ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กอดหัวใจเธอมารัก

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่3

    • อัปเดตล่าสุด 5 มี.ค. 54


    บทที่3
                         ฟ้าประกายกำลังล็อคประตูห้องกิจกรรมชมรม เธอเป็นสมาชิกคนสุดท้ายที่ดูแลความเรียบร้อยของชมรมก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านในช่วงเย็น หญิงสาวรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเรียนมาทั้งวัน แถมต้องมารับผิดชอบความเรียบร้อยต่างๆ ในชมรมอีก แต่เธอก็มีความสุขในการทำสิ่งที่เธอรัก
                  ใบหน้าเรียวขาวสะอาดใสมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาสองสามเม็ด เธอใช้หลังมือปาดน้ำใสๆ ก่อนที่มันจะไหลเข้าดวงตาของเธอ เพื่อนๆ ภายในกลุ่มของเธอรวมทั้งทิพวรรณได้เดินทางกลับบ้านกันหมดแล้ว บางคนก็นัดหมายกับหวานใจเอาไว้ ส่วนตัวเธอเองก็คงต้องโดดเดี่ยวไม่มีคนรู้ใจอย่างคนอื่นเค้า เธอรู้สึกเหงาใจที่ต้องเดินทางกลับบ้านเพียงตัวคนเดียว
                  หญิงสาวหอบหิ้วหนังสือเรียนเดินก้าวเท้าลงมาตามขั้นบันไดตึกกิจกรรม เพราะอีกในไม่ช้า คนดูแลอาคารก็ต้องทำการปิดอาคารลงเมื่อถึงเวลาหกโมงเย็น
                         วันนี้เธอไม่ได้เดินทางกลับบ้านด้วยรถประจำทาง เพราะเธอได้เตรียมรถที่ไม่ต้องเติมน้ำมันให้สิ้นเปลืองเอาไว้ ซึ่งก็คือรถจักรยานนั่นเอง เพราะที่พักอาศัยของเธอก็ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก เธออยากช่วยชาติประหยัดน้ำมัน เธอคิดว่าความคิดของเธอเข้าท่าดีออก แถมยังได้ออกกำลังกายไปในตัวด้วย
                  ฟ้าประกายก้าวเท้าเดินเกือบที่จะถึงจุดจอดรถจักรยานที่อยู่แถวประตูทางออกของมหาวิทยาลัย แต่เสียงบีบแตรของรถยนต์ก็ทำให้เธอชะงักเอาไว้ก่อน
                         ใครวะเนี่ย น่ารำคาญชะมัด
                         “นี่คุณ ขึ้นรถสิ เดี๋ยวผมไปส่ง ขาคุณยังไม่หายดีนะ” ชายหนุ่มในรถเลื่อนกระจกลง แล้วส่งเสียงเรียกหญิงสาวที่กำลังก้าวเท้าเดินอยู่
                         ฟ้าประกายหันหลังกลับไปมอง ความหมั่นไส้ในเมื่อช่วงเช้ายังไม่จางหาย เธอรึจะยอมเอ่ยพูดกับเขา
                         คนบ้า...ตามมาอยู่ได้
                         “นี่คุณ จะขึ้นมาดีดี หรือจะให้ผมอุ้มคุณขึ้น” ทวิพัตรเริ่มที่จะหาเรื่องกวนประสาทเธออีก เพราะรู้สึกว่ามีความสุขเมื่อได้กลั่นแกล้งเธอ
                         ฟ้าประกายได้ฟังดังนั้น ก็เริ่มที่จะมีอารมณ์หมั่นไส้มากขึ้นไปอีก ถ้าเธอเป็นตุ๊กแกได้ในตอนนี้ เธอจะกินตับของเขาซะให้หมดเกลี้ยงไปเลย
                         “ฉันไม่บ้าพอที่จะยอมไปกับนายหรอกนะ วันนี้ฉันเอารถมาเอง” หญิงสาวตอบออกไป เธอรึจะยอมไปกับเขาง่ายๆ คนที่ไม่ใส่ใจกับปัญหาของโลกที่ร้อนเพิ่มขึ้นทุกวัน
                         ฟ้าประกายไม่ฟังเสียงของทวิพัตรที่เอ่ยออกมาอีกสองสามประโยค เพื่อที่จะให้เธอใจอ่อน โดยยอมนั่งรถไปกับเขาเพื่อให้เขาไปส่งเธอถึงบ้าน
                         เธอเดินไปปลดโซ่ที่คล้องเอาไว้กับรถจักรยาน แล้วขึ้นไปนั่งบนเบาะเพราะเธอสวมกระโปรงยาวเลยหัวเข่าลงมาโดยไม่กลัวโป๊ และก็ไม่สนใจอีกฝ่ายที่จอดรถยนต์รอ
                         ฟ้าประกายค่อยๆ ปั่นรถจักรยานให้วิ่งออกไปช้าๆ เธอขี่มันชิดข้างทาง เพราะความปลอดภัยของตัวเธอเอง และความปลอดภัยของรถคันอื่นๆ บนท้องถนน
                         และเธอก็หมั่นไส้เขาเพิ่มมากขึ้นไปอีก เมื่อรู้ว่ารถยนต์สปอร์ตสีดำคันหรูยังคงขับตามหลังเธอมาอย่างช้าๆ นี่เขาจะตามเธอไปให้ถึงบ้านเลยหรอเนี่ย
                         เพราะความซุ่มซ่ามของเธอ ที่หันหลังกลับไปมองรถยนต์คันนั้น ทำให้รถจักรยานของเธอที่ขี่อยู่เสียหลักพุ่งเข้ากอหญ้าข้างทาง
                         ทวิพัตรเห็นดังนั้นก็หัวเราะขึ้นมาทันที แล้วเขาก็ต้องเปิดประตูรถเดินลงไปดูอาการของฟ้าประกาย
                         “อู๊ย...” หญิงสาวใช้มือกุมไปที่ข้อศอก ที่มีรอยแดงจากอาการฟกช้ำ เพราะสาเหตุที่ว่าเธอซุ่มซ่าม หรือว่าเพราะเขากันแน่ ที่ทำให้เธอต้องเป็นแบบนี้
                         “เจ็บตรงไหนหรือป่าวคุณ” เขาถามอาการของเธออย่างเป็นห่วง
                  ฟ้าประกายทำสีหน้าเชิดใส่ทวิพัตร ถึงเธอจะเจ็บแต่เธอก็วางฟอร์มได้ แม้จะรู้ว่าภาพเมื่อตระกี้นั้นเสียฟอร์มมากเพียงใด แล้วเธอก็ลุกขึ้นพร้อมกับประคองจักรยานขึ้นมา
                         แต่ก่อนที่ฟ้าประกายจะขี่จักรยานออกไปยังบริเวณนั้น ทวิพัตรก็เดินเข้ามาขวางทางเธอเอาไว้ก่อน
                  “หลบไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นฉันจะขี่ชนนายแน่” น้ำเสียงของเธอจริงจัง
                         “เอาซี่ ถ้าคุณกล้าชนผมก็เอาเลย” ทวิพัตรท้าให้ฟ้าประกายขับชน เพราะรู้ดีว่าในใจของเธอคงไม่กล้าทำเช่นนั้นแน่ เพราะเขารู้ว่าเธอมีจิตใจที่อ่อนโยน
                         “งั้นนายตามฉันมาทำไม?” เธอเอ่ยถาม โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ที่ข้อศอกของเธอมีเลือดไหลออกมา
                         “ที่ผมตามคุณมา ก็เพราะกลัวว่าคุณจะโดนฉุดลงข้างทางซะก่อนนะสิ เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวมาขี่จักรยานแถวนี้ นี่มันก็เริ่มจะค่ำแล้วนะคุณ”
                  เชื่อตายล่ะ ผู้ชายโกหก
                         “ทำเป็นพูดดี ฉันไม่เชื่อนายหรอก นายอ่ะคิดจะแกล้งฉันใช่ม๊า” เธอคิดว่าที่เขาตามเธอมานี่ ก็เพราะจะพยายามกลั่นแกล้งเธอ ไม่งั้นเธอคงไม่ขี่รถเสียหลักลงข้างทางเป็นแน่
                         “ผมไม่ได้คิดจะแกล้งคุณ แต่ผมว่าทำแผลก่อนดีมั้ย ที่ข้อศอกของคุณเลือดไหลไม่หยุดเลย”
                  เมื่อฟ้าประกายเห็นดังนั้น เธอก็เป็นลมหมดสติไป เธอเป็นโรคเห็นเลือดสีแดงสดไม่ได้ เธอเห็นเมื่อไหร่ต้องเป็นลมไปในทันที
                        
                         ภายในคลีนิกแห่งหนึ่ง เมื่อฟ้าประกายลืมตาตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ สีขาว มีเสียงของชายหนุ่มกับเสียงของชายวัยกลางคนกำลังสนทนากันอยู่ เธอรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย แล้วก็พบว่าที่ข้อศอกของตัวเองมีผ้าพันแผลสีขาวพันรอบเอาไว้
                         เธอคิดว่าตายแน่ๆ เลย นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้วนะ พ่อกับแม่ของเธอจะเป็นห่วงรึป่าวที่ตอนนี้ยังเดินทางไม่ถึงบ้าน เธอต้องลุกออกจากเตียงนอนโดยเร็ว แล้วปั่นจักรยานกลับบ้าน อ้าว...แล้วจักรยานของเธอจอดเอาไว้ที่ไหนกันล่ะเนี่ย ตายล่ะ...
                  “นี่คุณจะลุกไปไหน? หมอบอกให้นอนนิ่งๆ ไว้ก่อน” น้ำเสียงที่ได้ยินบ่อยครั้ง รั้งตัวเธอไว้ไม่ให้ลุกออกจากเตียงนอน
                         สายตาที่อ่อนโยนของชายหนุ่มมองมาอย่างเป็นห่วง เขานั่งเฝ้าพร้อมกับดูแลหญิงสาวอย่างไม่ห่างไปไหน ผ่านมาเกือบๆ สองชั่วโมงแล้วที่เธอหมดสติไป
                         “ฉันจะกลับบ้าน พ่อแม่ฉันคงเป็นห่วงแน่ ถ้ารู้ว่าฉันอยู่ที่นี่” เธอเอ่ย แล้วพยายามที่จะลุกขึ้นจากเตียงนอนให้ได้
                         “ผมบอกท่านทั้งสองให้รู้เรื่องแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง คุณควรนอนพักผ่อนอีกสักระยะเถอะ”
                  ตายแน่ๆ เธอไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายมากนัก ถ้าพ่อกับแม่ของเธอรู้ว่า เขาพูดคุยกับท่านทั้งสอง แล้วท่านทั้งสองจะคิดยังไง โอ๊ย...ไม่นะ
                         “นี่นายโทรหาพ่อกับแม่ของฉันหรอ!” เธอถามด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก
                         “เปล่า ผมไม่ได้โทรซักหน่อย แค่มือถือของคุณดังอยู่หลายครั้ง ผมก็เลยกดรับมันซะ”
                         เธอต้องกลับไปที่บ้าน ไปอธิบายให้พ่อกับแม่ของเธอเข้าใจโดยด่วน ไม่งั้นพ่อกับแม่คงเสียใจแน่ ที่รู้ว่าตอนนี้ลูกสาวอยู่กับผู้ชาย
                         “แล้วนายได้บอกพ่อกับแม่ฉันรึป่าว? ว่านายเป็นอะไรกับฉัน?”
                         “บอกสิ บอกว่าเป็นแฟน แถมพ่อกับแม่ของคุณยังสนับสนุนผมด้วยนะ ว่าให้ดูแลลูกสาวคนสวยของท่านให้ดีๆ” ทวิพัตรยิ้มอย่างมีเลศนัย แถมกลั้นหัวเราะเอาไว้ เขามีความสุขที่ได้กลั่นแกล้งเธออีกแล้ว
                         “ฉันจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้! นายมันบ้า! บ้าที่สุด!” ฟ้าประกายพยายามตระเกียดตระกายจะลุกจากเตียงนอนให้จงได้ เธอต้องกลับถึงบ้านให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้กลับไปบอกพ่อกับแม่ของเธอว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกับเธอ
                         “ผมล้อเล่นน่า ทำดีใจไปได้” แล้วชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาซะเสียงดังลั่น
                         หญิงสาวอยากลุกขึ้นจากเตียงนอน แล้วเดินไปหยิกแขนเขาซะให้เนื้อเขียวไปเลย แต่ก็หักห้ามอารมณ์เอาไว้ “แล้วจักรยานของฉันล่ะ”
                  “ผมทิ้งมันไปแล้วล่ะ” ทวิพัตรบอกออกไป โดยไม่คิดว่าเรื่องมันจะหนักหนาสาหัสอะไรมากนัก
                         “นายนี่มันบ้าจริงๆ ฉันไม่คุยด้วยแล๊ว” แล้วฟ้าประกายก็หันหลังให้กับทวิพัตร เธออยากจะบ้าตาย ผู้ชายคนนี้กวนประสาทเธอเสียจริง
                         ทวิพัตรหยิบผ้าห่มคลุมไว้ยังไหล่ของฟ้าประกาย เขากลัวว่าเธอจะหนาว แต่เธอก็สะบัดตัวเล็กน้อย บ่งบอกว่าอย่ามายุ่งกับเธอ เธอกำลังโมโหเขาอยู่
                  ผ่านไปได้ซักสิบห้านาที ผู้เป็นหมอก็เดินเข้ามาตรวจอาการของฟ้าประกาย แล้วบอกกับเธอว่า เธอสามารถเดินทางกลับบ้านได้ ตอนนี้เธอดีใจสุดๆ แต่อาการดีใจของเธอก็ลดเหลือครึ่งนึง เมื่อรู้ว่าทวิพัตรจะอาสาไปส่งเธอถึงบ้าน เธอไม่สามารถปฏิเสธเขาได้ เพราะตอนนี้ก็มืดมากแล้ว แถมอาการเวียนศีรษะของเธอก็ยังไม่หายดีด้วย

                         ตลอดระยะทางระหว่างที่ฟ้าประกายนั่งรถมาพร้อมกันกับทวิพัตร หญิงสาวได้แต่นั่งเงียบตลอดเวลา แม้ว่าชายหนุ่มจะชวนคุยโน่นคุยนี่ แต่เธอก็ไม่สนใจเขา มีเพียงเสียงเพลงจากคลื่นวิทยุที่แทรกเข้ามาในระหว่างนั้น เสียงเพลงได้บ่งบอกอารมณ์และความรู้สึกในใจ ให้คนทั้งสองรับฟัง
                  รถสปร์อตสีดำคันหรูแล่นมาจอดยังหน้าบ้านทาวเฮ้าสองชั้น ซึ่งเป็นบ้านพักของฟ้าประกาย ภายในบริเวณลานหน้าบ้านเต็มไปด้วยบรรดาต้นไม้และดอกไม้ต่างๆ บ่งบอกว่าสมาชิกของบ้านหลังนี้ ชอบอยู่กับธรรมชาติ มองแล้วช่างรื่นรมย์เหลือเกิน
                         หญิงสาวพยายามจะเปิดประตูลงจากรถของชายหนุ่ม แต่เธอก็พบว่าประตูยังคงล็อคอยู่ เธอต้องโดนเขากลั่นแกล้งอีกแล้วหรอเนี่ย คิดแล้วก็อยากจะฆ่าคนข้างกายซะให้ตาย
                         “นี่นาย เปิดประตูรถได้แล้ว ฉันจะลงจากรถ” ฟ้าประกายหันมาบอกกับคนข้างกาย เธออยากเดินเข้าบ้านให้เร็วที่สุด
                         “ง่ายเกินไปหรือป่าวคุณ ผมอุตส่าช่วยพาคุณไปหาหมอนะ จะไม่มีอะไรตอบแทนกันหน่อยหรอ?” ในหัวสมองของทวิพัตรได้วางแผนการเอาไว้หมดแล้ว ทีนี้ก็เสร็จเขาละ ฮ่า ฮ่า 
                  “ก็ฉันจะได้เข้าบ้าน แล้วเอาเงินมาให้นายไง เปิดประตูสิ”
                  “ใครบอกว่าผมต้องการเงิน?” เขาบอกด้วยสายตาที่เจ้าเล่ห์
                         “งั้นนายจะเอาอะไร คำขอบคุณ ได้ ขอบใจนะที่พาฉันไปหาหมอ แล้วจ่ายเงินให้” ฟ้าประกายเอ่ยคำขอบคุณแบบขอไปที คนอะไรขับรถตามมาแล้ว ยังทำให้เธอได้รับบาดเจ็บอีก ตกลงเธอต้องทำแบบที่เขาต้องการใช่ไหม?
                  “คำขอบคุณผมก็ไม่ต้องการ ผมขอแค่นี้ก็พอ” ชายหนุ่มหลับตาลงสองข้าง แล้วทำแก้มของตัวเองให้ป่อง พร้อมใช้นิ้วชี้ไปที่ข้างแก้ม บ่งบอกว่าเขาต้องการให้เธอทำตามคำเรียกร้องของเขา
                         ฟ้าประกายเห็นดังนั้นก็แทบฉุนขาด บ้า บ้า บ้า ผู้ชายคนนี้บ้าที่สุดเลย ยังไงซะเธอก็ไม่ยอมทำตามคำสั่งของเขาเด็ดขาด
                         “ไม่!” เธอเน้นน้ำเสียงออกมา
                         “งั้นผมก็คงไม่เปิดประตูให้คุณลงหรอกนะ ถ้าคุณไม่หอมแก้มผม งั้นผมหอมแก้มคุณก็ได้” ทวิพัตรพยายามใช้จมูกที่โด่งของตัวเองพุ่งไปที่ข้างแก้มใสๆ ของฟ้าประกายอย่างรวดเร็ว แต่เธอเอียงศีรษะหลบเขาได้ทัน
                         “ก็ได้ๆ ฉันหอมแก้มนายก็ได้ แต่นายต้องหลับตาก่อนนะ ฉันเขินอ่า” หญิงสาวพยายามใช้น้ำเสียงออดอ้อนเพื่อให้เขาตายใจ ทีนี้ล่ะก็เป็นคราวของเธอบ้าง เธอวางแผนการเอาไว้หมดแล้ว เรื่องอะไรที่เธอจะยอมเขาง่ายๆ
                         “ถ้าคุณผิดคำล่ะก็ ผมหอมแก้มคุณแน่ อ่ะ ผมหลับตาก็ได้ นับแล้วนะ หนึ่ง...สอง...”
                  ฟ้าประกายเหลือบไปเห็นตุ๊กตาคิดตี้สีชมพูตัวน้อยที่วางอยู่หน้ากระจกรถ เธอหยิบมันมาไว้ในมือ พร้อมกับเอื้อมมืออีกข้างไปกดปุ่มปลดล็อคประตู และใช้ตุ๊กตาคิดตี้ที่ถืออยู่ กดไปยังข้างแก้มของเขาอย่างหมั่นไส้ แล้วเธอก็เปิดประตูลงจากรถ พร้อมกับรีบเปิดประตูวิ่งเข้าไปภายในบ้านอย่างรวดเร็ว แถมเธอยังหันมาทำหน้าทะเล้นใส่เขา พร้อมกับแลบลิ้นออกมาเยาะเย้ยอย่างสะใจ แล้วร่างบางก็เดินหายเข้าไปในตัวบ้าน
                         แสบนักนะ อย่างงี้ล่ะเขาชอบ ทวิพัตรคิดในใจ นึกเสียดายที่ฟ้าประกายไม่ได้เอาใบหน้าที่น่ารักๆ ของเธอมาสัมผัสยังแก้มของเขา มีเพียงตุ๊กตาคิดตี้ตัวน้อยที่เธอนำมันมาหอมแก้มเขาแทน โธ่เอ๊ย ฝากไว้ก่อนเถอะ
                         ชายหนุ่มนั่งมองตุ๊กตาคิดตี้ไปได้ซักพัก แล้วเขาก็ขับรถออกไปยังบริเวณหน้าบ้านของหญิงสาว เขานึกขึ้นมาได้ว่ามีนัดไว้กับเจ้าเพื่อนตัวยาก ถ้าเขาไปถึงที่นัดหมายช้า มีหวังได้รับฟังเจ้าเพื่อนคนนี้เทศน์ทั้งคืนแน่

                         ฟ้าประกายกระแทกท้าวเดินเข้าบ้านด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด เธออยากจะบ้าตาย คนอะไรทำให้เธอประสาทเสียซะขนาดนี้ นี่ถ้าเธอไม่กลัวข้อหาคดีฆ่าคนตาย เธอจะจับเขาบีบคอซะให้ไม่มีลมหายใจอีกเลย
                         ผู้เป็นพ่อและแม่รวมทั้งน้องชายของเธอ กำลังนั่งรับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย ดูท่าทางสมาชิกทั้งสามกำลังพูดคุยเรื่องของเธอกันอย่างสนุกปาก
                         “อ้าวพี่เปิ้ล แฟนมาส่งหรอพี่?” นันทกรน้องชายของเธอเอ่ยปากแซว เมื่อเห็นพี่สาวของตัวเองกำลังเดินเข้ามาในบ้าน ด้วยสีหน้าที่หงิกงอ
                         “หยุดพูดเลยนะไอ้นัน! แฟนบ้าอะไร!” ฟ้าประกายสวนกลับ น้ำเสียงของเธอออกอาการหงุดหงิดอย่างแรง
                         “แหมพี่ก็ ไม่ต้องมาปิดบังหรอกน่า เค้ารู้กันหมดแล๊ว แฟนดูท่าทางรวยซะด้วยสิ อย่าลืมน้องคนนี้ละกัน”
                  “นี่แน๊ะ!” ผู้เป็นพี่ออกอาการหมั่นไส้ เดินเข้าไปตบศีรษะของผู้เป็นน้อง จนเด็กหนุ่มส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
                  “เจ็บนะพี่เปิ้ล คนกำลังกินข้าวอยู่ดีดี มาตบหัวเค้าทำไม”
                         “ก็แกปากดีทำไมล่ะ ถ้ายังไม่เลิกพูดเรื่องนี้อีก แกโดนอีกแน่” ฟ้าประกายเอ่ยเตือนน้องชายสุดแสบ
                         “เปิ้ล! แกไปตบหัวน้องทำไม น้องมันก็แค่แซวเล่นๆ ไปยังงั้นแหละ” ผู้เป็นแม่เอ่ยคำพูดออกมาบ้าง
                         “โธ่แม่ แค่สั่งสอนมันเฉยๆ”
                  “แล้วนี่แกจะไม่กินข้าวกินปลาหน่อยหรอ ได้ข่าวว่าไปคลีนิกมา ไหนดูซิแผลเป็นยังไง ซุ่มซ่ามไม่เลิกเลยนะ” ผู้เป็นแม่ขอดูบาดแผลที่ข้อศอก
                  “ไม่เป็นไรหรอกแม่ นิดหน่อยเอง แต่หนูไม่หิว ขอตัวไปอาบน้ำก่อนดีกว่า” แล้วหญิงสาวก็ผละไปจากโต๊ะรับประทานอาหาร ที่ครอบครัวของเธอกำลังนั่งทานกันอยู่ เพื่อที่จะขึ้นไปอาบน้ำบนชั้นสองของตัวบ้าน แต่แล้วเธอก็ได้ยินเสียงลอยตามลมของน้องชายสุดแสบ
                         “สงสัยกินมากับแฟนแล้วมั้ง ปล่อยไปเถอะแม่ กินข้าวกันต่อเถอะพ่อ”
                  ฟ้าประกายกำหมัดแน่ด้วยความหงุดหงิด ในบ้านของเธอเป็นอะไรกันหมดเนี่ย โอ๊ย อยากจะบ้าตาย

                         ณ. แหล่งสถานเริงรมย์ของวัยโจ๋ เสียงเพลงแด๊นซ์สุดมันเปิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว วัยรุ่นมากมายต่างขยับร่างกายของตัวเองไปตามจังหวะของเสียงดนตรียามค่ำคืน บางคนก็เกิดอาการมึนเมาด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ บางคนร่างกายโซเซเดินกลับบ้านแทบจะไม่ไหว ตรงมุมโต๊ะของสถานที่เที่ยวแห่งนี้ ทวิพัตรกับภูวดลกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ ซึ่งดูแล้วกำลังนั่งคอยเป้าหมายอะไรซักอย่าง
                  “ฉันไม่เอาด้วยนะไอ้ภู น้องลูกโป่งอะไรนั่น” สีหน้าคนพูดแสดงอาการขยาด แล้วก็ยกแก้วน้ำสีอำพันกระดกขึ้นดื่มเบาๆ
                         “เด็ดนะเว้ย คนนี้อ่ะ” ผู้เป็นเพื่อนเอ่ยแย้งขึ้นมา
                         “ถ้าเด็ดจริง ทำไมแกไม่เอาเองวะ ทำไมต้องแนะนำให้ฉันด้วย” ทวิพัตรเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
                         “ฉันนัดมาสองคนพอดี น้องน้ำตาลอ่ะของฉัน ส่วนเพื่อนเขาฉันยกให้แก ไม่ดีหรอวะ”
                  “งั้นฉันจะกลับแล้วนะ แกก็รู้ว่าผู้หญิงที่มาเที่ยวอย่างนี้ จะมีซักกี่คนที่จริงใจกัน” คนที่พูดกำลังจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่โดนเจ้าเพื่อนตัวยากฉุดรั้งเอาไว้ก่อน
                         “เฮ้ย! ได้ไงวะ แกจะปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวได้ไง แล้วฉันก็บอกฝ่ายนั้นไปแล้วด้วยว่า ฉันจะพาเพื่อนมาด้วย”
                  ทวิพัตรทำสีหน้าอึดอัดใจ เขาไม่ชอบที่จะมาเที่ยวยังสถานที่แห่งนี้เลย เสียงเพลงก็หนวกหู กลิ่นควันบุหรี่ก็ลอยคลุ้งเต็มไปหมด แถมคนที่ออกอาการเมาด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ก็ชกต่อยกับแทบจะทุกวัน ถ้าไม่ใช่ภูวดลชวนมาเที่ยว ไม่มีทางที่เขาจะมาอย่างเด็ดขาด
                         “นั่นไงๆ มาแล้ว เฮ้ยไอ้พัตร อย่าให้เสียชื่อของฉันนะเว้ย ยังไงก็เทคแคร์น้องเค้าให้ดีหน่อย คืนนี้เราสองคนคงสนุกกันแน่ๆ ไม่ต้องห่วง ทั้งหมดฉันเลี้ยงเอง”
                  ทั้งทวิพัตรและภูวดลต่างก็นั่งนิ่ง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวทั้งสองที่แต่งตัวเปรี้ยวจี๊ด กำลังเดินมาทางโต๊ะที่พวกเขานั่งรออยู่ เมื่อคนทั้งหมดได้พบหน้ากันแล้ว ต่างก็แนะนำชื่อ ลักษณะนิสัยคร่าวๆ ของตนเอง ให้ต่างฝ่ายต่างได้ทำความรู้จักกัน
                         “งั้นคืนนี้ ลูกโป่งและน้ำตาล ก็ขออยู่กับพวกพี่ทั้งคืนเลยนะจ๊ะ” สาวเปรี้ยวจี๊ดที่นั่งเกาะแขนของทวิพัตรเอ่ยขึ้นมา
                         ทวิพัตรรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อยกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เขาไม่ค่อยคุ้นเคยนักกับการที่มีหญิงสาวกลิ่นน้ำหอมออกจะฉุน มาคอยคลอเคลียเขาไปมาอยู่ในขณะนี้ บางทีเธอก็คอยตักอาหารป้อนเข้าปากเขา ทำไงได้ เขาก็ต้องปล่อยเลยตามเลยไปแบบนี้ บางทีเธอคนนั้นก็เอาจมูกกดลงบนแก้มของเขา ทำให้ร่างกายรู้สึกชาไปหมด เขาตกใจจนบางทีอดจะห้ามใจตัวเองไม่ไหว เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่สาวเจ้าดื่มเข้าไปหลายแก้ว ทำให้สติของเธอเริ่มที่จะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
                         ฝ่ายเจ้าเพื่อนตัวยากก็ไม่ค่อยสนใจเขาซักเท่าไหร่ เอาแต่คอยคลอเคลียหญิงสาวที่อยู่ใกล้ๆ ตัว คอยปรนนิบัติโน่นปรนนิบัตินี้ ราวกับหญิงสาวข้างกายเป็นนางฟ้ายังไงยังงั้น
                         เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง...ร่างกายแทบจะทุกส่วนของทวิพัตรถูกสัมผัสด้วยนิ้วมือของหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาต้องมีความอดทนสูงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องคอยหักห้ามใจตัวเอง เพราะในเวลานี้ เขามีหญิงสาวที่อยู่ในดวงใจเพียงคนเดียว นั่นก็คือฟ้าประกาย
                         ส่วนภูวดลก็หลงระเริงไปกับนางฟ้าขางกาย ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์เริ่มจะทำงานเต็มที่แล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ๆ กันอยู่ว่า อาหารที่วางอยู่ตรงหน้าในเวลานี้ เขาจะต้องรีบรับประทานให้เกลี้ยงราวกับสุนัขที่หิวโหย
                         แล้วทวิพัตรก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ พร้อมกับลากเจ้าเพื่อนคนนี้ไปพูดคุยด้วย
                         “เฮ้ยไอ้ภู แกเมาแล้วนะเนี่ย เลิกกินเหอะ เดี๋ยวฉันขับรถไปส่งที่บ้าน” ผู้เป็นเพื่อนเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นคนข้างๆ เดินโซซัดโซเซไปยังอ่างล้างหน้า
                         “มาว...อาราย...กานว้า ฉ้าน...ยาง...สบาย...ดี...อยู่ แก บ้า รึ ป่าว เนี่ย คน กำ ลาง สา หนุก”
                  “แกอ่ะไม่มีสติเลย เฮ้ย! ระวัง!” ทวิพัตรคว้าร่างของภูวดลเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่เพื่อนของเขาจะเสียการทรงตัว เกือบที่จะล้มลงทำให้ใบหน้าขมำกับพื้นห้องน้ำ
                         “ปล่อยฉ้านโว้ย ฉ้าน...จา ไป หา น้อง น้ำตาล” ภูวดลสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของคนข้างๆ
                         ทวิพัตรได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอื่อมระอา เขาปล่อยเลยตามเลย ได้แต่เพียงเฝ้ามองดูอยู่ห่างๆ ในตอนนี้เขายังมีสติอยู่ แต่ก็มีอาการมึนศีรษะเล็กน้อย
                  พอทั้งคู่เดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว ก็เข้าไปนั่งยังโต๊ะที่เดิม สองสาวที่สติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก็เข้ามาสวมกอดชายหนุ่มทั้งสอง ทวิพัตรได้แต่ปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้น เขาไม่ได้ล่วงเกินเธอเลยซักนิดเดียว แต่ภูวดลนี่สิ ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว
                         เวลาผ่านไปจนสถานบันเทิงแห่งนี้จะทำการปิดแล้ว ผู้คนต่างก็ทยอยเดินกันออกจากร้าน ภายในกลุ่มของชายสองหญิงสอง มีเพียงทวิพัตรเท่านั้นที่พยุงร่างของตัวเองเอาไว้ได้ เขาต้องคอยประคับประคองสามชีวิตให้เดินไปยังตัวรถของเขาที่จอดอยู่ เพื่อที่จะไปส่งคนไม่มีสติให้ถึงที่พักอาศัย
                         ภายในตัวรถ มีเพียงเสียงอู้อี้ๆ ดังขึ้นมาตลอดเวลา ซึ่งฟังแล้วไม่ค่อยจะได้ศัพท์นัก ภูวลดที่นั่งเคียงข้างทวิพัตรนั้น มีเสียงสบถออกมาอยู่เรื่อยๆ ประมาณว่า ทำไมต้องรีบกลับด้วย เขายังไม่หายจากอารมณ์สนุกสนานเลยนะ ส่วนหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะหลัง ออกอาการราวกับคนเสียสติ พวกเธอหัวเราะออกมาตลอดเวลา พร่ำเพ้อไปเรื่อยเปื่อย ทั้งเรื่องความรักครั้งเก่าที่แสนจะบอบช้ำ หรือแม้แต่เรื่องที่พวกผู้ชายเห็นพวกเธอเป็นเหมือนผักปลา เมื่ออยากได้ร่างกายของพวกเธอ ก็พูดออกมาดีทุกอย่าง แต่พอเบื่อแล้วก็หาเหตุผลร้อยพันมาอ้าง
                  ทวิพัตรขับรถมายังคอนโดแห่งหนึ่ง เขาปล่อยให้ภูวดลนอนรออยู่ภายในรถ ส่วนตัวเขาก็คอยประคับประคองร่างของหญิงสาวทั้งสอง เดินเข้าไปยังตัวคอนโดแห่งนี้ ยังดีที่มีพนักงานรักษาความปลอดภัยเข้ามาช่วยเหลือเขาด้วย
                         ทวิพัตรกดลิฟท์ไปยังชั้นที่สิบแปด ซึ่งมีสองชีวิตของหญิงสาวและหนึ่งชีวิตของพนักงานรักษาความปลอดภัยติดตามไปด้วย เมื่อตัวลิฟท์มาถึงที่หมายแล้ว เขาก็ไขกุญแจห้องที่ได้จากหญิงสาวข้างกายเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องนั้นตกแต่งไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ ที่ดูไม่ค่อยจะเป็นระเบียบนัก เขาและพนักงานรักษาความปลอดภัยนำร่างของหญิงสาวทั้งสองเข้าไปไว้ในห้องนอน แต่ก่อนที่เขาจะนำร่างของเธอนอนราบไปกับเตียงนั้น เสื้อของเขาก็เลอะเต็มไปด้วยอาเจียนของสาวเจ้า เธอดันปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างออกมา
                         ทวิพัตรเกิดอาการเซ็งเล็กน้อย เขาถอดเสื้อตัวนั้นทิ้งลงถังขยะทันที เหลือเพียงแต่เสื้อกล้าม เขาเดินออกมาจากห้องพักของพวกเธอ ก่อนที่จะกดล็อคประตูห้อง แล้วลงลิฟท์มาพร้อมกับพนักงานรักษาความปลอดภัย
                         ชายหนุ่มเอ่ยคำขอบคุณจากการช่วยเหลือของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ถ้าไม่มีพี่ชายผู้นี้ช่วย เขาก็ไม่รู้ว่าจะนำร่างของสาวทั้งสองไปไว้ยังห้องพักได้ยังไง แล้วเขาก็สตาร์ทรถขับออกไปส่งผู้เป็นเพื่อนจนถึงห้องนอนของที่พักอาศัย แล้วก็ขับรถกลับมาถึงตัวบ้านของเขาด้วยความปลอดภัย
                         ทวิพัตรรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างบอกไม่ถูก เขาเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ศีรษะจะลงถึงหมอน เขากดโทรศัพท์ไปหาฟ้าประกาย เธอรับสายของเขา เสียงของเธองัวเงีย แล้วคำด่าทอจากปากของเธอก็ส่งมายังต้นสาย เธอส่งมาเป็นชุดๆ
                         สมควรแล้วล่ะที่เขาจะได้รับคำด่าจากปากของเธอ ก็นี่มันเป็นเวลาสามนาฬิกาแล้วนี่น่า คนกำลังเคลิ้มหลับอย่างได้อารมณ์ เขาก็แค่อยากฟังเสียงของเธอก็เท่านั้น แต่เธอกลับด่าทอออกมาเป็นชุดๆ เขารู้สึกมีความสุขเพราะได้แกล้งเธอก็เท่านั้นเอง...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×