ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักป่วน แสนจะวุ่นวาย ของผู้ชายอาทติสต์

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1 สารภาพรักออกไปแล้วสิ...

    • อัปเดตล่าสุด 15 ส.ค. 53


    บทที่1 สารภาพรักออกไปแล้วสิ...
              'ฉันรักแกว่ะ' คำๆ นี้ดังอยู่ในโสตประสาทของผมอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดผมก็ได้สารภาพรักต่อเธอ เพื่อนสนิทที่คบหากันมาตลอดสิบกว่าปี ผมไม่รู้หรอกว่าคำตอบมันจะออกมาอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือผมวิ่งหนีเธอไปก่อน ริมฝีปากของเธอกำลังจะเผยอออกจากกัน แววตาของเธอแสดงออกมาว่า เธองุนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นอย่างมาก ราวกับฟ้าเพิ่งผ่าเปรี้ยงลงมา ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเธอจะให้คำตอบออกมาว่าอย่างไร แต่ที่ผมคิดเอาไว้ 'เราเป็นเพื่อนกันน่ะดีแล้ว' หรือไม่ก็ 'แกเพิ่งมาบอกอะไรเอาตอนนี้' นี่แหละคือสาเหตุที่ผมวิ่งหนีไปจากเธอซะก่อน
              แค่วิ่งหนีจากเธอมายังไม่พอ ผมยังกดปิดโทรศัพท์มือถือ เพราะผมรู้ดีว่าเธอต้องโทรมาหาผมอย่างแน่นอน ผมไม่ได้หลงตัวเองที่คิดว่า เธอจะโทรมาตอบรับความจริงในใจที่ผมมีให้เธอหรอกนะ แต่ความเป็นเพื่อนของเราที่คบหากันมาอย่างยาวนาน มันทำให้ผมคิดว่า เธอไม่อยากตัดความสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนของเราให้ขาดสะบั้นลงในทันที เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมา เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมามาก มีปัญหาหรือไม่สบายใจก็ปรึกษากันตลอด แต่นี่แหละน๊า เป็นเพราะผมแท้ๆ ที่ไม่สามารถหักห้ามใจของตัวเองได้ ผมจะทำยังไงดีล่ะทีนี้
              ตั้งแต่ผมจำได้ว่า ผมรักผักบุ้งเข้าตอนไหน มันเป็นช่วงมัธยมปลายที่เราคอยติวหนังสือให้แก่กันและกันก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนั้นเธอชวนผมให้ไปติวหนังสือที่บ้านพักของเธอ พ่อและแม่ของเธอไม่อยู่บ้าน มีเพียงเราสองคนอยู่กันตามลำพัง พร้อมกับสุนัขพันธ์โกเด้นที่เธอเลี้ยงเอาไว้หนึ่งตัว เราสองคนนั่งทบทวนตำหรับตำราเรียนกันอยู่ในห้องรับแขก แต่เธอนี่สิดันเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ศีรษะของเธอหนุนตักของผม อย่าหาว่าผมเป็นคนฉวยโอกาสเลย ทำไงได้ก็ผมแอบหอมแก้มของเธอเข้าซะนี่ ผมยังคิดอยู่เลยว่า ถ้าเธอรู้สึกตัวในสิ่งที่ผมทำลงไป เธอจะคิดกับผมยังไงกันแน่ นี่แหละน๊า บางสิ่งบางอย่างก็อาจจะจริงอย่างที่คนเขาพูด ถ้าผู้หญิงและผู้ชายอยู่ใกล้ชิดกันมากๆ มันมักจะมีพลังอะไรบางอย่างดึงดูดเข้าหากัน หัวใจมักจะเต้นไม่เป็นจังหวะ จะทำอะไรก็ดูขัดๆ เขินๆ ไปหมด ถ้าบรรยากาศยิ่งพาไปด้วยนะไม่ต้องพูดถึง เสียงเพลงนุ่มๆ เคล้าคลอบรรยากาศชวนเคลิ้มไปได้เลยล่ะคุณ
              ผมเคยแอบแกล้งเธอด้วยแหละ ผมเอารองเท้านักเรียนของเธอไปซ่อนเอาไว้ข้างนึง หวังว่าพอโรงเรียนเลิกมันคงจะทำให้เธอกระวนกระวายใจเป็นแน่ แต่มันยิ่งกว่านั้นน่ะสิ รองเท้าข้างนั้นที่ผมแอบเอาของเธอไปซ่อนเอาไว้ ดันหาไม่เจออยู่นาน ผมเลยสารภาพออกไปว่า ทั้งหมดเป็นฝีมือของผมเองแหละ เธอไม่พูดอะไรออกมาซักคำเดียว มีเพียงรองเท้าอีกข้างกระแทกเข้าใบหน้าของผมเต็มเหนียว แล้วหลังจากนั้นเธอก็ไม่ยอมพูดคุยกับผมเลยซักคำ
              สามวันหลังจากนั้น ผมต้องเป็นฝ่ายยอมง้อเจ้าเด็กดื้อขี้งอน (ผมมักจะเรียกผักบุ้งว่าอย่างนั้น) โดยการซื้อช็อกโกแลตร้านเซเว่นแถวบ้านมาให้เธอ ทีแรกผมทำใจเอาไว้แล้วว่า เธอคงจะไม่หายงอนผมเป็นแน่ แต่ผิดคาด เธอรับขนมที่เธอชอบจากผม แล้วใช้ฝ่ามือวางลงบนศีรษะของผมพร้อมกับประโยคที่ว่า ‘ถ้าแกล้งกันอีก อย่าหวังว่าฉันจะยอมคุยกับแกง่ายๆ นะ’
              มีหรือที่ผมจะกล้ากลั่นแกล้งเธออีก ผิดซะแล้วล่ะ ผมยิ่งสนุกที่ทำให้เธอหัวหมุนมากเข้าไปเรื่อยๆ ก็มันมีความสุขนี่น่า ถ้าได้ทำให้คนที่เรารักกลายเป็นเด็กดื้อขี้งอนเข้าจริงๆ กว่าจะเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ผมแทบจะแปลงร่างเป็นกระสอบทรายให้เธอซ้อมเช้าซ้อมเย็น คิดแล้วก็แทบจะกระอักเลือดเลยทีเดียว
              มาในวันนี้ผมเรียนจบปริญญาตรีมาได้ปีกว่าๆ แล้ว ชีวิตของผมเป็นไปตามกระแสสังคม ที่เรียนจบออกมาก็ต้องวิจัยฝุ่น ที่ผมยังหางานหาการทำไม่ได้ก็เพราะผมเป็นคนมีความใฝ่ฝัน ไม่ชอบกับการต้องมาทำงานออฟฟิศ เข้าแปดโมงเช้าเลิกงานอีกทีก็ห้าโมงเย็น แถมยังมีพวกปากหอยปากปูคอยนินทาว่ากล่าวกันอยู่เรื่อยๆ บางคนอาจจะชอบงานด้านนี้ แต่สำหรับผมแล้วมันยังไม่ใช่ เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นชีวิตที่ซ้ำซากจำเจที่ไม่ค่อยจะตื่นเต้นสำหรับชีวิตเลย
              สิ่งที่ผมต้องการคือทำอะไรก็ได้ให้เป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และมีเงินมีทองใช้เยอะๆ จะมีใครสักคนไหมที่ปฏิเสธความคิดแบบผม
              ตอนประถมผมฝันอยากเป็นนักฟุตบอลทีมชาติ โตขึ้นมาหน่อยฝันอยากตั้งวงนักดนตรีให้มีชื่อเสียง เมื่อผักบุ้งได้รับรู้ความฝันของผม เธอก็หัวเราะเยาะ แล้วเธอก็บอกกับผมว่าเธอจะเป็นกำลังใจให้ แถมเธอยังบอกอีกว่า ถ้าผมทำความใฝ่ฝันให้เป็นจริงได้เมื่อไหร่ เธอจะให้สิ่งที่ผมต้องการหนึ่งข้อ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เข้าทางผมเลยสิ งั้นผมจะขอเธอเป็นแฟนเลยละกัน เจ๋งไปเลย
              แล้วผมก็ค้นหาตัวตนจริงๆ ของผมพบจนได้ ผมรู้แล้วล่ะว่า การเป็นผู้กำกับภาพยนตร์คือสิ่งที่ผมต้องการ ผมเพิ่งมารู้เอาตอนนี้ว่า การคลุกตัวอยู่กับหน้าจอโทรทัศน์หรือในโรงหนัง โดยเฝ้าดูพระเอกนางเอกคอยงอนง้อกัน แล้วจบลงด้วยความรักของคนทั้งคู่ ถ้าดราม่าหน่อยก็ต้องเป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งป่วยเป็นโรคร้ายแรงแล้วจบชีวิตลง พร้อมกับทิ้งข้อความให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ผลสุดท้ายก็เพิ่งมารู้ความจริงว่า คนที่จากไปนั้นเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่คนที่มีชีวิตอยู่กลับไม่ทราบอะไรเลย นี่ล่ะ...ผมคิดว่าชีวิตของมนุษย์มันก็ไม่ต่างอะไรจากภาพยนตร์เลยซักนิด ผมก็เลยตัดสินใจสารภาพรักต่อผักบุ้งซะ เพราะผมไม่รู้ว่า ชีวิตของผมจะจบลงเมื่อไหร่ วันดีคืนดีผมอาจจะเดินตกท่อแล้วจมน้ำหายไปเลยก็ได้ ใครจะไปรู้...
              เราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ที่บ้านของผมและเธอเคยเปิดเป็นร้านขายข้าวแกงเหมือนกัน รสชาติฝีมือในการทำอาหารของพ่อและแม่ผม ก็ไม่ยอมน้อยหน้าร้านของพ่อและแม่เธอเช่นกัน จนผู้คนในละแวกนั้นต่างก็รู้ๆ กันอยู่ว่า ร้านขายข้าวแกงของป้าชะอ้อยเป็นคู่แข่งกับร้านขายข้าวแกงของป้าตุ่น (ป้าชะอ้อยคือชื่อของแม่ผม ส่วนป้าตุ่นคือชื่อของแม่ผักบุ้ง ผู้ใดรับรู้แล้วโปรดห้ามเอาชื่อแม่ของเราสองคนไปล้อเรียนเด็ดขาด)
              เราสองคนมักจะเอากับข้าวมาแลกเปลี่ยนกันทานอยู่บ่อยๆ โดยไม่ให้ผู้เป็นพ่อและแม่ของเรารับรู้ เพราะความซ้ำซากจำเจในการทานข้าวแกงรสชาติเดิมๆ เกือบจะทู๊กวัน มันก็ทำให้ผมและเธอเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาได้
              ยิ่งเวลาผ่านไปความสนิทสนมของเราทั้งคู่ก็มากยิ่งขึ้น เพราะเป็นความโชคดีของผมหรือป่าวก็ไม่รู้ วันสอบเข้าชั้นมัธยมต้น ผมได้นั่งสอบอยู่ข้างๆ โต๊ะเธอ ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับการเรียนซักเท่าไหร่หรอกนะ หรือที่เรียกกันง่ายๆ ก็คือฉลาดน้อยนั่นแหละ พออาจารย์คุมสอบเผลอตัวหันเหความสนใจไปทางอื่นเมื่อไหร่ ผมก็รีบชะเง้อคอเพื่อลอกข้อสอบของเธอทันที พอหลังจากเสร็จสิ้นจากการสอบแล้ว ผมก็ต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงไอศกรีม แถมเธอยังกินจุอีกด้วย มื้อไหนที่ผมเป็นเจ้ามือ รับรองกระเป๋าตังผมแฟบลงทันที แต่นั่นมันก็เป็นความสุขอีกอย่างหนึ่ง และผมก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมจะยังมีโอกาสเลี้ยงไอศกรีมเธออีกรึป่าว
              ผมวิ่งหนีออกห่างมาจากเธอไกลเท่าไหร่แล้วก็ไม่อาจรับรู้ หัวสมองก็คิดเรื่องราวออกไปต่างๆ นาๆ จึงนึกขึ้นมาได้ว่า ผมต้องวิ่งไปที่สนามเด็กเล่น ที่ที่สมัยตอนเป็นเด็กผมและเธอมักจะมานั่งแกว่งชิงช้าอยู่เป็นประจำ มะนาวเอ๊ย ตอนนี้เจ้าจะทำยังไงต่อไปดีล่ะเนี่ย
              ผมยืนมองชิงช้าตัวเก่าที่เมื่อก่อนมันยังดูใหม่เอี่ยมอยู่เลย เมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเจ็บปวด ใครจะไปรู้ล่ะว่าชิงช้าเจ้ากรรมที่มีโซ่ล่ามเอาไว้อย่างดีจะขาดออกจากกันอย่างกะทันหัน จนทำให้ฟันกระต่ายของผมกระเด็นหลุดออกจากเหงือกทันที ผมร้องไห้ไม่หยุด ผักบุ้งเข้ามาปลอบผมพร้อมกับสมุนไพรบางอย่าง เธอยัดเข้ามาในปากของผมอย่างรวดเร็ว ผมรู้สึกว่ามันทะแม่งๆ ชอบกล ที่จริงแล้วมันคือใบมะม่วงนั่นเอง ไม่รู้ว่าเธอเอาความคิดนี้มาจากไหนกันแน่ ใบมะม่วงมันจะรักษาคนที่ฟันน้ำนมเพิ่งจะหลุดออกมาได้อย่างไรกัน แต่มันก็ทำให้ผมมีเสียงหัวเราะ เย็นวันนั้นผมวิ่งไล่จับเธอ เพื่อที่จะเอาใบมะม่วงยัดเข้าปากเธอกลับคืนไปบ้าง จนมันทำให้ผมลืมเสียสนิทเลยว่า ผมเพิ่งจะได้รับอุบัติเหตุจนฟันน้ำนมหลุดออกมาจากปาก
              ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ถ้าผมเดาไม่ผิดต้องเป็นผักบุ้งแน่เลย ผมหันหลังกลับไปมอง แล้วหัวสมองก็ผุดความคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ราวกับการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ ผมต้องรีบวิ่งหนีเธอให้เร็วที่สุดก่อนคำว่า ’เราเป็นเพื่อนกันน่ะดีแล้ว’ หรือ ‘แกเพิ่งมาบอกอะไรเอาตอนนี้’ จะแทรกผ่านเข้ามาในโสตประสาทของผม หลังจากนั้นจิตวิญญาณของนักวิ่งทีมชาติก็พาผมหายไปจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
              ผมหวังว่าผักบุ้งคงจะตามผมมาไม่ทันหรอกนะ ผมรู้สึกเหนื่อยมาก เหงื่อนี่ท่วมไปทั้งร่างกายราวกับสุนัขตกน้ำ ผมไม่รู้สึกสนุกเลยนะเนี่ยกับการวิ่งหนีความจริง ทั้งชีวิตของผม ผมคิดว่าการวิ่งครั้งนี้ คงจะรวดเร็วรองลงมาจากเหตุการณ์ที่ผมวิ่งหนีบาทาของพวกคู่อริต่างโรงเรียน ในครั้งนั้นผมรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ครั้งนี้ผมกำลังวิ่งหนีอะไรอยู่เนี่ย ใช่สิ...ความผิดหวังยังไงล่ะ ที่ผมไม่ต้องการได้ยินจากปากของคนที่ผมรัก
              มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมเคยคิดจะสารภาพรักต่อเธอ เราสองคนนั่งอยู่บนเรือถีบรูปเป็ดน้อยกลางสระน้ำ ผมคงต้องบ้าแน่ๆ เลย ถ้าสารภาพรักออกไปจากปากแล้ว ผมต้องกระโดดลงน้ำพร้อมกับว่ายเข้าฝั่ง แถมสายตาของผู้คนในละแวกนั้น คงจะมองผมเป็นตัวกินไก่หรือไม่ก็ชาละวันเป็นแน่
              ผมทรุดตัวลงบนพื้นหญ้า มือทั้งสองข้างกุมเหนือศีรษะ ผมทำอะไรลงไปเนี่ย มิตรภาพของเราทั้งคู่คงจะจบลงด้วยความรู้สึกในใจของผม ถ้าผมไม่สารภาพความจริงออกไปในวันนี้ ซักวันหนึ่งผมก็ต้องเสียเธอไปให้คนอื่นอยู่ดี สู้ยอมรับความจริงซึ่งๆ หน้าจะดีกว่า ไม่ใช่สิ...หนีความจริงซึ่งๆ หน้าต่างหาก
              ผมคิดว่าผมเป็นผู้ชายที่ขี้ขลาดเอามาก มีที่ไหนบอกรักผู้หญิงคนหนึ่งแล้ววิ่งหนีเธอ แถมปล่อยให้เธอวิ่งตามผมอีก ใช่สิ...ก็ผมมันคือสุภาพบุรุษนี่น่า
              ...แล้วผมก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อจากเธอ...
              อะไรกันเนี่ย ผมคิดว่าผมวิ่งมาไกลจนเธอตามไม่ทันซะแล้วนะ ผมเหนื่อยแทบล้มทั้งยืน แต่เธอนี่สิ ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยบ้างรึไงกันนะ
              ผมรีบซ่อนตัวหลังต้นไม้ใหญ่ จนแน่ใจแล้วว่าผักบุ้งคงไม่พบตัวผมแน่ แล้วเธอก็ตะโกนเรียกชื่อผมขึ้นมาอีกหลายครั้ง ซักพักเธอก็หยุดเรียกชื่อผม เธอสบถกับตัวเองซึ่งผมก็ได้ยินไม่ค่อยถนัดนัก และเธอก็เดินจากไปยังที่ตรงนั้น
              ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ขาทั้งสองข้างของผมรู้สึกอ่อนล้าเหลือเกิน ผมกลายเป็นคนหวาดกลัวกับความรู้สึกของตัวเองไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย ความรู้สึกที่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของผม มันแทรกซึมผ่านเข้ามาในจิตใจทำให้ตัวของผมเองอ่อนแอลง จากนี้ไปผมคงต้องกลับบ้าน พร้อมกับเก็บตัวอยู่กับตัวเองซักระยะหนึ่ง แล้วผมก็จะยังไม่ไปคาดคั้นเอาคำตอบจากผักบุ้ง ผมอยากให้เธอทบทวนความรู้สึกของเธอเองให้ดีเสียก่อน เมื่อเวลานั้นมาถึง ผมก็พร้อมจะยืดอกยอมรับกับความเป็นจริง
              คงไม่มีที่ไหนดีไปกว่าบ้านของผมอีกแล้ว แม้มันจะไม่ใช่คฤหาสน์หลังใหญ่โตหรือบ้านสวนราคาแพง แต่ ณ. ที่แห่งนี้ยังมีครอบครัวอันเป็นที่รักยิ่งรอผมอยู่
              ผมหวังว่าระหว่างเดินทางออกจากบ้าน ผมคงจะหลบหน้าผักบุ้งได้นะ เพราะบ้านของผมอยู่ถัดออกไปจากบ้านของเธอสองซอย ผมรู้ว่าการที่ผมหลบหน้าเธออยู่ในขณะนี้ ซักวันหนึ่งยังไงเราสองคนคงจะพบเจอกันอยู่ดี แต่คงจะไม่ใช่เวลานี้เป็นแน่ ผมไม่กล้าสบตาเธอเลย คิดแล้วก็เศร้า นี่ผมกำลังหนีความจริงอยู่ใช่ไหมเนี่ย แล้วผมก็ทรุดตัวลงข้างเจ้าบองบอง สุนัขพันธ์ไซบีเรียตัวโปรดของผม ผมปล่อยให้มันเลียใบหน้าของผมอยู่อย่างนั้น ทุกครั้งผมจะพยายามปัดป้องไม่ให้มันกระทำอย่างเช่นตอนนี้ ผมเหมือนคนไร้จิตวิญญาณยังไงก็ไม่รู้ คงต้องปล่อยเลยตามเลยให้มันทำตามใจชอบ
              เจ้าบองบองคงเห็นเจ้านายของมันเสมือนคนไร้ความรู้สึก มันเลยงับเข้าที่ใบหูของผมอย่างแรง ผมสะดุ้งทันที แล้วผมก็จับมันปล้ำลงกับพื้น เราทั้งสองหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน และมันก็ทำให้ผมลืมผักบุ้งไปได้ระยะเวลาหนึ่ง
              แล้วผมก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม แววตาของเจ้าบองบองแสดงอาการตัดพ้อออกมาว่า ทำไมเจ้านายของมันถึงไม่ยอมใส่ใจมันเลยในตอนนี้ แล้วมันก็แทรกตัวเข้ามาในหว่างแขนของผม เพื่อที่จะให้ผมโอบกอดมัน มันคงอยากจะปลอบใจผมอยู่ก็เป็นได้ ส่วนผมก็โอบกอดมันเอาไว้ ทุกครั้งมันจะเป็นเพื่อนยามเหงาของผมอยู่เสมอ
              น้องสาวของผมเดินออกมาจากในตัวบ้าน ยัยลูกว้ามักจะใส่ใจความรู้สึกของผมอยู่ตลอด ถึงแม้บางครั้งมันจะกวนประสาทผมอยู่บ้างก็เถอะ
              “ไม่ยักกะรู้นะเนี่ย ว่าในบ้านของเราจะเลี้ยงสุนัขเอาไว้ถึงสองตัว” ยัยลูกว้าพูดออกมาลอยๆ มันคงเห็นผมกำลังนอนคลุกอยู่กับเจ้าบองบองล่ะมั้ง เพราะทุกครั้งผมก็แค่จะหยอกล้อกับเจ้าสุนัขตัวโปรดของผมเท่านั้น ไม่ถึงกับนอนกอดกันราวกับคู่สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ
              “เฮ้อ...วันนี้เป็นอะไรอีกล่ะเนี่ยพี่มะนาว ไม่มีสาวที่ไหนให้กอดแล้วหรือยังไงกัน ถึงเอาเจ้าบองบองไปแก้ขัดซะอย่างเนี่ย” ยัยลูกว้าถอนหายใจออกมา พร้อมกับเคี้ยวขนมป๊อกกี้อย่างเอร็ดอร่อย
              ผมไม่มีคำพูดจะต่อกรกับยัยลูกว้าหรอกนะ เอาเถอะวันนี้ผมจะยอมให้เจ้าน้องสาวจอมกวนประสาทไปซักวันนึง
              “อาการอย่างนี้เขาเรียกว่าอะไรกันน๊า...อกหักใช่ม๊า...เอาน่าผู้หญิงปฏิเสธจะเป็นอะไรไป เดี๋ยวน้องสาวคนนี้จะปลอบใจเอง” ยัยลูกว้านั่งลงข้างตัวผมและเจ้าบองบอง
              ...ปฏิเสธหรอ...ผมยังไม่รู้หรอกว่าผักบุ้งจะปฏิเสธผมหรือป่าว แต่ผมแค่ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงก็เท่านั้น ประโยคสองประโยคยังคงลอยวนเวียนอยู่ในโสตประสาทของผม ‘เราเป็นเพื่อนกันน่ะดีแล้ว’ ‘แกเพิ่งมาบอกอะไรเอาตอนนี้’
              ยัยลูกว้ายื่นหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าของผมเกือบจะประชิด สายตาของน้องสาวผมแสดงอาการล้อเลียน จนมันทำให้ผมเกิดอาการหมั่นไส้ เลยใช้กำปั้นเขกกะโหลกมันไปทีนึง
              “โอ๊ย! เจ็บนะพี่มะนาว! เค้าอ่ะนะอุตส่าห์จะทำให้สบายใจขึ้น บ้าพลังชะมัด” มันลูบศีรษะของตัวเองอย่างเจ็บปวด ซึ่งผมพอใจมาก
              “กวนประสาทดีนัก เข้าบ้านไปทำการบ้านได้แล้ว มัวแต่โอ้เอ้ เดี๋ยวก็สอบเข้ามหา’ลัยไม่ติดหรอก อย่าบอกนะว่าวันนี้แกโดดเรียนพิเศษอีกแล้ว”
              เจ้าน้องสาวตัวดีของผมมันชอบแอบโดดเรียนพิเศษตอนเย็นอยู่เรื่อย มีอยู่วันนึงผมจับได้ว่ามันแอบไปดูหนังหลังโรงเรียนเลิก แล้วไม่ยอมเข้าเรียนพิเศษ พอกลับมาถึงบ้านเท่านั้นแหละ อย่าหาว่าผมป่าเถื่อนเลยครับ ผมขังมันเอาไว้อยู่ในห้องนอนนานสามชั่วโมง พร้อมกับปล่อยแมลงสาบให้ไต่ยัวเยี้ยไปมาราวๆ สิบกว่าตัว เสียงร้องกรี๊ดดังสนั่นลั่นบ้าน ดีนะที่พ่อกับแม่ของผมไม่อยู่ ถ้าอย่างนั้นผมไม่มีทางลงโทษให้มันเข็ดหลาบได้แน่ หลังจากวันนั้นมันก็กลายเป็นเด็กดีอย่างผิดหูผิดตา แล้วใครจะไปเชื่อว่ามันจะอาฆาตแค้นผมอยู่ มีอยู่เช้าวันหนึ่งผมลืมตาตื่นนอนขึ้นมา หนอนแก้วตัวสีเขียวไต่ยัวเยี้ยไปมาข้างตัวผม ผมนับได้ประมาณเกือบๆ ยี่สิบตัว พูดแล้วก็ขนลุก...น้องสาวของผมมันแสบไหมล่ะครับ...
              “เค้าไม่ได้หนีเรียนพิเศษเลยนะ แต่ถ้าพี่มะนาวจะลงโทษเค้าเหมือนในวันนั้นล่ะก็ คอยดูเถอะ อย่าหวังว่าเค้าจะยอมอยู่ฝ่ายเดียวนะ” พูดจบเจ้าน้องสาวตัวดีของผมก็แลบลิ้นใส่ พร้อมกับลากเจ้าบองบองไปจากผมหน้าตาเฉย ปล่อยให้ผมนอนเหงาใจอยู่คนเดียว
              ผมขึ้นมายังห้องนอนของผม ผมไม่มีกระจิตกระใจจะลงไปรับประทานอาหารเย็นพร้อมกับครอบครัวเลย ผมหยิบโปสการ์ดในลิ้นชักนับสิบแผ่นขึ้นมา แล้วผมก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนอน ผมตั้งใจอ่านทุกๆ ประโยคอย่างช้าๆ
              โปสการ์ดทั้งหมดนี่เป็นของผักบุ้งที่เขียนส่งมาให้ผม ตอนที่เธอไปเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัว แม้กระทั่งวันวาเลนไทน์ วันสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ วันพระ วันเกิดอยากจะเขียน หรือแม้กระทั่งวันที่เธอน้ำตาไหล เธอก็พร้อมจะแบ่งปันความรู้สึกให้ผมได้รับรู้
              ผมอ่านโปสการ์ดในข้อความแผ่นนึงซึ่งเธอได้เขียนเอาไว้ว่า
              ‘วันนี้เป็นวันคริสต์มาส อากาศหนาวมากเหลือเกิน รู้ไหมว่าวันนี้ฉันได้ของขวัญจากลุงซานต้าด้วยแหละ แปลกใจใช่ม๊า เดี๋ยวฉันกลับไปกรุงเทพฯ เมื่อไหร่จะเล่าให้ฟังเน้อ คิดถึงแกเสมอไอ้ตูดเหม็น ป.ล.ตอนนี้แกจะเหงาเหมือนฉันไหมน๊า?’
              เมื่อสามปีก่อนหน้านั้น เธอได้เขียนโปสการ์ดแผ่นนี้ให้กับผม ตอนที่เธอเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่กับครอบครัว และหลังจากที่เราได้พบกันแล้ว เธอเล่าให้ผมฟังว่า เธอแขวนถุงเท้าเอาไว้ในห้องนอน พอตื่นเช้าขึ้นมาเธอดีใจมาก ลุงซานต้าได้ให้ช็อกโกแลตกล่องใหญ่แก่เธอ แล้วเธอก็เอามาแบ่งให้ผมกินด้วยแหละ รสชาติของมันหวานมาก คืนนั้นทั้งคืนผมแทบไม่ได้นอน เพราะผมปวดฟันจนทนไม่ไหว...
              เช้าวันต่อมา...ผมไปหาเธอที่บ้าน โดยมีพลาสเตอร์ระงับอาการปวดฟันแปะไว้ข้างแก้ม เธอเห็นแล้วก็หัวเราะเยาะผม ผมไม่อยากบอกความจริงกับเธอหรอกนะว่า ตอนเด็กๆ ผมเคยเอาถุงเท้าแขวนเอาไว้ในห้องนอนทุกๆ วันคริสต์มาสของทุกปี ผมแกล้งทำเป็นนอนหลับ ผมหรี่ตามองดูว่าตอนไหนลุงซานต้าตัวโตจะมาแจกของขวัญเสียที แล้วเสียงเปิดประตูห้องนอนก็ทำให้ผมตื่นเต้น ซึ่งเป็นแม่ผมเองที่เอาของขวัญมาใส่ไว้ในถุงเท้าที่ผมแขวนเอาไว้ คิดแล้วก็ตลกไม่หาย จึงเป็นธรรมเนียมในทุกๆ ปีที่ผมจะได้รับของขวัญในวันคริสต์มาส...
              ...แล้วผมก็ได้รับรู้ความจริงว่า ซานต้าครอสมีแต่ในเทพนิยาย...
              แม้แต่น้องสาวของผมมันก็ยังบ้าเหมือนผม ทุกวันนี้มันยังแขวนถุงเท้าเอาไว้ในห้องนอน พอถึงวันคริสต์มาสเมื่อไหร่ ผมก็ไม่ลืมที่จะใส่แมลงสาบเอาไว้ในนั้น...
              โปสการ์ดแผ่นต่อมา...ผักบุ้งได้เขียนเอาไว้ตอนที่เธอไปเที่ยวงานปล่อยโคมลอยที่จังหวัดเชียงราย หรือเรียกกันว่าเทศกาลยี่เป็ง
              ‘ว้าว!!! ไอ้ตูดเหม็น ตอนนี้ฉันอยู่เชียงรายแล้วกะเจ้า เป็นอะไรที่เยี่ยมมากๆ เลย ฉันปล่อยโคมลอยเป็นแล้วเน้อ ฉันถ่ายรูปมาให้ดูด้วยแหละ อย่าแปลกใจนะที่ฉันตัดผมซะสั้นขนาดนี้ เป็นเพราะอีตาบ้าคนข้างๆ ฉัน มันทำไฟไหม้ผมของฉันน่ะสิ คิดแล้วก็อยากจะบ้าตาย แล้วฉันจะกลับไปเล่าให้ฟังที่กรุงเทพฯ นะ ป.ล.ถ้าแกอ่านข้อความทั้งหมดอยู่ในตอนนี้ แล้วแอบหัวเราะอยู่ล่ะก็ ฉันขอบอกให้หยุดเลยนะ เพราะฉันร้องไห้ไปตั้งหลายรอบ คิดถึงแกนะไอ้ตูดเหม็น’
              ผมอ่านโปสการ์ดแผ่นนี้ทีไรต้องแอบยิ้มหรือไม่ก็แอบหัวเราะทุกที ในช่วงนั้นที่ทรงผมของผักบุ้งยาวเสมอติ่งหู ผมล้อเธอว่าเป็นเด็กประถมหรือยังไงกันนะ ถึงไว้ผมทรงนี้ แล้วเธอก็โกรธ โดยที่ไม่ยอมออกจากบ้านเลย อาทิตย์ต่อมาเธอซื้อวิกปลอมมาใส่ ผมว่ามันดูตลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ หัวของเธอฟูอย่างกะหมวกกันน็อกเลย
              ผมคิดว่าจะไม่กลับมาอ่านโปสการ์ดพวกนี้อีกแล้วล่ะ ผมจะเก็บลงลิ้นชักแล้วล็อคกุญแจเอาไว้ โดยที่ผมจะพยายามไม่คิดเข้าข้างตัวเองว่า เธอก็มีใจให้กับผมอยู่เหมือนกัน แต่มันก็ทำให้ผมสะดุดเข้ากับโปสการ์ดแผ่นนึง เพราะเธอยื่นให้กับผมในวันวาเลนไทน์ในภาคเรียนสุดท้ายของชั้นมัธยมปลาย ผมรีบวิ่งเข้าไปอ่านในห้องน้ำทันที ผมกระโดดโลดเต้นไปมาอย่างกับพวกนักฟุตบอลที่ได้แชมป์โลก แต่มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิดเอาไว้เลย...
              ‘วาเลนไทน์ปีนี้ ขอให้แกมีความสุขกับน้องเชอรี่มากๆ นะ ฉันจะเป็นกำลังใจให้แกเสมอ แกอย่าทำให้น้องเขาเสียใจล่ะ ป.ล.ช่วยหาแฟนให้ฉันที’
              น้องเชอรี่...ผมแทบไม่อยากจะหวนกลับไปยังความทรงจำในช่วงเวลานั้นเลย ผมไม่เคยพบหน้าของเธอมาก่อน ได้แต่พูดคุยกันทางโทรศัพท์ โดยที่เพื่อนในห้องเรียนเป็นคนติดต่อให้ผม เพื่อนของผมมันบอกว่าคนนี้แหละเด็ดสุดๆ
              คุยโทรศัพท์กันครั้งแรกผมหลงรักเธอเลย ผู้หญิงอะไรน้ำเสียงน่ารักชะมัด กิริยามารยาทการพูดการจาน่าทะนุถนอม ผมว่าถ้าคุณเธอเป็นพนักงานรับโทรศัพท์หรือดีเจคลื่นวิทยุของเด็กวัยรุ่นจะดีมากๆ แล้วผมก็ได้พบเธอ...นางฟ้าที่ผมจินตนาการว่าเธอคงจะน่ารักอยู่ไม่น้อย แต่ผิดมหันต์ คุณเธอทานช้างเข้าไปถึงสามตัวหรือยังไงกัน ถึงได้อ้วนอย่างมหาศาลขนาดนี้ แถมทาลิปสติกสีแดงแจ๋อีก พอถึงตอนนั้นผมนึกภาพออกทันที
              ...พระอภัยมณีจ๋า นางผีเสื้อสมุทรมาแล้วจ๊ะ...
              ส่วนเพื่อนตัวแสบที่แนะนำน้องเชอรี่ให้กับผม มันหัวเราะเยาะผมทันที แถมยังมีการบอกผมอีกด้วยนะว่า ‘อย่าไปสนใจรูปลักษณ์ภายนอก ขอแค่เสียงแอ๊บแบ๊วเป็นใช้ได้’
              ผมอยากตอกกลับไปว่า ‘แอ๊บแบ๊วบ้าน...มันดิ’
              ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมจะไม่พูดคุยโทรศัพท์กับผู้หญิงคนไหนโดยที่ผมไม่เคยพบหน้ามาก่อน ผมเข็ดหลาบอย่างแรง กว่าผมจะสลัดตัวจากน้องเชอรี่ได้ ผมต้องคอยอดทนถนอมน้ำใจของเธอ เพราะกลัวเธอจะเสียใจ ทั้งที่แต่ก่อนเราสองคนโทรศัพท์หากันทุกวัน จึงเปลี่ยนมาเป็นสองสามวันโทรหากัน เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าเราใกล้ชิดกันจนเกินไป แล้วคำโบราณประโยคนึงก็เห็นผล ‘สามวันจากนารีเป็นอื่น’ ผมดีใจมากถึงมากที่สุด น้องเชอรี่บอกเลิกผม เธอบอกว่าผมเป็นผู้ชายที่ไม่เอาไหนเลย ห่วยแตกสุดๆ เอาใจก็ไม่เก่ง ดูแลก็ไม่ได้ ผมยอมรับทุกคำพูดของเธอ น้ำเสียงของผมตอนนั้นฟังดูเศร้าสุดๆ แต่ในใจของผมนี่สิอยากจะตะโกนให้โลกได้รู้ไปเลยว่าผมดีใจมากแค่ไหน เพื่อเป็นการไม่ให้ดูน่าเกลียดจนเกินไป ผมจึงบอกออกไปว่า ‘ถึงเลิกกันไปแล้ว แต่พี่ก็ยังเป็นห่วงเชอรี่อยู่นะ ขอโอกาสให้พี่ซักครั้งไม่ได้หรอ?’
              น้องเชอรี่บอกกับผมว่า ไม่มีวันที่เธอจะให้โอกาสผู้ชายอย่างผมเด็ดขาด ชื่อของผมเธอจะจดจำไปจนวันตาย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ว่าเธอจะจดจำชื่อของผมไปเพื่ออะไร แต่ผมคงหวังว่า เธอคงจะไม่จดจำส่วนดีของผมแน่นอน
              ผมเก็บโปสการ์ดทั้งหมดลงในลิ้นชักพร้อมกับล็อคกุญแจเอาไว้ ข้อความที่ผักบุ้งเขียนให้ผมนั้น ผมจะไม่มีวันกลับมาอ่านมันอีก เพราะมันทำให้ผมระลึกถึงอดีต ความทรงจำที่แสนดีระหว่างเพื่อน และผมก็เป็นคนทำลายความทรงจำทั้งหมดลง
              ยัยลูกว้าขึ้นมาเคาะประตูห้องนอนของผม ผมเปิดให้มันทันที น้องสาวของผมมันขอร้องให้ผมช่วยอะไรอย่างนึง มันบอกว่ามันแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนเลย ได้แต่เพียงมองหน้าของกันและกันเท่านั้น ต้องทำยังไงถึงจะให้เขาคนนั้นมาสนใจคนอย่างมัน
              อันที่จริงน้องสาวของผมก็เป็นผู้หญิงที่รูปลักษณ์ภายนอกชวนมองอยู่แล้ว แต่ถ้าผู้ชายคนไหนได้รู้จักมันเข้าจริงๆ ล่ะก็ ต้องรู้ซึ้งถึงความแสบของมันอย่างแน่นอน เหมือนอย่างที่ผมพบเจออยู่ทุกวัน แถมยังดื้อและเอาแต่ใจเป็นที่สุด ผมยังไม่รู้เลยว่าผู้ชายโชคร้ายคนนั้นจะเป็นใครกันแน่
              “ข้อแรกเลยนะ แกต้องเปลี่ยนนิสัยซะใหม่ เอาแต่ใจตัวเอง ดื้อก็ดื้อ ผู้ชายคนไหนจะมาทนได้ ถ้าแกยอมรับฟังเหตุผลของคนอื่นซะบ้าง เป็นกุลสตรีมากกว่านี้ ฉันจะยอมช่วยเหลือแก”
              ผมใส่เป็นชุด พูดแล้วก็น่าหมั่นไส้ไม่หาย บางครั้งยัยลูกว้ายังชอบมาแอบแกล้งผมยามทีเผลออยู่เรื่อย แถมยังแอบกินช็อกโกแลตของผมในตู้เย็นซะหมดเกลี้ยง ผมดุหรือด่ามันทีไร มันก็มักจะไปฟ้องพ่อกับแม่ทุกที ท่านทั้งสองเลยตักเตือนผมว่า ‘น้องก็คือน้องอย่าไปว่าอะไรมันเลย ดีแล้วนะที่มีน้องน่ารักแบบนี้’
              ผมได้แต่แอบเซ็งอยู่บ้าง ยัยลูกว้ามักทำตัวเป็นลูกที่น่ารักยามอยู่ต่อหน้าพ่อกับแม่ แต่เวลาที่ท่านทั้งสองไม่อยู่บ้าน มันก็มักจะแปลงร่างเป็นหนูที่ซุกซนทุกที เข้าทำนองที่ว่า ‘แมวไม่อยู่หนูร่าเริง’ คอยดูเถอะ ซักวันหนึ่งผมจะแกล้งมันให้เข็ดหลาบกันไปเลย
              “ไม่! เค้าจะไม่เปลี่ยนนิสัยเด็ดขาด! เค้าจะเป็นตัวของตัวเองแบบนี้! ใครจะทำไม!”
              แหมยังมีหน้ามาทำเป็นขึ้นเสียงใส่ผมอีก นี่ขนาดผมกำลังอบรมสั่งสอนมันอยู่นะเนี่ย
              “แล้วอย่างนี้ผู้ชายคนไหนจะมาทนกับคนอย่างแกได้ห๊ะ ฉันกำลังอบรมสั่งสอนแกอยู่นะเนี่ย”
              “ไม่ทนก็ไม่ต้องทน เค้าเป็นตัวของเค้าอยู่อย่างนี้ พี่มะนาวเคยเข้าใจอะไรบ้างไหม ความรักคือสิ่งที่เราเป็นเรา คนที่เขาเห็นว่าเรามีคุณค่า ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น นี่แหละความรัก เชอะ! ถ้าไม่อยากช่วยก็ไม่ต้องช่วย” แล้วน้องสาวของผมก็เกิดอารมณ์โกรธ มันกระแทกเท้าเดินออกจากห้องนอนของผมพร้อมกับปิดประตูเสียงดังปัง! ผมได้แต่คิดในใจว่า นี่ผมกำลังอบรมสั่งสอนมันหรือว่ามันกำลังอบรมสั่งสอนผมกันแน่ ตกลงมันเป็นพี่ของผมแล้วใช่ไหมเนี่ย
              ผมคิดทบทวนดูอีกครั้ง มันก็ถูกอย่างที่ยัยลูกว้าพูดนะ ความรักคือสิ่งที่เราเป็นเรา...
              ผมรู้สึกตัวอีกทีในตอนเช้าเพราะแสงของดวงอาทิตย์แยงเข้าใส่ใบหน้าของผม ผมได้ยินเสียงนกน้อยทักทายผมเหมือนในทุกๆ วัน ผมยังไม่ลืมเหตุการณ์ในเมื่อวานนี้ ที่ผมได้สารภาพรักต่อผักบุ้ง แถมยังไม่รู้คำตอบในใจของเธอเลย ผมนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ เพราะเป็นวันครบรอบการแต่งงานของพ่อและแม่ ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ท่านทั้งสองครองรักกันอย่างมีความสุข ผมอยากรู้ความรู้สึกที่ใครบางคนพูดเอาไว้ว่า ‘รักคนที่เขารักเรา’ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าถ้าผมตกลงปลงใจเป็นคนรักของผู้หญิงคนนึง แต่ผมไม่ได้รักเขา ส่วนเขามีใจให้กับผม มันคงจะเป็นการฝืนความรู้สึกของตัวเองไปหรือป่าว ผมคิดว่าถ้าผมยังไม่เจอคนที่ผมรักจริงๆ แล้วล่ะก็ ผมคงจะเดินทางตามหาคนๆ นั้นต่อไปเรื่อยๆ แต่ในเวลานี้ผมได้พบกับคนๆ นั้นแล้ว ส่วนผมก็ยังไม่รู้ว่าเธอจะรู้สึกต่อผมอย่างคนรักกันหรือป่าว นี่แหละคือปัญหา
              แล้วอีกคำถามหนึ่งที่ผมอยากรู้เหลือเกินว่า คู่รักที่ครองรักกันอย่างยาวนานจนแก่ชรานั้น เขามีเคล็ดลับกันอย่างไรเพื่อให้มีชีวิตคู่อย่างสมบูรณ์แบบ หรือที่เรียกกันว่ารักแท้ มาในวันนี้ผมยังไม่ได้คำตอบเลย แต่ผมก็จะพยายามเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ
              ผมปิดเครื่องโทรศัพท์เอาไว้ ผมไม่อยากรับรู้ความจริงเลย ผมตั้งใจเอาไว้ว่าผมจะเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่ซะ แล้วจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที หางานหาการทำเป็นหลักเป็นแหล่ง เพราะปีนี้อายุอานามของผมก็ย่างเข้าปีที่25แล้ว มัวแต่นั่งกินนอนกินชีวิตของผมคงเหี่ยวเฉากันพอดี
              ผมเดินลงบันไดมายังชั้นล่าง ในใจก็เกิดความรู้สึกอิจฉาพ่อกับแม่ทันที ท่านทั้งสองนั่งเคียงข้างกันระหว่างที่กำลังชมนิตยสารท่องเที่ยวทั่วไทย ราวกับคู่รักข้าวใหม่ปลามันยังไงยังงั้น สงสัยคงจะมีแผนการฮันนีมูนชัวร์ ผมไม่อยากเป็นกอขอคอเลยเดินไปหยอกล้อกับเจ้าบองบองที่อยู่หน้าบ้าน
              แล้วสิ่งหนึ่งก็ทำให้ผมตกกะใจจนแทบเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ ผักบุ้งเรียกชื่อผม เธอเกาะอยู่ตรงรั้วประตูบ้าน เราสองคนสบสายตากันประมาณ4วินาที และผมก็เป็นฝ่ายเอ่ยประโยคแรกขึ้นมาก่อน เพื่อคลายบรรยากาศที่คิดว่ากำลังจะตึงเครียด
              “ว่าไงผักบุ้ง วันนี้อากาศดีเนอะ มาแต่เช้าเชียว มีอะไรรึป่าว?” ผมพยายามทำเป็นกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งในเวลานี้หัวสมองของผมคิดถึงแต่เรื่องราวที่สารภาพออกไป
              ...ไม่นะ...ผมต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว บางสิ่งบางอย่างในใจของผมมันเรียกร้องว่า ผมต้องวิ่งกลับเข้าไปในตัวบ้าน ไม่ใช่สิ ผมต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ผมจะไม่หนีไปไหนอีกเป็นอันขาด…
              “ฉันขอคุยกับแกหน่อยได้ไหม?” น้ำเสียงของผักบุ้งทำให้ผมรู้สึกเย็นเยียบไปทั่วร่างกาย
              ผมไม่มีคำพูดอะไรเอ่ยออกมา ได้แต่ก้าวเท้าที่รู้สึกว่าหนักอึ้งเหลือเกิน เพื่อเดินไปเปิดประตูให้กับเธอ
              เราทั้งสองคนเดินมานั่งตรงโต๊ะม้าหินอ่อน ผมได้แต่ก้มหน้าพร้อมแล้วกับคำตอบของเธอ
              “ฉันคิดว่า...” เอาล่ะสิ ร่างกายของผมสั่นเทาไปหมดแล้ว ผมหลับตาปี๋ ภาวนาสาธุไม่ให้เธอพูดสองประโยคที่ผมไม่อยากรับฟัง ‘เราเป็นเพื่อนกันน่ะดีแล้ว’ ‘แกเพิ่งมาบอกอะไรเอาตอนนี้’
              “พี่ผักบุ้งนี่น่า ดีใจจังเลยค่ะ วันนี้มาถึงบ้านด้วย ลูกว้ากำลังมีปัญหาที่จะปรึกษาพี่ผักบุ้งอยู่พอดี พี่มะนาวใจร้ายไม่ยอมใส่ใจน้องสาวของตัวเองเลย”
              ราวกับสวรรค์มาโปรด ยัยลูกว้าเดินเข้ามาพอดี ผมถอนหายใจกับตัวเอง เห็นใบหน้าของผักบุ้งแสดงอาการผิดหวังเล็กน้อย ผมจึงรีบลุกขึ้นจากโต๊ะม้าหินอ่อนทันที โดยที่เธอพยายามจะเอ่ยคำพูดเพื่อรั้งผมเอาไว้ แต่ผมกลับไม่สนใจเธอเลยซักนิด
              ผมปล่อยให้ผักบุ้งและยัยลูกว้าได้ปรึกษาปัญหาของผู้หญิงกันตามลำพัง ผมขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเองพร้อมกับเก็บตัวเงียบ รูดผ้าม่านตรงบานหน้าต่างทุกบาน แล้วผมก็เปิดเพลงเศร้าๆ ปล่อยให้อารมณ์ของตัวเองเคล้าคลอไปตามบรรยากาศ
              ผ่านไปพักใหญ่ๆ เสียงเคาะประตูห้องของผมก็ดังขึ้น ยัยลูกว้าคงจะมาบอกเรื่องราวเกี่ยวกับผมแน่เลย เพราะผมคิดว่าผักบุ้งคงจะกลับบ้านของเธอไปแล้ว
              ผมเปิดประตูออกมาด้วยความตกตะลึง ผักบุ้งเดินเข้ามาในห้องนอนของผมเฉยเลย ผมไม่มีทางหนีไปไหนได้อีกแล้ว เธอสบตาผมก่อนที่สายตาของเธอจะหลุบต่ำลง แล้วประโยคที่ผมไม่อยากรับฟังก็ส่งผ่านออกมาจากริมฝีปากของเธอ
              “ขอโทษด้วยนะมะนาว ฉันคงรักแกแบบนั้นไม่ได้จริงๆ แกคือเพื่อนของฉัน และฉันก็ไม่อยากให้เราสองคนต้องมีความสัมพันธ์แบบนั้น”
              ในที่สุดผมก็ถูกปฏิเสธจากผักบุ้ง ผมต้องทำอะไรต่อจากนี้ดีล่ะ ปล่อยให้เธอเดินออกจากห้องนอนของผมไป หรือพยายามอธิบายเหตุผลทั้งหมดให้เธอรับรู้ ผมรู้สึกว่าผมเป็นผู้ชายที่ปอดแหกเสียจริง
              ผมเอื้อมมือไปจับที่ข้อมือของผักบุ้ง ก่อนที่เธอกำลังจะก้าวเท้าเดินออกจากห้องนอนของผมไป ต้องให้ได้อย่างนี้สิ มีครั้งนี้แหละที่ผมพอใจตัวเองเหลือเกิน อย่างน้อยผมต้องอธิบายความรู้สึกทั้งหมดให้เธอรับรู้ให้ได้!
              “ผักบุ้ง...ฉันโกหกความรู้สึกของตัวเองไม่ได้จริงๆ ฉันรู้สึกว่าความใกล้ชิดของเรา มันทำให้หัวใจของฉันเปลี่ยนไป”
              ผมเริ่มต้นคำพูดได้ดี ผักบุ้งไม่มีอาการขัดขืนหรือสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมของผมเลย ผมยังมีความหวังสิน่า แต่ถ้าเธอขอร้องให้ผมเลิกยุ่งกับเธอแล้วล่ะก็ ผมจะไม่ทำอย่างเช่นที่เธอขอแน่นอน
              “ปล่อยมือฉันเถอะ...มันไม่มีประโยชน์หรอกที่แกจะรู้สึกกับฉันแบบนี้ ถ้าแกยังอยากเป็นเพื่อนกับฉันอยู่ ก็จงตัดใจซะเถอะ”
              ตัดใจหรอ ผมจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรกัน จะให้ผมตัดใจจากเธอในวันนี้น่ะหรือ ผมซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง คงไม่มีทางที่ผมจะทำตามคำพูดของเธอได้หรอก แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องที่คนเราจะมาทำกันง่ายๆ ด้วย
              “ไม่มีทาง...ฉันซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง ฉันรักแก ถึงยังไงฉันก็จะทำตามความรู้สึกของตัวเอง”
              ผักบุ้งเงียบไปประมาณห้าวินาที ผมไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆ ผมรู้ว่าผมอาจจะเสียเพื่อนคนนี้ไปจริงๆ ก็ได้
              “งั้น...เราอย่าพบกันอีกเลย”
              สิ้นเสียงประโยคของผักบุ้ง เหมือนมีความรู้สึกบางอย่างบอกกับผมว่า ปล่อยมือเธอไปซะ ผมชาไปหมดทั้งตัว รู้สึกเหมือนกับว่าเธอได้กลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับผมไปซะแล้ว ส่วนเธอน่ะหรือคงจะรู้สึกต่อผมมากกว่าผมเป็นคนแปลกหน้าไปซะอีก ผมรู้อย่างเดียวว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ผมและเธอคงจะไม่มีวันกลับมาเป็นเพื่อนกันได้อีก แล้วผมก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง พร้อมกับน้ำตาที่ไหลไม่หยุด
              ผมไม่นึกเลยว่าผักบุ้งจะสามารถตัดผมออกจากคำว่าเพื่อนไปได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ เราคบหากันมาตั้งแต่เด็ก สิ่งดีๆ ที่มีให้กันล้วนมากมาย เพราะความรู้สึกของผม มันทำให้เธอต้องทำอะไรซักอย่าง แล้วเธอก็ตัดผมออกไปจากใจ ผมเหมือนคนบ้าเลยเนอะ เป็นผู้ชายแท้ๆ กลับมานอนร้องไห้ ใช่แล้วล่ะ ต่อให้ใครเข้มแข็งแค่ไหน ทุกคนล้วนเคยเสียน้ำตาให้กับความรักกันทั้งนั้นแหละ ศึกรบผมไม่หนักใจหรอก แต่ศึกรักนั้นไซร้ผมหนักใจยิ่งกว่า
              วันนี้เป็นวันครบรอบการแต่งงานของพ่อและแม่ผม แต่มันเป็นวันที่ผมเสียใจที่สุด เพราะผักบุ้งเดินหายออกไปจากชีวิตของผม
              ผมไม่รู้ว่าตัวเองนอนหลับไปนานแค่ไหน มีเพียงเสียงของยัยลูกว้าตะโกนถามว่า ผมจะไปทานข้าวเย็นข้างนอกบ้านกับครอบครัวรึป่าว เพราะมันคือวันครบรอบการแต่งงานของพ่อและแม่ผม ผมไม่มีกระจิตกระใจจะออกไปไหนเลย เหมือนกับคนไร้เรี่ยวแรงยังไงยังงั้น ผมจึงตอบปฏิเสธน้องสาวไป
              ...แล้วผมก็คิดถึงอดีตอีกครั้ง...
              หลายปีมาแล้วที่ผมและเพื่อนๆ รวมทั้งผักบุ้งได้ชักชวนกันไปพักข้างแรมยังชายทะเล ก่อนที่พวกเราทั้งหมดจะแยกย้ายกันไปศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่างๆ เย็นวันนั้นพวกเราทั้งหมดได้จับคู่ชายหญิงเพื่อเล่นเกมกันริมชายหาด และแน่นอนผมจับคู่กับเธอ ผมให้เธอขึ้นขี่หลังของผมเพื่อที่จะวิ่งแข่งกับคู่อื่น ฝ่ายแพ้ต้องดื่มเบียร์สามกระป๋องให้หมดภายในหนึ่งนาที เราทั้งคู่ล้มลุกคลุกคลานจนได้แผลช้ำหลายที่ แล้วเราก็เป็นฝ่ายแพ้ ผมและเธอโดนเพื่อนกลั่นแกล้งให้กระดกเบียร์หมดไปหลายกระป๋อง ผมรู้สึกว่าทำไมหาดทรายถึงหมุนติ้วไปมาถึงขนาดนี้ ผมเกิดอาการเมา แล้วผมก็ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ เธอ หาดทรายช่างเย็นสบายดีเหลือเกิน ศีรษะของเราชนกัน สายตามองออกไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวที่พร่างพราว แล้วเราก็ให้คำมั่นสัญญาต่อกันว่า เราจะไม่มีวันทอดทิ้งกันไปไหน เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป...
              ผมและผักบุ้งหลับยันเช้า ผมลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบเธอนอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ ผมรู้สึกมีความสุขมาก แล้วผมก็แอบจุมพิตริมฝีปากของเธอ ผมช่างเป็นผู้ชายที่ฉวยโอกาสซะจริง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×