คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : Chapter17 : War in Wakanda
Chapter17
บนควินท์เจ็ท
“อยากให้เธอได้เจอกับบัคกี้เหมือนที่ฉันเคยเล่าให้ฟัง”สตีฟยิ้ม
บัคกี้ หรือ จ่าสิบเอก เจมส์ บูคาแนน บรานส์ สหายคนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของสตีเว่น แกรนด์ โรเจอร์ส ตั้งแต่พวกเขานั้นยังเป็นเด็กจนกระทั่งพวกเขาเติบโตและเข้าสู่สนามรบ เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกัน แม้สตีฟคิดว่าสูญเสียเพื่อนคนสำคัญไปแล้วแต่เมื่อพบว่าเขายังมีชีวิตและไม่เป็นตัวของตัวเอง ถูกไฮดราควบคุมโดยการล้างสมองและใส่คำสั่งซึ่งอยู่ในโปรเจ็กต์ วินเทอร์โซลเยอร์ สตีฟไม่ลังเลที่จะช่วยเพื่อนของเขาและเคียงข้างอีกฝ่ายอีกครั้ง
“จำได้ค่ะ”เฟลิเซียยิ้ม
“อีกเดี๋ยวก็ได้เจอ...รับประกันเธออาจจะไม่ชอบหน้าก็ได้”แซมยิ้มเยาะ
“พูดไปนั่นแหน่ะค่ะแซม”เธอยิ้มกับคำพูดของแซวและหยอกแซม
เฟลิเซีสวมใส่เสื้อตัวในเป็นเสื้อหนังสายเดี่ยวสีดำ มีเสื้อสีขาวผูกเพื่อตัดกับสีดำ เสื้อนอกก็เป็นแจ็คเก็ตหนังสีดำแขนยาวจนถึงข้อมือไม่มีซิป ชายเสื้อยาวละต้นขาไปเล็กน้อย สวมกางเกงเอวสูงทรงสกินนี่เนื้อผ้ากางเกงเป็นสเปนเดกผสมผ้ายีนส์สีดำ สวมรองเท้าบูทแบบผูกเชือกสีดำและเสริมส้นเล็กน้อย ซึ่งตัวชุดก็มีการดัดแปลงมาจากชุดของวันด้าเล็กน้อยให้เข้ากับตัวเธอ
นี่เป็นครั้งแรกของการมาเยือนประเทศวากันด้าของเฟลิเซีย อาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลและลับแล มหานครเมืองที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้ากว่าประเทศอุตสาหกรรมหลายๆแห่งในโลก มีกษัตริย์ที’ชาล่าเป็นผู้ปกครองหลังจากที่กษัตริย์ที’ชาก้าเสียชีวิตจากเหตุระเบิดที่เวียนนาเมื่อสามปีก่อน เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่เธอบินไปกรีซพอดีและตัดขาดการเชื่อมต่อจากโลกภายนอก
ที่นี่จึงเป็นความหวังที่พวกเขาจะสามารถช่วยวิชั่นและทำลายมณีได้ทันเวลาก่อนที่ทานอสจะบุกมา เฟลิเซียกวาดสายตามองสมาชิกบนควินท์เจ็ททั้งหมดอย่างเงียบๆโดยที่พวกเขาไม่ได้หันกลับมามองเธอ ต่างคนต่างกำลังโฟกัสกับสิ่งที่ตนกำลังทำ นาตาชานั่งตรงแผงควบคุมอีกฝั่ง แซมประจำที่นั่งคนขับและสตีฟก็ทำกำลังบอกพิกัด โรดีส์กับรูซก็กำลังจดจ่อกับบรรยากาศด้านนอกผ่านกระจกและครุ่นคิดหลายๆอย่าง วันด้ากำลังกุมมือและดูแลวิชั่น ส่วนเธอกำลังนั่งอยู่อย่างเงียบๆในมุมหนึ่ง ไม่รู้ทำไมเธอรู้สึกประหม่าแปลกๆแต่มันก็ไม่ร้ายแรง มือยังคงกำสร้อยของตนเอาไว้เบาๆ ก่อนหน้านี้มันเรืองแสงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ผ่านไปสักพักแสงสว่างก็ดับวูบลงเข้าสู่สภาวะปกติ
เฟลิเซียไม่รู้ว่ามันเรืองแสงเพราะเหตุใดหรือมีปฏิกิริยากับสิ่งใด และไม่แน่ใจว่าอัญมณีนี้กำลังจะบอกอะไรกับเธอ หรือกำลังจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นเธอก็ไม่อาจจะคาดเดาได้ แต่จากที่บรูซบอกเล่ามณีมีเพียงแค่ 6 เพียงเท่านั้น และสตีเฟ่นไม่ได้กล่าวถึงมณีเม็ดอื่นนอกเหนือจากทั้ง 6 เม็ดเหล่านั้น จึงปัดสิ่งเธอมีตกไปได้เลย
หรือมันกำลังจะพยายามบอกอะไรกับเธอ?
‘ไหวรึเปล่าเฟซี่...’
‘อ๊ะ...ไหวค่ะวันด้า’
‘แน่ใจนะ? ฉันรู้สึกว่าเธอกำลังประหม่า มีเรื่องอะไรรึเปล่า?’
เฟลิเซียยิ้มและส่ายหน้า วันด้าใช้พลังเข้ามาในจิตของเธอและพูดคุยกันผ่านจิต โดยที่ไม่ได้พูดออกเสียง ร่างบางยิ้มให้กับวันด้าแม้ว่าอีกฝ่ายจะสามารถอ่านความคิดและเข้าถึงได้ แต่ถ้าเกิดถูกปิดกั้นเธอก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ทั้งหมด จริงอยู่ว่าเฟลิเซียก็เป็นหนึ่งในกำลังที่สำคัญตอนนี้ แต่เธอก็ไม่อยากให้คนที่รักเปรียบเสมือนน้องสาวต้องออกมาเสี่ยง เธอหวาดกลัวที่จะสูญเสียทั้งวิชั่นและเฟลิเซียหรือใครก็ตามที่เธอรัก
Wakanda
ในที่สุดการเดินทางก็สิ้นสุดลง ควินท์เจ็ทค่อยๆเทียบจอดบนลานบินอย่างช้าๆ ประตูเปิดออกทำให้ได้เห็นตึกอาคารและบรรยากาศโดยรอบในอาณาจักร แม้ว่าจะไม่ทั้งหมดแต่ก็กว้างใหญ่และแสดงให้เห็นถึงความเจริญและความยิ่งใหญ่ของประเทศนี้ กษัตริย์แห่งวากันด้ามาพร้อมด้วยหน่วยดอรา มิราเจ และราชองครักษ์บางส่วน พวกเขามาเพื่อต้อนรับการมาเยือนของแขกคนสำคัญ
“ต้องโค้งไหม?”บรูซถามโรดีส์
“ต้อง…ท่านเป็นกษัตริย์”
สตีฟ นาตาชาและแซมเดินนำออกไป พร้อมกับบรูซ โรดีส์ วันด้าและวิชั่นตามลำดับ เฟลิเซียเดินออกมาเป็นคนสุดท้าย
“ดูเหมือนว่าผมคงต้องเป็นหนี้บุญคุณท่านตลอด”สตีฟจับมือกับที’ชาล่า
“นั่นทำอะไรน่ะ?”
ทั้งหมดหันไปมองบรูซที่กำลังจะโค้งคำนับ แต่ก็ถูกโรดีส์หยุดเอาไว้ก่อนที่เขาจะได้โค้งคำนับจริงๆ
“ไม่...ที่นี่เราไม่ทำแบบนั้น”เขาบอกบรูซและหันกลับมา
“เธอคงจะเป็นลูกสาวของสตาร์ค”
“ดีใจที่ได้พบค่ะฝ่าบาท”
เป็นการพบปะกันครั้งของเธอและราชาแห่งวากันด้า ร่างแกร่งและร่างบางจับมือทักทายกันเล็กน้อยตามารยาท เฟลิเซียยิ้มให้กับเขาอย่างเป็นมิตร ความสดใสและนุ่มนวลมันฉายออกมาจากใบหน้าที่กำลังยิ้มของเธอ เขาสัมผัสและรู้สึกได้ว่าเธอเป็นแสงสว่างความนุ่มนวล ความสดใสและความอ่อนโยนของทีมอย่างแท้จริง ก็ไม่น่าจะแปลกว่าทำไมโทนี่และทีมถึงรักเธอมาก เป็นการพบกันครั้งแรกที่ทำให้เขาคงจดจำเธอไปอีกนาน
“คาดว่าศึกนี้จะใหญ่สักแค่ไหน?”
“เอ่อ ท่าน ท่าน! คาดว่าศึกครั้งนี้คงใหญ่มโหฬารเลย”บรูซตอบ
หลังจากทักทายกันเรียบร้อยแล้ว ที’ชาล่าหันหลังและเดินนำพวกเขาเพื่อที่จะได้พาไปยังห้อง หรือที่ที่พวกเขาต้องการจะใช้เป็นการด่วนในตอนนี้ เฟลิเซียค่อยๆเดินตามพวกเขาและฟังอย่างเงียบๆ ส่วนวันด้าและวิชั่นถูกพาแยกไปอีกทาง
ไม่ว่าศึกครั้งนี้จะเป็นยังไงอันตรายขนาดไหน เธอก็ช่วยพวกเขาเท่าที่เธอจะช่วยและสนับสนุนให้กับพวกเขาได้
“ทัพฝ่ายเราล่ะ?”นาตาชาถามเขา
“มีกองราชองครักษ์ เผ่าพรมแดน หน่วยดอรา มิราเจ และ...”
“ชายอายุร้อยปีที่จิตไม่เต็ม”
เขาเว้นจังหวะและผายมือให้กับร่างแกร่งที่ปรากฏตัวขึ้น เขาพูดอย่างติดตลก ผมเขายาวประบ่าและน้ำตาลเข้ม ไว้หนวดเคราเล็กน้อย อยู่ในชุดเครื่องแบบคล้ายทหารหรือหน่วยรบ โดนเด่นด้วยแขนซ้ายของเขาที่ทำมาจากแร่ไวเบรเนี่ยม รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของเขา สองสุดยอดทหารกอดทักทายกันเล็กน้อย
“เป็นไงบ้างบัค?”
“ถือว่าไม่เลว...จากวันสิ้นโลก”
บัคกี้ยิ้มทักทายสหายสนิทของตน ก่อนที่สายตาจะไปโฟกัสกับเธอที่ยืนอยู่ข้างๆนาตาชาทันที เฟลิเซียยิ้มทักทายชายหนุ่มแต่อายุไม่ให้เล็กน้อย เขาพอจะเดาได้ว่าหญิงสาวตรงหน้าคือคนที่เพื่อนตนเคยพูดถึงและเคยเล่าให้เขาฟัง ก่อนที่เขาจะเข้าสู่สภาวะถูกแช่แข็ง
“แล้วก็คนที่ฉันอยากจะให้นายรู้จัก นี่เฟลิเซีย เธอเป็นลูกสาวบุญธรรมของสตาร์ค”
“ยินดีที่ได้พบค่ะ...เอ่อ...บรา—”
“บัคกี้…เรียกฉันว่า ‘บัคกี้’ยินดีที่ได้พบเช่นกัน”
“ค่ะ...บัคกี้”
เธอยิ้มและจับมือเขาเบาๆและเป็นสัมผัสที่นุ่มนวล บัคกี้เกิดคำถามในใจเล็กน้อยว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของอเวนเจอร์สจริงหรือ? เธอดูเป็นผู้หญิงที่ไม่ควรมาอยู่ในที่ที่อันตรายหรือลงสนามการต่อสู้ ดูเป็นผู้หญิงธรรมดา สวยและดูอ่อนหวาน เป็นไปอย่างที่สตีฟบอกเขาเธอไม่ได้มีท่าทีรังเกียจหรือโกรธเคืองเหมือนกับโทนี่ เขาฆ่าฮาเวิร์ดและมาเรีย สตาร์ค ด้วยมือของเขาเองและทั้งสองก็เปรียบเสมือนตากับยายของเฟลิเซีย แม้ว่าจะไม่เคยพบหน้าพวกเขามาก่อนก็ตาม เขายังคงรู้สึกผิดถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าในตอนนั้นเขาไม่ได้เป็นตัวของตัวเองและไม่มีทางเลือก
“ถ้านายไม่อยากตัวพรุน...อย่าไปมีเรื่องกับเธอล่ะ”แซมยิ้มและเตือนบัคกี้
“ตัวพรุน?”
“แซมพูดเล่นน่ะค่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
สตีฟ นาตาชาและบรูซ ตามกษัตริย์หนุ่มเข้าไปยังด้านในส่วนเฟลิเซียอยู่ข้างนอกกับโรดีส์ บัคกี้ และแซม โดยที่เธอยืนอยู่ข้างๆโรดีส์ที่ในตอนนี้เขาอยู่ในชุดเกราะเหล็กสีดำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับบัคกี้ที่เตรียมพร้อมและมีอาวุธปืนอยู่ในมือ
“แล้วเธอทำอะไรได้?”
บัคกี้หันไปถามแซมที่กำลังเงยหน้ามองไปรอบๆชั้นบรรยากาศ เขาค่อยๆหันมามองบัคกี้ที่หมายถึงว่าเฟลิเซียนั้นทำอะไรได้บ้าง จึงหันไปมองเธอที่กำลังกวาดสายตามองชั้นบรรยากาศและท้องฟ้าไม่ต่างจากเขา พลางหันกลับมามองบัคกี้
“สาปนายเป็นแมวได้”แซมพูดติดตลกแต่บัคกี้ไม่เชื่อ
กึ่ก!
ชั่วครู่หนึ่งเฟลิเซียรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เหมือนมีเส้นสีขาวบางอย่างปรากฏขึ้นในโสตความคิดแล้วก็หายไป เธอได้ยินเสียงวัตถุบางอย่างกำลังจะร่วงหล่นลงมาและปรากฏขึ้นที่เหนือน่านฟ้าของวากันด้า คล้ายกับดาวตกขนาดยักษ์ที่ผ่านชั้นบรรยากาศโลกมาและกำลังพุ่งลงมาด้วยความเร็ว
“กัปตัน...ตรงนี้เรางานเข้าแล้ว”แซมรายงานสตีฟผ่านอุปกรณ์สื่อสารทันที
ตู้ม!
แต่ก่อนที่มันจะลงมาถึงนั้นเอง วัตถุนั้นถูกหยุดด้วยโดมบาเรียสีฟ้าที่ตาเปล่ามองไม่เห็น เกราะบาเรียป้องกันไม่ให้สิ่งประหลาดและแปลกปลอมบางอย่างตกลงมายังตัวเมืองได้โดยตรง มันระเบิดและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
‘เริ่มแล้วสินะ...’
เฟลิเซียพึมพำกับตัวเองและเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับศึกครั้งนี้ อีกไม่กี่อึดใจการต่อสู้ที่น่าจะเป็นสงครามขนาดย่อมกำลังจะเกิดขึ้น เธอกำมือแน่นใบหน้าที่ยิ้มแย้มก่อนหน้านี้ในตอนนี้กลับเรียบนิ่ง เกิดความกลัวบางอย่างขึ้นมาในจิตใจ เธอยังวิตกและกังวลเกี่ยวกับพ่อเธอและปีเตอร์ไม่หาย รวมไปถึงสตีเฟ่นและวิชั่นเองก็ด้วย ได้แต่ภาวนาให้พวกเขาไม่เป็นอะไรและสามารถกำจัดมณีทิ้งได้ทันเวลา
“ไม่ต้องห่วงไปเฟย์...พวกเขาจะต้องไม่เป็นอะไร”
“ขอบคุณค่ะโรดีส์”
เขาบีบไหล่เธอเบาๆเป็นการปลอบ เฟลิเซียก็เปรียบเสมือนหลานสาวเขาพอที่จะเข้าใจความรู้สึกและเห็นความกังวลได้ชัดเจนจากแววตาของเธอ ไม่รู้ว่าในตอนนี้เพื่อนเขาจะเป็นเช่นไรบ้าง ก็ทำได้แต่ภาวนาให้ปลอดภัยและต้องรับศึกตรงนี้อย่างเต็มกำลังและทำทุกอย่างให้ได้มากที่สุด
“ให้ตาย...รักเมืองนี้จริงๆ”บัคกี้พูดในขณะที่กำลังเงยหน้ามองไปรอบๆ
“อย่าพึ่งรีบฉลองกันเพื่อน มีแห่มาอีกเยอะอยู่ข้างนอกโดม”
โรดีส์หันไปยังทิศทางที่มีวัตถุประหลาดกำลังร่วงหล่นและตกลงมายังวากันด้า คราวนี้ไม่ได้มีเพียงแค่อันเดียวแต่มาอีกหลายอันพร้อมๆกัน ที่ตกลงใส่โดมก็ระเบิดออกและแตกเป็นเสี่ยงๆ จนในที่สุดก็มีตกลงสู่ผืนป่านอกโดมกับตรงบริเวณทะเลสาบ คลื่นความรุนแรงกระจายออกไปทั่วป่าและกระทบเข้าที่โดมอย่างจัง
เฟลิเซียไม่อาจจะอนุมานได้ว่าที่นอกโดมนั้น มีสิ่งที่ตกลงมารวมๆทั้งหมดกี่อัน เพราะมันเยอะจนไม่อาจจะนับได้ มองจากจุดนี้รูปร่างรูปทรงมันคล้ายๆพีระมิดแต่ก็ทรงแคบกว่าและสูงตระหง่าน ป่าบริเวณโดยรอบมีไฟไหม้เล็กน้อยและหักโค่นเนื่องจากคลื่นความรุนแรงเมื่อครู่นี้
“ไปกันเถอะ”
สตีฟเรียกรวมพล ที’ชาล่าอยู่ในฟอร์มชุดที่ทำมาจากแร่ไวเบรเนียมสีดำสนิทพร้อมต่อสู้ เขานำกองกำลังทั้งหมดขึ้นยาน เพื่อมุ่งหน้าไปรับศึกการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นนับต่อจากนี้ เฟลิเซียวิ่งไปยังยานที่นาตาชาอยู่และขึ้นไปอยู่ข้างๆเธอ ตัวยานจึงเคลื่อนตัวออกทันที แซมกางปีกกลของตนออกและทะยานไปยังข้างหน้าพร้อมๆกับโรดีส์ที่อยู่ในชุดเกราะ ส่วนบรูซอยู่ในชุดเกราะขนาดมหึมาและกำลังวิ่งตามพวกเรามาทันที
และสะดุดก้อนหินล้มหน้าคะมำ
“จะไม่เป็นไรจริงๆหรอคะเนี่ย?”เฟลิเซียหันไปมองบรูซที่กำลังตั้งหลักลุกขึ้นมา
“อย่าห่วงไปเลย...แค่นี้สบายมาก”บรูซตอบผ่านอุปกรณ์สื่อสารด้วยน้ำเสียงที่สบายๆ
ทันทีที่ยานลงจอดเธอเดินไปพร้อมๆกับนาตาชา ร่างบางยืนอยู่ระหว่างนาตาชาและสตีฟ กวาดสายตามองบรรยากาศรอบตัว เสียงพูดปลุกใจดังกึกก้องไปทั่วบริเวณก่อนที่จะเงียบลง เฟลิเซียเห็นร่างสองร่างที่นอกโดม เอเลี่ยนร่างยักษ์ที่เธอคุ้นตาเนื่องจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในสวนสาธารณะในนิวยอร์กเมื่อหลายชั่วโมงก่อน เพียงแต่มันคนละตัวกับเมื่อเช้าเพราะหว่องเปิดวงแหวนมิติพาไปที่อื่นแล้ว กับเอเลี่ยนสาวผมสีน้ำเงินเข้มในชุดเกราะพร้อมรบ สตีฟ นาตาชาและที’ชาล่า ค่อยๆเดินไปเผชิญกับเอเลี่ยนสาวคนนั้นในทันทีหลังจากที่เธอใช้ดาบกรีดผ่านบาเรีย ผ่านไปได้เพียงครู่เดียวทั้งสามร่างก็เดินกลับเข้ามา ผลลัพธ์ที่พอจะเดาได้ในทันทีคืออีกฝ่ายไม่ยอมถอยจนกว่าจะได้มณีไป
กึ่ก!
“มันยอมถอยหรอ?”บัคกี้
“ยอมก็แปลก”สตีฟตอบ
สิ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านนอกโดมและตรงหน้าพวกเขาเปิดออก พร้อมกับฝูงสัตว์ประหลาดหน้าที่ไม่น่าพิศสมัยเอาเสียเลย มันพากันวิ่งกรูออกมาจากป่าและมากันเป็นฝูง เอาท์ไรเดอร์สิ่งมีชีวิตต่างดาวสี่แขน ร่างบึกบึนวิ่งเข้าปะทะกับโดมกันอย่างไม่กลัวตาย ที่ฝ่าทะลุโดมเข้ามาได้ก็ถูกตัดขาดร่างครึ่งหนึ่ง มีบางตัวแข็งแกร่งพอที่จะหลุดเข้ามาได้โดยที่ไม่ถูกตัดขาดก่อนแต่ผิวหนังก็ไหม้เกรียม กองราชองครักษ์ เผ่าพรมแดนและหน่วยดอรา มิราเจ ตั้งรับและจัดการโจมตีทันทีก่อนที่พวกมันจะมาถึง นิ้วบัคกี้กดที่ไกปืนและยิงสังหารพวกมันทันที แซมและโรดีส์จัดการยิงและบินโจมตีอยู่ด้านบน
“ไหวรึเปล่าเฟซี่?”
“ไหวค่ะแนท”
“แน่ใจนะ?”
“แน่ใจค่ะสตีฟ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงก็จะไม่ถอยค่ะ”
“วากันด้า จงเจริญ!!!!”
สิ้นเสียงราชาแห่งวากันด้า เป็นการเข้าสู่สงครามอย่างเป็นทางการ โดมบาเรียถูกเปิดออกพร้อมกับเคลื่อนพลเข้าสู่การต่อสู้ เฟลิเซียวิ่งออกตัวไปพร้อมๆกับคนอื่นๆ ก่อนที่จะใช้เวทมนตร์ทำให้ตัวเองลอยตัวขึ้นด้านบนและข้ามสมาชิกคนอื่นๆไป คลื่นพลังงานเวทมนตร์ขาวดำและควันแห่งพลังล้อมตัวเธอเอาไว้ เฟลิเซียทิ้งตัวลงสู่ใจกลางฝูงของเอาท์ไรเดอร์ฝูงหนึ่ง และตัวของพวกมันก็กระเด็นออกไปด้วยพลังเวทมนตร์ที่เธอซัดใส่พร้อมกับเวทมนตร์สีดำที่แผ่ออกมาจากตัวเธอและกินพื้นที่เป็นวงกว้างเล็กน้อย คลื่นพลังระเบิดและกระจายไปรอบๆ เหล่าเถาวัลย์หนามสีดำพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้น ฆ่าสังหารแทงทะลุผ่านร่างของพวกมัน บ้างก็ถูกพลังเธอตัดขาดร่างเป็นสองท่อน และบางส่วนที่ถูกจับรัดและเหวี่ยงทุ่มลงกับพื้น
“มาถึงก็ปล่อยของกันเลยหรอเนี่ย...ร้ายจริงๆ”นาตาชาพูดอย่างรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย
วินาทีนั้นบัคกี้เข้าใจคำพูดของแซมขึ้นมาทันที เมื่อได้เห็นสิ่งซ่อนเอาไว้ในตัวหญิงสาวที่ดูนุ่มนวลเกินกว่าจะมาอยู่ในสนามรบ ดวงเนตรสีน้ำตาลบัดนี้เปลี่ยนเป็นสีไข่มุกออกอมชมพูและกำลังเรืองแสง
กรร!
ร่างบางไม่หยุดอยู่กับที่เฉยๆ เธอค่อยๆกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปรอบๆจัดการกำจัดพวกมันที่กำลังวิ่งกรูเข้ามา และคอยช่วยเหลือคนอื่นๆที่ถูกมันลอบโจมตีหรือถูกโจมตีใส่ตรงๆและไม่สามารถสลัดมันให้หลุดได้
วู่ม!
ทันทีที่กระทืบเท้าลงพื้นเกิดเป็นเถาวัลย์และรากไม้ขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นดิน จัดการกวาดล้างและจับตัวพวกมันเอาไว้ ก่อนที่เถาวัลย์เหล่าจะกัดกินโดยการดึงร่างของพวกมันลงสู่ผืนดินราวกับต้นไม้ปีศาจที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่ง
“เห็นแล้วหยองชะมัด”แซมพูดผ่านอุปกรณ์สื่อสาร
ภาพพวกเอาท์ไรเดอร์ที่ถูกรากไม้หรือเถาวัลย์หนามแทง ไม่ค่อยน่าอภิรมย์เสียเท่าไหร่นัก ยิ่งถูกรัดและลากลงไปใต้พื้นดินยิ่งให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งเหล่านี้มันหลุดออกมาจากหนังสยองขวัญ
กรร!
“อึ่ก!”
จังหวะที่กำลังเผลอมีเอาท์ไรเดอร์ตัวหนึ่งโจมตีเข้าที่หลังจนเธอล้มไปกับพื้น มันแยกเขี้ยวใส่และพร้อมที่จะขย้ำ มันไม่ได้มาเพียงแค่ตัวเดียวแต่มาประมาณสองถึงสามตัว เฟลิเซียพยายามที่จะกลิ้งหลบ
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
แสงสีรุ้งพวยพุ่งลงมายังพื้นเบื้องล่าง พร้อมกับขวานที่พุ่งออกมาและตัดผ่านร่างเอเลี่ยนสี่แขนขาดเป็นสองท่อน มันไม่ใช่ขวานธรรมดาๆ มีคลื่นสายฟ้าสีฟ้าออกมาจากตัวขวาน ทันทีที่เจ้าขวานนั้นตัดผ่านเอาท์ไรเดอร์ที่กำลังจะฉีกร่างเธอออกไปได้บางส่วนแล้ว เฟลิเซียจึงรีบใช้พลังตนผลักให้ตัวที่เหลือให้ออกห่างจากตัวเองในทันทีและรีบลุกตั้งหลัก เสียงคำรามของสายฟ้าดังขึ้น เฟลิเซียจำคลื่นเสียงและสายฟ้านี้ได้ เธอหวังและภาวนาขอให้เป็นคนที่เธอกำลังนึกถึง...
กึ่ก!
“ธอร์!”
เมื่อแสงนั้นจางลงร่างแกร่งบุตรแห่งโอดินปรากฏกาย เป็นไปดั่งที่เธอคิดจริงๆพร้อมสมาชิกอีกสองที่ยืนเคียงเขา เฟลิเซียยิ้มเล็กน้อยกับการมาของเขา แรคคูนตัวเล็กมาพร้อมกับอาวุธปืนและคนที่เหมือนเด็กผู้ชายแต่เป็นต้นไม้ร่างเล็ก
“พวกแกไม่ได้ผุด ไม่ได้เกิดแล้ว!”บรูซเปิดหน้ากากออกมาและตะโกน
“ส่งทานอสให้ข้า!!!!”
ตู้ม!
ร่างแกร่งกระโดดขึ้นเหนือพื้นดิน เขาฟาดสตอร์มเบรกเกอร์ลงพื้นเกิดเป็นคลื่นพลังงานสายฟ้าขนาดมหึมา จัดการสังหารฝูงสุนัขเอเลี่ยนสี่แขนร่างบึกบึนทันที
“ไงเฟซี่! โตขึ้นเยอะเลยนะ!”
“ไม่เปลี่ยนไปเลยนะคะธอร์!”
“ตัดผมใหม่หรอ?”สตีฟ
“นายก็อปปี้เคราฉัน”
“เฟซี่เกือบจำฉันไม่ได้”สตีฟพยักหน้าเล็กน้อย
เฟลิเซียพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะก็เกือบจะจำไม่ได้จริงๆถ้าเขาไม่ทักเธอ ในขณะที่กำลังจัดการกับศัตรูตรงหน้า เป็นบทสนทนาเล็กๆพูดคุยกันเพื่อให้หายคิดถึงชั่วขณะ ก่อนที่จะต่างคนต่างหันไปสนใจกับสุนับเอเลี่ยนเอาท์ไรเดอร์ที่ยังคงมากันไม่หยุดหย่อน และไม่มีท่าทีว่าจะถอยเลย
ฉึก!
“ขอแนะนำนั่นเพื่อนฉัน เจ้าต้นไม้”
สตีฟและเฟลิเซียหันไปมองเพื่อนของธอร์ในทันทีโดยพร้อมกัน เขาใช้แขนที่ยาวยืดแทงผ่านทะลุร่างเอาท์ไรเดอร์พร้อมกันถึงสามตัว และหันมาทางสตีฟกับเธอ
“ไอ แอม กรู๊ท!”
“สตีฟ โรเจอร์ส”
“เฟลิเซีย…หืม”
แผ่นดินสั่นสะเทือนและได้ยินเสียงต้นไม้หักโค่นหากเงี่ยหูฟังดีๆ เฟลิเซียรู้สึกและสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างกำลังจะเข้ามา เธอจึงทอดสายตามองไปยังบริเวณกำแพงบาเรียทันที
ครืน!
“ถอยทัพ! ถอยทัพก่อน!”
ล้อจักรกลเหล็กขนาดมหึมาทะลุผ่านชั้นใต้ดินออกมา ก่อนที่จะพุ่งขึ้นมาเหนือผืนดินและเริ่มเดินหน้าสังหารผู้คนที่อยู่ภายในสนามรบ โดยไม่สนว่าจะเป็นพวกเดียวกับตนหรือไม่และกวาดล้างไปทั่วทุกบริเวณ
“เฟซี่!”
แต่ก่อนที่ผู้คนจะถูกสังหารไปมากกว่านี้ ร่างบางวิ่งออกไปจากจุดที่ตนเองอยู่ใช้เวทมนตร์ลอยตัวลงไปยังทิศทางหนึ่งที่กงล้อสังหารกำลังทำงาน เธอใช้พลังสร้างเถาวัลย์ยกขึ้นมาและยกขึ้นสูงจากเหนือหัวมากพอสมควร สร้างโดมหนามขึ้นมาเพื่อกันไม่ให้ใครก็ตามที่อยู่ใกล้ๆหรือโดยรอบโดนลูกหลง เธอเหวี่ยงมันลงที่ฝูงของเอาท์ไรเดอร์เป็นการสังหารและกำจัดพวกมันไปด้วยในตัว รากไม้และเถาวัลย์ขนาดยักษ์หยุดการเคลื่อนไหวของล้อที่เหลือ
“ตัวเล็กแต่แรงเยอะจนน่ากลัว”โรดีส์คิดเมื่อเขาและแซมหยุดเจ้าล้อเหล็กลงและเห็นภาพเธอจัดการหยุดล้อยักษ์พวกนี้จากด้านบน
ในเวลาเดียวกันนั้นเองวันด้าก็ลงมายังสนามรบ หมอกคลื่นพลังงานสีแดงยกล้อที่เหลือขึ้นมาและเหวี่ยงใส่เพื่อปลิดชีพเอาท์ไรเดอร์ที่กำลังจะเข้ามาโจมตี
[“ทุกคน! ทางนี้วิชั่นกำลังโดนเล่นแล้ว!”] แซมที่เห็นเหตุการณ์ติดต่อมายังพวกเขาทัน ก่อนที่จะถูกโจมตีจนร่วงหล่นลงกับพื้น และกลิ้งไปอีกทาง
“ใครก็ได้ช่วยวิชั่นที!”สตีฟพูดขึ้น
“ไปแล้ว!”บรูซทะยานเกราะเหล็กของตนออกไปทันที
“กำลังไป!”
ผัวะ!
วันด้าตอบรับและกำลังจะจากบริเวณนี้ไป แต่ก็ถูกชกเข้าที่หน้าอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว หล่อนล้มลงพร้อมกับกลิ้งลงไปอยู่ตรงบริเวณร่องหลุมที่เกิดจากล้อกงจักรสังหารก่อนหน้านี้ ผู้นำทัพเอเลี่ยนกระโดดลงมาใกล้ๆเธอและพลิกร่างวันด้าให้เงยหน้ามามองตน
“เขาได้ตายเดี่ยว...เจ้าก็ด้วย”หล่อนแสยะยิ้ม
“แต่เธอไม่ได้มาเดี่ยว”
“ยังมีพวกเราอีกทั้งคน”
ประโยคแรกนาตาชาเป็นคนพูด ตามมาด้วยเฟลิเซียที่เข้ามาสมทบ ส่วนอีกด้านก็เป็นโอโคเย่ที่กำลังควงหอกอาวุธของตนพร้อมโจมตีและต่อสู้กับอีกฝ่าย
-------------------------------------------------------------------------------
ไม่ค่อยเก่งบรรยายเรื่องแอคชั่นจริงๆค่ะ (ปาดน้ำตา)
ความคิดเห็น