คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่6
บทที่6
พอถึงเวลาช่วงเย็นของวันนั้น ทวิพัตรก็ขับรถตามคำสั่งของฟ้าประกายไปยังสถานที่ที่เธอตั้งใจจะชวนเขาไปด้วยกัน สถานที่แห่งนี้เป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับขนาดใหญ่ มีพันธุ์ไม้ให้เลือกซื้อมากมายนับไม่ถ้วน
เขาทั้งสองเปิดประตูลงจากรถ แล้วก็มีชายผู้หนึ่งที่ดูจากสภาพร่างกายแล้ว คงจะอายุราวๆ คราวผู้เป็นพ่อของพวกเขา
“ว่ายังไงหนูเปิ้ล วันนี้รับพันธุ์ไม้อะไรดีล่ะ?” เขาเดินเข้ามาถามฟ้าประกาย
“มาเดินดูพันธุ์ไม้หน่อยน่ะค่ะลุงชิด แล้วนี่มีพันธุ์อะไรใหม่ๆ บ้างคะ?”
“ก็มาส่งเยอะอยู่เหมือนกันนะ หนูเปิ้ลก็เข้าไปดูก่อนสิ แต่ว่าพ่อหนุ่มคนนี้แฟนของหนูหรอ หน้าตาหล่อดีนะ”
ทวิพัตรยิ้มอย่างได้ใจ รอยยิ้มของเขาบ่งบอกให้ชายผู้นี้รับรู้ว่า ประโยคที่พูดออกมาถูกต้องแล้ว
“ไม่ใช่นะคะ! เพื่อนของหนูเอง ไม่ใช่แฟนค่ะลุงชิด”
“อ๋อ ลุงขอโทษ ทีแรกก็นึกว่าเป็นแฟนกัน เห็นเหมาะสมกันดี”
หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มด้วยหางตา เขาส่งยิ้มให้เธออย่างเจ้าเล่ห์ เธอทำตาดุใส่เขาบ่งบอกประมาณว่า ‘อย่าได้คิดเชียวนะ’
ฟ้าประกายและทวิพัตรเดินชมพันธุ์ไม้ที่ปลูกไว้อย่างหนาตา สถานที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ มองแล้วรู้สึกสบายตา เพราะสีเขียวของใบไม้บวกกับพันธุ์ไม้ดอกหลากสีสัน เปรียบเสมือนสถานที่แห่งนี้เป็นป่าหย่อมๆ ของใจกลางเมืองเลยก็ว่าได้
“ที่นี่เป็นร้านพันธุ์ไม้ ฉันชอบพาพ่อและแม่มาเลือกซื้อตั้งแต่สมัยตอนเด็กๆ” ฟ้าประกายบอกเล่าให้ทวิพัตรรับฟัง เธอหย่อนตัวลงแล้วใช้นิ้วมือสัมผัสกับพันธุ์ไม้ที่ปลูกอยู่ในกระถาง ความรู้สึกของเธอบ่งบอกอย่างอ่อนโยน ราวกับว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่สำคัญต่อเธอ
“คุณปลูกต้นไม้มาตั้งแต่เด็กๆ เลยหรอ?” ทวิพัตรมองฟ้าประกายแล้วเอ่ยถาม
“ใช่แล้วล่ะ เพราะพวกเราต้องช่วยโลก นับวันมนุษย์ยิ่งทำลายธรรมชาติกันมากขึ้น แถมโลกของเราก็ร้อนขึ้นทุกวัน ถ้าพวกเราไม่ช่วยกัน อนาคตข้างหน้า มนุษย์เราก็คงจะไม่มีที่อยู่อาศัย”
เขาคิดในใจว่าเธอให้ความสำคัญต่อธรรมชาติมาก ผิดจากเขา ที่นับวันยิ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่สภาพแวดล้อม แต่เขาก็ไม่ใส่ใจหรอกนะ เขาชินแล้วล่ะ เพราะที่เขามีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายเช่นทุกวันนี้ ก็เพราะกิจการของครอบครัว
“แล้วลุงชิดก็เป็นคนที่ฉันภูมิใจในตัวแกมาก เป็นไอดอลของฉันเลยก็ว่าได้ ทุกๆ วันแกจะเนรมิตสถานที่แห่งนี้ให้เป็นป่าเล็กๆ”
ยิ่งรับฟังเธอมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ ทำไมเธอถึงให้ความเอาใจใส่ดูแลธรรมชาติมากถึงเพียงนี้ ถ้าเธอปล่อยไว้โดยไม่สนใจ มันก็ไม่น่าจะมีความเดือดร้อนอะไรเกิดขึ้น แต่เขาก็ไม่อยากเอ่ยความคิดเห็นใดๆ ในตอนนี้ กลัวว่าจะไปขัดแย้งกับความคิดของเธอ
“นี่นาย มาดูนี่สิ” หญิงสาวกวักมือเรียกชายหนุ่มให้มาชมต้นไม้ต้นเล็กๆ ที่ปลูกอยู่ในกระถาง
“เห็นต้นนี้ไหม เค้าเรียกกันว่าต้นโป๊ยเซียน นิยมปลูกเอาไว้ในบ้าน ส่วนต้นที่แขวนอยู่เนี่ย เค้าเรียกว่ากล้วยไม้ อย่าบอกนะว่านายไม่รู้จัก?”
ทวิพัตรยิ้มอย่างเจื่อนๆ เขาลูบเส้นผมแก้เขิน เขาก็เคยเรียนรู้เรื่องพันธุ์ไม้มาอยู่บ้างตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยม แต่บางครั้งเขาก็ไม่เคยที่จะใส่ใจเรื่องเหล่านี้เท่าใดนัก จนจำไม่ได้ว่าพันธุ์ไม้ไหนชื่อว่าอะไร
และเรียกว่าอะไร
“ก็คงเป็นยังงั้นแหละ” เขาตอบอย่างเขินๆ
“งั้นก็จำไว้ซะ จะได้ไม่ลืม” เธอบอกแก่เขา
ฟ้าประกายพาทวิพัตรเดินชมพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับไปเรื่อยๆ เธอสอนให้เขาจดจำชื่อพันธุ์ไม้ต่างๆ ให้ขึ้นใจ และเธอยังบ่งบอกสรรพคุณต่างๆ ด้วยว่า พันธุ์ไม้ไหนที่มีประโยชน์เอาไว้ใช้ทำยารักษาโรค หรือเอาไว้ใช้เป็นสมุนไพรเพื่อดื่มกินแก้อาการกระหายน้ำ รวมทั้งเอาไปปลูกไว้ในบ้าน เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล
“นายมาดูนี่ ฉันจะให้ดูพันธุ์ไม้ที่ฉันชอบ” ฟ้าประกายเอ่ยเรียกทวิพัตร แต่เธอก็ไม่รู้ว่าเขาเดินหายไปไหนแล้ว
หายไปไหนนะ
เวลาผ่านไปได้ไม่นานนัก ทวิพัตรก็เดินกลับเข้ามาหาฟ้าประกาย เขาปล่อยให้เธอเพลิดเพลินกับสิ่งที่เธอรักไปได้ระยะเวลาหนึ่ง
“นายหายไปไหนมาเนี่ย ฉันยังไม่ได้ให้ดูพันธุ์ไม้ที่ฉันชอบเลย”
แล้วทันใดนั้นเอง ทวิพัตรก็ยื่นดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ให้แก่ฟ้าประกาย ที่เขาหายตัวไปได้ซักพักนั้น เขาได้ไปขอพันธุ์ดอกกุหลาบแก่ลุงชิด เพื่อที่จะมามอบให้กับเธอ
ความรู้สึกของฟ้าประกายในตอนนี้ มันรู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล หัวใจสี่ห้องของเธอเริ่มเต้นผิดจังหวะ ไม่นะ...เธอจะไม่มีทางรู้สึกกับเขาเช่นนั้นเป็นแน่
“ขอบจาย” เธอรับดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์จากมือของเขา โดยมีแค่คำขอบคุณเท่านั้น แล้วเธอก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ในมือของเธอถือดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์นั้นเอาไว้กับตัว
“นี่ไง พันธุ์ไม้ที่ฉันชอบ เขาเรียกว่าดอกทานตะวัน” เธอชี้นิ้วให้เขาดู กับพันธุ์ไม้ดอกที่มีสีเหลืองอร่าม
“อันนี้ผมรู้จัก สมัยเด็กๆ เคยไปเที่ยวที่ไร่” พันธุ์ไม้ดอกที่ฟ้าประกายชี้นิ้วให้ดูนั้น ทวิพัตรรู้จักดี เพราะสมัยเด็กๆ ผู้เป็นพ่อและแม่เคยพาเขาไปเที่ยวที่ไร่ดอกทานตะวันอยู่บ่อยๆ
พวกเขาทั้งสองเดินเลือกชมพันธุ์ไม้อยู่ได้ไม่นาน พระอาทิตย์ก็เริ่มใกล้ที่จะตกดินแล้ว เธอเลยชวนเขากลับบ้าน พร้อมกับเลือกซื้อพันธุ์ไม้ติดมือไปด้วยสองสามชนิด
ก่อนที่ทวิพัตรจะขับรถพาฟ้าประกายไปส่งที่บ้านของเธอนั้น เขาได้เปิดฝากระโปรงท้ายรถ เพื่อที่จะเก็บพันธุ์ไม้ที่เธอเลือกซื้อเอาไว้ แล้วทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงหญิงสาวร้องเรียกชื่อของเขา พร้อมกับที่หญิงสาวผู้นั้นเดินเข้ามาคล้องแขนของเขาหน้าตาเฉย
“พี่พัตร ลูกโป่งคิดถึงพี่จะแย่อยู่แล้ว ทำไมไม่ยอมรับสายลูกโป่งล่ะคะ โทรไปหาตั้งหลายครั้ง” น้องลูกโป่งที่พบกันกับทวิพัตรในแหล่งสถานเริงรมย์ เธอไม่สนใจหญิงสาวที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาเลย แถมเธอยังทำเสียงออดอ้อนใส่เขาอีกด้วย
ทวิพัตรได้แต่ใช้นิ้วมือแกะให้ออกจากการเกาะกุม แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด นิ้วมือของสาวเจ้าเหนียวหนึบอย่างกับปลาหมึกยังไงยังงั้น
ฟ้าประกายเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นในจิตใจ เธอรู้สึกหมั่นไส้ทั้งสองฝ่ายยิ่งนัก ว่าแล้ว...นายคนนี้ต้องเจ้าชู้แน่ๆ ดีนะที่เราไม่หลงคารมย์เข้าให้
“ลูกโป่งปล่อยพี่ก่อนครับ ตอนนี้พี่ไม่ว่าง เดี๋ยวไว้ค่อยคุยกันนะครับ” ทวิพัตรพยายามแกะนิ้วมือของเธอออกจากท่อนแขนของเขา แต่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถเป็นผลเลย
ฟ้าประกายเห็นลูกโป่งแต่งตัวเสื้อผ้าน้อยชิ้น แล้วเธอก็หันไปมองค้อนๆ ยังใบหน้าของทวิพัตร เธอจะไม่ยืนรอเขาขับรถไปส่งที่บ้านแล้ว และเธอก็โบกมือเรียกรถแท็กซี่ทันที โดยไม่สนใจเสียงเรียกของอีกฝ่ายที่พยายามรั้งตัวเธอเอาไว้เลย
“แอปเปิ้ล! อย่าเพิ่งไป! รอผมก่อนสิ!”
แล้วฟ้าประกายก็บอกให้คนขับรถแท็กซี่ขับออกไปจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว เธอไม่อยากเห็นภาพอย่างนี้อีกต่อไปแล้ว เพราะเธอไม่อยากทำร้ายจิตใจของตัวเองเหมือนเมื่อครั้งในอดีต…
ตลอดระยะทางที่รถแท็กซี่แล่นไปบนท้องถนน จิตใจของหญิงสาวไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย เธอเหม่อลอยออกไปยังนอกกระจกรถ ในมือของเธอยังคงถือดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์เอาไว้อย่างนั้น เธอครุ่นคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย มันเกิดอะไรขึ้นในจิตใจของเธอกันนะ ทำไมเธอถึงรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าของหญิงสาวคนนั้น ที่มาเกาะแขนของเขาด้วยความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ หรือว่าเธอเกิดอาการหวงขึ้นมา ต้องไม่ใช่แน่ๆ มันเป็นแค่ความรู้สึกที่ว่า...เธอหมั่นไส้หญิงสาวคนนั้นที่ไม่เป็นกุลสตรีเอาเสียเลย ทำท่าทำทางยังกับว่าตัวเองไม่มีศักดิ์ศรียังไงยังงั้น
ฟ้าประกายมองดอกกุหลาบสีขาวในมือ สภาพของมันยังคงสดใหม่ เธอเพิ่งได้รับจากเขาเมื่อตระกี้นี้ แต่พอถึงบ้านของเธอเมื่อไหร่ เธอจะโยนมันลงถังขยะซะ
ทวิพัตรยังคงง่วงต่ออาการของน้องลูกโป่ง เธอไม่ยอมให้เขาเป็นอิสรภาพจากการเกาะกุมได้เลย เขาจะทำอย่างไรดีล่ะเนี่ย เมื่อตระกี้นี้เขาและฟ้าประกายกำลังพูดคุยกันอย่างดีอยู่แล้วเชียว แต่ดันมีอุปสรรค์มาขัดขวางจนได้ เขาต้องหาทางหลุดพ้นจากพันธนาการของเธอผู้นี้ให้จงได้
“พี่พัตร ลูกโป่งหิวข้าว พี่พัตรพาลูกโป่งไปทานหน่อยนะคะ” เธอทำเสียงออดอ้อน หวังจะให้เขาพาเธอไปรับประทานอาหารมื้อนี้ให้ได้
ทวิพัตรตัดสินใจอยู่ซักพัก เขาก็คิดหาทางออกจนได้ เขาจะพาลูกโป่งไปรับประทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่ง แล้วเขาจะโทรศัพท์บอกภูวดลว่า ให้มาทานอาหารเป็นเพื่อนเธอหน่อย ส่วนตัวเขาจะขับรถไปหาฟ้าประกายที่บ้านพัก เพื่ออธิบายเหตุผลต่างๆ ให้คนที่เขารู้สึกดีด้วยเข้าใจ
ทวิพัตรรับปากน้องลูกโป่งว่า เขาจะพาเธอไปรับประทานอาหารที่ร้าน แล้วเขาก็ขับรถสปอร์ตสีดำของเขา พร้อมด้วยคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ ตรงไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง
พอมาถึงร้านอาหารที่ตกแต่งไปด้วยบรรยากาศสไตล์ยุโรป ทวิพัตรก็พาน้องลูกโป่งไปนั่งยังโต๊ะริมหน้าต่าง เขาบอกให้เธอรออยู่ตรงนี้ซักพัก เขาจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำเสียหน่อย เธอก็ไม่ขัดขืนเขาแต่อย่างใด
เมื่อทวิพัตรเดินเข้ามาถึงห้องน้ำของผู้ชายแล้ว เขาก็กดโทรศัพท์ไปหาภูวดลทันที เพื่อนของเขาคนนี้ยอมช่วยเหลือเวลาที่เขาเดือดร้อนอยู่เสมอ
“เฮ้ย ไอ้ภู ช่วยมาที่ร้านอาหารที่เรามากินด้วยกันบ่อยๆ หน่อยเว้ย ฉันมีเรื่องให้ช่วยด่วน”
ภูวดลรับปากทวิพัตรทันทีทันใด เพื่อนของเขาบอกว่า อีกไม่เกินยี่สิบนาทีจะเดินทางมาถึงร้าน ทีนี้แหละ เขาคงจะสลัดตัวออกจากน้องลูกโป่งได้แล้ว
เมื่อทวิพัตรวางสายไปจากภูวดลไปแล้ว เขาก็กดโทรศัพท์ไปยังเครื่องของฟ้าประกายทันที และก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด เธอไม่ยอมรับสายจากเขาเลย แม้ว่าเขาจะกดโทรศัพท์ไปหาเธออยู่เรื่อยๆ เธอก็ไม่ยอมใจอ่อน จนเธอกดปิดเครื่องมือสื่อสาร เขาเลยล้มเลิกความตั้งใจที่จะติดต่อเธอ
ชายหนุ่มพยายามแอบย่องออกมาจากห้องน้ำ โดยไม่ให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างสะดุดเห็น เขาค่อยๆ แอบอยู่ข้างต้นเสา จนแน่ใจแล้วว่าสายตาของเธอหันมองไปทางอื่น เขาเลยรีบก้าวเท้าเดินออกไปจากประตูร้านอย่างรวดเร็ว
น้องลูกโป่งนั่งคอยคนที่เข้าห้องน้ำอยู่นาน จนเธอเริ่มรู้สึกว่าเขาหายไปนานจนผิดสังเกต เธอเลยตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วตรงไปยังห้องน้ำชายทันที เธอไม่สนใจว่าจะมีใครอยู่ในนั้นบ้าง เธอเดินเข้าไปในนั้นพร้อมกับตะโกนเรียกทวิพัตร
“พี่พัตรคะ! ออกมาเดี๋ยวนี้เลย! ลูกโป่งรอนานแล้วนะ!”
เสียงตะโกนของเธอทำให้ชายหนุ่มทุกคนที่อยู่ในห้องน้ำชายนั้น จ้องมองร่างกายของเธอตาเป็นมัน เพราะเสื้อผ้าน้อยชิ้นของเธอ ทำให้เธอดูเป็นสาวเซ็กซี่ แล้วจะมีชายใดไม่สนใจบ้างล่ะ...
ลูกโป่งเริ่มรู้สึกว่า ชักจะไม่ดีเสียแล้ว ที่มีสายตาของพวกตระเข้จ้องมองเธอตาเป็นมันซะขนาดนี้ เธอรีบตัดสินใจเดินออกมาจากห้องน้ำชายอย่างรวดเร็ว แล้วเธอก็เดินชนเข้ากับหน้าอกของภูวดล
หญิงสาวเอ่ยถามชายหนุ่มตรงหน้าว่าเพื่อนของเขาหายไปไหน ผู้ที่ถูกถามเลยตัดสินใจบอกความจริงเพื่อให้เธอรับรู้
“ไอ้พัตรมันบอกว่ามีธุระด่วนครับ เลยโทรบอกให้พี่มาทานข้าวกับลูกโป่งแทน”
เมื่อลูกโป่งได้รับฟังจนจบประโยค เธอก็วีนแตกออกมาทันที โดยไม่สนใจสายตาของพนักงานหรือลูกค้าภายในร้ายเลย แต่คนที่โชคไม่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นภูวดล ที่ต้องมารับกรรมรับเวรแทนทวิพัตร เขาได้แต่ถอนหายใจและสบถคำด่าทอต่างๆ กับตัวเอง ทำไมนะ...เขาถึงต้องมาแบกรับเหตุการณ์ทั้งหมดแทนเจ้าเพื่อนตัวยากด้วย คิดแล้วก็เซ็งไม่หาย
ฟ้าประกายเดินทางมาถึงบ้านพักด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด เธอไม่สนทนากับใครเลย แถมดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ที่เธอถืออยู่นั้น เธอก็เอาเชือกฟางผูกมัดไว้กับแผ่นหลังของเจ้าสุนัขเฝ้าบ้านของเธอ ก็เธอโกรธเคืองเขาไม่หายนี่น่า เจอสาวที่แต่งตัวเซ็กซี่หน่อยมาออดอ้อนฉอเลาะก็ยอมใจอ่อน นี่ล่ะน่าผู้ชายเจ้าชู้ ดีนะที่เธอไม่ตกเป็นทาสคารมย์ของเขา
เธอเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง แล้วก็เดินไปเปิดวิทยุให้เสียงเพลงแก้อาการขุ่นเคือง พร้อมกับทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนอนด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด
บ้า บ้า บ้า บ้าชะมัด ชาตินี้เขาและเธออย่าได้มาเจอหน้าหรือพูดคุยกันอีกเลย จะไปไหนก็ไป
รถสปอร์ตสีดำคันหรูแล่นมาจอดยังหน้าตัวบ้านของฟ้าประกายอย่างรวดเร็ว ทวิพัตรเปิดประตูลงจากรถ เขาได้แต่ด้อมๆ มองๆ เข้าไปภายในตัวบ้านของเธอ แต่ก็ไม่พบเธอเลย
หายไปไหนน่า หรือว่ายังมาไม่ถึงบ้าน
ทวิพัตรด้อมๆ มองๆ ผ่านไปได้ซักพัก นันทกรน้องชายของฟ้าประกายก็เดินออกมาจากภายในตัวบ้าน ผู้ที่เดินออกมาจากประตูจำหน้าค่าตาของผู้ที่อยู่นอกรั้วบ้านได้ เด็กหนุ่มเลยเดินเข้ามาถาม
“ว่าไงพี่ชาย มาหาพี่เปิ้ลใช่ไหม?”
ทวิพัตรได้แต่ส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับนันทกร พร้อมเอ่ยตอบกลับไป “ใช่ครับ แล้วพี่แอปเปิ้ลล่ะ เค้าหายไปไหน?”
“โอ๊ยพี่ อย่าไปใส่ใจเลย งอนตุ๊บป่องอยู่บนห้อง แล้วพี่ไปทำอะไรให้เค้าไม่สบายใจล่ะ?”
ผู้ที่ถูกเอ่ยถามส่งยิ้มอย่างแหยๆ ไปให้ แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยตอบอะไร
นันทกรรู้ดีว่าไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายเรื่องความไม่เข้าใจของคนสองคน ให้พวกเขาปรับความเข้าใจกันเองจะดีกว่า
“เอาอย่างนี้ละกันพี่ชาย เดี๋ยวพี่เขียนข้อความที่พี่อยากเขียนลงบนกระดาษ แล้วเดี๋ยวผมจะเอาไปให้พี่เปิ้ลเอง ถ้าคุยกับเค้าตอนนี้ คงจะคุยกันไม่รู้เรื่อง คนนี้โกรธใครโกรธนานเสียด้วย”
“ก็ดีเหมือนกันนะ งั้นเดี๋ยวรอพี่แปบนึง” ทวิพัตรบอกกับนันทกร แล้วเขาก็เข้าไปนั่งในรถเพื่อเขียนข้อความลงบนแผ่นกระดาษ เพื่อที่จะฝากน้องชายของฟ้าประกายไปให้กับเธอ
เมื่อชายหนุ่มเขียนข้อความเสร็จ เขาก็เดินมาทางเด็กหนุ่มพร้อมกับถือพันธุ์ไม้สองสามต้น ที่หญิงสาวซื้อมาจากร้าน“อ่ะเสร็จแล้ว พี่ฝากด้วยนะ แล้วก็เอาต้นไม้พวกนี้ให้พี่เปิ้ลด้วย เดี๋ยววันหน้าพี่จะซื้อขนมมาฝาก”
“ได้เลยพี่ชาย เอ่อแต่เดี๋ยวก่อน” นันทกรเหลือบไปเห็นเจ้าสุนัขตัวโปรดของเขา ที่มีอะไรบางอย่างผูกมัดอยู่บนแผ่นหลังของมัน เขาพยายามแก้เชือกฟางออก แล้วก็หยิบดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ ที่มองตอนนี้ไม่ค่อยจะเหมือนดอกไม้ซักเท่าไหร่ ขึ้นมาจากแผ่นหลังของมัน
“ดอกกุหลายสีขาวดอกนี้ ใช่ของพี่ชายรึป่าว เจ้าโตโต้คงโดนพี่เปิ้ลเอามาผูกไว้”
ทวิพัตรมองสิ่งที่อยู่ในมือของนันทกร แล้วเขาก็ตอบคำถามออกไปอย่างเขินๆ
“ใช่แล้วล่ะ แต่พี่คงไม่เอามันแล้ว ฝากไปให้พี่แอปเปิ้ลด้วยละกัน พี่ไปล่ะ ขอบใจมาก”
ทวิพัตรบอกลานันทกร แล้วเขาก็สั่นศีรษะด้วยความเอื่อมระอา ฟ้าประกายโกรธเคืองเขามากขนาดที่ เอาดอกกุหลาบที่เขามอบให้ ไปผูกมัดไว้ที่หลังเจ้าสุนัขของเธอหรือนี่ คิดแล้วก็ตลกดี
เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่ห้องนอนของฟ้าประกาย
“พี่เปิ้ล! พี่เปิ้ล! เปิดหน่อย! มีคนเอาต้นไม้และข้อความมาฝาก”
ฟ้าประกายยังคงหงุดหงิดไม่หาย แต่เธอก็ลุกขึ้นไปเปิดประตูให้น้องชายด้วยความไม่เต็มใจนัก
“มีราย เจ้านัน” เธอเอ่ยถาม โดยไม่หันไปมองหน้าน้องชายของตัวเองเลย
“เอ๊านี่!” นันทกรทิ้งแผ่นกระดาษข้อความลงบนโต๊ะเขียนหนังสือของฟ้าประกาย พร้อมกับเอาพันธุ์ไม้วางไว้ข้างๆ “พี่ชายสุดหล่อเค้ามาเมื่อตระกี้ เค้าเลยเขียนฝากมาให้ อย่าลืมเปิดอ่านซะล่ะ”
ไม่มีวัน จะไม่ยอมเปิดอ่านเลยคอยดู แถมจะฉีกให้กระจุยไปเลย
นันทกรมองพี่สาวของตัวเองอย่างหมั่นไส้ เธอมีอารมณ์โมโหแล้วยังมาระบายที่เจ้าโตโต้สุนัขตัวโปรดของเขาอีก เขาเลยอยากจะกลั่นแกล้งพี่สาวของตัวเองกลับคืนไปบ้าง ด้วยการโยนดอกกุหลาบสีขาวลงบนเตียงนอนของเธอ
“ทีหลังอย่าเอาอะไรมาผูกไว้บนหลังโตโต้อีกนะ ทำเป็นงอน โธ่เอ๊ย” แล้วเจ้าน้องชายของเธอก็เดินออกจากประตูไป
เมื่อฟ้าประกายเห็นดอกกุหลาบสีขาวบนเตียงนอนของเธอ เธอก็เกิดอาการโมโหขึ้นมาอีก อะไรกัน เธอนึกว่ามันจะอยู่ในถึงขยะแล้วซะอีก ทำไมถึงมาอยู่บนเตียงนอนของเธอได้ เธออยากจะบ้าตาย อยากจะร้องกรี๊ดให้ลั่นบ้านไปเลย ถ้าไม่ติดเกรงใจคนข้างบ้าน เธอคงทำไปแล้ว ถ้ายังงั้นเธอจะทำอย่างนี้แทน
ฟ้าประกายเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือของตัวเอง เธอจับกระดาษแผ่นนั้นขยำซะ แล้วเธอก็ปาอัดกำแพงไปซะเลย เธอจะไม่อ่านข้อความในนั้นเด็ดขาด...
ภูวดลยังคงแบกรับอาการหัวเสียของลูกโป่ง เธออารมณ์เย็นลงไปบ้างแล้วเมื่อได้รับประทานอาหาร เธอบ่นออกมาให้คนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามรับฟังเป็นระยะๆ สาเหตุที่เพื่อนของเขาปล่อยเธอทิ้งไว้เช่นนี้
“น้องลูกโป่งครับ ไอศกรีมนี่ก็ถ้วยที่สามแล้วนะ ไม่กลัวอ้วนบ้างหรอครับ” ภูวดลพยายามจะหาเรื่องราวต่างๆ เพื่อชวนลูกโป่งพูดคุย เขาอยากให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารไม่หดหู่จนเกินไป
“อ้วนก็อ้วนสิคะ ลูกโป่งไม่กลัวหรอก เนี่ยก็กะว่าจะสั่งมาทานอีก” เธอตักไอศกรีมเข้าปากด้วยอารมณ์โมโหที่ยังคงหลงเหลืออยู่น้อยนิด
ภูวดลเฝ้ามองลูกโป่ง แล้วเขาก็เริ่มรู้สึกว่า เธอก็มีความน่ารักอยู่เหมือนกัน ถึงเธอจะแต่งกายเซ็กซี่ไปบ้าง แต่การที่เขาได้พูดคุยกับเธอออกไปเรื่อยๆ ได้รู้จักเธอมากขึ้น และได้รับรู้ว่าเธอก็เป็นผู้หญิงที่มีจิตใจดีคนหนึ่ง
“เอาอย่างงี้ไหมล่ะลูกโป่ง เดี๋ยวเราทานเสร็จแล้ว ก็ไปดูหนังกัน เนี่ยวันนี้มีหนังผีเรื่องใหม่เข้าโรงด้วยน๊า สนใจไปดูกับพี่ภูไหมล่ะ?” เขาเอ่ยปากชวนเธออย่างมีความหวัง
“จริงหรอคะ! ลูกโป่งก็อยากดูเหมือนกัน แหมดีจังเลยที่มีคนชวนลูกโป่งไปดูหนังผีด้วย”
ภูวดลหัวเราะชอบใจกับคำพูดของเธอ “แล้วนี่จะไม่สั่งไอศกรีมเพิ่มหรอครับ เห็นลูกโป่งบ่นอยากทานอีก”
“คงไม่ทานแล้วล่ะค่ะพี่ภู” เธอส่งยิ้มหวานให้กับเขา
“อ้าวทำไมล่ะครับ?” ภูวดลเลิกคิ้วถามลูกโป่งอย่างแปลกใจ ก็เมื่อตระกี้เธอยังบ่นอยากทานอยู่เลยนี่น่า
“ก็พี่ภูบอกลูกโป่งว่าไม่กลัวอ้วนหรอ อันที่จริงแล้ว ลูกโป่งก็กลัวอ้วนเหมือนกันนะคะ”
ภูวดลใช้ฝ่ามือยีไปที่ศีรษะของลูกโป่งอย่างเอ็นดู มันยิ่งทำให้เขามองเธอน่ารักขึ้นเรื่อยๆ
“งั้นเราไปดูหนังกันดีกว่า ดูเสร็จแล้วเดี๋ยวพี่ไปส่งเราที่ห้อง”
ลูกโป่งส่งยิ้มให้กับภูวดลอย่างสบายใจ เธอลืมเหตุการณ์เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาไปหมดแล้ว เธอคิดว่ามันงี่เง่าสิ้นดี ผู้ชายที่ดีๆ ไม่ได้มีคนเดียวในโลกนี่น่า ทำไมเธอต้องจมปลักกับความผิดหวังที่ผ่านๆ มาด้วยล่ะ เริ่มต้นใหม่กับคนที่เห็นคุณค่าของเราไม่ดีกว่าหรอกหรือ...แล้วเธอก็ลุกจากเก้าอี้ของโต๊ะอาหาร เพื่อที่จะไปชมภาพยนตร์กับเขาต่อ...
ฟ้าประกายนั่งอยู่บนขอบเตียงนอนของตนเอง อารมณ์ของเธอเริ่มเย็นลงบ้างแล้ว เธอคิดทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้อารมณ์ของเธอลุกเป็นไฟ แต่เธอก็สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ สิ่งที่เธอทำลงไป มันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบเมื่อยามที่เธอโมโหก็เท่านั้น
หญิงสาวลุกจากขอบเตียง แล้วเดินไปหยิบกระดาษที่ถูกเธอขยำจนเป็นก้อนกลมๆ เธอพยายามคลี่มันออก เพื่อที่จะเปิดอ่านข้อความในนั้น
ประโยคที่ชายหนุ่มเขียนข้อความฝากไว้ให้เธอได้อ่าน เขียนอยู่ว่า ‘แอปเปิ้ลคุณโกรธผมอยู่ใช่ไหม ผู้หญิงคนนั้นเค้าไม่ได้เป็นอะไรกับผมเลย แค่รู้จักกันเฉยๆ ผมอยากให้คุณเชื่อใจผมนะ หวังว่าคุณคงจะหายโกรธผม คิดถึงคุณจัง’
ไม่ได้เป็นอะไรกันหรอกหรอ ไม่มีทางเชื่อใจผู้ชายพรรณนั้นเด็ดขาด ถ้าไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ ทำไมถึงต้องเกาะแขนกันอย่างสนิทสนมด้วย โธ่เอ๊ย ผู้ชายเจ้าชู้ แล้วทำมาเป็นบอกว่าคิดถึง ไม่เชื่อหรอก
ฟ้าประกายอ่านข้อความที่เขียนอยู่ในกระดาษจนจบประโยค เธอก็ขยำมันทิ้งซะ แล้วก็โยนลงถังขยะอย่างไม่สนใจไยดี ทำไมเธอต้องแคร์ด้วยล่ะกับประโยคข้อความของเขา เขาไม่ได้เป็นคนพิเศษของเธอเสียหน่อย โกรธตัวเองเหลือเกินกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตใจ
เธอพยายามระงับจิตใจไม่ให้คิดถึงเรื่องราวของเขา เธอมั่นใจว่าสามารถหักห้ามใจไม่ให้คิดถึงเขาได้แน่ๆ กับอีแค่ผู้ชายที่โกหกหลอกลวง แถมยังไม่ยอมเห็นความสำคัญของธรรมชาติ มีหรือที่เธอจะยอมให้อภัยแก่เขาง่ายๆ
แล้วเสียงโทรศัพท์ข้างกายของเธอก็ดังขึ้น จะเป็นใครไปได้อีกล่ะถ้าไม่ใช่เขา แต่เธอก็ไม่ยอมรับสาย จะโทรให้ตายเธอก็ไม่ยอมใจอ่อนเป็นแน่ แล้วเธอก็ปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น
ทวิพัตรพยายามกดโทรศัพท์ไปหาฟ้าประกาย โดยใช้อุปกรณ์หูฟังเมื่อยามที่เขากำลังขับรถ แต่โทรไปหาเท่าไหร่ก็ไม่มีการตอบสนองของปลายสายเลย เขาพยายามตื้อไปจนกว่าเธอจะยอมใจอ่อน แต่ก็ไม่มีวี่แววเลย เขาเลยหมดความพยายาม
เมื่อรถสปอร์ตสีดำคันหรูแล่นเข้ามาจอดภายในตัวบ้านของตระกูลวัฒนภิรมย์พรรณ ชายหนุ่มก็เปิดประตูเดินลงจากรถ เขาสังเกตเห็นรถยนต์ของผู้เป็นพ่อและแม่จอดอยู่ ก็เลยคิดว่าท่านทั้งสองคงไม่ได้ไปปฏิบัติงานในช่วงนี้เป็นแน่
ทวิพัตรเดินเข้ามาภายในตัวบ้านด้วยความแปลกใจ บิดาและมารดาของเขารวมทั้งผู้บริหารทั้งหมดของกิจการในโรงงาน กำลังนั่งประชุมกันอย่างเคร่งเครียด สีหน้าและแววตาของแต่ล่ะคนบ่งบอกด้วยอาการลำบากใจ เขาได้แต่ยืนมองอยู่ห่างๆ เริ่มไม่แน่ใจเรื่องความมั่นคงของกิจการเสียแล้ว เพราะเขาไม่เคยพบเห็นเลยว่า ผู้บริหารทั้งหมดจะมารวมตัวกันมากมายเสียขนาดนี้ เขาได้แต่ภาวนาว่าขออย่างให้มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายเลย
ทวิพัตรยืนมองอยู่ซักพัก เขาก็ขึ้นไปนอนฟังเพลงแก้เซ็งอยู่บนห้องนอนส่วนตัวของตนเอง เขาอยากรู้เหลือเกินว่า ฟ้าประกายคิดต่อเขาเช่นไร
ไม่แน่ใจ กับท่าที แต่รู้ว่ามีความหมาย
ได้พบกัน อยู่ทุกวัน แต่ฉันไม่เคยมั่นใจ
จะให้ทำอย่างไร ก็ไม่รู้
ยังเฝ้ามองเธออยู่ ทุกคืนวัน
ดูเหมือนมีอะไรอยู่ในดวงตาคู่นั้น
บอกฉันให้รู้อยู่ทุกวัน ว่าเธอมีใจให้เหมือนกัน
รึเปล่า เธอคิดอยู่รึเปล่า
ไม่อยากจะคาดเดา เราอาจจะคิดไปเอง
รึเปล่า เธอคิดอยู่รึเปล่า
รู้สึกบ้างรึเปล่า เพราะว่าฉันรักแต่เธอ
รู้สึกรึเปล่า
จะให้ทำอย่างไร ก็ไม่รู้
ยังเฝ้ามองเธออยู่ ทุกคืนวัน
ดูเหมือนมีอะไรอยู่ในดวงตาคู่นั้น
บอกฉันให้รู้อยู่ทุกวัน ว่าเธอมีใจให้เหมือนกัน
รึเปล่า เธอคิดอยู่รึเปล่า
ไม่อยากจะคาดเดา เราอาจจะคิดไปเอง
รึเปล่า เธอคิดอยู่รึเปล่า
รู้สึกบ้างรึเปล่า เพราะว่าฉันรักแต่เธอ
รู้สึกรึเปล่า
เธอคิดอยู่รึเปล่า ไม่อยากจะคาดเดา รู้สึกอยู่รึเปล่า
*เพลงรึเปล่าของอาร์มแช
บทเพลงที่กำลังบรรเลงอยู่นั้น มันเป็นคำถามที่ดีทีเดียว บทสรุปจะเป็นอย่างไรกันนะ เขาอยากรู้คำตอบของหัวใจเธอยิ่งนัก แล้วเขาก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย
เสียงเคาะประตูห้องนอนของชายหนุ่มดังขึ้นสามครั้ง ใครกันนะที่มาปลุกเขาในช่วงเวลานี้ กำลังนอนหลับอย่างได้อารมณ์อยู่เลยเชียว แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปเปิดประตู
เมื่อประตูเปิดออก ซึ่งก็เป็นพิมภาแม่บ้านที่รับใช้ปรนนิบัติตระกูลของเขามาอย่างยาวนาน
“คุณพัตรคะ คุณผู้หญิงและคุณผู้ชายสั่งให้พิมขึ้นมาเรียกคุณพัตรน่ะค่ะ เห็นบอกว่ามีธุระสำคัญจะคุยด้วย”
ทวิพัตรรู้สึกใจไม่ดีเลย ธุระสำคัญอะไรกันนะ สงสัยคงจะเป็นเรื่องที่เขาพบว่า ผู้เป็นพ่อและแม่ของเขา กำลังนั่งประชุมเรื่องอะไรซักอย่างกับผู้บริหารทั้งหมด
“งั้นเดี๋ยวผมลงไปนะครับป้าพิม ขอเวลาแปบนึง”
แล้วพิมภาก็เดินจากไป ทวิพัตรนั่งทำใจอยู่ซักพัก เขาขอทำสมาธิก่อน เพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองคิดอะไรฟุ้งซ่าน ไม่เคยเลยที่บิดาและมารดาของเขาจะเรียกให้เขาไปพูดคุยเกี่ยวกับธุระสำคัญ เขาได้แต่ภาวนาไม่ให้มันเป็นเรื่องอะไรที่เลวร้าย
ภายในชั้นล่างของตัวบ้านอันหรูหรา คุณอมรและคุณสุกัญญากำลังนั่งทำสีหน้าเคร่งเครียดกันอยู่ เขาทั้งสองตัดสินใจจะบอกเรื่องราวสำคัญให้ลูกของตัวเองรับฟัง แล้วผู้เป็นลูกก็เดินลงบันไดมาจากชั้นบน
ทวิพัตรก้าวเท้าเดินมายังเก้าอี้ข้างๆ ตัวของคุณอมร แล้วก็หย่อนก้นลงนั่ง พร้อมที่จะรับฟังเรื่องราวทั้งหมด
“พัตร ตั้งใจฟังป๊ากับแม่พูดให้ดีๆ นะลูก” น้ำเสียงของคุณอมรแอบแฝงความกังวลใจอยู่ในนั้น
ทวิพัตรได้แต่ผงกศีรษะ แล้วพยายามตั้งใจฟังประโยคสำคัญที่คุณอมรจะเอ่ยออกมา
“ตอนนี้กิจการโรงงานของเราเริ่มที่จะไม่ดีแล้ว ชาวบ้านในละแวกนั้น เค้าประท้วงให้โรงงานของเราทำการปิดลง เพราะมลภาวะทางอากาศ ทำให้พวกเค้าเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ”
“แล้วป๊าจะทำยังไงต่อครับ?” เมื่อชายหนุ่มรับฟัง ก็เห็นใจทั้งบิดาและมารดา เขาคิดว่าปัญหามันก็ต้องมีทางแก้ไขได้อย่างแน่นอน
“หน่วยงานอื่นไม่สามารถเข้ามาช่วยเราได้เลย ถ้าโรงงานของเรายังเป็นอย่างนี้อยู่ เดือนหน้าคงต้องปิดตัวลงแล้วล่ะ”
ทวิพัตรได้ยินประโยคที่คุณอมรเอ่ยออกมา ก็ทำให้เขารู้สึกมืดมนเหลือเกิน กิจการของตระกูลที่คอยค้ำจุนคุณภาพชีวิตของครอบครัวพวกเขา ต้องทำการหยุดกิจการลงหรอกหรือ กิจการที่บรรพบุรุษของพวกเขาคอยประคับประคองให้มันเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ จะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้อีก เขาต้องทำอย่างไรดีล่ะ? ในเมื่อเขาเป็นเพียงชายหนุ่มอายุสิบเก้าปีเท่านั้น เขาจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
“พัตรลูก” คุณสุกัญญาเอ่ยคำพูดขึ้นมาบ้าง “ช่วงนี้ลูกคงต้องหยุดเรียน แล้วไปช่วยป๊าเค้าทำงานก่อนนะ ให้ทุกอย่างมันดีขึ้นเสียก่อน แล้วค่อยกลับไปเรียน ถือว่าแม่ขอร้องเราละกันนะ”
ทวิพัตรรับฟังผู้เป็นแม่ เขาต้องปฏิบัติตามคำสั่งของท่านทั้งสอง เขาต้องช่วยพยุงกิจการให้อยู่รอด มีเขาเท่านั้นที่จะช่วยเหลืองานของตระกูลได้ เขาจะพยายามทำมันให้ดีที่สุด
“ครับ แล้วจะให้ผมเริ่มงานได้วันไหน?” ผู้เป็นลูกเอ่ยถามบิดาอย่างเอาจริงเอาจัง
“พรุ่งนี้เลยพัตร เดี๋ยวเราต้องติดตามป๊าไปทำงานและเรียนรู้ให้มากที่สุด พัตรต้องเข้าใจป๊าและแม่นะ”
ทวิพัตรไม่คิดเลยว่ามันจะรวดเร็วขนาดนี้ เขานึกว่าอีกสามวันหรือหนึ่งอาทิตย์ ที่เขาต้องติดตามผู้เป็นพ่อและแม่ไปปฏิบัติงานที่โรงงาน แต่มันเป็นพรุ่งนี้เช้า ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
เมื่อการสนทนาจบลงแล้ว ทวิพัตรก็ขอตัวขึ้นไปนอนพักผ่อนเอาแรง เพื่อที่จะเริ่มงานในวันพรุ่งนี้ ก่อนที่ศีรษะของเขาจะถึงหมอน เขาได้โทรศัพท์ไปบอกเรื่องราวทั้งหมดให้ภูวดลรับฟัง ว่าเขาต้องไปปฏิบัติงานกับผู้เป็นพ่อและแม่ ซึ่งคนที่ได้รับฟังก็บอกกับเขาว่า ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการเรียน พร้อมที่จะจัดการและพูดคุยกับอาจารย์ให้เอง
เมื่อการสนทนากับผู้เป็นเพื่อนจบลง เขาก็ผล็อยหลับไปด้วยความง่วง เพราะในวันพรุ่งนี้เขาต้องตื่นแต่เช้า พร้อมที่จะไปปฏิบัติงานที่โรงงาน...
ความคิดเห็น