คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : Chapter13 : Goodbye
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
“…”
‘นี่เรา...อยู่ที่ไหน? อึ่ก...’
“ผมว่าคุณอย่าพึ่งขยับจะดีกว่า”
เปลือกตาที่หนักอึ้งค่อยๆลืมตาตื่นเต็มที่จากความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาและโจมตีโสตความรู้สึกในจังหวะที่ขยับตัว ทัศนะการมองเห็นไม่ชัดและภาพทุกอย่างเบลอพร่ามัวไปหมดคล้ายกับกระจกใสที่เกิดฝ้าหมอกยามฝนตก ไหนจะเสียงเครื่องอุปกรณ์ตรวจวัดสัญญาณชีพจรอีก มีร่างหนึ่งยืนอยู่ข้างๆซึ่งเธอไม่ค่อยจะแน่ใจเสียเท่าไหร่นักว่าเป็นใคร พร้อมกับร่างของใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขาถืออุปกรณ์บางอย่างที่เธอก็ระบุไม่ได้อีกเช่นกันว่าคืออะไร
จมูกและปากถูกครอบไว้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ ลมหายใจของเธอพ่นออกมาอย่างสม่ำเสมอและอัตราการเต้นหัวใจที่อยู่ในสภาวะปกติ ร่างบางรู้สึกเจ็บแปล๊บที่บริเวณช่วงหลังส่วนล่างลงมาจนเกือบถึงสะโพก และเจ็บที่บริเวณด้านหน้าตรงช่วงท้อง รู้สึกเมื่อยเนื้อตัวไปหมดอาจจะมาจากความล้าสะสม ทั้งรู้สึกเจ็บและรู้สึกตึงๆในเวลาเดียวกันเหมือนมีอะไรมาแทงเธอเอาไว้
แทง?
เธอนึกออกแล้ว...
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้...
‘เรา...ออกไปจากที่นี่กันเถอะ’
กึ่ก!
ฉึก!
‘เฟซี่!!!?’
วันด้ากรีดร้องชื่อของเธอเสียงหลงและทันเห็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันจากด้านบน เธอใช้พลังยกตัวลอยลงไปยังพื้นเบื้องล่างทันที พร้อมกับโทนี่สวมเกราะรีบตามวันด้าลงไปทันทีตามสัญชาตญาณความเป็นพ่อเมื่อได้ยินวันด้ากรีดร้องชื่อของเฟลิเซีย สตีฟและคนอื่นๆเองก็รีบวิ่งตามมาเช่นกันแต่มองดูจากข้างบน
‘คุณพระช่วย...!’นาตาชาร้องขึ้นพร้อมกับยกมือทาบอกอย่างตกใจ
‘เฟซี่! เฟซี่! เฮ้ เฮ้ ป๊าอยู่นี่แล้ว พวกเราอยู่นี่แล้ว’
‘ป๊า...วันด้า...’
ทันทีที่เธอลุกขึ้นยืนและอาจจะลุกขึ้นเร็วไปนิดหน่อย บวกกับความเหนื่อยล้าที่แล่นเข้าโจมตีเธอเซเล็กน้อยและก้าวถอยหลังอย่างไม่ทันได้ระวัง เฟลิเซียสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างเธอล้มหงายท้องตึงไปกับกองอิฐปูนหรือกำแพงที่พังทลายแต่มันไม่ใช่แค่กองซากอิฐปูนเพียงอย่างเดียว มีเหล็กแหลมที่เป็นส่วนประกอบของโครงสร้างตัวปราสาทอยู่ด้วย เหล็กเสียบอยู่กับร่องซากอิฐปูนเมื่อเธอหงายหลังล้มลงเหล็กนั้นเสียบที่บริเวณหลังช่วงล่างเกือบถึงสะโพกทะลุช่วงท้องจนเห็นตัวเหล็ก ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นไว้มากๆจนน่าตกใจ วันด้าตามมาอีกทีก็เห็นเหล็กแทงทะลุตัวเฟลิเซียไปแล้ว
มันคืออุบัติเหตุ
‘เฮ้! ลืมตาเอาไว้ก่อนเฟซี่! อย่าพึ่งหลับ! ทำใจดีๆเอาไว้ ฟราย์เดย์! ช่วยติดต่อ ดร.โชให้ที’
‘พาเธอ...ไปด้วย...’
เฟลิเซียพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะเหนื่อยล้าและอ่อนแรง วันด้าพยักหน้าอย่างเข้าใจว่าเธอสื่อถึงอะไร พลังสีแดงประกายค่อยๆยกร่างของเฮลก้าขึ้นมาอย่างช้าๆและค่อยยกร่างของเธอออกไปจากตรงนี้
เปลือกตาเริ่มหนักอึ้งแต่เธอก็พยายามที่จะลืมตาเอาไว้ แต่เธอก็ไม่อาจจะต้านทานความล้าเอาไว้ได้ ความรู้สึกเจ็บที่ท้องแล่นเข้ามาที่โสตประสาทความรู้สึก มันทั้งเจ็บและเริ่มรู้สึกกึ่งชา โทนี่ค่อยๆอุ้มร่างของเธอขึ้นมาอย่างระมัดระวังเพื่อที่จะได้ไม่กระทบกับเหล็กที่มันแทงทะลุตัวและยังคงฝังอยู่ในกายเธอ
‘ดร.โช ติดเข้าแลปด่วนค่ะเจ้านาย’
‘ให้มันอย่างนี้สิ!’ เขาสบถอย่างหัวเสียหลังจากที่พาเฟลิเซียขึ้นไปด้านบน
‘...’
‘เฟซี่...มองพวกเราเอาไว้...เฟซี่’
ไม่ว่าจะพยายามฝืนและเพ่งไม่ให้หลับตามากแค่ไหน เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าเปลือกตามันเริ่มหนักอึ้งขึ้นมากเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเบลอและพร่ามัวไปจนหมดและเธอพร้อมที่จะหลับลงทุกเมื่อ
‘เฟซี่! เฮ้! อย่าพึ่งหลับนะ...มองหน้าป๊าเอาไว้ หนูจะต้องไม่เป็นไร ป๊า...สัญ...ญา...’
และในตอนนั้นเองที่ภาพทุกอย่างก็ตัดไป ทำให้ตอนนี้เธอพอจะเดาได้แล้วว่าเธออยู่ที่โรงพยาบาลและคาดว่าตนเองน่าจะพึ่งถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัดและอยู่ในห้องพักฟื้นแรกหลังผ่าตัดก่อน กระบวนการต่อไปเธอก็น่าจะถูกนำไปยังห้องพักฟื้นซึ่งเป็นห้องที่แอดมิดเอง
“อาจจะเจ็บหน่อยนะ...แต่เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
อีกเสียงเป็นเสียงผู้หญิงซึ่งเธอพอจะเดาได้ว่าเป็นอีกเงาที่ยืนอยู่ข้างๆชายผู้พูดกับเธอในตอนแรกว่าอย่าขยับตัว เธอเดินมาใกล้ๆเธอหยิบสายน้ำเกลือขึ้นมา สายมีปมอุปกรณ์บางอย่างสำหรับเสียบหลอดฉีดยาสำหรับการให้ยาผ่านสายน้ำเกลือ เธอดันของเหลวบางอย่างอย่างสายน้ำเกลือเพื่อที่มันจะได้แล่นเข้าสู่กายเธอ ความเย็นประหลาดแล่นผ่านเข้าหลอดเลือดและตัวเธอ หล่อนฉีดมอร์ฟีนสำหรับช่วยบรรเทาอาการเจ็บและปวดในตัวเฟลิเซีย ในอีกไม่กี่อึดใจก็หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า พอผ่านไปได้สักพักอุปกรณ์วัดชีพจรและช่วยหายใจถูกดึงออกอย่างช้าๆเมื่อไม่จำเป็นแล้ว และเธอก็ถูกเข็นไปยังห้องแอดมิดทันที
“ไหนตอนแรกจะปล่อยผ่านเคสนี้ไง”
คริสทีนถามร่างสูงอย่างนึกฉงนใจ ใครๆก็รู้ว่าดร.สตีเฟ่น สเตรนจ์มักจะเลือกเคสผ่าตัดและเลือกเคสที่สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองเพียงเท่านั้น ง่ายเกินไปก็ไม่รับและหากดูแล้วไม่น่ารอดเขาก็ไม่รับเช่นกัน เขาเป็นศัลยแพทย์ระบบประสาทเฉพาะทางที่มีชื่อเสียงมากอีกคนหนึ่ง หากค้นหารายชื่อชื่อของเขาเป็นชื่อแรกๆและชื่ออันดับต้นๆที่จะปรากฏเมื่อค้นหาสุดยอดศัลยแพทย์ประสาทที่มีชื่อเสียงในนิวยอร์ก
โทนี่ค้นหาชื่อของเขาผ่านอินเทอร์เน็ตทำให้ได้เห็นถึงชื่อเสียงและสรรพคุณความเก่งของเขา ก็ทำให้เบาใจมากยิ่งขึ้นและหายห่วงได้ระดับหนึ่ง ว่าลูกสาวตนเองจะได้รับการรักษาและช่วยเหลือจากหมอที่ดีที่สุด
“ตอนแรกก็จะปล่อยถ้าเขาไม่วินิจฉัยอะไรมั่วๆหรือพูดกับผมแบบนั้น”
เคสของเฟลิเซียถือว่าเป็นเคสด่วนของแผนกฉุกเฉิน ในตอนแรกคริสทีนเข้ามาเพื่อที่จะปรึกษา คริสทีนกังวลว่าเหล็กที่เสียบทะลุตัวเธออาจจะมีเรื่องของระบบประสาทเข้ามาเกี่ยวอาจจะทำให้การผ่าตัดเป็นไปได้ยากและน่าจะมีเรื่องเส้นประสาทที่สันหลังเพราะเหล็กแทงทะลุผ่านจนอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างจะใกล้กับกระดูกสันหลังแม้ว่าจะเฉียดห่างกันพอควร คริสทีนจึงกังวลและคาดว่าการผ่าตัดอาจจะต้องมีความระมัดระวังสูง หากผ่าตัดผิดพลาดอาจจะส่งผลกระทบได้จึงอยากให้เขามาช่วย และกำลังจะปฏิเสธเพราะทางด้านคริสทีนก็มีแพทย์ระบบประสาทอยู่แล้ว
แต่แพทย์อีกคนเดินเข้ามาพร้อมกับพูดว่า...
‘เคสผ่าตัดง่ายๆแบบนี้ไม่เห็นต้องมาปรึกษาดร.สเตรนจ์เลยดร.พาลเมอร์’เขาพูด
‘แค่ผ่าตัดเอาเหล็กออกง่ายๆไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย...ยังไงดูๆแล้วก็ไม่น่ามีอะไรเกี่ยวกับเส้นประสาทหรอก การผ่าตัดแค่นี้ให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถอะ...อย่างดร.สเตรจน์ก็แค่ผ่าตัดได้แค่สมองคนอย่างเดียวแค่นั้นแหละ’
‘ไม่เกี่ยวหรอ? คุณเองก็เป็นศัลยแพทย์ประสาทเหมือนกันทำไมถึงดูไม่ออก? ลองดูตรงนี้ให้ดีๆ อีกนิดมันก็จะถึงเหล็กที่แทงก็เกือบจะถูกกระดูกสันหลัง ถ้าผ่าตัดมั่วซั่วเกิดถูกเส้นประสาทตรงไขสันหลังหรือโดนเส้นประสาทความรู้สึกขึ้นมาคุณจะทำยังไง? แค่นี้คุณดูไม่ออกหรอ? ผมเป็นศัลยแพทย์ระบบประสาทนะ ไม่ได้ศัลกรรมผ่าตัดแค่สมองอย่างเดียว มาเถอะดร.พาลเมอร์เดี๋ยวผมเข้าไปเอง’
‘ถ้างั้นเดี๋ยวผม...’
‘คุณอยู่เฉยๆเถอะ แค่ผมคนเดียวกับดร.พาลเมอร์ก็พอแล้ว’
“เชื่อเค้าเลย”
“ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเค้าคิดผิดเรื่องที่ผมผ่าตัดได้แค่สมอง”สตีเฟ่นยิ้มเล็กน้อยและไหวไหล่
คริสทีนยิ้มและส่ายหัวให้กับเขาเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะเคยชินกับท่าทีหรือนิสัยของเขาแบบนี้แล้วก็ตาม ก่อนที่ทั้งคู่จะต่างฝ่ายต่างแยกกันไปประจำแผนกของตนเอง
‘ที่นี่...ที่ไหน...’
เฟลิเซียลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งกับบรรยากาศที่ไม่เหมือนเดิม ดวงเนตรกวาดสายตามองบริเวณโดยรอบอย่างฉงนใจ ก่อนที่จะก้มมองตัวเองที่สวมใส่ชุดเดรสระบายยาวสีขาวสะอาดตา เท้าเปล่ากำลังเหยียบย่ำพื้นซึ่งเป็นน้ำใสสะอาดไม่มีสิ่งแปลกปลอมเจือปนและพื้นเรียบสีขาวที่อยู่ภายในน้ำใสอีกที ท้องนภาครามมีหมู่มวลกลุ่มก้อนเมฆเล็กน้อย เฟลิเซียพยายามมองไปรอบๆซึ่งมันไกลสุดลูกหูลูกตาและว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดมีเพียงแค่เธอเท่านั้นที่ยืนอยู่ที่นี่
สิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้คือเธอพึ่งฟื้นออกจากห้องผ่าตัดด้วยภาพที่พร่ามัวจนมองอะไรไม่ชัด เหล็กแหลมนั้นถูกนำออกไปจากท้องของเธอแล้วเป็นที่เรียบร้อยความรู้สึกเจ็บหน่วงยังคงอยู่ในโสตความรู้สึก แต่ในตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกอะไรพอเอามือกุมไปตรงบริเวณที่น่าจะแผลผ่าตัดแต่ในตอนนี้กลับไม่มี ยิ่งสร้างความงุนงงให้กับเธอเข้าไปใหญ่
‘อ๊ะ...’
แต่เมื่อแตะไปที่คอของตนเธอสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง เธอสัมผัสก่อนที่จะดึงมาออกมาเบาๆและก้มมองดูสร้อยคอเส้นสีดำสนิทมีเม็ดอัญมณีสีขาวกับเพชรบางอย่างติดเอาไว้ด้วยกัน เธอได้มันมาตอนที่พลังตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์แม้ว่าจะยังงุนงงไปบ้างแต่คิดว่าไม่ช้าก็เร็วเธอน่าจะหาคำตอบจากมันได้ ฉับพลันดวงเนตรก็จ้องมองไปยังด้านหน้าตนที่ในตอนแรกไม่มีสิ่งใดอยู่เลยกลับปรากฏเป็นเงาต้นไม้ใหญ่ที่แผ่และแตกกิ่งก้านสาขาออกไปรอบๆ ฉับพลันก็ปรากฏเป็นร่างร่างหนึ่งนั่งอยู่บนกิ่งไม้หนึ่งแต่เธอก็เห็นไม่ชัดว่าเงานั้นคือใครและเป็นใครกันแน่
เฟลิเซียก้าวเดินไปข้างหน้าตามสัญชาตญาณของความอยากรู้ มีเถาวัลย์ปรากฏขึ้นมาและรายล้อมตัวของเธอเอาไว้พร้อมพื้นโดยรอบที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ในตอนนั้นเองที่ทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณโดยรอบดับวูบลง แสงสว่างจ้าถูกแทนที่ด้วยความมืดสนิท วินาทีนั้นเองเธอหลับตาลงก่อนที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เธอเห็นสิ่งอย่างๆในบริเวณโดยรอบชัดขึ้นกว่าก่อนหน้านี้แล้ว เธอรู้สึกตึงและเจ็บแปล๊บที่แผลอีกครั้ง และส่งเสียงร้องเบาๆในลำคอ
“เฟซี่...”
“ป๊า...”
ทันทีที่เธอขยับและส่งเสียงร้องในลำคอ โทนี่ที่นั่งเฝ้าเธออยู่ข้างๆเรียกเธอเบาๆเป็นสัญญาณบอกว่าเธอได้ตื่นขึ้นแล้ว เธอเรียกพ่อของตนด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง สตีฟที่ได้ยินโทนี่เรียกชื่อเธอจึงรีบเดินเข้ามาใกล้ๆเธอและยิ้มให้เล็กน้อย เพราะในที่สุดเธอก็ตื่น
“อย่าพึ่งลุกจะดีกว่า”นาตาชาเดินเข้ามาใกล้ๆหลังจากที่เธอเรียกพยาบาลแล้ว
“หนูหลับ...ไปนานแค่ไหนแล้ว”
“ถ้านับวันนี้ก็เป็นวันที่สาม”โทนี่ยิ้มและตอบ “พวกเราเป็นห่วงแทบแย่”
“ขอโทษ...”
“เฮ้ ไม่ใช่เรื่องที่หนูจะต้องขอโทษเลยเฟซี่ ป๊ารู้ป๊าเข้าใจ พวกเราเข้าใจ แล้วก็...เดี๋ยวเพพเพอร์จะมาหาเย็นนี้”
มือแกร่งลูบหัวปลอบเธออย่างอ่อนโยนและจูบที่หน้าผากของเธอเบาๆ เป็นภาพที่สร้างความอบอุ่นหัวใจให้กับสตีฟและนาตาชาได้ไม่น้อย หลังจากนั้นสักพักใหญ่ๆหมอและพยาบาลก็เข้ามาดูแลและตรวจเช็คอาการของเธอทันที
“ขอบคุณนะคะ”
“ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องขอบคุณอะไรหรอก...ผมก็แค่ทำตามหน้าที่”
เฟลิเซียเอ่ยขอบคุณคริสทีนและสตีเฟ่นเมื่อเขามาดูอาการและมาเช็คแผลผ่าตัด คริสทีนลงความเห็นว่าเฟลิเซียจะสามารถกลับบ้านได้ในอีกสองสามวันข้างหน้า เพราะเธอฟื้นตัวค่อนข้างไวและแผลไม่ได้มีอาการติดเชื้อ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีแต่ยังไงเธอก็ต้องมาทำแผลที่โรงพยาบาลตามกำหนด และเมื่อแน่ใจแล้วว่าแผลดีขึ้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงก็จะนำไปสู่กระบวนการตัดไหมและนัดเธอมาดูแผลหลังจากผ่าตัดตามกระบวนการ
“ถ้างั้นหมอขอตัวก่อนนะ”
คริสทีนยิ้มก่อนที่เธอและสตีเฟ่นจะพากันออกไป เพพเพอร์เดินมานั่งข้างๆเตียงและลูบหัวเฟลิเซียเบาๆ พลางบีบมือของเธอเบาๆสีหน้าของเธอเป็นกังวลและเป็นห่วงมากจนถึงขีดสุด ตอนที่โทนี่ติดต่อไปหาเธอและเล่าให้เธอฟังตอนนั้นเธอตกใจแทบแย่จนแทบจะไม่เป็นทำอะไรเลยจริงๆ
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะคะ”
“ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องขอโทษเลย”เพพเพอร์ยิ้ม
“หนูปลอดภัยแค่นี้แม่ก็โล่งใจแล้ว”เธอหันไปมองโทนี่อย่างคาดโทษเล็กน้อย เล่นทำเอาเขาเหงื่อตกและเหวอเล็กน้อย
หลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาพูดคุยของสองแม่ลูกเป็นเวลาพักใหญ่ๆก่อนที่เธอจะขอตัวกลับและจะมาเยี่ยมใหม่ในวันพรุ่งนี้ เฟลิเซียรับแก้วน้ำจากนาตาชามาดื่มจิบเล็กน้อยก่อนที่จะส่งคืนแก้วให้เธอ
“แล้ว...เป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“ตึงๆนิดหน่อยค่ะ เจ็บน้อยลงกว่าเดิมแล้ว”เฟลิเซียยิ้มและตอบคลินท์
ตอนนี้โทนี่ออกไปส่งเพพเพอร์และมีเรื่องพูดคุยกันนิดหน่อย ส่วนสตีฟออกไปรับอากาศข้างนอกและมีเรื่องให้คิด นาตาชา คลินท์ วันด้าและวิชชั่นจึงอยู่เป็นเพื่อนเธอแทน แซมและโรดีส์ฝากของมาเยี่ยมเธอแทนเนื่องจากทั้งคู่มีธุระนิดหน่อยก็เลยทำให้มาเยี่ยมด้วยตัวเองไม่ได้และสัญญาว่าจะมาเยี่ยมเธอในเร็วๆนี้
“แล้ว...”
“ถ้าหมายถึงศพเธอคนนั้นล่ะก็...เราจัดการให้เรียบร้อยแล้วล่ะ”นาตาชายิ้มและรู้ว่าเธอหมายถึงใคร
“ขอบคุณนะคะ...แนท”
“แล้วก็นะ...เรามีเรื่องที่จะต้องคุยกันอีกเรื่อง”นาตาชาหยิบสร้อยของเฟลิเซียออกมาจากกระเป๋า เพื่อแสดงให้เห็นว่ายังอยู่ดีเฟลิเซียจึงพยักหน้ารับและให้นาตาชาเก็บมันเอาไว้ก่อน
“เอาล่ะ...ได้เวลาพักผ่อนแล้วแม่มดตัวน้อย”วันด้ายิ้มและเข้ามาใกล้ๆเธอ
“เหมือนกับวันด้า...แค่แตกต่างกันนิดหน่อยสินะ”วิชชั่นยืนข้างๆแม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่าพลังของเธอกับวันด้าก็มีความคล้ายคลึงแต่ก็มีความต่างซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
สองสัปดาห์หลังจากนั้น
เฟลิเซียเริ่มฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บและฟื้นตัวจากแผลผ่าตัดแล้วและได้รับการตัดไหมเป็นที่เรียบร้อย เมื่อดร.โชว่างจากแลป โทนี่จึงขอให้มาช่วยจัดการเรื่องแผล แต่แผลภายในก็ต้องใช้เวลาในการรักษาดังนั้นในตอนนี้จึงเป็นช่วงเวลาแห่งพักผ่อนและฟื้นตัว หมายความว่าเฟลิเซียจะไม่ได้เข้าร่วมทำภารกิจกับพวกเขาไปอีกพักใหญ่ๆจนกว่าพวกเขาจะแน่ใจว่าเธอดีขึ้นแล้วจริงๆ เรื่องที่เธอช่วยชีวิตชาวเมืองที่อยู่ในละแวกป่ากลายเป็นข่าวใหญ่ ทำให้ผู้คนกลับมาชื่นชอบและชื่นชมในตัวเธออีกครั้งและไม่มีท่าทีที่จะรังเกียจเธออีกต่อไปแล้ว แต่ก็มีอีกเป็นส่วนน้อยที่ยังไม่ชอบเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สนใจ
ศพของเฮลก้าถูกฝังลงในสุสานแห่งหนึ่งในนิวยอร์กอย่างเงียบๆ ไม่ได้มีงานพิธีอะไรใหญ่โตเพราะถูกฝังร่างลงอย่างเงียบๆ เฟลิเซียลูบแผ่นศิลาสุสานอย่างเบามือพร้อมกับช่อดอกไม้ไว้อาลัยที่วางอยู่ใต้แผ่นศิลา มีเพียงชื่อของเฮลก้าเท่านั้นที่ถูกสลักเอาไว้อย่างเรียบง่ายและไม่มีอะไรไปมากกว่านั้นกับวันเวลาที่เธอสิ้นลมหายใจลง ลมเย็นๆพัดมาเอื่อยๆเฟลิเซียทัดผมไว้ที่หูของตนเองเล็กน้อย ตอนนี้มีเพียงเธอเท่านั้นที่อยู่ ณ หลุมศพนั้น โทนี่กับแฮปปี้รอเธออยู่ที่รถอย่างเงียบๆ
“…”
เธอไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดๆออกมา เฮลก้าคือเหยื่อจากการถูกองค์กรกระทำมาตลอดระยะเวลาหลายปี ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนบิดเบี้ยวและผิดเพี้ยนไปซะหมดแม้ว่าในความเป็นจริงที่ว่าอีกฝ่ายโกรธและชิงชังตัวเธอทุกอย่างและโทษว่าเธอเป็นคนทำให้หล่อนต้องกลายเป็นแบบนั้น เฟลิเซียไม่สามารถย้อนเวลาไปปรับความเข้าใจกับอีกฝ่ายได้แล้วและลมหายใจของเฮลก้าก็ยังถูกคนที่ทำให้ชีวิตเธอต้องจมอยู่กับความเคียดแค้นและชิงชังจนกู่ไม่กลับชิงไปอีก ชีวิตของเฮลก้าที่ถูกกระทำไม่ต่างจากเธอและถูกมองว่าเป็นเพียงแค่เครื่องมือ สิ่งสุดท้ายที่เธอพอจะทำได้ก็คือการฝังร่างของเธออย่างถูกต้องเพื่อให้ร่างของเธอได้หลับใหลอยู่ในหลุมศพนี้อย่างสงบ ดีกว่าปล่อยให้ร่างของเธอต้องเน่าเปื่อยในเศษซากปราสาทที่พังทลายลงแบบนั้น
“ลาก่อนนะ...เฮลก้า”เธอพึมพำอย่างบางเบา
เฟลิเซียค่อยๆเดินออกมาอย่างช้าๆและระมัดระวัง ก่อนที่จะหยุดชะงักและหันกลับไปมองที่หลุมศพของเฮลก้าอีกครั้ง
“แล้วเจอ...กันใหม่นะ”
เฟลิเซียยิ้มบางก่อนที่จะค่อยๆก้าวเดินไปต่ออย่างเงียบๆ พลางลูบสร้อยคอที่ตนเองสวมใส่เล็กน้อย หลังจากนี้คงมีหลายสิ่งหลายอย่างมากมายที่เธอจะต้องเล่าให้พวกเขาฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น โทนี่บอกว่าช่วงที่เธอกำลังพักฟื้นอยู่ที่ทาวเวอร์เขากลับไปยังที่ปราสาทอีกครั้งและได้เก็บกู้ข้อมูลอะไรบางอย่างเอาไว้ คาดว่านั่นน่าจะเป็นคำตอบที่พวกเขาและเธอเฝ้ารอ เกี่ยวกับที่มาที่ไปและพ่อแม่ที่แท้จริงคือใคร อาจจะรวมถึงข้อมูลวิจัยและการทดลองต่างๆ
------------------------------------------------------------------------------------
ไรท์มาอัพแล้วค่ะ เย้!
หวังว่าจะชอบกันนะคะ > <
ความคิดเห็น