ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จุดหมายปลายฝัน

    ลำดับตอนที่ #2 : สี่สหาย

    • อัปเดตล่าสุด 8 มิ.ย. 47






    หลังจากที่เรียนจบชั้นมัธยมต้น  ปลายและเพื่อน ๆ คือ  นิด เจน และตอง  ต่างก็แยกย้ายไปเรียนต่อตามสาขาที่อยากเรียน  ตองสอบเข้าเรียนต่อโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อเสียง  นักเรียนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เป็นจำนวนมาก  เจนก็ยังเรียนต่อชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนเดิม  โรงเรียนมัธยมที่ไม่มีชื่อเสียงเท่าโรงเรียนที่ตองสอบเข้าได้  ปลายเปลี่ยนไปเรียนสายอาชีพและสอบเข้าสถาบันแห่งหนึ่งได้ มีหลายสาขาให้เรียน  ปลายเรียนแผนกบริหารธุรกิจ  ส่วนนิดเรียนสายพาณิชย์โรงเรียนเอกชนได้ 1 ปี ก็ออกมาสอบเข้าแผนกสถาปัตยกรรมที่เดียวกับที่ปลายเรียน ด้วยสาเหตุว่า  “ไม่ชอบสายพาณิชย์ และไม่ใช่ความต้องการของตัวเอง” นิดเลยเรียนช้ากว่าเพื่อน ๆ 1 ปี



    จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ผ่านมาเกือบ 3 ปีแล้ว ที่ทุกคนดำเนินชีวิตของตนเองไปตามวิถีทางที่เลือกเดิน ปลายนั่งรอเพื่อนทั้ง 3 คนอยู่ในร้านไอศกรีมเจ้าประจำ ทุกครั้งที่นัดแนะกันว่าจะไปไหน ก็จะมาเจอกันที่นี่ก่อน  ไม่นานนัก นิด เจน และตอง  ก็เดินทางมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน  วันนี้นัดกันมาคุยเรื่องของตัวเองว่าเป็นยังไงกันบ้าง  ก็เลยปักหลักคุยกันในร้านไอศกรีมซะเลย



    “อีก 3 เดือน เราก็จะเรียนจบกันแล้วนะ” ปลายเริ่มสนทนา



    “นั่นสิ รู้สึกเหมือนเพิ่งจบ ม.3 มาไม่กี่วันเองเนอะ   นี่ก็จะเรียนจบ ปวช. จบ ม.6 กันอีกแล้ว”เจนพูดแล้วทำตาละห้อยเชียว เหมือนกำลังอาลัยอาวรณ์ชีวิต ม.ปลายอย่างนั้นแหละ



    “พวกนายเรียนจบกันไปก่อนละกัน เดี๋ยวเราค่อยตามไป” นิดกินไอศกรีมอย่างสบายอารมณ์  เหลืออีกตั้ง 1 ปีกว่าจะเรียนจบ ปวช.



    “ก็เรียนพาณิชย์ดี ๆ แล้วไม่ชอบนี่นา” ตองพูดขึ้นมาบ้าง ในกลุ่ม 4 คนนี้ ก็เห็นจะมีตองคนเดียวที่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการตัดสินใจของนิด  เธอคิดว่าถ้าทน ๆ เรียนไปก็ไม่น่ามีปัญหา



    “เรียนอะไรที่ไม่ชอบก็ไม่รู้จะเรียนไปทำไม” นิดพูดพลางก็คนไอศกรีมในถ้วยที่กำลังละลาย



    “พูดขึ้นมาแล้วก็ยังรู้สึกผิดไม่หายเลย ทำให้พ่อแม่ต้องเสียตังค์ไปเปล่า ๆ เพื่อแลกกับความพอใจของเรา” นิดซึมลงอีกแล้วเมื่อพูดถึงเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เพราะฐานะของนิดก็ไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้ ถ้าเทียบกันในกลุ่มก็เห็นจะมีตองที่ฐานะดีที่สุด พ่อเป็นถึง สส.  แม่ก็เป็นนักธุรกิจชื่อดัง



    “คิดอะไรมากล่ะนิด เราเชื่อนายนะว่าเลือกทางเดินถูกแล้ว ความพอใจอันนั้นเป็นอนาคตของนายนี่  มั่นใจหน่อยสิ”  ปลายรีบพูดให้กำลังใจ  นิดก็ยิ้มออกมาได้



    ตั้งแต่สมัย ม.ต้นแล้ว กลุ่มนี้จะแทนตัวเองว่า  “เรา”  และเรียกเพื่อนว่า “นาย”  ซึ่งสาเหตุที่เรียกกันอย่างนี้ก็เพราะ ช่วงเวลานั้นทั้งสี่คนเกิดอยากจะทำตัวซ่า แก่น ห้าวแบบพวกผู้ชายขึ้นมา จึงคิดเรียกตัวเองและเพื่อนแบบนี้ ทำไปทำมาเมื่อคิดจะเลิกห้าวแล้ว กลับติดการเรียกแทนตัวแบบนี้ และทำให้ติดมาจนถึงปัจจุบัน



    “หลังจากวันนี้ เราคงได้นัดเจอกันน้อยลงแล้วนะ เราก็ต้องเตรียมตัวสอบเอ็นทรานซ์ อย่างจริง ๆ จัง ๆ แล้ว”  ตองพูดไปถึงเรื่องอนาคตด้วยสีหน้าจริงจังพอ ๆ กันคำพูด



    “ตั้งแต่พวกเราขึ้น ม.6 แล้วก็ ปวช.3 นี่ก็แค่ครั้งที่ 3 เองที่นัดเจอกัน ซีเรียสอะไรหนักหนาเชียว” เจนมองค้อนตอง ออกจะเซ็ง ๆ ในตัวตองด้วยซ้ำที่ทำอะไรก็จริงจังไปหมด ผิดกับเธอที่จะเอ็นท์อยู่แล้ว ก็ยังไม่ได้คิดจะอ่านหนังสือจริงจังเหมือนตอง



    “ปลายก็ต้องสอบเรียนต่อ ปวส. ใช่ไหม ?”  เจนหันไปถามปลายบ้าง



    “อือ แต่ก็ไม่หนักหนาเท่ากับสอบเอ็นท์หรอก เจนกับตองก็พยายามเข้านะ”  



    นิดนั่งฟังคนใกล้จะเรียนจบอย่างเงียบ ๆ เพราะยังไม่ถึงเวลาของเธอ  นิดก็ให้กำลังใจเพื่อนทั้ง 3 ว่า



    “ขอให้สมหวังทุกคนนะ”



    แต่จะมีใครรู้เล่าว่า  หลังจากที่เรียนจบแล้ว จะมี 1 ใน 3 คนนี้ที่ไม่มีโอกาสได้รู้จักคำว่า “สมหวัง” เลยตลอดชีวิต







    “เฮ้ย!! น่ารักดีว่ะ  ว่าไง ?”  นิดหันไปถามเพื่อน ๆ เมื่อเธอหยิบต้นตะบองเพชรเล็ก ๆ ที่อยู่ในกระถางใบเล็กขึ้นมา  ป้าคนขายมองทั้ง 4 คนด้วยความเอ็นดู



    “เออ..น่ารักจริง ๆ ด้วย  ของจริงของปลอมวะเนี่ย ?”  เจนหยิบขึ้นมาอีกต้น  มองดูอย่างพินิจพิเคราะห์  “ของจริงนี่!”



    “เหลือแค่ 4 ต้นเองเหรอคะป้า” ปลายถามป้าคนนั้น ป้ายิ้มก่อนที่จะตอบว่า



    “จ้ะ 4 ต้นสุดท้าย  ชอบไหมลูก  ต้นตะบองเพชรแสดงถึงความอดทนนะ”  ป้าอธิบายความหมาย  ปลายฟังแล้วก็นึกชอบขึ้นมา



    “เหลือ 4 ต้นพอดีเลย  เรา 4 คนก็ซื้อคนละต้นนะ”  ปลายหันไปบอกเพื่อน ๆ ทุกคนเห็นด้วย  เมื่อเดินออกจากร้าน  ป้าก็พูดไล่หลังทั้ง 4 คนว่า



    “ขอให้อดทนเหมือนต้นตะบองเพชรนะลูกนะ”



    ปลายหันไปยิ้มกับป้าคนนั้น  ก่อนที่จะเดินตามเพื่อน ๆ ไป







    ล่วงเลยมาถึงเวลาเย็น  ถึงเวลาที่จะต้องแยกย้ายกันกลับบ้านแล้ว  ทุกคนก็ยืนร่ำลากัน  เพราะหลังจากนี้ก็คงอีกนานกว่าจะนัดเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างนี้อีก



    “ถึงต้นตะบองเพชรจะเก็บน้ำได้ แต่ก็ต้องรดน้ำให้มันด้วยนะ เดี๋ยวจะตายเสียก่อน”  เจนเตือนเพื่อน ๆ   ปลายทิ้งท้ายก่อนแยกย้ายกันไปว่า



    “ถ้ามีปัญหาอะไร ต้องอดทนเหมือนต้นตะบองเพชรนะ”



    เจนกับตองก็แยกย้ายกันไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน  บ้านของปลายอยู่ละแวกนี้อยู่แล้วเดินกลับก็ได้  ส่วนนิดต้องขึ้นรถสองแถว  โดยมีปลายเดินไปส่ง



    “เรียน ‘ถาปัตย์เป็นไงบ้าง เครียดไหม ?”  ปลายถามถึงเรื่องเรียนบ้าง  ถึงจะเรียนที่เดียวกัน แต่ก็แทบจะไม่ได้เจอกันเลย  เนื้อที่ของสถาบันกว้างขวางมาก ตึกเรียนก็อยู่คนละตึก  ถ้าจะเจอกันก็ต้องตั้งใจไปหาจริง ๆ



    “จะไม่เครียดเลยก็ดูจะประหลาด ๆ นะ ไม่ว่าเรียนอะไรก็ต้องเครียดทั้งนั้นแหละ แต่เราก็มีความสุขมากกว่าเรียนพาณิชย์” นิดหันมองหน้าปลาย  “นายอยากเรียนเหมือนเราใช่ไหมล่ะ นายก็ชอบวาดรูปเหมือนกันนี่ ตอนนั้นเราชวนนายไปสอบนายก็ไม่ไป”



    “เราชอบวาดรูปเฉย ๆ ไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์ถึงขนาดออกแบบบ้านได้นี่นา แล้วนายก็น่าจะรู้ ถึงเราอยากไปสอบกับนายเราก็ไปไม่ได้” ปลายพูดแค่นี้ นิดก็รู้แล้วว่าเพราะอะไร



    “เพราะพี่ปิ่นกับแม่นายล่ะสิ ถึงทำให้นายต้องไปเรียนบัญชี แม่นายก็จบบัญชี พี่ปิ่นก็จบบัญชี นายก็เลยต้องเรียนบัญชีด้วย”



    “จะไปว่าเขาก็ไม่ได้หรอก เราบอกนายตรง ๆ เลยว่า เราไม่รู้ว่าเราอยากเป็นอะไร เราไม่มีจุดหมาย” ปลายพูดเสียงเศร้าลง ทำให้นิดต้องเอื้อมมือมาตบไหล่เป็นการปลอบใจ



    “เราอยากย้อนเวลากลับตอน ม.3 อีกครั้ง ตอนนั้นเราใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ไม่เคยคิดถึงอนาคตของตนเองว่าต้องการอะไร อยากเป็นอะไร  ใครอยากให้เรียนอะไรก็ยอมเรียนตามไป  ถ้าย้อนเวลากลับไป เราคงได้ค้นหาตัวเองว่าเราต้องการอะไร คงไม่ต้องมาระบายให้นายฟังอย่างนี้หรอก”



    “นายอย่าคิดมากสิ นายต้องค้นหาตัวเองให้เจอนะ อีก 3 เดือนมาเปลี่ยนก็ยังไม่สาย เราจะเป็นกำลังใจให้นายเอง” นิดตบไหล่ปลายอีกครั้ง แต่คราวนี้ตบไหล่เป็นกำลังใจให้ ปลายยิ้มให้นิดเป็นการขอบใจ ในบรรดา 4 คนนี้ ปลายคิดว่า นิดเป็นคนที่โชคดีที่สุด ที่ค้นหาความต้องการของตัวเองเจอ ได้เรียนในสาขาที่รักที่ชอบ ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก โดยที่ยังไม่สายเกินไป







    ปลายยืนอยู่หน้าบ้านของตัวเอง เงียบอย่างนี้ คงยังไม่มีใครกลับมาอีกตามเคย  ปลายหยิบกุญแจสำรองเปิดประตูบ้าน  มองบรรยากาศในบ้าน ทำไมมันถึงได้เงียบเหงาอย่างนี้นะ  แม่เป็นหัวหน้าแผนกบัญชีในบริษัทแห่งหนึ่ง  พี่ปิ่นทำงานสำนักงานบัญชี  แต่ละคนงานยุ่งทั้งนั้น คงมีแต่ปลายล่ะมั้งที่ยังไม่เข้าใจการทำงานของผู้ใหญ่



    ปลายขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเอง  จัดแจงหาที่วางต้นตะบองเพฃรที่ได้มา  ตั้งไว้มุมโน้นมุมนี้ก็ไม่ถูกใจเสียที  สุดท้ายก็ต้องมาตั้งไว้บนโต๊ะข้างเตียงนอน



    “ขอให้อดทนเหมือนต้นตะบองเพชรนะลูกนะ”



    “นายต้องค้นหาตัวเองให้เจอนะ”



    ปลายหยิบกรอบรูปที่ใส่รูปถ่ายเก่า ๆ ของคน ๆ หนึ่งที่จากไปเมื่อ 10 ปีก่อนขึ้นมาและพูดกับคนในรูปถ่ายว่า



    “พ่อ…เอาใจช่วยปลายด้วยนะจ้ะ”







    ที่บ้านใหญ่โตหลังหนึ่งของ สส. ก่อเกียรติ  ที่คนในซอยนั้นรู้จักกันดีและคุณเพ็ญนภา นักธุรกิจชื่อดัง  ตองคือลูกสาวคนเดียวของบ้านหลังนี้



    เมื่อตองกลับถึงบ้าน หลังจากที่พักเหนื่อยแล้วก็เข้าไปในห้องหยิบหนังสือเรียนมาอ่านเพื่อเตรียมตัวในการสอบเอ็นทรานซ์ทันที



    “กลับมาแล้วหรือลูก เพื่อน ๆ เป็นยังไงบ้างล่ะ”  แม่เดินเข้าไปในห้องของตอง และถามถึงการไปเจอเพื่อน ๆ ในวันนี้



    “ก็ดีค่ะ แต่หลังจากนี้คงไม่ค่อยได้เจอกันแล้ว ต่างคนต่างก็ต้องเตรียมตัวสอบเรียนต่อ” ตองตอบคำถามของแม่ แต่สายตายังจดจ้องอยู่ที่ตัวหนังสือ



    “ลูกก็อย่าหักโหมมากนักนะ เดี๋ยวจะเสียสุขภาพ ยังไงหนูก็ต้องเอ็นท์ติดอยู่แล้ว”  แม่พูดจบก็เดินออกจากห้องของตองไป เพื่อให้ตองได้อ่านหนังสือต่อ  ตองหันมองแม่ ไม่อยากให้แม่มั่นใจว่าเธอจะต้องเอ็นท์ติด  เอาอะไรแน่นอนกับการสอบเอ็นท์ไม่ได้หรอก  ถ้าประกาศผลออกมาว่าเธอสอบไม่ติด  พ่อกับแม่ที่หวังในตัวลูกสาวคนนี้มากเหลือเกินจะรู้สึกยังไง  ไม่อยากจะคิดถึงวันนั้นเลย







    “อ้าว เจน  กลับมาแล้วเหรอ  มาช่วยกันเก็บร้านหน่อยเร็ว  หายหัวไปทั้งวันเลยนะแก  ไม่รู้จักมาช่วยทำมาหากินซะมั่ง” แม่ของเจนหรือที่คนในซอยนั้นเรียกว่า ป้าลาน  กำลังง่วนอยู่กับการเก็บข้าวของเตรียมตัวปิดร้าน



    “หนูจะไม่ช่วยเก็บก็เพราะเสียงบ่นของแม่นี่แหละ” เจนรีบเข้ามาช่วยเก็บเก้าอี้



    “ขายดีไหมแม่?” เจนถามถึงการค้าขายในวันนี้



    “ดีสิ คนแถวนี้เขาติดใจก๋วยเตี๋ยวฝีมือป้าลานกันทั้งนั้น” ป้าลานอดยอตัวเองไม่ได้   เจนหัวเราะในคำพูดของแม่ ป้าลานยกถ้วยชามส่วนหนึ่งเข้าหลังบ้าน  เจนก็ยกกะละมังใส่ข้าวของต่าง ๆ เข้าหลังบ้านตามไป



    “นี่แกจะจบ ม.6 แล้วนี่ จะเล่นวอลเล่ย์บงวอลเล่ย์บอลอะไรนั่นอีกรึเปล่า” ป้าลานถามถึงกิจกรรมที่เจนทำมาตลอด คือ เป็นนักกีฬาวอลเล่ย์บอลของโรงเรียน



    “เล่นสิแม่ ทำไมล่ะ  แม่อยากให้หนูเลิกเหรอ ?” เจนถามแม่แล้ววางกะละมังบนพื้น



    “ก็ไม่เชิงหรอก แต่แม่เห็นว่าจะต้องสอบเอนท์แล้ว  ถ้าแกมัวแต่ไปเล่นกีฬาไม่อ่านหนังสือ เกิดเอนท์ไม่ติดขึ้นมาจะเสียใจเหมือนเจ้าจอนมัน  วัน ๆ ไม่เป็นอันทำอะไร”  ป้าลานพูดถึงจอน  พี่ชายของเจน เคยเอนท์ไม่ติด  กว่าจะทำใจไปเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนได้ ก็ใช้เวลาทำใจอยู่นาน



    “หนูไม่ได้ยึดติดค่านิยมว่าต้องเป็นมหาวิทยาลัยปิดถึงจะดีถึงจะมีคุณภาพอย่างพี่จอน  ยังไงหนูก็จะพยายามสุดความสามารถ  แต่ถ้าแม่ไม่ได้คิดว่าหนูต้องเรียนมหาวิทยาลัยปิดเท่านั้นก็แสดงว่าแม่มีความคิดเดียวกับหนู ขอให้เป็นคณะที่หนูชอบที่ไหนหนูก็เรียนได้ทั้งนั้น” เจนพูดไปพลางจัดข้าวของไปด้วย ป้าลานมองลูกสาวแล้วลูบหัวด้วยความเอ็นดูและพอใจในความคิดนั้น



    “ดีแล้วที่คิดได้อย่างนี้ แม่ไม่เคยตั้งกฎเกณฑ์ว่าต้องเอนท์ให้ติด ถ้าแกอยากทำอะไรที่คิดว่าตัวเองรักตัวเองชอบก็ทำไป  แม่จะคอยส่งเสริมและคอยยินดีเมื่อแกทำสำเร็จ”  เจนได้ฟังป้าลานพูดแล้วก็หันไปหอมแก้มฟอดใหญ่  



    “แล้วพ่อล่ะ..แม่ ?”  เจนหันซ้ายหันขวามองหาพ่อ  ป้าลานเก็บถ้วยชามเข้าไปในตู้เสร็จก็หันมาตอบเจน



    “พ่อเขาไปติดผ้าม่านให้บ้านน้าสิทธิ์  มีอะไรจะคุยกับพ่อล่ะ  เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว” พ่อของเจนมีอาชีพหลายอย่าง เป็นทั้งช่างไม้ ติดผ้าม่าน ติดมุ้งลวด  เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปเพราะเป็นคนที่มีฝีมือดี  เวลาว่างเมื่อไม่มีงานก็จะช่วยป้าลานขายก๋วยเตี๋ยวเสมอ



    “เปล่าหรอกจ้ะ แล้วพ่อเขาเคยพูดกับแม่หรือเปล่าว่าอยากให้หนูเอนท์ติด” เจนลอบถามแม่เบา ๆ



    “ไม่หรอก  พ่อเขาก็เหมือนแม่นี่แหละ  มีความคิดเหมือนกัน ถึงได้อยู่กันมาตั้ง 20 ปี”  ป้าลานหัวเราะออกมา  เจนก็พลอยหัวเราะด้วยอย่างมีความสุข  เธอคิดว่าเธอโชคดีที่พ่อและแม่เข้าใจในตัวเธอ  ไม่รู้ว่าจะมีกี่ครอบครัวที่เป็นอย่างครอบครัวของเจน







    นิดเดินตรงเข้าไปในบ้าน  เห็นพ่อก้มหน้าก้มตาล้างรถแท็กซี่ที่ใช้ในการทำงานอยู่อย่างขมักเขม้น ส่วนแม่ทำขนมอยู่หลังบ้าน



    “วันนี้หยุดเหรอพ่อ เดี๋ยวนิดช่วยนะ” นิดเข้าไปเก็บของ แล้วพับขากางเกง , แขนเสื้อให้ทะมัดทะแมง  แล้วรีบเข้าไปช่วยพ่อ



    “วันนี้สนุกไหมลูก ไปเจอเพื่อนเก่า” พ่อชวนคุย



    “ทุกคนก็ยังเหมือนเดิม เฮฮาสนุกสนาน” นิดใช้มือกวาดน้ำตามหลังรถ “นิดกะว่านิดจะเรียนแค่ ปวส. แล้วจะออกมาทำงาน  พ่อว่าดีไหม ?”   นิดเงยหน้าถามพ่อ  พ่อมองหน้านิด  งงในความคิดของนิด



    “ทำไมล่ะ ?  เบื่อเรียนแล้วเหรอ ?”



    “ไม่ใช่จ้ะ แต่นิดสงสารพ่อต้องลำบากขับรถแท็กซี่กลับบ้านค่ำมืด แม่ก็ต้องลำบากทำขนมขาย ส่งนิดกับเหน่งเรียน นิดอยากออกช่วยพ่อกับแม่ แล้วนิดจะส่งเหน่งเรียนเอง” นิดพูดไปตามความคิดของตนเอง



    “พ่อดีใจที่นิดคิดอย่างนี้ ที่เข้าใจความลำบากของพ่อกับแม่  แต่พ่ออยากให้นิดเรียนสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้  เรื่องส่งนิดกับเหน่งเรียนเป็นหน้าที่ของพ่อกับแม่อยู่แล้ว  ขอให้นิดตั้งใจเรียน เรียนให้สูง ๆ เพื่ออนาคตของนิดเองนะ” พ่อและนิดยิ้มให้กัน  พ่อเข้าใจความคิดของนิด  นิดเข้าใจในความคิดของพ่อ เมื่อปรับให้เข้ากัน ทุกอย่างก็ลงตัว





    ถึงแม้ฐานะของนิด เจน ตุ๊กตา และปลาย จะแตกต่างกัน  แต่ทั้ง 4 คนก็มาเป็นเพื่อนสนิทกันได้ หลังจากนี้มีเหตุการณ์มากมายที่ทำให้ชีวิตของพวกเขาผูกพันกันอย่างเหนียวแน่น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×