คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : Chapter23 : Mission
Chapter23
“เฮ้! เฟซี่!”
“อ๊ะ..สวัสดีค่ะธอร์!”
“แหม...เด็กๆนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”
“เดินดีๆพอถังเบียร์เคลื่อนที่…แรดเช็ตเป็นไงบ้าง?”
“อันที่จริงคือ...ร็อตเก็ตค่ะป๊า”เฟลิเซียยิ้มและส่ายหน้าเล็กน้อย
“แกเป็นอัจฉริยะแค่บนโลกแค่นั้นแหละ”
ร็อคเก็ตห้อยตัวลงมาจากโครงฐานโดยมีค้อนอยู่ในมือ
ในตอนนี้เขาทำหน้าที่เป็นลูกมือและผู้ช่วยของโทนี่ชั่วคราว ธอร์เดินเตร็ดเตร่เข้ามาพร้อมกับเปิดกระป๋องเครื่องดื่ม
เขากำลังจะเข้ามาทักทายเฟลิเซียที่อยู่อีกด้านแต่ก็ถูกโทนี่ขัดเอาไว้เสียก่อน
บุรุษคนเหล็กกำลังลากกล่องอุปกรณ์จำพวกสายพ่วงไฟขนาดยักษ์และกำลังง่วนอยู่กับการสร้างและตรวจเช็คความเรียบร้อยของฐาน
ที่น่าจะนิยามหรือเรียกมันว่าไทม์แมชชีนหรือเครื่องเดินทางข้ามเวลา ตัวเครื่องค่อนข้างใหญ่และกินพื้นที่ภายในห้องในตัวอาคารพอสมควร
เหมือนมันเป็นฐานตึกขนาดย่อมมีมุมทางเดินขึ้นฐานตัวฐาน ใจกลางของฐานเป็นกระจกสีดำทึบเล็กน้อยและเป็นรูปวงกลมขนาดยักษ์
มีแผงวงจรบางอย่างอยู่ใต้กระจกนั้นอีกทีหนึ่ง
ในตอนนี้อยู่ในกระบวนการสร้างที่กำลังจะเสร็จสมบูรณ์และพร้อมเดินเครื่อง
ขณะเดียวกันตอนนี้พวกเขาก็กำลังรวบรวมคนให้ครบทีม
เนบิวล่ากับร็อคเก็ตเป็นสองคนแรกที่มาสมทบ ก่อนที่บรูซจะพาชายแรคคูนไปตามบุตรแห่งโอดินมาสมทบด้วย
ธอร์มาในสภาพที่เรียกได้ว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
ผมที่ยาวขึ้นและพันกันจนยุ่งเหยิง หนวดเคราเฟิ้มและพุ่งพุ้ยหุ่นหมี
เหมือนเขาเป็นคนล่ะคนกับเมื่อห้าปีก่อน
‘แนทจะกลับมารึยังนะ...’
เธอคิดในใจและค่อยๆเดินออกไปจากตรงนี้ทันทีเพราะไม่อยากเกะกะหรือขวางทาง
พื้นที่ตรงนี้มันเริ่มเต็มไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆมากมาย
หากพลาดไปนิดเดียวเธออาจจะสะดุดสายไฟหรือพลาดไปโดนอะไรสักอย่างได้
เพื่อความปลอดภัยเธอจึงเดินออกจากห้องอาคารแห่งนี้พลางกลับเข้าไปด้านในตรงส่วนที่เป็นห้องโถงหรือห้องแล็บ
เมื่อมองออกไปด้านนอกในตอนแรกลานจอดควินท์เจ็ทมันว่างเปล่าเพราะนาตาชานำออกไป แต่ตอนนี้มันกลับมาจอดอยู่ที่ลานแล้ว
เธอเดาได้ทันทีว่านาตาชาน่าจะกลับมาถึงแล้วจึงรีบเร่งฝีเท้าไปจุดหมายทันที
“ดูซิว่าใครเดินเข้ามา”
“คลินท์!”
“เฟซี่!”
ร่างบางโผเข้ากอดเขาทันทีด้วยความคิดถึง ยอดนักธนูอมยิ้มเล็กน้อยและกอดเธอด้วยความคิดถึงและยีศรีษะเธออย่างนึกเอ็นดู
เขาหมุนตัวเธอเล็กน้อยอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา จากเด็กผู้หญิงสู่การเป็นเด็กสาว
จากเด็กสาวในที่สุดก็เติบโตเป็นหญิงสาวอย่างเต็มตัว
กาลเวลามันช่างผันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว นานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสนี้
เขารักเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ความสดใส ความอ่อนโยน
ออร่าเหล่านี้ที่เขาเคยสัมผัสและได้รับมาจากเธออย่างไร จนถึงตอนนี้สิ่งเหล่านั้นก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
“อึ้งเลยใช่ไหมล่ะ...บอกตามตรงตอนกลับมาเจอกันอีกครั้งฉันก็ตกใจเหมือนกัน”
“เด็กสมัยนี้โตไวจนน่ากลัวจริงๆ”
“ส่วนตัวฉันคิดว่าตัวโตขึ้นก็จริง...แต่ก็ยังเป็นเด็กน้อยอยู่วันยังค่ำแหละ”
“แนทคะ!”
“อะไร!
นี่พูดเรื่องจริง”หล่อนยิ้ม
“อันนี้เห็นด้วย”เขาพยักหน้า
“ล้อกันเล่นรึเปล่าคะ?”
ร่างสูงยิ้มในขณะที่นาตาชาเดินเข้ามาและกอดเฟลิเซียเบาๆ
สายลับสาวโอบเอวร่างบางเล็กน้อยพลางบีบจมูกเธอเบาๆด้วยความเอ็นดู เสียงบทสนทนาและเสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นจากทั้งสามคน
เป็นบทสนทนาเล็กๆในช่วงเวลาสั้นๆแต่ชวนให้คิดถึงวันวานที่ผ่านเลยมา
ตอนนี้อาจจะเป็นความสุขชั่วคราวแต่อย่างน้อยๆมันก็ยังทำให้เธอยิ้มได้
แม้จะแฝงไปด้วยความกังวลบางอย่าง แต่เธอเชื่อว่าท้ายที่สุดทั้งเธอและคนอื่นๆก็จะผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน
คลินท์อาสาที่จะเป็นคนประเดิมและทดลองเครื่องเดินทางข้ามเวลา
ในตอนนี้เขาอยู่ในชุดสูทพิเศษที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อการนี้
เนบิวล่าช่วยจัดการตั้งค่ากลไกบางอย่างในชุดของเขา
ตอนนี้ทุกคนกำลังยืนรวมตัวอยู่ที่แฝงควบคุม ส่วนคลินท์กำลังยืนอยู่ที่ใจกลางเครื่องเดินทางข้ามเวลา
“เอานะคลินท์...ข้ามเวลาใน3...2...1”
วู่ม!
บรูซเป็นคนเดินเครื่องและคลินท์ก็หายไปในชั่วพริบตานั้น
ทันทีที่เครื่องเดินและทำงานตัวเครื่องดันเขาข้ามผ่านไปยังกาลเวลาหรือช่วงเวลาที่ถูกเซ็ตเอาไว้
มีเส้นสายธารแห่งกาลเวลามากมายที่แตกแขนงออกไปอย่างไม่รู้จบ ชั่วครู่ต่อมาร่างสูงกลับมาโดยที่เขากำลังทรุดตัวนั่งลงอยู่กับพื้นจากความปั่นป่วนตอนไปและกลับกะทันหัน
นาตาชาเป็นคนแรกที่วิ่งเข้าไปดูเขาตามด้วยเฟลิเซียและคนอื่นๆเขานำถุงมือกลับมาด้วย
เป็นอันเสร็จสิ้นการประเดิมและเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ ความหวังที่จะนำพาผู้คนกลับมายิ่งมีเปอร์เซ็นสูงขึ้นจากในตอนแรกและรอยยิ้มก็ผุดปรากฏขึ้นมาที่ใบหน้าของพวกเขา
“พร้อมรึเปล่าเฟซี่?”
“ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมค่ะป๊า”
“อันที่จริง...ถ้าไม่ไหวป๊าก็ไม่บังคับนะ”
“ไหวค่ะป๊า”
หลังจากที่คลินท์ประเดิมลองย้อนเวลากลับไปเป็นคนแรกเห็นผล
ช่วงเวลาหลังจากนั้นก็คือการประชุมเพื่อหาที่อยู่และช่วงเวลาของมณีแต่ล่ะเม็ด เมื่อได้พิกัดเวลาหรือช่วงปีที่แน่นอนแล้วขั้นตอนต่อไปคือการรวบรวมมณีเหล่านั้นและนำกลับมา
ตอนนี้ทั้งเฟลิเซียและคนอื่นๆกำลังเตรียมตัวให้พร้อม ดีไซน์ชุดของเฟลิเซียเปลี่ยนไปเล็กน้อย
แต่ก็ยังคงเป็นสีดำและในครั้งนี้เธอไม่ได้สวมเสื้อหนังอีกแล้ว ชุดเผยให้เห็นไหล่ขาวของเธอเล็กน้อยและมีชุดสูทพิเศษสีขาวแดงทับเอาไว้อีกชั้น
ตอนนี้โทนี่กำลังใส่พิกัดเวลาป้อนคำสั่งใส่ชุดสูทของเธอ
สีหน้าเขาเป็นกังวลเล็กน้อยเพราะเป็นห่วงแต่ร่างบางยังคงยืนยันคำเดิมว่าเธอพร้อมและไหว
“เอาล่ะ เรียบร้อย”
สองพ่อลูกค่อยๆย่างก้าวออกไปจากแล็บทดลอง
ทีมเคลื่อนพลไปยังเครื่องเดินทางข้ามเวลาทุกคนยืนล้อมกันเป็นวงกลมส่วนบรูซประจำตำแหน่งอยู่ที่แผงควบคุม
เฟลิเซียยืนอยู่ระหว่างโทนี่และสตีฟ
“ห้าปีก่อนเราแพ้...เราทุกคน
เราเสียเพื่อนเสียครอบครัวเสียบางส่วนในตัวตน วันนี้คือโอกาสกอบกู้ทั้งหมด จดจำทีมจดจำภารกิจ
ไปเอามณีแล้วนำมันกลับมา ไปกลับได้ครั้งเดียวห้ามผิดพลาดไม่มีแก้ตัว ส่วนใหญ่ได้ไปที่ๆเคยรู้จักแต่ไม่ได้แปลว่ามันจะเหมือนที่ๆเคยรู้จักจงระวัง....ปกป้องกันและกัน...นี่คือศึกตัดสินชีวิต”
กัปตันประจำทีมเอ่ยขึ้น
โทนี่ยิ้มให้เขาเล็กน้อยเมื่อทั้งสองมองหน้ากันก่อนที่เขาจะหันมายิ้มให้ลูกสาวคนโต
เฟลิเซียพยักหน้ารับเบาๆ
“เราต้องชนะ…แม้ต้องสูญเสีย...โชคดี”
“ปลุกใจเก่งชะมัด”ร็อคเก็ต
“เนอะ!”สก็อต
“เอาล่ะ เฮียสั่งลุยแล้ว! เริ่มได้พี่เขียวเสวย”โทนี่หันไปพูดกับบรูซที่กำลังเตรียมเดินเครื่อง
“อีกนาทีเจอกัน”นาตาชายิ้มและหันไปมองทุกๆคน
ฟึ่บ!
หน้ากากจากชุดสูทปรากฏขึ้นครอบคลุมใบหน้าของพวกเขาทุกคนเอาไว้
วินาทีแห่งการแปรผันและปั่นป่วนก็ได้เริ่มขึ้นเมื่อเครื่องเริ่มเดิน
พวกเขาทุกคนถูกส่งไปยังช่วงเวลาหรือสถานที่นั้นๆกระจัดกระจายกันไปคนละทิศทางและคนละกระแสเวลา
เฟลิเซียไปกับโทนี่ สตีฟ บรูซและสก็อต
New
York
2012
วู่ม!
ทั้งห้าร่างปรากฏขึ้นที่มุมตึกแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง
ฝุ่นควันสีขาวตลบอบอวลไปทั่วบริเวณเล็กน้อย
ชุดสูทพิเศษหายไปปรากฏให้เห็นชุดเสื้อผ้าที่แท้จริงของพวกเขา ชิทอรี่สิ่งมีชีวิตจากต่างดาวที่ลักษณะเหมือนมนุษย์กระจายอยู่ทั่วทุกมุมตึกสูง
มีบางส่วนที่กำลังทะยานอยู่บนท้องฟ้าด้วยยานพาหนะของตน
และที่น่าจะโดดเด่นเห็นได้ชัดคือสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายปลาหรือตะขาบขนาดยักษ์ที่กำลังแหวกว่ายอยู่บนอากาศและเหนือน่านฟ้า
ปีนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบปะคนอื่นๆในทีมรวมถึงโลกิเองก็ด้วยเช่นกัน
เธอมองไปรอบๆอย่างหวนคิดถึงเล็กน้อย
ตัวเธอในช่วงเวลาปีนี้ยังไม่ได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเสียทีเดียวว่าเป็นลูกบุญธรรมของมหาเศรษฐีเพลย์บอย
เพราะตอนนั้นเธอยังใช้นามสกุลที่มีติดตัวมาอีกทั้งโทนี่และชีลด์ยังไม่รู้ที่มาที่ไปของเธอ
จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เธอเริ่มเป็นที่รู้จักในชื่อของBlack
magician อย่างเป็นทางการ และเป็นสมาชิกของทีมอเวนเจอร์สที่อายุน้อยที่สุดในทันทีโดยปริยาย
เพราะเธอในตอนนี้พึ่งจะอายุเพียงแค่16ปีเท่านั้น
“เอาล่ะทุกคน...รู้หน้าที่แล้ว
อัพทาวน์สองเม็ด ดาวน์ทาวน์หนึ่งเม็ด ไปเงียบๆคอยดูเวลาไว้”
โคร่ม!
สิ้นคำสตีฟพูดเพียงเสี้ยววินาที
มีเสียงคำรามดังขึ้นพร้อมกับเสียงทุ่มรถยนต์ลงกับพื้นถนนฮัลค์กำลังจัดการกับพวกชิทอรี่
บุรุษยักษ์สีเขียวกำลังกระทืบร่างของพวกมันตัวหนึ่งผ่านรถที่ตนพึ่งทุ่มไป และปาล้อรถหรืออะไรก็ตามที่สามารถหยิบจับได้อย่างเกรี้ยวกราด
บรูซกุมขมับเล็กน้อยเพราะตอนนั้นเขากับฮัลค์ยังไม่ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวเช่นในตอนนี้
“หรือแกล้งอัดแหลกบ้าง”
“sh*t!”
“…”
สิ้นคำสตีฟครั้งที่สองทั้งหมดหันไปยังทิศทางของเสียงที่อุทานคำหยาบออกมาทันที
เป็นเสียงที่พวกเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เลยห่างออกไปเล็กน้อยก็จะเห็นเป็นเด็กสาวในชุดเสื้อยืดสีขาวและเสื้อแจ็คเก็ตแบบยีนส์สวมทับ
กางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มรองเท้าบูทหนังข้อสั้นแบบมีเชือกผูกสีดำ
เด็กคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นเลยเป็นตัวเธอเองในวัย16ปีซึ่งกำลังจัดการกับพวกชิทอรี่อยู่แต่มีจังหวะพลาดหงายหลังทำให้จังหวะการเหวี่ยงตัวพวกมันเปลี่ยน
เธอจึงอุทานด้วยความตกใจ
“อะ-อะไรคะ?”
“ลูกพูดแบบนั้นจริงดิ...บอกทีว่าป๊าหูฝาด”
ทั้งหมดหันมามองเธอกันเป็นจุดเดียว พวกเขาแทบจะไม่หรือต้องใช้คำว่าไม่เคยได้ยินเธอสบถคำหยาบออกมาเลยสักครั้ง
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินแม้จะมาจากตัวเธอในปี2012ก็ตาม โทนี่ก็ไม่เคยได้ยินและไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำ
เฟลิเซียหน้าแดงเล็กน้อยเธอจึงยกมือปิดหน้าตนเองทันทีด้วยความเขินอาย
“คือเอ่อ...ไม่เคยได้ยินเธอสบถกันเลยงั้นหรอ?”สก็อตเปิดประเด็นและมองหน้าพวกเขา
“เท่าที่รู้จักกันมาตั้งแต่ตอนนี้จนถึงปัจจุบันก็ไม่เคย”สตีฟ
“ฉันก็ไม่เคย
พึ่งจะเคยได้ยินก็เดี๋ยวนี้แหละ”โทนี่ตอบส่วนบรูซก็ยิ้มๆและส่ายหน้า
“ก็...ดูบ้าพลังไปนะแต่ก็เอาเถอะ”บรูซพูดพลางฉีกเสื้อกล้ามตัวยักษ์ของตนออก
“เราไปกันเถอะเฟซี่”
“ระวังตัวด้วยล่ะ”
“ทุกคนก็ระวังด้วยนะคะ”
สองพ่อลูกกอดกันเล็กน้อยเฟลิเซียแยกไปกับบรูซเพื่อไปยังอาศรมของสตีเฟ่น
ภารกิจของทั้งสองคือการไปนำมณีเวลากลับไปที่ฐาน ส่วนโทนี่
สตีฟและสก็อตแยกไปเอามณีสองเม็ดที่เหลือก็คือมณีจิตใจในคทาของโลกิ และมณีอวกาศในเทสเซอร์แร็ค
ในระหว่างทางที่กำลังค่อยๆหลบซ่อนตัวเพื่อไปยังอาศรมบรูซก็แกล้งทำเป็นโมโหหรืออัดแหลกตามที่สตีฟบอก
เฟลิเซียพยายามลัดเลาะตามไปอย่างเงียบๆเพื่อหลบลูกหลง
ดาวน์ทาวน์
อาศรมนิวยอร์ก
ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงกันอย่างเงียบๆ
บรูซกระโดดเหวี่ยงตัวเองขึ้นมายังดาดฟ้าของอาศรม
ส่วนเฟลิเซียใช้พลังส่งตัวเองขึ้นมาอย่างเงียบๆ มีชั้นที่ลักษณะคล้ายเรือนเพาะชำที่ค่อนข้างสูงสำหรับวางกระถางและถาดต้นไม้ขนาดเล็ก
พร้อมกับอุปกรณ์สำหรับปลูกต้นไม้หรือทำสวนเล็กๆน้อยๆที่ถูกแขวนเอาไว้
บรูซค่อยๆเดินไปยังประตูอย่างเงียบๆ
“ไปทางนั้นระวังลื่นนะ
พึ่งจะขัดพื้นลงแว็กซ์ใหม่”
แต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดประตูก็มีเสียงหนึ่งพูดเตือนเขาเอาไว้ก่อน
เฟลิเซียหันไปยังทิศทางของเสียงที่เธอได้ยิน ปรากฏเป็นร่างๆหนึ่งในชุดสีเหลืองเข้มการแต่งกายคล้ายกับนักบวช
จอมเวทหรือเจ้าสำนักบางอย่าง
“ใช่...พอดีมาหาดร.สเตรนจ์”
“ถ้างั้นก็มาเร็วไปห้าปีนะ สตีเฟ่น
สเตรนจ์ กำลังผ่าตัดคนไข้ห่างไปยี่สิบช่วงตึกทางนู้น”
อีกฝ่ายชี้ไปยังด้านที่เจ้าของชื่อที่ทั้งสองกำลังตามหา
ก่อนที่จะค่อยๆหันกลับมามองทั้งสองคนอีกครั้ง ร่างบางกับร่างสูงมองหน้ากันเล็กน้อย
“ต้องการอะไรจากเขาล่ะ?”แองเชี่ยนวันถาม
“จริงๆก็นั่นแหละ”บรูซชี้ไปที่สร้อยคอที่เธอกำลังสวมใส่
“คงให้ไม่ได้”
“ได้โปรด...เราจำเป็นที่จะต้องใช้มันจริงๆค่ะ”
“โทษทีผมไม่ได้มาขอ...ถึงเธอจะกำลังขออยู่ก็เถอะ”
เฟลิเซียร้องขออย่างสันติอีกฝ่ายส่ายหน้าเพื่อเป็นคำตอบ
แต่สำหรับบรูซคือไม่เพราะจุดประสงค์หลักคือไม่ได้กะมาขอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“อย่าหาเรื่องเลยน่า”
“ก็ไม่ได้อยากหาเรื่องแต่ต้องใช้มณีนั่น
และไม่มีเวลามาเถียง”
วู่ม!
“บรูซ!”
เฟลิเซียอุทานอย่างตกใจดวงเนตรเบิกกว้างเล็กน้อย
ร่างยักษ์ที่ค่อยๆเดินเข้าใกล้และกำลังจะแตะเข้าที่สร้อยของอีกฝ่าย
ก่อนที่เขาจะเอื้อมถึงฝ่ามือคู่กรณีประทับเข้าที่กลางตัวเขากายหยาบล้มลง
ส่วนกายละเอียดล่องลอยออกจากร่าง
“ไม่ต้องห่วงเขาจะไม่เป็นไร”แองเชี่ยนวันหันไปพูดกับเฟลิเซียก่อนที่จะเงยหน้ามองบรูซ
“มาเริ่มกันใหม่ดีไหม?”
“ขอร้องล่ะค่ะ”
“เสียใจด้วย...ข้าช่วยพวกเจ้าไม่ได้”
กายหยาบของบรูซถูกอีกฝ่ายใช้พลังยกร่างไปไว้อีกมุมมีหมวกสานคลุมใบหน้าของเขาเอาไว้
เฟลิเซียและกายละเอียดของเขาเดินตามแองเชี่ยนวันทันทีที่เธอเดินหนีและยังคงปฏิเสธที่จะมอบมณีเวลาให้
“การให้มณีเวลาไปช่วยโลกของเจ้า อาจทำให้โลกของข้าถึงฆาต”
“คือไม่ได้ดูหมิ่นนะแต่ผมไม่คิดว่า...วิทยาศาสตร์ยืนยันเรื่องนั้นได้”
ฟึ่บ!
กายละเอียดของเขาวิ่งไปดักหน้าอีกฝ่ายเอาไว้เฟลิเซียเดินตามทั้งสองไปติดๆ
อีกฝ่ายมองหน้าทั้งสองเล็กน้อย แองเชี่ยนวันดึงเส้นธารกระแสเวลาสีทองขึ้นมาจากช่วงตึกของอีกฟากและเส้นกระแสเวลานี้ก็ยืดยาวไปยังอีกฟาก
เส้นสายสีทองอำพันอมส้มหลายๆเส้นสายรวมกันจนก่อเกิดเป็นเส้นกระแสเวลาเส้นใหญ่ ความยาวของมันไม่อาจคาดการณ์หรืออนุมานได้
แต่คิดว่าน่าจะยาวออกไปไม่รู้จบและไม่มีทางหาเส้นบรรจบได้
“มณีอินฟินีตี้สร้างภาวะรับรู้ที่เรียกว่าไถลของเวลา
หากมณีขาดไปหนึ่งสายธารจะแยกออก”
พร้อมกับการปรากฏเป็นภาพของมณีอินฟินีตี้ทั้งหกเม็ด
มณีแห่งเวลาถูกเขี่ยออกไปจนเกิดเป็นเส้นที่แตกแขนงออกไปสีดำ
“ทำแล้วโลกของเจ้าอาจได้ประโยชน์...แต่โลกใหม่ข้าอาจไม่ดีนัก
ในโลกความจริงใหม่ที่แยกมาจะไร้ซึ่งอาวุธชิ้นเอกในการต่อกรกับพลังมืด โลกของเราอาจถูกเข้าบดขยี้คนนับล้านจะทนทุกข์
ตอบมาทีด็อกเตอร์...วิทยาศาสตร์ของเจ้าช่วยคุ้มกันได้ไหม?”
“ไม่...แต่...ลบมันทิ้งได้”บรูซตอบและเริ่มอธิบาย
“เพราะเมื่อเราใช้มณีเสร็จแล้ว ก็สามารถเอามันไปคืนที่ไทม์ไลน์ของมัน
ณ เวลาที่เราเอามา ฉะนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ โลกในไทม์ไลน์นั้นมันไม่เคยหาย”
ปรากฏเป็นมณีเม็ดสีเขียวมรกตที่มือของเขา
บรูซค่อยๆวางมันลงตรงกระแสเวลาสีดำที่แตกแขนงออกมา
เส้นเวลาที่แตกแขนงออกก็ค่อยๆจางหายไปและยังคงไว้ซึ่งกระแสเวลาสีทองเส้นเดิม มันค่อยๆจางหายไปและแองเชี่ยนวันหันหลังให้พร้อมกับค่อยๆเดินออกไป
เฟลิเซียและบรูซยังคงเดินตามแต่รักษาระยะห่างเอาไว้ เฟลิเซียเริ่มมีความหวังว่าอีกฝ่ายน่าจะเข้าใจและยอมให้ความร่วมมือในการนำมณีเวลากลับไป
“ใช่...แต่พวกเจ้าลืมมองปัจจัยที่สำคัญที่สุด
จะคืนมณีได้พวกเจ้าต้องรอดตายจากงานนี้”
“เราต้องรอดผมจะรอดให้สัญญาเลย”เขายืนกราน
“ข้าไม่อาจเอาโลกไปเสี่ยงกับคำสัญญา…มันเป็นหน้าที่ของมหาจอมเวทที่จะต้องปกป้องมณีเวลา...”
“แต่...คุณหมอสตีเฟ่น สเตรนจ์
จะให้มณีเวลากับทานอสไปทำไมคะ?”
“ว่ายังไงนะ?”
“จากที่ป๊าบอกเขาเป็นคนยกมณีให้กับทานอสด้วยตัวของเขาเอง”
“ยกให้เองหรอ?”
“ใช่”
บรูซยืนยันคำพูดของเฟลิเซียอีกเสียง
มหาจอมเวทมองอย่างไม่เชื่อสายตาและอึ้งไปเล็กน้อย
“ทำไมล่ะ?”
“ผมเองก็ไม่รู้
เขาอาจจะผิดพลาดก็ได้”
“...หรือข้าผิด?”
ฟึ่บ!
กายหยาบค่อยๆล่องลอยมาอย่างช้าๆ
กายละเอียดของเขากลับเข้าสู่ร่างกายหยาบของตนเอง ผนึกที่สร้อยคอค่อยๆถูกเปิดออกพร้อมกับมณีสีมรกตที่กำลังเรืองแสงเล็กน้อย
อีกฝ่ายค่อยๆหยิบยื่นให้กับร่างสูงอย่างช้าๆ
“สเตรจน์จะเป็นจอมเวทที่เก่งที่สุด...”
“แปลว่าเขามีเหตุผลที่ทำอย่างนั้น”
“หวั่นใจว่าจะเป็นเช่นนั้น”
“ขอบคุณ...”
เขารับมณีมาจากอีกฝ่ายและกอบกำมันเอาไว้อย่างบางเบา
เฟลิเซียโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อยเพราะในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมยกมณีเวลาให้
อีกทั้งยังกุมมือของเขาเอาไว้เบาๆ
“ข้าฝากชะตาไว้กับเจ้าบรูซ...รวมถึงเจ้าด้วย”
“...”เฟลิเซียพยักหน้ารับ
“เราทุกคน”
“เอาล่ะได้เวลากลับฐานแล้วเฟซี่...”
“ค่ะบรูซ”
เขากดปุ่มกลไกลที่มือซ้ายของเขาชุดสูทที่ขาวแดงปรากฏขึ้นที่ตัวของเขา
เขากดปุ่มที่มือซ้ายสองทีตัวเขาจึงถูกส่งกลับไปที่ฐานก่อน
“นี่คงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน...นักเวททมิฬ”
แองเชี่ยนวันทักขึ้นในขณะที่เฟลิเซียกำลังกดเรียกชุดสูทของตนเอง
ร่างบางเงยหน้ามองอีกฝ่ายเล็กน้อย เฟลิเซียยิ้มบางเพราะขึ้นชื่อว่ามหาจอมเวทแล้วเธอคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะรู้ถึงความเป็นไปในหลายๆอย่างเพราะเป็นถึงมหาจอมเวท
ดวงเนตรตรงหน้ากำลังจดจ้องมายังสร้อยคอที่เธอสวมใส่เล็กน้อย มณีเม็ดสีขาวบริสุทธิ์โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด
แองเชี่ยนวันรับรู้ถึงการมีอยู่ของมณีเม็ดนี้และพลังแฝงที่เร้นอยู่ในกายของหญิงสาวตรงหน้า
เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมา
“ดีใจที่ได้เจอกันนะคะ...แล้วก็ขอบคุณอีกครั้งค่ะ”
ฟึ่บ!
ชุดสูทพิเศษสีขาวแดงและหน้ากากปรากฏขึ้นครอบคลุมใบหน้า
ตัวของเฟลิเซียได้หายไปจากจุดที่เธอยืนอยู่
“ช่างเป็นเด็กที่กล้าหาญและแน่วแน่จริงๆ”เจ้าของอาศรมยิ้มเล็กน้อยและหุบยิ้มลงด้วยเช่นกัน ก่อนที่จะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก่อนที่จะเปิดประตูกลับเข้าไปด้านในของอาศรม
-----------------------------------------------------------------------------
มาอัพแล้วค่ะเย้
จากแท็กในทวิตเมื่อวันก่อนทำไรท์หลอนนอนไม่หลับค่ะแง
TT
ส่วนวันนี้
#ม็อบ7สิงหา
ทั้งหดหู่ทั้งโกรธจริงๆค่ะกับการกระทำของเจ้าหน้าที่
ระมัดระวังตัวกันด้วย
ขอให้ทุกๆคนปลอดภัยค่ะ
ความคิดเห็น