อๆ ยิ่งพอผู้ชายตรงหน้าหันมองมาพร้อมถอดแว่นตาออก จังหวะที่ประสานสายตาเข้ากับเธอ ดูราวกับเวลาหยุดนิ่งไป
“เอ่อ สวัสดีครับ”
“คะ? ค่ะ...สวัสดีค่ะ” เธอเผลอรับคำอย่างงุนงง ไม่ชินกับการที่คนตรงหน้าพูดด้วยสำนวนภาษาเช่นเดียวกับเธอ นี่ไม่ใช่ท่านจันทร์ของเทียน... แต่ก็เหมือนเหลือเกิน
“น้องคงเป็นน้องฝันของพาย พอดีพายไปเข้าห้องน้ำเมื่อกี๊”
หลังจากฟังคำอธิบายจบทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง หญิงสาวทำเพียงพยักหน้าลง แต่นัยน์ตาจดจ้องไปยังใบหน้าที่มีเค้าโครงของความเย็นชาปรากฏอยู่ไม่ต่างอะไรกับคนที่เธอเฝ้าคิดถึง
ดวงตาคมวาดมาสบมองทำให้พาฝันสะดุ้งตัวโยนราวกับคนทำความผิดมา อันที่จริงแล้วเธอกำลังหวั่นเกรงต่อความผิดหวังมากกว่า เธอกลัวว่าถึงแม้เขาตรงหน้าคนนี้จะเหมือนกันกับคนที่เธอรัก แต่ถ้าไม่ใช่เขา เพียงแค่เหมือนก็เปล่าประโยชน์
“น้องฝันตกใจอะไรครับ” ชายหนุ่มตรงหน้าส่งเสียงหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นอาการตกใจของเธอ ก่อนที่เขาจะพูดแนะนำตัวเองต่อไปอย่างไม่ได้สนใจคำพูดของตัวเองก่อนหน้านี้เท่าไหร่นัก
“พี่ชื่อปุณณ์ครับ ขอทำความรู้จักน้องฝันไว้เลย”
รอยยิ้มจุดที่มุมปากอย่างเดียวกับที่ท่านจันทร์ของเทียนหอมมักชอบทำเช่นกัน หัวใจของหญิงสาวกำลังเต้นแรงขึ้นและเธอควบคุมอะไรไม่ได้เลย
“คะ? ค่ะ พี่ปุณณ์ เอ่อ... พี่ปุณณ์เป็นใครคะ?”
พี่ปุณณ์ใช่ท่านจันทร์ของเทียนหอมหรือเปล่า?
เสียงเปิดประตูรถดังขัดจังหวะบทสนทนา หญิงสาวที่กำลังจะก้าวเข้ามาในรถทางฝั่งที่นั่งข้างคนขับจึงเผชิญหน้ากับน้องสาวที่จองที่นี้อยู่ก่อนแล้วเข้าอย่างจัง
“อ้าว ทำไมฝันมานั่งตรงนี้ล่ะ อ๋อ...พี่ลืมบอกเรานี่เนอะว่าพี่ไม่ได้มาคนเดียว” ญาติผู้พี่ของพาฝันเป็นคนเปิดประตูมานั่นเอง หญิงสาวแต่งกายด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนส์ดูทะมัดทะแมง หากยังไม่ทิ้งลายความสวยไปเสียทีเดียว เครื่องหน้าแบบลูกครึ่งผสมรวมกับร่างเล็กสันทัดเป็นอีกเสน่ห์หนึ่งของพายหวาน
“อ๊ะ ค่ะ งั้นเดี๋ยวฝันไปนั่งข้างหลัง” ขณะที่มัวแต่ลุกลี้ลุกลนจะลุกขึ้น หญิงสาวผู้เป็นพี่ก็ร้องเอะอะห้ามเสียงดังลั่น
“ไม่เป็นไรๆ นั่งไปเหอะจะได้รู้จักชายปุณณ์ด้วย สนิทๆ กันไว้นะ” พายหวานปฏิเสธด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงอันเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัว ก่อนเธอจะปิดประตูที่นั่งข้างคนขับแล้วพาตัวเองเข้ามาในรถของตนเองบนเบาะที่นั่งด้านหลังอย่างรวดเร็วไม่ทันให้พาฝันได้เอ่ยคำปฏิเสธ
สถานการณ์บนรถตึงเครียดเล็กๆ สำหรับพาฝัน แต่สำหรับชายหญิงอีกสองคนกลับตรงกันข้าม พาฝันรู้สึกตัวเองทำตัวเงอะงะและไม่รู้จะวางตัวยังไงดี
“พาย ผมพาไปร้านที่พายชอบทานที่ตรงใต้ตึกคณะสถาปัตย์ของพายนะ” คนที่มักจะเย็นชากับผู้อื่นเสมอในเมื่อตอน 400 กว่าปีก่อนนั้นกำลังส่งเสียงถามพี่สาวของเธออย่างอ่อนโยน
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว แต่ลักษณะและท่าทางที่เหมือนราวถอดแบบกันมานั้นมันใช่ ความรู้สึกของเธอกำลังร้องบอกว่าพวกเขาเป็นคนๆ เดียวกัน
“อ้อ อือๆ ไปร้านนั้นๆ แล้วนี่รู้จักกันยัง?”พายหวานระบายยิ้มสดใสบนวงหน้าก่อนจะพยายามแนะนำคนทั้งคู่ให้รู้จักกัน
“รู้จักกันนิดหน่อยแล้วล่ะ ใช่มั้ยน้องฝัน?”
“คะ? ค่ะ” เธอตอบตะกุกตะกักเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ สายตาคมเข้มของชายหนุ่มที่กวาดมองมาทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นรัวเร็วราวกลองรบที่กำลังส่งเสียงประกาศชัยชนะแก่ข้าศึก
“รู้แล้วใช่มั้ยว่าชายปุณณ์เป็นว่าที่คู่หมั้นพี่”
พายหวานโพล่งขึ้นมาอีกประโยคหลังจากที่รถเพิ่งเริ่มแล่นออกจากลานหน้าหอสมุด
ห้ะ...
“อะไรนะคะ?!” หญิงสาวเผลอตะโกนเสียงดังออกมา จนทำให้สองคนสี่ตาหันมาจ้องมองเธอ
ไม่จริงน่า... แล้วความรักของเธอล่ะ แล้วเขาคนนั้นของเธอล่ะ
ท่านจันทร์...หากเป็นท่านก็ช่วยเผยตัวเผยใจให้ข้ารู้ หากท่านคือความรักของเทียนหอมคนนี้ ทำไมถึงมาปรากฏเพียงแค่เงาให้สัมผัส แต่มิอาจครอบครอง
-------------_**
ทรงผมมหาดไทย คือ ทรงผมชายในยุคกรุงศรีอยุธยาที่โกนรอบศีรษะ เหลือไว้ตรงกลางกระหม่อม หวีเรียบไปทางซ้ายหรือขวา หรือแสกกลาง / เรื่องนี้ต้องใช้เวลาเขียนสักนิดนึง เพราะรีเช็กข้อมูลเรื่อยๆ ฮือออ
ความคิดเห็น