ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จุดหมายปลายฝัน

    ลำดับตอนที่ #9 : ก่อนถึงวันประกาศผล

    • อัปเดตล่าสุด 11 มิ.ย. 47






        “นี่เราจะไม่มาเยี่ยมไอ้ชา อย่างที่มันขอจริง ๆ เหรอ?” อรรณพเริ่มถามปลายกับสา หลังจากที่ลงมาจากสถานีตำรวจแล้ว



        “ไม่รู้สิ...แต่รับปากรชาไปแล้วนี่นา” ปลายหันไปตอบอรรณพ



        “จะว่าไปแล้วนะ ฉันเองก็ไม่แน่ใจหรอกว่าพ่อจะช่วยรชาได้หรือเปล่า” สารำพึง อรรณพหันไปตบไหล่สาเบา ๆ แล้วพูดปลอบใจ



        “อย่าคิดมากน่าสา ลำพังแค่เราสามคนคงไม่มีกำลังทำอะไรได้มากไปกว่านี้หรอก”



        “เรื่องจะเป็นยังไงต่อไปล่ะ” ปลายถามอรรณพบ้าง อรรณพใช้ความคิด



        “อืม ไอ้ชาเพิ่งอายุ 17 คงขึ้นศาลเด็กและเยาวชน” อรรณพสรุป



        “แล้วหลังจากนั้นล่ะ” สารีบถามต่อ อรรณพตอบสั้น ๆ



        “ไม่รู้สิ”



        ในเวลานี้ คงไม่มีคำตอบใดที่จะตอบได้นอกจากคำว่า ไม่รู้สิ อนาคตของรชาจะเป็นอย่างไร ใครเล่าจะตอบได้...



        ปลายย้อนกลับไปที่สถาบันอีกครั้ง จากที่ช่วงเช้าที่ลานประกาศผลสอบเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่มาดูผลสอบ จนบัดนี้ล่วงเลยมาเวลาเย็นแล้ว มีคนมาดูผลสอบอยู่ไม่กี่คน ปลายตรงไปที่บอร์ดประกาศผลสอบเข้าแผนกวิชาการบัญชี ค่อย ๆ กวาดสายตาผ่านรายชื่อลงมาเรื่อย ๆ จนหยุดอยู่ที่ชื่อ ๆ หนึ่ง



        “0710351   นายรชา พาณิชย์พงศ์



        ปลายถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม นึกถึงคำพูดของรชา



        “อนาคตของเรา จะเป็นนายแบงก์”



        ...ปลายส่ายหัวอย่างเสียไม่ได้ ไม่น่าเลยรชา ความฝันของนายกำลังจะเป็นจริงแล้วแท้ ๆ



        ปลายนั่งอยู่ที่เก้าอี้หินขัดบริเวณนั้นอยู่นาน นั่งคิดถึงเรื่องของรชา ทำไมอารมณ์ชั่ววูบของคน ๆ หนึ่ง เปลี่ยนแปลงอะไร ๆ ได้มากมายขนาดนี้ เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง เปลี่ยนแปลงชีวิตของน้องสาว รุจาจะเป็นอย่างไรต่อไป ถ้าต้องอยู่กับลุงและป้าโดยที่ไม่มีรชาอยู่ข้าง ๆ เปลี่ยนแปลงชีวิตของเพื่อน ๆ เมื่อไม่มีนายรชาจอมเกเรประจำกลุ่ม นี่เราไม่มีกำลังพอที่จะช่วยรชาได้เลยหรือ? ปลายร่ำร้องถามตัวเองอยู่ในใจ







        กว่าปลายกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่า ท่ามกลางความสงสัยของแม่และปิ่น ว่าไปดูผลสอบถึงที่ไหนถึงได้กลับมาเอาป่านนี้



        “เมื่อกี้ นิดโทรมาแน่ะ” ปิ่นบอกกับปลาย ก่อนที่ปลายจะขึ้นไปชั้นบน



        “อืม...” ปลายรับคำสั้น ๆ ทำท่าจะเดินไป ปิ่นต้องดึงตัวเอาไว้



        “เป็นอะไร? สอบไม่ติดเหรอ?”



        “เปล่าหรอก” ปลายตอบสั้น ๆ เสียงเนือย ๆ



        “อ้าว...สอบติดแล้วไหงทำหน้าอย่างนี้ล่ะ”



        “เหนื่อยน่ะ” ปลายตัดบท แล้วเดินขึ้นชั้นบนไปเลย ปล่อยให้ปิ่นยืนงงในท่าทางของปลาย



        ปลายขึ้นมาใช้โทรศัพท์ของชั้นบนที่พ่วงมาจากชั้นล่างโทรหานิด เพราะคาดว่านิดคงโทรมาถามผลสอบ เมื่อนิดรับสายแล้ว ปลายก็บอกผลสอบไป และแน่นอนว่านิดต้องถามถึงเพื่อนคนอื่น ๆ และหนึ่งในจำนวนนั้นคือ รชา ทำให้ปลายต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้นิดฟัง



        “แล้วรชาจะเป็นยังไงต่อไปล่ะ?” นิดถามทั้ง ๆ ที่ยังงงในเหตุการณ์นี้อยู่



        “ไม่รู้สิ ก็คงต้องแล้วแต่คำสั่งของศาล เราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องกฎหมายพวกนี้ด้วย” ปลายก็ตอบได้ไม่กระจ่างนัก



        “น่าสงสารรุจา…”



        “นั่นสิ รชาก็คงเป็นห่วงรุจาเหมือนกัน”



        “เดี๋ยวเราช่วยดูแลให้แล้วกัน อยู่แผนกเดียวกันอยู่แล้วไม่มีปัญหา รุจาก็เหมือนน้องสาวเรา” นิดรับอาสา



        “ก็ช่วย ๆ กันนะ ลุงกับป้าเขาก็คงไม่มาสนใจนักหรอก\"



        ทั้งสองคนคุยกันเรื่องของรชาแค่นั้น ก็เปลี่ยนเรื่องถามถึงตองและเจน



        “เราไปหาเจนมา เขาสมัครเลือกคณะกันไปแล้ว” นิดบอกข่าวกับปลาย



        “เจนมันว่าเลือกมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดหมดเลย เราไม่ได้ถามตองว่าเลือกที่ไหนบ้าง นายรู้หรือเปล่า?”



        “รู้สิ เราก็ไปหาตองมาเหมือนกัน เห็นเลือกแต่คณะที่คะแนนสูง ๆ มหาวิทยาลัยดัง ๆ ทั้งนั้น เลือกเองหรือแม่เลือกให้ก็ไม่รู้ ตอนนั้นแม่ตองนั่งอยู่ด้วยเลยไม่กล้าถามว่ะ ”



        “เขาก็ต้องเลือกเองสิ จะให้แม่เลือกให้ได้ไง คนเรียนมันตองไม่ใช่แม่สักหน่อย” ปลายแย้งขึ้น



        “จะไปรู้ได้ไง บ้านนี้ยิ่งแปลก ๆ อยู่ด้วย ตองก็ไม่เคยบอกเลยว่าอยากเรียนอะไร บอกแต่ว่าต้องเอนท์ให้ติด” นิดแย้งกลับ ปลายก็ชักจะเห็นด้วย



        “เกิดเป็นตองนี่ก็ลำบากใช่เล่นเลยนะ” ปลายพูดต่อ



        “นั่นสิ วันประกาศผลจะเป็นยังไงก็ไม่รู้เนอะปลาย ใครเอนท์ไม่ติดไม่รู้ล่ะ ขอให้ตองกับเจนเอนท์ติดก็แล้วกัน” นิดภาวนาเพราะไม่อยากให้เพื่อนผิดหวัง ปลายไม่พูดอะไร แต่รู้สึกสังหรณ์ใจว่าในสองคนนี้จะต้องมีคนหนึ่งที่เอนท์ไม่ติด แต่จะเป็นใคร...ไม่กล้าเดาหรอก





        วันต่อมา ปลาย สา อรรณพ รวมตัวกันไปหารชาที่สถานีตำรวจอีกครั้ง แม้จะรับปากรชาไปแล้วว่าจะไม่มาหาอีก แต่ทั้งสามคนก็ขอผิดคำพูดสักครั้ง จนเมื่อทั้งสามคนไปถึงที่สถานีตำรวจก็ไม่พบใครเลย ทั้งรชา บุตรและชัย



        อรรณพเป็นคนไปถามตำรวจว่า ทั้งสามคนถูกส่งไปที่ไหนแล้ว ได้รับคำตอบสั้น ๆ แค่ว่าถูกส่งไปสถานพินิจแล้ว



        “เอาไงดีล่ะ รชาถูกส่งตัวไปแล้ว” อรรณพถามความเห็นเพื่อนทั้งสองคน



        “แล้วที่บ้านเขา ไม่มีใครมาช่วยรชาจริง ๆ เหรอ?” สาถามต่อ ไม่อยากเชื่อเลยว่า หลานทั้งคนจะไม่มีใครมาสนใจเลย



        “ไปที่บ้านรชาดีกว่า ไปถามรุจา รุจาต้องรู้เรื่องแน่” ปลายเสนอความคิดเห็น ทั้งสองคนเห็นดีด้วย จึงมุ่งหน้าไปหารุจาที่บ้าน



        เมื่อไปถึง ทั้งสามคนก็ต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อรุจาไม่ปริปากพูดอะไรเลย ถามอะไรก็ตอบแต่ ไม่รู้ แล้วก็ดูเหม่อ ๆ ตาแดง ๆ เหมือนจะร้องไห้ ทั้งสามคนก็รู้สึกเห็นใจ รุจาเพิ่งเสียพ่อแม่ไปเมื่อไม่นาน พี่ชายก็มาเกิดเรื่องอีก ตอนนี้ไม่เหลือความเป็นรุจาผู้ร่าเริง หัวเราะเสียงดังคนนั้นเลย ยิ่งมีลุงกับป้าแบบนี้อีก คงจะยิ่งกดดัน แม้แต่ปลาย สา อรรณพที่มายืนอยู่แค่หน้าบ้าน ยังรู้สึกอึดอัดเพราะสายตาเหยียด ๆ ของลุงกับป้าที่ยืนมองอยู่ในบ้าน เลยรีบกลับดีกว่า



        “เราจะได้เจอรชาอีกหรือเปล่า ณพ, ปลาย” สาหันมาถามเสียงเศร้า



        “ต้องได้เจอสิ” อรรณพตอบอย่างเชื่อมั่น “แต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” อรรณพตอบท้ายเสียงจ๋อย



        “ไม่ว่าเมื่อไหร่ อีกกี่เดือนกี่ปี พวกเราต้องไม่ลืมรชานะ” ปลายขอคำตอบจากสาและอรรณพ ต่างก็รับคำอย่างหนักแน่น ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีวันลืมรชา แม้ว่าวันเวลาผ่านไป เรื่องราวของรชาอาจจะไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกัน แต่ภายในใจจะจดจำเพื่อนที่ชื่อ รชา ไว้ตลอดไป





        

        เมื่อใกล้ถึงวันประกาศผลสอบเอนทรานซ์ ก็ถึงเวลาที่สี่สหายอย่าง ปลาย นิด เจน ตอง กลับมารวมตัวกันที่ร้านไอศกรีมเจ้าประจำอีกครั้ง ดูเหมือนวันนี้จะมีเรื่องมากมายที่พูดกันไม่หมดสักที ก็ไม่ได้รวมตัวครบทีมอย่างนี้นานแล้วนี่นา



        “เป็นยังไงบ้าง ผลเอนท์ใกล้จะออกแล้ว” นิดเริ่มเปิดประเด็นขึ้นมาทันที เจนทำหน้าแหย ๆ ก่อนตอบ



    “ดูจากปริมาณคนสมัครเรียนแล้ว สงสัยต้องไปเรียน ม.เอกชนอย่างพี่จอนแน่เลย” เจนตอบ



    “แต่คนสมัครก็เยอะอย่างนี้ทุกปีนะ” ตองพูดบ้าง



    “ใช่ คนเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยแหละ อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลยน่า ไม่แน่ว่าอาจจะสอบติดก็ได้นา” ปลายปลอบใจ



        “เอนทรานซ์นี่ทรมานจิตใจเด็กไทยจริง ๆ เนอะ พ่อแม่จะว่าหรือเปล่าถ้าเอนท์ไม่ติด” นิดถามขึ้นมาอย่างนี้ ทำเอาเจนกับตองอึ้งไปเหมือนกัน



        “มีผลกระทบทั้งครอบครัวเลยนะเนี่ย ท่านก็คงเสียใจไปกับเราด้วย” ปลายช่วยเสริม เจนพยักหน้าช้า ๆ เหมือนนักวิชาการ



        “อืม ใช่...ใช่... ปลายพูดถูก แต่บ้านเราไม่มีใครว่าหรอก เราเคยคุยกับแม่แล้ว แล้วเราว่าคงไม่มีพ่อแม่ที่ไหนซ้ำเติมลูกหรอกเนอะ” เจนพูดแล้วหันไปขอแรงสนับสนุนจากตอง



        “โอ๊ย...เครียดว่ะ คิ้วผูกโบว์แล้วเนี่ย เปลี่ยนเรื่องเหอะ” ปลายเห็นบรรยากาศหมองลงเพราะความตึงเครียด ต้องรีบเปลี่ยนเรื่องคุย



        “ผ่านมา 3-4 เดือน ต้นตะบองเพชรเป็นยังไงกันบ้าง ตายรึยัง?” เจนถามถึงต้นตะบองเพชรที่ซื้อไปคนละต้นเมื่อหลายเดือนก่อน โดยเฉพาะคำถามสุดท้ายจงใจหันไปถามนิดโดยเฉพาะ



        “ของเรายังสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดีย่ะ ไม่เชื่อถามปลายดู” นิดยืดอกตอบคำถามนี้อย่างภาคภูมิ ลบคำสบประมาทที่ว่าต้นตะบองเพชรของนิดต้องแห้งเหี่ยวตายก่อนเพื่อน เจนก็ไม่ยอมน้อยหน้าตอบอย่างภาคภูมิไม่แพ้กัน



        “ของเราก็ยังแข็งแรงดี พร้อมจะเติบโตเป็นตะบองเพชรที่ดีต่อไปในสังคม”



        “เออเนอะ เราซื้อต้นตะบองเพชรมานี่หว่า สงสัยของเราตายแล้วแน่เลย” ตองพูดแล้วทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้ ทั้งสามคนรุมโห่ใส่ตอง



        “ลืมเฉยเลย สงสัยป้านิ่มเอาไปทิ้งแล้วแหง” ปลายโวย



        “เจ้าทำผิดกฎของกลุ่ม สมควรถูกขับไล่ออกจากกลุ่มไป” นิดเอาช้อนไอศกรีมชี้หน้าตอง ตัดสินโทษเหมือนเปาบุ้นจิ้นตัดสินคดียังไงยังงั้นเลย



        “เราล้อเล่นนนนน อะไรจะจริงจังขนาดนั้น” ตองลากเสียงยาว เฉลยความจริง



        “ไม่ได้สิ ก็ต้นตะบองเพชรเป็นสิ่งที่เรา 4 คนมีเหมือนกันนี่ มันเหมือนเป็นตัวแทนของพวกเรา เราก็ต้องดูแลให้ดี” เจนอธิบาย ปลายได้ยินแล้วก็อึ้งไปเหมือนกัน ไม่คิวด่าเพื่อน ๆ จะให้ความสำคัญกับของเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ ตลอดเวลา ปลายดูแลต้นตะบองเพชรเป็นอย่างดี ยังคิดอยู่เลยว่าเพื่อน ๆ จะดูแลอย่างที่ตัวเองดูแลหรือเปล่า มาได้ยินอย่างนี้แล้วก็เลิกสงสัยไปได้เลย ได้คำตอบที่อยู่ในคำพูดของทุกคนแล้ว และยังได้ความรู้สึกดี ๆ กลับมาด้วย



        “ของเราอยู่บนหัวเตียงเลยแหละ พวกนายสบายใจได้ ไม่เชื่อเดี๋ยวคราวหน้าเอามาให้ดู” ตองพูดเมื่อเห็นนิดกับเจนทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ



        “เร็วเนอะ เผลอแป๊บเดียว เราเป็นเพื่อนกัน 6 ปีเต็มแล้ว” ปลายเปลี่ยนเรื่อง พูดถึงความหลังขึ้นมา



        “นั่นสิ แต่อีก 10 ปี พวกเราก็จะเป็นเพื่อนกันอย่างนี้ตลอดไปนะ” เจนพูดเหมือนให้ทุกคนรักษาสัญญา กำลังจะไปด้วยดี ถ้านิดไม่ตีหน้าซื่อถามขึ้นมา



        “เป็นอย่างนี้ตลอดไป เป็นยังไงล่ะ? เป็นเด็กอย่างนี้ตลอดไปเหรอ?”



        “เป็นเพื่อนกันตลอดไปย่ะ มีเรา มีปลาย มีตอง มีนายคอยถามคำถามบ็องส์ ๆ อย่างนี้ แล้วเราก็มานั่งกินไอติมด้วยกันอย่างนี้ เข้าใจไหม?” เจนอธิบายพร้อมกับถลกแขนเสื้อ ถ้านิดตอบว่าไม่เข้าใจขึ้นมาจะได้ลงทำโทษยัยนิดได้ทันท่วงที นิดรีบพยักหน้าหงึก ๆ ทันที นี่ถ้าไม่ติดว่าเจนเป็นมือตบของทีมวอลเล่ย์บอลของโรงเรียน รับรองว่านิดจะต้องตอบว่า ไม่เข้าใจ แน่นอน



        “จ้ะ ๆ เข้าใจจ้ะ แหม...ถลกแขนเสื้ออย่างนี้ ทำให้เรานึกถึงตอน ม.3 ที่นายไปต่อยกับไอ้จักรเด็กห้อง 4 น่ะ จำได้ไหม? จำได้ไหม?” นิดหันไปถามปลายกับตอง



        “จำได้สิ ตอนนั้นใครห้ามก็เอาไม่อยู่ เวลานายโกรธนี่น่ากลัวชะมัดเลย” ตองหันไปพูดกับเจน ปลายก็ช่วยสนับสนุน



        “ว่าแต่เรา นายก็มีนะนิด ตอนที่นายถามคำถามบ็องส์ ๆ อย่างนี้กับอาจารย์บ่อย ๆ จนอาจารย์ทนไม่ไหวต้องให้นายออกไปยืนหน้าห้องน่ะ” เจนขุดคุ้ยความหลังขึ้นมาบ้าง หลังจากนั้นต่างก็พูดคุยถึงเรื่องเก่า ๆ ตั้งแต่ ม.1 ยัน ม.3 จนเมื่อแยกย้ายกันไปเรียนที่อื่นก็ยังเอาวีรกรรมของตัวเองมาเล่ากัน ถ้ามีใครนั่งฟังอยู่ใกล้ ๆ คงต้องสงสัยแน่ว่าทั้ง 4 คนนี้ไปเรียนหนังสือที่ไหนกันมา ถึงได้มีเรื่องมาเล่ากันได้มันส์ขนาดนี้



        “วันประกาศผลเอนท์ไม่ต้องโทรมาถามนะ ไม่ว่าติดหรือไม่ติด เราจะไปบอกผลถึงที่บ้านพวกนายเลย” เจนเริ่มคุยเรื่องเดิมอีกแล้ว ไม่พ้นเรื่องนี้เลยจริง ๆ



        “แล้วตองล่ะ จะบอกผลกับพวกเรายังไง?” ปลายหันไปถามตอง



        “เดี๋ยวเราโทรไปบอกแล้วกันนะ ง่ายดี”



        “ตื่นเต้นแทนจัง อีกไม่วันก็จะรู้ผลแล้วนะ” นิดลุ้นไปกับเพื่อนด้วย



        “ขอให้ผลเป็นไปอย่างที่เราต้องการทีเถอะ” ตองภาวนา ปลายเห็นท่าทางของตองแล้วก็นึกลุ้นไปด้วยเหมือนกัน



        ปลายหวังว่าวันประกาศผลวันนั้น คงเป็นวันที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของตองและเจน







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×