คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1
[1]
ผู้ชายแปลกหน้า
พระอาทิตย์ส่องแสงเพียงให้ความสว่าง หากยังไม่สาดรังสีความร้อนลงมาเป็นแดดให้ระคายเคืองผิวกาย เสียงนกร้องสอดประสานกันไพเราะรับยามอรุณรุ่ง วิทยุกระจายเสียงตามเสาสูงแทรกให้ได้ยินเป็นระยะๆ ลมรำเพยหอบเอากลิ่นหอมของสิ่งเล็กกระจ้อยจากธรรมชาติอย่างดอกไม้พัดผ่านมาแผ่วเบา ให้ความสดชื่นแก่คนที่กำลังออกกำลังกายในสวนสาธารณะใหญ่ใจกลางมหานครแห่งประเทศไทย
หญิงสาวร่างสะโอดสะองในชุดกีฬายี่ห้อดังวิ่งผ่านม่านหมอกบางของยามเช้าวันจันทร์ คู่ขนานไปกับคนรักสุขภาพคนอื่นๆ ที่มาออกกำลังกายเช่นกัน เดี๋ยวแซงหน้า เดี๋ยวช้ากว่า สลับกันไปตามพละกำลังของฝีเท้า
ขณะที่วิ่งเหยาะไปเรื่อยอย่างไม่รีบเร่ง หยาดเหงื่อก็ผุดพรายบนหน้าผากเนียน กระนั้นใบหน้าขาวก็เต็มไปด้วยริ้วรอยของความร่าเริงกระปรี้กระเปร่า
สองตากลมโตจ้องมองไปข้างหน้าอย่างไม่ได้คิดอะไร ก่อนที่ใครบางคนจะวิ่งสวนทางมาอยู่ในระยะของสายตาและสะกดดวงตาคู่หวานไว้ที่เขาอย่างช่วยไม่ได้
หน้าตาดีจัง...
วลีวิไลสะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงกระซิบจากความคิดในหัวสมองของตัวเอง
นี่เรากลายเป็นคนบ้าผู้ชายไปตั้งแต่เมื่อไรกัน หนูลีเอ๋ย คิดอะไรไร้สาระจริง...
หญิงสาวสะบัดหัวไล่ความคิดทิ้งไป แต่ภาพที่เห็นชัดประจักษ์สายตาเมื่อครู่ก็กลับวกย้อนมาปรากฏแจ่มชัดในหัวอีกครั้งทั้งที่ผู้ชายคนนั้นวิ่งผ่านหน้าเธอไปไกลแล้ว
ผู้ชายที่วิ่งสวนทางผ่านมาในเวลาเพียงเสี้ยวนาทีคนนั้นทั้งตัวสูงสมาร์ท ไหล่ก็กว้างและหนาอย่างคนออกกำลัง ผิวสีไม่เข้มไม่อ่อนนักตามแบบคนเมืองกรุง ที่สำคัญ... ตาเรียวเล็กอย่างที่บอกได้ว่ามีเชื้อจีนซึ่งเธอเผลอไปสบเข้าก็เหมือนมีมนต์สะกดดวงตาหวานไว้อย่างไรอย่างนั้น
บ้าไปแล้ว หนูลีเอ๋ย บ้าไปกันใหญ่แล้ว
ทั้งที่ไม่เคยรู้สึกต้องตาผู้ชายคนใดมาก่อน แต่กลับผู้ชายตัวสูงคนนั้นทำไมถึงได้เป็นอย่างนี้ คิดอะไรเป็นตุเป็นตะเชียวนะยัยหนูลี!
ยามเช้าของวันทำงานทุกวันเป็นช่วงเวลาแห่งสุขภาพของหญิงสาววัยทำงานอย่างวลีวิไล เช่นเคยกับบรรยากาศเดิมๆ ที่คุ้นสายตาและสัมผัส ธรรมชาติร่มรื่นกับสุขภาพที่ดีซึ่งหาซื้อไม่ได้เป็นสิ่งดึงดูดวลีวิไลให้มาวิ่งออกกำลังกายเป็นประจำเสมอ อีกทั้งที่ทำงานของเจ้าตัวก็อยู่ห่างไปเพียงสองตึกนับจากทางออกของสวนสาธารณะเท่านั้น
ทว่าอีกสิ่งหนึ่งที่เริ่มดึงดูดวลีวิไลก็เริ่มแสดงผลทีละเล็กละน้อยในเช้าวันอังคารนี้...
ในวันนี้ดวงตากลมสวยถูกใช้งานอย่างหนัก หญิงสาวหันซ้ายหันขวามองหาใครบางคนอย่างลืมตัว ทั้งที่ปฏิเสธในใจอย่างหนักแน่นไปตั้งแต่เมื่อคืนว่าเธอไม่ได้สนใจอะไร ‘เขา’ แต่ทั้งหมดที่กำลังทำก็เป็นกิริยาที่เป็นไปเองโดยอัตโนมัติทั้งหมด
วลีวิไลวิ่งเหยาะๆ ไปทั่วทั้งสวนสาธารณะไปพลางกวาดสายตามองหาใครคนหนึ่งไปพลาง แต่กลับไม่พบ ‘เขา’ เลยสักที่เดียว เธอเผลอถอนหายใจโดยไม่รู้ตัวก่อนจะเดินไปที่บ่อน้ำพุใหญ่ซึ่งถูกจัดไว้กลางสวนสาธารณะแห่งนี้ แล้วค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งที่ขอบบ่อ เครื่องทำน้ำพุส่งหยาดน้ำกระเซ็นมาถูกผิวบางเป็นริ้วๆ
หนูลีเอ๋ย...มานั่งมองหาผู้ชายแบบนี้ได้ยังไง?
แถมยังมานั่งทำหน้าหงอยเพราะมองหา ‘เขา’ ไม่เจออีก
ไปกันใหญ่แล้วนะหนูลีนะ!
ขณะที่กำลังต่อว่าตัวเองอยู่ในใจคนเดียว ‘เขา’ คนนั้นที่เธอมองหามาตลอดทั้งช่วงเช้านี้ก็มาปรากฏตัวต่อหน้าเธอพร้อมกับเสียงแผดร้องที่แหวกเสียงน้ำพุมาของเด็กหญิงที่กำลังร้องไห้จ้า น้ำตาร่วงลงจากดวงหน้าเล็กแหมะๆ
เด็กหญิงในชุดนักเรียนสีแดงแสบตาวิ่งมาหกล้มแผละที่ด้านหน้าของวลีวิไล ซึ่งเป็นขณะเดียวกันกับที่ชายหนุ่มที่เธอชะเง้อชะแง้อยากเห็นหน้าเขามาตลอดทั้งเช้านี้ก็มาพร้อมกับชุดออกกำลังกายเช่นเดียวกับเมื่อวาน และบังเอิญวิ่งผ่านมาทางนี้...
‘เขา’ ตรงเข้าไปช่วยเหลือเด็กหญิงทันทีโดยแทบไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ แม้มองจากที่นี่จะไม่ได้ยินเสียงที่ คนคนนั้นคุยกับเด็กน้อยที่หกล้ม แต่ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มใจดีกับฝ่ามือใหญ่ที่พยุงร่างกระจิดให้ลุกขึ้นก็ทำให้วลีวิไลรู้สึกสนอกสนใจอย่างยิ่ง
แก้มขาวบุ๋มลงพร้อมกับที่ริมฝีปากแต้มยิ้มไว้น้อยๆ
หล่อแล้วยังเป็นคนดีด้วยแหน่ะ!
เหมือนเขาจะรู้ว่าเธอกำลังชมเชยเขาอยู่ในใจหรืออาจเป็นเพราะเธอจ้องมองเขามานานเกินไปแล้วก็เป็นได้ เขาจึงหันมาสบตากับเธอ
หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวจนรีบร้อนลุกขึ้นยืน ก่อนจะกลับหลังหันแล้วเดินหนีไปอีกทางแทบไม่ทัน
หญิงสาวยังคงมาออกกำลังกายตอนเช้าเหมือนที่ทำมาตลอดหลายปี เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสำหรับออกกำลังกายเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกมาจากห้องน้ำของสวนสาธารณะเพื่อจะไปวิ่งออกกำลังกายตามเคย ชุดกีฬาสีเข้มขับเน้นผิวเนียนของเธอสว่างใสเช่นเดียวกับอารมณ์ของเจ้าตัวที่สดใสไม่แพ้กัน
ก็จะไม่ให้สดใสได้อย่างไร... ในเมื่อ ‘เขา’ ผู้ชายที่วลีวิไลคอยจับตามองคนนั้นมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าแบบที่เธอไม่ต้องหันซ้ายหันขวามองหาให้เสียเวลาเลยสักนิด
วันนี้เขาใส่เสื้อโปโลสีเขียวอ่อนสมกับเป็นวันพุธ .. วลีวิไลอมยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นสีเสื้อของเขา
ก่อนที่เธอจะยิ้มกว้างจนเห็นฟังเรียงกันทุกซี่ เพราะเขาคนนั้นที่เธอแอบมองมาได้สองวันแล้วกำลังทำตัวเป็นสุภาพบุรุษใจดีให้อาหารสุนัขจรจัดพร้อมกับหยอกล้อเจ้าสี่ขาตัวนั้นอย่างอารมณ์ดีและไม่มีท่าทีรังเกียจ
เขานั่งยองๆ ฉีกเนื้อหมูปิ้งออกจากไม้อย่างใจเย็นเพื่อให้สุนัขที่แสนโชคดีตัวนั้นกินได้สะดวก
วลิวิไลยืนมองยิ้มค้างอยู่พักใหญ่ก่อนจะได้สติขึ้นมาด้วยตัวเองว่าชักจะมองเขานานเกินไป เธอจึงโคลงหัวไปมาอยู่พักหนึ่งแล้วดุตัวเองเบาๆ ในใจ
เอาอีกแล้วนะหนูลีเอ๋ย! สติกลับมาได้แล้ว!
ขณะที่เธอพยายามดึงสติของเธอกลับคืนมา ชายหนุ่มที่ไม่รู้ว่าเงยหน้าขึ้นมาจากเจ้าหมาน้อยตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ก็ส่งเสียงทักทายมายังเธอ
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
“...”
หันหลังและเดินจากไปอีกทางทันทีทั้งที่ยังไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ตอนนี้วลีวิไลสติหลุดจนลืมสิ่งที่พูดกับตัวเองไปในใจเมื่อกี๊จนเกลี้ยงแล้ว...
วันนี้จะเจอผู้ชายคนนั้นไหมน้อ? อยากคุยกับเขาจัง...
เป็นประโยคคำถามและประโยคบอกเล่าในใจที่เรียกให้ระบบเลือดในร่างกายของวลีวิไลสูบฉีดที่ใบหน้ามากเกินไปจนเจ้าตัวชักรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นไข้ต้อนรับวันพฤหัสอย่างไรอย่างนั้น
วลีวิไลคิดไปพลางอุ้มข้าวของลงจากรถยนต์ส่วนบุคคล เธอกดปุ่มล็อครถแล้วเก็บกุญแจเข้ากระเป๋าสะพายเรียบร้อยก่อนจะเดินตรงไปยังห้องน้ำสาธารณะเพื่อเปลี่ยนชุดเป็นชุดที่เหมาะสมสำหรับการออกกำลังกาย
‘สวัสดีท่านผู้ฟังที่รักทุกท่านค่ะ อากาศดีๆ แบบนี้ต้องไปออกกำลังกายนะคะ..’ เสียงดีเจจากวิทยุกระจายเสียงของสวนสาธารณะเอ่ยทักทาย เธอเงี่ยหูฟังสักครู่ก่อนจะปล่อยให้ดีเจพูดต่อไปโดยไม่ได้ตั้งใจฟังอะไรเป็นพิเศษนัก
วันนี้เธอรู้สึกอารมณ์ดีมาก... มากกว่าทุกวันเสียอีก ราวกับเธอรู้ว่าวันนี้จะมีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นอย่างนั้นแหละ
ลมแผ่วเบาหอบเอากลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้พัดผ่านมาจนเธอต้องหยุดดม รอยยิ้มคลี่ออกอย่างสดใส แข่งกับดอกไม้แรกแย้มที่กำลังบานสะพรั่งไปทั่วบริเวณ วลีวิไลเดินช้ากว่าทุกวันไปตามทางเดิน
‘พรหมลิขิตบันดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด...’
เสียงเพลงจากลำโพงกระจายเสียงวิทยุทำให้เธอหยุดเดินแล้วตั้งใจฟัง
‘ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล พรหมลิขิตดลจิตใจ ฉันจึงได้มาพบกับเธอ’
เธอที่ยังอยู่ในชุดกระโปรงสำหรับทำงานเพราะยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นชุดกีฬาเผชิญหน้ากับ ‘เขา’ ที่วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า .. ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางเสียงเพลงจากวิทยุกระจายเสียง ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายขยับยิ้มพร้อมทั้งส่งคำทักทายมาให้เธอก่อน
“สวัสดีครับ มาวิ่งอีกแล้วนะครับ”
“...”
วลีวิไลยืนกะพริบตาปริบ ควานหาเสียงตัวเองไม่เจอทำให้ได้แต่ยืนบื้อเงียบๆ ไม่ได้ตอบอะไรเขากลับไป จนเขาคนนั้นได้แต่ยิ้มเก้อรอ
“พี่ชาคะ! พี่ชาคะ! เอมมี่คิดถึงพี่ชามากเลยค่ะ” น้ำเสียงกระตือรือร้นที่มาจากเนื้อเสียงใสๆ ดึงความสนใจของทั้งชายหญิงคู่นี้ให้เหลียวไปมองได้ไม่ยาก เด็กหญิงตัวน้อยในชุดนักเรียงกระโปรงแดงที่เคยร้องไห้จ้าเพราะหกคะล้มเมื่อวันก่อนกระโดดโลดเต้นอย่างดีอกดีใจแล้วตรงเข้ามาดึงชายเสื้อสีน้ำตาลของชายหนุ่มตรงหน้าวลีวิไล
อุ๊ย .. เขาชื่อ ‘พี่ชา’ เหรอ?
เมื่อได้ทราบชื่อของเขาอย่างไม่คาดหมาย เธอก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ .. ‘ชา’ ชื่อนี้เหมาะกับชื่อ ‘หนูลี’ จัง หลังจากเธอคิดเองเออเองเสร็จเรียบร้อยก็ต่อว่าตัวเองอยู่ในใจทั้งที่ยังอมยิ้มอยู่
ไปกันใหญ่แล้ว เพ้อเจ้ออีกตามเคยนะหนูลีเอ๋ย!
เอ… ว่าแต่ชื่อ ‘ชา’ นี่ทำไมมันโหลจังนะ เอ้อ แต่ช่างเถอะ ‘ชาดีๆ’ น่ะมีคนนี้คนเดียวในโลก ส่วนคนอื่นที่ชื่อ ‘ชา’ น่ะมัน ‘ชาเก๊’ ‘ชาปลอม’ ‘ชาไม่แท้’
ดีละ รู้ชื่อเขาแล้วแบบนี้หนูลีก็จะได้เก็บผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ไปฝัน!
ภายในบ้านกลางเก่ากลางใหม่หลังใหญ่ ควันจากหม้อน้ำแกงที่คุณย่าลงมือทำเองกำลังลอยตลบอบอวลประหนึ่งหมอกอ่อนๆ ของเช้าวันศุกร์ที่ด้านนอกบ้านเมื่อสองมือของหญิงสูงวัยเปิดฝาหม้อออก
กลิ่นหอมฉุยของอาหารเช้าที่เพิ่งทำเสร็จจะลอยละล่องขึ้นไปเยี่ยมเยียนสาวน้อยวลีวิไลบนชั้นสอง ให้เธอเลิกปฏิบัติกิจวัตรประจำวันอื่นๆ แล้วลงมาชั้นล่างเพื่อทานอาหารเช้ากับคุณย่ารัมภา เพราะเป็นเวลาที่สองสาวต่างวัยต้องมาร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเช้าด้วยกันแล้ว
“หนูลี มาทานข้าวก่อนออกจากบ้านสิลูก” เสียงของผู้สูงวัยดังมาจากในครัว เจ้าของกระแสความอบอุ่นที่เรียกเจ้าของชื่อซึ่งกำลังวิ่งกระหืดกระหอบลงบันไดมาพร้อมกับกองแฟ้มตั้งใหญ่ที่อุ้มไว้ในอกประหนึ่งลูกน้อยมิใช่ใครที่ไหน คือ คุณย่ารัมภาสุดที่รักของวลีวิไล
“ค่าคุณย่า ขอหนูลีเอาของไปเก็บท้ายรถแป๊ปนะคะ” เธอพูดไปก็ซอยเท้าเร็วๆ ไปด้วยเพื่อออกไปที่รถของตัวเอง ด้วยท้วงท่าที่ไม่ระมัดระวังเอาเสียเลยทำให้คุณย่าต้องเอ่ยปากบ่นหลานสาวแต่เช้าทั้งที่ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี
“เอ้าๆ เดินดีๆ สิหนูลี เดี๋ยวก็หกคะเมนตีลังกาไปหรอก... มานั่งนี่เลย มานั่งข้างๆ ย่า” บ่นยังไม่ทันจบดี หลานสาวตัวเล็กก็ผลุบกลับเข้ามาในบ้านอย่างรวดเร็ว หญิงสูงวัยจึงกวักมือให้มานั่งที่เก้าอี้ใกล้ๆ พร้อมกับทำท่าอ่อนอกอ่านใจในกิริยาของหญิงสาวที่แม้จะเคี่ยวเข็ญให้เป็นผ้าพับไว้อย่างไรก็ไม่เคยสำเร็จ ติดจะทำนิสัยเป็นผ้าที่ขยุ้มๆ ไว้ตลอดเวลา
“วันนี้กับข้าวน่ากินทั้งนั้นเลยค่ะ” หลานสาวยิ้มกว้างเหมือนเด็กเล็กๆ ทั้งที่เจ้าหล่อนอายุอานามไม่น้อยแล้ว 25 ย่าง 26 แล้วด้วยซ้ำ คุณย่ายกมือขึ้นลูบผมสลวยของอีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้เพราะความเอ็นดู
“น่ากินก็ทานเยอะๆ สิจ๊ะหลานย่า”
ทั้งย่าและหลานเริ่มทานข้าวกันไปพลางคุยสัพเพเหระกันไปพลาง
“ช่วงนี้งานเยอะไหมหนูลี ไม่เห็นพ่อเขากลับบ้านเลย” หลังจากกลืนข้าวคำแรกลงคอไปแล้ว คุณย่าก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามถึงลูกชายของตนหรือก็คือผู้เป็นพ่อของหลานสาว
“ของหนูลีไม่เยอะค่ะ แต่ของคุณพ่อน่ะเยอะมากกก” หนูลีลากเสียงยาวอย่างตั้งใจให้สมจริง ทำให้เจ้าของผมสั้นสีดอกเลาต้องส่งเสียงหัวเราะเบาๆ กับการแสดงออกที่เกินจริงและความช่างเจรจาของหลานสาว
“เอ้... โกหกย่านี่ ของเราจะไปน้อยได้ยังไง ถ้าของพ่อเราเยอะ ของเราก็ต้องเยอะด้วยน่ะสิ ก็เราน่ะเป็นเลขาของพ่อเขาไม่ใช่เหรอ แล้วแฟ้มตั้งใหญ่เมื่อกี๊นี้อีก โกหกย่าบาปนะคะคุณหลาน”
หนูลีหัวเราะร่วนออกมาทันทีอย่างชอบใจเพราะท่าทางจีบปากจีบคอของคนสูงวัยกว่า อีกทั้งคุณย่าของเธอไม่เคยไม่รู้ทันเธอเลยสักครั้งเดียว สมกับเป็นคุณย่ารัมภาของหนูลีจริงๆ
ความจริง เธอก็พูดไม่ถูกสักทีเดียวอย่างที่คุณย่าบอกนั่นล่ะ เพราะช่วงนี้งานของเธอเยอะจนวันนี้เธอตั้งใจจะเข้าไปเคลียร์งานที่บริษัทตั้งแต่เช้าเลยโดยที่งดไปออกกำลังกายยามเช้าที่สวนสาธารณะหนึ่งวัน ซึ่งก็หมายความว่าสถานการณ์ขณะนี้กำลังเข้าสู่ภาวะยุ่งฉุกเฉินแล้ว
จะว่าไปก็แอบเสียดายนิดๆ นะที่วันนี้จะไม่ได้เจอ ‘พี่ชา’ คนนั้น...
“โอเคค่ะ หนูลีงานเยอะก็ได้ แต่คุณพ่องานเยอะกว่าหนูลีจริงๆ นะคะ ที่ไม่กลับบ้านนี่ก็ค้างอยู่ที่ออฟฟิศสลับกับไปโรงงานที่อมตะนครนั่นแหละค่ะ เห็นคุณพ่อบอกว่ามีปัญหานิดหน่อยเกี่ยวกับฝ่ายผลิตอะไหล่ ท่านอยากเข้าไปควบคุมจัดการดูแลเอง ก็เลยยุ่งมากๆ น่ะค่ะ”
“อ่อ เป็นอย่างนี้นี่เอง ฟังดูแล้วงานคงหนักนะ ว่าแต่...ทำไมหนูลีหลานย่าดูไม่เหนื่อยเลยล่ะ หน้าตาแจ่มใสขนาดนี้นี่มีความรักหรือเปล่าลูก?” คุณย่าถามยิ้มๆ แต่ทำเอาหนูลีสะดุ้งโหยงในใจ คุณย่าจะรู้ทันหลานคนนี้เกินไปแล้ว
“ปะเปล่าค่ะ ก็แค่...แค่ประทับใจเขานิดหน่อย” ประโยคหลังชักจะเสียงอ่อย แต่ยิ่งเสียงอ่อย คุณย่าก็ยิ่งจับสังเกตได้ง่ายขึ้น คนสูงวัยไม่รีรอที่จะเอ่ยปากสอบสวน ชุดคำถามจึงถูกส่งออกไปรวดเร็วไม่ให้วลีวิไลตั้งตัวติดเลยด้วยซ้ำ
“เขานี่ใครจ๊ะแม่วลีวิไล... ย่ารู้จักหรือเปล่าจ๊ะ... แล้วที่ว่าประทับใจนี่ถึงขั้นชอบหรือยัง... เอ้า เงียบไปเลย ตอบย่ามาเดี๋ยวนี้นะหนูลี!”
“คุณย่าก็อย่าถามเป็นชุดสิคะ หนูลีก็ตอบไม่ทันสิ เอาทีละคำถามค่ะ” ยิ้มแห้งๆ รู้สึกกินข้าวไม่ค่อยลงเหมือนตัวเองกำลังจะโดนโทษประหาร
“เอ้า ตอบไม่ทัน งั้นย่าไม่ถามก็ได้ เล่ามาให้ย่าฟังเลยแล้วกัน”
“อ่า... เอ่อ...” เป็นเรื่องแล้วไงหนูลีเอ๋ย
“มาเอ่ออ่าอะไรล่ะจ๊ะ เล่ามาให้ย่าฟังได้แล้ว”
“ก็...จริงๆ หนูลีก็ไม่ได้มีความรักอะไรสักหน่อยนะ แค่ประทับใจ” ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนขมุบขมิบพอให้เสียงลอดผ่าน ทว่าใบหน้านวลกลับมีสีแดงเรื่อปรากฏจางๆ
“ไม่หน่อยแล้วมั้ง หน้าแดงใหญ่แล้วหลานย่า” คุณย่าหยอกล้อหลานสาวไปก็หัวเราะไปอย่างอารมณ์ดี
“จริงๆ นะคะย่า หนูลีไม่ได้โกหก หนูลีแค่ประทับใจพี่ชา... ก็พี่เขาเป็นคนดี...ดี๊ดีเลยนะคะ มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคน” พอได้เริ่มพูดบรรยายถึงผู้ชายแปลกหน้าที่เธอแสนประทับใจคนนั้น เธอก็อดที่จะยิ้มหน้าบานไม่ได้
“นี่ขนาดแค่ประทับใจนะเนี่ย เขินใหญ่แล้วนะจ๊ะแม่วลีวิไล” หญิงสูงวัยเอ่ยล้อใบหน้าที่แดงก่ำของหลานสาวคนสวยจนใบหน้านวลยิ่งขึ้นสีหนัก
คุณย่า! ล้อหนูลีได้ล้อใหญ่เลยนะคะ!
“ไม่คุยกับคุณย่าแล้ว หนูลีรีบกินข้าวรีบไปทำงานช่วยคุณพ่อดีกว่า” หญิงสาวผู้หน้าแดงทำเสียงงอนๆ ก่อนที่เธอจะก้มหน้าก้มตาทานอาหารเช้าด้วยความรวดเร็ว
ความคิดเห็น