ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักป่วน แสนจะวุ่นวาย ของผู้ชายอาทติสต์

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่4 ก้าวแรกของผมกับบริษัทปลาคราฟฟิล์ม...

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ค. 54


    บทที่4 ก้าวแรกของผมกับบริษัทปลาคราฟฟิล์ม...
              ยัยลูกว้าไม่ยอมปริปากคุยกับผมมากนัก มันค่อนข้างจะทำตัวเงียบๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้สาเหตุหรอกว่า มันโกรธเคืองผมเรื่องอะไรกันแน่ ผมพามันมายังร้านอาหารแถวๆ ชายทะเล ผมว่าบรรยากาศแถวนี้มันดีมากๆ เลยแหละ ภายในตัวร้านแบ่งเป็นสองชั้น ผมเลือกมานั่งยังชั้นบน ซึ่งก็มองเห็นทิวทัศน์รอบๆ ได้อย่างถนัดตา ดอกกล้วยไม้เลื้อยประดับประดาไว้ตามต้นเสาอย่างสวยงาม พร้อมกับวงดนตรีแสดงสดแนวคันทรีฟังสบายๆ ร้านอาหารร้านนี้ถูกใจผมมากเหลือเกิน
              ผมบอกให้ยัยลูกว้าสั่งอาหารได้ตามใจชอบ ส่วนผมขอตัวไปคุยโทรศัพท์กับบริษัทปลาคราฟฟิล์มก่อน เพราะผมจะนำงานมิวสิควิดีโอของผมไปส่งภายในวันพรุ่งนี้ตอนประมาณบ่ายโมง ผมต้องโทรไปบอกแผนกงานของผมให้เขารับรู้เสียก่อน
              เมื่อผมพูดคุยโทรศัพท์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินกลับเข้ามา ผมเห็นชายหนุ่มสองคนอายุไล่เลี่ยประมาณยัยลูกว้า กำลังพูดคุยกับน้องสาวของผมอย่างได้อรรถรส อาการหวงน้องสาวเข้าสิงร่างของผมทันที ผมทำหน้าถมึงทึงใส่แขกผู้มาเยือน มันสองคนคงรับรู้ถึงแรงอาฆาตของผม จนมันทั้งคู่หน้าเจื่อนลงไปทันที
              “ลูกว้า โอ๋กับเอ๋ขอตัวไปที่โต๊ะก่อนนะ เดี๋ยวแฟนลูกว้าจะโกรธเราสองคนเอาได้”
              “ใครบอกแฟนลูกว้า ไม่ใช่นะ พี่ชายของลูกว้าต่างหาก แหม เอาอย่างนี้ดีกว่า โอ๋กับเอ๋ย้ายมานั่งโต๊ะกับลูกว้านะ เราทั้งหมดจะได้พูดคุยกันอย่างสนุกไง ดีไหมล่ะ?”
              ผมมองค้อนไปที่น้องสาวของตัวเอง มันไม่สนใจผมเลยหรอว่าผมจะยินดีต้อนรับไอ้หนุ่มสองคนนี้รึป่าว ผมไม่อยากให้ใครมาเกาะแกะน้องสาวของผม รู้ไว้ด้วย!!!
              “ก็ได้ลูกว้า เดี๋ยวเราสองคนขอไปเช็กบิลโต๊ะเดิมก่อนนะ แล้วจะมานั่งด้วย” แล้วไอ้สองคนนั้นก็เดินจากไป ผมเลยถามเอาความจากยัยลูกว้าทันที
              ยัยลูกว้าเล่าให้ผมฟังว่า ชายหนุ่มสองคนเมื่อตระกี้นี้คือเพื่อนผู้ชายที่โรงเรียนของมัน แต่ไม่ได้อยู่ห้องเรียนเดียวกัน ซึ่งผมก็มองผู้ชายด้วยกันออกอยู่นะว่า มันสองคนแอบชอบน้องสาวของผมอยู่แน่เลย ผมสังเกตจากสายตาของพวกมันยามที่มองมาทางยัยลูกว้า ไม่มีทางที่ผมจะยอมปล่อยให้ง่ายๆ หรอก รู้ไว้ด้วย
              “สองคนนี้นิสัยดีมากเลยนะ มีน้ำใจซื้อขนมมาฝากเค้าอยู่บ่อยๆ”
              “สมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ เห็นคนทำดีด้วยหน่อยก็ยอมใจอ่อน หลงเชื่อว่าเขาดีว่างั้นเถอะ” ผมพยายามพูดให้ยัยลูกว้ารับรู้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมผมถึงเป็นคนหวงน้องสาวมากนัก ทั้งๆ ที่มันทั้งดื้อและเอาแต่ใจตัวเอง
              “เอ๊ะ! พี่มะนาว! ถ้ายังพูดกับเค้าอย่างนี้อีก เค้าจะฟ้องพ่อกับแม่ เรื่องที่พี่มะนาวพาเค้ามาถ่ายทำอะไรบ้าๆ บอๆ จะไปไหนก็ไปเลย”
              ผมชักฉุนขึ้นมาทันที อารมณ์พุ่งปรี๊ดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ยัยลูกว้าเคยคิดจะเชื่อฟังคำพูดที่ผมพยายามจะสั่งสอนมันบ้างรึป่าว
              “บ้าๆ บอๆ งั้นหรอ ถ้าแกคิดอย่างนี้ก็ตามใจ แล้วแกเคยคิดจะเชื่อฟังอะไรฉันบ้างไหม คำพูดของฉัน แกคงจะคิดว่าเป็นซอที่สีให้แกฟังงั้นล่ะสิ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา”
              “เอ๊ะ! พี่มะนาวชักจะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วนะ ว่าเค้าเป็นควายงั้นหรอ ใช้ซี่ ตัวเองดีนักหนานิ แล้วเค้าก็ไม่ใช่คนโง่ด้วย เค้ารู้นะว่าพี่มะนาว เมื่อคืนนี้อ่านหนังสืออะไรอยู่ อย่ามาทำปิดบังกันเลยดีกว่า วิธีแอบพิสูจน์ความเป็นชาย งี่เง่าสิ้นดี เค้าโตแล้ว ไม่ต้องมาทำเป็นหวง เค้ารู้ว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด เลิกยุ่งกับเค้าซะที จะไปไหนก็ไปเลย คนบ้า”
              ผมแอบน้อยใจทันที เมื่อยัยลูกว้าไล่ผมให้ไปพ้นๆ หน้า แล้วอย่างนี้ผมจะกล้าอยู่ต่อไปหรอ มันพูดกับผมแรงมาก แรงจนผมไม่คิดว่ามันจะเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของน้องสาวผม ทั้งๆ ที่ผมทำทุกอย่างให้กับมัน ตามใจมันตลอด ถ้ามันคิดว่าผมไม่มีคุณค่าสำหรับมันแล้ว ก็ได้ ผมจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของมันอีก
              “ก็ได้ ถ้าแกเห็นว่าฉันหมดคุณค่าแล้ว เราก็ไม่ต้องสนใจกันอีก” ก่อนที่ผมจะเดินจากไป ผมบอกกับยัยลูกว้าว่า ถ้ามันสนุกจนเต็มที่แล้ว ก็ให้กลับไปนอนที่เต็นท์ ผมจะรอมันอยู่ที่นั่น เพราะพรุ่งนี้ผมต้องขับรถกลับกรุงเทพฯ แต่เช้า
              ผมเดินออกมาจากร้านด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว ผมหันกลับไปมองยัยลูกว้าอีกครั้ง มันกำลังพูดคุยและหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนานกับเพื่อนผู้ชายทั้งสองคน ผมเห็นมันร่าเริงได้อย่างนี้ผมก็มีความสุขแล้ว ผมอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้ ที่คอยเป็นห่วงเป็นใยจนกลายเป็นความจุ้นจ้านให้กับชีวิตของมัน แล้วผมก็ตัดสินใจเดินกลับไปยังเต็นท์นอน
              ผมนั่งรอยัยลูกว้าอยู่ริมชายหาด เสียงน้ำทะเลกระเซาะเข้ากับชายฝั่งอยู่เป็นระยะๆ
              ความคิดแว่บหนึ่งผุดขึ้นมาทันที เมื่อผมนึกถึงผักบุ้ง ผมอาจจะเป็นพวกยึดติดกับอดีตก็เป็นได้ ไม่รู้สิ...ผมว่าวันและเวลาเก่าๆ ที่ผ่านพ้นมา มันทำให้ผมมีความทรงจำดีๆ กับผู้หญิงคนนี้อย่างมากมาย ผมเคยพาเธอไปเดินเที่ยวงานวัดด้วยกันสองคน มันเป็นอะไรที่แปลกใหม่มาก ผมชื่นชอบบรรยากาศแบบนี้เป็นที่สุด ผมชวนเธอไปเล่นยิงปืนลมเพื่อชิงรางวัลตุ๊กตาตัวน้อย ผมและเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฝีมือความแม่นยำในการยิงปืนลมอยู่ในระดับไหนกันแน่ ขนาดเราทั้งคู่โน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ เป้าหมายพร้อมกับลั่นไกออกไป ผมอยากจะบอกเจ้าของร้านซะเหลือเกินว่า ปืนลมของร้านนี้ดัดแปลงได้เจ๋งมาก จนผมไม่เห็นเลยว่าจะมีใครคนไหนได้ตุ๊กตาตัวน้อยไปนอนกอด เราเลยวางแผนกลั่นแกล้งเจ้าของร้านยามทีเผลอ โดยให้เธอทำท่าทีชวนคุยโน่นคุยนี่ไปเรื่อย ส่วนตัวผมน่ะหรอยิงเข้าเป้าไปหกถึงเจ็ดดอก แล้วเราทั้งสองก็ได้ตุ๊กตาตัวน้อยไปนอนกอดอย่างสมใจอยาก
              ผมชวนเธอไปเล่นบิงโก สงสัยเราทั้งคู่คงไม่มีโชคทางด้านนี้ สิบเกมผ่านไปผมและเธอเพิ่งจะได้บิงโกแค่ครั้งเดียว แล้วเราก็มีวิธีโกงกันอีก จนทุกๆ คนภายในร้านต่างก็งุนงงกันเป็นไก่ตาแตก เราบิงโกกันเกือบทุกเกม ดีนะที่เราไม่โดนจับได้เสียก่อน ไม่งั้นมีหวังรองเท้านับสิบคู่คงลอยละล่องมาโดนผมและเธอจนศีรษะแตกไปตามๆ กันก็เป็นได้
              แล้วเราก็พากันไปนั่งรับประทานหอยทอดเจ้าอร่อย เธอแอบแกล้งผมด้วยการใส่พริกไทยโดยไม่ให้ผมรู้ตัว ผมกินไปจามไปน้ำมูกน้ำตาไหลย้อยด้วยความฉุน เธอหัวเราะเยาะผมอย่างชอบใจ อย่าให้ถึงคราวของผมบ้างละกัน ทีนี้เธอจะได้รู้ว่าผมน่ะมันก็แสบไม่แพ้เหมือนกันกับเธอ
              เมื่อเราทั้งคู่ต่างก็อิ่มแปล้กันแล้ว ผมเลยชวนเธอไปทานของหวาน ซึ่งมันก็คือไอศกรีมโคนกลิ่นกะทิหอมหวานชวนชื่นใจ ผมถือไอศกรีมโคนไว้ในมือ แล้วผมก็โกหกเธอโดยการให้เธอหันไปมองเจ้าตุ๊กตาในร่างจระเข้พ่นไฟ ได้การล่ะ ผมยื่นไอศกรีมโคนไปไว้ใกล้ๆ ข้างแก้มของเธอ เมื่อเธอหันมาเท่านั้นแหละ เธอสะดุ้งโหยงด้วยความเย็นบวกกับอาการตกใจ ผมหัวเราะเยาะกลับคืนไปบ้าง แล้วผมก็ใช้กระดาษทิชชูเช็ดใบหน้าให้กับเธอ ส่วนเธอน่ะหรอ แย่งไอศกรีมโคนของผมไปกัดกินอย่างหน้าตาเฉย แล้วเราทั้งคู่ก็ชวนกันไปนั่งชิงช้าสรรค์
              ลุงคนหนึ่งที่เป็นคนคอยคุมชิงช้าสวรรค์คงจะหาว่าเราทั้งสองคนบ้าไปแล้วแน่ๆ หรือไม่ก็เป็นพวกที่ไม่เคยมาเที่ยวงานวัด ก็ผมและเธอเล่นนั่งกันอยู่บนนั้นเกือบๆ หนึ่งชั่วโมง คิดแล้วก็แอบขำตัวเองอยู่ไม่หาย นั่งวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น ตุ๊กตาตัวน้อยก็เต็มไม้เต็มมือของเราไปหมด
              แต่ที่ผมและเธอคิดว่าบ้ายิ่งไปกว่านั้นก็คือ เมืองเด้งดึงสวนสนุกน้อยๆ ของเด็กอายุไม่เกินสิบขวบ เราทั้งคู่อยากย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กเหล่านี้ที่กำลังสนุกสนานบ้างจัง แต่ไม่มีอะไรที่เราจะทำให้เป็นไปไม่ได้ พนักงานเฝ้าประตูไม่ยอมให้เราเข้าไปเล่นในนั้น เหตุผลก็เพราะว่าเราโตจนไม่รู้ว่าลูกแมวจะกระโดดเลียก้นเราถึงหรือป่าว ผมและเธอก็เลยให้สินบนพนักงานคนนั้น ตุ๊กตาตัวน้อยทั้งหมดที่เราได้รางวัลมาจากการเล่นยิงปืนลม แลกกับความสนุกสนานในเมืองเด้งดึง แล้วเราก็รู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กน้อยอีกครั้ง
              กว่าที่งานวัดจะเลิกราก็เป็นเวลาเกือบๆ จะเที่ยงคืน ผักบุ้งบอกว่าเธอง่วงนอนมาก หาวจนไม่รู้กี่สิบครั้งแล้ว ผมเลยให้เธอขึ้นขี่หลังของผม ผมแบกเธอทั้งๆ ที่เธอกำลังหลับ เมื่อผมเดินมาถึงหน้าประตูบ้านของเธอ ผมแทบจะปล่อยให้เธอลงนอนซะตรงนั้น คนอะไรหนักเป็นบ้า แขนขาของผมอ่อนแรงอย่างบอกไม่ถูก ดีนะที่เธอร่วงลงมาจากหลังของผมเอง(อันที่จริงผมไม่ได้ตั้งใจแกล้งเธอเลยนะ) แล้วเธอก็โกรธผมอย่างแรง เธอเดินหนีเข้าไปในตัวบ้านโดยไม่มีคำบอกลาต่อผมซักคำ แล้วคืนนั้นผมก็เดินกลับบ้านของตัวเองอย่างมีความสุข
              ผมครุ่นคิดอยู่นานจนลืมไปเลยว่า ยัยลูกว้ายังไม่ได้เดินกลับเข้ามาที่เต็นท์นอน ผมเลยตัดสินใจไปหามันที่ร้านอาหารร้านเดิม
              เมื่อผมมาถึงที่ร้าน ผมก็เห็นยัยลูกว้ากำลังนั่งดื่มเหล้ากับเพื่อนผู้ชายอีกสองคนอย่างสนุกสนาน น้องสาวของผมมีอาการหน้าแดงด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ผมเห็นดังนั้นก็เกิดอาการฉุนขึ้นมาทันที ผมไม่เคยปล่อยให้มันอยู่ในสภาพแบบนี้ และผมก็ไม่เคยคิดจะให้มันดื่มเหล้าด้วย ก็เพราะเหตุผลนี้แหละ ที่ทำให้ผมอารมณ์ขึ้นด้วยความโมโห
              “ลูกว้า! กลับเต็นท์เดี๋ยวนี้เลยนะ!” ผมขึ้นเสียงดุใส่ยัยลูกว้าทันที ผมจ้องตาเบลอๆ ของมันอย่างเอาเรื่อง ผมไม่นึกเลยว่ามันจะกล้าดื่มเหล้าทั้งๆ ที่อายุของมันก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
              “ไม่กลับ! มีปัญหาอะไรหรือป่าว? เค้าจะนั่งกินกับเพื่อน”
              ความอดทนของผมไร้ขีดจำกัด ผมดึงข้อมือของยัยลูกว้าเพื่อให้มันเดินตามผมออกมาจากร้าน แต่มันก็ไม่ยอมผมง่ายๆ โดยที่เพื่อนผู้ชายทั้งสองคนของมันบอกกับผมให้ใจเย็นๆ เสียก่อน ผมไม่ฟังอะไรทั้งนั้น น้องสาวของผมต้องกลับไปที่เต็นท์นอนพร้อมกันกับผมเดี๋ยวนี้
              “โอ๊ย! เจ็บนะ! ปล่อย! ปล่อยเค้าเดี๋ยวนี้! ถ้าไม่ปล่อย! เค้าจะฟ้องพ่อกับแม่! ปล่อย!”
              “เอาสิ! อยากฟ้องก็ฟ้องเลย! ฉันไม่กลัวหรอกนะ! ฉันก็จะบอกพ่อกับแม่เหมือนกัน! ว่าเดี๋ยวนี้แกหัดดื่มเหล้า!” จังหวะนี้อะไรก็ฉุดผมไม่อยู่แล้ว พอผมพายัยลูกว้ากลับไปถึงเต็นท์นอนเมื่อไหร่ เราต้องพูดคุยกันให้รู้เรื่อง
              ยัยลูกว้ายังคงไม่ยอมท่าเดียว ถ้าเป็นอย่างนี้จะหาว่าผมเป็นพวกบ้าพลังไม่ได้นะ แล้วผมก็จับมันขึ้นอุ้มด้วยแขนทั้งสองข้าง มันดูท่าทางจะเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ใบหน้านี่แดงแจ๋ไปด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ แถมมันยังใช้กำปั้นทุบหน้าอกของผมอีกด้วยนะ
              “ปล่อยเค้าเดี๋ยวนี้เลยนะ มีสิทธิ์อะไรมาห้ามเค้าด้วย เค้าโตแล้วและก็ไม่ใช่เด็กๆ ที่ต้องให้คนอื่นมาคอยดูแล”
              “แกเป็นน้องสาวของฉัน ตัวแค่นี้แล้วยังมาหัดดื่มเหล้าอีก ถ้าฉันไม่ตามแกมาที่นี่ คืนนี้แกก็คงโดนได้สองคนนั้นมอมเหล้า และคงจะเลยเถิดกันไปถึงไหนต่อไหน” ผมพูดกับยัยลูกว้าทันทีที่แบกมันออกมาจากร้าน ผมไม่สนใจหรอกว่ามันจะคิดยังไง ผมจะไม่ปล่อยให้มันทำอะไรตามอำเภอใจเด็ดขาด เพราะความคิดของมันยังเด็กนัก นิสัยก็ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่พอ
              “พี่มะนาวพูดออกมาอย่างนี้ได้ไง เพื่อเค้าสองคนนั้นเป็นคนนิสัยดีมาก แล้วก็ไม่มีทางจะคิดอะไรทุเรศๆ แบบพี่มะนาวด้วย หัดมองโลกในแง่ดีบ้างเหอะ” ยัยลูกว้ายังคงทุบหน้าอกของผมไม่เลิก มันทำมาเป็นสั่งสอนผม ทั้งๆ ที่ผมลืมตาอาบน้ำร้อนมาก่อนมันแท้ๆ
              “นิสัยดีหรอ! ถ้าดีจริงไอ้สองคนนั้นมันก็คงจะไม่ชวนแกดื่มเหล้าหรอก! คนไม่เคยแตะเหล้าอย่างแก! แก้วสองแก้วก็คงจะเอาตัวเองไม่อยู่แล้ว! รู้ไว้ซะบ้าง!”
              “เออ! รู้แล้วว่าเป็นห่วง แล้วทีนี้จะปล่อยเค้าลงได้รึยัง เดินเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาอุ้ม”
              แล้วผมก็ปล่อยยัยลูกว้าลงจากอ้อมแขน ผมเดินนำหน้ามันไปก่อน โดยปล่อยให้มันเดินตามหลังผมมา เชอะ ผมไม่สนใจมันหรอก ส่วนมันน่ะหรอ เดินก็ยังจะไม่ตรงทางอยู่แล้ว และคงจะไม่พ้นหน้าที่ของผมที่ต้องคอยพยุงร่างของมันกลับไปยังเต็นท์นอน แอลกอฮอล์ในร่างกายของมันเริ่มออกฤทธิ์มากขึ้น น้องสาวของผมเริ่มที่จะพูดไม่รู้เรื่องเสียแล้ว
              “...ค้าว...ถามพี่มะนาวจริง...จริงเหอะ ทามไมวานนี้ต้องจูบค้าวด้วย...ค้าวเสียใจมาก...รู้มั๊ย...”
              จูบหรอ...มันเป็นแค่การแสดงเท่านั้นแหละ ไหนยัยลูกว้าเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรอว่ามันไม่รู้สึกอะไร ตอนที่ริมฝีปากของผมสัมผัสไปยังริมฝีปากของมัน และมันก็ยังบอกอีกว่าจูบของผมเหมือนมีก้อนหินมากระทบเข้าที่ริมฝีปากของมันยังไงยังงั้น
              “ไหนแกบอกว่าจูบของฉันเหมือนก้อนหินไม่ใช่หรอ แล้วทำไมจะต้องเสียใจด้วย” ผมพูดทั้งๆ ที่พยุงร่างอันโซเซของยัยลูกว้าเอาไว้ กลิ่นเหล้านี่ฉุนกึกเข้ามาในรูจมูกของผมทันที
              “ก้อ...ช่าย แต่พี่มะนาวเป็นพี่ชายแท้ๆ ของค้าว ค้าวไม่อยากมีความรู้สึกแบบนี้กับพี่มะนาว ทำไมตอนจูบครั้งที่สอง...ต้องจริงจังด้วยล่ะ รู้ทั้งรู้ว่าค้าวไม่เคยเสียจูบแรกให้ใครมาก่อน”
              ในที่สุดผมก็รู้แล้วล่ะว่ายัยลูกว้าร้องไห้และโกรธผมเรื่องอะไร ผมไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าเพศหญิงจะมีอารมณ์อ่อนไหวในหลายต่อหลายเรื่อง ผมก็แค่อยากให้ผลงานของผมออกมาให้วิเศษที่สุดก็เท่านั้นเอง
              “ถ้าพี่มะนาวแน่จริง ไหนลองจูบค้าว...อีกครั้งซิ ต้องทามให้ดีกว่าครั้งที่แล้วด้วยนะ ไม่งั้นเรื่องนี้คงจะเข้าหูพ่อกับแม่แน่”
              จะบ้าหรอ ยัยลูกว้ามาเล่นท้าทายกันแบบนี้ ผมก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องทำอย่างไร มันคือน้องสาวแท้ๆ ของผมนะ มันคงจะเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ ผมไม่ถือสามันหรอก เพราะมันเล่นดื่มเหล้าเข้าไปแบบนี้ เป็นใครก็คงจะไม่มีสติอยู่แล้ว
              “โธ่เอ๊ย...ที่แท้ก็ป๊อดจริงๆ นี่หว่า...ว่าแล้วทำไมถึงอกหักจากพี่ผักบุ้ง หัดทำตัวกล้าๆ บ้างเหอะ ค้าวจานับหนึ่งถึงสามนะ ถ้าม่ายจูบล่ะก็ ค้าวจาบอกเรื่องจริงทั้งหมดให้พ่อกับแม่รู้”
              แล้วยัยลูกว้าก็เริ่มนับตัวเลขให้ผมได้ยิน ทำยังไงดีล่ะเนี่ย อย่างนี้มันมัดมือชกกันนี่หว่า ไม่ได้การล่ะ สงสัยผมคงจะต้องจูบมันเข้าแล้วจริงๆ เอาก็เอาวะ คิดซะว่าเป็นการแสดงก็แล้วกัน
              ผมยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ ริมฝีปากของยัยลูกว้า ผมหลับตาปี๋ พอมารู้ตัวอีกทีมันก็อาเจียนรดเสื้อของผมเต็มไปหมด ผมเอือมระอากับมันซะจริงๆ ดีนะที่ผมไปลากตัวมันออกมาจากร้านได้ทันเวลา ผมไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าเวลานี้มันอยู่กับไอ้สองคนนั้น สภาพของมันจะเป็นยังไงต่อไป คิดแล้วก็กลุ้ม ชาตินี้ผมคงไม่มีทางเลิกหวงน้องสาวของตัวเองได้จริงๆ นั่นแหละ
              ...ยัยลูกว้าจอมดื้อเอ๊ย...
              ผมประคองยัยลูกว้าให้เข้าไปนอนในเต็นท์ ผมนำผ้าชุบน้ำเช็ดตามใบหน้าและลำคอให้กับมัน สภาพของน้องสาวผมตอนนี้ดูไม่จืดเลย จากสาวน้อยจอมวุ่นวายกลายสภาพมาเป็นแมวน้อยสิ้นฤทธิ์ แล้วผมก็เลยจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับมันซะ ผมไม่ได้เป็นคนคิดอะไรทะลึ่งเลยนะ ผมหลับตาก่อนที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับมันด้วยซ้ำ แล้วผมก็ลืมตาขึ้นมาเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ศีรษะของผมจะลงถึงหมอน ผมก็หอมแก้มของมันไปหนึ่งฟ๊อด และหลังจากนั้นผมก็หลับเป็นตาย ไม่ไหววันนี้ทั้งวันผมแทบจะไม่ได้หยุดพักเลย
              ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงของยัยลูกว้าร้องกรี๊ดเสียงดังลั่น แก้วหูของผมแทบแตก ผมรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ไหน ไหน เจ้าแมลงสาบตัวนั้นอยู่ไหน ผมจะจับมันโยนออกไปจากเต็นท์นอนซะ อะไรกันนักกันหนา ผมกำลังนอนหลับอย่างได้อารมณ์อยู่แล้วเชียว แล้วฝ่ามือบางๆ ก็กระทบเข้ากับใบหน้าของผมอย่างจัง ผมแทบจะมองเห็นดาวดวงน้อยๆ ลอยวิ้งๆ อยู่เหนือศีรษะ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย...
              “ฮือๆ จูบเค้ายังไม่พอ เมื่อคืนยังลักหลับเค้าอีกหรอ พี่มะนาวบ้าไปแล้วรึไง นี่น้องสาวของตัวเองนะ ฮือๆ”
              โอ๊ย อยากจะบ้าตาย ลักหลับอะไรกันเล่า ยัยลูกว้าหนอยัยลูกว้า ช่างคิดไปได้ ผมยังไม่ได้ทำอะไรแบบที่มันคิดซักหน่อย ผมเห็นสภาพอันเละตุ้มเป๊ะของมันเมื่อคืนนี้ ผมก็เลยจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มันก็เท่านั้นเอง ผมแทบจะหัวใจวายซะให้ได้ เพราะเสียงร้องกรี๊ดของมันนี่แหละ ขวัญมาหนอขวัญมา เฮ้อ...ผมก็นึกว่าแมลงสาบขึ้นมาไต่ที่ร่างกายของมันซะอีก คิดแล้วก็กลุ้ม
              “ฉันยังไม่ได้ทำอะไรแกเลย บ้ารึป่าว” ผมเอามือลูบแก้มของตัวเอง มันรู้สึกชาไปหมด ยัยลูกว้านี่ก็มือหนักชะมัด แทนที่มันจะฟังเหตุผลกันก่อน ถามผมซักคำก็ยังดี
              “แล้วนี่มันอะไรกันแน่ เมื่อวานเค้าไม่ได้ใส่เสื้อและกางเกงตัวนี้ซักหน่อย ถ้าพี่มะนาวไม่เปลี่ยนให้เค้า แล้วสุนัขที่ไหนมาเปลี่ยนให้ห๊ะ มีอะไรแก้ตัวอีกไหม หลักฐานตั้งอยู่ให้เห็นต่อหน้า ฮือๆ” จะร้องไห้อะไรกันนักกันหนาเนี่ยน้องสาวของผม ผมแทบจะดื่มน้ำทะเลแทนน้ำเปล่าซะให้ได้ มันเพี้ยนไปแล้วรึยังไงเนี่ย เอาอย่างนี้ละกัน ผมจะอธิบายเหตุผลให้มันรับฟังอย่างช้าๆ
              “ฉันเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แกก็จริง แต่ฉันไม่ได้ล่วงเกินอะไรแกเลยนะ แล้วจะร้องไห้ทำบ้าอะไรกันเนี่ย หัดรับฟังเหตุผลของคนอื่นบ้างเหอะ เอะอะก็ร้องกรี๊ด กรี๊ด กรี๊ด แก้วหูของฉันจะแตกแล้วรู้ไหม”
              ได้ผลแฮะ เสียงสะอื้นของยัยลูกว้าเงียบลงทันที มันหันมามองใบหน้าของผมอย่างไตร่ตรอง แล้วเสียงสะอื้นของมันก็ดังขึ้นมาอีกรอบ ผมแทบจะดำลงไปในน้ำทะเลแล้วจับปลามายัดปากของมันซะให้ได้ เผื่อเสียงร้องไห้ของมันจะเงียบลงไปได้บ้าง
              “เค้าไม่เชื่อหรอก พี่มะนาวก็เหมือนพวกผู้ชายทั่วๆ ไปที่ชอบฉวยโอกาสเวลาผู้หญิงหลับ ฮือๆ แม้กระทั่งน้องสาวของตัวเองก็ไม่เว้น ฮือๆ แล้วเค้าจะมีหน้ากลับไปหาพ่อกับแม่ได้อีกหรอเนี่ย อย่างนี้โดดน้ำตายดีกว่า ฮือๆ”
              ผมแทบจะจับยัยลูกว้ายัดใส่บอลยางแล้วปล่อยให้มันลอยคออยู่กลางทะเล ปลาฉลามจะได้งาบมันซะ ผู้หญิงอะไรเอาแต่ร้องไห้โดยไม่เชื่อเหตุผลของผมซักคำ ทั้งๆ ที่มันเป็นน้องสาวแท้ๆ ของผมนะเนี่ย ผมแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า นิสัยของเราสองคนจะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
              “เออ! ฉันฉวยโอกาสตอนแกหลับเองแหละ พอใจรึยัง ทีนี้ก็เตรียมตัวกลับบ้านกันได้แล้ว ตอนบ่ายฉันต้องเข้าไปบริษัทอีก” ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงกับยัยลูกว้าดี เอาเป็นว่าผมมันเป็นคนฉวยโอกาสก็แล้วกัน ผมบอกเหตุผลจริงๆ ให้มันรับรู้ก็ไม่ยอมเชื่อกันบ้างเลย แล้วมันจะให้ผมทำยังไงกับมันอีกล่ะ ถึงจะถูกใจมันซะที ผมล่ะเหนื่อยใจจริง จริ๊ง
              “ฮือๆ ในที่สุดพี่มะนาวก็ยอมรับแล้วใช่ไหม เค้าไม่อยากจะเชื่อเลย เค้าไม่น่าไว้ใจพี่มะนาวยอมมาถ่ายทำอะไรบ้าๆ บอๆ ตั้งแต่แรกแล้ว ฮือๆ หมดกันความบริสุทธิ์ของฉ้าน ฮือๆ ทีนี้หนุ่มคนไหนจะมาสนใจเค้าล่ะเนี่ย ฮือๆ ถ้าหนุ่มในฝันคนนั้นของเค้ารู้เรื่องทั้งหมดล่ะก็ จบกันชีวิตนี้...ฮือๆ”
              ผมเก็บข้าวของสัมภาระทั้งหมดยัดใส่ลงในกระเป๋า เสียงสะอื้นของยัยลูกว้ายังคงตามหลอกหลอนผมอยู่ทุกเวลา มันเอาแต่นั่งร้องไห้โดยไม่ยอมเก็บข้าวของของตัวเองเลย และสุดท้ายก็คงไม่พ้นหน้าที่ของผม ผมทำทุกอย่างโดยไม่มีมันคอยช่วย และมันก็เดินออกไปจากเต็นท์นอน ผมถามมันว่าจะไปไหน มันบอกจะออกไปนั่งตรงริมชายหาด ไม่ต้องตามมันมานะ มันอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ ผมก็เลยตามใจมันไปซะอย่างนั้น
              ขากลับ ยัยลูกว้านั่งเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ มันไม่ยอมพูดกับผมซักคำ ขนาดผมชวนคุยโน่นคุยนี่มันก็ได้แต่พยักหน้าอย่างกับคนที่ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไร แล้วแต่มันก็แล้วกัน ส่วนผมเปิดวิทยุฟังเพลงอย่างสบายอารมณ์
              พอผมขับรถมาถึงบ้าน ยัยลูกว้าก็ตรงปรี่เข้าไปหาอ้อมกอดของพ่อและแม่ทันที ผมได้แต่ภาวนาสาธุไม่ให้น้องสาวของผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อกับแม่รับฟัง ไม่งั้นบ้านแตกแน่ๆ
              “เป็นยังไงบ้างลูกว้า พี่มะนาวพาไปเที่ยวสนุกไหม แม่หวังว่าพี่ชายของเราคงจะดูแลเราเป็นอย่างดีเลยสินะ เพราะแม่และพ่อกำชับให้พี่มะนาวตามเราทุกฝีก้าวห้ามห่างเราไปไหน”
              ยัยลูกว้ามองผมด้วยหางตา มันเม้มปากแน่น อาการแบบนี้ผมรู้ดีเลยล่ะว่า มันกำลังจะออดอ้อนพ่อกับแม่เพื่อให้ผมถูกท่านทั้งสองว่ากล่าวตักเตือน
              “แม่คะ พ่อคะ พี่มะนาวใจร้าย ลูกว้าอยากเล่นน้ำทะเลก็ไม่ยอมให้เล่น ใช้แต่ลูกว้าทำโน่นทำนี่ แถมตัวเองเอาแต่นอนสบาย แย่งลูกว้ากินข้าวจนหมด ไม่ยอมเหลือให้เลยค่ะ ลูกว้าจะไม่ไปเที่ยวที่ไหนกับพี่มะนาวอีกแล้ว”
              ผมอยากจะบ้าตาย ยัยลูกว้าจอมโกหก ผมล่ะอยากจะบีบคอเจ้าน้องสาวตัวดีซะให้ตายคามือ ผมล่ะหมั่นไส้มันเหลือเกิน จะเหลืออะไรล่ะครับทีนี้ ผมก็คงจะโดนพ่อและแม่ดุไปตามระเบียบ
              “ว่าไงเจ้ามะนาว น้องสาวของเรามาฟ้องแม่กับพ่อแบบนี้ มีอะไรจะแก้ตัวไหม เราต้องโดนทำโทษตามที่แม่บอกนะ อดอาหารเย็นเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์”
              ผมก็หงอยสิครับทีนี้ ยัยลูกว้าตัวดีทำแสบกับผมอีกแล้ว ผมแอบเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยได้ใจจากริมฝีปากของมัน แต่เท่านี้ยังไม่พอ น้องสาวของผมมันฤทธิ์เยอะซะเหลือเกิน
              “อย่าไปทำโทษพี่มะนาวเลยนะคะ ลูกว้าให้อภัยพี่มะนาวได้ค่ะ เดี๋ยวไม่ได้ทานอาหารเย็นคงจะหิวแย่ เอาเป็นว่าลงโทษอย่างอื่นดีกว่า อย่างเช่น ทำความสะอาดบ้าน ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องพระ ตกลงตามนั้นนะคะพี่มะนาว และก็ให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้ด้วย แล้วลูกว้าจะคอยดูค่ะ”
              ผมว่าโดนลงโทษอดอาหารเย็นแทนจะดีกว่าทำความสะอาดบ้านนะ ผมล่ะเหงื่อตกทันที โดนยัยลูกว้ามอบหมายให้ทำงานหนักเข้าแล้วไงล่ะ ส่วนพ่อและแม่ก็รู้เห็นเป็นใจกับมันด้วย ผมก็ได้แต่เดินคอตกไปที่รถอย่างกับคนหมดอะไรตายอยาก แล้วผมก็สตาร์ทขับออกไปยังบริษัทปลาคราฟฟิล์มทันที
              เมื่อมาถึงบริษัทปลาคราฟฟิล์ม ผมก็ขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นบน พอผมส่งงานให้กับทางบริษัทเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็นั่งรอฟังผลการพิจารณาอย่างใจจดใจจ่อ ผมภาวนาสาธุขอให้งานชิ้นนี้ไปได้สวย ผมจะได้เริ่มต้นชีวิตอันมีอนาคตกับเขาซักที แล้วเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นมาคั่นเวลาเอาไว้พอดี น้องสาวตัวแสบของผมมันมีเรื่องวุ่นวายอะไรกันนักกันหนา ผมล่ะยังหมั่นไส้มันไม่หาย มันแสบจริง จริ๊ง
              “มีอะไรยัยลูกว้า ฉันกำลังยุ่งไม่มีเวลามาคุยกับแกนานหรอกนะ มีอะไรก็รีบๆ พูดมา”
              “เชอะ เค้าก็ไม่ได้อยากคุยกับพี่มะนาวนานๆ หรอกนะ ที่โทรมาเนี่ย ก็เพราะจะมาบอกว่า ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป พี่มะนาวต้องเริ่มหาวิธีให้เค้าได้รู้จักกับหนุ่มในฝันคนนั้น ห้ามมีข้อแม้อะไรเด็ดขาด เออ แล้วมีอีกเรื่องนึง ห้ามให้เขาคนนั้นรู้เรื่องเมื่อวานเป็นอันขาด ที่พี่มะนาวทำมิดีมิร้ายเค้า ตอนเค้านอนหลับอยู่”
              จะบ้าหรอ ผมไปทำมิดีมิร้ายอะไรมันมิทราบ ตกลงมันคิดว่าผมเป็นคนที่ฉวยโอกาสตอนมันนอนหลับจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย โอ๊ย ผมจะบ้าตาย น้องสาวของผมมันหาเรื่องปวดสมองมาให้ผมอีกหรอเนี่ย
              “แกจะบ้าหรอ ฉันบอกว่าฉันไม่ได้ทำ ฉันเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แกก็จริง แต่ฉันไม่ได้คิดอะไรอุบาทว์เหมือนแกซักหน่อย”
              “ไม่รู้แหละ ถ้าวันพรุ่งนี้ตอนพี่มะนาวไปส่งเค้าที่โรงเรียน แล้วอะไรๆ มันยังไม่คืบหน้าล่ะก็ เค้าจะบอกเรื่องทั้งหมดให้พ่อกับแม่รับรู้ หวังว่าพี่มะนาวคงจะเข้าใจนะ”
              “เดี๋ยวก่อนลูกว้า แต่...” แล้วยัยลูกว้าตัวดีก็วางสายโทรศัพท์ไปจากผม ไมเกรนบนหัวของผมแทบกำเริบ สุดท้ายแล้วผมคงต้องคิดหาวิธีให้น้องสาวตัวแสบของผมสมหวังกับเจ้าหมอนั่นใช่ไหมเนี่ย ผมไม่เชื่อหรอกว่ามันจะเป็นผู้ชายแท้ๆ 100% ผมศึกษาเรื่องราวจากหนังสือ ‘แอบพิสูจน์ความเป็นชายของคนใกล้ชิด’ มาหมดแล้ว คอยดูเถอะ น้องสาวของผมจะได้ตาสว่างเสียที
              แล้ววินาทีระทึกใจของผมก็มาถึง ในที่สุดผลงานชิ้นแรกของผมก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ผมได้รับตำแหน่งผู้กำกับหน้าใหม่ของบริษัทปลาคราฟฟิล์มทันที ผมแทบจะกระโดดกอดหัวหน้าแผนกงานที่เข้ามาบอกผลการพิจารณาให้ผมได้รับรู้
              “เออ ว่าแต่นางเอกเอ็มวีคนนี้เป็นใครหรอ หน้าตาน่ารักดีนะ พี่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ถ้าได้เข้าวงการรับรองดังระเบิดแน่ แสดงอารมณ์ตอนร้องไห้ได้ดีมาก ถ้าเขาสนใจก็ให้ติดต่อมาที่บริษัทนะ จะปั้นให้ดังไปเลย”
              “อย่าดีกว่าครับพี่ มันคือน้องสาวผมเอง ผมอยากให้มันเรียนหนังสือไปก่อน คือที่บ้านของผมเขาเลี้ยงดูมันอย่างตามใจน่ะครับ ผมเลยคิดว่ามันยังไม่เหมาะที่จะเข้าวงการ”
              ถ้าให้ผมประกาศเกียรติคุณนิสัยของยัยลูกว้าให้ใครรับฟังล่ะก็ เขาจะเชื่อผมไหมว่า ที่เห็นว่ามันหน้าตาน่ารักอย่างนี้ อันที่จริงมันทั้งดื้อ เอาแต่ใจตัวเอง ขี้ฟ้อง วุ่นวาย ไม่ค่อยจะรับฟังเหตุผลของคนอื่น และก็อื่นๆ อีกมากมายที่ผมไม่อยากกล่าวถึง ยิ่งคิดเรื่องของมันมากเท่าไหร่ ไมเกรนก็จะยิ่งถามหาผมไวเท่านั้น
              “น้องสาวหรือเนี่ย ไม่เห็นจะหน้าตาเหมือนกันเลยนี่น่า แล้วเล่นฉากจูบด้วยกันไม่รู้สึกอะไรบ้างหรอ พี่ว่านะ เราแสดงในเอ็มวีได้ดีมากเลย ไม่ต้องมาสมัครเป็นผู้กำกับหรอก สมัครเป็นนักแสดงดีกว่า พี่รับรองว่าในอนาคตเราดังกระฉูดแน่ สนใจไหมล่ะ?”
              ผมตอบปฏิเสธไปทันที ผมไม่ได้อยากเป็นดาราซักหน่อย ผมอยากเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เนื้อหาเกี่ยวกับความรักต่างหาก เพราะมันคือความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ของผม
              “ว้า น่าเสียดายเนอะ งั้นก็กลับบ้านไปได้แล้วล่ะ”
              ผมเบิกตากว้างทันที ห๊าอะไรกัน ผมโดนไล่กลับบ้านทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลงมือทำงานอะไรเลยหรอเนี่ย ตกลงบริษัทปลาคราฟฟิล์มจะรับผมเป็นผู้กำกับภาพยนตร์หรือป่าว ผมล่ะงงตึ้บเลย
              “ไม่ต้องทำหน้างงหรอก ทางบริษัทได้วางโปรเจ็คใหญ่เอาไว้หมดแล้ว ผู้กำกับหน้าใหม่อย่างเรา เตรียมตัวกำกับหนังรักเรื่องแรกของตัวเองเอาไว้ได้เลย แต่ถ้าหนังรักเรื่องแรกสอบไม่ผ่านล่ะก็ สมควรพิจารณาตัวเองนะ เพราะที่นี่รับแต่พวกมีไอเดียและความคิดดีๆ เข้ามาทำงาน ไป กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวทางบริษัทจะติดต่อกลับไปอีกที”
              แล้วผมก็ยกมือไหว้ล่ำลาผู้จัดการบริษัทปลาคราฟฟิล์ม ผมดีใจจนเนื้อเต้นดุ๊กดิ๊ก ถ้าเป็นอย่างนี้คงจะต้องฉลองกันหน่อยสิครับพี่น้อง และผมก็ตัดสินใจว่าจะโทรไปหาปราโมทย์ ผมจะได้ชวนมันไปแด๊นซักหน่อย หลังจากที่เราทั้งคู่ห่างหายไปจากวงการในสังคมอย่างเนิ่นนาน จนผมจำไม่ได้ว่า ผมเดินเข้าผับครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
              ถ้าผมใช้เบอร์โทรศัพท์ของผมโทรไปหามัน ผมไม่หวังหรอกครับว่ามันจะรับสายของผม มันคอยจะหลบหน้าผมอยู่เรื่อย ตั้งแต่เรื่องของน้องเชอรี่ที่มันคอยติดต่อให้ผมแล้ว และก็อีกเรื่องนึงที่มันบอกว่าผมเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดก็คือตอนเวลาที่เราทั้งคู่ไปนั่งดื่มด้วยกัน พอถึงเวลาจ่ายเงินก็ไม่พ้นผมทุกที นี่แหละนะมันคือเพื่อนที่ดีที่สุดของผม(รึป่าวก็ไม่รู้)
              เมื่อผมใช้เบอร์โทรศัพท์สาธารณะโทรไปหาปราโมทย์ มันก็รับสายทันที ผมเลยแกล้งอำมันด้วยการแสดงตัวเองว่าผมเป็นเจ้าหนี้ตามทวงเงินลูกหนี้อย่างมันอยู่ และก็ได้ผล มันกลัวจนหัวหด ผมขู่มันไปว่าถ้าอีกสองสามวันหาเงินมาใช้หนี้ไม่ได้ล่ะก็ อวัยวะในร่างกายของมันคงจะไม่ครบ32ส่วนเป็นแน่ น้ำเสียงของมันเหมือนจะร้องไห้ ผมล่ะสะใจจริงๆ
              แล้วผมก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ผมว่ามันคงกำลังหน้าซีดอยู่แหงๆ
              “เล่นบ้าอะไรวะไอ้มะนาว! คนกำลังเครียดๆ อยู่นะว้อย!”
              แล้วผมก็เอ่ยปากชวนปราโมทย์ไปนั่งดื่มด้วยกัน เนื่องในโอกาสที่ผมกำลังจะได้รับงานใหญ่ พอดีเลยผมจะได้ชวนมันไปร่วมงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับของผม สงสัยมันคงกำลังตกงานอยู่เป็นแน่ แถมกำลังโดนเจ้าหนี้เงินกู้ไล่ล่าอยู่
              “แกไม่ได้โกหกฉันนะเว้ย ที่บอกว่าจะชวนฉันไปทำงานด้วยน่ะ”
              “เออ ฉันจะโกหกแกไปทำไมวะ งั้นคืนนี้เจอกันที่เก่าเวลาเดิม” ผมนัดแนะเวลากับปราโมทย์เป็นอย่างดี ร้านนั่งดื่มของเราคงจะไม่พ้นผับแสงสีเสียง ผมคุ้นเคยกับร้านนี้ที่สุดแล้ว แต่ผมก็ต้องผิดหวัง เมื่อรับรู้ว่าสถานที่เราจะไปเที่ยวนั้นได้ปิดกิจการลงแล้ว
              ปราโมทย์มันเลยบอกกับผมว่า มีร้านเด็ดอยู่ร้านหนึ่งพึ่งจะเปิดกิจการได้ไม่นาน คนมาเที่ยวตรึม บรรยากาศยอดเยี่ยม แค่ชื่อร้านผมก็เหงื่อแตกแล้ว ‘สเต็ป69’ ผมพยายามคะยั้นคะยอให้เจ้าเพื่อนรักของผมมันเปลี่ยนร้านใหม่ แต่ก็ไม่เป็นผล มันไม่ยอมท่าเดียว สุดท้ายผมก็เลยต้องเป็นฝ่ายตามใจมัน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×