ลำดับตอนที่ #11
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : คราบน้ำตาและความเสียใจ
“ตอง!!”
ปลายพูดเสียงดังด้วยความแปลกใจ หลังจากที่แม่และปิ่นออกไปทำงานได้ไม่กี่นาที ตองก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าประตูบ้านด้วยท่าท่างอ่อนเพลีย ตาแดงช้ำ หน้าตาซีดเซียวยิ่งกว่าที่เห็นเมื่อวาน ปลายสันนิษฐานว่าคงร้องไห้มาทั้งคืน
    ปลายพาตองเข้าบ้าน ตองเดินเข้าบ้านด้วยท่าทางเหม่อ ๆ เหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
    “เกิดอะไรขึ้นเหรอตอง?” ปลายถามเบา ๆ เมื่อวานตองยังไล่ตะเพิดเธอ นิดและเจนอยู่เลย
    “พ่อกับแม่ทะเลาะกัน เพราะเรา ” ตองตอบอย่างเลื่อนลอย
    “เราว่านายไปนอนพักก่อนดีกว่า แล้วค่อยคุยกัน” ปลายพูดจบก็พาตองไปนอนที่ห้องนอนของตัวเอง ถ้าให้ตองได้หลับสักพัก คงคุยกันรู้เรื่องกว่านี้
    เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ตองตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตา กำลังคิดจะเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะชุดที่ใส่อยู่นี้ใส่มาตั้งแต่เมื่อวาน
    “ปลาย...เห็นกระเป๋าเราไหม?” ตองเดินออกมาจากห้องนอนถามหากระเป๋าที่เอามาด้วย
    “กระเป๋าเหรอ?” ปลายถามซ้ำ ไม่ยักกะเห็นตองเอากระเป๋ามาด้วย ปลายเดินไปดูแถว ๆ โซฟา เห็นกระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบเล็ก ๆ ตั้งอยู่ข้าง ๆ โซฟา ตองคงตั้งไว้ตอนที่ปลายพาเข้ามานั่ง ปลายถือกระเป๋าไปให้ตอง ตองหายเข้าไปในห้องออกมาอีกครั้งกับชุดใหม่
    “เที่ยงพอดีเลย มากินข้าวเถอะ” ปลายชวน ตองก็กำลังหิวพอดี ทั้งคู่นั่งกินไปคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย ๆ จนเมื่อจัดการอาหารเที่ยงเรียบร้อย ปลายก็ตั้งต้นถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น
    “พ่อกับแม่ทะเลาะกันเรื่องเรา แม่เราอยากให้ไปเรียนเมืองนอก แต่พ่ออยากให้เรียนในเมืองไทย ทะเลาะกันจนเป็นเรื่องใหญ่ เราไม่เคยเห็นท่านทะเลาะกันรุนแรงอย่างนี้เลย พอเราเข้าไปห้าม ก็ถูกว่ากลับมาว่าที่พ่อกับแม่ต้องวุ่นวายก็เพราะเรา” ตองเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ปลายฟัง
    “อย่าคิดมากเลย ยังไงท่านก็รักนายนะ อยากให้นายได้สิ่งที่ดีที่สุด” ปลายปลอบใจ
    “เราก็ทำดีที่สุดแล้วเหมือนกัน ทำไมถึงต้องเกิดเรื่องอย่างนี้กับเราด้วย” ตองพูดต่อน้ำเสียงสั่นเครือ ปลายรีบจับมือตองไว้
    “เมื่อนายทำดีที่สุดแล้วก็ต้องยอมรับผลของมัน แม้มันอาจจะเจ็บปวดสักหน่อยแต่นายก็ได้พยายามเต็มที่แล้ว อย่าคิดมากเลยนะ” ปลายไม่รู้จะหาคำใดมาปลอบใจตองได้นอกจากคำนี้ ตองนิ่งเงียบไป
    “หนีออกมาอย่างนี้ ไม่กลัวคนที่บ้านจะเป็นห่วงเหรอ?” ปลายนึกกังวลใจแทนคนที่บ้าน เพราะอย่างน้อยก็เป็นลูกสาวคนเดียว
    “ไม่มีใครเป็นห่วงเราหรอก เขาก็ยุ่งอยู่กับเรื่องของเขา นายก็ได้ยินข่าวยุบสภาใช่ไหม พ่อเราก็ยุ่งอยู่กับเรื่องเลือกตั้งหาเสียง แม่เราก็ยุ่งกับธุรกิจของเขา เราได้ยินแม่บ่นว่าธุรกิจกำลังแย่ ป่านนี้เขาคงลืมเรื่องของเราไปแล้วล่ะ” ตองตอบเสียงเศร้า
    “อย่าคิดอย่างนั้นสิ ยังไงท่านก็ไม่ลืมนายหรอก ถ้าไม่สบายใจอยู่บ้านเราไปก่อนก็ได้นะ แต่นายต้องโทรบอกที่บ้านด้วย เราว่าอย่างน้อยป้านิ่มก็ต้องเป็นห่วงนาย”
    “อือ...” ตองรับคำ ปลายเองก็พยายามช่วยเท่าที่จะช่วยได้ คนที่มีจิตใจบอบบางอ่อนไหวง่ายอย่างนี้ มีอะไรสะกิดเข้ามานิดเดียวก็แทบจะแหลกสลายแล้ว มันบอบบางจนกลายเป็นความอ่อนแอ
    แม่และปิ่นกลับมาจากการทำงานในเวลาไล่เลี่ยกัน เห็นตองก็ทักทายกันเล็กน้อย เพราะรู้จักตองและเพื่อนของปลายอีกหลายคนอยู่แล้ว
    “แม่...ตองเขาจะมานอนบ้านสักวันสองวันได้ไหมคะ?” ปลายช่วยแม่เตรียมอาหารมื้อเย็นแล้วก็ขออนุญาตเรื่องตองไปเสียเลย
    “ทำไมล่ะ? เขามีปัญหาอะไรกับทางบ้านเหรอ?” ปิ่นถามขึ้นมาก่อนที่ปลายจะได้รับคำตอบจากแม่
    “พี่รู้ได้ยังไง?”
    “ก็เดาเอา แล้วก็เห็นตองดูเศร้า ๆ ด้วย”
    “ตองเขาเอนท์ไม่ติดน่ะ เลยมีปัญหากับทางบ้านนิดหน่อย ก็เลยมาอยู่กับปลายจะได้สบายใจขึ้น” ปลายเล่าเรื่องให้ฟังย่อ ๆ ปิ่นหลิ่วตามองน้องสาวคนเดียวเหมือนไม่แน่ใจ
    “แน่ใจเหรอว่าอยู่กับเธอแล้วจะสบายใจขึ้น พี่ว่าคงลงสู่ก้นบึ้งของความทุกข์เลยแหละ” ปิ่นหัวเราะซ้ำเข้าไปอีก ปลายมองค้อนแล้วบ่นอุบอิบ
    “เอาสิ จะอยู่กี่วันก็ได้แม่ไม่ว่าหรอก แล้วอย่าไปทำให้เพื่อนยิ่งไม่สบายใจล่ะ” แม่อนุญาตแล้ว แม้จะเป็นการอนุญาตแบบไม่ไว้วางใจนักก็ตาม ปลายรีบขอบคุณแล้วไปหาตองที่นั่งอยู่บนห้องนอน เห็นตองกำลังรื้อของออกจากกระเป๋า
    “นายนี่รอบคอบดีนะ เตรียมเสื้อผ้ามาพร้อมเลย” ปลายกระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียง
    “ตอนนั้นเราก็ไม่รู้คิดยังไงเหมือนกัน คว้าเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้วออกมาเลย”
    “เหมือนออกมาทัศนาจรเลยเนอะ อย่างนี้จะเรียกว่าหนีออกจากบ้านได้ไหมเนี่ย?” ปลายถามแบบงง ๆ ตองเริ่มระบายยิ้มบนใบหน้า เป็นยิ้มแรกที่ปลายเห็นในวันนี้
    “คงได้มั้ง แต่ของเราไม่ได้หนีออกมาทางหน้าต่างเหมือนคนอื่น เราเดินออกมาเลย ไม่มีใครอยู่บ้านเลยไม่รู้จะหลบใคร”
    “เฮ้...เอามาด้วยเหรอ?” ปลายหันไปเห็นต้นตะบองเพชรของตองวางอยู่ข้าง ๆ ต้นตะบองเพชรของเธอ
    “ไม่อยากทิ้งไว้ที่บ้านน่ะ เลยเอามาด้วย” ตองตอบพลางเดินหาที่วางกระเป๋า สรุปแล้วก็ไปวางข้าง ๆ ตู้เสื้อผ้า
    “ตะบองเพชรนี่ดีนะ ไม่รดน้ำก็ไม่ตาย” ปลายยกตะบองเพชรขึ้นมามองอย่างพินิจพิเคราะห์ “ไม่ว่าจะยังไงนายก็ต้องอดทนให้เหมือนต้นตะบองเพชรนะ” ปลายพูดย้ำประโยคนี้อีกครั้ง ปลายจะพูดย้ำประโยคนี้ไปเรื่อย ๆ เพราะมันก็เป็นการย้ำให้ตัวเองเข้มแข็งด้วย ตองได้ยินแล้วกลับเงียบไม่พูดอะไร เหมือนรับรู้และเข้าใจคำพูดนั้น แต่ไม่รับปากว่าจะทำ
    “โทรบอกที่บ้านหรือยัง?” ปลายถามขึ้นมา
    “ยังเลย งั้นขอไปโทรศัพท์หน่อยนะ” ตองพูดจบก็ออกไปโทรศัพท์ ปลายมองตามไป ยังดีที่ตองยอมโทรบอกคนที่บ้าน ปลายคิดว่ายังไงคนที่บ้านก็ต้องเป็นห่วงถ้าไม่เจอตองอยู่ในบ้าน
    ครู่เดียว ตองก็เดินกลับเข้ามา
    “โทรแล้วเหรอ ทำไมเร็วจัง” ปลายถามงง ๆ ตองเดินมานั่งบนเตรียงข้าง ๆ ปลาย
    “โทรแล้วล่ะ บอกป้านิ่มแล้วว่าถ้ามีอะไรให้โทรมาหาเราที่นี่”
    “พ่อแม่ไม่อยู่เหรอ?”
    “ไม่อยู่ ยังไม่กลับ” ตองตอบสั้น ๆ ปลายเองก็ไม่อยากถามอะไรมาก ตองคงไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้
    “ตอง...จะให้บอกนิดกับเจนไหมว่านายอยู่กับเรา” ปลายถามเพราะอยากให้เพื่อนสนิททั้งสองคนรู้ว่า ตองอยู่กับเธอ และพร้อมที่จะมาพูดคุยให้สบายใจขึ้น แต่ตองก็ยังคงนิ่งเงียบ
    “เมื่อวานนายพูดกับเจนแรงไปนะ นิดก็พลอยโมโหไปด้วย” ปลายพูดถึงเรื่องเมื่อวาน แฝงความหมายที่อยากให้ตองขอโทษนิดกับเจน
    “เรารู้ว่าเราพูดไม่ดี ตอนนี้เรากำลังใจเสียใจ...เอาอย่างนี้แล้วกัน ไว้ให้เราจัดการปัญหาของเราให้เรียบร้อยก่อน แล้วเราะจะไปหานิดกับเจนที่บ้านเลย” ตองสรุป ปลายยิ้มไม่พูดอะไร คิดว่าอีกไม่นานตองต้องจัดการกับปัญหาของเธอได้แน่ ปลายเชื่ออย่างนั้น
คืนนั้น ปลายนั่งคุยเรื่องต่าง ๆ กับตอง ให้ตองได้หัวเราะออกมาบ้าง ตองก็ดูจะสบายใจขึ้นแต่ถ้าปลายไม่ชวนคุย ตองก็จะนั่งเหม่อ ปลายเลยต้องชวนคุยอยู่เรื่อย ๆ
“เคยฟังไหม? รายการนี้” ปลายถามถึงรายการวิทยุที่ตัวเองฟังอยู่ทุกคืน
“ไม่เคยหรอก ไม่ได้ฟังวิทยุมานานมากแล้ว นายชอบเหรอ?” ตองถามกลับ
“อือ ชอบดี.เจ.” ปลายตอบแล้วหัวเราะเขิน ๆ
“เคยเห็นหน้าเหรอ?” ตองถามต่อ
“ไม่เคย แต่ชอบ เขาจัดรายการสนุกดี” ปลายตอบแล้วก็ฮัมเพลงที่ ดี.เจ.คนโปรดเปิด ตองมองปลายที่สนุกสนานกับเพลงด้วยแววตาเศร้า ๆ
“ดูนายมีความสุขดีนะ น่าอิจฉา” ตองพูดขึ้นมา ปลายหันมาพูดยิ้ม ๆ
“คิดผิดแล้วล่ะ เราไม่ใช่คนที่น่าอิจฉาหรอก เราก็มีความทุกข์เหมือนกับที่คนอื่น ๆ มีนั่นแหละ นายก็เหมือนกันนะ ถึงตอนนี้จะมีความทุกข์ยังไง มองให้มันเป็นเรื่องเล็ก นายก็จะทุกข์น้อยลงและนายก็จะผ่านมันไปได้แน่นอน” ปลายตบไหล่ตองเพื่อให้กำลังใจ
“ขอบใจนะ...เฮ้อ...ง่วงแล้วล่ะ นอนก่อนนะ” ตองตัดบท ขึ้นไปนอนบนเตียงแล้วหลับไปอย่างรวดเร็ว ปลายยังนั่งฟังวิทยุจนหมดช่วงจัดของดี.เจ.ชนกานต์ จึงเข้านอน
กลางดึกคืนนั้น ปลายได้ยินเสียงตองร้องไห้ ถึงแม้วันนี้ปลายจะเห็นตองสบายใจขึ้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว ตองก็ยังเสียใจกับผลเอนทรานซ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
“ตองหนีออกจากบ้านมาอยู่กับนายเหรอ? เราไปหาได้ไหม?” นิดซึ่งโทรศัพท์มาคุยกับปลายแต่เช้า เมื่อรู้เรื่องของตองก็กระตือรือร้นอยากมากหาทันที
“ไม่โกรธเขาแล้วเหรอ เห็นวันนั้นฮึดฮัด ๆ น่าดูเลยนี่” ปลายท้าวความไปถึงเมื่อวันก่อน นิดรีบปฏิเสธ
“ไม่หรอก ก็แค่ไม่พอใจเท่านั้นเอง พอมานั่งคิดดูแล้วก็น่าเห็นใจตองนะ อย่างตองก็น่าจะเอนท์ติดจริง ๆ แล้วเขาก็หวังไว้มาก ใคร ๆ ก็หวังที่เขาไว้มาก“
“แต่ดูท่าทางตองยังเสียใจอยู่มากเลย เราว่านายอย่าเพิ่งมาดีกว่า เมื่อวานตองก็บอกเราว่าถ้าจัดการปัญหาได้เมื่อไหร่จะไปหานายกับเจนเอง”
“ทำไมล่ะ?” นิดโวยเล็ก ๆ “ไม่อยากให้เรากับเจนรู้เรื่องเหรอ ทำไมทำเหมือนเราไม่ใช่เพื่อนกัน”
“คงอยากจะแก้ปัญหาด้วยตัวเองมากกว่า ตองก็แค่เล่าให้เราฟัง แต่ไม่ได้ขอคำปรึกษาจากเราเลย เราก็ปลอบใจตองอยู่เรื่อย ๆ พยายามอย่าให้เขาคิดมาก เราก็ไม่อยากจะพูดเรื่องพวกนี้ให้ตองไม่สบายใจด้วย บางอย่างถ้าลืม ๆ ไปเสียบ้างมันก็ดีใช่ไหมล่ะ” ปลายอธิบายให้นิดเข้าใจ
“งั้นเราจะรอวันที่ตองจะมาหาเรานะ เราขอเล่าเรื่องตองให้เจนฟังด้วยนะปลาย เอ้อ...พรุ่งนี้วันลงทะเบียน แล้วเจอกันที่สถาบันนะ” นิดนัดแนะ
“ได้เลย พรุ่งนี้เจอกัน” ปลายตอบรับ เมื่อวางหูได้สักพักหนึ่ง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก แต่คราวนี้เป็นป้านิ่มโทรมาหาตอง ปลายเป็นคนรับสาย จึงรีบเดินขึ้นชั้น 2 ไปตามตองให้รับโทรศัพท์
“ตอง...ป้านิ่มโทรมาแน่ะ”
“เหรอ” ตองได้ยินก็รีบออกไปรับโทรศัพท์ สักพักเมื่อกลับเข้ามาในห้องก็รีบเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเพื่อกลับบ้าน
“ป้านิ่มโทรมาบอกว่าที่บ้านกำลังแย่” ตองเล่าไปก็เก็บของไป
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ปลายถามต่อ รู้สึกว่าอะไรมันจะปุ๊บปั๊บรวดเร็วเสียเหลือเกิน
“ธุรกิจของแม่เราปิดตัวแล้ว ป้านิ่มบอกว่าแม่กำลังเสียใจมาก ธุรกิจของแม่ไม่เคยล้มเหลวขนาดนี้เลย มันเป็นชีวิตทั้งชีวิตของแม่เลยนะ” ตองเล่าด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงแม่ที่กำลังประสบปัญหาอยู่ เธอเป็นลูก ยังไง ๆ ก็ไม่ทิ้งให้แม่เศร้าโศกอยู่คนเดียวแน่
ปลายช่วยตองเก็บของจนเสร็จ แล้วไปส่งตองที่ป้ายรถเมล์
“ขอบใจปลายนะที่ให้เรามาอยู่ที่บ้านด้วย ฝากขอบคุณคุณแม่กับพี่ปิ่นด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ มีปัญหาอะไรก็มาหาเรานะ ถึงเราจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยเราก็ช่วยรับฟังได้นะ”
“ขอบใจจ้ะ เราไปล่ะนะ” ตองบอกลาแล้วเดินขึ้นรถแท๊กซี่ไป ปลายยืนส่งจนรถเคลื่อนไปจนลับสายตา ปลายจึงเดินกลับบ้าน ปลายขึ้นไปบนห้องนอนเห็นต้นตะบองเพชรของตองยังวางอยู่ข้าง ๆ ต้นตะบองเพชรของเธอ
“ไม่เป็นไร...เดี๋ยวค่อยเอาไปคืนก็ได้”
แต่ใครล่ะจะรู้ว่าต้นตะบองเพชรของตองจะต้องอยู่กับปลายเป็นการถาวร
   
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น