คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 1st slice
1st slice
ชีวิตชิ้นที่หนึ่ง
..ก็อก..
...ก็อก...
...ก็อก...
หลังมือผอมบางเคาะแรงๆบนประตูไม้เนื้อแข็งสีเข้มหนาหนัก ยิ่งไม้ดีเนื้อแน่นแข็งแรง จะมาเคาะเบาๆเหมือนประตูปาร์เก้บวมๆได้อย่างไร
"เข้ามาสิ"
..คลิก..
แค่เสียงลูกบิดประตูยังดูเป็นผู้ดีมีเงินขนาดนี้ ไม่ต้องบอกเลยว่าข้างในห้องที่ดูอย่างไรก็หรูเกินกว่าห้องพักครูบ้านนอกธรรมดาๆมาหลายสิบเลเวลจะหรูหราเพียงใด ลี่อิ่นอ้าปากน้อยๆให้กับภาพตรงหน้า ชั้นวางที่กินพื้นที่เก้าสิบเปอร์เซนต์ของผนังห้องนั้นอัดแน่นด้วยหนังสือปกหุ้มหนังอย่างดีราวกับว่าพวกมันแทบทั้งหมดเดินทางข้ามทะเลมาจากร้านหนังสือในประเทศตะวันตกที่ครูเคยไปใช้ชีวิตอยู่หลายปี พื้นห้องปูด้วยพรมสีน้ำเงินเข้มยาวไปถึงโซฟาหนังประดับหมุดตัวใหญ่ตรงข้ามชุดโฮมเทียร์เตอร์ครบเซ็ตแบบที่เธอเคยเห็นแค่ในห้างสรรพสินค้า โต๊ะทำงานสีเดียวกับประตูมีข้าวของวางระเกะระกะอยู่เต็ม ซึ่งขัดแย้งอย่างเต็มที่กับกฎที่ครูในโรงเรียนต้องจัดโต๊ะทำงานให้สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ หลังโต๊ะทำงานนอกจากจะมีเก้าอี้บุหนังสีดำหรูหราสำหรับเจ้าของห้อง ยังมีเก้าอี้ตัวย่อมอีกตัวหันหน้าเข้าหากันจากอีกฝั่งของโต๊ะจัดไว้สำหรับผู้มาเยือน ลี่อิ่นมองหาครูของเธอ ก่อนที่จะเห็นเขากำลังง่วนอยู่กับการชงเครื่องดื่มในมุมๆหนึ่ง บนเคาเตอร์แคบๆสูงระดับเอวมีทั้งขวดโหลหลากสีหลายใบ รวมถึงจานเซรามิกบนชั้นวางสแตนเลสสไตล์โมเดิร์น เครื่องปิ้งขนมปังและกระติกน้ำร้อน ข้างๆกันคืออ่างล้างมือขนาดย่อมที่มีก็อกน้ำรูปทรงตัวเจแบบในละครเรื่องโปรดของแม่
"คุณจาง.."
"คะ"
"นั่งสิ" เขาเอ่ย พร้อมเผยมือด้วยท่าทีสบายๆไปที่เก้าอี้ตรงข้าม ลี่อิ่นเดินก้มหน้าเงียบๆไปหาครูหานซึ่งไปนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ทำงานเรียบร้อย วางกระเป๋าเป้ใบเก่งลงบนพื้นไม้เทียมข้างตัว
"นอกจากกักบริเวณ ผมมีบางเรื่องอยากให้เธอช่วยหน่อย เป็นงานง่ายๆ ที่คิดว่าเธออาจจะยินดี"
"คะ... คือหนูไม่เข้าใจ" มีด้วยหรือที่ครูหานผู้หยิ่งยโส(ตามที่พวกครูอื่นๆชอบยกขึ้นมาเป็นประเด็นในวงนินทาหลังอาหารกลางวันในยามขาดแคลนเรื่องพูด) และไม่แคร์ใครจะต้องมาขอร้องให้นักเรียนกากๆในชั้นอย่างเธอช่วยเหลืออะไร
"วันที่สามสิบเอ็ดเดือนหน้าเป็นวันเกิดคุณยายผม เธอช่วยไปร้องเพลงให้ท่านฟังได้มั้ย" คำขอนั้นแปลกประหลาดเกินกว่าที่ลี่อิ่นจะระงับความสงสัยไว้กับตัว ราวกับผู้ชายตรงหน้าเธอที่พูดประโยคนี้ไม่ใช่ครูภาษาอังกฤษปากคมกว่ากรรไกรยี่ห้อสก็อตช์คนที่เธอรู้จัก นัยน์ตาสีเข้มแข็งกร้าวอ่อนลงเมื่อเอ่ยถึงผู้ใหญ่อันเป็นที่รัก อีกอย่าง นอกจากปิ่งหยางที่อาศัยอยู่ข้างบ้านแล้วไม่มีใครในโรงเรียนที่รู้ว่าลูกสาวครูสอนไวโอลินหลงใหลในศาสตร์แห่งการขับร้อง
"หนูกลัวว่า..."
"ได้โปรด จางลี่อิ่น นี่ไม่ใช่คำสั่ง แต่เป็นการร้องขอ ..เวลาของคุณยายเหลืออีกไม่นาน แต่ผมอยากให้ท่านมีความสุขที่สุดกับชีวิตช่วงสุดท้าย" เขาหมุนเก้าอี้ ทอดสายตาอย่างเลื่อนลอย แล้วสุดท้ายก็หยุดที่ภาพแขวนภาพหนึ่งบนผนัง ในกรอบไม้เก่าคร่ำคร่าอย่างที่นับได้ว่าไม่ใช่สไตล์ของครูมีรูปถ่ายคู่ของชายหนุ่มในเสื้อกั๊กสีแดงเลือดนกสวมทับเสื้อโปโลแขนสั้นสีขาวขลิบดำ กับหญิงชราท่าทางสง่าดูน่าเกรงขาม ไม่ต้องเดาให้เสียเวลา ท่านเป็นคุณยายของครูไม่ผิดแน่ แม้เรือนผมตัดสั้นจะกลายเป็นสีดอกเลาทั้งศีรษะ แต่หลังที่ยังตั้งตรงทำให้ท่านไม่ได้ดูแก่ชราและ 'เหลือเวลาไม่นาน' อย่างที่ครูว่า ใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงของทั้งคู่ประดับรอยยิ้มแสนสุขใจ จนแม้แต่คนมองยังอยากยิ้มตาม
"...รูปนั้น ผมอายุแค่สิบเก้า เกือบแปดปีมาแล้ว" ครูยิ้ม แม้จะดูเป็นยิ้มที่เศร้าสร้อยเต็มทน
"ครูดู..หล่อดีนะคะ"
คำชมตรงๆของเธอทำเอาครูหัวเราะหึๆ
"ผมรู้นานแล้ว คุณจาง"
...โอ้โห ถ้าหน้าตาได้ห้า มั่นหน้าเอาไปล้านเลยค่ะ
"นั่นคุณยายหรือคะ ครูหน้าเหมือนท่านมาก"
"ใช่" เขารับ "ดีที่เป็นอย่างนั้น แม่หน้าเหมือนคุณยาย และผมคล้ายแม่ ถ้าได้พ่อ ผมคงทุเรศตัวเอง"
"เขาหน้าตาไม่ดี..?"
"ทุกอย่าง" ครูว่า เขาจิบชาอึกใหญ่
"แต่ถึงอย่างนั้น อย่าลืมนะคะว่าเขายังเป็นพ่อของครู" ...จะดีจะเลว พ่อก็คือพ่อ
"เธอไม่เข้าใจ จางลี่อิ่น"
ลี่อิ่นเบ้ปาก ไม่ใช่แค่พ่อแม่เธอ พวกผู้ใหญ่ก็เป็นเสียอย่างนี้กันหมด มีอะไรเก็บไว้ก็ชอบแง้มใหอยากรู้ สุดท้ายก็จากไปดื้อๆพร้อมประโยคแบบนี้ทุกที เธออายุน้อย ไม่ใช่สติปัญญาผิดปกติ เรื่องของคน ในฐานะโฮโมแซเพี่ยนส์ ลี่อิ่นคิดว่าเธอน่าจะเข้าใจหากได้ลองฟังบ้าง
"ครูลองเล่าสิคะ เผื่อว่าครูอยากระเบิดอะไรๆที่เก็บไว้ออกมา หนูรับรองว่าจะไม่บอกใครแน่ๆ"
" ถึงเธอจะเอาเรื่องผมไปป่าวประกาศ เงินเดือนต่ำเตี้ยเรี่ยดินนี่ก็ยังเท่าเดิม" ลี่อิ่นไม่แน่ใจว่าควรเชื่อคำว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดินของครูเศรษฐีจากปักกิ่งดีมั้ย ในเมื่อพี่ซ่งเชียน พี่สาวคนโตของปิ่งหยางที่ทำงานเป็นครูโรงเรียนมัธยมในชิงเต่าสามารถส่งเงินมาให้น้องชายสุดที่รักใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้ทุกเดือน "หลังจากระบอบสังคมนิยมตกขอบล่มสลาย ด้วยเส้นสายเล็กๆน้อยๆกับค่าเหล้าเคล้านารีสำหรับเจ้าหน้าที่ในตอนนั้น ครอบครัวผม เริ่มต้นจากแผงขายกางเกงราคาถูกในตลาดผ้าจนกลายเป็นธุรกิจแฟชั่นครบวงจรที่ทำกำไรจนเกินจะกอบกำ อย่างที่คุณคงรู้จากพวกครูคนอื่น--13Hs คุณตาของผม เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับยากในวงการธุรกิจ ท่านรับมือได้หมด ไม่ว่าคู่แข่งหรือคู่สัญญาใช้วิชามารจากสำนักไหน พนักงานเป็นพันๆคนทั้งบริษัทแม่ บริษัทในเครือ จนถึงผู้ถือหุ้น หรือบอร์ดบริหาร ใครก็ไม่กล่าหือกับประธานหวงชุนจื่อทั้งนั้น แต่เรื่องตลกร้ายก็คือ นักธุรกิจพันล้านอย่างท่าน ไม่สามารถควบคุมคนในครอบครัวให้มีพฤติกรรมอย่างที่ควรเป็น นโยบายลูกคนเดียวน่ะลืมไปได้เลย แม่ผมเป็นลูกสาวคนที่เจ็ด จากบรรดาลูกสาวสิบสามคน... นั่นยังไม่รวมลูกผู้ชายดวงแข็งที่ยังมีชีวิตให้เห็นอีกหกคน ส่วนจะมาจากผู้หญิงกี่คนผมเองก็ไม่รู้ คุณยายเป็นหนึ่งในนั้น ท่านเคราะห์ร้ายพอที่จะใช้ชีวิตร่วมกับประธานหวงในยี่สิบแปดปีสุดท้ายของคุณตา และเลี้ยงแม่ผมขึ้นมาในห้องนอนข้างห้องนอนใหญ่ของคฤหาสน์ ไม่ต้องสงสัย แม่คือหนึ่งในบรรดาลูกคนโปรดสองสามคนที่คุณตาเก็บไว้ใกล้ตัว ท่านได้สวมเสื้อผ้าที่ดีที่สุด กินอาหารที่ดีที่สุด เรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด และแต่งงานกับสามีที่ทำกำไรให้บริษัทมากที่สุด ..แม่แต่งงานกับลูกชายเจ้าของบริษัทสิ่งทอตามที่คุณตาหมายมั่นมานาน เพราะในอุตสาหกรรมอะไรก็ตาม สำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นวัตถุดิบคุณภาพดีพอใช้ในราคาเกินพอใจ..."
"ไม่ใช่ดีที่สุดเหรอคะ" ลี่อิ่นขัด เธอค่อนข้างมั่นใจมาตลอดว่าแบรนด์ชั้นสูงอย่าง 13Hs จะ 'คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อความสุขของคุณ, ครอบครัวของเรา'
"พลาดแล้ว ...อย่าได้ดูถูกพลังของโฆษณาชวนเชื่อเชียวล่ะ ครั้งนึง ลัทธิคอมมิวนิสต์ใช้สิ่งนี้ในการรวบรวมสมัครพรรคพวก --โลกแห่งความเท่าเทียมแสนงดงาม เหลวไหลทั้งเพ แต่ก็ยังมีคนเชื่อ แล้วก็ยังฝังรากลึกมาจนถึงทุกวันนี้ด้วยซ้ำ คนเรามองโลกในแง่ดีเสมอ ถ้าเธอคบกับผู้ชายสักคน เธอก็อยากจดจำเฉพาะเรื่องราวดีๆ หรือด้านดีของคนๆนั้น เธอพร้อมจะเชื่ออยากเต็มใจ ถ้ามีใครบอกเธอว่าเขาเป็นคนดี ฉลาด ขยัน กตัญญู แต่ถ้ามีใครอีกคนมาบอกเธอว่าเขาติดหนี้คาสิโนมาเก๊าหนึ่งล้านหยวน แถมยังติดเชื้อเอชไอวี พนันได้เลยว่าเธอไม่เชื่อหรอก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้นะ ว่าส่วนหนึ่ง มันเพราะความรัก ความชอบ ..ในธุรกิจโฆษณาประชาสัมพันธ์ เราใช้ประโยชน์จากความรักของผู้คน จ้างดารา นักร้อง นางแบบ มาเป็นพรีเซนเตอร์สินค้า ดาราที่ดูดี ใส่อะไรก็ดูดี พอคนเห็นก็คิดไปสิ ฉันใส่แล้วต้องสวยแบบนั้นแน่ๆ โชคดี กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเราตาไว จินตนาการไว และจ่ายไว ที่เหลือก็แค่เสริมแต่งเข้าไปอีกซักหน่อย ให้คนจ่ายช้า เร่งสปีดตัวเองอีกสักนิด"
"...หนูชักกลัวครูเข้าจริงๆแล้ว"
"ที่ผ่านมา ผมไม่มีความน่ากลัวจริงๆ เลยรึไง คุณจาง" เขาเท้าข้อศอกกับโต๊ะทำงาน ริมฝีปากยกยิ้มน้อยๆ ไม่มีสายตาจริงจังของครูหานเกิงที่ลี่อิ่นคุ้นเคยอีกแล้ว จะเหลือก็แต่แววตาผ่อนคลาย ขบขัน และ ..ซุกซน
ใช่
สายตาแบบนั้นของเขาที่กำลังมองสำรวจไปทั่วใบหน้า ทำให้เธอแทบอยากหายตัว ลี่อิ่นโทษอุณหภูมิอากาศ หน้าของเธอร้อนราวกับน้ำเดือด
"แค่คิดว่าครูหานเกิงเป็นผู้ชายปักกิ่งขี้เก็กคนนึง.."
เขาระเบิดเสียงหัวเราะจนตัวโยน ตลกนักสิ ก็ตัวเองทั้งนั้นไม่ใช่รึไง ลี่อิ่นคิด
"เอาล่ะๆ เอาเป็นว่าผมจะพยายามแก้ไขนะ ภาพลักษณ์ผู้ชายเท่ห์ๆไม่ได้ได้มาง่ายๆหรอกนะ เก็กยังไงให้นักเรียนจางว่าเอาไม่ได้ ผมว่าน่าสน เธอว่าไง.."
ครูยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ...ใกล้จนเธอรับรู้ถึงกลิ่นชาอู่หลงจากลมหายใจของเขา
"ถามติ่งครูดูเองสิ!"
"แล้ว ลี่อิ่นไม่ติ่งผมหรอกเหรอครับ"
ผิวขาวเนียนละเอียด จมูกโด่งเป็นสัน ลึกเข้าไปในดวงตาสีรัตติกาล ราวกับเขาวงกต ที่หากย่างเท้าเข้าไปแล้ว คงยากจะหาทางหลุดพ้น เธอหลบสายตาแปลกประหลาดนั้น สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามประคองสติให้อยู่กับเนื้อกับตัว
"เล่าเรื่องของครูต่อเถอะ หนูอยากฟัง ..นะคะ"
"เย็นมากแล้วอาลี่ เดี๋ยวผมขี่จักรยานไปส่ง"
ความคิดเห็น