ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กอดหัวใจเธอมารัก

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.13K
      2
      28 ส.ค. 53

    บทที่1
                    ‘เหตุการณ์ภาวะโลกร้อนของเราในขณะนี้ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สิ่งต่างๆ ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทั้งสภาพถูมิอากาศ มลภาวะเป็นพิษ อากาศเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ฉะนั้นทางโครงการขอความร่วมมือร่วมใจจากหลายๆ ฝ่าย ช่วยกันรนณรงค์ป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้น ก่อนที่ชีวิตของมวลมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้จะสิ้นสุดลง...จากสำนักงานข่าวไอบีเค’
                     สิ้นเสียงของผู้ประกาศข่าวในจอโทรทัศน์หยุดลง ‘ทวิพัตร’ ก็กดปุ่มรีโมทคอนร์โทลปิดโทร ทัศน์ทันที เขาคิดว่าเรื่องปัญหาโรคร้อนที่เกิดขึ้นนั้นมันไร้สาระสิ้นดี ทุกๆ วันเขาก็ไม่เห็นจะได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบที่เกิดขึ้นตรงไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าคนอย่างเขาคนนี้ จะไม่ให้ความร่วมมือกับโครงการต่างๆ ที่เขาคิดว่ามันไร้สาระยิ่งกว่าอะไรดี 
                    ห้องสี่เหลี่ยมที่เขาใช้เป็นที่พักผ่อนอยู่ในทุกๆ วัน เขาไม่คิดที่จะลดอุณหภูมิองศาจากเครื่องปรับอากาศลงเลยสักนิด แม้แต่กระทั่งลงไปรับประทานอาหารในชั้นล่างของตัวบ้าน เขาก็ไม่เคยกดปุ่มปิดสวิตซ์ไฟให้ดับลง รวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่เขามักจะเปิดทิ้งไว้อยู่ตลอดเวลา
                    ทวิพัตรไม่เคยได้รับความเดือดร้อนจากการที่เขาปฏิบัติอยู่ในทุกๆ วัน ค่าไฟฟ้าที่สูงเท่ากับค่ากินอยู่ในบางครอบครัว หรือแม้กระทั่งค่าเติมน้ำมันที่เขามักจะใช้รถยนต์ส่วนตัวขับไปเรียน มันก็เหมือนเศษเสี้ยวสตางค์ ที่ทำให้ขนหน้าแข้งของเขาไม่ร่วงลงมาสักเท่าไหร่
                   ชีวิตของเขาแสนจะสุกสบาย เมื่อถึงเวลารับประทานอาหาร ก็จะมีแม่บ้านคอยลงมือทำให้ทาน เรื่องที่เขาจะล้างจานหลังทานอาหารเสร็จหรือ ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานบ้าน บิดาและมารดาของเขาได้จ้างวานให้คนรับใช้เป็นผู้จัดการในทุกอย่าง
                   หน้าที่ของเขามีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกในชีวิต หนึ่งเรียนหนังสือให้จบปริญญา สองทำตัวเป็นลูกที่ดีของพ่อและแม่ และสามใช้ชีวิตอย่างหรูหราที่ทำให้เกิดการสิ้นเปลืองทรัพยากรธรรมชาติ
                    ทวิพัตรอายุอานามก็ย่างเข้าสู่ปีที่สิบเก้าแล้ว เขาได้รับการคัดเลือกจากมหาวิทยาลัยของรัฐให้ศึกษาต่อ เพราะบิดาและมารดาเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในสังคม ธุรกิจของผู้ที่เป็นพ่อและแม่ที่ทำอยู่ในขณะนี้ คือธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่ส่งผลกระทบอย่างมากในทางลบต่อสังคม เพราะมันทำให้เกิดมลภาวะขึ้นในสภาพแวดล้อม
                    เขาคิดอยู่เสมอว่า เงินเท่านั้นที่จะทำให้เขาและครอบครัวอยู่รอดในสังคมนี้ แต่ไม่เคยคิดเลยว่า ครอบครัวของเขาจะทำให้โลกใบนี้ได้รับสภาวะที่ค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิขึ้นเรื่อยๆ เพราะสาเหตุเหล่านี้ล่ะ...มันทำให้เขาไม่สนใจว่า ใคร ผู้ใด หรือมนุษย์คนไหน จะได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้น ขอแค่ให้เขาและครอบครัวมีสภาพความเป็นอยู่ที่สุขสบายก็พอแล้ว
                    บ้านหลังใหญ่โต...เนื้อที่กว้างขวางเกือบๆ เท่ากับสนามฟุตบอลหนึ่งสนาม สระว่ายน้ำหรือแม้กระทั่งอุปกรณ์เสริมต่างๆ ภายในบ้านที่พักอาศัยอยู่ มีครบครัน ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม ดวงไฟที่ประดับประดาอย่างหรูหราราวๆ เกือบสามสิบดวง ต่างส่องแสงสว่างไสวพร้อมๆ กัน เครื่องปรับอากาศเกือบๆ สิบกว่าเครื่อง แผ่กระจายความเย็นออกมา ความสะดวกและความสบายนับว่าไม่เคยขาดหายไปจากชีวิตของชายหนุ่มผู้นี้เลย
                     และในวันพรุ่งนี้เช้า...เขาจะเดินทางไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเป็นวันแรก พร้อมกับรถสปอร์ตคันหรูที่มีมูลค่าราวๆ เกือบสิบกว่าล้านบาท
                     พอถึงเวลารับประทานอาหารมื้อค่ำ ทวิพัตรได้ลงไปทานอาหารก่อนผู้ที่เป็นพ่อและแม่ ภายในตัวบ้านที่เขาได้เดินลงมาจากบันไดที่สูงตระหง่าน ประดับประดาไปด้วยความหรูหรา ทั้งประตูและหน้าต่าง บ่งบอกว่าครอบครัวตระกูลนี้มีอันจะกิน
                      แม่บ้านและคนรับต่างก็นำอาหารมื้อค่ำมาจัดวางไว้บนโต๊ะรับประทานอาหาร พร้อมกับที่แม่บ้านคนหนึ่งเอ่ยเรียกทวิพัตร
                     “คุณพัตรคะ อาหารพร้อมแล้วนะคะ เชิญทานได้เลย ส่วนคุณท่านทั้งสองกำลังอาบน้ำอยู่ข้างบนค่ะ ถ้าคุณพัตรต้องการอะไรเพิ่ม บอกพิมนะคะ เดี๋ยวพิมจัดการให้”
                      ชายหนุ่มยิ้มให้กับพิมภาแม่บ้านที่ทำงานรับใช้ตระกูลของพวกเขามานานกว่ายี่สิบปี ตั้งแต่ที่เขาจำความได้ ก็มีหญิงสาววัยกลางคนผู้นี้แหละ ที่คอยจัดหาความสะดวกสบายมาให้เขาโดยตลอด
                      เพราะการที่ทวิพัตรเป็นบุตรชายคนเดียวของตระกูล “วัฒนภิรมณ์พรรณ” เขาเลยได้เกือบทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการ มีคนคอยรับใช้หาน้ำหาท่ามาให้ดื่มทุกครั้งหลังกลับจากเรียนหนังสือ หรือแม้กระทั่งชุดที่ใส่ไปเรียน ก็มีคนคอยจัดการให้เสร็จสรรพเรียบร้อย
                      ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ที่มีคนคอยรับใช้ตระเตรียมไว้ให้ พร้อมกับที่จานใส่ข้าวมีข้าวสวยร้อนๆ ตักใส่ไว้ในนั้น
                      ทวิพัตรตักอาหารใส่ปากไปได้แค่สองคำ ก็มีเสียงเรียกของผู้ที่เป็นแม่ดังลงมาจากบันได
                      “ว่าไงจ๊ะลูกพัตร กับข้าวมื้อนี้อร่อยไหม?” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามลูกชายของตัวเอง เธอสวมชุดคลุมสีขาวเดินลงมาจากบันได พร้อมกับสามีของเธอที่สวมชุดนอนสีฟ้าน้ำทะเล
                      “วันนี้พ่อกับแม่มีเรื่องอยากจะเซอไพร์ลูกด้วยนะ” ผู้เป็นพ่อแสดงสีหน้าอย่างดีอกดีใจ
                      ทวิพัตรหันหน้าไปหาคนทั้งสองอย่างสงสัย เขาเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม “เรื่องอะไรหรอครับ ที่ป๊าและแม่อยากบอกผม”
                       “โธ่ลูก ก็จะเรื่องอะไรอีกล่ะ บริษัทของเรากำลังจะขยายสาขาไปที่ต่างประเทศในเดือนหน้ายังไงล่ะ ทีนี้แม่และพ่อของลูกก็ต้องไปอยู่ที่นั่นเป็นครั้งคราว”
                      ทวิพัตรสงสัยว่าเรื่องที่เขาได้รับฟังนั้น มันไม่น่าจะเป็นเรื่องที่แปลกตรงไหนเลย บิดาและมารดาของเขามักจะไปทำงานที่ต่างจังหวัดอยู่หลายวัน ปล่อยให้เขาอยู่บ้านคนเดียวอยู่บ่อยครั้ง บางทีท่านทั้งสองก็หายไปเป็นเดือนๆ
                     “ไม่เห็นเซอไพร์ตรงไหนเลยนิหน่า แม่และป๊าก็ไปทำงานอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่หรอครับ” ทวิพัตรพยายามจะพูดให้คนทั้งสองเข้าใจว่า บิดาและมารดามักจะปล่อยให้เขาอยู่บ้านคนเดียวหลายๆ วัน บางทีเขาก็มีอารมณ์เหงาเป็นเหมือนกันนะ ถึงแม้ครอบครัวของเขาจะมีเงินทองมากมายมหาศาลก็เถอะ เขาก็ไม่ชอบบรรเทาความเหงาด้วยการไปเที่ยวกลางคืนสักเท่าไหร่ เหลุผลก็เพราะว่า เขาไม่ชอบการดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปในร่างกาย แถมกลิ่นควันบุหรี่ก็ไม่ค่อยถูกกับระบบหายใจของเขาด้วย  
                      “นั่นล่ะลูก เขาเรียกว่าเซอไพร์เลยล่ะ” ผู้เป็นแม่เอ่ยบอกลูกชายด้วยสีหน้าท่าทางดีอกดีใจ “บริษัทของเรากำลังขยายใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ต่างประเทศก็สนใจมาลงทุนกับเราด้วย ทีนี้แหละ กิจการของเราก็จะโด่งดังไปทั่วโลกไง”
                      กิจการที่ตระกูล ‘วัฒนภิรมณ์พรรณ’ กำลังทำอยู่นั้นก็คือ ผลิตกระดาษ กล่องโฟมและพลาสติกต่างๆ ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ออกมาวางขายสู่ท้องตลาด ทำให้ผู้คนสนับสนุนสิ่งที่ผลิตออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรมนี้จำนวนมาก เพราะความสะดวกสบายและหาซื้อได้ง่าย 
                      “งั้นแม่และป๊าคงไม่มีเวลาให้พัตรบ่อยๆ แล้วสิ”
                       ขายหนุ่มกลืนอาหารลงคออย่างยากลำบาก ถึงจะมีเงินใช้มากมายมหาศาล แต่บางทีความอบอุ่นในครอบครัวลดน้อยลงไป มันก็ทำให้จิตใจของเขาเกิดอาการเหงาขึ้นมาบ้าง
                       “เอาน่าพัตร เดี๋ยวป๊ากับแม่ก็จะกลับมาเยี่ยมลูกบ่อยๆ นะ อย่าคิดมากซี ขาดเหลืออะไรบอกป๊า ป๊าจะหาให้ลูกทุกอย่าง” ผู้เป็นพ่อพูดจบประโยคก็เดินมาลูกศีรษะลูกชายเบาๆ อย่างเอ็นดู
                        “งั้นพรุ่งนี้หลังจากเลิกเรียน ป๊าและแม่มารับพัตรไปดูหนังสักเรื่องได้หรือเปล่าครับ?” ทวิพัตรบอกกับผู้เป็นพ่อและแม่ เขาอยากให้ครอบครัวของเขาได้ไปเที่ยวกันพร้อมหน้าพร้อมตาด้วยกันบ้าง 
                         คุณอมรและคุณสุกัญญาต่างก็มองหน้ากัน ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะเอ่ยบอกแก่ลูกอย่างผิดหวัง
                         “คงไม่ได้หรอกนะพัตร พรุ่งนี้ป๊าและแม่ต้องขึ้นเครื่องไปภูเก็ตแต่เช้า เอาไว้อาทิตย์หน้าแล้วกันนะ”
                         ชายหนุ่มผงกศีรษะอย่างเข้าใจ “ก็ได้ครับ” แล้วเขาก็ตักกับข้าวใส่ปากรับประทานต่อไป  
                         คุณอมรและคุณสุกัญญาต่างก็นั่งลงบนโต๊ะรับประทานอาหาร พร้อมกับที่แม่บ้านพิมภาตักข้าวสวยร้อนๆ ลงบนจานทั้งสองใบ
                        “พรุ่งนี้ลูกต้องไปเรียนวันแรกใช่ไหม?” คุณสุกัญญาเอ่ยถามลูกชาย
                        “ครับผมต้องไปเรียนแต่เช้า”
                        “งั้นแม่ว่า ให้คนขับรถบ้านเรา ขับไปส่งดีกว่ามั๊ย”
                        “แม่ครับพัตรโตแล้วนะ พัตรขับรถไปเองได้”
                        “แล้วแต่ลูกแล้วกัน” ผู้เป็นแม่ให้ลูกตัวเองตัดสินใจ
                         คุณอมรและคุณสุกัญญาตามใจลูกทุกอย่าง สองสามีภรรยาไม่เคยปล่อยให้ลูกของตัวเองต้องลำบากตรากตรำเลย
                         ทวิพัตรเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูล กิจการทุกอย่างเขาต้องเป็นคนสืบทอดจากบิดาและมารดาอย่างไม่ต้องสงสัย เขาเลือกแผนการเรียนบริหารธุรกิจ เผื่ออนาคตข้างหน้าเขาต้องนำความรู้ความสามารถมาปฏิบัติกับโรงงานอุตสาหกรรมของครอบครัว
                         “พัตร ลูกก็รู้ใช่ไหมว่า โรงงานของเรามีแค่ลูกเท่านั้น ที่ต้องทำกิจการต่อจากป๊าและแม่”
                         ทวิพัตรเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วว่า บิดาของเขาต้องเอ่ยคำๆ นี้เขาสักวันไม่ช้าก็เร็ว เขาก็เคยตามผู้เป็นพ่อและแม่ไปปฏิบัติงานในโรงงานอยู่สม่ำเสมอ
                         “ครับ พัตรทราบ”
                         “งั้นก็ดีแล้วลูก” ผู้เป็นพ่อเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นการเป็นงาน “ถ้าลูกเรียนจบเมื่อไหร่ ป๊าจะให้ลูกมาเรียนรู้การเป็นผู้บริหารในโรงงาน เพราะป๊ากับแม่ก็อายุมากขึ้นทุกวันแล้ว นี่เราสองคนก็วางแผนกันไว้ว่า ลูกเรียนจบเมื่อไหร่ ป๊ากับแม่จะเลิกทำกิจการ และจะได้ไปเที่ยวรอบโลกกันสักที”
                         ทวิพัตรตกใจอยู่ไม่น้อยกับเรื่องที่บิดาของเขาได้เอ่ยบอก เขาไม่นึกเลยว่า ผู้เป็นพ่อจะให้เขาเรียนรู้การเป็นผู้บริหารใหญ่เร็วขนาดนี้
                        “ป๊าครับ...แต่ว่ามันจะเร็วไปหรือเปล่า?”  
                        “ไม่หรอกลูก สมัยนี้คนอายุน้อย การทำงานมีไฟมากกว่าคนแก่เสียอีก ป๊ากับแม่ก็อายุมากแล้ว คงใกล้เวลาที่เราสองคนจะได้ไปเที่ยวพักผ่อนกันเสียที”
                       “ครับ...ผมจะพยายาม” ทวิพัตรรับปากบิดาและมารดา ในคืนนั้นหลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ขึ้นไปนอนฟังเพลงบนห้อง แล้วก็ได้โทรศัพท์ไปหาภูวดล เพื่อนซี้แน่นปึกที่คบหากันมาตั้งแต่สมัยประถม เพื่อนของเขาคนนี้ยังได้ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเดียวกันด้วย
                         “ว่าไง ไอ้พัตร โทรหาฉัน มีอะไรป่าว?”
                         “ไอ้ภู ฉันมีเรื่องกลุ้มใจจะปรึกษาแกว่ะ”
                         “เรื่องอะไรวะ นี้ถ้าแกไม่มีเรื่องไม่สบายใจ แกก็ไม่โทรมาหาฉันใช่ไหม? เห็นฉันเป็นส้วมหรือไงวะ เออ ว่ามา”
                        ทวิพัตรตัดสินใจเล่าเรื่องที่บิดาและมารดาของเขาให้สืบทอดกิจการของโรงงานให้ภูวดลรับฟัง เขายังไม่อยากที่จะมารับงานต่อจากผู้เป็นพ่อและแม่ในไม่ช้านี้เลย เพราะเขายังอยากมีความเป็นอิสระต่อตัวเองอยู่
                       “ก็ดีแล้วนี่หว่าไอ้พัตร กิจการของแกก็ออกจะใหญ่โต มีเงินใช้สบายเป็นชาติเลยนะเว้ย พอมีเงินเยอะๆ สาวๆ ก็มาให้เลือกไม่ขาด แล้วอย่างนี้จะกลุ้มใจไปหาสวรรค์วิมารอะไรวะ”
                       ภูวดลให้คำปรึกษาอย่างอารมณ์ดี เขาไม่เห็นด้วยว่าเรื่องที่ทวิพัตรเล่าให้ฟังนั้นมันจะเป็นเรื่องกลุ้มใจตรงไหน
                        “ไอ้ภู แกไม่เข้าใจฉันหรอวะ ฉันยังอยากเป็นอิสระอยู่นะเว้ย ฉันรู้ว่าสักวันนึง ฉันต้องมารับงานต่อจากพ่อและแม่ แต่นี่มันจะเร็วเกินไปหรือป่าวว่ะ?” 
                        “อีกตั้งสามสี่ปีแน่ะ แกจะซีเรียสให้ได้อะไรวะไอ้พัตร นอนเหอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะได้ไปเรียนแต่เช้า” พอภูวดลพูดจบประโยค เขาก็ไล่ทวิพัตรให้เข้านอนเสีย เผื่อว่าวันพรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าไปเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัย
                        “เออขอบใจว่ะไอ้ภู แกให้คำปรึกษาฉันได้ดีมากเลย” ทวิพัตรพูดประชดประชันเพื่อนของเขาเล็กน้อย แล้วเขาก็วางสายโทรศัพท์จากเจ้าเพื่อนตัวยาก
                        หลังจากที่ชายหนุ่มวางสายโทรศัพท์จากเพื่อนซี้ไปได้ไม่นาน เขาก็ผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้สึกตัว โดยที่ยังคงไม่ได้ดับไฟให้มืดลง และเสียงเพลงจากลำโพงคอมพิวเตอร์ก็ยังคงส่งเสียงไปเรื่อยๆ ...
                  
                         เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตามที่ได้ตั้งเวลาเอาไว้...
                         เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าของวันจันทร์ ทวิพัตรตื่นจากอาการหลับใหลอย่างงัวเงีย เขาบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยล้า เปลือกตาเปิดขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ในวันนี้เขาต้องตื่นแต่เช้ากว่าทุกวัน เพราะมันเป็นวันที่เขาจะต้องไปเรียนวันแรก เขาลุกขึ้นจากเตียงนอนและเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำภารกิจส่วนตัว
                         แม่บ้านพิมภาได้จัดเตรียมอาหารเช้าร้อนๆ ไว้ให้กับทวิพัตร ก่อนที่ลูกชายของเจ้าของบ้านจะต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัย
                         “คุณพัตรคะ ป้าทำข้าวต้มกุ้งร้อนๆ ให้ค่ะ มาทานก่อนม๊ะ” พิมภาเอ่ยเรียกทวิพัตรให้รับประทานอาหารเช้ารองท้องก่อนที่ชายหนุ่มจะออกเดินทางไปเรียนหนังสือ
                         “ไม่ล่ะครับ ผมไม่หิว ขอตัวก่อนนะครับป้าพิม” ชายหนุ่มพูดจบประโยค เขาก็รีบเดินออกไปทางประตูบ้าน
                         “เดี๋ยวก่อนสิคะคุณพัตร ไม่ทานอะไรก่อน เดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะนะคะ”
                         ทวิพัตรไม่สนใจคำพูดของพิมภา เขารีบเดินไปที่รถสปอร์ตสีดำคันหรู ก่อนที่จะเปิดประตูรถแล้วสตาร์ขับออกไป
                         อากาศในเช้าวันนี้เป็นไปอย่างสดชื่น ไม่ร้อนเกินไปและไม่เย็นจนเกินไป ทิวทัศน์สองข้างทางเติมไปด้วยต้นไม้สีเขียวขจี และเหล่าตึกรามบ้านช่องที่ปลูกไว้เรียงรายยาวกันออกไป ฝูงนกพิราบฝูงใหญ่โบยบินไปยังท้องฟ้าที่สดใส ชีวิตของพวกมันเป็นอิสระ แสงแดดอ่อนๆ ของพระอาทิตย์ยามเช้าอาบชโลมไปทั่วทั้งผืนฟ้า มองแล้วทำให้สบายตาอยู่ไม่น้อย
                        ทวิพัตรที่แต่งตัวอยู่ในชุดนักศึกษา ใบหน้าของเขาจัดว่าอยู่ในระดับหล่อเหลาเลยทีเดียว แค่สันจมูกที่โด่งออกมาก็เรียกเสียงกรี๊ดของสาวน้อยสาวใหญ่ได้แล้ว ไม่นับผิวพรรณที่ขาวสะอาดตา ทำให้เขาดูเป็นชายหนุ่มระดับสูงของสังคมไฮโซเลยทีเดียว เขากำลังตั้งหน้าตั้งตาขับรถไปที่มหาวิทยาลัย
                        ไม่แปลกเลยที่ชีวิตของเขาจะมีผู้หญิงเข้ามาให้เลือกมากมาย แต่นิสัยของเขาไม่ใช่คนเจ้าชู้ ชอบหรือไม่ชอบสิ่งไหนก็จะพูดอย่างตรงไปตรงมา ในชีวิตของเขา เขาเคยมีแฟนมาแล้ว คบหากันตอนช่วงเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย แต่เป็นอันต้องเลิกรากันไป เหลุผลก็ทั่วๆ ไป เพราะเข้ากันไม่ได้ บางครั้งนิสัยที่ต่างกันออกไปของเขา ทำให้คนที่จะมาร่วมแชร์ความทุกข์สุขก็ขอโบกมือลา แต่มันก็ทำให้เขาเสียใจได้ไม่นาน เพราะชีวิตนี้เขารักการเป็นอิสระ อยากทำอะไรก็ทำ อยากไปเที่ยวที่ไหนก็ไป แต่ถ้าสักวันหนึ่งเขาเจอคนที่ใช่แล้ว เขาอาจจะเปลี่ยนแปลงตัวเองก็เป็นได้
                         ชายหนุ่มขับรถของตัวเองมาจอดยังที่จอดรถของมหาวิทยาลัย ทันใดนั้นเขาเหลือบมองไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง เธอน่ารักสะดุดตาเขามาก ใบหน้าของเธอจิ้มลิ้มเหมือนเด็กที่ไร้เดียงสา ดูเธอออกจะโก๊ะๆ เสียด้วยซ้ำ เธอสวมเสื้อนักศึกษาสีขาว กระโปรงสีดำของเธอยาวลงมาคลุมหัวเข่า
                         ทวิพัตรมองตามหญิงสาวที่ก้าวเท้าเดินไปได้ไม่นาน เธอก็ก้มหน้าหยิบของบางสิ่งบางอย่างในกระเป๋าผ้าที่เธอสะพาย ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของชายหนุ่มก็ดังออกมา เธอที่กำลังก้มหน้าหยิบสิ่งของอยู่ในกระเป๋าอย่างไม่ทันระวังนั้น ศีรษะของเธอก็ดันไปชนกับเสาไฟฟ้าต้นเล็กๆ แล้วมันก็ทำให้เธอล้มลง
                         ผู้หญิงอะไร้ หน้าตาก็ออกจะน่ารัก แต่ดันทำตัวซุ่มซ่ามเซ่อซ่าไปได้ ฮ่า ฮ่า
                         แล้วเขาก็สะบัดความคิดนี้ทิ้งซะ เขาเลือกที่จะนั่งมองเธอและหัวเราะเงียบๆ อยู่คนเดียวภายในตัวรถ
                         หญิงสาวร้องออกมาเบาๆ ด้วยความเจ็บปวด เธอใช้มือข้างหนึ่งกุมศีรษะไว้ ส่วนมืออีกข้างใช้รับโทรศัพท์เจ้ากรรมที่มีใครบางคนโทรเข้ามาหาเธอพอดิบพอดี
                         “ฮัลโหล ค่ะ อาจารย์หรอคะ ได้ค่ะได้ เดี๋ยวหนูจะรีบไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ” หญิงสาววางสายโทรศัพท์จากคนที่โทรเข้ามา แล้วเธอก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับก้าวเท้าเดินด้วยอาการที่ยังไม่หายเจ็บศีรษะ
                        ทวิพัตรเห็นเช่นนั้นแล้วไม่รอช้า...เข้ารีบเปิดประตูรถออกมา แล้วเตรียมพร้อมที่จะสะกดรอยตามเธอไป เขารู้สึกเริ่มชอบเธอขึ้นมาแล้วล่ะสิ...
                         
                         ภายในรั้วมหาวิทยาลัยที่กว้างใหญ่ เหล่านักศึกษาชายหญิงต่างก็เดินกันอย่างขวักไขว่ ทวิพัตรคอยเดินสะกดรอยตามหญิงสาวที่เขาแอบชอบตามไปเรื่อยๆ เธอคนนั้นยังไม่รู้สึกตัว แต่แล้วก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เธอหันหลังกลับมามอง เธอรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครบางคนกำลังเดินตามหลังเธอมาเรื่อยๆ แต่พอเวลาหันหลังกลับไปมองทีไร ก็ไม่เห็นสิ่งที่ผิดปรกติเลยสักครั้ง
                         สงสัยเมื่อคืนจะนอนดึกไปหน่อย เลยทำให้ประสาทออกจะเบลอๆ อย่างบอกไม่ถูก      
                         ทวิพัตรคอยรักษาระยะห่างให้พอดีระหว่างการสะกดรอยตามเธอไป บางครั้งหญิงสาวก็หันหลังกลับมามอง มันทำให้เขาต้องคอยทำ ‘เนียน’ อยู่ตลอด หลบตามเสาไฟฟ้าบ้างล่ะ ทำเป็นก้มผูกเชือกรองเท้าบ้างล่ะ ทำไงได้...ก็เขารู้สึกว่าเธอโดนใจอยู่นี่น่า... 
                         ถ้าเข้าไปทำความรู้จักซะตอนนี้ ก็กลัวว่าเป้าหมายจะตื่นตกใจเสียก่อน เอาเป็นว่าค่อยเป็นค่อยไปล่ะกัน อิอิ...    
                         แผนการสะกดรอยตามของทวิพัตรเป็นไปอย่างราบรื่น หรือเพราะความบังเอิญก็ไม่รู้ หญิงสาวที่เขาแอบติดใจอยู่ เธอทำสมุดเรียนของเธอหล่นลงพื้นอย่างโดยไม่รู้สึกตัว คราวนี้เขาไม่รอช้า รีบเดินไปเก็บสิ่งของที่เธอทำหล่นเอาไว้
                         เอ... ชื่อจริงฟ้าประกาย นามสกุลสำราญพร ชื่อเล่นชื่อแอปเปิ้ล ดูๆ ไปชื่อก็น่ารักดีนะเนี่ย แอปเปิ้ลชื่อออกจะน่ากินเสียด้วย
                          คราวนี้ก็ทำให้ทวิพัตรรู้ชื่อของเธอแล้ว แต่สมุดเรียนเล่มนี้เขาจะนำมันเอาไปคืนให้เธอให้ได้
                         แต่เธอกำลังจะเดินไปไหนกันนะ...ตึกกิจกรรมอย่างนั้นหรอ...ได้การล่ะ
                         ก่อนที่ทวิพัตรจะเดินตามฟ้าประกายขึ้นไปยังตึกกิจกรรมนั้น เพื่อนซี้สุดแสบของเขาก็เดินเข้ามาขวางหน้าเอาไว้ก่อน
                         “ไอ้พัตร แกจะเดินไปไหนเนี่ย”
                        ผู้ที่ถูกเรียกเกิดอาการตกใจเล็กน้อย แล้วเขาก็พยายามปรับสถานการณ์ให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
                        “อ๋อป่าว ไม่มีอะไร ก็แค่เดินมาเข้าห้องน้ำ”
                        “เข้าห้องน้ำหรอ?” ภูวดลพูดทวนประโยคที่เขาได้ยิน “แกบ้ารึป่าววะ ห้องน้ำมันอยู่ตรงนี้ไม่ใช่หรอ ข้างบนมันห้องกิจกรรมแล้วโว้ย”
                        “อ๋อหรอ เออฉันลืมไป นี่ใช่ป่าวว่ะห้องน้ำ”
                         ภูวดลงุนงงกับท่าทางของเพื่อนคนนี้ “แกเป็นอะไรมากป๊ะ ไหวป่าวเนี่ย ไหนดูดิ๊ ขอฉันจูนหน่อย” แล้วเจ้าเพื่อนตัวยากของทวิพัตรก็เอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งไปแตะขมับของเขา
                         “ไอ้ภู! ฉันไม่ได้เป็นอะไรโว้ย! เขานิ้วแกออกไปเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวพ่อก็จับฆ่าล้างห้องน้ำซะนี่ หลบไปฉันจะไปเข้าห้องน้ำ” แล้วทวิพัตรก็ก้าวเท้าเดินออกมาจากภูวดล เพื่อที่เขาจะเดินไปเข้าห้องน้ำ
                         “เฮ้ยไอ้พัตร! รอฉันด้วยสิโว้ย!”
                         ทวิพัตรรู้สึกมีความสุขเล็กๆ ที่ได้รู้จักชื่อของหญิงสาวที่เขาแอบปิ๊ง เขาเข้าไปนั่งบนฝาชักโครก เพื่อทบทวนเหตุการณ์เมื่อครู่ ที่ดูเหมือนกับว่าเขาเป็นพวกคนโรคจิตที่คอยแอบสะกดรอยตามเธอยังไงยังงั้น
                         แอปเปิ้ลหรอ...จะหวานอย่างชื่อมั๊ยน๊า ยังงี้ต้องลองทำความรู้จักซะแล้วสิ...
                         แล้วทวิพัตรก็คิดหาแผนการแผนที่สอง ที่จะทำให้เขาได้สืบสานความสัมพันธ์ขั้นแรกต่อเธอ อย่างแรกเลยเขาต้องทำความรู้จักเธอให้จงได้ อย่างน้อยเวลานี้ เขาก็รู้แล้วล่ะว่าเธอเป็นเด็กปีหนึ่งที่มีอายุเท่ากับเขา แล้วเธอคนนี้ก็คงจะอยู่ไม่ไกลจากตึกคณะที่เขาเรียนซักเท่าไหร่ เพราะเมื่อตระกี้ มันก็ทำให้เขารู้แล้วว่า หญิงสาวที่ชื่อฟ้าประกายคงต้องอยู่ชมรมไหนชมรมหนึ่งภายในตึกกิจกรรมแห่งนี้เป็นแน่ คราวนี้ล่ะ...เขาจะไม่ปล่อยให้คนที่เขาสะดุดชอบต้องหลุดมือไปได้แน่...อิอิ...
                         ในช่วงเช้าของมหาวิทยาลัย...เป็นการต้อนรับนักศึกษาใหม่หรือที่เรียกกันว่า ‘กิจกรรมรับน้อง’ ทั้งทวิพัตรและภูวดลต่างก็ถูกกลั่นแกล้งโดยพวกรุ่นพี่ที่มีอายุมากกว่า ทั้งสองโดนทั้งแป้งฝุ่นปะบนใบหน้าจนขาววอก รวมทั้งโดนอาหารเมนูจานแปลกๆ ที่พวกรุ่นพี่นำมาให้รับประทาน ชายหนุ่มทั้งสองรวมทั้งพวกรุ่นพี่ในขณะต่างก็สนุกสนานกันยกใหญ่
                         ทวิพัตรรู้สึกว่ากิจกรรมรับน้องสนุกสนานเหลือเกิน รู้สึกอบอุ่นที่พวกพี่ๆ ให้ความเอาใจใส่ดูแลสมาชิกใหม่ที่ก้าวเข้ามาเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ รู้สึกว่ากิจกรรมแบบนี้จะนำความสามัคคีมาสู่พวกพ้องนักศึกษาทุกๆ คน อย่างว่าความรู้สึกแบบนี้มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิต พอระยะเวลาผ่านพ้นไป เขาและเพื่อนๆ ทุกคน ก็ต้องกลับกลายเป็นพวกรุ่นพี่ที่ต้องคอยเป็นผู้นำช่วยเหลือดูแลพวกรุ่นน้องต่อไป...
                        “โอ้โห ไอ้พัตร ดูพวกเราสองคนสิ เละไม่มีชิ้นดี” ภูวดลเอ่ยพูดกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ภายในบริเวณอ่างล้างหน้า พวกเขาทั้งสองอยู่ในสภาพที่ดูไม่จืด ชุดนักศึกษาต่างก็เละเทะกันไปหมด
                        “พวกรุ่นพี่นี่ก็แกล้งพวกเราดีจัง เฮ้อ...” ทวิพัตรถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “แต่ก็สนุกดีนะ เออไอ้ภู แกจะสมัครเข้าชมรมไหนวะ” เขาเอ่ยถามภูวดล เพราะตัดสินใจเอาไว้แล้วว่า ภายในอาทิตย์นี้เขาต้องพยายามไปยื่นใบสมัครเข้าชมรมเดียวกันกับฟ้าประกายให้จงได้
                        “ฉันคิดดูแล้วนะ ชมรมที่มีสาวกรี๊ดมากที่สุด ก็น่าจะเป็นชมรมกีฬาแหละ ฉันจะเข้าชมรมฟุตบอลหรือไม่ก็บาสเก็ตบอล ทีนี้แหละ ฉันจะได้มีสาวๆ ควงไปไหนมาไหนเยอะๆ ไง” พอภูวดลพูดจบประโยค เขาก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์  
                        ทวิพัตรส่ายศีรษะอย่างเอื่อมระอา เจ้าเพื่อนตัวยากยังมีนิสัยเจ้าชู้อย่างแก้ไม่หาย “แกก็เป็นซะอย่างนี้แหละไอ้ภู วันไหนวันนึงระวังรถไฟจะชนกันนะเว้ย ทีนี้แหละอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
                        “ไม่หรอกน่าไอ้พัตร แกก็รู้นี่หว่าฉันมันระดับปรมาจารย์เว้ย ถ้าแกอยากมาเป็นลูกศิษย์ของฉันก็บอกนะ เดี๋ยวสอนให้”
                        “โอ๊ย ไม่เอาหรอก ขืนฉันเป็นอย่างแก พอดีก็ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนซักที” ทวิพัตรปฏิเสธ เป้าหมายของเขาในตอนนี้คือฟ้าประกายคนเดียวเท่านั้น เขาอยากทำความรู้จักเธอให้ซะรู้แล้วรู้รอด
                         ภูวดลก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนที่เขาจะขอแยกตัวไปจากทวิพัตร “เออไอ้พัตร ฉันต้องไปแล้วว่ะ พอดีนัดน้ำฝนไว้ ว่าที่หวานใจฉันคนใหม่เว้ย เพิ่งคุยกันตอนรับน้องเมื่อตระกี้เอง”
                        “ใครวะ สาวๆ ของแกเยอะชะมัด เออไปเถอะ แล้วตอนเย็นเจอกันนะเว้ย”
                         แล้วกิจกรรมรับน้องในช่วงเช้าก็ทำการหยุดลง เพื่อให้นักศึกษาแต่ล่ะคนมีเวลาว่างไปรับประทานอาหาร หรือไปสมัครเข้าชมรมต่างๆ ที่มหาวิทยาลัยจัดเตรียมไว้ให้
                        ทันใดนั้นเองทวิพัตรก็เหลือบมองไปเห็นฟ้าประกาย เธออยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ ประมาณสี่ห้าคน สภาพร่างกายและใบหน้าต่างก็เละเทะไม่ต่างไปจากเขาเลย
                        รอยยิ้มอันสดใสและเสียงหัวเราะที่ร่าเริงของเธอ มันทำให้สายตาของทวิพัตรไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้เลย ราวกับว่าต้องมนต์สะกดยังไงยังงั้น
                        “นี่แอปเปิ้ล ดูผู้ชายคนนั้นสิ จ้องเธอตาไม่กระพริบเลย” เพื่อนคนหนึ่งภายในกลุ่มสังเกตเห็นทวิพัตรจ้องมองเพื่อนของเธออยู่
                         แล้วฟ้าประกายก็เหลือบมองไปเห็นสายตาของชายหนุ่ม ที่เอาแต่จ้องมองเธอจนผ่านไปหลายวินาที
                         ตาบ้านี่โรคจิตหรือป่าวเนี่ย หน้าตาผิวพรรณก็ออกจะดี แต่คนสมัยนี้ไว้ใจกันได้ง่ายๆ ซะที่ไหน
                         แล้วฟ้าประกายก็ส่งสายตาดุไปให้เขา เธอทำหน้ามุ่ยด้วยอาการเขินอายเล็กน้อย แล้วก็หันหน้าไปบอกกับเพื่อนๆ ภายในกลุ่ม “ไปกันเถอะ นายคนนี้ท่าทางจะโรคจิต อย่าไปสนใจเลย”
                         “แต่เขาก็หล่อดีนะแอปเปิ้ล ไม่ลองเข้าไปคุยกับเขาดูหน่อยหรอ” เพื่อนอีกคนภายในกลุ่มพูดออกมา
                         “จะบ้าหรอ! ฉันเป็นผู้หญิงนะเว้ย! ถ้าเขาอยากจะคุยด้วย ก็เดินเข้ามาเองสิ แหมพูดซะเหมือนกับว่าฉันติดใจนายรูปหล่ออะไรนั่น”
                         แล้วฟ้าประกายก็หันหลังเดินไปกับกลุ่มเพื่อนๆ ของเธอ ด้วยการที่ไม่ทันระวังตัว เธอก็สะดุดก้อนหินจนหกล้ม ใบหน้าเกือบขมำกับพื้นปูน
                        ผู้หญิงอะไร้ซุ่มซ่ามเป็นบ้าเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทวิพัตรคิดในใจ เขารีบเดินไปดูอาการของฟ้าประกายในทันทีทันใด
                        “คุณ...เป็นอะไรมากหรือป่าว? ไหนขอผมดูหน่อยซิ ว่าเจ็บตรงไหน?”
                        หญิงสาวร้องออกมาด้วยอาการเจ็บปวด “อู๊ย...นายนี่ ฉันเจ็บนะ เป็นเพราะนายนั่นแหละ ที่ทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้”
                        ทวิพัตรงุนงงอย่างมาก เขาเบิกตากว้าง แล้วเอ่ยถามหญิงสาวที่นอนเจ็บอยู่ตรงหน้า “ผมนี่นะ...คุณสะดุดล้มเองต่างหาก”   
                        “นายนั่นแหละ เอาแต่จ้องมองฉัน ทำให้ฉันสะดุดล้มเลยเห็นมั้ย อู๊ย...เจ็บไปหมดแล้วเนี่ย”
                        แล้วชายหนุ่มก็หัวเราะออกมา เขารู้สึกว่าเธอซุ่มซ่ามยังไม่พอ แถมยังมีความน่ารักที่แสดงออกมาอย่างใสซื่ออีกด้วย
                        “หัวเราะทำไม? ผิดแล้วไม่ยอมรับผิดอีก” ฟ้าประกายทำตาดุใส่ทวิพัตร แล้วมันก็ทำให้เขาหยุดหัวเราะในทันที
                       ผู้หญิงอะไร้ มองใกล้ๆ แล้วน่ารักชะมัด
                         “นี่พวกเรา พายัยแอปเปิ้ลไปห้องพยาบาลก่อนเถอะ นี่คุณรูปหล่อ ยังไงก็ช่วยพวกเราพยุงแอปเปิ้ลไปห้องพยาบาลด้วยนะ”
                         “เก๋...” ฟ้าประกายเอ่ยเสียงเข้ม “ไม่ต้องให้เค้าพาไปหรอก ฉันเดินเองได้”
                         “ไหวหรอคุณ? สงสัยขาจะพลิกนะเนี่ย ไหนให้ผมดูหน่อย” แล้วชายหนุ่มก็ใช้มือจับไปตรงข้อเท้าของหญิงสาว
                         “โอ๊ย...” เธอร้องออกมาอย่างสุดเสียงด้วยอาการเจ็บปวด “นายนี่ เบาๆ หน่อยสิ ฉันเจ็บนะ”
                         “ผมขอโทษ แต่สงสัยขาจะพลิก เดี๋ยวเอาน้ำแข็งประคบ แล้วก็ใช้ยานวดข้อเท้า สองสามวันก็หายแล้วล่ะ”
                         ฟ้าประกายมองใบหน้าของชายหนุ่มที่ดูท่าทางจะอ่อนโยน ดูๆ ไปแล้วเขาก็ไม่น่าจะใช่คนโรคจิตอะไร
                         “เก๋ ออย ปุ๊ก ฟ้า พวกแกพาฉันไปห้องพยาบาลที ส่วนนาย ฉันก็ขอบใจ แต่ทีหน้าทีหลังถ้ามาจ้องมองกันแบบนี้อีก ฉันจะหาว่านายเป็นพวกโรคจิต”
                         “ฮ่า ฮ่า ฮ่า โรคจิตอะไรกันคุณ ผมก็เป็นนักศึกษาที่เรียนที่นี่นะ แล้วมาว่าผมเป็นพวกโรคจิตอีก”
                         “แล้วนายมาจ้องมองฉันทำไมล่ะ?” ฟ้าประกายเอ่ยถามด้วยการอยากรู้คำตอบ
                         “ก็...” ยังไม่ทันที่ทวิพัตรจะเอ่ยบอกคำตอบแก่ฟ้าประกาย เพื่อนๆ ภายในกลุ่มของเธอก็ช่วยกันพยุงร่างบางของเธอขึ้นมาจากพื้นเสียก่อน
                         โธ่เอ๊ย...ก็จะบอกว่าที่จ้องมองก็เพราะน่ารักนั่นนะแหละ อดเลย...ไม่เป็นไร วันพระไม่ได้มีหนเดียวนี่หน่า อิอิ...
                         แล้วเพื่อนๆ ของผู้บาดเจ็บก็พาเธอไปยังห้องพยาบาลของมหาวิทยาลัย ก่อนที่เธอและเพื่อนๆ ทั้งหมด จะเดินจากไปยังที่แห่งนั้น เธอยังหันหลังส่งสายตาขุ่นเคืองมาทางเขาด้วย
                         ผู้หญิงอะไร้ เวลาค้อนยังน่ารักไม่เปลี่ยนเลย
                         กิจกรรมรับน้องใหม่ดำเนินไปตลอดทั้งวัน นักศึกษาแต่ล่ะคนต่างก็สนุกสนานกันยกใหญ่ จนเวลาร่วงเลยมาถึงช่วงเย็น ทวิพัตรได้เดินตามหาฟ้าประกายจนทั่วมหาวิทยาลัย เผื่อว่าเขาจะได้ช่วยเหลือเธอ โดยการขับรถไปส่งที่บ้าน เพราะเวลานี้...เธอคงจะเดินทางกลับที่พักอาศัยโดยรถประจำทางไม่ไหวเป็นแน่
                         ชายหนุ่มเดินหาจนทั่ว แต่ก็ยังไม่พบวี่แววของหญิงสาวเลย เขาเลยตัดสินใจเดินไปทางตึกกิจกรรม เผื่อว่าเธอจะอยู่ที่นั่น
                         แล้วก็เป็นดั่งที่ทวิพัตรคาดเอาไว้ไม่มีผิด ฟ้าประกายกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะม้าหินอ่อน ดูท่าทางของเธอแล้ว สงสัยกำลังจะรอผู้เป็นเพื่อนอยู่ เขาไม่รอช้าเดินตรงไปหาเธอในทันที
                         “กำลังรอใครอยู่หรอครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามหญิงสาว เธอหันใบหน้ามาทางเขาด้วยอาการแปลกใจเล็กน้อย
                         “เรื่องของฉัน มันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย” เธอตอบด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองนิดๆ
                         “โห ดุจัง ทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะครับ ก็ผมเป็นต้นเหตุทำให้คุณต้องเป็นแบบนี้”
                         “นายมีอะไรก็ว่ามา ฉันไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงกับนายหรอกนะ ฉันจะรีบกลับบ้าน”
                         “แล้วจะกลับยังไงล่ะครับ ดูสภาพตอนนี้สิ เดินจะไหวหรือป่าวก็ไม่รู้” ทวิพัตรพูดออกไป ในหัวสมองของเขาวางแผนการทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว ว่าจะขออาสาตัวไปส่งเธอให้ถึงบ้าน
                         “ฉันรอเพื่อนอยู่ย่ะ”
                         “รอเพื่อน...” ชายหนุ่มย้ำคำ “เอางี้ดีมั้ย ผมจะนั่งรอเป็นเพื่อนคุณ อีกสิบนาที ถ้าคนที่คุณรอยังไม่มา ผมจะอาสาไปส่งคุณที่บ้านเอง ดีมั้ย?” เขาคิดในใจ แอบหวังว่าเธอจะรับข้อเสนอที่เขาได้บอกออกไปเถอะนะ
                         “เอ๋...ได้ไง” เธอทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย
                         “ได้สิ นี่ก็จะมืดแล้วนะคุณ สังคมสมัยนี้พวกโจรขโมยออกจะเยอะ คุณไม่ได้อ่านข่าวหรอ สองสามวันมานี้ มีข่าวผู้หญิงถูกฆ่าข่มขืน” 
                         ฟ้าประกายทำสีหน้าหวาดกลัวเล็กน้อย ทีนี้ก็เข้าทางทวิพัตรล่ะ อิอิอิ...
                         “ก็ได้ แต่...ถ้าสิบนาทีแล้วเพื่อนฉันยังไม่มา ฉันถึงจะไปกับนาย”
                         ทวิพัตรและฟ้าประกายต่างก็นั่งรอเวลา ในช่วงนี้มีแต่ความเงียบมาครอบคลุมบรรยากาศ ณ. ที่แห่งนั้น ทั้งสองไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก แค่ถามชื่อของกันและกัน (แต่ชื่อของเธอเขาได้รับรู้อยู่ก่อนแล้ว) แล้วก็ถามเกี่ยวกับคณะของกันและกันที่ตนเองได้เรียนอยู่
                         พูดคุยกันไปได้สักพัก ทวิพัตรก็ได้รับรู้ว่า ฟ้าประกายเรียนอยู่คณะเกษตรกรรม แถมเธอยังเป็นประธานกิจกรรมของนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง ชมรมอนุรักษ์โลกร้อนเสียด้วย
                         “เนี่ยอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ชมรมเรามีกิจกรรมออกค่ายปลูกป่าด้วยนะ นายสนใจไหมล่ะ?”
                         ชายหนุ่มเริ่มที่จะคิดหนักซะแล้ว เพราะเขาไม่เคยที่จะใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องอนุรักษ์โลกร้อนซะเท่าไหร่ แถมโรงงานของพ่อกับแม่ที่กำลังดำเนินกิจการอยู่ในขณะนี้ ก็ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาทำลายมลภาวะอยู่เรื่อยๆ
                         “ขอผมคิดดูก่อนได้มั้ย?”
                         “โธ่เอ๊ย...อย่าบอกนะว่า นายไม่เคยใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องความร้อนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่ในโลกของเรา”
                         จะตอบยังไงดีล่ะ ทวิพัตรเริ่มที่จะคิดหนักซะแล้ว ครั้นจะบอกความจริงให้เธอรับรู้เรื่องครอบครัวของเขาก็ยังไม่กล้า กลัวว่าเธอจะมองว่าเขาเป็นพวกที่ไม่ใส่ใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ก็จริงนั่นแหละ เขาก็ไม่เคยใส่ใจเรื่องพวกนี้เลย
                         “ตามสัญญา ครบสิบนาทีแล้ว คุณต้องให้ผมไปส่งที่บ้าน” ชายหนุ่มหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถาม แล้วหันไปบอกกับหญิงสาวแทน
                         ครบเวลาที่กำหนด ผู้เป็นเพื่อนของฟ้าประกายก็ยังไม่มีวี่แววโผล่ออกมาซะที เธอก็ต้องให้เขาไปส่งที่บ้านตามสัญญา
                         ทวิพัตรพยายามที่จะพยุงร่างของฟ้าประกาย แต่เธอก็ไม่ยอมให้เขาถูกเนื้อต้องตัวเด็ดขาด
                         “ไม่ต้อง! ฉันเดินเองได้”
                         “ตามใจคุณแล้วกัน”
                        ชายหนุ่มส่งเสียงร้องเพลงอย่างสบายอารมณ์ตามทางเดินของมหาวิทยาลัย โดยมีหญิงสาวเดินขากระเพลกตามหลังมา เสียงร้องเพลงของเขา ทำให้เธอหมั่นไส้อยู่ไม่น้อยเลย
                         “นี่นาย หยุดร้องได้ไหม แล้วก็ช่วยเดินช้าๆ หน่อย ไม่เห็นหรือไงคนเจ็บเนี่ย”
                         ทวิพัตรอมยิ้มกับคำพูดของฟ้าประกาย
                         ทำเป็นเก่ง โธ่เอ๊ย...อย่างงี้ต้องแกล้งซะให้เข็ด
                         “ก็คุณไม่ยอมให้ผมช่วยนี่น่า ทำไงได้” เขาเกือบจะหัวเราะออกมาเสียแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเธอยอมให้เขาไปส่งที่บ้าน สมมุติว่าแกล้งเธอเข้ามากๆ ก็กลัวว่าเธอจะไม่ยอมให้เขาไปส่งที่บ้านก็เป็นได้
                         ทวิพัตรและฟ้าประกายต่างก็ก้าวเท้าเดินไปยังลานจอดรถของมหาวิทยาลัย พวกเขาทั้งสองมาหยุดอยู่ตรงรถสปอร์ตสีดำคันหรู เมื่อหญิงสาวเห็นดังนั้น ก็คิดขึ้นมาว่า ชายหนุ่มผู้นี้ดูท่าทางร่ำรวยมาก สงสัยจะมาจากชาติตระกูลของเศรษฐี เธอเลยตัดสินใจเอ่ยถามเขาขึ้นมา
                         “นี่รถนายหรอ?” เธอเลิกคิ้วไปทางเขาอย่างสงสัย
                         “ใช่แล้ว รถผมเอง ถามทำไมหรอ?”
                         “สงสัยจะกินน้ำมันน่าดู นายน่าจะช่วยประเทศชาติประหยัดทรัพยากรมั่งนะ”
                         ประหยัดหรอ คำคำนี้ไม่เคยอยู่ในหัวสมองของเขาเลยสักนิดเดียว
                         “ค่าน้ำมันแต่ละวันของผมมันก็ไม่แพงหรอกนะคุณ วันนึงก็ตกราวๆ พันกว่าบาทเอง”
                         เมื่อหญิงสาวได้ยินดังนั้น เธอก็แทบจะไม่เชื่อว่า ชายหนุ่มผู้นี้จะใช้ทรัพยากรพลังงานอย่างสิ้นเปลือง แค่ค่าเติมน้ำมันรถยนต์ของเขาในหนึ่งวัน มันเทียบเท่ากับค่าใช้จ่ายในการประทังชีวิตของเธอเกือบๆ หนึ่งอาทิตย์เลยทีเดียว
                         “พันกว่าบาทเลยหรอ แล้วทำไมถึงไม่ทำเครื่องยนต์ให้เป็นก๊าซNGVหรือLVGล่ะ?” ฟ้าประกายเอ่ยถามทวิพัตรอย่างใคร่รู้
                         ชายหนุ่มพยายามอธิบายเรื่องที่เธออยากรู้ให้เธอรับฟังอย่างเข้าใจ เพราะความสะดวกสบายของคนมีสตางค์ มันก็มักจะทำอะไรก็ได้อย่างที่ใจต้องการ
                         “งั้นฉันไม่ไปกับนายล่ะ ฉันจะไปนั่งรถเมล์ สบายใจกว่ากันเยอะ” ฟ้าประกายพยายามเดินเลี่ยงออกไปยังที่แห่งนั้น ทำให้ทวิพัตรเกิดอาการงุนงงอย่างฉับพลัน นี่เขาทำอะไรผิดเนี่ย
                        หญิงสาวก้าวเท้าเดินอย่างไม่ถนัดนัก ทำให้ชายหนุ่มคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ได้
                        “เดี๋ยวสิคุณ จะเดินหนีไปไหน?”
                        “ว๊าย!” อย่างไม่ทันระวังตัว ร่างบางของหญิงสาวก็สะดุดเข้ากับขาของตัวเอง ความซุ่มซ่ามของเธอ ทำให้ชายหนุ่มใช้มือทั้งสองข้างประคองตัวเธอเอาไว้ ใบหน้าของเธอซบเข้ากับอกกว้างของเขาอย่างกับนางเอกสะดุดล้มในละครหลังข่าว ทำให้พระเอกเข้าไปช่วยโดยการขว้างร่างบางของเธอเอาไว้
                         เขาและเธอสบสายตากันชั่ววินาทีหนึ่ง ก่อนที่ทวิพัตรจะเอ่ยบอกกับฟ้าประกายข้างใบหูเธออย่างแผ่วเบา
                         “คุณนี่ซุ่มซ่ามจัง”
                         ฟ้าประกายรู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าว เธอไม่เคยอยู่ประชิดตัวผู้ชายแบบนี้มาก่อน ทำให้ใจเธอเต้นแรง แถมแก้มเนียนทั้งสองข้างของเธอก็ค่อยๆ เปลี่ยนสีด้วยอาการเขินอาย
                         กลิ่นหอมอ่อนๆ ของร่างกายเธอช่างนุ่มนวลและอ่อนโยนเสียเหลือเกิน เขาสัมผัสได้จากร่างที่บอบบางราวกับปุยนุ่น
                         แล้วปฏิกิริยาตื่นตกใจก็ตอบสนองออกมาจากร่างกายของฟ้าประกาย “นี่นาย! ปล่อยนะ!” เธอพยายามใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างดันหน้าอกของเขาให้ห่างออกไป
                         แต่ทวิพัตรก็ไม่ยอมทำตามคำสั่งของเธอ เขายังติดใจช่วงเวลานี้อยู่
                         เรื่องอะไรจะยอมปล่อยเล่า ปล่อยก็โง่แล้ว...
                        “ผมจะไม่ปล่อยคุณ จนกว่าคุณจะบอกสาเหตุว่าทำไมถึงไม่ยอมขึ้นรถไปกับผม”
                        “คนอย่างนาย ฉันไม่ยอมนั่งรถไปด้วยหรอก”
                        แต่ก่อนที่ทวิพัตรจะเอ่ยอะไรออกมา ก็มีเสียงตะโกนร้องเรียกหาชื่อของฟ้าประกายเสียก่อน และมันก็ทำให้เขายอมปล่อยร่างบางออกจากอ้อมอกของเขาแต่โดยดี
                         “แอปเปิ้ล! แอปเปิ้ล! แกอยู่ตรงไหนเนี่ย ได้ยินฉันมั้ย?”
                         ฟ้าประกายตะโกนกลับไปหาต้นเสียงที่ร้องเรียกชื่อของเธอ “เก๋! ฉันอยู่นี่”
                         แล้วเพื่อนของเธอก็รีบวิ่งมาตรงจุดที่ชายหนุ่มและหญิงสาวกำลังยืนอยู่ คนทั้งคู่แสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
                         “โธ่เอ๊ย ยัยเปิ้ล ฉันล่ะเป็นห่วงแกแทบแย่ ที่แท้ก็อยู่กับนายสุดหล่อคนนี้นี่เอง ตามหาซะทั่วเลย โทรหาแกก็ไม่ติด”
                         ทวิพัตรพยายามยิ้มเจื่อนๆ ให้กับผู้เป็นเพื่อนของฟ้าประกายที่มีชื่อว่าทิพวรรณ
                         “เก๋ไปกันเถอะ ฉันไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว คนบ้าอะไรก็ไม่รู้” แล้วหญิงสาวก็พยายามฝืนก้าวเท้าเดินหนีไปจากชายหนุ่มให้รวดเร็วที่สุด โดยไม่กลัวว่าอาการบาดเจ็บของเธอจะกำเริบมากกว่าเดิม
                         “เปิ้ล แกอย่าเดินไวนักสิ เดี๋ยวข้อเท้าแกก็จะกำเริบหรอก ยัยเปิ้ล! รอฉันด้วย!”
                         ทิพรววณพยายามหันหน้ามาทางทวิพัตรอีกครั้ง เธอไม่รู้เลยว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ที่ทำให้เพื่อนของเธอเกิดอาการโกรธเคืองอย่างนี้ ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้าและยิ้มเจื่อนๆ ให้กับเธอ
                         สายตาของทวิพัตรยังคงมองออกไปยังร่างบางที่เดินขากระเพลก เขายังงุนงงไม่หาย แต่มันก็ทำให้เขามีความสุข ที่ได้กลั่นแกล้งเธอเล็กๆ น้อยๆ แถมกลิ่นหอมของผู้ที่โกรธเคือง ยังติดอยู่ในโสตประสาทรับสัมผัสของเขาอย่างไม่จางหาย
                          ...ช่างหอมเหลือเกิน...
                         ชายหนุ่มยังไม่ละสายตาไปจากหญิงสาว เธอคนนี้ช่างน่ารักสำหรับเขาเหลือเกิน สักวันหนึ่ง...เขาจะพยายามครอบครองหัวใจของเธอมาให้จงได้...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×