ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กอดหัวใจเธอมารัก

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่7

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.พ. 55


    บทที่7
               เช้าวันรุ่งขึ้น...ฟ้าประกายเดินทางออกจากบ้านพักด้วยความแจ่มใส อากาศในวันนี้ช่างสดชื่นเหลือเกิน เสียงเหล่านกน้อยเอ่ยทักทายเธอตามทางเดินของถนน เธอไปยืนคอยรถประจำทางตรงป้ายจอดรถ เพื่อที่จะเดินทางไปมหาวิทยาลัย
               หญิงสาวเดินทางมาถึงห้องกิจกรรมของชมรมอนุรักษ์โลกร้อน เป็นคนแรกเหมือนเช่นทุกวัน เธอต้องมาสะสางงานที่ยังคงค้างคาอยู่ ก่อนที่จะเดินทางไปออกค่ายปลูกป่าในอีกไม่กี่วัน เธอรู้ดีว่าในทุกๆ เช้า ชายหนุ่มจะมาคอยกลั่นแกล้งหรือพูดคุยกับเธออยู่เสมอ เธอจึงวางแผนการเอาไว้ว่า ถ้าเขาเดินทางมาถึงห้องกิจกรรมเมื่อไหร่ เธอจะไม่ยอมปริปากพูดคุยกับเขาอย่างแน่นอน เธอรออยู่นาน แต่ก็ไม่มีวี่แววที่เขาจะปรากฏตัวออกมาเลย
               ถึงช่วงพักกลางวันก็แล้ว ช่วงเย็นก็แล้ว เธอก็ไม่พบหน้าเขาเลยสักครั้ง โทรศัพท์เครื่องของเธอก็ไม่มีแม้แต่Misscallเบอร์โทรของเขา หรือข้อความที่เขาส่งมาเลยสักครั้ง
               ฟ้าประกายชักตงิดใจอย่างบอกไม่ถูก ทำไมนะเธอถึงไม่พบหน้าของทวิพัตรในมหาวิทยาลัย แต่ก็ดีอยู่เหมือนกัน จะได้ไม่มีใครมากวนประสาทให้เธอหัวเสีย แต่ลึกๆ ในใจแล้ว เธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป เธอต้องทำอย่างไรดีนะ...
               ฟ้าประกายเดินทางกลับบ้านด้วยความเงียบเหงา เธอรู้ดีว่าในวันพรุ่งนี้เช้า ทวิพัตรคงจะโผล่หน้าออกมากวนประสาทเธอเหมือนเดิมล่ะน่า เขาก็แค่ไม่มาเรียนวันเดียวเอง ทำไมเธอต้องคิดถึงเรื่องของเขาถึงเพียงนี้ด้วย
               ภายในห้องส่วนตัวของฟ้าประกาย เป็นเวลาดึกมากแล้ว แต่ทำไมเธอถึงหลับไม่ลงเสียที เป็นเพราะอะไรกันนะ เธอพยายามเงี่ยหูฟังเสียงโทรศัพท์มือถืออยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีวี่แววที่ใครบางคนจะติดต่อมาหาเธอเลย เธอได้แต่ฟังเพลงของท่วงทำนองบอกอารมณ์ที่เปลี่ยวเหงา จิตใจของเธอได้ปล่อยอารมณ์ไปตามเสียงเพลง
               ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เธอรีบกดรับสายอย่างรวดเร็ว โดยไม่มองแม้แต่เบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอ เธอคิดว่าต้องเป็นเขาที่โทรมากวนประสาทเธอแน่ๆ
               “นายมีอะไรโทรมาหาฉันซะดึกดื่น?” แต่มันไม่เป็นอย่างที่เธอคิด ต้นสายที่โทรเข้ามาหาเธอก็คือทิพวรรณ มันทำให้ในใจของเธอเกิดอาการผิดหวังอยู่เล็กน้อย
               “แอปเปิ้ล แกเป็นอะไรเนี่ย นายอะไรหรอที่จะโทรมาหาแกตอนนี้ บ้าป่าวแก”
               “อ้าว ยัยเก๋เองหรอ ทำไมยังไม่นอนอีก ดึกแล้วนะ” ฟ้าประกายตอบกลับไป
               “ฉันก็นอนเวลานี้ของฉันเกือบทุกวัน แล้วแกล่ะเปิ้ล รออะไรอยู่ ทำไมถึงไม่นอน” ทิพวรรณจับความผิดปรกติของน้ำเสียงผู้เป็นเพื่อนได้ เหมือนกับว่าเพื่อนของเธอมีปัญหาอะไรบางอย่างอยู่ในหัวใจ
               “ฉันหลับไม่ลงอ่ะเก๋ มันไม่ยอมง่วงเลย”
               “แกมีปัญหาอะไรหรือป่าว? ปรึกษาฉันได้นะ หรือว่าแกกำลังมีความรัก?”
               ฟ้าประกายไม่สามารถบอกความจริงแก่ทิพววรณเพื่อนสนิทของเธอได้ เธอไม่รู้ว่าจะให้เหตุผลอย่างไรดี เธอตอบตัวเองไม่ได้จริงๆ ว่าในตอนนี้เธอรู้สึกอย่างไรกับจิตใจของตัวเอง
               “ความรักบ้าอะไรกันเล่า แกก็รู้ว่าฉันไม่ค่อยสนใจผู้ชายนี่น่า ฉันก็แค่เหงาเท่านั้นแหละ เดี๋ยวตื่นมาก็คงหายเอง”
               “จริงนะแอปเปิ้ล ฉันหวังว่าแกคงจะไม่หลอกตัวเองนะ” ร้อยทั้งร้อยทิพวรรณเชื่อเลยว่าฟ้าประกายกำลังมีปัญหาเรื่องความรัก แต่เพื่อนของเธอไม่กล้าที่จะเอ่ยคำปรึกษากับเธอ
               “จริงสิ” ฟ้าประกายตอบกลับไป
               เมื่อสองสาวพูดคุยกันไปได้ซักพัก ทั้งสองก็เอ่ยราตรีสวัสดิ์แล้ววางสายไปจากกัน ฟ้าประกายเริ่มที่จะเกิดอาการง่วงนอนแล้ว เธอคิดว่าพรุ่งนี้เช้าทวิพัตรคงจะโผล่หน้ามาที่ห้องกิจกรรมเองล่ะน่า แล้วเธอก็เกิดความสบายใจจนเธอผล็อยหลับไป
               เช้าวันต่อมา...ฟ้าประกายเดินทางออกจากบ้านพักเวลาเดิม เธอฮัมเพลงไปตามทางเดินของถนน แล้วเธอก็มาหยุดรอรถประจำทาง ที่จะมารับเธอไปส่งยังมหาวิทยาลัย
               ตลอดวันที่เธอรอคอยอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่มีวี่แววของเขาเลย เขาหายไปไหน? เขาไม่สบายหรือป่าว? ทำไมเขาถึงไม่ส่งข่าวหรือโทรศัพท์มาบอกกันบ้างเลย...
               จนผ่านไปได้สามวัน...ฟ้าประกายก็ยังคงเฝ้ารอเสียงโทรศัพท์จากทวิพัตร ในชมรมอนุรักษ์โลกร้อนไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รู้ข่าวคราวของเขาเลย เธอเลยตัดสินใจกดเบอร์โทรศัพท์ไปหาเขา เพื่อที่จะหาข้ออ้างให้เขากลับมาเรียนหนังสือ แล้วมาทำกิจกรรมในชมรมอนุรักษ์โลกร้อน เพราะเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วัน ที่สมาชิกในชมรมทั้งหมดต้องเดินทางไปออกค่ายปลูกป่า ที่จังหวัดกาญจนบุรี
               แล้วฟ้าประกายก็พบแต่ความผิดหวัง มีเพียงเสียงฝากข้อความเท่านั้นที่ดังขึ้นมาให้เธอรับรู้ เธอรู้สึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก เธอก็คงทำได้แค่เพียงปล่อยให้ใจพัดไปตามสายลมเท่านั้น
    เธอไม่เคยบอกบอกให้รู้เรื่องราวในใจ
    เธอไม่เคยเปลี่ยนปล่อยฉันให้เดาให้หวั่นไหว
    เจอะกันอยู่ทุกวันได้แต่ส่งสายตาแล้วก็เพียงแค่หวังในใจ
    อยากได้ยินสักคำอยากให้บอกสักทีคิดกับคนคนนี้ยังไง
    เธอแค่เพียงบอกบอกให้รู้สักครั้งเป็นไร
    เธอแค่เพียงเอ่ยแอบหวังว่าคงจะตรงใจ
    แต่พอเธอพูดมา ออกจากปากของเธอ
    ฉันแค่เป็นเหมือนเหมือนใครใคร
    แค่อยากเจอทุกวันแค่อยากส่งสายตา ไม่ได้มีความหมายอะไร
    ใจหายไปเลยหายไปในอากาศ ลอยไปกับสายลมไปสู่ความเหงา
    ใจหายไปเลยเหลือเพียงความว่างเปล่า ฉันไม่ต้องรออีกต่อไป
    สิ่งที่เธอพูดมา ออกจากปากของเธอ ฉันแค่เป็นเหมือนเหมือนใครใคร
    แค่อยากเจอทุกวันแค่อยากส่งสายตาไม่ได้มีความหมายอะไร
    ใจหายไปเลยหายไปในอากาศ ลอยไปกับสายลมไปสู่ความเหงา
    ใจหายไปเลยเหลือเพียงความว่างเปล่า ฉันไม่ต้องรออีกต่อไป
    ใจหายไปเลยหายไปในอากาศ ลอยไปกับสายลมไปสู่ความเหงา
    ใจหายไปเลยเหลือเพียงความว่างเปล่า แล้วรักที่รอก็หลุดไป
    *เพลงใจหายไปเลย          
               เย็นวันนั้น...พรภัทรได้ชวนฟ้าประกายไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกันที่ห้างสรรพสินค้า แต่เธอก็ไม่ได้มีความสุขเลย จิตใจของเธอสับสนอย่างบอกไม่ถูก
               “น้องเปิ้ลครับ ทำไมทานน้อยจัง อาหารที่นี่ไม่อร่อยหรอครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามหญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงกันข้าม เมื่อพบว่าอาหารจานที่เธอรับประทานเสร็จ พร่องไปไม่ถึงครึ่งจาน
               “เปิ้ลรู้สึกไม่ค่อยหิวน่ะค่ะพี่โอ๊ต แต่อาหารเค้าก็อร่อยดีนะคะ” ฟ้าประกายตอบออกไปเพื่อรักษาน้ำใจของอีกฝ่าย
               “งั้นเอาอย่างนี้ดีกว่า เดี๋ยวน้องเปิ้ลรอพี่เข้าห้องน้ำแปบนึงนะครับ แล้วเดี๋ยวเราไปเดินดูของด้วยกัน”
               “ก็ได้ค่ะ”
               พรภัทรขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ฟ้าประกายได้แต่เหม่อลอยออกไปนอกกระจกร้านที่มีผู้คนกำลังเดินกันอยู่พลุกพล่าน เธอพยายามมองหาคนที่ทำให้หัวใจของเธอมีอาการเต้นผิดจังหวะ แต่เธอก็คิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร ผู้คนออกจะมากมายขนาดนี้ คงไม่มีทางพบเจอกันได้ง่ายๆ หรอก แล้วเขาก็คงไม่มีทางจะมาเดินเที่ยวนี่แห่งนี้เป็นแน่
               แต่ทันใดนั้นเธอก็พบชายหนุ่มคนหนึ่ง เธอจำได้ดีว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นเพื่อนสนิทของทวิพัตร เขามาเดินเที่ยวกับหญิงสาวที่เธอจำได้ว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่มาเกาะแขนของทวิพัตรอย่างสนิทสนม
               ฟ้าประกายไม่รอช้า เธอรีบเดินออกจากร้าน แล้วตรงเข้าไปถามภูวดลในทันทีทันใด
               “ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าพัตรเค้าหายไปไหนหรอคะ? ฉันไม่เจอเค้ามาหลายวันแล้ว?”
               เมื่อภูวดลเห็นฟ้าประกายเดินเข้ามาถามด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล เขาก็สามารจดจำเธอได้ เพราะเพื่อนสนิทของเขาเคยชวนไปเที่ยวด้วยกันเมื่อไม่นานมานี้ แล้วก็มีเธอรวมอยู่ด้วย
               “อ้าว พัตรไม่ได้เล่าอะไรให้คุณฟังหรอกหรอ?” ภูวดลเอ่ยถามอย่างสงสัย คำตอบของฟ้าประกายเป็นเพียงแค่การสั่นศีรษะไปมาเบาๆ ด้วยความที่เธอไม่ทราบเรื่องราวทั้งหมด
               ภูวดลตัดสินใจแล้วว่าจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟ้าประกายรับรู้ ถึงแม้ว่าทวิพัตรจะห้ามปรามไม่ให้เขาบอกเรื่องราวชีวิตที่เป็นอยู่ให้ผู้ใดรับฟัง แต่เขาคงไม่สามารถปิดบังเธอได้แล้ว เพราะสีหน้าและแววตาของเธอบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า เธอกระวนกระวายใจมากแค่ไหน
               ภูวดลเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟ้าประกายรับฟังอย่างเข้าใจ เรื่องที่บิดาและมารดาของทวิพัตรประกอบอาชีพอะไร เขาก็เปิดเผยให้เธอรับรู้ทั้งหมด ทั้งเรื่องที่เพื่อนของเขาหายตัวไปหลายวัน ก็เพราะไปช่วยกิจการของครอบครัวที่กำลังมีปัญหาอย่างหนัก
               พอภูวดลเปิดเผยความจริงให้ฟ้าประกายรับรู้จนหมดแล้ว เขาก็ขอตัวไปเดินเที่ยวต่อ แต่ก่อนที่เขาจะเดินไปจากเธอนั้น ลูกโป่งก็ส่งยิ้มให้กับเธออย่างเป็นมิตร
               ฟ้าประกายรู้สึกดีที่ลูกโป่งไม่คิดโกรธเคืองเธออยู่เลย ทวิพัตรไม่ได้โกหกเธอจริงๆ ว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกันกับเขา คิดแล้วเธอก็โมโหตัวเองยิ่งนัก
               ฟ้าประกายคิดทบทวนเรื่องราวที่ได้รับฟังจากภูวดลทั้งหมด สาเหตุที่ทวิพัตรไม่ติดต่อหาเธอเลย ก็เพราะกลัวว่าความจริงที่ครอบครัวของเขากำลังทำกิจการอยู่นั้น มันเป็นภัยต่อโลกใบนี้จริงๆ เขาไม่กล้าเปิดเผยเพราะกลัวว่าเธอจะไม่สามารถรับความจริงที่เขาเป็นอยู่ได้ และสาเหตุที่เขามาสมัครเข้าชมรมอนุรักษ์โลกร้อนนั้นมันก็เป็นเรื่องที่โกหกทั้งเพ เขาไม่คิดตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่า จะจริงใจต่อโครงการอนุรักษ์โลกร้อนซักเท่าไหร่ เขาไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัวสมองเลย
               แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ทำให้ฟ้าประกายผิดหวังในตัวของทวิพัตร เขามีสาเหตุอะไรกันที่มาสมัครเข้าชมรมอนุรักษ์โลกร้อนด้วยล่ะ? เขาต้องการอะไร? ต้องการที่จะเยาะเย้ยเธอใช่ไหม ว่าโครงการที่เธอทุ่มเทด้วยจิตใจมันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ เธอผิดหวังในตัวเขาจริงๆ
               หญิงสาวเดินมาทางโต๊ะอาหารที่ชายหนุ่มกำลังนั่งคอยเธออยู่
               “พี่ก็นึกว่าแอปเปิ้ลหายไปไหนเสียอีก เกือบจะลุกออกไปตามหาอยู่แล้วเชียว”
               “คือพอดีว่าเปิ้ลเจอเพื่อนน่ะค่ะ เลยเข้าไปทักทายซะหน่อย ไปกันเถอะค่ะพี่โอ๊ต” เมื่อฟ้าประกายพูดจบประโยค พรภัทรก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เธอพยายามลืมเรื่องราวทั้งหมดที่ได้รับฟัง พร้อมกันกับที่เธอเดินเข้าไปคล้องแขนเขา ต่อไปนี้หัวใจของเธอจะไม่มีที่ว่างเหลือให้ใครอีกแล้ว ผู้ชายข้างกายคนนี้เท่านั้น ที่เธอจะตัดสินใจให้เขาดูแลชีวิตของเธอ...

               เป็นวันที่สามแล้วที่ทวิพัตรเดินทางกลับถึงบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อย เขาต้องทำงานหนักพร้อมกับเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ไปในตัว เขากำลังจะหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ เพื่อนั่งพักให้หายจากอาการเหน็ดเหนื่อย แต่ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาเสียก่อน ซึ่งก็เป็นภูวดลเจ้าเพื่อนตัวยากต่อสายโทรศัพท์เข้ามาหาเขา
               ภูวดลเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ทวิพัตรรับฟัง ทั้งเรื่องที่เขาได้พบเจอฟ้าประกายภายในห้างสรรพสินค้า แล้วเขาก็เล่าความจริงทั้งหมดให้เธอรับรู้
               “ภู แกเล่าเรื่องทั้งหมดให้แอปเปิ้ลฟังหรอวะ?” ทวิพัตรถามด้วยอาการลุกลี้ลุกลน
               “เออสิวะ ฉันเห็นเค้ากระวนกระวายใจเรื่องของแกนี่หว่า”
               เมื่อทวิพัตรได้รับฟังดังนั้น ก็รีบวางสายไปจากเจ้าเพื่อนคนนี้ทันที
               “ตายล่ะทีนี้ งั้นแค่นี้ก่อนนะเว้ย”
               เมื่อทวิพัตรวางสายไปจากภูวดลแล้ว เขาก็กดเบอร์โทรศัพท์ไปหาฟ้าประกายในทันที แต่ก็พบว่าเธอไม่ยอมรับสายของเขาเลย แถมเธอยังกดสายทิ้ง แล้วก็ปิดเครื่องมือสื่อสารไปโดยที่เขายังไม่ได้อธิบายเหตุผลต่างๆ ให้เธอรับฟัง
              ทวิพัตรได้แต่นั่งถอนหายใจออกมาด้วยความเป็นกังกล เพราะเหลือเวลาอีกแค่สองวันเท่านั้น ก็จะถึงวันเดินทางออกค่ายปลูกป่าแล้ว เขาต้องเดินทางไปกับชมรมอนุรักษ์โลกร้อนให้ได้ เขาต้องหาเหตุผลให้ผู้เป็นพ่อและแม่รับฟัง ว่าการเดินทางออกค่ายไปปลูกป่าในครั้งนี้ มันสำคัญมากเท่ากับชีวิตของเขาเลยทีเดียว ถ้าเขาพลาดโอกาสเดินทางไปในครั้งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างคงจะจบลง หลงเหลือเอาไว้แต่ความว่างเปล่าเป็นแน่...
               ทวิพัตรตัดสินใจขออนุญาตคุณอมรและคุณสุกัญญากับความต้องการของตนเอง เขาพยายามหาเหตุผลและอธิบายถึงความสำคัญของกิจกรรมออกค่ายปลูกป่าในครั้งนี้ ที่จะเดินทางในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
               บิดาและมารดาของเขาเมื่อเห็นความต้องการของผู้เป็นลูกแล้ว ท่านทั้งสองก็อนุญาตให้เขาเดินทางไปออกค่ายในครั้งนี้ได้ แต่มีข้อแม้ว่า เมื่อเขาเสร็จสิ้นจากกิจกรรมนี้เมื่อไหร่ ให้มาช่วยงานของครอบครัวทันที
               ชายหนุ่มได้จัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ลงในกระเป๋าเดินทาง การออกค่ายครั้งนี้ต้องค้างแรมถึงเจ็ดวันกับอีกหกคืน ของสำคัญที่ต้องใช้ในเวลากลางคืน เขาก็ได้เตรียมเอาไว้หมดแล้ว การเดินทางในครั้งนี้ของเขา เปรียบเสมือนกับการที่ได้ออกไปผจญภัยในโลกกว้าง เพราะสมัยช่วงที่เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลาย ก็ไม่ได้เดินทางออกค่ายบ่อยนัก ถึงจะมีก็เป็นแค่ค่ายเล็กๆ ที่ไปทำกิจกรรมกับเพื่อนฝูงภายในชั้นเรียน ระยะเวลาก็แค่สองวันกับอีกหนึ่งคืน แตกต่างกับการเดินทางในครั้งนี้ ที่ไปค้างแรมถึงหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ
               การเดินทางไปออกค่ายปลูกป่าในครั้งนี้ เขาจะทำให้เธอรับรู้ให้ได้ว่า เขาจริงใจต่อเธอมากแค่ไหน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีความเข้าใจในเรื่องการอนุรักษ์โลกร้อนซักเท่าไหร่ เพราะเขาเติบโตมาในตระกูลที่ไม่ค่อยใส่ใจกับสภาพความเป็นอยู่ของโลก แต่เขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ที่มีหัวใจอยากมอบให้กับคนที่เขาคิดว่า คนๆ นั้นเกิดมาเพื่อเขา ถ้าเขาปล่อยให้ความรักในครั้งนี้ได้หลุดลอยไป เขาคงจะเสียใจไปตลอดชีวิต เขาจะไม่ให้ความรู้สึกของตัวเองต้องเป็นเหมือนเช่นครั้งในอดีตอีก เขาจะพยายามทำมันให้ดีที่สุด ถึงแม้ว่าเขาจะต้องได้รับความผิดหวังในครั้งนี้หรือครั้งไหนๆ ก็ตาม แต่เขาก็คิดว่าอย่างน้อยที่สุด เขาก็ได้ทำมันอย่างเต็มที่แล้ว
               เมื่อทวิพัตรจัดของลงในกระเป๋าเดินทางเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้นอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย วันมะรืนนี้เป็นวันที่เขาต้องเดินทางไปกับทุกๆ คนในชมรมรวมทั้งอาจารย์สมเกียรติ ทุกคนจะคิดต่อเขาเช่นไรกันนะ เมื่อข่าวคราวกิจการของตระกูลเขาได้แพร่สะพัดไปทั่วตามหน้าจอโทรทัศน์ ทุกคนจะให้โอกาสและให้อภัยเขาอยู่หรือป่าว ในเมื่อความจริงที่เขาปิดบังมาโดยตลอดได้ถูกเปิดเผย

               ในเช้าวันต่อมา...ทวิพัตรตัดสินใจแล้วว่า เขาจะไปดักรอฟ้าประกายยังหน้าซอยแถวที่พักอาศัยของเธอ เขาต้องพูดคุยกับเธอให้รู้เรื่อง และอธิบายเหตุผลต่างๆ ให้เธอรับฟังอย่างเข้าใจ
               รถสปอร์ตสีดำคันหรูแล่นมาจอดแอบๆ ยังข้างต้นไม้ใหญ่ ทวิพัตรเปิดประตูเดินลงจากรถ เพื่อที่เขาจะได้ยืนคอยฟ้าประกาย เขารู้ดีว่าเส้นทางสายนี้เธอมักที่จะใช้เดินผ่านอยู่เป็นประจำ และเมื่อเวลาผ่านไปได้ซักพัก เธอก็เดินออกมาจากในซอย
               ยังไม่ทันที่ทวิพัตรจะก้าวเท้าเดินเข้าไปพูดคุยกับฟ้าประกาย พรภัทรชายหนุ่มรุ่นพี่ปีที่สี่ก็เดินเข้ามาหาเธอเสียก่อน ทั้งสองพูดคุยกันอย่างกะหนุงกะหนิง แล้วก็เดินเคียงข้างกันออกไปตามทางเดินของถนน ปล่อยให้คนที่กำลังยืนเฝ้ามองอยู่ หัวใจแทบแตกสลาย
               ทวิพัตรรู้สึกว่าตัวเขาแข็งทื่อ เมื่อเห็นภาพของคนทั้งสองเดินเคียงข้างกันอย่างสนิทสนมผ่านสายตาของเขา ภาพๆ นั้นเลือนห่างออกไปช้าๆ ราวกับว่าหัวใจดวงน้อยๆ ของเขาถูกทิ่มแทงด้วยเข็มเล็กๆ หลายเล่ม มันรู้สึกเจ็บจี๊ดไปทั้งร่างกาย
               ชายหนุ่มจะไม่ยอมละความพยายามอย่างเด็ดขาด เขาจะรอจนกว่าจะถึงช่วงเย็นของวันนี้ เมื่อหญิงสาวเดินกลับเข้ามาทางที่เขากำลังเฝ้ารออยู่
               ทวิพัตรเข้าไปนั่งในตัวรถ เขาเปิดเพลงฟังด้วยอารมณ์ที่ไม่มีกระจิตกระใจอยากจะทำอะไรเลยในตอนนี้ จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เขาก็ยังนั่งฟังอยู่อย่างนั้น แล้วรู้สึกว่าบทเพลงไหนที่ความหมายเกี่ยวกับความผิดหวัง เขาอยากจะฟังเพลงๆ นั้น จนกว่าความรู้สึกของเขาจะเป็นเหมือนเดิม
               พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงมามากแล้ว ทวิพัตรยังคงเฝ้ารอฟ้าประกายอยู่อย่างนั้น เมื่อเขาเห็นเธอเดินกลับมาจากมหาวิทยาลัยด้วยเพียงลำพัง เขาก็เปิดประตูรถ แล้วรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาเธอในทันที
               เมื่อฟ้าประกายมองเห็นทวิพัตรเดินเข้ามาทางที่เธอกำลังเดินอยู่ เธอก็หยุดที่จะก้าวเท้า ทั้งสองสบสายตากันราวๆ ประมาณห้าวินาที แล้วเธอก็เป็นฝ่ายเอ่ยคำพูดขึ้นมาก่อน
               “นายมาทำไมที่นี่?” น้ำเสียงของเธอแข็งกร้าว
               “ผมมาหาคุณ อยากคุยให้รู้เรื่อง” ทวิพัตรอยากอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้ฟ้าประกายรับฟังอย่างเข้าใจ
               “จำเป็นด้วยหรอ? คนอย่างนายที่ไม่มีความจริงใจต่อชมรม ก็อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกเลย”
               “แต่คุณ...ฟังผมก่อนสิ” น้ำเสียงของชายหนุ่มพยายามที่จะรั้งให้หญิงสาวรับฟังเหตุผลของเขาเสียก่อน
               “ฟังหรอ!” เธอกระแทกเสียง “เรื่องที่นายปิดบังอยู่ในตอนนี้น่ะหรอ! มันคงไม่จำเป็นหรอกนะ!” เธอพยายามก้าวเท้าเดินผ่านตัวเขาไป แต่เขาพยายามดักทางไม่ให้เธอเดินผ่านไปได้
               “แอปเปิ้ล ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ กิจการที่ผมทำอยู่มันเป็นของครอบครัว คุณให้โอกาสผมหน่อยไม่ได้หรอ?” สีหน้าและแววตาของทวิพัตรเวลาที่เขาเอ่ยคำพูดออกไป มันแสดงออกมาว่า เขาไม่อยากให้เหตุการณ์ทั้งหมดมันเป็นเช่นนี้เลย เพราะเขาไม่มีทางเลือกเลยจริงๆ
               “คนที่ไม่จริงใจอย่างนายนี่นะ ทำไมฉันต้องให้โอกาสด้วย หลีกไปเดี๋ยวนี้!” ฟ้าประกายใช้ร่างกายของเธอกระแทกผ่านตัวของทวิพัตรไป แต่เขาก็คว้าข้อมือของเธอเอาไว้ได้เสียก่อน เพื่อเป็นการฉุดรั้งเธอเอาไว้
               “ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!” เธอออกคำสั่งด้วยอารมณ์ที่รุนแรง
               “ผมไม่ปล่อย! จนกว่าคุณจะฟังเหตุผลของผมก่อน!” ทวิพัตรพยายามใช้คำพูดทุกประโยค ที่สามารถจะเหนี่ยวรั้งให้ฟ้าประกายรับฟังเหตุผลของเขา
               “แล้วนายมีเหตุผลอะไรที่มาสมัครเข้าชมรมด้วย ตลกมากใช่ไหมที่เห็นฉันทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อชมรมถึงขนาดนี้ ฉันมันโง่เองที่ไปหลงเชื่อคนอย่างนาย เพราะอะไร! ไหนบอกมาซิ!” น้ำเสียงของเธอเริ่มที่จะสั่นเคืองมากยิ่งขึ้น
               “ผมชอบคุณ! ได้ยินไหม! ว่าผมชอบคุณ! ที่ผมมาสมัครเข้าชมรมไม่ใช่ว่าผมจะช่วยรณรงค์อะไรบ้าบอหรอกนะ! เหตุผลก็เพราะคุณคนเดียวนั่นแหละ!” ทวิพัตรได้สารภาพความจริงทั้งหมดให้ฟ้าประกายรับฟัง ดวงตาของเธอเริ่มชื้นไปด้วยน้ำใสๆ
               “ปล่อย! ปล่อยนะ!” เธอพยายามสะบัดแขนไปจากการเกาะกุมของเขา แต่มันก็ไม่เป็นผล
               ทวิพัตรตัดสินใจดึงร่างบางของฟ้าประกายเข้ามาในอ้อมกอดของเขา เขาใช้ริมฝีปากกดลงไปอย่างรุนแรงที่ริมฝีปากของเธอ เธอพยายามใช้กำปั้นทุบหน้าอกของเขา เพื่อเป็นการบ่งบอกว่าให้ปล่อยร่างกายของเธอเดี๋ยวนี้
               ชายหนุ่มยังคงใช้ริมฝีปากบดขยี้ไปอยู่อย่างนั้น เขาอยากให้หญิงสาวได้รับรู้ว่าเขาชอบเธอมากแค่ไหน เขาเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อเห็นเธอเดินอยู่เคียงข้างใครที่ไม่ใช่เขา เขาจะไม่ยอมปล่อยเธอออกจากอ้อมอกของเขาเด็ดขาด
               ทวิพัตรรู้สึกว่าร่างกายของฟ้าประกายเริ่มที่จะอ่อนแรงลงไป หยดน้ำตาของเธอไหลลงสู่ข้างแก้มใสๆ เธอร้องไห้...เมื่อเขาเห็นดังนั้นก็ใจอ่อน จนต้องผละริมฝีปากของตัวเองออกจากริมฝีปากของเธอ
               ชายหนุ่มมองดวงหน้าของหญิงสาว น้ำตาของเธอไหลไม่หยุด เธอคงเสียใจมากที่เขาปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้ เขายอมรับผิดทั้งหมด อารมณ์ในใจของเขามันไม่สามารถเหนี่ยวรั้งจิตใจของตัวเองได้เลย ยิ่งเขาเห็นน้ำตาของเธอที่ไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย เขายิ่งใจอ่อนและสำนึกผิดในสิ่งที่ได้กระทำลงไปทั้งหมด
               “ผมขอโทษ...” ทวิพัตรไม่รู้ว่าจะมีอะไรดีไปกว่าคำขอโทษในตอนนี้อีกแล้ว
               เมื่อฟ้าประกายได้ยินดังนั้น เธอก็ใช้ฝ่ามือตบลงไปที่ใบหน้าของทวิพัตรอย่างแรง เขารู้สึกว่าแก้มของเขาชาไปหมด แล้วเธอก็ใช้ฝ่ามือผลักหน้าอกของเขาให้ห่างไปจากตัวเธอ เธอใช้หลังมือปาดน้ำตาแล้วก็วิ่งหนีเขาไป
               ทวิพัตรได้แต่ยืนสำนึกผิดอยู่อย่างนั้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ทำอย่างนี้กับเธอแน่ แต่ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างได้เกิดขึ้นแล้ว ก็คงต้องหาวิธีแก้ไขกันต่อไป
               ชายหนุ่มเฝ้ามองร่างบางวิ่งออกไปจนลับสายตา เขาได้ทำอะไรลงไปเนี่ย แค่อารมณ์ชั่ววูบของเขามันทำให้เธอเสียใจมากถึงขนาดนี้ ถึงจะเอ่ยคำขอโทษสักร้อยครั้งหรือพันครั้ง มันก็ไม่สามารถทดแทนสิ่งที่เขาทำลงไปได้
               ทวิพัตรตัดสินใจไม่วิ่งตามฟ้าประกายไปที่บ้านพักของเธอ เขาเดินไปที่รถยนต์ของเขา พร้อมกับสตาร์ทรถแล้วก็ขับมันออกไปช้าๆ ด้วยอารมณ์ที่โกรธตัวเองยิ่งนัก...

               ฟ้าประกายวิ่งมาตามทางเดินของถนนในซอย เธอร้องไห้มาตลอดทาง เธอครุ่นคิดว่าทำไมเขาต้องทำกับเธอถึงขนาดนี้ด้วย เธอเสียใจและเสียความรู้สึกกับการกระทำของเขายิ่งนัก ต่อไปนี้เขาและเธออย่าได้มาเจอหน้ากันอีกเลย
               หญิงสาวเปิดประตูรั้วแล้ววิ่งเข้าไปในตัวบ้าน เธอไม่สนใจคำถามของคนในครอบครัวเลยว่า เธอเป็นอะไรถึงร้องไห้ฟูมฟายมากถึงขนาดนี้ เวลานี้เธอไม่อยากพูดคุยกับใครเลย เธออยากใช้เวลาส่วนตัวอยู่ในห้องนอนของตัวเองเงียบๆ ให้จิตใจของเธอได้พักผ่อน แล้วร้องไห้กับตัวเองอย่างเงียบๆ เธอล็อคประตูห้องของตัวเอง แล้วทิ้งตัวลงบนเตียงนอนสีขาว เธอเอาใบหน้าซบเข้ากับหมอน เสียงสะอื้นของเธอดังขึ้นอยู่เรื่อยๆ หัวสมองก็ครุ่นคิดกับการกระทำของเขา จนเธอรู้สึกอ่อนเพลีย แล้วเธอก็ผล็อยหลับไป...

               เมื่อทวิพัตรเดินทางมาถึงบ้านพักของตัวเองแล้ว เขาก็เดินขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเอง สายตาของเขาจ้องมองไปที่กระเป๋าเดินทางที่จะนำไปออกค่ายด้วยในวันพรุ่งนี้ เขาตัดสินใจไม่ถูกเลยว่าจะเอาอย่างไรดีกับกิจกรรมออกค่ายปลูกป่า เขาจะมองหน้าฟ้าประกายได้หรือ ในเมื่อการกระทำของเขาในวันนี้ เป็นตัวบ่งบอกว่าเธอคงจะโกรธและเกียดเขาไปทั้งชาติเป็นแน่
               ชายหนุ่มใช้ท่อนแขนก่ายหน้าผาก แล้วชั่งน้ำหนักความคิดว่าจะเอาอย่างไรดีในการเดินทางออกค่ายปลูกป่าในวันพรุ่งนี้ หนึ่งตัดสินใจไม่ไปซะ แล้วก็กลับมาช่วยงานผู้เป็นพ่อและแม่ทำกิจการ สองหันหน้าสู้กับความจริงทั้งหมด แล้วเดินทางไปกับชมรม เพื่อที่เขาจะได้มีโอกาสเอ่ยคำขอโทษเรื่องราวทั้งหมดที่ทำไม่ดีต่อเธอ เอาเป็นว่าในวันพรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันอีกที เพราะหัวสมองของเขาในเวลานี้ไม่สามารถหาทางออกได้เลย แล้วเขาก็ผล็อยหลับไป...
             
               เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น...รถบัสคันใหญ่มาจอดรอรับสมาชิกกิจกรรมของชมรมอนุรักษ์โลกร้อนทั้งหมดที่หน้าตึกกิจกรรม นักศึกษาชายหญิงรวมๆ กันแล้วห้าสิบกว่าชีวิต ได้เตรียมข้าวของเครื่องใช้และสำภาระของตัวเองติดตัวมาด้วย ทุกๆ คนต่างก็ครึกครื้นกันยกใหญ่ ที่จะได้ไปทำประโยชน์ให้โลกได้มีสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่ดี
               ฟ้าประกายเดินทางมาถึงแล้ว สีหน้าของเธอไม่ค่อยจะสดใสนัก เพราะเธอกำลังมีปัญหาอยู่ในใจ เธอไม่ค่อยจะเอ่ยคำพูดกับใครซักเท่าไหร่เลย จนทำให้พรภัทรเข้ามาถามสาเหตุแก่เธอ แต่เธอก็ไม่ได้บอกความจริงให้เขารับรู้ แค่บอกไปว่าไม่สบายนิดหน่อยก็เท่านั้น
               แววตาของหญิงสาวเหม่อลอยออกไปอย่างเงียบๆ อยู่ตัวคนเดียวบนเก้าอี้มาหินอ่อน ในใจก็ครุ่นคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย อีกใจหนึ่งก็อยากให้ชายหนุ่มเดินทางมาร่วมกิจกรรมออกค่ายปลูกป่าในครั้งนี้ด้วย แต่อีกใจหนึ่งเธอก็ไม่อยากเห็นหน้าของเขาเลยในช่วงเวลานี้
               อาจารย์สมเกียรติกำลังขานชื่อของสมาชิกชมรมอนุรักษ์โลกร้อนทั้งหมด ว่ามาถึงกันครบหรือยัง ถ้ามากันครบทุกคนแล้ว จะได้ออกเดินทางกันเสียที
               ขาดสมาชิกอีกแค่สามสี่คนที่ยังเดินทางมาไม่ถึง รวมทั้งทวิพัตรด้วย แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้หรือป่าว
               เวลาผ่านไปได้ซักพัก...ทวิพัตรก็เดินทางมาถึงจุดนัดหมาย ตามที่อาจารย์สมเกียรติได้บอกแก่เขาเอาไว้ เป็นไปตามที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด ทุกๆ คนในชมรมอนุรักษ์โลกร้อนรู้สึกเฉยชาต่อเขามาก บางคนก็มองเขาด้วยท่าทีแปลกๆ บางคนเมื่อเห็นหน้ากันก็ไม่ยอมทักทายกันตามปรกติ ที่เป็นเอามากก็คือเห็นเขาเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีตัวตน
               แต่คนที่เข้าใจเขามากที่สุดเห็นจะเป็นอาจารย์สมเกียรติ อาจารย์เดินเข้ามาตบบ่าของเขาเพื่อเป็นการให้กำลังใจ แล้วยังบอกกับเขาอีกด้วยว่า อย่าคิดมาก ทำจิตใจให้สบายแล้วทุกอย่างจะดีเอง
               ทวิพัตรมองหาฟ้าประกาย แล้วเห็นว่าเธอกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โต๊ะม้าหินอ่อนเงียบๆ เพียงลำพัง เขาอยากเข้าไปขอโทษและพูดคุยกับเธอเหมือนเช่นในวันก่อนๆ แต่เขาก็รู้ว่ามันคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก เธอคงรังเกียดเขาเข้ากระดูกดำเสียแล้ว
               เมื่อสายตาของทวิพัตรจ้องมองฟ้าประกายอยู่นาน เธอก็หันมาสบสายตาของเขาเข้าพอดี แล้วปฏิกิริยาบางอย่างก็เกิดขึ้น จนทำให้ทั้งคู่หลบสายตากันอย่างรวดเร็ว
               ชายหนุ่มคิดว่าแม้แต่ใบหน้าของเขาเธอก็คงไม่อยากจะเหลียวมอง เขาอยากสารภาพความผิดทั้งหมดให้เธอรับรู้ ว่าเขาทำผิดต่อเธอไปแล้วจริงๆ
               เมื่อสมาชิกของกิจกรรมชมรมอนุรักษ์โลกร้อน เดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยจนครบทุกคนแล้ว
    อาจารย์สมเกียรติก็สั่งให้คนขับรถบัสออกรถได้ จุดหมายปลายทางของพวกเขาก็คือจังหวัดกาญจนบุรี
               ทวิพัตรนั่งอยู่เบาะหลังสุดริมหน้าต่าง เขานั่งอย่างเงียบๆ มีเพียงสมาชิกสามสี่คนเท่านั้นที่นั่งแถวเดียวกันกับเขา ไม่มีใครเลยที่จะยอมพูดคุยกับเขา เขาได้แต่นั่งเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างของตัวรถ ชมวิวข้างทางสลับกับการมองไปทางเบาะที่ฟ้าประกายนั่งอยู่ เธอนั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ ทิพวรรณเพื่อนสนิทของเธอ โดยที่เธอไม่หันมองมาทางด้านหลังที่เขานั่งอยู่เลย...
               รถบัสยังคงแล่นออกไปเรื่อยๆ ตามทางถนนมอเตอร์เวย์โดยไม่มีการหยุดพัก กิจกรรมการเล่นเกมในตัวรถของสมาชิกทุกคนเป็นไปอย่างสนุกสนาน มีเพียงทวิพัตรเท่านั้นที่ไม่มีอารมณ์ร่วมด้วย เขายังคงนั่งเงียบๆ อยู่เพียงลำพัง สายตาของเขาเหม่อมองออกไปยังบรรยากาศของชนบท
               และแล้วก็ถึงเวลาพักรับประทานอาหาร รถบัสแล่นเข้ามาจอดที่ปั๊มน้ำมัน เพื่อเป็นการให้สมาชิกทุกคนได้ยืดเส้นยืดสาย
               สมาชิกของชมรมอนุรักษ์โลกร้อนร่วมห้าสิบชีวิต ได้ลงจากรถบัสเพื่อที่จะไปหาอาหารรับประทาน ร้านอาหารในปั๊มน้ำมันแห่งนี้มีให้เลือกทานอย่างมากมาย ทั้งก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง ข้าวราดแกง แล้วก็อะไรต่อมิอะไรหลายๆ อย่าง
               เมื่อทวิพัตรก้าวเท้าเดินลงจากรถบัสเป็นคนสุดท้าย เขาก็เดินตามฟ้าประกายและทิพวรรณออกไปห่างๆ สองสาวเลือกที่จะเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ หรือที่เรียกกันว่าเซเว่นอีเลเว่น
               ทวิพัตรทำท่าทางเหมือนกับว่ากำลังเดินเลือกซื้อสินค้าภายในร้าน แต่ที่ไหนได้ เขาได้แต่จับจ้องไปที่ฟ้าประกายว่าเธอกำลังเลือกซื้ออะไร เขาอยากที่จะสังเกตความเป็นไปของเธอ
               หญิงสาวกำลังเลือกซื้อเครื่องดื่มในตู้แซ่เย็น แต่ด้วยความที่เธอทำอะไรซุ่มซ่าม ทำให้กระป๋องน้ำอัดลมร่วงหล่นลงสู่พื้นหลายกระป๋อง
               ทวิพัตรเห็นดังนั้น ก็เดินเข้าไปช่วยเหลือฟ้าประกายเก็บกระป๋องน้ำอัดลมให้เข้าที่ตามเดิม เธอไม่ได้หันมามองเลยไม่รู้ว่าเป็นเขา เธอนึกว่าคนที่เข้ามาช่วยเหลือเธอเก็บกระป๋องน้ำอัดลมนั้น เป็นพนักงานของร้าน
               “ขอบคุณนะคะ” เธอเอ่ยคำขอบคุณ ก่อนที่เธอจะหันหน้าไปมองคนที่ช่วยเหลือเธอ
               เมื่อฟ้าประกายเห็นว่าเป็นทวิพัตร เธอก็หลบสายตาของเขาทันที แล้วเธอก็เดินจากไปยังที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
               ชายหนุ่มได้แต่เฝ้ามองหญิงสาวเดินจากไปอยู่ห่างๆ สมควรแล้วล่ะที่เธอไม่ยอมเอ่ยคำพูดกับเขาแม้แต่ถ้อยคำเดียว ก็เขาเป็นคนไม่ดีสำหรับเธอนี่น่า
               เมื่อสมาชิกชมรมอนุรักษ์โลกร้อนทั้งหมดรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางกันต่อไป หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มที่จะหย่อน ภายในตัวรถจึงเงียบสงัดลงไปมาก
               ทวิพัตรกำลังชื่นชมทิวทัศน์ข้างทาง เขารู้สึกว่าบรรยากาศในชนบทช่างสดชื่นเหลือเกิน เขาไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยว่าบรรยากาศมันจะเงียบสงบถึงเพียงนี้ เพราะเขาใช้ชีวิตในสังคมเมืองอยู่ทุกวัน ซึ่งสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
               ป่าไม้สองข้างทางก็เขียวขจีอยู่เต็มไปหมด ทำให้มองแล้วรู้สึกสบายตา ภูเขาที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่ประปรายก็สร้างบรรยากาศได้ดีทีเดียว ทวิพัตรรู้สึกตื่นเต้นดีจัง ที่ชีวิตของเขาจะได้ลิ้มลองอะไรที่แปลกใหม่ดูบ้าง
               ชายหนุ่มมองออกไปยังท้องฟ้าแสนกว้าง จุดสีดำหลายๆ จุดเป็นฝูงนกน้อยที่โบยบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างเป็นอิสระ เขาอยากเป็นเหมือนพวกมันบ้างจัง จะได้บินไปยังที่ๆ หนึ่ง แล้วใช้ชีวิตให้เป็นอิสระเหมือนเช่นพวกมัน
               เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง...พระอาทิตย์เริ่มเอนตัวลงบ้างแล้ว สมาชิกคณะชมรมอนุรักษ์โลกร้อนได้เดินทางมาถึงจุดหมายที่วางเอาไว้ ณ. ที่ๆ พวกเขาทั้งหมดลงจากรถบัสนั้น สีเขียวของต้นไม้บางตามากทีเดียว พื้นดินก็ไม่ถึงกับชุ่มชื่นซักเท่าไหร่นัก เนื้อที่ตรงนั้นออกจะเป็นลานกว้างๆ ถัดออกไปประมาณร้อยเมตรก็เป็นถนนใหญ่ ถนนเส้นนี้มีรถยนต์วิ่งผ่านไปมาน้อยมาก นานๆ ครั้งถึงจะมีซักคันหรือสองคันวิ่งผ่านมา ทะเลสาบเล็กๆ อยู่ถัดออกไปหน่อย ใช้เวลาเดินไปตักน้ำก็ประมาณราวๆ สามถึงห้านาที ดูๆ ไปแล้วสถานที่แห่งนี้ก็ไม่นับว่าสะดวกสบายซักเท่าไหร่เลย ออกจะลำบากๆ อยู่ด้วยซ้ำ
               อาจารย์สมเกียรติให้สมาชิกทุกคนจับกลุ่มกันตามที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว ฝ่ายผู้ชายให้เป็นคนกางเต๊นนอนยังที่ลานกว้าง ส่วนฝ่ายหญิงให้หุงข้าวจัดเตรียมอาหารไว้รับประทานในช่วงหัวค่ำ อาจารย์สมเกียรติกระชับนักกระชับหนาว่า ให้ทุกคนรีบลงมือทำให้เสร็จสิ้น ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน เพราะที่แห่งนี้ไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องจุดตระเกียงหรือสุมกองไฟขึ้นเท่านั้นถึงจะได้รับแสงสว่าง
               ทวิพัตรเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับฟ้าประกาย ทิพวรรณ พรภัทร และสมาชิกอีกสามสี่คน ทุกคนในที่นั้นได้จัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ออกมาจากกระเป๋าเดินทางที่นำติดตัวมาด้วย
               ทวิพัตรไม่เอ่ยคำพูดใดใดออกมาเลย มีเพียงพรภัทรเท่านั้นที่อาสาตัวคอยช่วยเหลือฟ้าประกายอย่างเต็มที่ แต่ดีหน่อยที่ทิพวรรณชวนเขาให้ไปกางเต๊นด้วยกัน เพื่อไว้สำหรับใช้เป็นที่พักผ่อน
               “นายพัตร ฉันขอถามอะไรนายหน่อยสิ? ทำไมนายถึงไม่ยอมคุยกับแอปเปิ้ลมันเลย?” ทิพวรรณเอ่ยถามทวิพัตรระหว่างที่ทั้งสองช่วยกันกางเต๊นนอน 
               นัยน์ตาของผู้ที่ถูกเอ่ยถามแสดงออกมาอย่างเศร้าหมอง เขาจะตอบเธอว่าอย่างไรดีล่ะ?
               “เค้าคงไม่อยากคุยอะไรกับผมหรอก แล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มคุยกับเค้าว่าอะไรดีน่ะสิ”
               “โธ่เอ๊ย...ตั้งแต่ที่เรารู้จักกับแอปเปิ้ลมา มันก็ไม่เคยโกรธหรือรังเกลียดใครได้นานหรอกนะ เราว่านายคงทะเลาะกับมันอยู่ใช่ไหม?”
               “ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าจะตอบเก๋ยังไงดี” ทวิพัตรไม่รู้จะตอบคำถามทิพวรรณอย่างไรดี เขาไม่กล้าเล่าเรื่องราวความจริงทั้งหมดให้คนตรงหน้ารับฟังเสียด้วย เพราะเขาคิดว่าตัวเขาเองผิดเต็มประตู
               “เอาน่า นายเป็นผู้ชาย จะผิดหรือถูกเราก็ไม่รู้ความจริง แต่ยังไงก็ลองคุยกับมันดูหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวมันก็ใจอ่อนไปเองแหละ เออ! ลืมบอกอะไรอีกอย่าง ตอนที่นายหายไปจากชมรมสามวัน แอปเปิ้ลมันกระวนกระวายใจมากรู้ไหม แต่เราก็เข้าใจนะ ถ้าเราเป็นนาย เราก็คงไม่มีทางเลือก”
               ทวิพัตรรู้สึกดีและสบายใจขึ้นมาทันที อย่างน้อยทิพวรรณก็เป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกของเขา แล้วเธอก็เป็นคนที่สองต่อจากอาจารย์สมเกียรติ ที่ยอมพูดคุยกับเขาอย่างมีเหตุผล
               “ขอบใจเก๋ละกันนะ เดี๋ยวเราจะลองเข้าไปคุยกับแอปเปิ้ลดู” ชายหนุ่มเอ่ยจบประโยค แล้วเขาก็ส่งรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า
               ทวิพัตรชำเลืองมองไปที่ฟ้าประกายและพรภัทร เธอกำลังจัดเตรียมอาหารพร้อมกับหุงข้าว โดยมีรุ่นพี่ปีที่สี่คอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ เธอไม่เหลียวมองมาทางเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
               ทวิพัตรและทิพวรรณกางเต๊นนอนไว้สองหลัง หลังที่หนึ่งไว้เป็นที่พักผ่อนของพวกผู้หญิง ส่วนหลังที่สองเป็นของพวกผู้ชาย
               ทวิพัตรตัดสินใจเดินไปทางฟ้าประกาย ซึ่งเธอกำลังล้างทำความสะอาดผักชนิดต่างๆ เพื่อที่เธอจะนำไปทำเป็นกับข้าว ส่วนพรภัทรถูกอาจารย์สมเกียรติเรียกตัวให้ไปช่วยงานอีกด้านหนึ่ง
               “แอปเปิ้ล...มีอะไรให้ผมช่วยมั้ย?” ชายหนุ่มเริ่มต้นด้วยการเอ่ยถามอย่างเป็นมารยาท เพราะอย่างน้อยเขาก็เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มของเธอ
               “งั้นช่วยไปหยิบปลาในถังให้ที แล้วก็คอยเติมน้ำในหม้อที่หุงข้าวเอาไว้ด้วย” ฟ้าประกายตัดสินใจยอมที่จะเอ่ยคำพูดกับทวิพัตร เธอยังคงโกรธเคืองเขาไม่หาย คราวนี้แผนการที่เธอวางเอาไว้ เธอจะทำให้มันบรรลุเสียที เธอจะใช้งานเขาให้สะใจไปเลย เพราะเธอเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อมสั่งการให้เขาทำอะไรก็ได้
               ทวิพัตรรู้สึกดีใจที่ฟ้าประกายเริ่มที่จะพูดคุยกับเขา เขาทำตามคำสั่งของเธอ โดยการเดินไปหยิบปลาที่แช่เย็นเอาไว้ในถัง แล้วก็คอยเติมน้ำลงในหม้อหุงข้าว เขาปฏิบัติงานที่เธอออกคำสั่งอย่างเต็มใจ เขาไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย
               ส่วนฟ้าประกายก็คอยออกคำสั่งให้ทวิพัตรทำโน่นทำนี่อยู่เรื่อย ทั้งเดินไปตักน้ำตรงทะเลสาบเล็กๆ หาฟืนมาเป็นเชื้อเพลิงคอยเติมลงไปในกองไฟเป็นระยะๆ หรือแม้กระทั่งใช้ให้เขาไปเดินหาพืชผักสวนครัวเพื่อนำมาใช้ปรุงอาหาร
               ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าร่างกายอ่อนล้าลงไปมาก เขาไม่กล้าขัดใจเธอเลย เพราะเขาเต็มใจอยู่แล้วที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อให้เธอพอใจ
               “นั่งอยู่ทำไมล่ะ? ทำไมไม่เดินไปตักน้ำ หมดแล้วเห็นไหม เดี๋ยวก็ไม่ได้ทานข้าวกันพอดี” ฟ้าประกายยังคงออกคำสั่งให้กับทวิพัตรที่นั่งหอบหายใจด้วยอาการเหน็ดเหนื่อย ร่างกายของเขาราวกับว่าลงไปอาบน้ำในทะเลสาบยังไงยังงั้น เพราะเหงื่อนี้ท่วมไปทั้งตัว
               “โห...คุณ...ให้ผมนั่งพักก่อน...ไม่ได้หรอ?” ชายหนุ่มเอ่ยคำพูดด้วยอาการเหน็ดเหนื่อย น้ำเสียงของเขาบ่งบอกว่าหายใจแทบจะไม่ทัน
               “อย่าบ่นๆ เป็นผู้ชายซะป่าว ถ้าแค่นี้ยังทำไม่ไหว ก็กลับบ้านไป” หญิงสาวเอ่ยคำพูดโดยไม่สบอารมณ์นัก เธอยังไม่ลืมในสิ่งที่เขาได้ทำกับเธอ
               ทวิพัตรเหลียวมองฟ้าประกายราวกับว่าเธอเป็นจอมเผด็จการยังไงยังงั้น เอาวะ ทำก็ทำ ต่อให้หนักขนาดไหนก็ไม่หวั่นอยู่แล้ว
               ชายหนุ่มลุกจากที่นั่งตรงตอไม้ เขาทำหน้าที่ที่ได้รับคำสั่งจากหญิงสาว ถึงเหน็ดเหนื่อยขนาดไหนเขาก็ยังอดทนปฏิบัติต่อไปได้ มาเลย สั่งมาอีก เขาพร้อมเสมอ
               เมื่อพรภัทรเดินกลับเข้ามารวมกลุ่ม หลังจากที่เสร็จสิ้นจากงานที่อาจารย์สมเกียรติได้มอบหมายไว้แล้ว ฟ้าประกายก็ตรงดิ่งเข้าไปหาเขาทันที โดยตักแกงปลากรายที่เป็นฝีมือของเธอใส่ไว้ในถ้วยเล็กๆ เพื่อให้เขาได้ชิมรสชาติที่เธอทำจนสุดฝีมือ
               “พี่โอ๊ตคะ ลองชิมแกงปลากรายดูสิคะ เปิ้ลทำเองกับมือเลยน๊า” แล้วเธอก็ใช้ช้อนตักแกงเพื่อที่จะป้อนให้เขาทาน
               ทวิพัตรรู้สึกเจ็บปวดเป็นที่สุด เขาต้องมาทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย แถมได้รับรู้ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าอีก เหมือนกับว่าเธอกลั่นแกล้งเขายังไงยังงั้น แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ได้แต่เพียงยืนมองทั้งคู่กะหนุงกะหนิงกันอยู่อย่างนั้น
               พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ความมืดมิดโรยตัวเข้ามาปกคลุมพื้นที่บริเวณนั้น มีเพียงแสงไฟจากเสาตะเกียงที่ห้อยติดไว้ตามต้นไม้ และแสงไฟจากกองไฟที่คอยขับไล่สัตว์อันตรายต่างๆ รวมทั้งสิ่งน่ากลัวที่มองไม่เห็น
               ใครจะไปรู้ว่าความมืดมิดในป่ามันจะน่ากลัวมากขนาดนี้ เสียงกระทบของใบไม้ดังขึ้นเป็นระยะๆ บ่งบอกว่าสิ่งมีชีวิตได้วนเวียนไปมาอยู่ตลอด สมาชิกชมรมอนุรักษ์โลกร้อนทุกคนรับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย เพราะในวันนี้ทุกๆ คนต่างก็เหน็ดเหนื่อยมาจากการเดินทางแถมยังต้องมาเตรียมที่นอนหมอนมุ้งกันอีก แต่มันก็เป็นชีวิตที่สนุกไปอีกแบบหนึ่ง เพราะการใช้ชีวิตอยู่ในป่ายามค่ำคืน มันรู้สึกท้าทายและได้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่
             ทวิพัตรเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด เขารู้สึกอ่อนล้าไปหมด เหนื่อยกายยังไม่พอ ยังต้องมาเหนื่อยใจอีก เมื่อเห็นฟ้าประกายยังคงเอาอกเอาใจพรภัทรอยู่ตลอดเวลา เธอมักจะเอาอกเอาใจรุ่นพี่ปีที่สี่ต่อหน้าเขาอยู่เสมอ เธอทำอย่างนี้ทำไม...เธอไม่รู้หรอกหรือว่าเขาปวดใจมากแค่ไหน ที่เขาได้เห็นภาพที่ไม่อยากเห็น
               อาจารย์สมเกียรติพูดคุยเรื่องแผนการในวันพรุ่งนี้ให้ทุกคนรับฟังอย่างเข้าใจ หัวข้อหลักๆ คือ การนำเมล็ดพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ รวมทั้งต้นกล้าและต้นอ่อนไปปลูกไว้บนพื้นที่โล่งทั้งพื้นที่ในป่าลึกตามจุดต่างๆ ที่ได้กำหนดเอาไว้ แถมอาจารย์ยังออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดอีกด้วยว่า ถ้าจะไปไหนมาไหนต้องขออนุญาตก่อน และห้ามไปเพียงลำพังเด็ดขาด มิเช่นนั้นอาจจะพลัดหลงป่าเอาได้ง่ายๆ
               สมาชิกกว่าห้าสิบชีวิตสุมหัวพูดคุยกันอย่างออกรสชาติ บางคนก็เล่าเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ในป่าว่าต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง บางคนก็เล่าเรื่องผีและวิญญาณให้กันฟัง ซึ่งก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่า เรื่องๆ นี้มันน่ากลัวมากขนาดไหน
               เรื่องของการอาบน้ำ อาจารย์สมเกียรติบอกกับทุกคนว่า ให้พวกผู้หญิงไปอาบกันเป็นกลุ่มๆ ก่อน ส่วนพวกผู้ชายให้ไปอาบกันตอนดึกๆ มีทะเลสาบเล็กๆ อยู่ไม่ไกลนัก บางคนก็ไม่กล้าที่จะลงไปอาบน้ำในนั้น เพราะหวาดกลัวหอยทาก ปลิง หรือแม้กระทั่งสัตว์น้ำที่มองไม่เห็น
               ทวิพัตรนั่งเงียบๆ อยู่ภายในกลุ่มของเขา คนในกลุ่มก็พูดคุยกันไปตามประสาวัยรุ่น ฟ้าประกายนั่งอยู่ข้างๆ พรภัทร ส่วนทิพวรรณก็นั่งอ่านตำราการใช้ชีวิตอยู่ในป่า เพราะช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่อาจารย์สมเกียรติให้ทุกๆ คนได้พักผ่อน เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาครึ่งวัน
               ทวิพัตรรู้สึกว่าในป่ายามค่ำคืนช่างเงียบสงัดเสียเหลือเกิน มองไปทิศทางไหนก็มีเพียงความมืดมิดครอบคลุมไปทั่ว แต่ยังดีหน่อยที่บนท้องฟ้ามีดวงดาวส่องแสงประกายให้ความสว่างไสว พระจันทร์ดวงกลมโตสีนวลตาลอยเด่นอยู่บนนั้น เขาไม่เคยมีประสบการณ์กับธรรมชาติมาก่อนเลย มันทำให้เขารู้สึกดีไปอีกแบบหนึ่ง
               ทวิพัตรพยายามไม่สนใจภาพที่ฟ้าประกายพูดคุยกับพรภัทรอย่างสนิทสนมอยู่ตรงหน้า เขาได้เข้าไปพักผ่อนในเต๊นนอน ค่ำคืนนี้เป็นของเขา เขายังไม่อยากหลับตาลง เขาอยากอยู่กับธรรมชาติยามค่ำคืนแบบนี้ออกไปเรื่อยๆ สายลมในเวลาค่ำคืนช่างให้ความเย็นสบายดีเหลือเกิน เขาอยากสัมผัสความรู้สึกเช่นนี้ให้มากที่สุด ตามที่ใจเขาต้องการ
               เสียงพูดคุยระหว่างเต๊นนอนที่อยู่ในละแวกนั้นดังขึ้นเป็นระยะๆ พรภัทรได้เข้ามารวมอยู่ในเต๊นเดียวกับทวิพัตรด้วย เขาไม่ได้พูดคุยกับรุ่นพี่ผู้นี้มากนัก เพียงแต่เอ่ยถามความรู้สึกที่ได้มาออกค่ายด้วยกัน ว่ารู้สึกอย่างไรบ้างก็เท่านั้น
               ทวิพัตรอยากให้เสียงพูดคุยของทุกคนในละแวกนั้นเงียบลงเสียก่อน แล้วเขาจะออกไปสูดบรรยากาศข้างนอกให้ชื่นใจไปเลย เวลาผ่านไปประมาณยี่สิบกว่านาที พรภัทรก็หายใจออกมาอย่างสม่ำเสมอ บ่งบอกว่ารุ่นพี่ผู้นี้ได้หลับใหลลงแล้ว และเสียงพูดคุยของสมาชิกทุกคนก็เงียบลง
               ทวิพัตรนำไฟฉายติดตัวออกมาจากเต๊นนอนด้วย เขาไม่ได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ในป่าอย่างนี้บ่อยนัก ฉะนั้นเขาจะลองทำตามใจของตัวเองดูซักครั้ง
               เมื่อทวิพัตรออกมาจากเต๊นนอนแล้ว เขาก็เหลียวไปเห็นฟ้าประกายนั่งอยู่บนพื้น เธอกำลังใช้กิ่งไม้กิ่งเล็กๆ เขี่ยเล่นไปมาอยู่ตรงกองไฟที่สุมขึ้น เธอคงยังไม่ง่วงนอนเป็นแน่ แล้วเธอมานั่งทำอะไรเงียบๆ อยู่คนเดียวแบบนี้
               ชายหนุ่มเดินเข้าไปยังข้างๆ ตัวของหญิงสาว เธอไม่ได้เหลียวมองเขา แต่เธอก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นใครที่มานั่งยังข้างๆ ตัวเธอ
               “ยังไม่ง่วงหรอคุณ? พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะ” ทวิพัตรเอ่ยถามฟ้าประกายอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนสมาชิกที่ได้หลับใหลไปแล้ว
               “นายนั่นแหละไปนอนได้แล้ว นี่คือคำสั่ง” เธอพยายามออกคำสั่งกับเขาอย่างไม่จริงจังนัก แต่เขาก็รู้อยู่แล้วว่าเธอแค่พูดเล่นๆ กับเขาเท่านั้น
               “โหคุณ เห็นใจกันบ้างเถอะ วันนี้ผมเหนื่อยมาทั้งวันแล้วนะ”
               ฟ้าประกายหัวเราะชอบใจเบาๆ เมื่อได้ยินคำพูดของทวิพัตร
               “ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะ ว่าในโลกของเราจะมีที่แบบนี้อยู่ด้วย ผมเริ่มที่จะชอบมันขึ้นมาแล้วล่ะ” เขาเอ่ยคำพูดให้เธอรับฟัง ในชีวิตของเขาบรรยากาศแบบนี้หาได้ง่ายๆ ซะที่ไหน
               “นายเพิ่งรู้หรอ? ที่แถวนี้ยังมีอะไรดีๆ อีกเยอะเลย ป๊ะ เดี๋ยวฉันพาไปดูธรรมชาติยามค่ำคืนกัน” ฟ้าประกายเอ่ยจบประโยค แล้วเธอก็ลุกขึ้นจากพื้น เธอออกเดินนำหน้าเขาไปยังที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอกำลังจะพาเข้าไปยังที่แห่งไหนกันแน่
               “คุณ ในป่าของเรายังมีที่ดีๆ ให้ดูอีกหรอ? ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี่ย” ชายหนุ่มเอ่ยถามระหว่างที่เขาเดินตามหญิงสาวออกไปเรื่อยๆ
               “ฉันรู้ดีเลยแหละ ก็ฉันอยู่กับธรรมชาติมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วนี่น่า จะไม่ให้รู้ได้ยังไง”
               ฟ้าประกายพาทวิพัตรมายังที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พวกเขากางเต๊นพักแรมเท่าใดนัก ที่แห่งนี้ก็คือทะเลสาบเล็กๆ เธอพาเขามายังท่อนไม้ใหญ่ที่วางพาดออกไปติดกับทะเลสาบ ที่ตรงนั้นเหมือนกับว่ามีคนมาทำเอาไว้ แล้วทั้งสองก็นั่งลงยังที่ตรงนั้น
               ทั้งทวิพัตรและฟ้าประกายได้หย่อนเท้าให้สัมผัสกับพื้นผิวน้ำเล็กน้อย น้ำในทะเลสาบให้ความรู้สึกสดชื่นเหลือเกิน อุณหภูมิกำลังดีเลยทีเดียว ไม่อุ่นเกินไป แล้วก็ไม่เย็นจนเกินไป
               ที่ตรงนั้นนับว่าไม่มืดมิดซักเท่าไหร่ เพราะแสงสว่างของดวงดาวและดวงจันทร์สะท้อนลงไปยังทะเลสาบให้เกิดประกายขึ้นมา ลมหนาวยามค่ำคืนพัดอ่อนๆ เป็นสถานที่ๆ หาไม่ได้แล้วจากความรู้สึกของทั้งสอง เสียงของสายลมเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ในโสตประสาท ทั้งสองนั่งตัวชิดติดกันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับเบียดติดกันมากนัก
               “ว้าว! ทำไมมันรู้สึกดีอย่างนี้ล่ะเนี่ย” ทวิพัตรเอ่ยคำพูดออกมาอย่างสบายอารมณ์ ทำไมนะตั้งแต่เขาลืมตาขึ้นมาดูโลก ก็ไม่เคยสัมผัสกับบรรยากาศที่โรแมนติกอย่างนี้มาก่อนเลย
               “ดีใช่ไหมล่ะ?” หญิงสาวหันหน้ามาเอ่ยถามชายหนุ่ม พร้อมกับเผยรอยยิ้มจางๆ
               ...เขารู้สึกว่าดวงหน้าของเธอในเวลานี้ ช่างงดงามเสียเหลือเกิน...
               “แต่มันก็น่าเศร้านะ เพราะในทุกวันนี้ ธรรมชาติเริ่มหมดไปเพราะฝีมือของมนุษย์” เธอเอ่ยออกมา เธอรู้ดีว่าสภาพแวดล้อมที่ทรุดโทรมลงไปทุกวันนั้นเป็นฝีมือของมนุษย์ มันน่าเศร้าใจยิ่งนัก เธอคิดว่าถ้าทุกคนช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อมของโลก ในอนาคตข้างหน้าคงจะมีธรรมชาติที่สวยงามอย่างยิ่งเลยทีเดียว
               ทวิพัตรรู้สึกผิดอยู่ในใจ ก็ในเมื่อกิจการของเขายังมีส่วนในการทำให้ธรรมชาติเสื่อมโทรมมากขึ้นทุกวัน แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรออกมา
               “แอบเปิ้ลดูนี่สิ รอบๆ ตัวเรามีตัวอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมดเลย” ทวิพัตรสังเกตเห็นสิ่งมีชีวิตอะไรบางอย่าง พวกมันมีแฟงไฟกระพริบไปมาอยู่รอบตัว
               “โธ่เอ๊ย อย่าบอกนะว่านายไม่รู้จักหิ่งห้อย บ้าชะมัด แม้แต่หิ่งห้อยก็ไม่เคยเห็น”
               ชายหนุ่มรู้สึกเก้อเขินกับความเป็นไปของตัวเขาเอง ก็เขาไม่รู้นี่น่าว่า สิ่งมีชีวิตที่รายล้อมอยู่รอบๆ ตัวเขาและเธอในตอนนี้มันเรียกว่าอะไร
               “แต่ก็น่าสงสารพวกมันนะ” ฟ้าประกายใช้นิ้วมือจับสิ่งมีชีวิตที่ส่องแสงขึ้นมาหนึ่งตัว เธอเฝ้ามองมันอย่างอ่อนโยน “หิ่งห้อยพวกนี้มีเวลาอยู่ในโลกแค่สิบถึงสิบห้าวันเท่านั้น แต่พวกมันก็ยังคงส่องแสงอยู่ตลอดเวลา พวกมันยังมีประโยชน์มาก เพราะอย่างน้อยพวกมันก็ให้แสงสว่างกับเรา” เธออธิบายให้เขารับฟังอย่างเข้าใจ
               ทวิพัตรไม่เคยรับรู้ความจริงมาก่อนเลยว่า เจ้าสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับว่ามีหลอดไฟกระพริบดวงเล็กๆ อยู่ในตัวของพวกมัน จะมีระยะเวลาการใช้ชีวิตที่สั้นสุดๆ
               “งั้นเดี๋ยวดูนี่ นายเห็นดาวลูกไก่กลุ่มนั้นไหมล่ะ?” หญิงสาวใช้นิ้วชี้ไปยังกลุ่มดาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
               “อือ เห็นแล้วๆ” ชายหนุ่มมองตรงไปยังกลุ่มดาวประมาณเจ็ดแปดดวง พวกมันสวยงามเหลือเกิน
               “มีเรื่องเล่าอยู่ว่า มีสองตายายคู่หนึ่งได้เลี้ยงแม่ไก่และลูกไก่ไว้กลุ่มนึง พอดีสองตายายคู่นี้จะนำแม่ไก่ไปฆ่าเพื่อทำเป็นอาหารในวันพรุ่งนี้ พอวันรุ่งขึ้น ตอนที่สองตายายกำลังก่อกองไฟกันอยู่นั้น เท่านั้นแหละ พวกลูกไก่ต่างก็วิ่งเข้าไปยังกองไฟ ก่อนที่สองตายายจะฆ่าแม่ของพวกมัน แล้วพวกมันทั้งหมดก็เกิดเป็นดาวกลุ่มนั้นไง ฟังแล้วทึ่งไหมล่ะ?”
               “ฟังแล้วก็ตลกดีนะ” ชายหนุ่มฟังเรื่องราวที่หญิงสาวเล่าให้ฟังแล้ว เขาก็หัวเราะออกมา เขาคิดว่าพวกลูกไก่ทั้งหมดจะเกิดมาเป็นดวงดาวได้อย่างไรกัน
               “นายนี่บ้าจริงๆ ถ้าไม่เชื่อก็อย่าหัวเราะกันได้มั้ย?” เธอส่งค้อนให้เขา เพราะไม่พอใจที่เขาหัวเราะกับเรื่องราวที่ออกมาจากปากของเธอ
               “งั้นผมขอถามคุณหน่อย ทำไมชื่อเล่นของคุณถึงตั้งว่าแอปเปิ้ลล่ะ?”
               “นายอยากรู้ขนาดนั้นเลยหรอ?” ฟ้าประกายเลิกคิ้วมาทางทวิพัตร เขาอยากจะรู้ชื่อเล่นของเธอไปทำไมกัน
               “ก็อยากรู้น่ะสิ ผมถึงได้ถาม”
               “ก็ตอนนั้นพ่อของฉัน ท่านได้ปลูกต้นแอปเปิ้ลเอาไว้ แล้วมีอยู่วันหนึ่ง ท่านได้ไปนอนหลับอยู่ใต้ต้นแอปเปิ้ล แต่ลูกแอปเปิ้ลเจ้ากรรมดันร่วงมาโดนหัวพ่อของฉันพอดี พ่อโมโหมาก เลยจับมันปาออกไป แถมยังบังเอิญอีก แม่ของฉันเดินผ่านมาพอดี เลยโดนเข้าไปเต็มหัวเลย พ่อบอกว่าแม่มึนมาก เรื่องนี้เลยกลับกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของความรักซะงั้น”
               ทวิพัตรได้รับฟังก็หัวเราะชอบใจออกมาอย่างยกใหญ่ เรื่องที่ฟ้าประกายเล่าให้เขาฟังนั้น มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นมาเลยในชีวิตของคนเรา แถมยังเป็นเหตุการณ์ที่จุดประกายของความรักอีกด้วย
               “ตลกตรงไหนเนี่ย? หัวเราะอยู่ได้” เธอค้อนเขาแถมหมั่นไส้เขายิ่งนัก
               ทั้งสองนั่งพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ทวิพัตรเริ่มรู้สึกตัวว่าถึงเวลาแล้วที่เขาต้องเอ่ยคำขอโทษต่อเธออย่างจริงจัง เขาอยากสารภพความผิดของตัวเองให้เธอรับรู้ ถึงเธอจะไม่ให้อภัยเขาก็ตาม แต่เขาก็อยากพูดเพื่อให้เธอสบายใจ
               ชายหนุ่มยื่นมือออกไปกุมยังมือน้อยๆ ของหญิงสาวอย่างช้าๆ เธอไม่ได้ทำท่าทางรังเกียจหรือสะบัดมือออกไปจากมือของเขาเลย
               “เอ่อ...แอปเปิ้ล...ผมอยากขอโทษคุณ ที่ผมทำไม่ดีกับคุณในตอนนั้น ให้อภัยผมได้ไหม?” ทวิพัตรเอ่ยคำขอโทษอย่างตะกุกกตะกัก เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี
               “อย่าไปใส่ใจเลย ฉันลืมไปหมดแล้ว” เธอตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “แต่ฉันอยากถามเหตุผลของนายว่า ทำไมตอนนั้นนายต้องทำกับฉันอย่างนั้นด้วย”
               ฟ้าประกายรอฟังคำตอบจากปากของทวิพัตร เธออยากรู้ว่าที่เขาทำกับเธอในตอนนั้น เขาแค่อยากสนองความต้องการของตัวเอง หรือว่าเขามีใจให้กับเธอจริงๆ
               ทวิพัตรตัดสินใจจะสารภาพความในใจออกมาทั้งหมด แต่ในครั้งนี้เขาจะเริ่มต้นอย่างช้าๆ ให้เธอรับฟังอย่างเข้าใจ ว่าเขาจริงใจต่อเธอมากแค่ไหน
               มือของชายหนุ่มบีบกระชับไปยังมือน้อยๆ ของเธอ เพื่อเป็นการบ่งบอกความรู้สึกทางร่างกาย แล้วเขาจะสารภาพความรู้สึกทางจิตใจให้เธอรับรู้
               “สิ่งที่ผมทำลงไปในวันนั้น ก็เพราะ...” ยังไม่ทันที่ทวิพัตรจะเอ่ยคำสารภาพให้ฟ้าประกายรับฟัง อาจารย์สมเกียรติก็เดินเข้ามาหาคนทั้งสองเสียก่อน ทั้งคู่ผละมือออกจากกันอย่างรวดเร็ว แล้วอาจารย์ก็ถามสาเหตุว่าทำไมยังไม่เข้านอนเสียที เพราะวันพรุ่งนี้ต้องลงมือปฏิบัติงานแต่เช้า
               เมื่อชายหนุ่มและหญิงสาวได้รับคำถามจากอาจารย์สมเกียรติ ก็หาคำแก้ตัวกันไปต่างๆ นาๆ ยังไม่ง่วงนอนบ้างล่ะ หรืออยากชมธรรมชาติยามค่ำคืนบ้างล่ะ แต่อาจารย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรคนทั้งสอง แค่ไล่ให้เขาและเธอกลับเข้าไปนอนในเต๊น เพราะในป่ายามค่ำคืนมันอันตราย เราไม่รู้ว่าสัตว์ร้ายจะออกมาทำร้ายเราในตอนไหน
               ทวิพัตรรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ที่ไม่ได้สารภาพความในใจให้ฟ้าประกายรับรู้ เขาอยากให้เธอได้รู้ว่าเขาจริงใจและจริงจังต่อเธอมากแค่ไหน แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะอย่างน้อยคืนนี้เขาคงนอนหลับฝันดีอีกคืนเป็นแน่
               เมื่อชายหนุ่มและหญิงสาวเดินกลับเข้ามาที่เต๊นนอนของตัวเอง หลังที่ทั้งคู่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์สมเกียรติ เขาและเธอสบสายตากันชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทั้งคู่ต่างก็มีคำถามและคำตอบอยู่ในใจ แต่ก็ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ ณ. ช่วงเวลานี้
               “นอนหลับฝันดีนะคุณ” ทวิพัตรเดินไปส่งฟ้าประกายยังเต๊นนอนของเธอ ซึ่งอยู่ไม่ห่างไปจากเต๊นนอนของเขาสักเท่าไหร่
               “อือ...” เธอตอบสั้นๆ พร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วเธอก็เข้าไปยังเต๊นนอนของตัวเอง
               ฟ้าประกายนอนครุ่นคิดอะไรออกไปเรื่อยเปื่อย เรื่องอะไรกันนะที่เค้าต้องการจะบอกกับเรา…
               “ยังไม่นอนอีกหรอแอปเปิ้ล กำลังคิดอะไรอยู่” เสียงงัวเงียของคนข้างกายเอ่ยถาม เมื่อเห็นผู้เป็นเพื่อนยังคงนอนตาลอยอย่างกับคนมีความรัก
               “นอนเถอะ ดึกแล้วนะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” ทิพวรรณบอกแก่ฟ้าประกาย คนที่รับฟังค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงช้าๆ...ไม่นานนัก แล้วเธอก็เข้าสู่ห้วงนิทราแห่งความหลับใหล
               ทวิพัตรยังคงไม่มีความรู้สึกง่วงนอนแต่อย่างใด เขาได้สัมผัสความรู้สึกของฟ้าประกาย มือน้อยๆ ของเธออบอุ่นดีเหลือเกิน เขาได้ส่งผ่านความรู้สึกของตัวเองทั้งหมดสัมผัสไปยังมือน้อยๆ เพื่อเป็นการให้เธอได้เข้าใจว่าเขาคิดต่อเธออย่างไร เธอจะรู้ไหมนะ...ว่ายิ่งใกล้ชิดเธอมากเข้าไปเท่าไหร่ เขาก็เริ่มที่จะเปลี่ยนจากความรู้สึกที่ชอบกลายเป็นความรักเข้าซะแล้ว ถ้าเขามีโอกาสสารภาพความจริงในใจให้เธอได้รับรู้ เธอจะปฏิเสธเยื่อใยที่เขามีให้ไหมนะ...
               ชายหนุ่มปิดเปลือกตาลงอย่างมีความสุข ขอให้ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่อบอุ่นสำหรับเขาและเธอ ถ้าเขามีโอกาสอย่างเช่นในวันนี้อีก เขาจะสารภาพความจริงกับเธอว่า เขารักเธอเข้าแล้วนะ...เขาอยากเป็นคนที่ดูแลชีวิตของเธอ และเขาหวังว่าซักวันหนึ่ง เธอคงจะได้รับรู้ความรู้สึกที่เขามีให้ต่อเธอ ตั้งแต่ในวันแรกที่เขาและเธอได้พบกัน...
               ทวิพัตรใช้หัวสมองครุ่นคิดอะไรออกไปเรื่อยเปื่อย เขาไม่รู้สึกตัวเลยว่าตัวเขาเองนอนหลับไปตอนไหน เขาอ่อนเพลียมากจนเผลอหลับใหลไปอย่างไม่รู้สึกตัว และในวันพรุ่งนี้เช้าความหวังยังรอเขาอยู่...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×