ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กอดหัวใจเธอมารัก

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่2

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.พ. 54


    บทที่2
                         “ยัยแอปเปิ้ล นี่แกเป็นอะไรของแกเนี่ย นายสุดหล่อเค้าทำอะไรให้แกต้องโกรธเคืองขนาดนี้” ทิพวรรณเดินตามหลังฟ้าประกายมา เธอพยายามจะขอคำตอบจากผู้ที่ทำหน้าบึ้งตึง
                  คนบ้า...คอยดูนะ ตั้งแต่วันนี้พอเจอหน้ากันเมื่อไหร่ จะขอทำเป็นไม่รู้จักกันตลอดชาติเลย
                         ฟ้าประกายคิดในใจ เธอโมโหเหตุการณ์ที่ผ่านมาหยกๆ แถมเขาคนนั้นยังเป็นพวกบุคคลที่ทำให้โลกใบนี้ได้รับผลกระทบ มิหนำซ้ำยังมาถูกเนื้อต้องตัวของเธออีก คิดแล้วก็อยากจะบ้าตาย
                         “นี่ แอปเปิ้ล หยุดก่อนได้มั้ย?” ผู้เป็นเพื่อนพยายามที่จะห้ามไม่ให้เธอเดินอย่างรีบร้อน เกรงว่าอาการเจ็บปวดของเธอจะกำเริบมากขึ้นกว่านี้ “คุยกับฉันก่อนสิ นายรูปหล่อเค้าทำอะไรแก แกถึงต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้”
                  “คนบ้า! อย่าไปใส่ใจเลย!” ฟ้าประกายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก เธอยังคงต้องหน้าตั้งตาเดินต่อไป โดยไม่หันมาสนใจผู้เป็นเพื่อนของตัวเองเลยสักนิด
                         “เฮ้อ...แกนี่ก็ดื้อเนอะ เมื่อตอนเช้าเค้ายังมีน้ำใจช่วยเหลือแกอยู่เลยนะ เค้าไปทำอะไรให้แกไม่สบายใจหรอ? เล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม?”
                  ฟ้าประกายพยายามทบทวนเหตุการณ์เมื่อครู่ เธอเป็นพวกอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตัวยง แถมกิจกรรมที่จะลดมลภาวะโลกร้อนได้ เธอก็เข้าไปมีส่วนร่วม เธออยากให้สภาพแวดล้อมในสังคมดีขึ้น แล้วเธอก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เพื่อนของเธอรับฟัง
                         “โธ่เอ๊ย...แอปเปิ้ล” ทิพวรรณได้รับฟังดังนั้น ก็หัวเราะออกมาอย่างสบายใจ “ฉันก็นึกว่าเรื่องใหญ่โตอะไรซะอีก รู้ยังงี้น่าจะให้นายนั่นไปส่งแกถึงบ้านเลยเนอะ”
                  “เก๋ ฉันจะไม่คุยกับแกแล้วนะ” น้ำเสียงของฟ้าประกายติดอาการงอนเล็กน้อย
                         “ฉันขอโทษก็ได้ แต่แกก็คิดดูสิ เค้าอุตส่าห์หวังดี จะไปส่งแกถึงบ้านเชียวน่า”
                  “หวังดีกับผีน่ะสิ คนอย่างั้นไว้ใจไม่ได้เลยแหละ ดีนะที่ฉันไม่ไปกะนายนั่น ไม่งั้นมีหวังโดนทำมิดีมิร้ายแน่” คนพูดทำสีหน้าขยะแขยงเล็กน้อย
                         “เฮ้อ...แล้วไป ดีนะที่นายรูปหล่อนั่น ช่วยพยุงไม่ให้แกล้มลงไปนอนกองกับพื้น ไม่งั้นมีหวังเดินไม่ได้แน่”
                  คำพูดของทิพวรรณทำให้ฟ้าประกายหยุดเดิน เธอกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แล้วมันก็ทำให้เธอใจสั่นขึ้นมาอีกครั้ง
                  

                         ตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลายมา เธอไม่เคยอยู่ใกล้ชิดผู้ชายแบบนี้มาก่อนเลย ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยมีคนรู้ใจ เธอเคยมีแต่ก็แค่พูดคุยกันทางโทรศัพท์เท่านั้น หรือไม่ก็เดินทางกลับบ้านพร้อมกัน ช่วงเวลานั้นมันก็เป็นแค่ความรักใสๆ ของเด็กสาวที่เริ่มย่างก้าวเข้าสู่วัยรุ่น แต่แล้วก็ต้องมีอันเลิกรากันไป
                         “แต่เค้าก็หล่อดีน๊า ตอนที่เค้าช่วยแกเอาไว้ มันเหมือนในละครหลังข่าวหรือป่าว ที่พระเอก...” ทิพวรรณยังพูดไม่จบประโยค เสียงของฟ้าประกายก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
                         “บ้า แกบ้าไปแล้วหรอเก๋ ฉันไม่คุยกับแกแล้วนะ”
                  คนที่ได้รับฟังอมยิ้มเล็กน้อย สงสัยเพื่อนของเธอจะเกิดอาการอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้วล่ะ เธอจับความผิดปรกติได้จากน้ำเสียงที่ผิดแปลกไปอย่างไม่ใช่ฟ้าประกายคนเดิมยังไงยังงั้น
                         “นี่ยัยแอปเปิ้ล อย่ารีบเดินสิ โอ๋ๆๆ ฉันขอโทษก็ได้ แอปเปิ้ลรอฉันด้วย!”
                         คนขาเจ็บยังคงทำสีหน้าบึ้งตึง เธอไม่สนใจเสียงเรียกของผู้เป็นเพื่อนเลย เธอจะไม่ยอมใจอ่อนกับเขาคนนั้นเด็ดขาด แต่ความรู้สึกอย่างเช่นวันนี้ เธอไม่เคยรับรู้มันมาก่อน
                         ไม่นะ...อีตาบ้านั่นไว้ใจไม่ได้หรอก คอยดูเถอะ...

                         รถสปอร์ตสีดำคันหรูแล่นไม่ค่อยถนัดนักยังใจกลางของถนนในกรุงเทพฯ คงเป็นที่รู้กันอยู่ว่า การจราจรติดขัดมากแค่ไหนในช่วงเย็นของทุกวัน ชายหนุ่มมีอาการเซ็งเล็กน้อย แต่ตลอดทางที่เขาขับรถผ่านมา รอยยิ้มของเขายังไม่หุบลงไปจากใบหน้าได้เลย
                         ผู้หญิงอะไร น่ารักชะมัด
                         ทวิพัตรตั้งใจเอาไว้ว่าในวันพรุ่งนี้ เขาจะไปสมัครเข้าชมรมอนุรักษ์โลกร้อนที่ตึกกิจกรรม เขาอยากรู้นักว่าฟ้าประกายจะใจแข็งกับเขาได้นานขนาดไหน เขาอยากรู้จักเธอให้มากขึ้นกว่านี้ และอยากอยู่ใกล้ชิดเธอไปทุกวัน
                        เสียงโทรศัพท์ข้างตัวของทวิพัตรดังขึ้น เขากดรับแต่ยังไม่ลืมเสียบสายชุดอุปกรณ์หูฟังเพื่อป้องกันอุบัติเหตุเวลาขับรถยนต์
                         “เออ ไอ้ภู ฉันใกล้ถึงแล้วล่ะ รอหน่อยแล้วกัน เออๆ แค่นี้แหละ” ชายหนุ่มวางสายโทรศัพท์จากผู้เป็นเพื่อน เขาทั้งสองนัดแนะกันเอาไว้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ไกลไปจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่
                  แล้วทวิพัตรก็เดินทางไปถึงร้านอาหารที่ได้นัดหมายกับภูวดลเอาไว้ ทั้งสองนั่งรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย พอรับประทานเสร็จแล้ว พวกเขาก็นั่งพูดคุยกันไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับที่พักอาศัยของตนเอง
                     

                         ตลอดทางที่ทวิพัตรขับรถยนต์กลับบ้าน เขานั่งคิดถึงแต่ใบหน้าของฟ้าประกาย เสียงเพลงจากคลื่นวิทยุเคล้าคลอบรรยากาศในเวลานี้เหลือเกิน ในช่วงเวลาสองทุ่มกว่าๆ เกือบสามทุ่ม ความวุ่นวายบนท้องถนนก็เริ่มที่จะลดน้อยลง ท้องฟ้ามืดครึ้ม มีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้าและแสงไฟของรถยนต์เท่านั้น ที่ทำให้ความมืดมิดไม่น่ากลัวจนเกินไป
                  “เพลงต่อไปที่ผมจะเปิดให้ฟังกัน เป็นเพลงสบายๆ ผมว่าความรักคือสิ่งที่สวยงามและก็ทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้นเยอะ ใครที่กำลังเริ่มจะมีความรัก มาลองฟังกันดูครับ ทิ้งท้ายกันไว้ที่ชั่วโมงสุดท้าย ผมดีเจแตงโมลาล่ะครับ ไว้เจอกันใหม่สวัสดีครับ”
    ถึงซับซ้อนแต่สวยงาม  ทั้งขื่นขมและอมหวาน
    แม้สับสนอยู่เหมือนกัน  แต่ฉันยังพอใจ
    ร้อนก็ร้อนอยู่เดี๋ยวเดียว  เดี๋ยวก็ซึ้งก็สดใส
    ทุกข์โศกมาก็หายไป  รักให้ครบทุกอย่าง
    จะมาร้ายดียังไง  แต่ใจก็ยังต้องการ
    ในทุกๆ วัน  โลกหมุนด้วยความรัก
    มีอีกหลายต่อหลายคน  เขาอดทนก็เพื่อรัก
    รักผลักดันให้รู้จัก  ให้หาหนทางใหม่
    ฉันจะล้มตั้งหลายที  ดีที่รักมาฉุดไว้
    รักสร้างสรรค์สิ่งมากมาย  และหลอมละลายทุกหัวใจ
    จะมาร้ายดียังไง  แต่ใจก็ยังต้องการ
    ในทุกๆ วัน  โลกหมุนด้วยความรัก
    ความรักเปรียบเสมือน  เหมือนอากาศ
    ที่มันช่วยหล่อเลี้ยง  ให้ทุกชีวิตได้คงอยู่
    มีลมหายใจ  โลกจึงยังงดงาม
    ป่า ด้า ด่า ดา ป๊า ป๊า ดา ด๊า ดา ด่า ดา ด๊า หากว่ายังมีรัก
    ชีวิตยังมีหวังรออยู่  ยังอุ่นหัวใจ  โลกหมุนด้วยความรัก 

    *เพลงโลกหมุนด้วยความรัก
                         ชายหนุ่มที่นั่งขับรถอยู่หลังพวงมาลัยได้แต่อมยิ้มตลอดทาง จนรถปอร์ตสีดำคันหรูแล่นมาถึงจุดหมายปลายทางยังที่พักอาศัย...

                  ฟ้าประกายมาถึงบ้านพักของตนด้วยอาการของคนที่ก้าวเท้าเดินอย่างไม่ถนัดนัก ทิพวรรณคอยพยุงร่างของเธอมาส่งจนถึงหน้าประตูรั้วบ้าน เสร็จแล้วเพื่อนของเธอก็กล่าวคำอำลา เพื่อที่จะเดินทางกลับที่พักอาศัย
                         “อ้าว ยัยเปิ้ล เท้าแกไปโดนอะไรมานั่นน่ะ” มารดาของฟ้าประกายเอ่ยทัก เมื่อเห็นลูกสาวของตัวเองเดินเข้ามาภายในตัวบ้าน
                         หญิงสาวยกมือไหว้ผู้เป็นแม่ ก่อนที่จะตอบคำถามกลับไป “หนูซุ่มซ่ามเองล่ะแม่” เธอพยายามเลี่ยงที่จะบอกเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้มารดารับฟัง ในใจก็ยังคงขุ่นเคืองชายหนุ่มผู้ที่ทำให้ความรู้สึกของเธอเกิดอาการแปลกๆ
                         “ว่าแล้ว หัดทำตัวเป็นกุลสตรีกับเค้ามั่งเหอะ อย่างนี้ตอนไหนจะมีหนุ่มๆ มาขายขนมจีบกับแกมั่งห๊ะ” ผู้เป็นแม่เอ่ยติดตลก
                         “โธ่แม่ ถ้าไม่มีคนมาจีบก็ดีสิ จะได้ไม่วุ่นวาย เชอะ เคยง้อซะที่ไหนผู้ชายเนี่ย”
                  ผู้เป็นแม่หัวเราะออกมากับคำพูดของลูกสาวตัวเอง “ให้มันจริงเถ้อะ ถ้ามีผู้ชายหล่อๆ แถมรวยมาจีบแก แม่จะไม่เชื่อแกเลย ถ้าแกไม่ใจอ่อนกับเขา”
                  “ฝันไปเถอะแม่ ต่อให้ผู้ชายดีขนาดไหน หนูก็จะไม่ยอมใจอ่อนเด็ดขาด”
                         ยิ่งเป็นนายนั่นด้วย ฝันไปเถอะ
                         “หนูอยู่กับแม่สบายใจกว่าเยอะเลย” แล้วฟ้าประกายก็เข้าไปหอมแก้มมาดาของเธอหนึ่งครั้ง “แล้วนี่พ่อกับนันไปไหนคะแม่”
                  “พ่อของแกกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ข้างบน ส่วนน้องชายแกออกไปเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ เห็นบอกกลับค่ำๆ หน่อย”
                  “แล้ววันนี้แม่ทำกับข้าวอะไรไว้เอ่ย” ฟ้าประกายเอ่ยถาม อาหารและกับข้าวทุกอย่างฝีมือของมารดา ล้วนถูกปากเธอยิ่งนัก
                         “แม่ทำของโปรดไว้ให้แกตั้งเยอะ ขึ้นไปอาบน้ำก่อน แล้วค่อยลงมาทาน”
                  “ได้จ้า คุณแม่ของฉันทำกับข้าวอร่อยที่สุดในโลกเล้ย” แล้วหญิงสาวก็ขึ้นบันไดไปยังห้องส่วนตัวของเธอ
                         ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่มองแล้วเย็นสบายตา ตุ๊กตาหมีปีกาจูสีเหลืองและตุ๊กตาคิดตี้สีชมพูนั่งอยู่บนเตียงนอนของเธอ ผ้าม่านสีขาวปลิวไปตามแรงลมที่พัดอ่อนๆ อากาศเย็นสบายเล็กน้อย กองหนังสือรวมทั้งนิตยาสารต่างๆ ถูกจัดเก็บไว้อย่างเรียบร้อย ห้องนอนส่วนตัวของฟ้าประกายดูร่มรื่น ถึงจะมีเครื่องปรับอากาศที่ให้ความเย็นสบาย เธอก็ไม่เคยคิดที่จะเปิดใช้งานบ่อยนัก เธอมักจะช่วยโลกประหยัดพลังงาน แถมหลอดไฟที่ส่องแสงสว่าง เมื่อเธอกดปุ่มเปิดสวิตซ์ขึ้นมา เธอก็ใช้หลอดนีออนแบบมาตรฐานอีกด้วย
                         หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนบนเตียงที่ปูผ้าสีขาวสะอาดตา เธอหลับตาพริ้ม หัวสมองพยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ความรู้สึกของเธอแปลกๆ ชอบกล ทำไมนะ...เมื่อตอนที่นายคนนั้น ช่วยประคองเธอเอาไว้ไม้ให้ก้นจ้ำเบ้าเข้ากับพื้น สายตาของเขาที่มองสบตาเธอ มันทำให้หัวใจเกิดอาการแปลกๆ พิลึก หรือว่าหัวใจของเธอตอบสนองเมื่อถึงเวลาเหงา เวลาที่อยากให้ใครสักคนก้าวเดินเข้ามาในชีวิตของเธอ
                         ไม่นะ...ไม่มีทางเด็ดขาด ความรู้สึกบ้าๆ นี่ เธอจะระงับมันให้หายไปเอง
                  เสียงโทรศัพท์มือถือของฟ้าประกายดังขึ้น เธอไม่ได้กดดูเบอร์ที่โชว์ขึ้นอยู่หน้าจอ เพราะคิดว่าคงเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งภายในกลุ่มของเธอ
                         “เออ ว่าไงวะ” ต้นสายกรอกเสียงลงไปด้วยคำพูดที่สนิทสนม
                         “พูดไม่เพราะเลยนะคุณ”
                  ทันใดนั้นฟ้าประกายก็เกิดอาการสะดุ้งสุดตัว เสียงที่เธอได้รับฟังนั้น มันเป็นเสียงของอีตาบ้าเมื่อตอนเย็นของวันนี้นี่นา
                         “อ้าวคุณ เงียบทำไมล่ะ? หรือว่าเสียงของผมมันหล่อ? ไม่ต้องดีใจขนาดนั้นก็ได้นะ”
                  ความโกรธของฟ้าประกายพรุ่งปรี๊ด เธออยากจะตะโกนด่าเขาซะให้เข็ด คนอะไรถือวิสาสะโทรมาโดยไม่ได้ขอเบอร์โทรศัพท์จากเจ้าของเครื่องเสียก่อน แปลกใจด้วยว่าไปขอเบอร์นี้มาจากใคร แถมยังมีหน้ามาพูดกวนซะขนาดนี้ แม่จะด่าซะให้เละไปเลย
                  “นี่นาย! ไปเอาเบอร์ฉันมาจากไหน! บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ! ถ้าไม่บอก! ฉันจะกดสายทิ้งซะเดี๋ยวนี้เลย!”
                  “ใจเย็นๆ ก่อนสิคุณ แหม ทำใจร้อนไปได้ เดี๋ยวหน้าก็แก่เกินวัยหรอก”
                  “ไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว! อยากฆ่าคนโว้ย!” เธอตะโกนออกมา ทำให้ปลายสายแก้วหูแทบแตก
                         “เบาๆ หน่อยสิคุณ เดี๋ยวคนข้างบ้านเค้าก็แตกตื่นกันหมดหรอก แหม”
                  อารมณ์โกรธของฟ้าประกายหยุดไม่อยู่แล้ว ยิ่งทวิพัตรกวนประสาทเธอมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เธอหัวเสียมากขึ้นเท่านั้น ผู้ชายอะไรกวนประสาทชะมัด ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน คอยดูนะ...เจอตัวเมื่อไหร่ จะด่าให้เละไปเลย
                         “โธ่เว้ย! ฉันนับหนึ่งถึงสามนะ ถ้านายไม่บอกว่าเอาเบอร์ฉันมาจากที่ไหน ฉันจะกดสายทิ้งทันที หนึ่ง...สอง...”
                  “ก็ได้ๆ ใจร้ายจัง” ทวิพัตรรีบขัดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ผมเก็บสมุดเรียนของคุณได้ พอเห็นเบอร์โทรศัพท์ที่จะอยู่ในนั้น ผมก็เลยคิดว่า คงเป็นเบอร์โทรของคุณ ก็เลยตัดสินใจโทรศัพท์มาบอก แหม ทำเป็นอารมณ์ร้อนไปได้”
                  “แค่นี้แหละ” ฟ้าประกายตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง แต่มันก็ทำให้อารมณ์ของเธอเย็นลงไปได้บ้าง เพราะความมีน้ำใจของเขา
                         “แล้วผมก็อยากจะบอกกับคุณว่า ผมตัดสินใจจะเข้าชมรมอนุรักษ์โลกร้อนแล้วนะ คุณจะรับผมไหม?”
                  อันที่จริงทวิพัตรไม่สนใจหรือไม่ใส่ใจอะไรนักหนา เกี่ยวกับชมรมอนุรักษ์โลกร้อน เพียงแค่ว่าเขาอยากจะอยู่ใกล้ชิดฟ้าประกายก็เท่านั้น
                         ส่วนฟ้าประกายเป็นประธานชมรมของนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง เธอเป็นคนรับสมัครคนที่จะมาเข้าร่วมชมรม นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง ที่จะเข้าชมรมได้นั้น ต้องผ่านการคัดเลือกของเธอเสียก่อน
                  “ฉันไม่รับนาย!” เธอตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ
                         “ได้ไงล่ะคุณ ผมเป็นนักศึกษาของมหา’ลัยนะ”
                  ฟ้าประกายหัวเราะออกมา เหมือนกับว่าตัวเองกำลังได้รับชัยชนะ ที่ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งต้องหัวเสียกลับคืนไปบ้าง
                         “โธ่คุณ ทำไมใจร้ายจัง ผมอยากเข้าชมรมนี้จริงๆ นะ” ชายหนุ่มทำเสียงออดอ้อน
                         โธ่เอ๊ย ทำเสียงซะน่าสงสาร ยังไงชาตินี้ ฉันก็ไม่มีวันรับนายเข้าชมรมหรอก
                         ...เธออยากจะแกล้งเขากลับคืนไปบ้าง ผู้ชายกวนประสาท...
                         “จะรับดีไหมน๊า?” หญิงสาวทำเสียงเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “งั้นพรุ่งนี้ก่อนเข้าเรียน มาที่ตึกกิจกรรมละกัน”
                  “เย้ ตกลงคุณรับผมเข้าชมรมแล้วใช่ไหม?” ทวิพัตรทำเสียงตื่นเต้นดีใจ ในที่สุดเขาก็จะได้อยู่ใกล้ชิดฟ้าประกายแล้ว แต่แล้วเสียงพูดของเธอก็ทำให้อาการผิดหวังของเขาเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
                         “ใครบอกว่าฉันจะรับนายเช้าชมรม พรุ่งนี้เช้า นายต้องมีเหตุผลหนึ่งข้อ ว่านายอยากจะเข้าชมรมอนุรักษ์โลกร้อนเพื่ออะไร ถ้ามีเหตุผลไม่เพียงพอ ฉันก็จะไม่รับนายเข้าชมรมเด็ดขาด”
                  จะได้รู้กันไปเลย คนที่ไม่ช่วยโลกประหยัดพลังงานอย่างนาย ฉันจะไม่มีวันยอมรับนายเข้าชมรมเด็ดขาด แล้วหญิงสาวก็วางสายโทรศัพท์ไปจากเขา...
                         ทวิพัตรอมยิ้มหลังจากที่ฟ้าประกายวางสายโทรศัพท์ไปจากเขา เขารู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก นานมาแล้วที่ความเงียบเหงายังคงไม่จางหายไปจากจิตใจของเขา หญิงสาวคนนี้โดนใจเขาเหลือเกิน เธอช่างน่ารักอย่างบอกไม่ถูก เขาจะพยายามทำให้เธอใจอ่อนกับเขาให้ได้ และในวันพรุ่งนี้เช้า เขาได้เตรียมเหตุผลหนึ่งข้อ ที่จะทำให้เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับเธอเอาไว้แล้ว
                         คืนนั้นทั้งคืน ทวิพัตรยังไม่หลับตาลงเมื่อศีรษะถึงหมอน เขาได้ลุกขึ้นจากเตียงนอน เพื่อที่จะไปยืนมองดูดาวบนท้องฟ้า คืนนี้ดาวสวย ฟ้าใส มองอะไรก็ดูสวยงามไปหมด สายลมยามค่ำคืนพัดไหวไปมา ทำให้บรรยากาศบนดาดฟ้าเย็นสบาย ถ้ามีฟ้าประกายอยู่ด้วยกันกับเขาในเวลานี้ ก็คงจะโรแมนติกไม่น้อย ได้นอนนับดาวด้วยกัน เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กันฟัง กุมมือกันไว้  โลกใบนี้ก็คงจะสวยงามตลอดเวลา...
                         นานมาแล้ว...ที่ความรักของทวิพัตรได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อช่วงเวลานั้น หญิงสาวที่ทำให้เขาได้รู้จักกับความรัก ก็ก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา มันทำให้เขาได้สัญญาเรื่องๆ หนึ่งต่อเธอเอาไว้ แต่แล้วคำสัญญาก็เป็นเพียงแค่ลมปาก ที่ผ่านเข้ามาในโสตประสาทแล้วก็ผ่านเลยไป เขาและเธอได้ห่างกันด้วยเพราะเหตุผลในหลายๆ เรื่อง อย่างว่า...ความรัก...เมื่อจากไป คงไม่มีใครผิดหรือถูก เพราะมันเป็นความเข้าใจของคนสองคน เขาไม่เคยลืมช่วงเวลานั้นได้เลย
                  ทั้งความสุข ความเศร้า หรือน้ำตา แต่ก็คิดว่า อนาคตยังอีกไกล ด้วยวัยของเขาและเธอยังน้อย ยังคงต้องพบใครต่อใครอีกมากหน้าหลายตา และเพราะเหตุนี้เอง มันก็ทำให้เขาสบายใจขึ้น
                         ชายหนุ่มยืนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย สายตายังคงยืนมองดวงดาวที่พร่างพรายอยู่บนท้องฟ้านับหมื่นๆ ดวง ในวันพรุ่งนี้...เขาต้องทำให้หญิงสาวใจอ่อนลงบ้าง คอยดูเถอะ...
                        
                         ในเช้าวันต่อมา...ทวิพัตรรีบแต่งตัว พร้อมเดินทางออกจากบ้านเร็วกว่าปกติ เขาไม่ลืมที่จะหยิบสมุดเรียนของฟ้าประกายติดมือไปด้วย เขาพร้อมแล้วที่จะเผชิญหน้ากับคนที่ทำให้หัวใจของเขาพองโตขึ้นเมื่อยามได้พบหน้า
                         ชายหนุ่มมาถึงตึกกิจกรรมก่อนที่มหาวิทยาลัยจะทำการเรียนการสอน เขาเหลือบไปเห็นฟ้าประกายกำลังสาละวนอยู่กับงานบางอย่างบนโต๊ะทำงานของเธอภายในห้องชมรมอนุรักษ์โลกร้อน ภายในห้องนั้นมีเธอเพียงคนเดียวที่เดินทางมาถึง
                         คนอะไรหน้าตาหน้ารักแถมยังขยันอีก
                         “ฮะ แฮ้ม” ทวิพัตรทำเสียงอยู่ในลำคอ เพื่อเป็นการสะกิดเรียกให้ฟ้าประกายเงยหน้าขึ้นมามองเขา
                  แต่หญิงสาวทำเป็นไม่สนใจ เหมือนกับว่าเขาเป็นอากาศธาตุยังไงยังงั้น และเธอยังคงก้มหน้าก้มตาปฏิบัติงานตรงหน้าต่อไป
                         “ฮะ แฮ้ม” ทวิพัตรทำเสียงอยู่ในลำคอขึ้นมาอีกรอบ หวังว่าครั้งนี้คงจะทำให้เธอสนใจเขาขึ้นมาบ้าง
                  แต่ฟ้าประกายก็ยังคงนิ่งพร้อมกับทำงานของตนเองต่อไป โดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองเขาเลย
                         ผู้ชายอะไรเนี่ย กวนประสาทตั้งแต่เช้าเลย ไม่เห็นหรือยังไงว่า คนเค้ากำลังทำงานอยู่เนี่ย
                         แล้วชายหนุ่มก็ทำเสียงอยู่ในลำคอขึ้นมาอีกเป็นรอบที่สาม และในครั้งนี้ก็ทำให้หญิงสาวทนไม่ไหว จนเธอเงยใบหน้าที่ขาวใส แถมทำตาดุมาใส่เขา
                         “อะไรติดคอหรอ? ให้ฉันเอาคีมคีบให้มั้ย?”
                  ทวิพัตรกลั้นหัวเราะเอาไว้ ในที่สุดฟ้าประกายก็เอ่ยปากพูดขึ้นมา
                         “นึกว่าคุณจะไม่พูดอะไรซะแล้ว”
                  “ไม่เห็นหรือไงย่ะ คนเค้ากำลังทำงานอยู่เนี่ย” เธอทำเสียงขุ่นเคืองใส่เขา
                         “แหม ดุแต่เช้าเลยนะคุณ ผมอุตส่าห์เอาสมุดมาคืน”
                  “ขอบใจ แล้ววางไว้ตรงนั้นแหละ”
                  ชายหนุ่มก้าวเดินไปยังตรงโต๊ะที่หญิงสาวกำลังนั่งเขียนงานอยู่ แล้วเขาก็วางสมุดไว้บนนั้น
                         ทวิพัตรพยายามก้มศีรษะเข้าไปใกล้ๆ ยังใบหน้าของฟ้าประกาย เพื่อที่จะดูงานที่เธอกำลังทำอยู่ เขาอยากบอกกับเธอว่า ใบหน้าของเธอในตอนนี้ ช่างน่ารักเสียเหลือเกิน
                         น่ารักจัง
                         แล้วหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมา หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นมาทันที เมื่อรู้ว่าใบหน้าของชายหนุ่มอยู่ห่างจากใบหน้าของเธอไม่ถึงสองเซนติเมตร
                         ฟ้าประกายเริ่มที่จะเสียสมาธิในการทำงาน มือไม้ของเธอเริ่มที่จะไม่เป็นที่เป็นทาง ก็เธอรู้สึกเขินนี่น่า ยิ่งมีชายหนุ่มหน้าตาขาวสะอาดมาอยู่ใกล้ๆ แบบนี้ด้วย ยิ่งทำให้เธอทำตัวไม่ถูก
                         “นี่นาย ไปห่างๆ กันหน่อยได้ไหม ไม่เห็นหรอคนเค้ากำลังทำงานอยู่เนี่ย” แล้วเธอก็ใช้ฝ่ามือผลักหน้าอกของเขาแรงๆ หนึ่งที
                  “คุณเขินหรอ?” เข้าทางทวิพัตรล่ะ เขาจะเดินหน้ารุกเธอต่อไป ยิ่งแกล้งเธอมากเข้าเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เขามีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
                         “เขินบ้าอะไรเล่า” หญิงสาวพยายามหลบสายตาเขา เพื่อไม่ให้เขาจับผิดเธอได้ เพราะตอนนี้เธอกำลังมีอาการบางอย่างผิดปรกติอยู่
                         “แล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วยล่ะ ถ้าไม่เขิน” ทวิพัตรยังคงกลั้นหัวเราะต่อไป เขาอมยิ้ม พยายามสังเกตปฏิกิริยาท่าทางของเธอ
                  “ฉันจะทำงาน นายอยากจะไปไหนก็ไปเลย” หญิงสาวยังคงหลบสายตาของชายหนุ่ม หัวใจของเธอรู้สึกว่ามันเต้นไม่เป็นจังหวะ
                  “เอ๊...ไล่ผมหรอเนี่ย ผมอุตส่าห์จะมาสมัครเข้าชมรมนะ”
                         ฟ้าประกายคิดในใจ จะมาสมัครเข้าชมรมอนุรักษ์โลกร้อนอย่างนั้นหรอ อย่างน้อยต้องมีเหตุผลมารองรับด้วย คนอย่างนี้หรือจะทำได้ โธ่เอ๊ย...จะไม่มีวันรับเด็ดขาด คอยดูเถอะ ถ้ามีเหตุผลไม่เพียงพอ
                         “อ่ะ ก็ได้ งั้นไหนนายลองบอกเหตุผลมาหนึ่งข้อซิ ว่าทำไมถึงอยากจะเข้าที่ชมรมนี้ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ฉันไม่ใจดีอย่างที่นายคิดหรอก”
                  ทวิพัตรยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ถึงนิสัยของฟ้าประกายจะดุไปบ้าง แต่สำหรับเขาแล้ว เธอน่ารักที่สุด...
                         “ผมคิดว่า ทุกวันนี้โลกของเราร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่รีบช่วยกันแก้ไข ปัญหามันจะบานปลายไปมากกว่านี้ ถ้าคนทั่วโลกช่วยกัน ผมว่าคนรุ่นหลังๆ เค้าจะได้มีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดี โดยไม่เดือดร้อน ผมเลยตัดสินใจ ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสิ่งแวดล้อมในโลกใบนี้ เหตุผลของผมเพียงพอไหม” ชายหนุ่มเอ่ยคำพูดออกไปอย่างเต็มปากเต็มคำ
                         ทวิพัตรรู้สึกลำบากใจเหลือเกิน เรื่องอนุรักษ์โลกร้อนอะไรนี่ช่างไร้สาระสิ้นดี เมื่อคืนที่ผ่านมาเขายังคิดกับตัวเองอยู่เลยว่า เหตุผลที่เขาจะบอกออกไป มันเหมือนไม่ใช่ความคิดที่เขาจะปฏิบัติตามเลย เขาตัดสินใจที่จะมาเข้าชมรมแห่งนี้ ก็เพราะฟ้าประกายคนเดียวเท่านั้น
                         ฟ้าประกายคิดทบทวนคำพูดของคนที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า เป็นคำพูดที่ดีทีเดียว แต่คนเราก็ต้องดูกันไปนานๆ แค่เหตุผลของเขาเธอยังไม่อาจจะปักใจเชื่อได้ว่า เขาอยากที่จะช่วยเหลือโลกใบนี้จริงๆ
                         “เหตุผลของนายก็เข้าท่า” เธอเอ่ยออกมาพร้อมกับสบสายตาคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
                         “แต่เดี๋ยวก่อน ผมยังพูดไม่จบเลย ผมยังมีเหตุผลอีกนะ”
                  หญิงสาวเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เหตุผลอะไร ไหนว่ามาซิ”
                  ชายหนุ่มอมยิ้ม เขาพร้อมแล้วที่จะหาเหตุผลกลั่นแกล้งเธออีก “ผมอยากเข้าชมรมนี้ ก็เพราะว่าคนรับสมัครหน้าตาน่ารักด้วยสิ”
                         ฟ้าประกายใบหน้าร้อนผ่าว เธอหลบสายตาเขาอย่างรวดเร็ว อยากจะหยิบของสักอย่างขว้างใส่หน้าเขาซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่มือไม้มันก็ไม่ยอมทำตามคำสั่ง
                         ไม่นะ...เราต้องทำตัวเป็นปกติ อย่าไปหลงคารมอีตาบ้านี่เด็ดขาด อยากแกล้งกันดีนักใช่ไหม ก็ได้
                         “งั้นเอาเป็นว่า ฉันไม่รับนายเข้าชมรม” เธอพยายามใจแข็ง ริมฝีปากเผยรอยยิ้มอย่างผู้ชนะ
                         “ได้ไงคุณ ไหนบอกว่าเหตุผลของผมเข้าท่าไง ทำไมไม่รับผมเข้าชมรมล่ะ?”
                  เธอทำหน้าตาทะเล้นใส่เขา ก่อนที่จะหาเหตุผลที่ฟังไม่ค่อยขึ้นให้เขารับฟัง “ฉันไม่อยากรับนาย เหตุผลก็เพราะ คนอย่างนายมันไม่มีทางทำได้หรอก ลองเอาคำพูดของฉันกลับไปคิดดูที่บ้านก็แล้วกัน”
                  “แต่...” ยังไม่ทันที่ทวิพัตรจะเอ่ยแย้งขึ้นมา ก็มีบุคคลที่สามเดินเข้ามาทางประตูหน้าห้องชมรมเสียก่อน ซึ่งก็คืออาจารย์สมเกียรติ ผู้ที่เป็นอาจารย์ของชมรมอนุรักษ์โลกร้อนแห่งนี้
                         ทั้งสองยกมือไหว้ทักทายอาจารย์สมเกียรติตามแบบฉบับมารยาทไทย
                         “ว่าไงแอปเปิ้ล วันนี้หาสมาชิกเข้าชมรมของเราได้หรือยัง?” อาจารย์สมเกียรติเอ่ยถามฟ้าประกาย ที่กำลังปั้นหน้าทะเล้นๆ ของเธอ กลับมายิ้มแย้มแจ่มใส่อย่างรวดเร็ว
                         “ยังเลยค่ะอาจารย์”
                  “อาจารย์ก็ให้เธอเป็นประธานชมรมของเด็กปีหนึ่ง ยังไงก็ฝากด้วยละกัน”
                  อาจารย์สมเกียรติเป็นบุคคลที่จัดการความเรียบร้อยทุกอย่างภายในชมรม เขารวบรวมนักศึกษามาได้มากพอสมควร ตั้งแต่เด็กปีหนึ่งยันปีที่สี่ เพื่อที่จะอาสาออกค่ายปลูกป่าตามแหล่งพื้นที่ต่างๆ เขามอบหมายให้ฟ้าประกายเป็นประธานชมรมของนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง เพื่อที่จะดูแลจัดการความเรียบร้อยต่างๆ ภายในชมรม
                         อาจารย์สมเกียรติเดินมาทางที่ทวิพัตรยืนอยู่ ก่อนที่จะเอ่ยอะไรออกมา “เธอเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งใช่ไหม?”
                  “ใช่ครับ” ชายหนุ่มตอบอย่างมั่นใจ ในใจก็คิดว่าอาจารย์สมเกียรตินี่ล่ะ คงทำให้เขาได้เข้าชมรมแห่งนี้ชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์
                         “อาจารย์ดีใจนะ ที่เห็นคนอย่างเธอมีอุดมการณ์อยากช่วยโลกใบนี้” คนพูดเอาฝ่ามือตบบ่าของชายหนุ่มเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
                         “แต่ อาจารย์คะ...” ยังไม่ทันที่ฟ้าประกายจะเอ่ยเหตุผลอะไรบางอย่างออกมา อาจารย์สมเกียรติก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
                         “แต่เต่อ อะไรกันล่ะยัยเปิ้ล คนเค้าอุตส่าห์อยากจะมาเข้าชมรมของเรา เอ้า จดชื่อเค้าไว้ซะสิ”
                  ฟ้าประกายทำสีหน้าไม่พึงพอใจเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ในเมื่อเป็นคำสั่งของอาจารย์สมเกียรติ แล้วเธอก็ต้องยอมจดรายชื่อของทวิพัตรลงไปในใบสมัครของชมรม
                         “ขอบคุณนะครับอาจารย์” ทวิพัตรยกมือไหว้อาจารย์สมเกียรติ ทีนี้ล่ะ เขาก็ได้เข้าชมรมตามที่ตั้งใจเอาไว้เสียที
                         “เอาน่า...ทีนี้เธอก็เป็นสมาชิกของชมรมเราแล้ว ทุกเย็น หรือเวลาว่างช่วงไหน ก็ให้เข้ามาที่ชมรม เพื่อพวกเราทุกคนจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แล้วจะได้แก้ไขปัญหาต่างๆ กันอย่างถูกต้อง และในเดือนหน้านี้ อาจารย์จะขออนุญาตมหา’ลัย พาพวกเราทุกคนไปออกค่ายปลูกป่ากัน”
                         ทวิพัตรรู้สึกดีใจมาก ที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับฟ้าประกายในทุกๆ วัน อย่างน้อยเขาจะต้องทำให้เธอใจอ่อนลงให้ได้
                         เพราะความน่ารักของเธอ ทำให้เขาตกอยู่ในห้วงพะวงแห่งความหลงใหล ก็เขาชอบเธอนี่น่า ถ้าสักวันหนึ่ง เธอได้รู้ความจริงว่า กิจการของพ่อและแม่ของเขาที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้ มันเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับความรู้สึกของเธอ เธอจะคิดต่อเขายังไงกันนะ เอาเป็นว่าเรื่องทั้งหมดมันยังไม่เกิดขึ้น เขาต้องพยายามปิดบังไม่ให้เธอรับรู้ให้จงได้
                  ชายหนุ่มทำหน้าตาทะเล้นใส่เธอกลับคืนไปบ้าง หัวเราะทีหลังย่อมดังกว่าเสมอ เขาอมยิ้ม แต่เธอนี่สิ ทำหน้าตาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อเขาเสียให้ได้ เอ...เขาทำอะไรผิดเนี่ย ทำไมเธอถึงโกรธเคืองเขาไม่หาย...
                  แต่ก่อนที่ทวิพัตรจะเดินจากไป เขาเดินเข้าไปใกล้ๆ ฟ้าประกาย พร้อมกับกระซิบเบาๆ ข้างใบหูเธอว่า “ไปก่อนนะแอปเปิ้ล อย่าทำหน้าบึ้งอย่างนั้นสิครับ เดี๋ยวก็แก่เร็วหรอก” เขากลั้นหัวเราะเอาไว้ พยายามไม่ให้ตัวเองเผลออาการขบขันออกมา
                         “มันเรื่องของฉัน” เธอเอ่ยคำพูดออกไป ราวกับจะกระซิบเพื่อไม่ให้อาจารย์สมเกียรติได้ยิน แถมทำตาขึงใส่เขา ด้วยอาการหมั่นไส้ยิ่งนัก “นายจะไปไหนก็ไปเลย”
                  ทวิพัตรหัวเราะเบาๆ อย่างชอบใจ ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องของชมรมอนุรักษ์โลกร้อน ในวันนี้เขารู้สึกมีความสุขเมื่อได้กลั่นแกล้งเธอ ทำไงได้ ก็เขาชอบคนน่ารักอย่างเธอนี่น่า...

                  “เฮ้ย ไอ้พัตร แกเป็นอะไรวะเนี่ย เห็นนั่งเหม่อลอยมาตั้งแต่เช้าแล้ว” ภูวดลเอ่ยถามคนข้างตัว ที่กำลังนั่งตาลอยออกไปทางบานหน้าต่างของห้องเรียน
                         ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นตรงศีรษะ นักศึกษาแต่ล่ะคนกำลังนั่งคอยเวลาที่อาจารย์จะเข้ามาทำการเรียนการสอนในคาบต่อไป ภายในห้องเรียนต่างก็มีเสียงพูดคุยของนักศึกษาดังขึ้นเป็นระยะๆ รวมทั้งชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่แถวหลังสุดของห้อง
                  “เปล๊า ไม่มีอะไรสักหน่อย ฉันก็คิดอะไรไปเพลินๆ” คนถูกถามตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดี เพราะกำลังคิดถึงใครบางคนที่ทำให้ตัวเขาเองมีความสุข
                         “ใจลอยจังนะแกหมู่นี้ ฉันกะว่าคืนนี้ จะพาแกไปเที่ยวสักหน่อย แต่เค้าว่าที่นี่เด็ดนะเว้ย”
                  ทวิพัตรหันมายิ้มให้กับภูวดล เพื่อนคนนี้มักจะชวนเขาไปเที่ยวอยู่เรื่อยๆ บางทีถ้าวันไหนว่างๆ เขาก็มักจะไปเที่ยวด้วยเป็นธรรมดา โดยส่วนตัวแล้ว เขามักจะอยู่แต่กับบ้านเสียมากกว่า ไม่ชอบการดื่มแอลกอฮอล์หรือไปเที่ยวกลางค่ำกลางคืนสักเท่าไหร่
                         “ไอ้ภู ฉันก็เห็นแกพูดแต่อย่างงี้ล่ะ เด็ดๆ วันไหนในหัวสมองของแกจะไม่มีเหล้าหรือผู้หญิงบ้างวะ”
                  “เออน่า คลายเครียด คิดมากไปได้ แต่คืนนี้ แกต้องไปเป็นเพื่อนฉันนะเว้ย ฉันจะแนะนำน้องลูกโป่งให้แกรู้จัก” ภูวดลยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ตัวเขาไม่เคยคิดที่จะยึดติดกับผู้หญิงคนใดคนหนึ่งเลย เพราะเขาคิดว่า ช่วงในวัยรุ่นนี่แหละควรจะหากำไรชีวิตให้กับตัวเอง
                         ทวิพัตรไม่เคยสนใจหญิงสาวที่ภูวดลแนะนำให้รู้จักเลยซักคน เพราะผู้หญิงในอุดมคติของเขาที่ตามหามานานนั้น บัดนี้เขาเริ่มที่จะแน่ใจแล้วว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเขามากเท่าใดนัก
                         “คนอะไรวะเชื่อลูกโป่ง เฮ้อ...คนเราช่างสรรหากันตั้งเนอะชื่อเนี่ย” ทวิพัตรถอนหายใจออกมาอย่างเอื่อมระอา ผู้หญิงอะไร้ ชื่อลูกโป่ง แค่ชื่อก็ฟังดูตลกแล้ว
                  “ทำเป็นพูดไป ไอ้พัตร เดี๋ยวแกก็รู้ว่าคนนี้อ่ะเด็ดจริง แต่คืนนี้แกต้องไปเป็นเพื่อนฉันนะเว้ย”
                  ในที่สุดทวิพัตรก็ต้องยอมไปเที่ยวกับภูวดลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำไงได้ ก็เขาไม่อยากปฏิเสธเจ้าเพื่อนคนนี้นี่น่า เพราะรู้ดีว่า ถึงยังไงซะก็ไม่มีทางสรรหาข้ออ้างข้อไหนให้เจ้าเพื่อนคนนี้รับฟังดี
                  พูดคุยกันไปได้สักพัก อาจารย์ผู้หญิงก็เดินเข้ามาทำการสอนในห้องเรียน ในหัวสมองของชายหนุ่มทั้งสองไม่มีบทเรียนอยู่ในหัวเลย อีกคนหนึ่งก็มีแต่ใบหน้าของหญิงสาวที่ได้แต่เฝ้าคิดถึง ส่วนอีกคนก็เฝ้ารอเวลาที่จะได้ไปเที่ยวแหล่งสถานเริงรมย์ แล้วอย่างนี้จะให้เรียนรู้เรื่องได้อย่างไรกัน…

                

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×