ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ fic Buddyfight Ace ] เสี้ยวความทรงจำที่หายไป

    ลำดับตอนที่ #5 : 始まりの始まり : เสี้ยวความทรงจำส่วนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ค. 62


    เสียงออดเลิกเรียนดังขึ้นพร้อมกับเหล่าเด็กนักเรียนมากมายต่างเดินเพ่นพ่านออกมาจากรั้วโรงเรียน



    รันมะหยิบหูฟังบูทูธออกมาจากกระเป๋านักเรียน ก่อนสวมใส่พร้อมเปิดเพลงจังหวะสบาย ๆ ฟังระหว่างทาง




    ในตอนที่กำลังฟังเพลงได้จังหวะนั่นเอง...





                          " เจอกันพรุ่งนี้นายปัญญาอ่อน ฝากทักทายยูกะอีกรอบด้วยล่ะกัน ฮ่า ๆ ! " เด็กสาวผมม่วงวิ่งเข้ามาแล้วกระโดดตบหลังจนเขาเเทบหน้าทิ่มเอาซะดังป้าบพร้อมวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว




                            " ยัยล่อนเฮงซวย ! " รันมะเเหกปากด่าแทบไม่ทัน รู้ตัวอีกทีลอนก็วิ่งไปไกลซะเเล้ว...





    ไวชะมัดยัยลอนตัวแสบนี่...




    หน็อยยย ! เดี๋ยวคิดบัญชีคืนล่ะยาวแน่ยัยลอน !













    ในช่วงที่รันมะกำลังหาเพลงฟังระหว่างทางเผอิญที่สายตาของเขาดันเหลือบเห็นร่างคุ้น ๆ อยู่ตรงหน้าเข้าพอดิบพอดี ก่อนจะว่าด้วยเสียงร่าเริงเรียกอีกฝ่าย



                             " เฮ้ ! ไงมาซาโตะ~มาทำอะไรล่ะนั่น ? " เขาสงสัยทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายป่วยอยู่เเท้ ๆ นะ แต่พอรันมะเห็นหน้าอีกฝ่ายเขาก็เเทบจะกลืนคำพูดที่จะพูดกลับอีกฝ่ายลงคอไปเหมือนเดิมทันที 



    คนผมเขียววิ่งมากระชากตัวเขาแล้วเขย่าทันทีด้วยท่าทางรีบร้อน 



                             " ยูกะ...ยูกะหายไปไหนไม่รู้ ! " 



    ประโยคที่ทำให้รันมะเบิกตาโพร่งขึ้นอย่างตกใจก่อนถอดหูฟังลงวางไว้บนคอเสื้อพร้อมออกตัววิ่งมาจากมาซาโตะอย่างไม่ฟังเสียงเรียกของอีกฝ่าย













    รันมะวิ่งไปพลางเรียกหาอีกฝ่ายไปเเข่งกับเสียงของมาซาโตะที่พยายามใช้เสียงเช่นกัน แต่ก็ไอออกมาทุกทีจนรันมะรีบห้ามก่อนอาการอีกฝ่ายจะเเย่หนักแล้วบอกให้กลับไปนอนพัก



    มาซาโตะรั้นพยายามไม่ฟังรันมะเพราะเป็นห่วงยูกะด้วย แต่ถึงกระนั้นพอมองสีหน้าของรันมะที่บังคับเขาให้กลับไปนอน ทำให้มาซะโตะยอมแพ้ทันที ก่อนเดินคอตกกลับหอไปเช่นเดิม






    รันมะวิ่งต่ออีกหนพร้อมเรียกหายูกะอย่างไม่ขาดสาย คนผมส้มหันซ้ายขวามองรอบ ๆ ถึงแม้คนที่ผ่านทางจะมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม




    ในตอนที่เขากำลังตะเบงเสียงเรียกอีกครั้ง รันมะหยุดชะงักก่อนหันไปมองทางซ้ายมือ และมันก็ทำให้เขาเจอเป้าหมายของเขาที่ออกตามหามานาน



    เขารีบวิ่งไปหายูกะที่นั่งเอามือปิดหูตัวเองอยู่ทันที 




                                  " ยูกะ ! ยูกะ ! " คนผมส้มเขย่าตัวยูกะที่หลับตาปี๋ด้วยความกลัว ดวงตาสีน้ำตาลเเหงนขึ้นสบกับดวงตาอีกฝ่ายก่อนเอ่อคลอน้ำตาเล็ก ๆ 




    ยูกะเหมือนจะพูดออกมาว่ากลัว แต่ก็ต้องยกมือปิดหูหนักกว่าเดิม เสียงผู้คนและเสียงรถสัญจรกลายเป็นเสียงที่บิดเบี้ยวจนยูกะต้องปิดหูหนัก 




    รันมะมองท่าทางของยูกะก็รู้สึกไม่ดี ก่อนเหลือบเห็นสิ่งที่อยู่ตรงคอของตัวเอง




            ฟุ่บ....



                                     " ! ! ! " คนผมฟ้าแดงสะดุ้งเมื่อมีบางสิ่งผ่านศีรษะพร้อมกับฝ่ามือของคนผมส้มที่จับมือเขาออกแล้วสวมบางสิ่ง ๆ นั้นไว้แทนที่ก่อนจะมีเสียงเพลงคอลเบา ๆ ออกมา



    รันมะหยิบมือถือขึ้นมาเร่งเสียงเพลงเพิ่มขึ้นให้อีกจนยูกะไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง ตอนนี้เขาได้ยินเเต่เสียงของเครื่องดนตรีท่วงทำนองที่ทำให้ยูกะตาลุกวาว




              หมับ...



    ฝ่ามือของยูกะถูกรันมะจับขึ้นพร้อมกับดึงให้เขาลุกแล้วเดินตามไปอย่างช้า ๆ ยูกะได้แต่เพียงมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนที่รันมะจะหันมาพูดกับเขาด้วยท่าทางร่าเริง




                                 " นายคงหิวแล้วใช่ไหมล้า~ยูกะ~" 
                                 



    ยูกะไม่รู้ว่ารันมะพูดอะไรกับเขา แต่อีกฝ่ายก็ลากเขาไปยังที่ ๆ หนึ่งซะเเล้ว










    ในย่านศูนย์การค้าที่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ทั้งคู่หยุดลง ก่อนที่รันมะจะเเหงนหน้ามองป้ายร้านแห่งหนึ่งพร้อมกับเปิดประตูเข้าไป





            กริ๊ง~! 



    เสียงกระดิ่งที่เเขวนอยู่บนประตูเรียกให้เจ้าของร้านที่กำลังนั่งอ่านนิตยสารเงยหน้าขึ้นมากล่าวต้อนรับเขาอย่างสดใส



                                  " ยินดีต้อนรับค่ะ " เสียงสดใสของเด็กสาวผมม่วงกล่าวขึ้น ก่อนเดินไปวางเมนูให้ลูกค้าทั้งสองคนที่เข้ามาเป็นแขกรายแรกในวันนี้ 



                                   " ฉันไม่เคยเห็นร้านนี้มาก่อนเลย...เพิ่งมาเหรอ ? " รันมะถามอย่างเป็นกันเองคงเป็นเพราะอีกฝ่ายอายุดูใกล้ ๆ กับเขา




                                    " ใช่ค่ะ เพิ่งมาเปิดเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนน่ะค่ะ " เธอกล่าวแล้วส่งยิ้ม พร้อมเตรียมจดรายการอาหารเต็มแก่ เธอมองรันมะที่เปิดหน้าเมนูแล้วเหลือบไปมองยูกะที่จับหูฟังหลับตาฟังเพลงอย่างผ่อนคลาย




                                     " เอ...เอ่อ...จะเอาอะไรดีนะ..." คนผมส้มเกาหัวแกรก ๆ เพราะเลือกเมนูไม่ถูก
                                     


                                      " อยากลองทานเมนูเเนะนำของร้านเราไหมคะ ? " คนผมม่วงกล่าวพลางขยิบตาให้เล็กน้อย



                                      " เเนะนำ...เอ่อ...ก็ได้อยู่หรอก งั้นขอที่นึงนะ " 












    ไม่ถึง 20 นาที เมนูเเนะนำที่ว่าก็มาเสิร์ฟถึงที่ กลิ่นหอมฉุนของเครื่องเทศที่โรยบนหน้าพิซซ่าร้อน ๆ ชวนให้น้ำลายไหล โชยขึ้นมาเเตะจมูกตามไอร้อนที่ระเหยขึ้นมาเบา ๆ 



                                      " พิซซ่าค่ะ เป็นสูตรพิเศษของ คาเฟ่มิโคโนะ เลยนะคะ ลองทานได้เลยค่ะ รับรองติดใจจนลืมไม่ลงเลยล่ะค่ะ " เด็กสาวยิ้มกว้างก่อนเดินกลับไปนั่งทำธุระต่อที่เคาน์เตอร์ พร้อมหยิบรีโมทเปิดทีวีให้ลูกค้าดูส่วนเธอก็จัดการธุระของเธอต่อ





    รันมะเปิดตากว้างเมื่อกัดพิซซ่าเข้าไปคำใหญ่ 



                                       " อร่อย ! ยูกะลองกินดูสิ ! มันอร่อยมากเลยล่ะ ! " รันมะยื่นพิซซ่าจ่อปากยูกะ



    คนผมฟ้าแดงถอนหูฟังออกก่อนมองพิซซ่าเล็กน้อยแล้วกัดคำโต ๆ พร้อมเขี้ยวแก้มตุ่ย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงในทีวีดังขึ้นพอดี




                 " [ วันนี้จะมีการแสดงไวโอลินอันเป็นที่กล่าวขานกันอย่างแพร่หลายของเด็กหนุ่มนักดนตรี ไฟแรงเเซงทางโค้งกันในช่วงนี้ด้วยล่ะค่าาา~] " เสียงพิธีกรสาวในรายการบันเทิงว่าขึ้นพร้อมทำท่าดีใจ เรียกความสนใจของทั้งสามให้หันมอง



                   " [ อัจฉริยะทางด้านดนตรี ริวเอ็นจิ ซาคุ คุงนั่นเองค่า~ เสียงไวโอลินของเขาทำให้คนทั้งโลกตกตะลึงจนน้ำตาแตกกันมาแล้วเชียวนะคะ ! ] " 



                    " [ พูดเกินจริงจนดูโอเว่อร์ไปรึเปล่าค่ะเนี่ย~ ] " พิธีกรสาวผมสั้นกล่าวด้วยเสียงขบขัน





                                     " รู้สึกว่าเพลงที่ทำให้เขาดังนี่คงจะเป็น...Take Flight สินะ " คนผมม่วงที่นั่งอยู่ห่างออกไปว่าขึ้น



                                     " เอ๊ะ ! เธอเคยฟังด้วยเหรอ ! " รันมะหันควับไปมองอีกคนทันทีซึ่งแน่นอนว่าเธอก็ยิ้มให้แล้วตอบว่าใช่



                                     " อ่ะ...คุยเพลิน...ฉันคาโคกาวะ รันมะ ส่วนหมอนี่ มิคาโดะ ยูกะ โทษทีนะลืมเเนะนำตัว " พอเจอคอเดียวกันต้องเเนะนำตัวกันเสียหน่อย



                                     " ฉัน มิโคโนะ มิโกะ จ๊ะ "  คนผมม่วงแนะนำตัวแล้วส่งยิ้มให้



    ยูกะสะดุ้งเพราะตอนที่มิโกะเดินมาถามเมนูอาหารกับเสิร์ฟอาหารเขาไม่ได้มองหน้าเธอเลย ยูกะหันไปมองก่อนหันสบตามิโกะเข้าพอดิบพอดี เด็กสาวสตั้นเล็กน้อยแต่ก็ส่งยิ้มให้ยูกะอย่างเป็นกันเอง



                                         
                       ' ยูกะ...ขอโทษนะที่ทำตามที่นายบอกไม่ได้ ' 





    ประโยคที่มิโกะเคยกล่าวไว้กลับเขามันเเล่นเข้ามาในหัวอีกหนพร้อมกับภาพของมิโกะที่ฝืนยิ้มให้เขา




                                     " เกิดอะไรขึ้นกัน..." ยูกะเริ่มสับสนว่าจุดที่เขาอยู่มันคือความจริง หรือความฝัน หรือ สิ่งที่มันเเล่นเข้ามาในหัวของเขานั้นมันจะเป็นความฝัน...



















    ณ ตามซอกตึกที่ห่างไกลจากความเจริญ




                                    " อยะ....อย่า ! ขอร้องได้โปรดเถอะ..." เสียงของหญิงวัยทำงานที่ใบหน้าเกือบกว่าครึ่งกำลังกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวยกสองฝ่ามือขึ้นขออ้อนวอนคนที่อยู่ตรงหน้า




    ฝ่ามือขาวคลายมือออกพร้อมละอองเเสงสีอ่อนที่กลายเป็นคันธนูปรากฏขึ้นมา เด็กหนุ่มยกขึ้นเตรียมเเฝงศรใส่หญิงสาวอย่างไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น




                                   " อึก ! อ๊าาาา ! " เธอหวีดร้องพร้อมดันตัวเองลุกขึ้นวิ่งเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้อย่างทุลักทุเล





    เด็กหนุ่มผมสีอ่อนหลับตาลงครู่หนึ่ง พร้อมกับดาวที่ปรากฏขึ้นกลางหน้าผากเรืองเเสงอ่อน ๆ นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองอย่างเรียบนิ่ง พร้อมปล่อยศรพลังรุนเเรงเข้าทะลวงกลางหลังทะลุไปยังด้านหน้า





              ฉึก ! 




    หญิงสาวกระอักก่อนล้มลงตึ่ง เเต่เธอยังไม่ตาย ใบหน้าที่เริ่มมีเขี้ยวหันมาแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมเมื่อสิ่งที่สิงอยู่ร่างของหญิงสาวสามารถยึดร่างของเธอได้สมบูรณ์



                                   " หายไปซะ..." คนผมอ่อนกล่าวเพียงเเค่นั้นก่อนยื่นฝ่ามือเข้าไปคว้าผลึกแก้วที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าผากก่อนบี้มันแตกคามือกลายเป็นฝุ่นสลายหายไปในอากาศ




    หญิงสาวร่างอสูรเบิกตาโพร่งก่อนกรีดร้องพร้อมนอนลงไปอย่างไร้วิญญาณ






                                    " คนที่เท่าไหร่กันแล้วนะ...." คนผมอ่อนชุดคลุมยาวกล่าวขึ้นพร้อมหลับตาลงเเหงนหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างอ่อนล้า
                                    















            ณ  ตึกสูงระฟ้าแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียว






                                     " เอาล่ะ...ทุกท่าน มากันครบแล้วสินะ..." ชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นท่ามกลางโต๊ะประชุมตัวยาวที่ทอดไปจนถึงอีกฝั่งจนเกือบสุด เหล่าผู้คนมากหน้าหลายตามีสีหน้าที่เคร่งเครียดพอ ๆ กับชายหนุ่มเลยก็ว่าได้



                                     " ตอนนี้...เราต้องกระจายกำลังของเทพศาสตราให้ทั่วทั้งกรุงโตเกียว---" 



                                     " ผมว่าผมบอกไปหลายหนแล้วนะ อนาคตมันแน่นอนมากเลยนะว่า โลกใบนี้จะล่มสลายไม่ใช่เพียงแค่โตเกียว " เด็กหนุ่มผมขาวว่าตัด เขาเป็นคนเดียวที่นั่งอยู่บนโต๊ะตัวยาวที่เรืองแสงสว่างอย่างไม่เกรงใจใคร




    มาโมรุที่ยืนอยู่ไม่ห่างหันควับมองแทบจะทันทีแต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วมองคนผมขาวที่กำลังนั่งชันเข่าจิ้มนิ้วเขี่ย ๆ โต๊ะเล่น


                                      " ขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงครับ...กระผมไม่ทราบถึงขอบเขตของมันแน่ชัดนัก จึงได้พูดแบบนั้น " ชายหนุ่มรีบก้มหัวขอโทษเด็กหนุ่มทันที


                                      " ช่างมันเถอะ ผมก็เเค่ประท้วงเอาไว้ก่อน เพราะงั้นช่วยกระจายกำลังเทพศาสตราที่อยู่ทั่วโลกให้เฝ้าระวังก็ดีนะครับ " 



                                      " ครับ รับทราบครับ ท่านเทพพยากรณ์ " 



    คำว่า เทพพยากรณ์ คือ ตำเเหน่งที่สูงที่สุดในบรรดาเทพศาสตรา เทพพยากรณ์ก็เปรียบเสมือนเทพเจ้าของเหล่าเทพศาสตราทั้งปวง...




    หากไม่มีเทพพยากรณ์ ก็จะไม่มีใครทำนายหรือเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเทพศาสตราทุกคน





    ไลท์หยักคิ้วหยักไหล่โดยไม่สนใจอะไรมากนัก จนมาโมรุก็ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ 




                                      " แต่ว่านะคะ ท่านเทพพยากรณ์ ดิฉันอยากจะทราบเรื่องที่ว่า...ทำไมท่านถึงอยากให้เฝ้าระวังทั้งโลกเลยล่ะค่ะ ? " 




    คำถามของหญิงสาวคนหนึ่งทำให้คนผมขาวหยุดเขี่ยโต๊ะที่ตนนั่งอยู่ เด่นเป็นสง่าคนเดียวทันที 




    ไลท์เอียงศีรษะเกยเข่าแล้วเบิกตามองหญิงสาว เธอสะดุ้งเบา ๆ แล้วก้มหน้าเพราะไม่กล้าสบตาเทพพยากรณ์นัก



    ว่ากันว่า ดวงตาของเทพพยากรณ์ มันไร้ซึ่งชีวิตจนดูน่ากลัว...





                                      " อสูรยังไงล่ะ " 





    เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปากก่อนหลุบตาลงอีกครั้งหนึ่ง จนทุกคนในที่นั้นเหงื่อแตกพรากเพราะความกดดันของไลท์ที่ส่งผ่านออกมาจากคำพูดนั่น





                 รู้สึกคิดผิดที่ถามแบบนั้นออกไป













    หลังจากการประชุมได้สินสุดลง เด็กหนุ่มผมขาวที่มาถึงห้องส่วนตัวของตัวเองโดยมีคนผมส้มเดินตามมาด้วย ก็โยนตัวเองลงเตียงอย่างอ่อนล้า พลางส่งเสียงอู้อี้ไม่ได้ศัพท์  เพราะไปมุดหน้าอยู่กับหมอนนุ่ม ๆ อยู่




                                       " สวมบทให้ดูขลังเนี่ยยุ่งยากจังนะ..." 



                                       " งั้นก็ไม่ต้องสวมซะสิ " มาโมรุตอบทันควัน



                                       " งืม~ทำแบบนั้นก็ไม่มีใครเชื่อถือพอดีสิคร้าบบ..." ไลท์กล่าวแล้วกลิ้งบนเตียงสะอาดของตนต่อไป



    มาโมรุเค้นเสียงออกมาเล็กน้อย ก่อนมองอีกฝ่าย




                                       " ถ้าขึ้นชื่อว่าเทพพยากรณ์น่ะ...ทุกคนเขาเชื่ออยู่แล้ว "
                                       
                                       

     
                                       " เห~จะว่าไปก็ใช่นี่นา เอ๊อะ ! จะว่าไป รุ่นพี่..." ไลท์หันมามองมาโมรุเล็กน้อย คนผมส้มทำหน้าสงสัยทันที แต่พอได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็พลอยคิ้วกระตุกหยิก ๆ อย่างน่าโมโห



                                       " ผมหิวแล้วไปหาซื้ออะไรให้ผมทานหน่อยสิ~ท่านองค์รักษ์~" 




    ไลท์หยักคิ้วหัวเราะหึ ๆ จนมาโมรุได้แต่กำหมัดกัดฟันขบไปมาอย่างอดกลั้น ก่อนเดินย่ำเท้าตึง ๆ อย่างหนักแน่นออกไปอย่างว่าง่าย





                 ' ทำไมฉันต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย ! ! ' 




















    เมื่อพวกยูกะและรันมะทานอาหารเสร็จจึงเดินออกมานอกร้านโดยบอกกล่าวมิโกะว่าจะไปแล้ว ทางฝ่ายนั้นก็โบกมือบายส่งด้วยรอยยิ้ม พร้อมก้มลงอ่านหนังสือต่อ




                                    " ทำไม...ทำไม มิโกะถึงได้จำฉันไม่ได้กัน ทั้ง ๆ ที่เราก็เพิ่งเจอ--"




                                    " บ่นอะไรเหรอยูกะ ? ? " รันมะถามก่อนมองยูกะ ซึ่งแน่นอนว่าคนผมฟ้าแดงก้มหน้าถอยออกมาแทบจะทันที แล้วบอกว่าไม่มีอะไรจนรันมะบุ่ยหน้า



                                    " เปล่า...เปล่า ไม่มีอะไร " ดวงตาสีน้ำตาลหลุบลงเหมือนพยายามหลบอีกฝ่าย 





    ยิ่งยูกะทำแบบนั้น รันมะก็เริ่มรู้สึกตะหงิด ๆ ใจขึ้นมาชอบกล แต่ก็ไม่ได้ถามความอะไรมากนัก






                                    " จริงด้วยสิยูกะ ! ! จะว่าไปนายก็คงกลับไม่ถูกด้วยสินะ...ก็...นายอยู่หอคนเดียวนี่นา..." ประโยคหลังอีกฝ่ายพูดเสียงเเผ่วพร้อมก้มมองต่ำจนยูกะสงสัย 




    คนผมฟ้าแดงเพิ่งสังเกตุว่าบนปกเสื้อฮู้ดตนนั้น ยังคงมีของที่ไม่ใช่ของเขาอยู่ และกำลังจะถอดคืนให้ แต่ทว่า รันมะกลับยกมือห้ามเขาก่อนแล้วว่าขึ้น


                                   " นายเก็บไว้เถอะ ถือซะว่าฉันให้ล่ะกันนะเจ้าหูฟังอันนั้นน่ะ " พร้อมส่งรอยยิ้มจาง ๆ ให้



                                   " แต่ว่า...นี่มันของนายนะ---" 



                                   " อือ ๆ ไม่เป็นไร เอาไว้ใช้มันตอนที่นายไม่อยากได้ยินเสียงพวกนั้นก็ได้ ไม่ต้องคืนหรอก " 



                                   " ... " ยูกะเลือกที่จะไม่ตอบได้แต่มองรันมะด้วยแววตาที่ไม่รู้ว่า ยูกะนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ ตามประสาคนความจำเสื่อม
















           คลืนนนน....กึก...




    สิ้นสุดเสียงบานประตูบ้านเปิดออก เด็กหนุ่มผมส้มถอดรองเท้าตนออกก่อนเดินเข้าไปเปิดไฟในบ้านแล้วชะโงกคอออกมากวักมือเรียกยูกะให้เข้ามาในบ้าน






                                    " นั่งตามสบายเลยนะ...แม่ครับแม่ ! ยูกะมานอนด้วยคืนนึงนะแม่ ! " รันมะร้องตะโกนแบบไม่เกรงใจเพื่อนบ้านพลางเดินเข้าไปในครัว



                                    " อ่า...ไปทำงานแล้วเหรอเนี่ย.. " เขากล่าวด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนเหลือบเห็นโน้ตที่แปะไว้ตรงตู้เย็น เด็กหนุ่มจึงดึงมันออกมาแล้วอ่านมันครู่หนึ่ง ก่อนจะเเสดงสีหน้าออกมาอย่างไม่ปิดบังเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่



                                    " กลับวันมะรืน...อีกแล้วเหรอ...พ่อก็ด้วย...โอ้ว~พระเจ้าจ๊อดมันช่างยอดเยี่ยมซะจริง..." กรอกตามองบนพลางขย้ำกระดาษแล้วปาลงถังอย่างเเม่นยำ ก่อนกลับหลังหันก็ต้องตกใจเมื่อเห็นยูกะมายืนจ้องหน้าในระยะประชิดจนรันมะหน้าเหวอรับประทาน ถอยกรูทันทีด้วยความตกใจ



                                    " นายพูดอะไรของนายเหรอ ? ? " ทำหน้าสงสัย ผสมความซื่อลงไปนิด ๆ 



                                    " เอ่อ...เฮอะ ๆ พ่อกับแม่ฉันกลับวันมะรืนน่ะ " รันมะเกาหัวแล้วเสมองบนก่อนหันไปหยิบแก้วหน้ามารินน้ำกินแก้กระหาย



                                    " แล้ววันมะรืนมันคืออะไรเหรอ ? " 
                                    


                                    " ปุ๊ดดด---" คนผมส้มปลดปล่อยสายรุ้งออกมาจากปากทันที  ( ความจริงก็บรรยายไปสิหล่อนว่ามันก็คือพ่นน้ำเฟ้ย ! ) ก่อนไอแค่ก ๆ วางแก้วแทบไม่ทัน



                                    " ? ? ? " ยูกะทำหน้างงทันที










              ตึ่ง ๆ ! 




                                    " ยูกะพรุ่งนี้นายจะต้องไปโรงเรียนกับฉันนะ ! " คนผมส้มตีมือลงบนโต๊ะเเก้วตรงหน้าโซฟากลางห้องรับเเขกด้วยสีหน้าจริงจังมาก ๆ


                                    " ที่ ๆ รันมะบอกฉันเมื่อตอนนั้นใช่ไหม ! ? " ยูกะดูตื่นเต้นมาก ๆ สังเกตุได้จากแววตาที่ลุกวิ้งวับไปมา



                                    " ใช่แล้ว~แล้วเราก็จะไปขนของที่หอพักนายด้วยเลย ย้ายมาอยู่กับฉันชั่วคราวก่อน ตกลงไหม ? " 



                                    " อือ ๆ ! ตกลง ! " นี่ก็ตอบแบบไม่คิดหน้าคิดหลังเลยจริง ๆ คนความจำเสื่อมนี่บ้าจี้ตามดีจังเเฮะ...





    ใครจะปล่อยให้ยูกะอยู่คนเดียวได้ล่ะ ดูดิ ! จากเด็กจอมเกรียน จอมวางแผน กลายเป็นเด็กน้อยซื่อบื้อเชื่อฟังง่ายไปแล้ว ! ( จะบอกว่าหมอนี่ไม่ใช่เพื่อนผมก็ทำร้ายไปสินะ งั้นหุบปากไม่พูดก็ได้ ) 




    จะฝากมาซาโตะดูให้ก็คงไม่ไหว รบกวนอีกฝ่ายอีก แถมฝ่ายนั้นก็ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่มาเกือบสามสี่วันเเล้วด้วย ( อนาจจริง ๆ ) 
















    เสียงสีไวโอลินดังขึ้นประปลายก่อนจะหยุดลง พร้อมกับตัวของเด็กหนุ่มที่เริ่มขบฟันเพราะมันเล่นออกมาไม่ได้ดั่งใจนึกเสียที




                                     " ทำไมกัน...ทำไมกัน..." ซาคุกล่าวก่อนนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมทึงเส้นผมของตนจนฟู ก่อนเปิดม่านมองไปยังชั้นล่างที่มีเเม่บ้านและเซฟีนอยู่ชั้นล่าง กำลังสนุกสนานในสวนหน้าบ้าน



                                     " ว่าแต่คุณหนูเซฟีนนี่มีอารมณ์ขันจังนะคะ~" แม่บ้านที่เข็นรถเธอว่าขึ้นด้วยรอยยิ้ม



                                     " ไม่หรอกค่ะคุณป้า " พร้อมกับหัวเราะชอบใจ



                                     " จะว่าไปนะคะคุณหนู พรุ่งนี้พี่ชายของท่านจะไปแสดงนี่คะ ? คุณหนูจะไปรึเปล่า ? " ป้าแม่บ้านว่า แล้วมองเด็กสาวผมสีน้ำเเข็งเอียงศีรษะกำผ้าที่คลุมตักเธอไว้เบา ๆ แล้วตอบอย่างไม่ลังเลด้วยรอยยิ้ม



                                     " ไปสิคะ งานแสดงของพี่ซาคุน่ะ หนูไม่เคยพลาดหรอกนะคะ " 



                                     " ป้าก็ถามเผื่อไงล่ะจ๊ะ~ถ้าไปป้าจะได้ไปส่งเราแล้วก็ไปดูด้วยอีกคน ถือซะว่าไปนั่งดูกันสองคนจะได้ไม่เหงาเนอะ ดีไหม ? " หญิงวัยกลางคนกล่าว



                                     " งั้นก็ดีเลยน่ะสิคะ คุณป้า ! " เซฟีนปรบมือด้วยท่าทางดีใจที่มีเพื่อนไป ก่อนโดนแม่บ้านคนนั้นลูบผมด้วยความเอ็นดูท่ามกลางรอยยิ้มของเด็กสาวที่โดนพี่ชายของตนจับจ้องอยู่




    ซาคุยิ้มอ่อน พร้อมปิดม่านลง ก่อนถอนหายใจฮึกฮัก แล้วหยิบไวโอลินขึ้น พลางหลับตาลงแล้วนึกถึงบทเพลงที่เขาเเต่งขึ้นมา



                                      " นี่ก็เพื่อเซฟีน " เด็กหนุ่มพึมพำเบา ๆ ด้วยความตั้งใจ ก่อนบรรจงวางคันชักไว้บนตัวไวโอลินพร้อมเตรียมบรรเลงเพลงซ้อม




                เปราะ....




    มือที่จับไวโอลินไว้เกร็งเเข็งจนปล่อยมันหลุดมือ เด็กหนุ่มเริ่มตาพร่ามัวก่อนทรุดลงกุมที่อกซ้ายพลางหายใจลวยริน ดวงตาเบิกกว้าง เหงื่อแตกพรากอย่างน่าประหลาด 


                                      " อะ...อะไร..." ซาคุมองฝ่ามือที่กำลังสั่นไม่หาย ก่อนเริ่มหยุดสั่น ทุก ๆ อย่างกลับมาเป็นปกติเหมือนเมื่อครู่ ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเขาเลยด้วยซ้ำ




    ซาคุแปลกใจ ว่าตอนนี้เขาเป็นอะไรกันนักกันหนา ยิ่งจะถึงวันสำคัญเขาไม่อยากให้พลาด ไม่อยากให้เซฟีนต้องผิดหวังด้วย




                                       " คุณหนูซาคุคะ ! มื้ออาหารเตรียมพร้อมแล้วนะคะ " เสียงแม่บ้านเรียกหา 



                                       " ครับ ! จะลงไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ " เด็กหนุ่มพยายามกลบเสียงสั่นของตนแล้วตอบไปตามปกติ ก่อนยืนขึ้นแล้วเปิดประตูลงไปทันที 



                                       " อาจจะเป็นเพราะเราเหนื่อยเกินไปก็ได้..." 





    งั้นเย็นนี้กินข้าวเย็นเสร็จแล้วกินยานอนพักผ่อนให้พร้อมดีกว่า...
















            วันต่อมาไวปานโกหก....






                                     " ห๊ะ...นี่....นี่ที่จะบอกครูเมื่อวานคือเรื่องนี้ใช่ไหม ? ! " หญิงสาวผมน้ำตาลสั่นถึงคอทำหน้าเหวอเมื่อเห็นแววตาซื่อ ๆ ผิดปกติของคนผมฟ้าแดงที่ยืนอยู่ข้างรันมะ 


                                     " ก็...นะครับ...แฮะ ๆ..." 


                                     " ตาย ๆ ! งั้นครูจะโทรไปแจ้งผู้ปกครองของมิคาโดะคุงก่อนนะ--" ในขณะที่เธอกำลังเช็คสมุดรายชื่อหาเบอร์ผู้ปกครอง รันมะก็ได้พูดขึ้นมาแทบจะทันที



                                     " พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตไปหลายปีก่อนแล้วล่ะครับ " คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้หญิงสาวที่กำลังเตรียมกดเบอร์ได้แต่มองขึ้นมา แล้วทำปากเชิงว่า ' เอาจริงเหรอ ? ' ก่อนปรายสายตามองคนผมฟ้าแดงด้วยความเศร้า



                                     " แล้ว...มิคาโดะคุง...เขารู้รึเปล่า " เธอถามกลับเด็กหนุ่มผมส้ม


                                     " รู้ครับ " 



                                     " ตอนนี้เขาอยู่กับใคร " 



                                     " คนเดียวครับ แต่ไม่ต้องห่วงครับ ญาติยูกะอย่างคุณลุง คุณยายยังส่งยูกะเรียนต่ออยู่ครับ แต่เเค่ว่า ทางฝ่ายนั้นอยู่ต่างประเทศครับ " 




    รันมะตอบคำถามได้อย่างคล่องเเคล่ว แถมยังไม่ติดขัดอีกด้วย 



                                     " อ้อ..." เธอพยักหน้าเบา ๆ แล้วมองที่ยูกะอีกหนแล้วว่าต่อ



                                     " ก็...วันนี้ถ้ายังไงก็ช่วยดูเพื่อนหน่อยนะ เข้าใจไหม คาโคกาวะคุง " เธอจ้องรันมะทันที ซึ่งแน่นอนว่ารันมะก็ตอบตกลงอย่างว่าง่าย ก่อนจะหันไปพูดคุยกับยูกะ




                                     " เอาล่ะ ! ยูกะเรา...ไป..." รันมะที่ว่าพล่อย ๆ หันหลังมาก็เจอแต่ความว่างเปล่าไร้วี่แววของยูกะ 





    รันมะถึงกับเอ๋อไปชั่วขณะก่อนถอนหายใจออกวิ่งตามหายูกะโดยมีเสียงครูสาวบอกว่าไม่ให้เขาวิ่งบนอาคารเรียนตามมาติด ๆ 





              ' เดินหายไปไหนของนายกันเนี่ยยย ! ! ' 















          ตึก ๆ...ตึก...





    ใบหน้าของเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีฟ้าแดงเเง้มเปิดประตูห้องสมุดพร้อมชะโงกหน้าไปมองด้านใน ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองชุดผ้าคลุมคุ้นตาที่ทำให้เขาต้องตามเจ้าของชุดเข้ามาในนี้




    ใช่....นั่นคือคนที่ยูกะชนด้วยเมื่อวานนั่นเอง 





    คนผมฟ้าแดงเดินก้มหน้าเล็กน้อย พลางกระชับสายกระเป๋านักเรียนของตนให้มั่น แล้วเดินตามอีกฝ่ายไปแบบไม่ปิดบัง 





              ' จะเดินตามมาทำไมกัน ? ' 





    เจ้าของเรือนผมสีอ่อน ผู้สวมชุดคลุมยาวกล่าวในใจ หางตาเหลือบมองยูกะเป็นพัก ๆ  แล้วก็ทำเป็นไม่สนใจยูกะไปทั้งอย่างงั้น พลางเดินมาที่ชั้นหนังสือก่อนเอื้อมหยิบมันลงมาเล่มหนึ่ง




                                      " จะตามไปถึงเมื่อไหร่..." นัยน์ตาสีฟ้าคู่คมจ้องมองตัวหนังสือตรงหน้า พร้อมกรอกอ่านไปอย่างรวดเร็ว 



    ตัดภาพมาทางยูกะที่สะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ไม่พูดอะไรได้แต่มองหน้าสุบารุด้วยความซื่อ ในจังหวะที่เท้าของยูกะกำลังจะก้าวไปหานั่นเอง





             ชิ้ง ! กึก---




    เมื่ออีกฝ่ายจ้องมองไปที่ยูกะ ร่างกายของคนผมฟ้าแดงกลับถูกบางอย่างตรึงเอาไว้อย่างแน่นหนา เหมือนมีบางอย่างขวางกั้นไม่ให้เข้าไปใกล้เจ้าของดวงตาสีฟ้าได้เลย



    สุบารุหรี่ตามองสิ่งที่ขวางกั้นยูกะเอาไว้ 




    กำแพงล่องหนที่เขาสร้างมันขึ้นมาจากพลังของตัวเอง มีแต่เขาเพียงคนเดียวที่สามารถมองเห็น และทำลายมันได้---


                                " อ่ะ ! " จู่ ๆ ยูกะกลับยื่นแขนเข้ามาผ่านกำเเพงที่เขาสร้างเอาไว้ได้อย่างไม่สะทกสะท้าน แถมยังเดินทะลุมันมาอย่างกับว่า เหตุการณ์เมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น



                                  " ... "  สุบารุถึงกับสตั้นจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองยูกะในท่าค้างถือหนังสือที่อ่านอยู่มองยูกะด้วยสีหน้าที่บอกชัดเจนว่า ' อึ้ง ' 


                                  " เน่ ๆ ! เราเคยเจอกัน...ก่อนหน้านั้นอีกรึเปล่า ? " ดวงตาสีน้ำตาลมองด้วยความใสซื่อ เอียงศีรษะเล็กน้อยอย่างต้องการคำตอบ แล้วมองหน้าสุบารุ



                                  " ผมไม่เคยรู้จักคุณ..." สุบารุแสดงสีหน้าออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่รู้จักยูกะจริง ๆ ก่อนจะรีบหันหลังไปเก็บหนังสือแล้วหาเล่มใหม่แทน พลันระหว่างนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้



                                  " มิคาโดะ  ยูกะ สินะ...ผมเคยเห็นรูปบัตรนักเรียนนายอยู่...." เขาไล่เปิดหน้าหนังสือแต่ตากลับจ้องมาที่ยูกะ



                                  " นายเปลี่ยนไปจากที่ผมเคยเห็นเมื่อหลายวันก่อน..." เด็กหนุ่มกล่าว ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างขึ้นก็ดันมีคนมาขัดซะก่อน




                                  " แฮก...แฮ่ก...ตาม...ตามหาตั้งนานแหน่ะ เอ๊ะ...? " คนผมส้มปรากฏกายขึ้นมาด้วยท่าทางหอบ ก่อนมองไปที่ทั้งสองด้วยความงุนงง  ในตอนที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างกลับกลายเป็นว่าสุบารุนั้นเดินถือหนังสือผ่านพวกเขาไปอย่างกับว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่อากาศธาตุว่างเปล่าไม่มีตัวตน



                                  " เย็นชาชะมัด" รันมะหันมองแล้วบ่นตามอีกที ส่วนยูกะก็ได้แต่มองตามอย่างไม่ล่ะสายตาเหมือนกำลังซึมซับเสี้ยวความทรงจำทีละนิด ว่าทำไมเขาถึงจำอีกฝ่ายได้ แต่ทำไมอีกฝ่ายจำเขาไม่ได้












    สุบารุที่หอบหนังสืออกมาจ้องมองทุกทิศทางภายใต้เเสงสว่างที่ส่องเข้ามาภายในอาคารเเห่งนี้ 




    ในหัวก็ขบคิดถึงเรื่องแปลก ๆ ที่เขาเจอมาในวันนี้จนอดตะลึงไม่ได้ 





                                       " มีคนสามารถทำลายม่านมิติของฉันได้..." เขาบ่นเล็กน้อยพลางหลับตาถอนหายใจอย่างอ่อนล้าเกินทน เสมองไปทางด้านหลังที่มีคนตามมา เหมือนกับว่าเขาพูดกับคน ๆ นั้นเสียมากกว่า


                                       " โห~ท่าทางอาจเป็นเทพศาตราที่น่าเกรงขาม--" 



                                       " มนุษย์ปกติที่ไม่มีอะไรเลยต่างหาก..." สุบารุเอ่ยขัดแล้วเสมองอีกฝ่ายที่ดูจะอึ้งในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนเเสยะยิ้มขึ้นมาแล้วตอบสุบารุ



                                       " หึ ๆ...ยังไงก็น่าสนใจอยู่ดี...ม่านมิติของนายแข็งแกร่งขนาดที่ว่า เทพพยากรณ์ยังทำอะไรนายไม่ได้ แต่กลับกลายเป็นว่า เจ้ามนุษย์ธรรมดาคนนั้นทำลายได้...หึ ๆ จะไม่ให้สนใจได้ยังไงกันล่ะ " 




                                       " หยุดความคิดชั่วร้ายของนายลงซะทีเถอะ...คิโด เซย์จิ " ดวงตาสีฟ้าหันมองอย่างไม่สบอารมณ์ แน่นอนว่าเจ้าของชื่อทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินมาใกล้สุบารุพร้อมยิ้มชั่วร้าย



                                       " พรุ่งนี้ ที่นี่..." คิโดวางมือบนบ่าอีกฝ่ายแล้วกระซิบเสียงเเผ่วพร้อมรอยยิ้มกว้าง ก่อนยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้สุบารุรับไป แล้วเดินออกไปทันที



                                       " แล้วจะรอดูผลงานนะครับ คุณเทพดวงดาว~" คิโดแลบลิ้นแบร่ ๆ ตบท้ายแล้วเดินจากมาปล่อยสุบารุทิ้งไว้คนเดียวท่ามกลางพื้นที่โล่งกว้าง ณ ด้านบนห้องสมุดของโรงเรียน














             วันต่อมา




    เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันหยุด จึงทำให้รันมะพายูกะมาที่เดิมพร้อมพ่วงมาซาโตะที่หายป่วยเป็นปริทิ้งมาโลดโผน--มาหาของกินเพิ่มกำลัง




               กริ้ง~




                                        " ยินดีต้อนรับจ๊ะ รันมะคุง ยูกะคุง แล้วก็..." มิโกะที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ขมวดคิ้วมองคนไม่รู้จัก 


                                        " หมอนี่ ริคุโอะ มาซาโตะ เพื่อนฉันเองแหละ ส่วนนี่ก็ มิโคโนะ มิโกะ " รันมะผายมือไปทางมาซาโตะเเล้วเดินมาแนะนำมิโกะที่ยิ้มรับแล้วโบกมือทักทายอย่างเป็นกันเอง



                                        " อ่อ...เอ่อ...ยินดี " คนผมเขียวแอบเขินพร้อมยกมือลูบท้ายทอยก้มหัวผงกรับเล็กน้อย 



                                        " มิโกะ อยากดูทีวีจัง ได้ไหม " ยูกะที่วันนี้มาเเปลกอยากขอดูทีวี แน่นอนว่ามิโกะไม่ขัดเพราะเธอเองก็อยากจะเปิดดูพอดีเช่นกัน


                                        " ช่องอะไรก็ได้ใช่ไหมยูกะ ? " ถามเพื่อความเเน่ใจ



                                        " ได้สิ ได้หมดเลย " ยูกะตอบ เเล้วนั่งจ้องเหมือนเด็ก ๆ มองจอภาพที่เริ่มปรากฏภาพการแสดงชุดหนึ่งพอดี




                                        " เปิดได้ถูกใจฉันมากเลยมิโกะ " รันมะเกยศอกบนเคาน์เตอร์แล้วจ้องดูทีวี



                                        " วันนี้จะมาการถ่ายทอดสดการแสดงของริวเอ็นจิคุงคนดังนี่นา " 



                                        " พวกนายนี่...ดูอะไรกันฟร่ะ..." มาซาโตะทำหน้าเหนื่อยใจมองทีวีอย่างไม่รู้จะพูดคำใดดี



                                        " ไม่มีมิติเอาซะเลยนะนายน่ะ ! " ทั้งมิโกะ ทั้งรันมะว่าพร้อมกันจนมาซาโตะถึงกับยอมแพ้พูดครับ ๆ ลอยออกมาทันที






    ยูกะจดจ้องอย่างไม่วางตาก่อนเริ่มขมวดคิ้วเพราะอาการเจ็บแปล็บในสมองก่อนข่มตาลง แล้วมองภาพที่เบลอจนมองไม่ออกมาสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น 





                    ' เจ็บ...เจ็บจัง...' 















    เสียงปรบมือดังขึ้นทั้งโรงแสดง หนึ่งในนั้นเองก็มีเซฟีนที่นั่งยิ้มแก้มปริกับป้าแม่บ้านนั่งปรบมือไปด้วยกัน






             ฟรึ่บ ! 





    เเสงไฟดับลงพร้อมฉายไปในจุด ๆ เดียวที่บนเวทีมีเด็กหนุ่มผมสีน้ำเเข็งยืนอยู่ใจกลางท่ามกลางวงดนตรีและนักร้องประสานเสียง เด็กหนุ่มในชุดทักซิโด้ก้มหัวให้ทุกคน ก่อนส่งยิ้มให้เซฟีนเบา ๆ แล้วตีหน้านิ่งจับไวโอลินขึ้นมาตั้งท่าพร้อมบรรเลงบทเพลง 





    คันชักในมือสีไวโอลินเพียงนิดเดียว ทุกสายตาต่างจับจ้องมองไปยังเวทีอย่างสงบนิ่ง มองทวงท่าสง่างามของเด็กหนุ่มอายุน้อยมากความสามารถเกินไว บรรเลงบทเพลงที่ทั้งเเผ่วเบา และ หนักหน่วงจนพวกเขารู้สึกได้ถึงอารมณ์ของผู้บรรเลงบทเพลง บทเพลงที่กำลังสื่ออกมา ทำเอาพวกเขารู้สึกอินจนต้องหยุดฟังกันทุกคน






                                          " ...อีกนิดเดียว..." ซาคุพึมพำก่อนหลับตาลงบรรเลงบทเพลงอีกครั้ง 





    อย่างน้อย ๆ เสียงดนตรีในครั้งนี้จะสื่อถึงเซฟีนบ้าง  ในเพลงนี้เขาสื่อถึงความหวังที่ยังคงรอคอยในวันที่น้องสาวของเขาจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะนานสักเพียงใดเขาก็จะรอ ไม่ว่าจะต้องช่วยเธอยังไงเขาก็จะทำ...







    ด้านบนเวทีการแสดงที่เหนือขึ้นไปอีก 




                                            " ดูเหมือนจะได้เวลาเหมาะสมแล้วสินะ..." คนผมอ่อนยืนอยู่ด้านบนก่อนมองไปยังด้านล่างที่ผู้คนมากมายนั่งดูการแสดงของเด็กหนุ่มบนเวทีอย่างไม่มีใครล่ะสายตา




           ฟุ่บ....





    เจ้าของเรือนผมสีอ่อนกระโดดขึ้นเหยียบราวไม้ก่อนร่อนลงไปด้านล่างที่มีผู้คนมากมายนั่งอยู่














              เปรี๊ยะ....





    ซาคุที่กำลังจะเล่นบทเพลงต่อไปหยุดกึกแล้วมองไปยังจุดที่มาของเสียงแต่ก็ไม่พบอะไร เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเม้มปากแล้วทำเป็นไม่สนใจเสียงที่ว่า






               เปรี๊ยะ....วูบ....! ! 






       ตึ่ง ! ! 





    จู่ ๆ กลับมีมือปริศนาพร้อมกับใบหน้ากึ่งมนุษย์กึ่งอสูรผุดมาจากหลุมมิติที่มีเพียงซาคุเพียงคนเดียวที่เห็น




    มันโผล่มาตรงกลางที่นั่งผู้ชมพร้อมดมกลิ่นฟุดฟิด ๆ แล้วเเหวกม่านสีอ่อนใสบาง ๆ ออกมาจนมาโผล่งับหัวผู้ชมไปหนึ่งคน สร้างความตกใจให้ทุกคนจนโวยวายวิ่งหนีกันอย่างสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่มันกลับกวาดมือที่ยืดยาวฟาดมนุษย์ทุกคนจนตายคาที่





    มันยกมือและหดมือที่เปรอะเลือดจนเยิ้มนองเต็มแขน มนุษย์ที่ถูกกระทำถูกเเรงทับจนร่างกายบิดงอ แต่ยังไม่ตาย ส่งเสียงโอดครวญอย่างน่าเวทนา บางคนก็ร้องไห้อย่างทรมาณกับความเจ็บปวดสาหัสของตน








                    " [ รายการขอยุติการออกอากาศ เหตุเนื่องจากสัญญาณขัดข้อง ] " 




    หน้าจอทีวีที่ร้านมิโกะดับวูบก่อนจะเห็นภาพอันสยดสยองนั่น รันมะถึงกับถอดหมวกทำหน้าเหวอเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เเต่เมื่อกี้เขาไม่ได้ตาฝาดด้วยเหมือนกัน




                                          " อะไรน่ะ...เมื่อกี้มันมีอะไร " มาซาโตะยังอึ้งตาม มิโกะยกมือป้องปากอย่างตกใจเมื่อเธอเองก็เห็นเช่นกัน
                                          




    พวกเขาไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไรกันแน่...




                                          " อสูรวันสิ้นโลก..." ยูกะเอ่ยขึ้นมาแต่ตายังจ้องไปที่ทีวีด้วยความอึ้ง เสียงของยูกะมันแผ่วเบาจนพวกเขาสามคนไม่ได้ยินสิ่งที่ยูกะพูดเลยเเม้แต่น้อย















                                          










                                          " เซฟีน ! คุณป้า ! เซฟีน !..." ซาคุกระโดดลงจากเวทีแล้วขึ้นไปบนทางเดินที่นั่งผู้ชมที่ผู้คนกำลังกรีดร้องหวาดกลัวสัตว์ประหลาดตรงหน้า 





    เขาวิ่งมาถึงตรงจุดที่ถูกถลมแบบไม่กลัวตาย ก่อนเบิกตากว้างเมื่อพบเเขนอวบ ๆ ของหญิงแม่บ้านที่มากับเซฟีนโผล่มาจากใต้เศษผนังที่ผุพังพร้อมกับเลือดไหลเจือนองลงมาเป็นทาง




    เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนีไม่กล้ามอง ก่อนหันมองอีกครั้งพร้อมน้ำตา แล้ววิ่งจากมาเพื่อตามหาเซฟีนที่ไปอยู่ตรงส่วนไหนก็ไม่รู้






    และแล้วซาคุก็ค้นพบเป้าหมาย 





    เด็กสาวผมสีน้ำเเข็งนั่งมองหน้าใครบางคนที่ยืนมองหน้าเธอเช่นกัน ก่อนที่คน ๆ นั้นกำลังทำบางอย่างที่ทำให้ซาคุเลือดขึ้นหน้า





              ฉัวะ ! 




                                       " อ...อึก ! อย่านะ ! " เด็กสาวถูกบางอย่างกรีดเข้าที่ต้นแขนอย่างจงใจ ก่อนขอร้องไม่ให้อีกฝ่ายทำร้ายเธอไปมากกว่านี้ ท่ามกลางแรงอาระวาดของสัตว์ประหลาด 



                                        " ต้องกำจัดไปให้พ้น ๆ ทาง..." สุบารุกล่าวก่อนใช้ปลายดาบเชิดคางเด็กสาวที่ตัวสั่นกลัวเขา พร้อมน้ำตานองเต็มเบ้าตา ก่อนเลื่อนปลายดาบเข้าไปใกล้ลำคอจี้จนเลือดซึบ






                เปราะ....     
                




    เสียงบางอย่างที่เริ่มแตกร้าวมากกว่าครั้งก่อน ๆ พร้อม ๆ กับนัยน์ตาของเด็กหนุ่มที่เบิกกว้างขึ้น พร้อมเสียงหายใจที่รุนแรงตามอารมณ์ความโทสะที่มากเกินกว่าจะควบคุม



     




    ซาคุมองปลายมีดที่จิ้มเข้าไปในเนื้อของเซฟีนมากขึ้น จนเลือดเริ่มไหลออกมามากขึ้นกว่าเดิม ดวงตาสีน้ำเเข็งเบิกกว้างจนลูกตาหรี่เล็กลง พร้อมกับเสียงของสิ่ง ๆ นั้นที่เเตกร้าว หักกระจาย แตกสลายลงในทันตา




                 เปราะ...เพล้ง ! 
                 








    สุบารุเหลือบมองไปทางด้านข้างก่อนถอยออกมาอย่างว่องไวเมื่อมีบางอย่างพุ่งตรงมาที่เข้าแล้วโอบอุ้มเด็กสาวไว้




                                         " กล้าทำร้ายน้องสาวของฉัน แกมันกล้ามาก..." ซาคุกระชับเซฟีนที่สลบไปเพราะความตกใจกลัว กำเเขนเด็กสาวเเน่นจนเธอขมวดคิ้วส่งเสียงความเจ็บปวดออกมา แล้วพล็อยสลบไปอีกรอบ
                                         



    สุบารุไม่ตอบแต่มองไปยังบริเวณพื้นที่ซาคุเหยียบ พบว่ามีไอเย็นเเผ่ออกมาจากตัวของอีกฝ่ายจนเยือกเเข็งบริเวณโดยรอบไปหมดแล้ว ก่อนจ้องมองดวงตาของซาคุที่หรี่ลงจนดูน่ากลัวแล้วข่มฟันกึก ๆ การกระทำแบบนั้นยิ่งเพิ่มอนุภาคของพลังพุ่งสูงขึ้นไปอีก



                                         " ดูเหมือน...จะตื่นขึ้นมาจนได้...." สุบารุมองซาคุทันทีแล้วกล่าวต่อก่อนกางมือเรียกคันธนู พร้อมดาวที่ปรากฏกลางหน้าผาก



                                        " เทพศาสตราวายุเหมันต์ " 




    ซาคุกวาดมือปลดพลังใส่สุบารุอย่างรุนแรงแต่อีกฝ่ายกลับยกมือขึ้นสร้างม่านบาเรียกันเเรงพลังจนมันแยกเป็นสองทางแล้วหยุดนิ่ง เป็นธารน้ำเเข็งทันที 




    คนผมอ่อนไม่พูดมาก  ดึงคันธนูเเผลงศรสีทองพุ่งตรงใส่ซาคุปักที่กลางอกอย่างแรงโดยไม่มีการเห็นใจ




    สุบารุขมวดคิ้วหรี่ตามองด้วยความเครียดทันทีเมื่อพบว่าศรของเขานั้นไม่ได้ปักที่กลางอกซาคุ ผลึกก้อนน้ำเเข็งที่สร้างมาป้องกันแตกหักและสลายไปอย่างรวดเร็ว 




    เด็กหนุ่มที่ขาดสติเงยหน้าขึ้น ลูกตาสีขาวถูกความมืดปกคลุมจนกลายเป็นสีดำอย่างน่ากลัว พร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม และพลังที่ปลดปล่อยออกมาเกินควบคุมจนสุบารุต้องยกท่อนเเขนบังลมพายุ





    ฝ่ามือของซาคุยกขึ้นเหมือนจับบางอย่างก่อนยกยิ้มมุมปากเเสยะยิ้มเยาะพร้อมปล่อยบางสิ่งที่รวดเร็วใส่สุบารุอย่างไม่ปรานี





           ปิ้ว ! 




    แต่สุบารุตั้งตัวทันสร้างหลุมจักรวาลมาดูดเอาพลังเมื่อครู่ให้ไปโผล่ด้านหลังเขาเเทนจนลูกกระสุนที่พุ่งทะลุเวทีถูกผลึกน้ำเเข็งเเช่เเข็งไปแล้ว






                                          " อุปสรรคจริง..." เด็กหนุ่มสถบก่อนเหลือบหันไปมองด้านหลังด้วยความตกใจแล้ววาร์ปหายไปจากตรงนั้นทันทีเมื่อมีบางอย่างพุ่งลงมาจากฟ้า ปักลงบนจุดที่เขาอยู่



                                          " หนีไปได้เเฮะ..." ไลท์ที่นั่งอยู่บนคานไม้เเกว่งขาไปมาแล้วยกยิ้มบาง ๆ ตวัดนิ้วควบคุมกรงล้อของตนขึ้นมาก่อนพูดบางอย่างขึ้น



                                          " ดูท่า...จะงานหนักแบบสุด ๆ ไปเลยนะครับ รุ่นพี่~" 





    สิ้นเสียงไลท์มาโมรุวาร์ปมาอยู่หลังซาคุก่อนใช้แขนล็อคคออีกฝ่ายแล้วจับเหวี่ยงให้พ้นจากเซฟีนแล้วพุ่งตามไปกดร่างอีกฝ่ายลงบนพื้นด้วยมือข้างเดียว


                                        " พลังตอนเกิดใหม่รุนแรงจริง ๆ..." มาโมรุบ่นพลางใช้มือข้างที่ว่างหยิบบางอย่างขึ้นมาแล้วกดมืออีกข้างไม่ให้ซาคุดิ้นขัด เด็กหนุ่มผมส้มกัดฝ่าขวดบางอย่างขึ้นเปิดจุดก่อนแทงมันลงบนหลังคออีกคนที่เขากดไว้




    ซาคุเริ่มหยุดขยับก่อนที่ดวงตาจะเหม่อลอยแล้วสลบไป เมื่อมาโมรุเห็นอีกฝ่ายนิ่งแล้วก็ลุกขึ้นมาจ้องไปที่อสูรตัวที่ยังคงอาละวาดงับกินซากมนุษย์ทั้งหมดที่หนีไปไม่ได้เข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย




                                        " ไม่คิดจะช่วยกันใช่ไหม..." เขาปรายตามองไลท์ที่นั่งหลับตายิ้มยี่เท้าคางลงบนตักมองเขาจากที่สูง



                                        " หน้าที่องค์รักษ์ของผมไม่ใช่เหรอค้าบบ~" 



                                        " เทพพยากรณ์กวนโอ๊ย..." มาโมรุแอบบ่น



                                        " ท่านองค์รักษ์ขี้บ่น~" ไลท์เห็นอนาคตว่ามาโมรุจะบ่นเขาก็เลยตรอกจุดใส่ซะไม่มีการอ้อมค้อมว่าเขาขี้บ่นจริงๆ มาโมรุส่ายหัวถอนใจก่อนเดินย้ำเท้าหมุนข้อมือตรงไปที่มัน





    วินาทีนั้นบนศีรษะของเด็กหนุ่มปรากฏวงเเหวนสีเหลืองสว่างขึ้นพร้อมกับอาวุธที่ลอยตามเขามาเวลาเขาออกตัวเดิน



     
    เด็กหนุ่มดีดนิ้ว พริบตานั้นคฑาคู่กายวาร์ปหายไป กลายสภาพเป็นกรงขังอสูรปิดตายอย่างรวดเร็ว ก่อนเด็กหนุ่มจะพุ่งตัวไปง้าหมัดชกใส่กรงนั่นจนกรงสะเทือนเหมือนระฆัง





    อสูรวีดร้องคำรามลั่นเพราะทนเสียงไม่ได้ ก่อนจะถูกกรงบีบตัวจนบิดงอได้ยินเสียงเนื้อบดเสียดอย่างน่ากลัวตามมาพร้อมกับร่างที่เเหลกสลายไป มาโมรุก้มลงมองซากที่เหลือของมันพยายามจะรวมตัวกับซากศพอีกครั้ง 





    คนผมส้มก้มลงหยิบผลึกแก้วขึ้นมาก่อนกำมันจนแตกอย่างไม่เห็นใจ อสูรวีดร้องหนักจนแตกร่างกายแหลกสลายเป็นผุยผงไป





                                            " จุ๊ ๆ...เห็นกี่ที ๆ ก็อดเสียวท้องไม่ได้จริง ๆ " ไลท์ส่ายหน้าไปมาส่งเสียงพร้อมอย่างกวนบาทาพร้อมให้ ถึงแม้มาโมรุจะไม่ได้ยินก็ตามทีเถอะ


















    ปฐมบทของการเริ่มต้น





                                   始まりの始まり




    (Hajimari no hajimari)
         





                               _____________________




    ตอนหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกันต่อไปน้า~

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×