คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่5
บทที่5
เช้าวันนี้เป็นวันหยุดของทวิพัตร เขาไม่ได้ไปที่มหาวิทยาลัย แต่เขาต้องติดตามคุณอมรและคุณสุกัญญาซึ่งเป็นบิดาและมารดาไปเรียนรู้งานต่างๆ ที่โรงงาน เพราะมันเป็นธุรกิจของตระกูลพวกเขา
อากาศในตอนเช้าวันนี้ช่างสดชื่นเหลือเกิน กลิ่นหอมละมุนของไออุ่นดอกไม้ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ แสงแดดจางๆ แผ่ความอบอุ่นไปทั่วท้องฟ้าผืนกว้าง เสียงนกร้องทักทายกันตามปรกติ ทวิพัตรรู้สึกว่าบรรยากาศในตอนนี้สดชื่นเหลือเกิน จะมีซักกี่วันกันนะ ที่ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วรู้สึกมีความสุขเช่นในวันนี้
คนขับรถยนต์ของตระกูลวัฒนภิรมย์พรรณ ซึ่งกำลังขับพาครอบครัวของทวิพัตรไปส่งยังโรงงานที่ตั้งอยู่ใจกลางของชุมชนตัวเมือง เสียงพูดคุยปรึกษาหารือต่างๆ ดังขึ้นมาตลอดระยะทาง
“พัตร จำไว้นะลูก กิจการโรงงานของเรา มีพนักงานร่วมพันกว่าชีวิต ถ้าป๊ากับแม่วางมือกันไปแล้ว พัตรต้องดูแลรู้ไหม บรรพบุรุษของเราช่วยกันสร้างมันขึ้นมา เพราะฉะนั้น คิดจะทำอะไร ต้องไตร่ตรองให้ดีๆ ก่อนนะลูก” คุณอมรที่นั่งอยู่เบาะหลังพร้อมกับคุณสุกัญญา ชี้แจงรายละเอียดต่างๆ ให้ลูกชายคนเดียวของตระกูลรับฟัง ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ คนขับรถ ซึ่งเขาเองก็เข้าใจเหตุผลต่างๆ ได้ดี
เมื่อถึงวันหยุดหรือวันที่ทวิพัตรไม่ติดธุระอะไร เขามักจะติดตามบิดาและมารดาไปเรียนรู้งานต่างๆ ที่โรงงาน ผู้เป็นพ่อและแม่ได้อบรมสั่งสอนความรับผิดชอบต่างๆ ให้กับเขา ซึ่งเขาก็รู้ดีว่า สิ่งที่ท่านทั้งสองได้บอกกล่าวนั้นมันสำคัญมาก เพราะมันเป็นธุรกิจเดียวของครอบครัวที่จะช่วยพยุงรายได้ต่างๆ ของตระกูลเอาไว้
“ป๊ากับแม่ก็แก่ลงทุกวัน ถ้าพัตรเรียนรู้งานตรงจุดนี้ได้ ป๊ากับแม่ก็สบายใจแล้วล่ะ คงจะนอนตายตาหลับ”
ความหวังสิ่งเดียวของตระกูลวัฒนภิรมย์พรรณที่ทวิพัตรแบกรับเอาไว้ บางทีเขาก็รู้สึกกดดันกับชีวิตของตัวเองอยู่เหมือนกัน เพราะสาเหตุที่ว่า อีกไม่นานเขาต้องมาเป็นผู้บริหารใหญ่ของกิจการทุกอย่างในโรงงาน ถ้าหากเขาทำงานพลาดเพียงจุดเดียว ผู้เป็นพ่อและแม่ของเขาคงจะไม่สบายใจ เพราะเหตุนี้ล่ะ เขาต้องติดตามท่านทั้งสองไปเรียนรู้งานต่างๆ ภายในโรงงานอยู่บ่อยๆ
“วันนี้ ป๊ากับแม่จะพาพัตรไปดูวิธีการผลิตสินค้าต่างๆ ภายในส่วนที่เราต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า สินค้าที่ผลิตขึ้นมานั้น มีวิธีการอย่างไรบ้าง?” คุณอมรเปิดแฟ้มเอกสารมองดูอย่างคร่าวๆ เขาต้องสวมแว่นสายตา เพื่อที่จะได้มองเห็นตัวหนังสือภายในแผ่นเอกสารได้อย่างชัดเจน
ณ. ภายในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เนื้อที่ราวๆ สนามฟุตบอลสามสนามติดกัน พนักงานและลูกจ้างที่มายืนต้อนรับคนของตระกูลวัฒนภิรมย์พรรณ ต่างก็ยกมือไหว้ด้วยความยำเกรง ทวิพัตรรู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล ที่พนักงานบางคนอายุมากกว่าเขาถึงเท่าตัว ต้องมายกมือไหว้เขาที่อายุคราวลูก แต่เขาก็ได้บอกกล่าวแก่พนักงานเหล่านั้นไปว่า ไม่ต้องยกมือไหว้เขาก็ได้ แค่ทักทายกันเฉยๆ ก็พอแล้ว
เมื่อคุณอมรเห็นลูกชายของตัวเอง ที่บอกกล่าวแก่พนักงานเหล่านั้นไปว่าไม่ต้องยกมือไหว้ ผู้เป็นพ่อก็ได้เอ็ดลูกเพราะเห็นว่าไม่สมควร
“ไม่ได้นะพัตร เราเป็นหัวหน้าเขา ถ้าเราให้เขาทำอย่างนั้น ซักวันเขาก็จะไม่เกรงกลัวเรา ต้องจำเอาไว้นะลูก เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
สามชีวิตของตระกูลวัฒนภิรมย์พรรณ ขึ้นรถกอล์ฟขนาดย่อมที่มีคนคอยบริการขับให้ ตระเวนไปยังส่วนต่างๆ ภายในโรงงาน พร้อมกับที่ร่างกายของพวกเขา มีผ้าปิดปากปิดจมูกพร้อมถุงมือสวมเอาไว้อย่างมิดชิด
เป็นที่รู้ๆ กันอยู่แล้วว่า ภายในโรงงานแห่งนี้มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นจำนวนมหาศาล เพราะฉะนั้นพนักงานคนใดที่เข้ามาทำงานตรงจุดนี้ ต้องมีผ้าปิดปากปิดจมูกพร้อมกับถุงมือสวมเอาไว้ ไม่เช่นนั้นก็อาจจะได้รับก๊าซที่เป็นพิษเข้าสู่ร่างกาย
คุณอมร คุณสุกัญญาและผู้เป็นลูก นั่งรถกอล์ฟขนาดเล็กตรงมาจอดตรงส่วนในสุดของโรงงาน ซึ่งเป็นที่ผลิตกระดาษกล่องโฟมและวัสดุพลาสติก
ภายในจุดนี้ มีพนักงานที่สวมผ้าปิดปากปิดจมูกพร้อมด้วยถุงมือนับร้อยกว่าชีวิต แต่ละคนคอยปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ของตนเอง ที่ได้รับมอบหมายอย่างขะมักเขม้น
ผู้ที่เป็นหัวหน้าดูแลตรงจุดนี้ เดินเข้ามาต้อนรับคุณอมรที่ก้าวเท้าลงจากรถ พร้อมกับคุณสุกัญญาและทวิพัตร ทั้งสามเดินตามผู้ที่มาต้อนรับออกไปเยี่ยมชมส่วนต่างๆ ของการผลิต
ทวิพัตรเดินเคียงข้างคุณสุกัญญา ส่วนคุณอมรเดินนำหน้าพร้อมกับพูดคุยรายละเอียดต่างๆ ต่อหัวหน้างานที่ได้รับมอบหมาย
“ท่านประธานครับ ยอดขายของเราในเดือนนี้สูงขึ้นมากทีเดียว ผมได้สั่งให้พนักงานของเราเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้นไปอีก เพื่อให้ตรงตามความต้องการของตลาดครับ”
“ดีมาก แล้วชาวบ้านแถวนี้ เค้าว่าอะไรมั่งไหมเกี่ยวกับผลกระทบ?” คุณอมรเอ่ยถาม พร้อมกับก้าวเท้าเดินไปเยี่ยมชมส่วนต่างๆ ของวิธีการผลิต
“ชาวบ้านแถวนี้เค้าก็บ่นๆ อยู่เหมือนกันครับ แต่ผมก็ได้ทำตามที่ท่านประธานบอกว่า ให้นำของสมนาคุณไปให้ แล้วพวกเค้าก็ดีใจ ทีนี้ก็ไม่กล้าที่จะขัดอะไรแล้วครับ”
โรงงานอุตสาหกรรมของตระกูลวัฒนภิรมย์พรรณที่ตั้งอยู่ใจกลางชุมชน เป็นที่รู้กันดีอยู่ว่า มันจะส่งผลกระทบอันเลวร้ายมากแค่ไหนต่อผู้คนในละแวกนั้น พร้อมกับสภาพแวดล้อมที่ไม่ห่างไกลกันนัก แม้จะมีเสียงบ่นของชาวบ้านชาวช่องไม่เว้นแต่ละวัน แต่สิ่งของที่พวกเขาได้รับแม้กระทั่งเงินทอง มีหรือที่พวกเขาเหล่านั้นจะลุกขึ้นมาขัดขืน หรือลุกขึ้นมาประท้วงต่อผลกระทบต่างๆ
ทวิพัตรเองก็เป็นคนหนึ่งในตระกูล ที่เขาคิดว่าการกระทำของผู้เป็นพ่อและแม่ที่กำลังปฏิบัติอยู่นั้น มันไม่ได้เป็นเรื่องเดือดร้อนอะไร เพราะเขาเติบโตมาตรงจุดนี้เลยไม่ได้ใส่ใจว่า ผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมภายในโลกใบนี้มันจะร้ายแรงขนาดไหน เพราะเขาแค่คิดว่า ขอให้ตระกูลของพวกเขาไม่เดือดร้อนก็พอแล้ว ใครจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ
“พัตรดูนะลูก สินค้าที่เราผลิตขึ้น ทำมาจากวัสดุต่างๆ ที่เราไม่ต้องลงทุนมาก ป๊าอยากให้เราศึกษาตรงจุดนี้เอาไว้” คุณอมรชี้แจงรายละเอียดต่างๆ พร้อมกับยื่นแฟ้มเอกสาร ที่บันทึกรายการสินค้าต่างๆ ให้แก่ผู้เป็นลูก
ทวิพัตรเปิดแฟ้มเอกสารดูรายละเอียดต่างๆ อย่างคร่าวๆ รายการที่เขียนบันทึกไว้ในนั้น ไม่มีสินค้าแม้แต่ชิ้นเดียวเลย ที่ผลิตขึ้นมาจากวัสดุที่เป็นธรรมชาติ เขาอ่านแล้วก็ไม่ได้เกิดความขัดแย้งใดๆ ขึ้นมาเลย เพราะมันเป็นความเคยชินไปซะแล้ว
ภายในแต่ละปี โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมของตระกูลวัฒนภิรมย์พรรณ ไม่รวมโรงานอื่นๆ ภายในละแวกนั้นที่ก่อตั้งขึ้นเต็มไปหมด จะส่งผลกระทบร้ายแรงมหาศาลมากขนาดไหนต่อชั้นบรรยากาศของโลก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากปล่องท่อไอเสียในแต่ละวัน คงจะไม่มากก็น้อย ที่ทำให้น้ำแข็งในขั้วโลกเหนือเริ่มละลายลงเรื่อยๆ
คุณสุกัญญาเห็นผู้เป็นลูกตั้งใจอ่านแฟ้มเอกสารรายละเอียดต่างๆ เธอก็เอ่ยอะไรบางอย่างขึ้นมาเพื่อที่จะให้เขาเข้าใจ
“พัตรต้องจำสิ่งที่ป๊าพูดเอาไว้นะลูก เอกสารที่ป๊าเอาให้ลูกดูมันสำคัญมาก แม่เชื่อว่ากิจการของพวกเราจะไปได้ดี ถ้าลูกได้ศึกษาสิ่งที่ป๊าได้บอกเอาไว้” ผู้เป็นแม่เอาฝ่ามือตบบ่าของเขาเบาๆ เพื่อเป็นการให้กำลังใจ
คุณอมรได้แนะนำและสั่งสอนความเข้าใจต่างๆ ให้แก่ทวิพัตรอย่างละเอียด เป็นเวลาหลายชั่วโมงเลยทีเดียว กว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้เป็นพ่อได้บอกกล่าวจะสิ้นสุดลง
ชายหนุ่มได้เข้าใจในสิ่งที่ผู้เป็นพ่อได้บอกกล่าว เขาจดจำทุกรายละเอียด แล้วคิดเอาไว้ว่า ถ้าซักวันหนึ่ง ท่านทั้งสองได้วางมือจากกิจการนี้ไปแล้ว เขาจะปฏิบัติตามสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดในทุกๆ อย่าง และเขาคงจะทำได้ดีไม่น้อยไปกว่าท่านทั้งสองเลยทีเดียว
เป็นเวลาเย็นมากแล้ว กิจการต่างๆ ภายในโรงงานไม่ได้ทำการปิดลง เพราะในที่แห่งนี้ปฏิบัติงานกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ปล่องควันยังคงทำการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาอยู่ตลอดระยะเวลา
คุณอมร คุณสุกัญญาและทวิพัตร ได้นั่งรถที่มีคนขับมารับกลับบ้าน ทั้งหมดรู้สึกอ่อนเพลียจากการปฏิบัติงานในวันนี้ และในที่สุด รถเบนซ์คันหรูก็ขับมาจอดนิ่งสนิทภายในตัวบ้านของตระกูลวัฒนภิรมย์พรรณ...
เสียงเพลงแนวป๊อบร็อคฟังสบายๆ ส่งออกมาจากลำโพงคอมพิวเตอร์ ฟ้าประกายยังคงง่วนต่อการจัดตารางและจัดเตรียมสิ่งของต่างๆ บนโต๊ะเขียนหนังสือ เธอกำลังจะได้ออกค่ายปลูกป่า เธอดีใจมาก พร้อมกับเขียนโน้ตสิ่งที่จะนำติดตัวไปวันเดินทางด้วย
“มีอะไรมั่งน๊า ที่เราจะต้องเอาไปด้วย เสื้อผ้าที่จะออกลุยก็เตรียมเอาไว้หมดแล้ว เต๊นนอนก็มีแล้ว เอ...เดี๋ยวสิ ขาดอะไรน๊า...อ๋อ เมล็ดดอกทานตะวัน”
หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินไปหยิบถุงใส่เมล็ดดอกทานตะวัน ที่เธอเพิ่งจะซื้อมาเมื่อเย็นวันนี้ ตอนที่เธอออกไปเดินเลือกซื้อต้นไม้กับเพื่อนๆ ภายในกลุ่ม
ฟ้าประกายนำถุงที่บรรจุเมล็ดดอกไม้ เธอตั้งใจจะนำมันไปปลูกในป่าครั้งนี้ด้วย แววตาเธอรู้สึกอ่อนโยนมาก เมื่อกำลังพินิจพิเคราะห์สิ่งที่อยู่ภายในถุงเล็กๆ
“ลืมล่ะ แย่เลย เฮ้อ...” เธอพูดกับตัวเองพร้อมถอนหายใจออกมา “รู้ยังงี้น่าจะซื้อมาให้เยอะกว่านี้อีก”
ดวงหน้าสวยของเธอบ่งบอกอย่างเสียดาย แต่แววตาของเธอก็เปล่งประกายออกมาอย่างมีความสุข เมื่อยามที่เธอได้อยู่กับสิ่งที่เธอรัก
แล้วก็มีเสียงตะโกนจากผู้เป็นแม่ดังขึ้นมาจากหน้าประตูห้องนอนของเธอ “ยัยเปิ้ล! แกยังไม่นอนอีกหรอเนี่ย พรุ่งนี้ต้องไปมหา’ลัยแต่เช้าไม่ใช่หรอ”
“เดี๋ยวก็นอนแล้วน่ะแม่ หนูกำลังเตรียมของที่จะไปออกค่ายปลูกป่าอยู่” ฟ้าประกายตะโกนบอกให้ผู้เป็นแม่รับรู้ เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้า เธอต้องไปทำภารกิจสำคัญในป่า
แล้วเจ้านันทกรน้องชายสุดแสบของเธอก็ตะโกนแซวขึ้นมาบ้าง “แม่อย่าไปเชื่อ คนเค้ากำลังมีความรัก เห็นยืนยิ้มคนเดียวอยู่ทั้งวัน สงสัยจะหลับไม่ลง”
ความหมั่นไส้น้องชายพรุ่งปรี๊ดขึ้นมาทันที ฟ้าประกายอยากเดินออกไปเปิดประตูแล้วบีบคอน้องชายตัวยากให้สะใจ แต่ก็ได้แค่เพียงตะโกนกลับคืนไปบ้างด้วยความเจ็บใจ “เงียบไปเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้นัน! อยากตายหรือไง!”
“ความฮักมันจุกอก!” น้องชายตัวแสบตะโกนแซวใส่พี่สาวของตัวเอง พร้อมกับเปล่งเสียงหัวเราะซะดังลั่น
“แกอยากโดนนักใช่มั้ย! ฉันบอกให้เงียบไง!” แล้วหญิงสาวก็เปิดประตูห้องเดินออกมา เห็นแต่เพียงเจ้าน้องชายตัวแสบกำลังวิ่งหนีเข้าห้องนอนของตัวเองอย่างรวดเร็ว “แม่จ๋าช่วยนันด้วย!”
“ยัยเปิ้ล! แกไปแกล้งน้องมันทำไม!” ผู้เป็นแม่เอ็ดใส่ลูกสาว เมื่อได้ยินลูกชายของตัวเองตะโกนฟ้อง
“โธ่แม่ ก็ดูไอ้นันมันดิ๊ ปากดีชะมัดเลย”
“เออช่างน้องมัน มันก็แค่แซวเล่นๆ แกอ่ะไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้เห็นบอกมีเรียนแต่เช้าไม่ใช่หรอ”
ฟ้าประกายได้แต่เจ็บใจกับคำพูดที่น้องชายตะโกนออกมา นึกขึ้นมาได้ว่าเธอต้องวางแผนการกลั่นแกล้งทวิพัตรให้สะใจไปเลย คราวนี้ล่ะ...เขาต้องเข็ดหลาบกับฤทธิ์เดชของเธอเป็นแน่ ว่าเธอร้ายกาจขนาดไหน ครุ่นคิดเสร็จ เธอก็วางแผนการบนโต๊ะเขียนหนังสือของเธออย่างเงียบๆ ก่อนที่เธอจะรู้สึกอ่อนเพลีย แล้วเธอก็ผล็อยหลับไปคาโต๊ะเขียนหนังสือ
เช้าวันรุ่งขึ้น...ทวิพัตรทำภารกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว และในวันนี้เขาต้องเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยแต่เช้า เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้า เขาและสมาชิกชมรมอนุรักษ์โลกร้อนทุกคน ต้องเดินทางออกจากกรุงเทพฯ เพื่อที่จะไปทำกิจกรรมออกค่ายปลูกป่า ตามที่อาจารย์สมเกียรติได้บอกกล่าวเอาไว้
รถสปอร์ตสีดำคันหรูแล่นมาจอดยังที่จอดรถของมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มเปิดประตูเดินลงจากรถ เขาตรงไปที่ตึกกิจกรรมทันที พอไปถึงที่หมาย เขาได้ทักทายเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เป็นสมาชิกของกิจกรรมชมรมอนุรักษ์โลกร้อน ทุกๆ คนพูดคุยกับเขาอย่างเป็นกันเอง เพราะในตอนนี้เขาเริ่มที่จะสนิทสนมกับผู้คนเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ตั้งแต่ที่ทวิพัตรย่างก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมชมรมอนุรักษ์โลกร้อน เขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง เขารู้สึกว่าทุกๆ คนในที่นี้อัธยาศัยดีต่อเขา และมันก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุข เขาเริ่มที่จะผูกพันกับสถานที่แห่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
สมาชิกทุกคนในชมรมต่างก็มีหน้าที่เป็นของตัวเอง บ้างก็จัดเตรียมข้าวของที่จะนำไปในวันออกค่ายปลูกป่า บ้างก็หาพันธุ์ไม้ยืนต้นหรือเมล็ดไม้ดอกต่างๆ มาจัดเตรียมเอาไว้
ทวิพัตรชำเหลืองมองไปที่ฟ้าประกาย เธอกำลังยืนพูดคุยกับพรภัทร เรื่องเกี่ยวกับพันธุ์ไม้ที่ชายหนุ่มรุ่นพี่ปี่สี่ผู้นี้นำมันมามอบให้แก่เธอ
“น่ารักจังค่ะ พี่โอ๊ต ปลูกเองกับมือเลยหรอคะเนี่ย” ฟ้าประกายกำลังพินิจพิเคราะห์ไม้ดอกที่ปลูกอยู่ในกระถางเล็กๆ แล้วเธอก็รับมันมาจากมือของชายหนุ่ม
“พันธุ์นี้ปลูกยากเหมือนกันนะ เค้าเรียกว่ากุหลาบพันธุ์อะไรซักอย่าง พี่ก็ลืมชื่อแล้วล่ะ พี่ได้มาตอนที่ไปต่างจังหวัด เลยตั้งใจเอามาฝากน้องเปิ้ล”
“ขอบคุณนะคะ คงลำบากพี่โอ๊ตแย่เลย” เธอเอ่ยติดเกรงใจเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรหรอก เอาอย่างนี้ละกัน เดี๋ยวกลับจากกิจกรรมออกค่าย พี่จะพาน้องเปิ้ลไปเลือกซื้อ ดีไหมล่ะ? พี่รู้จักที่ๆ นึง พันธุ์ไม้เยอะมาก” พรภัทรเอ่ยปากชวนฟ้าประกายอย่างจริงจัง โดยไม่รู้เลยว่า คนที่ได้ยินการสนทนาอยู่นั้น ร้อนลุ่มในจิตใจมากแค่ไหน
“ก็ดีเหมือนกันนะคะ เปิ้ลจะได้เอาไปปลูกไว้ที่บ้าน” เธอรับคำชวนจากเขา พร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างชื่นอกชื่นใจ
“งั้นเดี๋ยวพี่ขอตัวไปช่วยงานอาจารย์ก่อนนะ แล้วเราค่อยคุยกันใหม่” แล้วชายหนุ่มรุ่นพี่ก็ผละออกไปจากเธอ
ทวิพัตรเห็นดังนั้นจึงเดินเข้ามาทางฟ้าประกาย เขารู้สึกหมั่นไส้ยิ่งนัก กับอาการที่เธอชื่นชมไม้ดอกกระถางนั้นอย่างออกหน้าออกตา
“ดูท่าทางคุณจะชอบเหลือเกินนะ ไอ้ดอกกุหลาบอะไรเนี่ย”
“แน่นอน ก็ของมันพิเศษนี่น่า” เธอเอ่ยคำพูดโดยที่ไม่ชำเหลืองมองมาทางเขาเลยซักนิดเดียว พร้อมกับที่เธอยังคงชื่นชมพันธุ์ไม้ดอกในมือต่อไป
“ผมขอดูหน่อยสิ” ทวิพัตรยื่นมือออกไป เพื่อที่จะขอชมพันธุ์ไม้ดอกในมือของฟ้าประกาย
“เรื่องอะไร...” ฟ้าประกายไม่ยอมให้ทวิพัตรชื่นชมสิ่งของที่อยู่ในมือของเธอ เธอทำท่าทางหวงของยังกับเด็กน้อยหวงของเล่นยังไงยังงั้น “ฉันไม่ให้ดูหรอก ฉันหวง” เธอยังคงยั่วอารมณ์ของเขาให้เกิดอาการหมั่นไส้มากขึ้นไปอีก
แต่ทวิพัตรก็ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งของที่อยู่ในมือของฟ้าประกายเท่าใดนัก เขาคิดว่าในวันพรุ่งนี้ เขาจะหาพันธุ์ไม้ดอกที่สวยและพิเศษมากกว่าของที่เธอกำลังถืออยู่ในตอนนี้ เพื่อนำมามอบให้กับเธอได้ดีกว่านี้แน่ๆ
“โธ่เอ๊ย ทำเป็นหวง” ชายหนุ่มเอ่ยคำพูดติดกวนนิดๆ
“นายหาได้ดีกว่าต้นนี้ไหมล่ะ?” เธอเอ่ยถามเขา แล้วก็คิดว่าผู้ชายอย่างเขาจะมีปัญญาเลือกซื้อพันธุ์ไม้ดอกให้กับเธอหรอ แค่การอนุรักษ์โลกร้อนในตอนนี้ เขายังไม่เข้าใจเลยว่า ต้องทำอย่างไรบ้าง
“คอยดูพรุ่งนี้ละกัน เดี๋ยวผมหามาให้คุณสวยมากกว่านี้แน่”
“เชิญ แล้วฉันจะรอ” พอฟ้าประกายเอ่ยจบประโยค เธอก็หันหลังเดินไปจากเขา พร้อมกับร้องเพลงอย่างสบายอารมณ์ ในใจของเธออยากจะแกล้งกวนประสาทเขาให้มากๆ เพราะเธอหมั่นไส้เขายิ่งนัก กับการกระทำที่ไม่ยอมใส่ใจกับปัญหาโลกร้อน ที่เป็นอยู่ในทุกวัน
หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมในชมรมและการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย ก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ทวิพัตรอาสาตัวจะไปส่งฟ้าประกายที่บ้าน แต่เธอก็ปฏิเสธเขา เหตุผลก็เพราะว่า ถ้าเขายังหาพันธุ์ไม้ดอกที่เธอถูกใจมาไม่ได้ ชาตินี้ก็อย่าหวังเลยว่า เธอจะยอมไปไหนมาไหนกับเขาอีก
ชายหนุ่มขับรถสปอร์ตสีดำคันหรูมายังร้านขายไม้ดอกไม้ประดับย่านใจกลางเมือง ที่แห่งนี้เป็นร้านใหญ่มาก เขาจอดรถแล้วลงจากประตู เพื่อที่จะไปเดินเลือกดูพันธุ์ไม้ที่เขาถูกใจ และจะนำไปมอบให้แก่เธอในวันรุ่งขึ้น
เจ้าของร้านแนะนำพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับให้แก่เขาหลายพันธุ์เลยทีเดียว ซึ่งถูกอกถูกใจเขาเป็นอย่างมาก เขาตัดสินใจเลือกซื้อพันธุ์ไม้ดอกชนิดหนึ่ง แล้วก็หวังว่า คงจะเป็นที่ชื่นชอบของเธออยู่เหมือนกัน
และในวันต่อมา...เป็นเวลาเช้าตรู่ที่ทวิพัตรเดินทางมาถึงตึกกิจกรรม ภายในห้องของชมรมยังคงมีฟ้าประกายเดินทางมาถึงเป็นคนแรก เหมือนเช่นทุกๆ วัน
เธอกำลังขะมักเขม้นอยู่บนโต๊ะทำงานของเธอ และยังคงก้มหน้าก้มตาเขียนงานของตัวเองต่อไป โดยไม่สนใจเลยว่า ผู้มาเยือนในตอนนี้เป็นใคร
ทวิพัตรนำพันธุ์ไม้ที่เขาเลือกซื้อด้วยตัวเอง นำมันมาวางลงบนโต๊ะทำงานของเธอ และเขาก็หวังว่าเธอคงจะชอบอกชอบใจเป็นแน่
หญิงสาวเงยหน้าจากงานที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมามอง พันธุ์ไม้ที่ชายหนุ่มนำมามอบให้แก่เธอ เธอรู้สึกเอื่อมระอายิ่งนัก
นายนี่บ้าไปแล้วจริงๆ หรือนี่
ทวิพัตรรู้สึกเกิดอาการงงงวยจากสีหน้าและแววตาของฟ้าประกาย “อ๊าว คุณไม่ชอบหรอกหรอ?”
“นายบ้ารึป่าว ใครเค้าซื้อต้นลั่นทมเป็นของฝากให้กันห๊ะ” เธอเอ็ดใส่เขา นี่เขาแกล้งโง่หรือไม่รู้จริงๆ เนี่ย ประสาท ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
“ทำไมล่ะ? ก็ผมเห็นว่ามันสวยดีออก ผมตั้งใจเอามาฝากคุณเป็นพิเศษเลยนะเนี่ย”
“ฉันไม่เอา! โบราณเค้าถือ ใครใช้ให้ปลูกต้นลั่นทมกันในบ้าน มันไม่ดี” เธอเอ็ดใส่เขามากเข้าไปอีก เพื่อที่จะให้เขาเข้าใจอะไรๆ มากยิ่งขึ้น
“ผมไม่ได้โบราณ ผมคนยุคใหม่แล้ว ผมตั้งใจเอามาฝากคุณจริงๆ นะเนี่ย”
“งั้นเย็นนี้ หลังเลิกเรียน นายไปกับฉัน” เธอทำท่าทางเอื่อมระอา แล้วก็ก้มหน้าก้มตาเขียนงานของตัวเองต่อไป
“ไปไหนหรอ?” ทวิพัตรเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
“ไม่ต้องถามมาก! ฉันจะทำงาน! ส่วนนายก็เอาต้นนี้ไปปลูกไว้ที่บ้าน หรือไม่ก็เอาไปปลูกไว้ที่วัดก็ได้”
ทวิพัตรไม่สนใจกับคำพูดของฟ้าประกาย แล้วเขาก็ไม่เอาต้นลั่นทมไปปลูกไว้ที่ที่เธอแนะนำเขาเป็นแน่ เขาทิ้งมันไว้บนโต๊ะทำงานของเธออย่างนั้นแหละดีแล้ว ส่วนเขาก็เดินออกไปจากประตูห้องของชมรม เพื่อที่จะไปเรียนวิชาในภาคเช้า
ทวิพัตรเดินออกจากประตูห้องของชมรมไปได้ไม่นาน อาจารย์สมเกียรติรวมทั้งเพื่อนๆ พี่ๆ สมาชิกของชมรมก็เดินกรูกันเข้ามาภายในห้อง พร้อมทั้งเอ่ยปากแซวฟ้าประกาย
“โหยัยเปิ้ล เดี๋ยวนี้ไม่ยักกะรู้ว่า เอาต้นลั่นทมมาวางไว้บนโต๊ะทำงานด้วย แฟชั่นใหม่หรอจ๊ะ” ผู้เป็นเพื่อนของเธอคนหนึ่งเอ่ยปากแซว แล้วก็มีเสียงหัวเราะของผู้คนภายในห้องดังลั่นขึ้นมา
ฟ้าประกายเงยหน้าขึ้นมามองบนโต๊ะทำงานของเธอ เธอยังคงพบว่าต้นพันธุ์ไม้เจ้ากรรมดันวางไว้อยู่บนโต๊ะทำงานของเธอเหมือนเช่นเดิม เธออยากส่งเสียงร้องกรี๊ดให้หายหมั่นไส้จากการกวนประสาทของเขายิ่งนัก อย่าให้ถึงเวลาของเธอก็แล้วกัน เธอจะเอาคืนเป็นสองเท่าเลย
ความคิดเห็น