คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : Chapter26 : Demon tree
Chapter26
“ดูเซ็งๆนะคะ
ชีสเบอร์เกอร์หน่อยไหม? เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้น”
“....!?”
“ถ้าไม่รีบจัดการชีสเบอร์เกอร์แสนอร่อยนี้
หนูจะกินมันทั้งหมดคนเดียวนะคะ:)”
“...เฟซี่!”
ไม่รู้ว่าเขาทำงานมากเกินไปจนสมองสั่งกลไกให้สร้างภาพหลอนของเธอขึ้นมารึเปล่า
เขาขยี้ตาเล็กน้อยก่อนที่จะหยิกตัวเองอย่างแรงจนอุทานออกมา
เขายังคงไม่เชื่อแม้สัญชาตญาณและความรู้สึกของคนเป็นพ่อจะรู้สึกอยู่เต็มอกว่าคนตรงหน้าคือลูกสาวของเขาไม่ผิดแน่
“เอ่อ...นี่คงไม่ใช่รายการอำกันเล่นๆแบบใช้เทคโนโลยีอำพรางใบหน้าเป็นลูกสาวฉันหรอกใช่ไหม?
แบบว่าปลอมยันเสียงและบอกเลยตบตาฉันคนนี้ไม่ได้หรอกนะจะบอกให้”
เขายังหวาดระแวงก่อนที่จะเอื้อมมือไปแตะที่ขมับทั้งสองข้างของเธอ
เพื่อหุ่นปุ่มเล็กๆบางอย่างซึ่งมันเป็นเทคโนโลยีการอำพรางและสร้างใบหน้าเหมือนบุคคลๆหนึ่งแบบที่นาตาชาเคยใช้แต่เขาก็ไม่พบ
จึงลองบีบและดึงแก้มก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มและอบอุ่นไม่ได้เย็นเฉียบ เฟลิเซียยิ้มให้เขาเล็กน้อยมันเป็นรอยยิ้มที่ยังตรึงอยู่ในโสตและความทรงจำของคนเป็นพ่อ
โทนี่น้ำตาคลอเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้มออกมาและดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอดของเขา เฟลิเซียกอดตอบอย่างคิดถึงผู้เป็นพ่อไม่ต่างกัน
นี่ไม่ใช่ความฝัน...
มันคือเรื่องจริงที่เธอยังมีชีวิตอยู่
แต่ยังไงกันล่ะ?
“มันยังไงกันเฟซี่...ลูก...แบบยังไง?”
เขาหอมหัวลูกสาวตนเล็กน้อยก่อนที่จะค่อยๆคลายกอดจากเธอ
เขาทั้งทึ่งทั้งดีใจอย่างท่วมท้นจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก
เขาได้เธอกลับคืนมาแล้วตอนนี้และเขาก็คงไม่ยอมปล่อยให้หายไปอีกแล้ว
นับต่อแต่นี้ไปจะไม่มีการเดิมพันหรือลองเสี่ยงกับอะไรที่มันต้องสูญเสียใครสักคนไปอีกแล้ว
“เรื่องมันยาวน่ะค่ะป๊า...หนูสัญญาว่าจะไม่ปกปิดอะไรและจะเล่าให้ฟังทุกอย่างค่ะ”เธอรับรอง
“มีใครรู้เรื่องลูกอีกไหม?”
“ไม่มีค่ะ”เธอส่ายหน้า “ป๊าเป็นคนแรกที่รู้ค่ะ”
หลายเดือนก่อนหน้านี้
“...”
‘ที่นี่...มัน...ที่ไหน?’
เปลือกตาอันหนักอึ้งค่อยๆลืมขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอกวาดสายตามองไปรอบๆและสายตาทอดยาวตรงไปยังด้านหน้าที่ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา
มันยาวไกลออกไปแบบไม่มีที่สิ้นสุดเพราะเธอมองไม่เห็นจุดหมายปลายทาง
เฟลิเซียก้มลงมองตัวเธอเล็กน้อยทำให้เห็นว่าในตอนนี้เธออยู่ในชุดเดรสสีขาว ท้องนภาสีฟ้าครามกับหมู่เมฆาขาวมีสายลมเอื่อยๆพัดมาปะทะเข้ากับร่างเธอเล็กน้อย
เกศายาวสยายและพลิ้วไหวไปตามแรงลมเล็กน้อย
เธอจำที่นี่ได้....
ที่แห่งนี้เคยปรากฏขึ้นหรือจะเรียกว่าเธอเคยมาเยือนแล้วครั้งหนึ่ง
ซึ่งเป็นตอนที่เธอกำลังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหลังจากที่เกิดอุบัติไม่คาดฝันถูกเหล็กแทงจนทะลุร่าง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ยังคงเค้าเดิมเหมือนที่เธอเคยเห็น เท้าเปล่าเหยียบย่ำบนผืนน้ำใส
มือของเธอแตะไปยังคอของตัวเองอีกครั้งก็ไม่พบกับสร้อยคอที่เธอมักจะสวมใส่เป็นประจำอีกแล้ว
เธอคลายมือตนก่อนที่จะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา เฟลิเซียลองดึงพลังออกมาแต่ก็ว่างเปล่าและไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เธอทำสำเร็จ
นั่นก็หมายความว่าเธอช่วยพ่อของเธอเอาไว้ได้สำเร็จอาจจะรวมถึงนาตาชาเองก็ด้วย
ร่างบางยิ้มเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกเศร้าด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะไม่สามารถกลับไปหาคนอื่นๆได้อีกแล้ว
แม้จะวางแผนตัดสินใจและทำใจมาแล้วประมาณหนึ่ง
แต่ก็พอเอาเข้าจริงๆก็ไม่สามารถทำใจได้อย่างสนิทใจ เธอคิดถึงพวกเขาทุกคนโดยเฉพาะมอร์แกนเพราะเธอผิดสัญญากับน้องสาวตน
สำหรับเธอมันค่อนข้างจะร้ายแรงเพราะเธอให้คำมั่นไว้แล้วแท้ๆแต่ท้ายที่สุดก็เป็นคนทำลายสัญญานั้นเสียเอง
เฟลิเซียรักษาสัญญาเอาไว้ไม่ได้...
มอร์แกนคงจะเสียใจไม่น้อยและอาจจะยังไม่เข้าใจในตอนนี้
ในสักวันหนึ่งที่เธอเติบโตขึ้นมากกว่านี้เธอคงจะเข้าใจ และคงจะให้อภัยกับคำมั่นสัญญาที่ตนไม่อาจจะทำตามได้
“ยืนเหม่ออะไรอยู่...”
“!?”
“อายุก็ยังน้อยอยู่แท้ๆ
ทำตัวเป็นฮีโร่ไปได้...ฉันลืมไปก็เธอมันอเวนเจอร์สนี่นะ”
“เฮลก้า...”
ร่างบางเกศาสีบลอนด์ทองปรากฏตัวขึ้นแบบที่เธอไม่ทันได้สังเกตหรือรู้สึกถึง
เจ้าของดวงเนตรสีฟ้าเช่นเดียวกับท้องนภาจ้องมองเฟลิเซีย
ด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่งและยืนกอดอกหล่อนอยู่ในชุดเดรสสีขาวเหมือนกันเพียงแต่ชุดไม่เหมือนกัน
“ทำไม...”
“เก็บความสงสัยไปถามทางนู้นดีกว่า”
เธอใช้นิ้วโป้งชี้ไปทิศทางหนึ่ง
เฟลิเซียจึงหันไปคราวนี้ทิวทัศน์และทัศนียภาพเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันผืนน้ำถูกแทนที่ด้วยหญ้าเขียวขจี
ดอกไม้หลากชนิดนานาพันธุ์และหลากสีสันค่อยๆปรากฏขึ้นมาพร้อมกับผีเสื้อตัวเล็กตัวน้อยที่กำลังโบยบินไปรอบๆ
เมื่อเฟลิเซียหันกลับมาเฮลก้าก็หายไปเสียแล้ว เมื่อไม่พบเธอจึงเดินย่ำพื้นหญ้าเหล่านั้นไปอย่างช้าๆ
ทางที่เคยทอดยาวไม่มีเส้นทางบรรจบหรือสิ้นสุดตอนนี้ปรากฏเป็นต้นไม้ยักษ์สีดำที่เธอนั้นคุ้นเคยเป็นอย่างดี
บรรยากาศและภาพที่เธอเคยพบทับซ้อนมามีร่างร่างหนึ่งที่เธอจำได้ว่าเคยเห็นครั้งก่อน
กำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่แต่คราวนี้อีกฝ่ายค่อยๆทิ้งตัวลงมายังพื้นเบื้องล่างและนั่งลงที่รากไม้ใหญ่
‘ในที่สุด...ก็ได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง’
ร่างนั้นพูดเฟลิเซียไม่อาจอนุมานหรือคาดเดาได้ว่าต้องแทนอีกฝ่ายด้วยคำว่าเขาหรือเธอ
สวมมงกุฎดอกไม้อันใหญ่ไร้ซึ่งใบหน้ามีเขาสีดำงอกออกมาคล้ายกับกิ่งไม้และมีเพียงแค่แสงสว่างกับตัวเป็นเงาสีดำ
ตัวล้อมไปด้วยเถาไม้เลื้อยและดอกไม้ต่างๆมากมาย วาจาหรือเสียงที่เปล่งออกมามีทั้งเสียงผู้หญิงและชายซ้อนทับกันออกมา
เฟลิเซียหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายและรักษาระยะห่าง
“คุณคือ...?”
‘นั่งลงก่อนสิ...แล้วข้าจะแนะนำตัวข้าให้เจ้าได้รู้จักมากกว่าที่ตำราได้บอกเล่าเอาไว้...’
เพียงแค่สะบัดมือเพียงเท่านั้นรากไม้ยักษ์ค่อยๆสานกันเป็นที่นั่ง
เฟลิเซียจึงค่อยๆนั่งลงตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างเงียบๆ
‘ข้าคือแก่นแท้แห่งพลังที่ซ่อนอยู่ตัวตนอยู่ในต้นไม้...ไร้เพศและไร้นาม
ข้าอยู่บนโลกและจักรวาลใบนี้มาอย่างช้านาน...อยู่มาก่อนที่บรรพชีพและสิ่งมีชีวิตใดๆบนโลกนี้จะถือกำเนิดเกิดขึ้นมา
ข้าเกิดขึ้นจากความว่างเปล่าในห้วงอวกาศลอยเคว้งไปทั่วทุกหนแห่งในเอกภพอันกว้างใหญ่
ข้าเป็นทั้งด้านมืดและสว่าง เมื่อเริ่มมีความรู้สึกนึกคิดกับสติปัญญาข้าก็ค่อยๆปรับสมดุลตัวเองเข้าสู่ดาวเคราะห์ดวงนี้
หล่อหลอมตัวตนกับพลังทั้งสองด้านกลมกลืนไปกับพิภพโลก ก่อกำเนิดเป็นต้นไม้ยักษ์แตกกิ่งก้านสาขาออกไปอย่างไม่รู้จบและเป็นส่วนหนึ่งกับโลก
ข้าเติบโตขึ้นเรื่อยๆพร้อมพลังแฝงที่ซ่อนอยู่ก็ค่อยๆทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งพลังด้านมืดกลืนกินแสงสว่างไปจนเกือบหมดสิ้น’
เฟลิเซียนั่งฟังอีกฝ่ายบอกเล่าเรื่องราวอย่างเงียบๆ
พร้อมกับภาพบางอย่างที่ฉายและปรากฏขึ้นในห้วงอากาศ
เหมือนกับกำลังกรอเทปพาเธอย้อนกลับไปในอดีตกาลที่ผ่านเลยมาไม่รู้กี่ร้อยหรือกี่พันปีหรือกี่ล้านปีมาแล้ว
‘อีกหลายๆล้านหรือหลายๆสหัสวรรษต่อมาสิ่งมีชีวิตอื่นๆในโลกก็เริ่มถือกำเนิด
มนุษย์เริ่มมีภาษาเริ่มสร้างมีอารยธรรม วัฒนธรรมและประเพณีของตนขึ้น มีวิชาความรู้มากมายหลากหลายศาสตร์หลายแขนงก่อเกิด
รวมถึงการเรียนรู้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่และเรียกขานกันว่าพลังเวทมนตร์ ผู้หยั่งรู้ถึงสิ่งที่อยู่เหนือกฏเกณฑ์แห่งธรรมชาติผู้หนึ่งได้ค้นพบการมีอยู่ของตัวข้า
สังหารผู้คนบริสุทธิ์ไปไม่รู้กี่ร้อยพันชีวิตเซ่นสังเวยร่างไร้วิญญาณและคาวเลือดเหล่านั้น
เพื่อแลกกับอำนาจมืดที่จะเหนือทุกสิ่งทั้งปวงอยู่เหนือแม้กระทั่งความตาย ข้าจึงมอบพลังของข้าให้กับชายผู้นั้นรวมถึงมอบชีวิตอันเป็นนิจนิรันดร์
แต่ก็ต้องทนทุกข์ทรมานจากบาดแผลแห่งความเหงาและความเจ็บปวด
จากการที่เห็นคนรักค่อยๆล้มหายตายจากไปทีละคน
พลังด้านมืดค่อยๆกัดกินจิตใจทีละนิดจนในที่สุดก็สลายไป จิตวิญญาณและร่างกายที่แตกสลายหวนคืนหลอมรวมเข้ากับตัวข้า
ทิ้งไว้เพียงแค่ตำราหนังสือที่จดบันทึกเกี่ยวกับแก่นแท้ของพลังด้านมืด มีผู้คนมากมายออกตามล่าหาตำราแต่ก็คว้าน้ำเหลวเพราะมันถูกผนึกและซ่อนเอาไว้
ผ่านไปหลายทศวรรษในที่สุดก็มีผู้ค้นพบตำราที่ถูกซ่อนเอาไว้และออกตามหาข้าอีกครั้ง ข้าได้มอบพลังให้แต่ครั้งนี้มันกลับแตกต่างออกไป
ตรงที่สามารถดึงพลังด้านสว่างที่ถูกพลังด้านมืดของข้านั้นกลืนกินไปแล้วออกมาได้
ในที่สุดพลังด้านสว่างที่อยู่ในรูปของมณีแห่งการฟื้นคืนก็ถูกดึงออกมา’
ปรากฏเป็นภาพของมณีเม็ดขาวบริสุทธิ์ลอยขึ้นมาในอากาศ
มันแตกต่างจากอันที่เธอสวมใส่เป็นสร้อยคอและพกติดตัวตลอดตรงที่
มันเม็ดใหญ่กว่าและยังไม่ได้รับการเจียระไนแต่ก็สวยงามในแบบของมัน
‘ความกระหายในความรู้ของชายผู้นี้ไม่มีที่สิ้นสุด
ใช้เวลาหลายศตวรรษในการไขความลับที่ซ่อนอยู่ในมณี ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ข้างหลังคิดถึงแต่ตนเองและผยองในความเป็นอมตะไม่กลัวความเป็นความตาย
ความทะเยอทะยานและความพยายามความอยากรู้ถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ก็ได้นำพาไปสู่ความสำเร็จ
เงื่อนไขและสิ่งที่ค้นพบถูกจดบันทึกต่อเติมจากตำราเล่มเดิมที่ตนเองค้นพบ มันคือความสำเร็จและความสุขที่มากล้นเกินจะพรรณนาแต่อนิจจาความสุขมักอยู่ไม่นาน...’
“อ๊ะ...”
ภาพกลางอากาศนั้นดับวูบลงปรากฏเป็นร่างเงาของคนสองคนและไม่ปรากฏใบหน้าให้ได้เห็น
ร่างแกร่งของเขากำลังโอบกอดและโอบอุ้มร่างๆหนึ่งเอาไว้ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นคนรักของเขา
‘คนรักกำลังจากไป...ในที่สุดก็เริ่มตระหนักถึงความตายที่กำลังจะคร่าชีวิตคนรักไป
ทรมานจากโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาหาย
เขาพร้อมที่จะสละอายุขัยที่อยู่ในเงื่อนไขของมณีเพื่อที่จะนำพาหล่อนกลับมาจากความตายแต่จะรอให้นางตายเพื่อที่จะได้ใช้พลังจากมณีก็ไม่สามารถทำใจรอได้ขนาดนั้น
ชายผู้น่าสงสารจึงอ้อนวอนขอร้องกับข้า
ยอมสละทิ้งทุกสิ่งอย่างแม้แต่ความเป็นอมตะที่ข้ามอบให้
ข้าจึงยื่นข้อเสนอให้กับชายผู้นี้เขาต้องสละชีพอมตะต้องแลกเปลี่ยนด้วยชีวิต จิตวิญญาณและร่างกาย
เพื่อที่คนรักจะได้มีชีวิตอยู่ต่อแต่ไม่ได้หมายความว่าจะหายจากโรคร้ายที่เป็นอยู่
เพียงแค่ประวิงเวลาออกไปและสิ้นชีวิตตามอายุขัย...ชายผู้นี้ตอบรับทันทีแบบไม่มีลังเลข้าจึงทำตามพันธะข้อตกลง’
และภาพเงาชายคนนั้นก็ค่อยๆสลายหายไป
เหลือไว้เพียงแค่เงาของคนรักกับตำราหนังสือที่ถูกทิ้งเอาไว้
‘หนังสือและมณีถูกส่งต่อให้กับคนรักของเขา
หล่อนเขียนเรื่องสละชีพอมตะที่เขาได้บอกเล่าให้กับเธอลงไปในหนังสือ หล่อนรู้ตัวดีว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าโรคร้ายจะคร่าชีวิตหล่อนไปอีกเป็นครั้งที่สอง
จากตำราที่คนรักของเธอเขียนเอาไว้มณีจะนำพาเขากลับมาได้แต่หากกลับมาแล้วก็อาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างที่ควรจะเป็น
เธอจึงหยุดความคิดที่จะนำพาเขากลับมา ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพังและจากโลกนี้ไปอย่างสงบในที่สุด
มณีหวนคืนสู่ตัวข้าอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่ได้หลอมรวมกับพลังด้านมืดแต่ถูกพลังด้านมืดปกคลุมเอาไว้
หนังสือถูกฝังและผูกมัดเอาไว้ด้วยโซ่ที่สุสานของนาง ข้ายังคงเติบโตและแผ่พลังด้านมืดออกมาอีกอย่างไม่รู้จบ...จนยุคสมัยต่อมามีมนุษย์หยั่งรู้มากยิ่งขึ้นและออกตามล่าหาพลังกันอย่างไม่รู้จบ
กระทั่งมนุษย์กลุ่มแรกที่เรียกขานตนเองว่าบาโฟเมตก็พบเข้าและหนังสือก็ถูกขุดออกมาจากสุสาน’
ปรากฏเป็นผู้คนที่อยู่ภายใต้หน้ากากและชุดเสื้อคลุมสีดำกับสัญลักษณ์ดาวห้าแฉก
ซึ่งเฟลิเซียจำได้ไม่มีวันลืมยิ่งพูดชื่อองค์กรเธอก็ยิ่งจำได้ชัดเจน
‘พวกมันตั้งรกรากและพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้ดึงและนำพลังของข้าออกมาแต่ครั้งนี้มันไม่ง่ายเหมือนสองครั้งแรกที่ผ่านมา
เพราะในครั้งนี้ข้าจะเป็นผู้เลือกเองว่าจะมอบพลังให้กับผู้ใดและตัดสินใจเองว่าใครคือคนที่เหมาะสม
พวกมันไม่เคยยอมแพ้และเหน็ดเหนื่อย เมื่อเข้าสู่ยุคสมัยที่เริ่มพัฒนาขึ้นชื่อว่ามนุษย์...ในที่สุดพวกมันก็สามารถดึงพลังของข้าออกไปได้แต่ก็น้อยนิดและแต่ก็ทรงพลัง
หากมนุษย์คนใดไม่อาจรับพลังของข้าได้ร่างก็จะสลายและถูกข้ากลืนกิน เป็นอีกครั้งในรอบหลายทศวรรษที่ข้าได้กลืนกินจิตวิญญาณมนุษย์ที่ถูกสังเวย
พวกที่ได้พลังข้าไปก็ไม่สามารถดึงพลังออกมาใช้ได้เต็มที่และมีข้อจำกัด
พวกไร้ประโยชน์ก็ต้องตายพวกที่พอมีประโยชน์ก็ถูกจับตัวไปทดลองต่างๆมากมายผสานพลังจากเทคโนโลยีและศาสตร์แห่งพลังเหนือธรรมชาติเข้าด้วยกัน
เมื่อมีคนที่แข็งแกร่งในพลังมากพอก็จะถูกดึงพลังออกมาเพื่อส่งมอบให้ผู้เป็นใหญ่ในองค์กรครอบครองพลังเหล่านั้นไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
ไม่ใช่แค่พลังแต่มันรวมถึงชีวิตของคนๆนั้นด้วยเช่นกัน...เริ่มเกิดลัทธิบางอย่างขึ้นปลูกฝังความเชื่อที่ว่ามนุษย์ที่ไม่ดีและชั่วร้ายไม่สมควรได้รับการให้อภัย
เป็นศาลเตี้ยคอยจัดการกับพวกคนไม่ดี...แต่มันก็แค่สิ่งฉาบฉวยให้คนภายนอกได้เห็น ในความเป็นจริงแล้วนั้นตรงกันข้ามพวกมันไม่สนและไม่แยกแยะว่ามนุษย์ที่ตนคร่าชีวิตไปจะเป็นคนดีหรือคนเลว
ฆ่าเพื่อสังเวย ฆ่าเพราะผยองในอำนาจพลังที่มีแม้ว่าจะน้อยนิดก็ตาม พลังด้านมืดและความชั่วร้ายแผ่กระจายออกมาจากมนุษย์ทุกผู้ที่อยู่ในองค์กรและลัทธิ’
“ดัฟฟ์...เฮลก้า…เบรค...”
สามชื่อที่เฟลิเซียจำได้ไม่ลืมถูกเอ่ยถึง
ครั้งนี้ภาพในห้วงอากาศปรากฏเป็นใบหน้าของทั้งสามให้เธอได้เห็นอย่างชัดเจน และฉายให้เห็นเรื่องราวที่ผ่านๆมาภายในองค์กรนั้นโหดร้ายมากแค่ไหนกับออร่าความมืดที่กำลังแผ่และกระจายไปทั่ว
ผู้คนถูกฆ่าเป็นผักปลาอย่างน่าเวทนาและชวนให้รู้สึกหดหู่
‘เวลาผ่านเลยไปหลายปีก็มีสิ่งที่น่าอัศจรรย์เกิดขึ้น
ท่ามกลางความบิดเบี้ยวและผิดเพี้ยนก็มีพลังด้านบวกเกิดขึ้นแม้จะเป็นแสงสว่างเล็กๆที่ริบหรี่มากก็ตาม
ชายผู้หนึ่งกับสตรีนางหนึ่งไม่ได้ฝักใฝ่ในพลังด้านมืดเหมือนคนอื่นๆรู้ผิดชอบชั่วดีและไม่ได้เห็นผิดเป็นถูก
ทั้งสองนับว่าเป็นความสำเร็จครั้งใหม่และยิ่งใหญ่ ชายหนุ่มที่สามารถรับพลังจากข้าไปได้มากกว่าผู้อื่นและร่างกายไม่แตกสลาย
ส่วนหญิงสาวได้รับพลังแห่งการดูดซับพลังมากกว่าคนปกติทั่วๆไปเพราะร่างกายตอบสนองต่อเทคโนโลยีแห่งการดูดซับพลังมากกว่าคนอื่นๆ
แน่นอนว่าทั้งคู่ไม่ต้องการตกเป็นเครื่องมือให้กับองค์กรชั่วร้ายนี้จึงพากันหนีไปและเกิดเป็นความรักในที่สุด...’
“…”
ทันทีที่ได้ยินเธอเบิกตากว้างเล็กน้อย ผู้เป็นพ่อและแม่ที่แท้จริงปรากฏขึ้นแม้จะเป็นเพียงแค่ภาพลางๆก็ตาม
สองผู้ให้กำเนิดที่เธอไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเลยนับตั้งแต่เธอลืมตาขึ้นมาดูโลกถึงจะเคยเห็นภาพบางส่วนที่อยู่ในไฟล์องค์กรที่โทนี่กู้มา
แต่ภาพตรงที่กำลังประมวลและฉายอยู่มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน เหมือนเธอได้อยู่ในช่วงเวลาที่พ่อแม่เธอยังมีชีวิตอยู่จริงๆและเป็นภาพอีกมุมที่เธอไม่เคยได้เห็น
เธอรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าหยาดน้ำตาเอ่อคลอเล็กน้อยเพราะมันเป็นความรู้สึกที่พูดไม่ถูก
‘ในที่สุดอีกหนึ่งชีวิตก็ค่อยๆเจริญเติบโตในครรภ์ของหล่อนอย่างช้าๆ
ทั้งสองสัมผัสได้ถึงหัวใจดวงน้อยที่กำลังเต้นอยู่พวกเขาเฝ้ารอไม่ไหวที่จะได้พบกับแก้วตาดวงใจตัวน้อยที่กำลังจะเกิดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า...แต่ชีวิตก็ไม่ได้สวยงามหรือเรียบง่ายขนาดนั้น
องค์กรตามหาทั้งสองเจอในที่สุด ชายหนุ่มปกป้องคนที่ตนรักด้วยชีวิตของเขาและถูกเซ่นสังเวยเพื่อเอาพลัง
น่าเวทนา...หล่อนกำลังจะฆ่าตัวตายตามแต่ก็ถูกห้ามเอาไว้เสียก่อนและถูกพาตัวกลับ
ความเหนื่อยล้าเข้าครอบงำและแตะเข้าที่ต้นไม้อย่างไม่ตั้งใจทำให้ค้นพบสิ่งแปลกใหม่
นางดูดซับพลังจากข้าโดยที่ตนเองนั้นไม่รู้ตัวในตอนนั้นเองที่ข้าได้สัมผัสและรู้สึกถึงทารกที่กำลังเติบโตอยู่ในครรภ์ของนาง
ข้าสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างซึ่งข้าเองก็ไม่สามารถจะอธิบายได้เช่นกัน...ข้ารับรู้และรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง
วินาทีนั้นเองข้าจึงตัดสินใจปล่อยให้นางซึมซับพลังของข้าไปจนเกือบหมดและให้พลังนั้นตกไปอยู่กับทารกที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลกในวันข้างหน้า
ผู้นำแห่งองค์กรและคนอื่นๆรู้สึกทึ่งและตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงอำนวยความสะดวกให้แก่นางทุกสิ่งอย่างเพราะแค่ต้องการเด็กที่กำลังจะเกิดมา
ค่ำคืนที่พวกมันรอคอยก็มาถึงหล่อนได้ให้กำเนิดชีวิตน้อยๆขึ้นมาและเสียชีวิตลงทันที
เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เธอได้สวมกอดลูกสาวของตน’
เหตุการณ์หลังจากนี้ก็คงไม่ต้องให้อีกฝ่ายนั้นอธิบาย
เมื่อเธอเติบโตและเริ่มรู้เรื่องแล้วพวกเขามองเธอเป็นเพียงแค่สิ่งของและเครื่องมือเติบโตขึ้นมาท่ามกลางคำหว่านล้อมและคำปลอบจอมปลอมสารพัด
เลี้ยงดูเธอมาเป็นอย่างดีเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝงร่างกายเธอต้องรับยามากมายสารพัด
ไม่รู้จักโลกภายนอกพวกเขาปลูกฝังสิ่งต่างๆมากมายแต่เธอก็ไม่ได้คล้อยตาม
เธอรู้ว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้มันไม่ถูกต้องเมื่อสบโอกาสเธอจึงหนี หนีไกลจนกระทั่งเธอได้พบกับโทนี่
สตาร์ค
นับแต่นั้นชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปตลอดกาล
จนเธอกลับไปยังองค์กรอีกครั้งเพื่อยุติเรื่องราวทั้งหมดและได้ครอบครองมณีกับพลังที่แท้จริงที่ตื่นขึ้น
‘อย่าให้ใครรู้...อย่าให้ใครเห็น...อย่าให้ใครแตะต้อง...อย่าให้พวกมันได้ไป’
อีกฝ่ายเปรยขึ้นเล็กน้อยเธอจำได้ว่าคำๆนี้มันก้องอยู่ในหัวเธอมาโดยตลอด
นับตั้งแต่วันที่ตัดสินใจหนีออกมาจนกระทั่งพลังที่แท้จริงได้ตื่นขึ้น
คำพูดเหล่านี้ก็ได้หายไปจากโสตประสาทแต่เธอยังคงจำได้ไม่ลืม เธอเชื่อฟังมาตลอดและปกปิดซ่อนเร้นเรื่องสัญลักษณ์ที่หลังตน
เพราะหากในสักวันถูกตามตัวจนเธอเมื่อเห็นตราสัญลักษณ์นี้ก็จะรู้กันในทันทีว่าเธอคือคนที่หนีมาจากองค์กร
‘เจ้าอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นคำพูดที่พ่อของเจ้าพูดกับเจ้ามาโดยตลอด’
“…”
เฟลิเซียอึ้งในคำตอบและอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรขึ้นต่อจากนั้น
มันเหมือนเป็นการบอกใบ้กรายๆว่าพ่อกับแม่ของเธอไม่เคยตายและหายจากเธอไปไหน
พวกเขายังคงอยู่เคียงข้างเธอเสมอมานับตั้งแต่เธอเด็กจนเติบใหญ่
‘เมื่อเจ้าหนีสำเร็จ...บาโฟเมตแตกแยกกันเองภายในและแบ่งออกเป็นสองขั้วอำนาจ
เกิดการเข่นฆ่ากันเองเพื่อแย่งชิงตำราหนังสือจนในที่สุดก็ล่มสลาย
พวกที่แย่งชิงตำรามาได้สำเร็จก็มาตั้งรกรากใหม่ในหลายปีต่อมาและซ่อนตำราหนังสือเอาไว้
จนกระทั่งเจ้ามาเจอมันอีกครั้ง’
ภาพในห้วงอากาศค่อยๆสลายหายไปเป็นอันจบเรื่องราวลงและเกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
เฟลิเซียไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกมาพลางคิดทบทวนอะไรบางอย่าง
ใบหน้าว่างเปล่าไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆออกมาก่อนที่จะมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น
“ขอบคุณนะคะ...”
‘ขอบคุณ?’อีกฝ่ายเอียงหัวเล็กน้อย
‘เจ้าขอบคุณสิ่งใด?’
“ขอบคุณที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อแมในอีกมุมหนึ่งให้ฟังค่ะ...แล้วก็ขอบคุณที่ตอบรับปณิธานที่ต้องการจะให้อีกสองชีวิตได้มีชีวิตอยู่ต่อไปค่ะ
นั่นแหละค่ะคือสิ่งที่อยากจะขอบคุณ”
เธอยิ้มถึงจะรู้ว่าทำสำเร็จแล้วแน่ๆแต่ก็แอบกลัว
แต่เธอเชื่อว่าเธอทำสำเร็จอย่างแน่นอนและพ่อเธอน่าจะยังคงดำเนินชีวิตต่อไปกับครอบครัวที่เขารัก
กับนาตาชาที่ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกอาจจะภายในประเทศหรือนอกประเทศ
เธอน่าจะกำลังมีความสุขกับชีวิตที่ได้รับการไถ่คืนมาจากดินแดนแห่งความตายกับคนที่เธอรักหรือใครสักคน
‘เจ้าไม่เสียใจหรือเสียดายชีวิตของเจ้าที่จบลงงั้นหรอ?’
“ไม่ค่ะ”
‘ทั้งๆที่เจ้ายังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลยนะ’
“ในแง่อายุอาจจะใช่
แต่...ถ้าในแง่การได้ใช้ชีวิตคิดว่าได้ใช้อย่างคุ้มค่าแล้วล่ะค่ะ แบบว่าได้อยู่กับคนที่ตัวเองรักใช้เวลาร่วมกันทำสิ่งต่างๆด้วยกัน
ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักหรือสิ่งที่อยากจะทำก็ได้ทำมันมาหมดทุกอย่างแล้วและคิดว่าเพียงพอแล้วล่ะค่ะสำหรับชีวิตนี้
อาจจะมีบางช่วงเวลาที่หายไปเพราะมีเหตุและปัจจัยบางอย่างก็ไม่เป็นไรค่ะ”
‘ทั้งๆที่ลึกๆแล้วก็ยังอยากใช้เวลากับคนอื่นๆให้มากกว่านี้น่ะหรอ?’
“เล็กน้อยค่ะ...ถ้าเทียบกับชีวิตคนสองคน”
เฟลิเซียยิ้มและตอบอีกฝ่ายอย่างไม่มีความลังเลในน้ำเสียง
รอยยิ้มอบอุ่นและอ่อนโยนไม่เคยจางหายไปจากเธอ ออร่าความอบอุ่นและนุ่มนวลนั้นยังคงชัดเจนเธอ
เฟลิเซียยกมือขึ้นมาพร้อมกับผีเสื้อตัวหนึ่งบินมาเกาะก่อนที่มันจะบินจากไป
“ถึงจะไม่ได้เจอกันและไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันอีกแล้ว
อย่างน้อยๆอีกสองชีวิตยังคงอยู่และได้ดำเนินชีวิตต่อไปอย่างที่จะเป็น แล้วก็ขอแค่ได้เฝ้ามองทุกๆคนมีความสุขจากตรงนี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ”
‘…’
แก่นแท้ยกยิ้มเล็กน้อยกับคำตอบที่ตนไม่คาดคิด
จิตใจของหล่อนนั้นบริสุทธิ์และขาวสะอาดอย่างไม่น่าเชื่อ จะเรียกว่าอ่อนโยนเกินกว่าที่จะมีพลังมืดแบบนี้ไว้ในครอบครองก็น่าจะได้
อุดมการณ์ของเฟลิเซียไม่เคยเปลี่ยนไปแม้จากเหตุการณ์ที่พลิกผันทำให้ผู้คนหวาดกลัวในตัวของเธอ
แม้จะถูกคนบางส่วนเกลียดชังแต่เธอก็ไม่ละทิ้งความตั้งใจที่มีมาตั้งแต่ต้น จนกระทั่งได้ร่วงรู้ถึงสิ่งที่ซ่อนและแฝงอยู่เธอก็ยังคงยึดมั่นไปเปลี่ยนแปลง
ปกป้องผู้คนและทำเพื่อคนที่ตัวเองรัก
แม้สละชีวิตก็ยอม...
‘ห้าวหาญเยี่ยงกว่าบุรุษ...เด็ดเดี่ยวและยึดมั่นในอุดมการณ์
ไม่ผยองในอำนาจแห่งพลัง...ข้าไม่เคยพบมนุษย์คนไหนที่จิตใจสะอาดบริสุทธิ์เช่นเจ้ามาก่อนหากไม่นับพ่อและแม่ของเจ้า
ข้าคิดว่าเจ้าคงจะเปลี่ยนไปในสักวันและอาจจะถูกความมืดชักจูงได้ง่ายยามเมื่อจิตใจอ่อนแอจากการที่คนที่ตัวเองรักเหมือนครอบครัวถูกทำให้หายไป
แต่ก็สามารถปรับสมดุลจิตใจให้ไม่ถูกล่อลวงหรือชักจูงได้ง่ายๆ เจ้าเป็นมนุษย์ที่น่าจะแปลกที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมาและอยู่เหนือความคาดหมายทั้งหมดที่ข้าเคยคิดเอาไว้
ข้าเชื่อในสัญชาตญาณและความรู้สึกของข้าตั้งแต่วันที่สัมผัสได้ถึงเจ้า
มาจนถึงตอนนี้ข้าก็เชื่อแล้วว่าข้าคิดไม่ผิดจริงๆและข้าก็นับถือในตัวเจ้าจริงๆ’
“…”
เฟลิเซียยิ้มและไม่ได้เอ่ยพูดคำใดออกมา
ก่อนที่จะเงยหน้ามองท้องฟ้ามันทำให้เธอรู้สึกคิดถึงทุกๆคนที่ยังอยู่ในดินแดนที่เธอไม่สามารถกลับไปเยือนได้อีกแล้วแม้จะใจหายเธอก็ต้องยอมรับอาจจะรู้สึกเหงาและเจ็บปวด
แต่นี่ก็คือสิ่งที่เธอได้เลือกแล้ว
‘เจ้าสามารถเฝ้ามองคนที่เจ้ารักได้ตราบเท่าที่เจ้าต้องการ
ดินแดนแห่งนี้เป็นอีกพิภพที่ซ่อนอยู่ไกลห่างจากดินแดนแห่งความตายและข้าเป็นผู้ปกครองพิภพนี้
วิญญาณของเหล่าผู้วายชนม์จากการถูกเซ่นสังเวยให้กับข้าจะหลับใหลและอยู่อย่างสงบในที่แห่งนี้
แม้แต่นางก็เช่นกัน...เจ้าจะได้อยู่ที่นี่ตลอดไป...เจ้าจะได้เฝ้าดูคนที่เจ้ารักทุกคนจากดินแดนแห่งนี้’
นางในที่นี้คงจะหมายถึงเฮลก้าที่เธอเจอในตอนแรก
หล่อนนั่งเล่นอยู่ที่กิ่งไม้ใหญ่กิ่งหนึ่งโดยที่ไม่ได้หันมาสนใจ เฟลิเซียอมยิ้มเล็กน้อยเพราะอย่างน้อยๆวิญญาณของเฮลก้าก็ได้อยู่อย่างสงบในดินแดนแห่งนี้
มีภาพของปรากฏขึ้นในห้วงอากาศทุกคนยังคงเศร้ากับการจากไปของเธอแต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็พยายามที่จะยิ้มและใช้ชีวิตต่อไปโดยที่ไม่ได้รับความสดใจจากเธออีกแล้ว
‘สมกับเป็นเธอ...แต่ก็ไม่คิดว่าจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อคนที่ตัวเองรักขนาดนี้’
‘เธอจะรู้ไหมว่าเธอช่วยแนทเอาไว้สำเร็จ...’
‘เธอต้องรู้...เธอรู้แน่นอน’
‘ฉันจะใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่า...จะอยู่ต่อเผื่อเธอและเพื่อเธอ’
ปรากฏเป็นภาพของคลินท์ นาตาชาและวันด้า
ทันทีที่ได้เห็นนาตาชาน้ำตาเธอก็ไหลออกมาทันทีโดยอัตโนมัติ ภาพตรงหน้าเป็นการยืนยันว่าเธอใช้มณีฟื้นคืนและนำพานาตาชากลับมาจากดินแดนแห่งความตายได้สำเร็จจริงๆ
‘หิวรึเปล่า?’
‘อือฮึ’
‘อยากกินอะไร?’
‘ชีสเบอร์เกอร์ค่ะ’
‘ทั้งพ่อของเธอ
ทั้งพี่สาวเธอก็...ชอบชีสเบอร์เกอร์เหมือนกัน’
‘พี่เคยแอบซื้อให้หนูกิน...แต่อย่าบอกพ่อนะคะ’
‘โอ้...ได้
สัญญาจะปิดปากเงียบไม่บอกใคร’
‘เดี๋ยวจัดให้หม่ำจนพุงกางเลย’
เฟลิเซียยิ้มเมื่อภาพตัดมาที่โทนี่ เพพเพอร์
มอร์แกนและแฮปปี้ คราวนี้เธอไม่สามารถกลั้นน้ำตาของตนเองเอาไว้ได้
เธอยิ้มทั้งน้ำตาเพราะมันเป็นภาพที่อบอุ่นเธอรู้สึกมีความสุขและดีใจในเวลาเดียวกันเพราะสามารถช่วยชีวิตคนที่เธอรักเอาไว้ได้ถึงสองชีวิต
สีหน้าของมอร์แกนเต็มไปด้วยความงุนงงและสับสน เด็กหญิงยังเด็กเกินไปที่พวกเขาจะอธิบายเรื่องความเป็นความตายให้กับเธอฟัง
ร่างบางปาดน้ำเล็กน้อยและใช้นิ้วมือแตะไปยังภาพในห้วงอากาศนั้นเบาๆ
แต่...ถึงแม้เธอจะทำใจมาแล้วระดับหนึ่ง
เฟลิเซียก็ไม่สามารถโกหกใจหรือโกหกความรู้สึกของตนเองได้...
เธอยังอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับพวกเขาให้มากกว่านี้
เธออาจจะต้องเจ็บปวดจากการที่กลับไปหาพวกเขาไม่ได้แล้ว
กับพวกเขาที่จะต้องเจ็บปวดจากการสูญเสียเธอ
แต่เฟลิเซียเชื่อว่าความเจ็บปวดและเสียใจมันจะอยู่ไม่นานเพราะไม่นานทุกสิ่งทุกอย่างจะดีขึ้น
เธอจะอยู่ในใจและความทรงจำของพวกเขาเสมอและตลอดไป พวกเขาก็จะอยู่ในใจเธอและความทรงจำของเธอตลอดไปเช่นกัน
แต่เธอคิดถึงพวกเขาเหล่านั้นเหลือเกิน...
อยากอยู่ด้วยกันให้มากกว่านี้และนานกว่านี้
คิดถึงอ้อมกอดของพวกเขาและเสียงหัวเราะของพวกเขาทุกคน
เอาเข้าจริงๆก็ยังรู้สึกเสียใจและเสียดายที่ชีวิตที่เหลืออยู่ไม่ได้ใช้ร่วมกันกับพวกเขา
น่าเวทนา...
มันคือการแลกเปลี่ยนที่แพงและมากเกินไป
แลกทั้งชีวิต จิตวิญญาณและความเจ็บปวด อาจจะดูไม่คุ้มแต่เพื่อพวกเขาแล้วเธอก็ยอม
‘‘เจ้าสามารถเฝ้ามองคนที่เจ้ารักได้ตราบเท่าที่เจ้าต้องการ’ เจ้าจะทำแบบนี้ได้ก็ต่อเมื่อเจ้าตายแล้วเท่านั้นนะ’
“หมายความ...ว่ายังไงคะ?”
‘ข้าก็หมายความตามนั้น...’
อีกฝ่ายไม่ตอบเพียงแต่อมยิ้มบางอย่าง
เฟลิเซียจึงลุกขึ้นยืนและที่นั่งที่มีอยู่ในตอนแรกก็สลายหายไป อีกฝ่ายค่อยๆก้าวเดินเข้ามาใกล้ๆเธออย่างช้าๆ
บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันพื้นหญ้าเขียวขจีหายไปและถูกแทนที่ด้วยผืนน้ำใสสะอาดแบบในตอนแรก
“อ๊ะ...”
เฟลิเซียเห็นกลีบดอกไฮเดรนเยียกำลังลอยล่องมาตามสายลมที่พัดมาเอื่อยๆและลอยฟุ้งไปทั่วล้อมรอบตัวเธอและอีกฝ่ายเอาไว้
สวนดอกไฮเดรนเยียค่อยๆผุดขึ้นมาจากผืนน้ำ
ร่างบางตะลึงงันและไม่เข้าใจว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นนับต่อจากนี้
ร่างบางค่อยๆหันกลับมาเมื่อรู้ถึงถึงน้ำหนักอะไรบางอย่างที่ถูกวางไว้บนหัวของตัวเอง
มงกุฎดอกไฮเดรนเยียถูกถักสานและถักทอมาเป็นอย่างดีและสวยงามถูกสวมลงที่หัวของเธอ
‘ข้าขอนับถือความห้าวหาญและเด็ดเดี่ยวของเจ้าอีกครั้ง
ข้าเห็นใจและเห็นความตั้งใจของเจ้าทุกอย่าง
ยึดมั่นในสิ่งที่อยากทำเพราะมีคนที่ตัวเองรักและอยากจะปกป้อง...ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ได้ประจักษ์ให้ข้าเห็นแล้วถึงความรักอันบริสุทธิ์ที่เจ้ามีให้กับพวกเขาเหล่านั้น...ข้าจะให้โอกาส’
“โอกาส?”
‘ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ร้องขอและไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสแบบนี้
สำหรับข้าแล้วเจ้าอายุยังน้อยเกินและเจ้าก็สิ้นอายุขัยก่อนวัยอันควร ถือว่านี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆจากข้า
เจ้าจะได้กลับไปยังที่ๆเจ้าจากมาและใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับครอบครัวที่เจ้ารัก แต่มีเงื่อนไขเล็กน้อยที่ข้าจะต้องบอกเจ้าเอาไว้ก่อน
การกลับไปครั้งนี้ชีวิตเจ้าจะไม่เหมือนเดิมจากที่เคยเป็นมา เจ้ายังคงเป็นเจ้าคนเดิมแต่ที่เปลี่ยนไปคือครั้งนี้เจ้าจะไม่มีพลังใดๆอีกแล้ว...จะต้องกลายเป็นเพียงแค่หญิงสาวธรรมดา
เป็นมนุษย์ปกติที่ไม่มีพลังแฝงใดๆอีกแล้ว หากเจ้าตกลงรับเงื่อนไขข้อนี้ได้ข้าก็จะส่งเจ้ากลับไป
แต่ถ้าหากไม่เจ้าก็มีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่ตลอดไปและก็จะไม่มีโอกาสนั้นอีก’
“...ตกลงค่ะ”
‘ซื่อตรงกับหัวใจตัวเองแบบนี้แหละดีถ้าเจ้าปฏิเสธข้าก็จะบังคับให้เจ้ากลับไปอยู่ดี
แล้วพบกันใหม่ในสักวันหนึ่งและรักษาโอกาสครั้งนี้ให้ดีๆเพราะถ้าเจ้าตายก่อนวัยอันควรอีกรอบ
คราวนี้ข้าไม่มีให้แล้วนะ’
“ขอบคุณนะคะ...ขอบคุณจริงๆ”
เฟลิเซียยิ้มและพยักหน้ารับ
เธอรู้สึกตื่นเต้นและอยากจะบอกเล่าเรื่องราวตรงนี้ให้พวกเขาฟัง
แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากไหนดีๆแต่เหนือสิ่งอื่นใดเธอก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่า การที่เธอได้กลับไปราวกับว่าเธอไม่เคยตายหรือหายไปจะบอกเล่าให้พวกเขาฟังอย่างไรดี?
วู่ม...
กลีบดอกและช่อดอกไฮเดรนเยียเรืองแสงไปทั่วทั้งบริเวณ
เฟลิเซียหลับตาลงเล็กน้อยเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่พบกับเจ้าของดินแดนอีกแล้ว ร่างของอีกฝ่ายและต้นไม้ปีศาจหายไปเหลือไว้เพียงแค่เธอที่ยืนอยู่ในกลางทุ่งดอกไม้โทนสีฟ้าและม่วงอ่อน
ในขณะเดียวกันนั้นเองก็ปรากฏเป็นร่างของบุคคลสองคนที่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับพวกเขาในสักครั้งหนึ่งของชีวิต
บิดาและมารดาที่แท้จริงปรากฏตัวขึ้นเธอเข้าสวมกอดทั้งสองคนอย่างอบอุ่น
ไม่มีบทสนทนาระหว่างทั้งสามคนมีเพียงแค่รอยยิ้มแห่งความสุขจากทั้งสามคน
เมื่ออ้อมกอดถูกคลายออกทั้งสองก็ค่อยๆหายไปพร้อมกับโบกมือลา
พวกเขาจะเฝ้ารอเธออยู่ที่ดินแดนแห่งนี้จนกว่าการสิ้นอายุขัยของเธอจะมาถึง
“...”
ร่างสุดท้ายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอแต่ก็ไกลห่างออกไปเป็นร่างของเฮลก้า
ดวงเนตรสีท้องนภาจ้องมายังเฟลิเซียที่กำลังมองตนเอง ไม่มีบทสนทนาระหว่างเธอทั้งสองคนมีเพียงแค่รอยยิ้มเล็กๆจากเจ้าของเกศาบลอนด์ทองและรอยยิ้มสดใสจากเฟลิเซีย
เมื่อเฮลก้าหายไปและเธอหลับตาลงวินาทีนั้นแสงสีขาวก็กลืนกินทั่วทั้งบริเวณโดยรอบไปจนหมด
ร่างบางปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในมุมตึกอับสายตาผู้คน เป็นจุดเดียวกันที่เธอ โทนี่ สตีฟ
สก็อตและบรูซ ออกมาจากเครื่องเดินทางข้ามเวลาในตอนที่พากันไปรวบรวมมณี
เธอไม่รู้ว่าคนภายนอกรู้เรื่องของเธอมากน้อยแค่ไหน
ตอนที่กำลังเดินไปร้านขายชีสเบอร์เกอร์เจ้าของร้านจำเธอได้จึงให้ชีสเบอร์เกอร์สี่ชิ้นสุดท้ายของร้านให้กับเธอในฐานะที่เป็นลูกค้าประจำ
เมื่อร้านปิดเธอก็เดินจากไปแต่ก็เห็นพ่อเธอปรากฏตัวขึ้นเสียก่อนเธอจึงค่อยๆเดินไปหาเขาอย่างเงียบๆและเซอร์ไพรส์เขาว่าเธอกลับมาแล้ว
Fairburn, Georgia
บ้านริมทะเลสาบ
ในตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างกลับไปยังบ้าน
รถเคลื่อนตัวจอดและดับเครื่องยนต์เมื่อเธอเปิดประตูและก้าวเหยียบสถานที่ที่เธอคิดถึง
บ้านแสนสุขที่เต็มไปด้วยอุ่นไอรักและความสุขและความทรงจำมากมาย
“นั่นแหละค่ะป๊า...คือเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด”
บอกตามตรงเขาทึ่งกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเล่ามา
แน่นอนอะไรๆก็เป็นไปได้สำหรับโลกนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดหรืออำนาจพลังใดๆเขาดีใจและรู้สึกขอบคุณที่ๆแห่งนั้นได้ส่งเธอกลับมาและให้โอกาสเธอได้กลับมาใช้ชีวิตที่เหลือต่ออย่างที่ควรจะเป็น
สองพ่อลูกค่อยๆเดินไปพร้อมๆกันอย่างเงียบๆก่อนที่เฟลิเซียจะหยุดเดิน
โทนี่จึงหันมามองอย่างรู้สึกฉงนใจเล็กน้อย
“มีอะไรรึเปล่าเฟซี่?”
“ตอนนี้หนูเป็นคนธรรมดาแล้ว
ไม่มีพลังอีกแล้ว”เธอยิ้ม
“หนูไม่ได้เสียใจ...แค่นับแต่นี้ไปหนูก็คงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอเวนเจอร์สอีกต่อไปแล้ว
ไร้ซึ่งพลังอำนาจใดๆเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาและBlack Magicianก็จะเหลือไว้เพียงแค่ชื่อ”
“ใครบอกว่าลูกไม่ได้เป็นอเวนเจอร์สอีกต่อไป...”โทนี่ยิ้มเล็กน้อยและลูบศีรษะเธออย่างนึกเอ็นดู
เฟลิเซียก็ยังคงเป็นลูกสาวตัวน้อยๆของเขาอยู่วันยังค่ำ
แม้จะโตแล้วแต่เธอก็ยังคงมีมุมที่เขารู้สึกว่าเธอไม่ต่างไปจากเมื่อก่อน เหมือนยังคงเป็นเด็กตัวน้อยเหมือนวันแรกๆที่เขาและเธอได้พบกัน
“ลูกยังคงเป็นอเวนเจอร์สตลอดไป...Black
Magician ก็จะไม่เหลือไว้เพียงแค่ชื่อ ลูกอาจจะเป็นคนธรรมดาในสายตาคนอื่น
แต่สำหรับป๊ากับแม่และมากูน่า...ลูกคือคนพิเศษและคนสำคัญมาตลอดอยู่แล้วไม่ใช่ในแง่ของการมีพลังพิเศษ
แต่เป็นคนพิเศษที่มีรอยยิ้มและความสดใสเหมือนเวทมนตร์
ที่ไม่ว่าใครได้เห็นก็จะต้องตกหลุมรักและรู้สึกสดใสขึ้นทันทีเมื่อได้เห็นลูก ลูกยังคงเป็นคนพิเศษสำหรับพวกเราเสมอ”
“ขอบคุณนะคะป๊า...”
“ป๊าก็ต้องขอบคุณหนูเหมือนกัน”เขายิ้ม
“ขอบคุณพระเจ้าที่ส่งหนูมาให้ป๊า”
“พระเจ้า...เฟซี่!”
“พี่!”
“คุณแม่! มากูน่า!”
เพพเพอร์ยกมือขึ้นปิดปากอย่างไม่เชื่อสายตา
เธอยิ้มอย่างดีใจพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลอเล็กน้อย โทนี่บอกว่ามีอะไรอยากเซอร์ไพรส์เธอแต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้
เด็กหญิงวิ่งไปหาผู้เป็นพี่พร้อมกับเฟลิเซียที่รีบวิ่งมาหาเธอก่อนที่จะสวมกอดและอุ้มเธอขึ้นมาหอมแก้มอย่างคิดถึง
“ไงมากูน่า~”
มอร์แกนกอดเธอแน่นและหอมแก้มเฟลิเซียหอมคืนอีกครั้งพลางหอมหัวเล็กน้อย
โทนี่รับมอร์แกนจากเฟลิเซียสองแม่ลูกโอบกอดกันอย่างแนบแน่นเพพเพอร์หอมแก้มเฟลิเซีย
เธอไม่สามารถหยุดยิ้มได้เพราะเธอได้ลูกสาวของเธอคืนมา
และมอร์แกนก็ได้พี่สาวของเธอกลับคืนมาด้วยเช่นกัน
ครอบครัวพร้อมหน้าอีกครั้ง
“เอาล่ะ...มาเตรียมแผนเซอร์ไพรส์คนอื่นๆกันเถอะ”
------------------------------------------------------------------------------
ไรท์มาอัพแล้วค่ะเย้
ตอนที่แล้วไม่ใช่แค่รีด ไรท์ก็ร้องไห้เหมือนกันค่ะแอแง
ยิ่งย้อนกลับไปดูยิ่งขยี้หัวใจฮื้อ
ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายแล้วนะคะ
ขอบคุณทุกๆกำลังใจที่มีให้ไรท์มาตั้งแต่ตอนแรกๆนะคะ
แล้วพบกันอีกครั้งในตอนต่อไปค่ะ!
ขอบคุณค่ะ
ความคิดเห็น