ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Yaoi] Conceal Secret (YunJae,MicXiah)

    ลำดับตอนที่ #10 : My everything

    • อัปเดตล่าสุด 29 ส.ค. 55


                   


                   ซีวอนรู้สึกเหมือนมองผิดไป
    …..

                   คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าใช่คิมจุนซูแน่หรอ?....

                   “พี่ซีวอน มองผมจนจะทะลุแล้วนะครับ” จุนซูแหย่ เมื่อเห็นซีวอนเบิกตาค้างหลังจากที่จุนซูเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของห้างดัง J.E.M ก็ห้างของเพื่อนเค้าจองยุนโฮนั่นแหละ เพื่อนกันก็ต้องอุดหนุนกันหน่อย

                   “อ่อโทษที แต่เธอเปลี่ยนไปเยอะเลย” ซีวอนเอ่ยหลังจากได้สติ ร่างบางที่ยืนอยู่ตรงหน้าถูกเปลี่ยนทรงผมแล้วเสื้อผ้าจนเปลี่ยนไปชัดเจน สีผมที่เปลี่ยนจากสีน้ำตาลอ่อนดูเป็นเด็กกลายเป็นสีบลอนซ์เทาออกสีฟ้าดูเซ็กซี่และขับให้ผิวขาวนวลยิ่งเด่นขึ้นไปอีก แถมยังมีชุดสูทสีขาวปกดำทับเสื้อกล้ามดำคอกว้างทำให้คนตัวเล็กดูโตและเซ็กซี่ขึ้น ซีวอนนึกเกลียดตัวเองที่แว็บนึงเค้าเผลอมองจุนซูฐานะอื่นนอกจากน้องชายไปซะนี่

                   “พี่ครับ ผมไม่ต้องจ่ายค่าเสื้อจริงหรอ?” ร่างบางแสดงสีหน้ากังวลเล็กน้อย

                   “คิดว่าเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปี้ที่แล้ว ที่พี่ไม่ได้ซื้ออะไรให้แล้วกันนะ โอเคไหม?” จุนซูยิ้ม เสร็จแล้วก็เอามือปัดเสื้อ ดึงนู้นดึงนี่ให้เข้ากัน

                   “ผมชอบมากเลยครับ!! พี่ซีวอน ขอบคุณฮะ!” จุนซูยิ้มแป้น เค้าดูจะถูกใจกับภาพลักษณ์ใหม่ของตัวเองมาก ซีวอนเองก็มองไม่วางตาเช่นกัน             

                   “ถึงไม่ใช่เพราะวันเกิดพี่ก็จะซื้อให้เราอยู่ดี จะเป็นนักร้องน่ะ แต่งตัวซอมซ่อหรือใส่ชุดเด็กๆเหมือนที่เธอมีไม่ได้หรอกนะ” ซีวอนปัดเศษด้ายที่ติดตรงปกเสื้อของร่างเล็ก ก่อนจะวางมือบนหัวมนเบาๆ

                   “วันนี้เป็นวันแรกที่เธอทำงาน สู้ๆ!” ซีวอนยกกำปั้นขึ้น ทำเอาจุนซูหัวเราะคิกคักเพราะร่างสูงทำตัวเป็นเด็กๆไม่เคยเปลี่ยน

                   “ครับผม!!

                   “งั้นก็ไปกันเลยสองทุ่มแล้วไปเตรียมตัวก่อนก็ดี ไปกัน” จุนซูยิ้มรับ ทั้งคู่ใช้เวลาไม่นานในการเดินทางไปยัง Metal club ซีวอนรู้สึกสนุกแต่ก็รู้สึกกังวลใจเช่นเดียวกัน แน่นอน.. เค้ารู้สึกดีที่ได้หางานให้กับจุนซูได้ แถมเค้ายังได้นักร้องเสียงดีแบบจุนซูเรียกลูกค้าเข้าร้านอีกต่างหาก แต่เค้าก็กังวลใจไม่ใช่น้อยที้เป็นแบบนี้ จุนซูเป็นเด็กที่มีเสน่ห์ดึงดูดอยู่แล้ว แล้วยิ่งแต่งองค์ทรงเครื่องเข้าไปอีก.. ยิ่งทำให้ซีวอนรู้สึกเหมือนมีฮอร์โมนฟุ้งรอบๆร่างบาง

                   ไม่แปลกหรอก.. เพราะทุกครั้งที่เจอ จุนซูจะใส่ชุดนักเรียนแล้วก็วิ่งเข้ามาเล่นเกมส์ที่บ้านของเค้า ทั้งๆที่ยังไม่ได้ถอดกระเป๋าเลยด้วยซ้ำ หรือบางครั้งเค้าพอจุนซูไปเที่ยวไหน เด็กคนนี้ก็เพียงแค่ใส่ชุดเสื้อยืดธรรมดากับกางเกงขาสั้น แต่งตัวดีที่สุดก็ตอนมาที่ผับของเค้าครั้งแรกเนี่ยแหละ แต่ตอนนี้จุนซูเปลี่ยนไปแล้ว

                   “พี่ซีวอนฮะ ผมอยากเปลี่ยนตัวเอง อยากเข้มแข็ง….อยากเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้…. คืนวันนั้นจุนซูพูดกับเค้าด้วยอาการเศร้าสร้อยและเหม่อลอย เป็นเหตุผลที่เค้าต้องช่วยให้จุนซูเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง.. และให้เค้าได้เข้มแข็งขึ้น ไม่ต้องให้ใครหลอกได้อีก

                   “พี่ซีวอนคิดอะไรอยู่ครับ?” ซีวอนรู้สึกตัว เมื่อร่างบางเอ่ยขึ้น

                   “ปล่าว นายไปเช็คซาวน์ก่อนเถอะ คนเริ่มมาแล้วอีกครึ่งชั่วโมง ขึ้นเวทีได้เลยนะ พี่ไปเปลี่ยนเสื้อก่อน” ซีวอนเอ่ย ก่อนจะหมุนตัวกลับไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชั้นบนของผับ จุนซูใจเต้นตึกตักวันแรกของเค้า อย่างน้อยก็อย่าเพิ่งให้ยูชอนมาปรากฏตัวที่นี่เลย

                   คิมจุนซูเป็นคนที่ร้องเพลงเก่งจนหลายคนชมเปาะ ร่างบางมีความสุขทุกครั้งที่ได้ร้องเพลงให้ใครๆฟัง….

                   โดยเฉพาะร้องให้เค้าฟังปาร์คยูชอน

                   “จุนซูร้องเพลงเป็นด้วยหรอ” ยูชอนหยิบรูปที่วางอยู่บนหัวเตียง ในรูปเป็นจุนซูที่กำลังจับไมค์ร้องเพลงบนเวทีประกวด ร่างบางยิ้มเขินอายสักครู่ก่อนจะกระโดดขึ้นเตียงแล้วชะโงกมองรูปใบนั้นที่อยู่ในมือของร่างสูง

                “ครับ เป็นงานอดิเรกนอกจากเล่นเกมส์กับเตะบอลน่ะ ผมชอบมากเลย”

                “ร้องให้ผมฟังหน่อยสิ..” ยูชอนอ้อน เค้าส่งสายตาเว้าวอนให้จุนซู เมื่อร่างบางทำท่าอิดออด

                “ผมเขินจังเลย….ไม่ร้องได้ไหม” ร่างบางแก้มแดง ก่อนหน้านี้เคยร้องเพลงประกวดให้คนเป็นร้อยฟังไม่ยักอาย แต่ร้องเลพงให้ยูชอนฟังเค้ากลับอายจนทำอะไรไม่ถูก ยูชอนหัวเราะให้กับท่าที่น่ารักนั่น ก่อนที่จุนซูจะตบเข้าที่หัวไหล่ของร่างสูงเป็นการทำโทษที่หัวเราะใส่เค้า

                “ยูชอนน่า!!!” จุนซูยื่นปาก ยูชอนหยุดหัวเราะ ก่อนจะอ้อนให้จุนซูร้องเพลงให้เค้าฟังอีกครั้ง ร่างบางใจอ่อน คนตัวเล็กจะอ้าปากร้อง แต่ก็หลุดขำออกมาก่อน ก่อนจะทำสมาธิอีกครั้ง

     

    The loneliness of nights alone
    ความเหงาของค่ำคืนที่ต้องอยู่คนเดียว

    the search for strength to carry on
    การตามหาความเข้มแข็งเพื่อที่จะดำเนินชีวิตต่อไป

    my every hope has seemed to die
    ความหวังทุกอย่างของฉันดูเหมือนจะตาย

    my eyes had no more tears to cry
    นัยน์ตาของฉันไม่มีน้ำตาที่จะร้องไห้อีกแล้ว

    then like the sun shining up above
    ...แล้วก็เหมือนพระอาทิตย์สาดแสงส่องขึ้น

    you surrounded me with your endless love
    ....คุณ..อยู่รอบกายพร้อมด้วยความรักที่ไม่รู้จบของคุณ...

    Coz all the things I couldn't see are now so clear to me
    เพราะทุกสิ่งที่ฉันไม่เคยเห็น ตอนนี้มันกลับแจ่มชัดสำหรับฉัน...



    You are my everything
    คุณคือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับฉัน

    Nothing your love won't bring
    ไม่มีอะไรที่ความรักของคุณจะนำมาไม่ได้..

    My life is yours alone
    ชีวิตของฉันเป็นของคุณเท่านั้น

    The only love I've ever known
    ฉันรู้จักแค่ความรักครั้งนี้เท่านั้น....

    Your spirit pulls me through
    จิตวิญญาณของคุณดึงฉันขึ้นมา

    When nothing else will do
    ในขณะที่ไม่มิสิ่งอื่นอีกแล้วที่จะทำ(หมายถึง ไม่มีสิ่งอื่นอีกแล้วที่จะดึงฉันมาน่ะค่ะ)

    Every night I pray
    ทุกคืนฉันพร่ำสวดมนต์

    On bended knee
    คุกเข่าลง

    That you will always be
    และที่คุณเป็นเสมอ...คือ

    My everything
    ทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน


    You're the breath of life in me
    คุณคือลมหายใจของชีวิตฉัน

    the only one that sets me free
    เป็นความรักที่ปลดปล่อยฉันให้เป็นอิสระ

    and you have made my soul complete
    คุณเต็มเต็มจิตวิญญาณของฉัน

    for all time (for all time)
    ในทุกเวลา

    You are my everything (you are my everything)
    คุณคือทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน

    Nothing your love won't bring (nothing your love won't bring)
    ไม่มีอะไรที่ความรักของคุณจะนำมาไม่ได้

    My life is yours alone (alone)
    ชีวิตของฉันเป็นของคุณเท่านั้น

    The only love I've ever known
    ฉันรู้จักเพียงแค่ความรักครั้งนี้เท่านั้น...

    Your spirit pulls me through (your spirit pulls me through)
    จิตวิญญาณของคุณดึงฉันมา...

    When nothing else will do (when nothing else will do)
    ในขณะที่ไม่มิสิ่งอื่นอีกแล้วที่จะทำ  (หมายถึง ไม่มีสิ่งอื่นอีกแล้วที่จะดึงฉันมาน่ะค่ะ)

    Every night I pray (I pray)
    ทุกคืนฉันพร่ำสวดมนต์

    On bended knee (on my knee)
    คุกเข่าลง

    That you will always be
    สิ่งนั้นที่คุณเป็นเสมอ..ก็คือ.

    be my everything
    เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน...

    chorus repeats

    [almost spoken:] Every night I pray
    ทุกคืนฉันพร่ำสวดมนต์

    down on bended knee
    คุกเข่าลง

    that you will always be
    สิ่งนั้นที่คุณเป็นเสมอ...ก็คือ

    my everything
    ทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน

    oh my everything
    โอ้....ทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน....

     

                   เสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องดังก้อง จุนซูปาดน้ำตาเร็วๆเพื่อไม่ให้ใครสักเกตุเห็น โดยเฉพาะยูชอนที่นั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของMetal ร่างบางสังเกตเห็น แต่ก็ทำเป็นไม่เห็น ก่อนจะร้องเพลงต่อไปด้วยความตั้งใจ เสียงร้องทรงพลังของร่างเล็กทำเอาคนทั้ง Metal ตะลึง คิดไม่ถึงว่าคนตัวเล็กแบบนี้จะร้องเพลงได้ไพเราะจับใจเช่นนี้ เสียงสูงแหบเล็กน้อยทว่าทรงเสน่ห์จนสะกดทุกคนให้หยุดฟังทำให้วันนี้จุนซูกลายเป็นคนดังของ Metal ชั่วข้ามคืน เพลงถูกขอมาเรื่อยๆ บางครั้งก็มีแก้วไวน์ เหล้า หรือค็อกเทลทยอยส่งให้ร่างบาง คนสั่งก็ต่างเพศต่างอายุคละๆกัน แก้วไหนที่พอดื่มได้ ร่างบางก็จิบเป็นมารยาท แต่ถ้าแก้วไหนแรงเกินไป ร่างบางก็ปฏิเสธทันที

                   “วู้ๆๆๆ สุดยอดดดด!!!” เสียงปรบมือและโห่ร้องครั้งสุดท้ายค่อยๆเบาลงไปเมื่อจุนซูโค้งหนึ่งครั้งแล้วเดินกลับไปยังห้องแต่งตัว ร่างบางใช้กระดาษทิชชู่ซับเหงื่อ ก่อนจะยิ้มให้กับบาร์เทนเดอร์ตามบาร์ต่างๆที่ชูนิ้วโป้งให้เค้าเกรียวกราว ร่างเล็กเขินอายและปิติอย่างบอกไม่ถูก

                   “เก่งมากกกก ตัวเล็ก” ซีวอนยิ้มรออยู่แล้วในห้องแต่งตัว จุนซูกระโดดกอดร่างสูงทันทีที่เห็น

                   “ผมตื่นเต้นแทบบ้าแหน่ะ!! พี่หายไปไหนมา ตอนที่ร้องเพลงผมมองหาพี่ตลอดเลย” จุนซูคลายอ้อมกอด เค้าเงยหน้าคุยกับร่างสูงที่สูงกว่าเค้ามากด้วยรอยยิ้มที่ตื่นเต้นดีใจ

                   “พี่ก็อยู่ข้างๆเวทีตลอดนั่นแหละ คนเยอะ จะมองเห็นได้ยังไงรู้นะ ว่านายร้องเพลงเก่ง แต่ไม่คิดว่าจะเก่งขนาดนี้ ไม่ลองไปออดิชั่นดูล่ะนายเป็นนักร้องได้เลยนะ

                   “แหะๆ ขอบคุณครับ” ซีวอนยิ้ม เค้าลูบหัวจุนซูเหมือนเคยแล้วโอบกอดร่างเล็กเป็นการแสดงความยินดีกับการที่ผลงานวันแรกของเค้าสำเร็จเกินคาด จุนซูฝังหน้าบนอกกว้างและอบอุ่นของซีวอน อุ่นน้อยกว่าของยูชอนนิดหน่อย แต่ก็น่าจะปลอดภัยกว่า??

                   “คุณ!!! เข้าไม่ได้นะ!! อั่ก!!” ประตูเปิดออกดังพลัวะ! ร่างบางสะดุ้ง เมื่อได้เห็นใบหน้าโกรธเกรี้ยวของยูชอนตรงประตูห้องแต่งตัว ผู้เคราะห์ร้ายลงไปนอนกองกับพื้นอย่างน่าสงสาร ซีวอนเองก็ดูจะตกใจไม่น้อย ร่างสูงเดินดุ่มๆเข้ามาผลักซีวอนไปชนเข้ากับโต๊ะเครื่องแป้งจนข้าวของกระจัดกระจายเล็กน้อย เร็วยิ่งกว่าความคิด ยูชอนดึงข้อมือเล็กให้เดินตามไปทันที จุนซูพยายามแกะมือหนาของร่างสูงออก ใบหน้าเว้าวอนให้ซีวอนช่วยเหลือ

                   “ปล่อย!! พี่ซีวอน!! ปล่อยนะ คุณปาร์คยูชอน!! พี่ครับ!!” ซีวอนดึงแขนอีกข้างขอจุนซุไว้ ก่อนจะวางมือบนไหล่ของยูชอนด้วยความสุภาพ ร่างสูงเป็นคนที่ใจเย็นที่สุดในบรรดาเพื่อนทั้งสามคน ซึ่งก็ตรงข้ามกับยูชอนที่ใจร้อนมากที่สุดเช่นกัน

                   “ใจเย็นๆ.. ปล่อยจุนซูก่อน มีอะไร…..” ยูชอนสะบัดไหล่ให้มือของซีวอนหลุดออก ก่อนจะชกเข้าที่แก้มของร่างสูงเต็มๆ ซีวอนกระเด็นด้วยแรงอัดจนล้มลงกับพื้น

                   “นี่!! คุณ!!.... พี่ซีวอนอ๊ะ!” ร่างบางเหวใส่ร่างสูงก็จะพยายามวิ่งไปหาซีวอนที่นั่งปาดเลือดที่ติดตกมุมปากออก แต่ก็โดนมือหนาของร่างสูงดึงรั้งให้ชนกับแผงอกกว้าง

                   “ซีวอน ถึงแกจะเป็นเพื่อน แต่ก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับของๆฉัน!!” ยูชอนแผดเสียง เส้นเลือดที่ปูดโปนบ่งบอกว่าโกรธจัดขนาดไหน จุนซูใช้โอกาสที่ยูชอนเผลอสะบัดมือแล้วนั่งลงข้างๆซีวอน มือเล็กลูบแก้มของซีวอนเบาๆ

                   “แล้วแกมีสิทธิ์อะไร…. มีสิทธิ์อะไรในตัวจุนซู!!!” อารามโกรธ ซีวอนใช้ศอกสะบัดมือของร่างบางก่อนจะดึงคอเสื้อของยูชอน หมัดอีกข้างง้างจนสุด จุนซูวิ่งเข้าไปแทรกระหว่างร่างสูงทั้งสองอย่างรวดเร็วด้วยสัญชาตญาณ ร่างบางยกมือขึ้นป้องใบหน้าตัวเองแล้วหลับตาปี๋ เกือบจะได้เลือดแล้วเชียวแต่เพราะซีวอนหยุดหมัดของตัวเองทัน ทั้งคู่จึงปลอดภัย

                   “จุนซู…..” ซีวอนปล่อยมือจากเสื้อของยูชอน หมัดอีกข้างค่อยๆคลายและลดลงต่ำทันที ร่างเล็กมือสั่น ค่อยๆลืมตาขึ้นและลดมือลงบ้างจนเห็นใบหน้าของซีวอนชัดเจน  ร่างเล็กรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำอะไรลงไป.. เค้าทำผิดพลาดอีกแล้ว ที่แสดงตัวปกป้องยูชอนอีกครั้ง ร่างสูงเจ้าปัญหายิ้มมุมปาก ก่อนจะดึงแขนให้ร่างบางตามไป คราวนี้จุนซูตามยูชอนไปแต่โดยดี เค้าหันมาทำปากขมุบขมิบกับซีวอนก่อนจะจากไปเล็กน้อย ร่างสูงจับใจความได้แค่ว่า..

                   “ไม่เป็นไรฮะ เดี๋ยวผมจะโทรหานะ” ……..

     

                   ซีวอนรู้สึกเป็นห่วงน้องชายจับใจ…..

                   ------------------------------

                   ----------              

     

     

                   สวรรค์?.... หรือนรก?.....

                   เพดาน….อึ๊!….แสบตา….

                   หลอดไฟ?.... สายน้ำเกลือ?....อ่อ…. คงเป็นโรงพยาบาลสินะ…..

                   “คุณหมอคะ! คุณจองฟื้นแล้วค่ะ” ผู้หญิงที่ใส่ชุดสีขาวสะอาดตาที่เค้าเดาว่าเป็นพยาบาลเอ่ยเรียกชายชราท่าทางใจดีที่ใส่เสื้อคลุมสีขาวสะอาดสะอ้านเช่นกัน ชายคนนั้นใช้ไฟฉายเล็กๆส่องตาของเค้าทั้งสองข้างก่อนจะยิ้มด้วยความยินดี

                   “คุณชื่ออะไรครับ? อายุเท่าไหร่?”

                   “จองยุนโฮ….อายุ สามสิบเอ็ดปี….” ยุนโฮกรอกตาไปมา สักพักความเจ็บที่ไหล่ก็แล่นขึ้นหัว ร่างสูงนิ่วหน้าเล็กน้อย

                   “สติสัมปชัญญะ ครบถ้วน..” หมอชราเอ่ย นางพยาบาลจดข้อมูลยิกๆ ก่อนจะเดินออกไป

                   “ไม่ต้องห่วงนะครับ เราเอากระสุนออกแล้วโชคดีที่ไม่โดนเส้นเลือดที่สำคัญ ถากไปแต่นิดเดียว.. ไม่งั้นคุณอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว ดีใจด้วยนะครับแล้วคุณก็ต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลดูอาการสักสองสามอาทิตย์นะครับ ช่วงนี้อย่าลุกไปไหนถ้าไม่จำเป็นนะครับ แผลที่เพิ่งเย็บจะปริออกได้ง่าย”

                   “ผมผมหลับไปนานเท่าไหร่?” ยุนโฮเอ่ย ตอนนี้เค้าคิดถึงแค่ใครบางคนเท่านั้น

                   “อืมมมเป็นเรื่องที่น่าตกใจนะครับ ที่คุณฟื้นเร็วกว่าคนปรกติ คุณหลับไปแค่สองสามวันเองนะครับ” ยุนโฮตาเบิกโพล่ง ก็จะรีบลุกขึ้นมาด้วยความลืมตัว

                   “อ๊า! โอ้ยยย”

                   “คุณ!! อย่าเพิ่งลุกสิครับ” หมอชราได้แต่ดันตัวร่างสูงให้นอนลงเหมือนเดิม ยุนโฮแสร้งทำเป็นใจเย็น เค้ายิ้มให้เบาๆก่อนจะนอนลงไปเหมือนเดิม

                   แจจุงจะเป็นยังไงบ้างนะ…..

                   “ไว้หมอจะมาดูอาการอีกทีนึงนะครับ พักผ่อนเยอะๆ มีอะไรก็กดกริ่งเรียกได้นะครับ อ้อ!... คุณนายจองกับคู่หมั้นของคุณเพิ่งกลับไปเปลี่ยนเสื้อ คืนนี้พวกเค้าคงกลับมานอนเฝ้าคุณเหมือนเดิม” คุณหมอยิ้มใจดี ก่อนจะเดินออกไปเงียบๆ ปล่อยให้ยุนโฮนอนเอามือกุมหัวด้วยความกังวลใจจนนอนไม่หลับ

                   --------------------------------

                   -------------------

     

                   ---------

                   “ฮือออออๆๆๆ ยุนโฮฮฮฮฮฮ รู้ไหมว่าเฮริมแทบจะช็อคตายให้ได้เลยค่ะที่ได้รู้เรื่องนี้ ฮือๆๆๆๆ คิมแจจุงนี่มันร้ายจริงๆนะคะ!!” เฮริมเช็ดน้ำตาทั้งๆที่ไม่มีน้ำใดๆไหลมาจากดวงตาที่เต็มไปด้วยอายไลน์เนอร์และอายชาโดว์หนาเตอะของเธอเลยสักนิด ยุนโฮถอนหายใจ

                   “ผมบอกแล้วไง ว่าเป็นคนนอก ไม่ใช่แจจุง เด็กคนนั้นไปเรียนต่อที่อเมริกานานแล้ว” ยุนโฮโกหกอีกครั้ง ทว่าเฮริมกลับมั่นใจว่าเป็นคิมแจจุง เพราะเธอเป็นคนเรียกความทรงจำของแจจุงกลับมาด้วยตัวหล่อนเองกับมือ คุณนายจองได้แต่พยักหน้าตามลูกสะใภ้ของเธอ

                   “ค่ะๆแต่คุณยุนโฮปลอดภัย เฮริมก็หายห่วง รู้ไหมคะยุนโฮ!... ฉันน่ะ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ตั้งแต่ที่ทราบข่าวเมื่อวันก่อน ฉันเป็นห่วงคุณมากเลยนะคะ!!” เฮริมยังคงทำตัวเสแสร้งจนน่าหมันไส้

                   “อ่าว ไหนคุณแม่บอกว่าเพิ่งไปทานฟัวการ์ที่เชฟใหม่จากโรงแรมของผมกับยูชอนทำให้ทานเมื่อวานนี้กับจางเฮริมไม่ใช่หรอครับ?” ยุนโฮกล่าวด้วยความเบื่อหน่ายกับคำโกหกของหญิงสาว จางเฮริมสะดุ้ง เธอหันไปมองว่าที่แม่ยายที่ยิ้มแห้งๆด้วยความเสียหน้า

                   “ยุนโฮก็…. แม่บังคับน้องเองล่ะจ่ะก็เฮริมของเราไม่ทานอะไรเลย เดี๋ยวจะเป็นลมล้มพับไปอีกคนแล้วใครจะดูแลลูกล่ะจ๊ะ!” เฮริมหันมาพยักหน้าหงึกหงักใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาต่อ ยุนโฮถอนหายใจ ก่อนจะพลิกตัวนอนด้วยความเบื่อหน่าย

                   ให้มันได้แบบนี้สิคุณนายจอง

                   คราวหลังก็นัดกันมาให้เนียนหน่อยนะ จะได้ไม่ต้องลำบากมาแก้ต่างกัน…..= =

                   ----------------------------------

                   ---------------

     

                   ----

                   ดึกแล้ว ยุนโฮไล่สองแม่ลูกที่พยายามเว้าวอนให้ทั้งคู่ได้นอนเฝ้ายุนโฮเหมือนกับคืนที่ผ่านๆมา (ทั้งสองคนบอกยุนโฮมาแบบนี้) ร่างสูงเกาหัวแรงๆด้วยความเอือม ด้วยความใจเย็น เค้าขอให้ทั้งคู่กลับไปนอนที่บ้าน เพื่อเค้าจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ยุนโฮหยิบถุงกระดาษที่แจจุงทำหล่นไว้เมื่อครั้งที่ถูกทำร้ายมาวางไว้ที่หน้าตัก เค้าเองขอร้องให้คุณนายจองเอามันมาให้ เพราะหลังจากที่ตำรวจเอามันมาคืนเค้า เค้าเองก็ไม่ได้แกะดูเลยเนื่องจากไม่อยากเสียมารยาทแต่ตอนนี้มันจะมีประโยชน์อะไร กับแจจุงที่ลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับเค้า แถมยังหนีหายไปในตอนนี้ เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้

                   ยุนโฮแกะถุงกระดาษที่แปะด้วยสก๊อตเทปอย่างดีออก มือล้วงเข้าไปหยิบกล่องทรงสี่เหลี่ยมกับกระดาษสีสันสดใสแผ่นพอดีมืออกมา มือเรียวยาวแกะกล่องเล็กๆนั้นออกดู

                   เป็นนาฬิกาเรือนสวยมียี่ห้อ ซึ่งเค้าคิดว่าแพงพอดู ทว่ามีรอยร้าวบนหน้าปัดตั้งแต่เลขสิบยาวไปถึงเลขสาม ยุนโฮหยิบมันขึ้นมาตรวจสอบเล็กน้อย มีแต่รอยร้าวบนหน้าปัด

                   แต่เข็มนาฬิกายังเดินอยู่…….

                   ยุนโฮถอนหายใจด้วยความโล่งใจที่ของที่แจจุงตั้งใจซื้อไว้ มีร่องรอยความเสียหายเพียงนิดเดียว ยุนโฮหยิบกระดาษขึ้นมาคลี่ดูด้วยความสงสัยว่าแจจุงจะมอบมันให้ใคร

     

                   Happy Birth Day ครับ!! คุณยุนโฮ!^^

                ผมตื่นเต้นจังเลย ที่จะได้เอาเงินที่เก็บมาเกือบสามเดือนซื้อมันให้คุณยุนโฮ มันสวยและเหมาะกับคุณยุนโฮมากเลยนะครับ!...

    วันนี้เป็นวันเกิดของคุณยุนโฮ เป็นวันที่มีค่าที่สุดสำหรับคุณยุนโฮและผม เพราะเป็นวันที่พระเจ้าส่งสิ่งที่มีค่าที่สุดให้ผม ขอบคุณครับคุณยุนโฮ.. ขอบคุณที่เกิดมาขอบคุณที่รักผมไม่ว่าอดีตของผมจะเป็นยังไงมันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของผม ที่บอกว่า รักคุณยุนโฮได้เลยครับ

                คุณยุนโฮ ขอให้คุณยุนโฮมีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรงแล้วก็ยิ้มเยอะๆนะครับผมชอบรอยยิ้มของคุณยุนโฮที่สุดเลย

     

                รักจองยุนโฮ,,

                   คิมแจจุง

     

                มันยากเหลือเกินที่จะห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้ในตอนนี้ ยุนโฮกำกระดาษผ่านนั้นแน่นจนเกือบจะยับยู่ยี่ ใบหน้าที่อ่อนล้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด ทั้งร่างกายและจิตใจ เค้าหลอกตัวเองไม่ได้ว่าเจ็บปวดเหลือเกินที่ได้เห็นว่าคนที่ถือปืนในตอนนั้นคือแจจุง ร่างสูงแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าเด็กที่คิดว่าตัวเองอายุสิบสองจะทำเช่นนั้นได้ และยากที่จะเชื่อว่าคนที่รักเค้าด้วยใจจริงแบบนี้จะลืมเค้า ลืมทุกอย่าง ลืมหมดแล้วว่าเค้าเคยห่วงใยร่างบางมากแค่ไหน

                   แต่นั่นเป็นสิ่งที่ยุนโฮต้องยอมรับ….

                   เรื่องนี้น่าจะเกิดตั้งแต่เมื่อหกปีที่แล้วแล้ว ถ้าคิมแจจุงไม่สูญเสียความทรงจำเสียก่อน……

                   เค้าก็แค่ซื้อเวลาจากพระเจ้า ซื้อเวลาหกปีนั้น ให้เค้าได้มีความสุขกับการอยู่กับร่างบางที่ไร้ซึ่งความเคียดแค้น

                   แล้วตอนนี้แจจุงจะเป็นยังไงบ้างนะ เงินแค่นั้นจะพอหรือเปล่า จากกระเป๋าของเค้าที่ถูกแจจุงเอาไปทั้งหมดนั้นแค่สองแสนวอนเอง จะพอหรอ? ตอนนี้ร่างบางของเค้าจะเป็นยังไงบ้างได้ทานอะไรดีๆไหม?....

                   ยุนโฮรอให้ตัวเองหายดีไม่ไหวแล้วเค้าดึงสายน้ำเกลือออกจนเลือดซึมออกจากข้อพับแขนของเค้า นาฬิกาที่มีรอยร้าวถูกสวมใส่อย่างรวดเร็ว เค้าหยิบกระเป๋าเงินและกุญแจรถก่อนจะเดินออกจากห้องอย่างระมัดระวังว่าจะมีใครเห็น ยุนโฮปีนหน้าต่างชั้นแรกขอองโรงพยาบาลที่ล็อกจากด้านในออก

                   มีคนมา….

                   ร่างสูงรีบลงไปนอนบนพื้นหญ้า ทำตัวให้ชิดกับกำแพงให้มากที่สุดนางพยาบาลเดินมาปิดหน้าต่างที่เปิดอ้าไว้

                   “จีฮโยนี่นะ! ลืมปิดหน้าต่างอีกแล้วคราวนี้เธอโดนหัวหน้าเฉ่งอีกรอบแน่ๆ!” หญิงสาวบ่น ก่อนจะเดินออกไปเงียบๆ ยุนโฮนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด เค้ากุมแผลตรงบ่าที่มีเลือดซึมเล็กน้อยไว้แน่น

                   เมื่อกี้คงจะล้มลงนอนเร็วไปหน่อย….. เหงื่อซึมออกทุกรูขุมขน แต่ร่างสูงก็พยายามลุกขึ้นเดิน เค้าเดินออกจากโรงพยาบาลโดยที่ไม่มีใครเห็น แน่นอน.. ในเวลาตีสี่แบบนี้คงไม่มีใครนอกจากรถบางคันที่นานๆจะแล่นผ่านมา และคนที่ทำงานเวลากลางคืนเท่านั้น คนเริ่มมองเค้ามากขึ้นเมื่อเค้ายังเดินเท้าเปล่า แถมยังใส่ชุดของโรงพยาบาลเดินถนนราวกับคนบ้าก็ไม่ปาน ยุนโฮคลี่กระเป๋าที่ไม่มีแม้แต่ธนบัตรแม้แต่ใบเดียวออก ก่อนจะหยิบบัตรมากดเงินออกมาให้พอใช้ เค้าจัดการซื้อเสื้อผ้าและกางเกงจากร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมงแถวๆนั้น ยุนโฮทำเป็นไม่สนใจสายตาที่แคชเชียร์มองเค้าแปลกๆ ร่างสูงรีบเอาชุดไปเปลี่ยนในห้องน้ำสาธรณะ ก่อนที่จะโบกแท็กซี่ให้ไปส่งที่บ้านของเค้า

                   “คุณยุนโฮ!!! ทำไม!!

                   “ชี่!!!!” ยุนโฮใช้มือปิดปากพ่อบ้านซอ ก่อนจะเอานิ้วชี้แนบริมฝีปากให้ชายชราเงียบลง

                   “ผมมีธุระด่วนช่วยบอกแม่ว่าผมหายดีแล้วและไปดูงานที่ต่างประเทศ..แล้วอย่าบอกให้ใครรู้ว่าคืนนี้ผมมาที่นี่และเอารถไปด้วย”

                   “แต่…..

                   “อย่าถามอะไรทั้งนั้น…. ไว้ผมพร้อมตอบเมื่อไหร่ผมจะบอกคุณเป็นคนแรกเลยแต่ตอนนี้ทำตามที่ผมบอกก่อนนะ ได้โปรด” ยุนโฮขอร้อง ชายชราจึงพยักหน้า ยุนโฮกวักมือไล่ให้เค้ากลับเข้าไปในบ้าน ก่อนที่ตัวเองจะแอบเดินเข้าไปในห้องของตัวเองเพื่อเอาของที่จำเป็นมาให้มาที่สุดร่างสูงกระโดดขึ้นรถอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะขับรถออกไปจากบ้านทันที

                   แน่นอนว่าคิมแจจุงจะต้องกลับไปที่บ้านเก่าของเค้าที่ชานเมืองที่ติดทะเลนั่น…..

                   เด็กบ้าเอ๊ย!... บอกแล้วไงว่าบ้านถูกรื้อจนเหลือแต่โครง…..

                   ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ

                   ------------------------------------

                   --------------

     

                   -----

                   แจจุงรู้สึกเหมือนเพิ่งตื่นจากการหลับเต็มอิ่ม หลังจากที่นั่งอยู่บนรถไฟอยู่นาน ร่างบางขยับแว่นกันแดดให้ชิดจมูกขึ้นอีก เมื่อมีคนมองเค้าด้วยท่าทีแปลกๆ ก่อนที่จะเดินออกไป แจจุงสำรวจตัวเองที่ดูมอมแมมและแต่งตัวมิดชิด ทั้งใส่หมวก แว่นกันแดด และกระเป๋าพะรุงพะรังราวกับคนพเนจร ก็คงไม่แปลกเท่าไหร่นักที่จะถูกมองด้วยความสงสัย คนออกจากรถไฟกันเกือบหมดแล้ว แจจุงลุกขึ้นเดินออกจากโบกี้นั้นก่อนจะยืดเส้นยืดสาย เป็นเวลาเกือบสี่ชั่วโมงหลังจากที่เค้ากระโดดออกมาจากรถขนของคันนั้นแล้วขึ้นรถไฟมายังบ้านเกิด

                   ร่างบางได้กลิ่นคล้ายเกลือทะเลลอยมาติดจมูก ตอนนี้เกือบเย็นแล้วและฝนทำท่าจะตก จากนี่ไปที่บ้านจะต้องขึ้นรถไปอีกต่อหนึ่ง แจจุงจำได้ ไม่รอช้า ร่างบางหยิบกระเป๋าขึ้นแบกดังเดิม ก่อนจะโบกรถสองแถวขึ้นไปด้วยความชื้นใจว่าจะได้กลับบ้าน

                   เนินสูงเป็นทิวทัศน์เดิมที่แจจุงคิดถึง เดินขึ้นไปทางขวามือจะเจอบ้านของเค้า แจจุงปาดเหงื่อ อากาศร้อนชื้นจนรู้สึกไม่สบายตัว เค้าเดินขึ้นไปพร้อมกับมองสถานที่ที่คุ้นเคยที่เปลี่ยนไปมาก

                   แปลก

                   บ้านของคุณยายซุกจาไม่อยู่แล้ว บ้านฝั่งนู้นของ จินยองฮยองก็เหลือแต่ซาก ไหนจะบ้านหลังนั้นที่แม่ของเค้ามักจะทะเลาะด้วยบ่อยๆก็หายไป เรียกว่าหมู่บ้านนี้เกือบร้างเลยก็ว่าได้ แจจุงเริ่มรู้สึกไม่ดี ร่างบางเดินต่อไปจนถึงที่ที่คิดว่าเป็น “บ้าน” ของตัวเอง

                   บ้านยังอยู่ แต่โทรมมากเหลือเกิน ระเบียงหน้าบ้านหักเป็นซี่ๆ ฝุ่นจับหนาเตอะ ข้างในไม่มีอะไรนอกจากเศษฝุ่นและเศษผ้าไหม้ๆสามสี่ผืนใหญ่ๆซึ่งเค้าคิดว่าน่าจะเคยเป็นผ้าปูที่นอนมาก่อน แจจุงเดินเข้าไปในห้องครัว ก็ไม่มีอะไรเลยเช่นกัน มีแต่พื้นที่ผุๆ เวลาที่เดินก็จะได้ยินเสียงแอ๊ดๆตลอดเวลา ร่างบางคิดอยู่แล้วว่าอาจจะเจอสภาพนี้หลังจากที่ยุนโฮเคยบอกเค้าว่าบ้านถูกรื้อแล้ว

                   เค้าก็แค่คิดว่ายุนโฮอาจจะโกหกก็ได้….

                   แต่ความจริงอยู่ตรงหน้า……

                   ทุกอย่างยากเกินจะรับได้เมื่อเค้าตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างเปลี่ยนไปทั้งหมดแบบนี้….

                   แจจุงเหลือบไปเห็นรูปที่ติดผนัง เป็นรูปของชายหญิงวัยกลางคน กับลูกชายตัวเล็กๆคนหนึ่ง

                   พ่อแม่….และเค้าเอง…..

                   “ฮือ….ฮึก…….ฮืออออ” แจจุงหยิบรูปที่เปื้อนฝุ่นหนาเตอะมากอดไว้แน่น ร่างบางวางกระเป๋าไว้ก่อนจะเดินออกจากบ้านพร้อมรูปนั้น แรงที่เหลือเพียงน้อยนิดใช้ไปกับการร้องไห้และการเดินสะเปะสะปะตามที่ยุนโฮบอกว่าหลุทฝังศพอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่นัก แจจุงเดาว่าเป็นเนินเขาหลังบ้าน ฝนเริ่มลงเม็ดเบาๆแต่แจจุงก็ยังไม่ยอมไปไหน ร่างบางยืนร้องไห้ตัวสั่นเทิ้มต่อหน้าป้านศพของบุคคลที่เป็นที่รักยิ่ง

                   “พ่อครับ…..แม่ครับ…..ผมขอโทษที่ผมมาช้า….ฮึก….ผมขอโทษครับฮืออออ” แจจุงทรุดตัวลงนั่ง ก่อนจะคำนับศพ ทีละป้าย

                   นานทีเดียวกว่าที่แจจุงจะยอมออกมาจากหลุมศพของพ่อกับแม่ของเค้า ตัวเปียกเล็กน้อยแต่ไม่นานก็แห้ง ร่างบางได้แต่ปูผ้าแล้วนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ในบ้านที่กว้างเพราะไม่มีอะไรสักอย่าง แถมยังมีฝุ่นจับหนาเตอะ ความจริงจะออกไปหาโรงแรมเล็กๆแถวนี้ก็ได้ แต่แจจุงไม่อยากไปไหนในตอนนี้ แถมฝนที่เริ่มตกหนักข้างนอกนั่นยังทำให้เค้าไม่อยากตัวเปียกปอนออกไป

                   “อ้า!!! โชคดีจริงที่มีบ้านร้างแถวนี้!” เสียงของชายวัยประมาณสามสิบกว่า เห็นจะได้ดังขึ้น แจจุงสะดุ้งตื่น มือทั้งสองกอดกระเป๋าแน่นเมื่อเห็นชายสองคนเดินเข้ามาในบ้านของเค้าเพื่อหลบฝน

                   “เอ๋! มีโคนอยู่เว้ยยยย” ชายอีกคนที่เดินเซไปมาเอ่ย ท่าทางที่เหมือนดื่มมาอย่างมาก เค้าเดินมานั่งมองหน้าแจจุงที่นั่งหลบมุมอยู่ ทำเอาร่างบางยิ่งถดตัวให้ชิดกับผนังมากขึ้น

                   “เฮ้ยยยย!! ผู้หญิงหรือผู้ชายว่ะ” ชายร่างท้วมเอ่ยถาม ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆ

                   “ผู้หญิงโว้ยยยยยย หวานล่ะงานนี้!” ชายขี้เมาเอ่ยเมื่อเห็นใบหน้าของแจจุงชัดๆ ร่างบางส่ายหน้า

                   “ผมเป็นผู้ชาย!

    “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ” ชายทั้งสองคนมองหน้า ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน ดูพวกเค้าจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แจจุงกระชับกระเป๋าแน่นขึ้น

    “หน้าหวานแบบเนี่ยะ ใครจะเชื่อ! เอ๊ะ! แต่แต่งตัวอย่างกับผู้ชาย เป็นทอมหรอเราน่ะ! ฮ่าๆๆๆ” แจจุงลุกขึ้นเมื่อรู้สึกไม่ดีมากขึ้น ท่าทางหยาบคายและกลิ่นเหม็นเหล้าทำเอาแจจุงอยากอ้วกเสียให้ได้ ร่างบางเตรียมวิ่ง แต่ก็ถูกดึงแขนไว้เสียก่อน

    “เอาน่าน้องสาวแป๊ปเดียว! เดี๋ยวก็มีความสุข รับรอง หายเหงาน้า ฮี่ๆๆๆๆ”

    “ปล่อยนะ!! ไอ้บ้า! โรคจิต!” แจจุงสะบัดแขนด้วยความรังเกียจ มืออีกข้างทั้งจิกทั้งตี แต่ก็ถูกชายร่างท้วมกอดแจจุงไว้จากด้านหลัง ใบหน้าอ้วนท้วมเหม็นกลิ่นเหล้าก้มลงสูดความหอมจากซอกคอขาวจนเต็มปอด

    “อึ้!!! อย่านะ ไอ้บ้ากาม ไอ้!!...” แจจุงร้องออกมาด้วยความขยะแขยง

    “ฮ้า!!! ผู้ชายอะไรจะหอมขนาดนี้ว่ะ เฮ้ย แต่มันเป็นผู้ชายจริงๆว่ะ นมไม่มีเว้ย!” ชายร่างท้วมก้มลงมองจากซอกคอของแจจุง ส่วนชายขี้เมาก็ได้แต่หัวเราะก่อนจะเอามือตะปบเข้าที่หน้าอกของแจจุงเต็มๆ

    !!!!!!” แจจุงสะดุ้ง

    “เฮ้ย!!! จริงด้วยว่ะ แต่ม่ายเป็นไรโว้ยยยย แม่งสวยขนาดนี้” ชายขี้เมาเอามือจับคางของร่างบาง แจจุงได้ที กระโดดเตะเข้าที่ท้องของชายขี้เมาจนกระเด็น ร่างบางพยายามดิ้น แต่ก็สู้แรงควายของชายร่างท้วมไม่ไหว

    “ไอ้นี่นี่!!!!!  เพี๊ยะ!!

    “อ๊า!! อ่อก!!” แจจุงโดนตบจนหน้าหัน และต่อด้วยหมัดที่ต่อยเข้าที่ท้องของเค้าจนแจจุงทรุดตัวลงไปนอนกับพื้น ชายร่างท้วมทำท่าจะถอดกางเกงเค้าตรงไปยังขาของร่างบางที่วางพาดอยู่บนพื้น แต่ก็ถูกชายขี้เมาดันไว้

    “กูก่อนๆ กูเจอก่อนโว้ยยยยยย” ชายร่างท้วมจิ๊ปาก ก่อนจะทำหน้าที่ล็อคแขนของร่างบางไว้ แจจุงพยายามหนี แต่แรงที่เหลือมีน้อยเหลือเกิน ร่างบางได้แต่ขยับตัวเล็กน้อยเป็นการขัดขืนเท่านั้น

    “ม่ายยยยยย!!!!!!” แจจุงร้องเมื่อชายขี้เมาซุกไซร้ซอกคอขาว ก่อนจะเอามือดึงทึ้งเสื้อยืดจนขาดติดมือ สัมผัสหยาบคายลูบไล้ไปทั่วร่าง แจจุงร้องไห้จนคอแห้ง

    “ไอ้นี่มันขาวไปทั้งตัวเลยเว้ยยย!” ชายร่างท้วมอุทานหลังจากที่ได้เห็นผิวขาวเนียนปรากฏต่อสายตา ชายขี้เมาเริ่มแกะกางเกงของเค้าออก แจจุงดิ้นแรงกว่าเดิม คนที่เค้านึกถึงตอนนี้กลับไม่ใช่พ่อหรือแม่ แต่เป็น,…

    ยุนโฮ……

    “ยุนโฮ!!!! ช่วยด้วยยยยยยย!!!! ร่างบางหลับตาปี๋พร้อมตะโกนลั่น

    “อั๊ก!!!!” ชายขี้เมาล้มฟุบมาทาบทับร่างบาง หลังจากถูกใครบางคนใช้ไม้ตีเข้าที่หัวจนสลบคาอกของแจจุง

    “เฮ้ย!! มึงเป็นใครว่ะ!!! อั่ก!!!” ชายร่างท้วนหงายหลัง เค้าถูกไม้หน้าสามเสยเข้าที่ใบหน้าเต็มๆ แจจุงดันร่างของชายขี้เมาที่สลบเหมือดออก ยุนโฮทิ้งไม้หน้าสามก่อนจะเข้าไปกอดร่างบางไว้แน่น แจจุงซบลงบนอกแกร่งของร่างบางแล้วกอดเค้าแน่นเช่นกัน

    “ฮืออออออออออออออออออ!!!!!!!” เสียงร้องดังลั่น ยุนโฮได้แต่เอามือลูบหลังกับหัวของร่างบางเป็นการปลอบ เค้ามาได้ทันเวลาเหลือเกิน ขอบคุณพระเจ้าอย่างน้อยท่านก็เมตตาเราอยู่บ้าง

    “โอ๋ๆ….แจจุง ไม่เป็นไรแล้วนะ…. ฉันอยู่นี่….ยุนโฮอยู่นี่นะ”

    “ฮืออออออๆๆ ฮือออออ ยุนโฮ!!” เสียงอู้อี้แต่ยุนโฮกลับได้ยินชัดเจน

    “มึง!!!” ชายร่างท้วมที่ถูกตีจนเลือดสาดลุกขึ้นมาหยิบไม้ เค้าง้างมือขึ้นสูง ยุนโฮหันให้หลังป้องตัวของแจจุงไว้ ไม้หน้าสามตีเข้าไหล่จากด้านหลังเข้าอย่างจัง

    “อั่ก!!!!” ยุนโฮครางในคอ ก่อนจะปล่อยร่างบางแล้วเตะเข้าที่ท้องชายร่างท้วมจนหงายหลัง เค้าแย่งไม้มาได้อีกครั้งแล้วตีเข้าที่หัวของชายคนนั้นเข้าจนสลบ ร่างบางเอามือปิดปากเมื่อยุนโฮทรุดลงนั่ง ร่างสูงเอามือกำแผลที่ถูกยิงไว้แน่น เลือดที่เคยซึมอยู่แล้ว คราวนี้ไหลเปรอะเปื้อนไปทั่วไหปลาร้า แจจุงตรงรี่เข้าไปดูมือเล็กแกะเอามือของร่างสูงออก และดึงผ้าก๊อตที่พันไหลของร่างสูงเอาไว้ออกจนหมด

    แผลที่ผ่าตัดเปิดออกมา ความยาวประมาณครึ่งคืบได้…..

    “คุณ คุณ!... แผลคุณ!” ยุนโฮนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ เค้าส่ายหัวแล้วยิ้มบางๆให้แจจุงเป็นการบอกว่าไม่เป็นไร แต่ตอนนี้หน้าของเค้าซีดลงมากจนแจจุงกลัวว่าเลือดของยุนโฮจะหมดตัว ร่างบางทำอะไรไม่ถูก มือของเค้าเองก็เปื้อนเลือดของยุนโฮเหมือนกัน มือสั่นเทาและน้ำตายังไหลริน แม้ยุนโฮจะพยายามทำหน้าว่าไม่เป็นไรก็ตาม

    “ทะทำไงดี! เลือด!!

    “พา พาไปที่รถที” ยุนโฮเอ่ยด้วยความเหนื่อยล้า ปากหนาเริ่มมีสีซีดอย่างเห็นได้ชัด รถที่จอดอยู่ก็ต้องเดินไปตรงปากซอยซึ่งไกลอยู่ไม่ใช่น้อย แต่แจจุงกลับรู้สึกว่ามันดีกว่า เพราะมันไกลจากบ้านของเค้าซึ่งมีชายสองคนนั้นนอนสลบอยู่

    ฝนไม่เป็นใจเลย ทำเอาทั้งคู่เปียกปอนไปหมด แจจุงพยุงให้ยุนโฮขึ้นรถอย่างลำบาก เพราะร่างสูงตัวใหญ่กว่าเค้ามากรถที่ยุนโฮเอามาเป็นรถแคปที่ใหญ่พอควร เพราะยุนโฮคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าควรเอารถที่บรรจุสิ่งของไว้มากๆเผื่อแจจุงต้องการอะไร แจจุงวางร่างสูงให้นอนบนหลังรถร่างบางปิดท้ายรถแล้วเอาตัวเองเข้ามา ก่อนจะเอาของที่เกะกะทั้งหมดโยนไปไว้ตรงเบาะคนนั่ง ร่างบางคุ้ยหาของที่คิดว่าน่าจะช่วยชีวิตของยุนโฮได้ ณ ตอนนี้ภายในกล่องมากมายในรถของยุนโฮ

                   ช่วยหรอ?....

                   ก่อนหน้านี้แจจุงคิดจะฆ่าเค้าแต่ตอนนี้เค้ากลับกำลังจะช่วยชีวิตยุนโฮ…. แจจุงนิ่งไปสักพักจนยุนโฮสังเกตุเห็นและจับสีหน้าของร่างบางได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่…….

                   “แจจุง….” ยุนโฮเอ่ยด้วยความยากลำบาก ร่างบางสะดุ้งก่อนจะหันมามอง

                   “ปล่อย ฉันไว้แบบนี้..ก็ได้นะ” ยุนโฮหายใจหอบหนักขึ้น ตาเริ่มเหม่อลอย แต่ทว่าสติยังครบสมบูรณ์

                   …..ปล่อยทิ้งไว้” แจจุงทวนคำพูดด้วยอาการเหม่อลอยเช่นกัน ยุนโฮหลับตา เค้าพยักหน้าช้าๆ เสียงเงียบอีกครั้งจนได้ยินเสียงฝนที่ตกหนักอยู่ข้างนอกรถชัดเจน แจจุงสับสน

                   ตอนนี้เราควรทำยังไง….

                   คนที่เราจะฆ่าคนนี้….. เป็นคนที่ช่วยเรา และปกป้องเรามาตลอด….

                   ----------------------------

                   ----------------------------------------------------------

                   --------------

                   เอาแบบนี้แล้วกัน……..

                   ทำตามที่ใจสั่งแล้วกัน…….


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×