คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Puppy Love รักนะครับ เจ้าหมาน้อยจอมดื้อ! : Chapter 11
Chapter 11
Baekhyun Part
ผมมีความลับจะบอก...
ผมเกลียดปาร์คชานยอล!
เหตุผลหรอ?
1.หมอนั่นตัวสูงเกินไป อยู่ใกล้ๆ ผมแล้วผมจะดูเป็นคนแคระ!
2.หมอนั่นลามก โรคจิต วิปริต บ้ากาม!
3.หมอนั่นชอบบบบบบบบบบบบบ...ชอบทำให้ผมใจเต้นแรง T^T
ข้อสุดท้ายผมไม่อยากยอมรับเลยให้ตายเถอะ! ...แต่มันก็จริงอย่างที่สุด แหง่ะ...ต่อไปนี้ผมจะอยู่ให้ห่างจากเขาอย่างน้อยสามเมตรเพื่อที่เขาจะไม่สามารถมาทำตัวรุ่มร่ามกับผมได้! ผมไม่ชอบผู้ชาย! ผมชอบผู้หญิง! จริงๆ แล้วผมมีคนที่แอบชอบอยู่แล้วด้วยนะ...เธอสวยเหมือนนางฟ้าเลยล่ะ ><
“คยองซู~” ผมร้องเรียกหาคยองซูเพื่อที่จะขอความช่วยเหลือจากเขา วันนี้ผมต้องเข้าไปในตัวเมือง เพื่อที่จะไปช่วยรุ่นพี่ในคณะทำโปรเจคส่งอาจารย์ก่อนจบ ผมหมุนตัวหน้ากระจกอีกครั้งเพื่อตรวจสอบดูว่า ‘หล่อแล้วหรือยัง’
วันนี้ผมอยู่ในชุดที่ดูสบายๆ เหมือนทุกวัน เพียงแต่แตกต่างจากเดิมตรงที่จะพิถีพิถันกับทรงผมและภาพลักษณ์โดยรวมนิดหน่อย ผมใส่ชุดสีเหลืองลายทางสีดำแขนยาวตัวใหญ่ที่รุ่นพี่คนนึงซื้อให้ผมเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา...อ่อ ผมลืมบอกสินะว่าที่โรงเรียนผมฮอตมากแค่ไหน >< นอกจากจะมีไอ้พวกเพื่อนนิสัยเลวๆ ที่ชอบมาจับเนื้อตัวผมแล้วยังมีรุ่นพี่กับรุ่นน้องน่ารักๆ อีกหลายคนที่เทคแคร์ผมอย่างดี~ ดีกว่าเพื่อนชั่วๆ พวกนั้นมากเลยครับ ==’
“สวัสดีบยอนแบคฮยอน” ทันทีที่ผมเดินลงมาชั้นล่างเพื่อตามหาคยองซู ก็มีเสียงของใครสักคนที่ผมไม่คุ้นชินกับเสียงเท่าไรนักร้องทักผมขึ้นมา
“ฮะ...” ผมหันไปตามเสียงเรียกเมื่อครู่ก็พบกับ...คิมจง...จง...จง...จงปล่อยผ่านมันไปเถอะ ==’
“...” ผมปรายตามองเขาเล็กน้อยแล้วก้มหน้าก้มตาเดินตามหาคยองซูต่อโดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย...ก็ผมบอกแล้วว่าผมไม่ชอบเสวนากับคนแปลกหน้า
“หยิ่งชะมัด...”
“!” ผมหันขวับไปจ้องหน้าคนที่พูดประโยคเมื่อสักครู่ทันที...น่ารังเกียจ...เหมือนไอ้เปรตนั่นไม่มีผิด
“วู้วววว ดุซะด้วย” ผมจ้องหน้าเขาด้วยอารุมณ์ขุ่นเคือง นิ้วมือของผมตอนนี้กำหมัดแน่นพร้อมจะเสยปากคนตรงหน้าทุกเวลา
...แต่ไม่เสยดีกว่า
“เน่า...”
“หื้มมม?” คนตรงหน้าของผมขมวดคิ่วอย่างงุนงงเมื่อผมพูดคำว่า ‘เน่า’ ออกมา
“ฮะๆ นายนี่พิลึกคนจริงเลยแบคฮยอน” ผมมองหน้าเขาอีกครั้งก่อนแสยะยิ้มให้อย่างสมเพช...
“ที่ว่าเน่าน่ะ...สันดาร...”
“O_O”
“หึ...”
“เฮ้ยพูดเล่นแค่นี้ด่าสันดารเลยหรอครับคนสวย?”
“สวยป้าแกน่ะสิไอ้ทุเรศ!”
“โอ้โหแฮะ...นายนี่สุดๆ ไปเลย...”
“คยองซูอยู่ไหน”
“ฮะ? มาถามฉันแล้วฉันจะรู้ไหม?”
“ก็ปกติเห็นนายชอบดึงเพื่อนฉันไปกกไว้นี่ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่านายคิดอะไร แค่มองหน้านายฉันก็รู้หมดแล้วว่านายน่ะมันพวกชอบน่ารังเกียจ”
“...เอ่อ...ฉันเคยได้ยินเซฮุนเล่ามาว่านายน่ะปากจัดโคตรๆ แต่ไม่คิดว่านายจะ...”
“จะอะไร!”
“แต่ที่ชานยอลบอกฉันมานี่...”
“อะ อะไรของนายอีกฮะ!” ผมสะดุดทันทีที่ได้ยินชื่อของ...ให้ผู้ชายบ้ากามนั่น
“ชานยอลบอกฉันวานายเป็นคนน่ารักปากหวาน ตอนแรกก็นึกว่าไอ้หวานที่ว่าน่ะ หมายถึงนายพูดเพราะ แต่เห็นอย่างนี้คงไม่เกี่ยวกับคำพูดแล้วล่ะ คงจะเป็น ‘ปากกับลิ้น’ แล้วล่ะมั้งที่หวานน่ะ...”
“ไอ้ ไอ้...” โถ่เว้ย! ผมนึกชื่อไอ้ดำนี่ไม่ออก T^T
“อ้าวตื่นแล้วหรอแบคฮยอน...โอ๊ะ สะ สวัสดีครับคุณจงอิน”
“ฝากไว้ก่อนเถอะไอดำตูดไก่~”
“หื้มมมม? O_O”
“คยองซูไปไหนมา” ผมวิ่งไปหาคยองซูที่เพิ่งมาใหม่แล้วจับแขนเล็กเขย่าแรงๆ เหมือนเด็กขอของเล่น...แม้จริงๆ แล้วผมก็ไม่ใช่เด็กๆ ก็ตาม ==’
“ไปเตรียมอาหารให้นายที่ห้องครัวไง”
“นี่ๆ วันนี้ฉันต้องไปซ้อมละครที่โรงเรียนนายไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
“อ่า...คงไม่ได้หรอกแบคฮยอนวันนี้ฉันก็ต้องไปทำงานที่ไร่นะ”
“ไม่ไปสักวันนึงไม่ได้รึไงกัน...”
“ไม่ได้หรอก...อ๊ะ! ฉันรู้แล้ว นายไปกับคุณชานยอลสิ”
“มะ ไม่! ฉันจะนั่งรถแท็กซี่ไปเอง”
“ที่นี่ไม่มีรถวิ่งเข้ามาหรอกนะ นายต้องเดินออกไปพ้นจากเขตไร่ของคุณชานยอลเลยนายถึงจะเจอถนนใหญ่ที่มีรถสัญจร”
“งั้นฉันจะเดินออกไปเอง”
“ไม่ได้หรอกแบคฮยอนมันไกลมากเลยนะ ถ้านายเดินไปครึ่งชม.ก็ยังไม่ถึง...”
“โอ๊ย! นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ อะไรกัน บ้านออกจะใหญ่โตแต่ไม่มีรถสัญจรเลย แน่ใจนะว่าบ้านคนรวย? ทำไมมันดูกันดารกว่าแถบบ้านนอกงี้อ่ะ!” ผมบ่นยาวพลางกอดอกทำหน้าย่นเล็กน้อยเพื่อแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจของผม...อะไรมันจะกันดารขนาด...
“ก็ฉันบอกแล้วว่าให้นายไปกับคุณชานยอลน่ะ” ให้ตายก็ไม่ไปหรอก!
“นั่น! รถหน้าบ้านสองคันเป็นของใคร?”
“ของ...”
“ของฉันกับของชานยอลนายจะทำไม? ขับรถเป็นหรอ?”
“...นาย!” ในเมื่อไม่มีทางเลือกไหนอีกแล้วผมจึงตัดสินใจชี้เข้าไปที่หน้าของคิมจงอิน
“ไปส่งฉันหน่อยสิ...”
“ฮะ? จะบ้าหรอเมื่อกี้นายยังด่าฉันอยู่เลยคนสวย แล้วไหงตอนนี้มาชี้หน้าบังคับฉันล่ะ”
“...” นั่นสิ ==’ ผมเพิ่งด่าหมอนี่ไปหยกๆ จะมาใช้เขามันก็คงจะแปลก
“อีกอย่างนะ...ฉันต้องไปส่งคยองซู ฉันไปส่งนายไม่ได้หรอก นายไปหาไอ้ชานยอลเอาแล้วกัน”
“อ๊ะ! คุณจงอิน...” พูดจบจงอินก็คล้องคอลากคยองซูที่รักของผมออกไปเฉยเลย...ไอ้บ้านี่! ไอ้ ไอ้...โอ๊ยยยย ไอ้คยองซูแม่งก็ใจง่ายยยยยยยยยย T^T
ก๊อกๆๆ...หลังจากที่ผมตัดสินใจอยู่นานผมก็ค้นพบแล้วว่า...ผมไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ จะให้ผมเดินไปยังไงไหวล่ะ แค่เดินพ้นเขตบ้านนี้ไปไม่ถึง 5 นาทีผมก็เมื่อยขาจนต้องเดินกลับมาที่เดิมแล้วล่ะ...
“หืม? นายมีธุระอะไร...” เจ้าของห้องเปิดประตูออกมาในสภาพที่ไม่น่ามองนัก ร่างกายของเขาเปลือยเปล่าท่อนบน มีหยดน้ำเกาะพราวอยู่เต็มลำตัว ที่หัวของเขาก็เปียกซก...ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าเพิ่งอาบน้ำมา
“วันนี้นายว่างหรือเปล่า?”
“...”
“ว่างรึเปล่า?” ผมพูดกับคนตัวสูงโดยที่ไม่มองหน้าเขาแม้แต่น้อย...จะให้ผมมองยังไงไหวล่ะ ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้หัวใจเต้นไม่ปกติ T//T
“ทำไม...นายจะชวนฉันไปเดตหรือไง”
“บ้า! ฉันไม่หลงผิดมาชวนนายเดตหรอกน่ะ!”
“เอ้า! งั้นมีอะไรก็ว่ามาสิ ถ้าไม่มีธุระจริงๆ ฉันจะปิดประตูแล้วนะ” วันนี้มาแปลก...ปกติหมอนี่ต้องแสดงท่าทางหื่นกามใส่ผมตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เจอกันแล้วสิ...หรือว่านี่คืออารมณ์ปกติของเขา ที่ผ่านมาเขาแค่แกล้งล้อเล่นกับผมเฉยๆ?
“คือว่า...นาย...”
“-*-”
“นายไป...ไป”
ปังงงงง~ O_O ไอ้บ้าปาร์คชานยอล! มันกล้าดียังไงมาปิดประตูใส่หน้าผม!
“ปาร์คชานยอล! ฉันยังพูดไม่จบเลยออกมานะ!”
ปังๆๆๆๆ เสียงทุบประตูรัวดังขึ้นด้วยฝีมือของผมเอง ผมทุบประตูพร้อมร้องเรียกเขาอยู่ประมาณสามนาทีผมก็เรื่องเบื่อ...ทุบจนมือแดงไปหมดแล้ว...
แกร็ก... ==; เสียงเปิดประตูดังขึ้นเบาๆ...คือผมบิดมันเอง...ใครจะไปรู้ว่ามันไม่ได้ล็อคน่ะ (;_;) ผมจะเสียเวลาเคาะมันนานๆ ไปเพื่ออะไร...
ผมสาวเท้าเดินเข้าไปในห้องของชานยอลเรื่อยๆ...มองซ้ายมองขวา...ห้องของเขาใหญ่และดูสะอาดตามากเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าห้องเขาจะต้องรกและสกปรกแท้ๆ ผมเดินสำรวจได้สักพักก็นึกขึ้นมาได้ว่า...ผมต้องหาเจ้าของห้องนี้ถึงจะถูก
เมื่อผมก้าวเดินไปเรื่อยๆ ก็พบกับประตูห้องๆ หนึ่งที่เปิดแง้มเอาไว้ และผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรผมถึงได้มั่นใจว่าชานยอลจะต้องอยู่ในห้องๆ นี้แน่
แอ๊ดดดดดด~
“O//O” เมื่อผมแง้มประตูบานนี้อย่างแผ่วเบาโดยนึกไม่ถึงว่าจะพบเจอกับอะไรด้านใน ภาพที่ผมเห็นคือชานยอลใส่กางเกงยีนขายาวที่เปลือยท่อนบนเหมือนตอนแรกกำลังหยิบเสื้อเชิ้ตออกมาจากตู้เสื้อผ้าพร้อมกับสวมใส่เสื้อตัวนั้นเอาไว้โดยไม่ได้ติดกระดุม...ให้ตายเถอะ...เรียกเลือดเป็นบ้า =//=
“เพิ่งรู้หรอว่าประตูไม่ได้ล็อคน่ะ” ร่างสูงพูดออกมาโดยที่ไม่ได้มองมาทางผมสักนิด เขารู้ได้ยังไงกันว่าผมเปิดประตูห้องของเขาเข้ามา?
“ตกลงนายมีธุระอะไร” ชานยอลยังคงพูดโดยไม่มองหน้าผมเหมือนเดิม เขาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าอีกตู้หนึ่งก่อนจะก้มลงไปเปิดลิ้นชักล่างเพื่อคุ้ยหาอะไรสักอย่าง ผมจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องของเขาแล้วนั่งลงที่ปลายเตียง
“คือว่าวันนี้นายว่างไหม?”
“ฉันก็ถามนายอยู่นี่ไงว่ามีธุระอะไร”
“คือว่า...นายช่วยขับรถไปส่งฉันที่โรงเรียนได้หรือเปล่า”
“หื้ม...นายยังเรียนม.ปลายอยู่หรอ?”
“มหาลัยแล้วต่างหากล่ะ!”
“==’ แล้วใครใช้ให้เรียกว่าโรงเรียน?”
“มันก็เหมือนกันไม่ใช่หรอ? ตกลงนายจะไปส่งฉันไหม? ถ้าไม่ส่งฉันจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาขอร้อง”
“...ถ้าฉันช่วยนายแล้วจะได้อะไรจากนายเป็นการตอบแทนล่ะ?” หมอนี่คงไม่มีน้ำใจพอที่จะช่วยผมอย่างจริงใจสินะ
“ไม่มี”
“โห...ฉันต้องเปลืองน้ำมันขับรถไปส่งนายตั้งไกลแถมยังเสียเวลาไปฟรีๆ โดยที่ไม่ได้อะไรเลยเนี่ยนะ? นายนี่ใจร้ายชะมัดเลย”
“อะ อะไรล่ะ! ก็ฉันไม่มีอะไรจะให้นี่!”
“งั้น...” ชานยอลหยิบผมขนหนูผืนนึงออกมาจากลิ้นชักแล้วเดินตรงมาที่ผม...และ...ยื่นผ้าขนหนูผืนนั้นมาให้
“อะไร?”
“เช็ดผมให้ฉันหน่อยแล้วฉันจะพาไป”
“ห้ะ?...ตัวนายสูงอย่างนี้แล้วฉันจะเช็ดหัวให้นายได้ยังไงกัน?”
“นั่นสินะ...” ชานยอลนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะก้าวขาขึ้นไปนั่งบนเตียงแล้วยืดขาเหยียดตรงพร้อมกับกวักมือเรียกผม...
“อะไร?”
“ขึ้นมาสิ” ถึงผมจะงงกับคำพูดของเขาแต่ผมก็ยังปีนขึ้นไปบนเตียงอย่างมึนๆ แล้วยืนบนเตียงพลางจ้องมองคนตัวสูงที่นั่งอยู่บนเตียงอย่างต้องการคำตอบ...ชานยอลไม่พูดอะไรหากแต่เขาเอื้อมมือมาจับแขนซ้ายของผมที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายของตัวเขาแล้วออกแรงกระตุกมือผมจนผมเซไปทางด้านขวาของตัวเขาแล้วล้มลง...เพราะเหตุนี้จึงทำให้ผมต้องมานั่งจุ้มปุกคร่อมอยู่ที่...ต้นขาของเขา
“เฮ้ย! นายทำบ้าอะไรเนี่ย!”
“ก็นายตัวเตี้ยเช็ดผมให้ฉันไม่ถึงไม่ใช่หรอ? ฉันก็หาทางทำให้นายเช็ดได้อยู่นี่ไง”
“ก็หาวิธีอื่นก็ได้! ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ” ผมพยายามจะแกะมือของเขาที่กดไหลของผมอยู่ทั้งสองข้างแต่มันก็ไม่เป็นผล...นี่สาบานได้ไหมว่าคือมือคนธรรมดาไม่ใช่มือทากาวตราช้าง T^T
“จะเช็ดไหม? ถ้าไม่เช็ดก็ไปหาคนอื่นเอาเองแล้วกันฉันไม่ช่วยหรอก”
“กะ ก็ได้! เห็นว่าครั้งนี้ฉันจำเป็นหรอกนะ...” ถึงปากจะพูดไปอย่างนั้นแต่เอาเข้าจริงๆ แล้วผมมือสั่นมากๆ เลยล่ะ T^T ใครจะไปกล้าเช็ดวะ หน้าหางกันแค่คืบ แถบผมยังนั่งคร่อมเขาอยู่อีกต่างหาก
ผมพยายามเช็ดผมของเขาให้เร็วๆ เพื่อที่มันจะได้แห้งไวๆ ผมไม่อยากอยู่ในสภาพนี้นานนักหรอกนะ...แม้ว่าผมจะเช็ดไปก้มหน้าไปแต่มันก็กลับไม่ทำให้จิตใจผมสงบลงเลยสักนิด ทำไมน่ะหรอ? ก็หมอนี่ยังไม่ได้ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตนะสิ! คุณพระ...เงยหน้าก็เจอหน้า ก้มหน้าก็เจอเป้า...เอ้ย...หน้าท้อง
...งั้นหลับตาแทนแล้วกัน...
“อ๊ะ!” ผมที่กำลังหลับตาเช็ดผมให้ชานยอลอยู่ถึงกับสะดุ้งเฮือกทันที...
“นาย! มาจับเอวฉันไว้ทำไมเนี่ย! ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ” ผมหยุดการเช็ดผมให้ชานยอลแล้วตีแขนแกร่งของเขาแรงๆ หลายที ไอ้บ้านี่มันไม่เลิกลามกจริงๆ ด้วย T^T
“”
“ปละ ปล่อยสิ!” ผมออกแรงแกะมือหนาอีกครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล...มือมันเกาะเหนียวแน่นหนึบมากเลยครับ T^T
“”
“นี่! อย่ามาทำหน้าตาอย่างนี้ใส่ฉันนะ เมื่อกี้นายยังทำตัวนิ่งๆ อยู่เลย ><”
“สนใจด้วยหรอ?”
“สนใจอะไร อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะ เอามือออกไป นี่ๆๆๆ”
“สนใจที่ฉันแปลกไปยังไงล่ะ...แสดงว่านาย...”
“ง่ำ!~”
“โอ๊ยยยยยยยย”
“สมน้ำหน้า! ฉันจะวิ่งไปรอที่รถนะ รีบๆ ลงมาล่ะไอ้เกย์บ้ากาม!” ผมผลักชานยอลออกไปแรงๆ จนร่างสูงหงายหลังแล้ววิ่งหนีลงไปข้างล่างอย่างไม่คิดชีวิตพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักของผม...
...ก็เมื่อกี้ผม ‘กัดหัวไหล่’ เขา...
“แสบมากนักนะ!”
“”
“อย่ามายิ้มยั่วฉันนะแบคฮยอน”
“”
“!”
“”
“โว่ย! คราวนี้ฉันจะยอมให้นะ! บอกมาสิว่านายเรียนที่มหาลัยไหน!”
“มหาลัยอี”
“...”
“”
“หยุดยิ้มซักทีได้ไหม!”
เมื่อรถของชานยอลขับมาถึงคณะของผม ก็มีแต่คนมองจ้องรถคันนี้... Lamborghini ... คงจ้องเพราะว่ามันแพงสินะ ==’
“จอดตรงนี้แหล่ะ” ผมบอกให้ชานยอลจอดรถไว้ที่หน้าคณะ ก่อนที่ผมจะปลดเบลท์แล้วลงจากรถด้วยตัวเอง แล้วเดินตรงเข้าไปหน้าลานของคณะทันที
“แบคฮยอนนนนนนนนนน” ไม่ทันที่ผมจะเดินถึงลานคณะ ‘พี่ซูโฮ’ พี่รหัสของผมก็วิ่งมาหาผมด้วยรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว
“อุบบบบบ” ผมร้องขึ้นมาเมื่อพี่ซูโฮวิ่งเข้ามากอดผมเอาไว้แน่น...
“พะ พี่ซูโฮ ผมหายใจไม่ออกครับ”
“โอ๊ะ พี่ขอโทษ พอดีพี่คิดถึงแบคฮยอนมากไปหน่อย...ไปด้านในกันเถอะ...”
“ครับผม ^^” ผมยิ้มให้พี่ซูโฮอย่างจริงใจ พี่ซูโฮคือคนที่ผมบอกว่าเขาดูแลและเทคแคร์ผมดีมากเลยล่ะ ><
“ว้าวววว เสื้อตัวนี่...”
“แบคฮยอน!” ผมหันไปมองทางต้นเสียงอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆ ชานยอลก็ตวาดลั่นจากด้านหลัง
“อะ อ้าว...นายไม่กลับบ้านไปหรอกหรอ?”
“เปลี่ยนใจแล้วฉันจะอยู่รอนายเอง!” ผมงุนงงกับท่าทางที่แปลกไปของเขาเล็กน้อย...จู่ๆ ก็อารมณ์เสียซะงั้น?
“ใครหรอแบคฮยอน?” พี่ซูโฮที่ยืนมองอึ้งอยู่นานก็พูดถามออกมาด้วยความสงสัย...
“แฟนครับ!”
“เฮ้ยไม่ใช่! นายเป็นบ้าอะไรของนายเนี่ยชาน...”
“ไม่เอาน่ะแบคฮยอนฉันนึกว่าเราเคลียร์กันแล้วนะ อย่ามาง้องแง้งได้ไหม...อ่าขอโทษด้วยนะครับ แฟนผมเวลางอนมักจะชอบพูดว่าไม่ได้เป็นอะไรกันน่ะครับ”
“จะ จริงหรอแบคฮยอน นายมีแฟนแล้วหรอ?”
“มะ ไม่ใช่นะครับ ไอ้บ้านี่นาย”
ฟอดดดดดดดดดดดดดดด~
“O//O”
“เห็นไหมครับ? ถ้าคนไม่ใช่แฟนกันทำไม่ได้หรอกครับ ^[++]^”
“อ่ะ เอ่อ...งั้นพี่ไปรอในตึกนะ รีบตามมาล่ะ”
“^[++]^”
“นะ นาย! มาหอมแก้มฉันทำไมเนี่ย!” คล้อยหลังพี่ซูโฮไปแล้วผมก็ตวาดคนข้างๆ ผมลั่น! ไอ้บ้าปาร์คชานยอล! มันบังอาจมาหอมแก้มผม T^T
“อะไร? ทำแค่นี้ไม่ได้หรือไง มากกว่านี้ก็ทำมาแล้ว...”
“ทำอะไร!”
“ทำอะไร? นายก็น่าจะรู้ตัวสิ”
“ปะ ปาร์คชานยอล!”
“”
“อย่ามายิ้มกวนประสาทฉันนะ!”
“” ฮือออออ ที่มันวันยิ้มกวนกันแห่งชาติหรือไงเนี่ยยยยยย T^T
“แบคฮยอนนนนนนนน~” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ต่อว่าคนตัวสูงก็มีเสียงเรียกจากใครคนนึงดังขึ้น...
“อ้าวพี่ซิ่วหมินสวัสดีครับ”
“เฮ้ยยยยยยย เสื้อตัวนี้นี่มัน”
“>//<”
“ไม่เบานะเราเนี่ยยยย”
“เสื้อตัวนี้ทำไมหรอครับ?” ผมหันไปมองคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมด้วยความสงสัย...เขาจะมาอยากรู้อะไรกัน
“เห...นายเป็นใครล่ะเนี่ย?”
“ผมชื่อปาร์คชานยอลครับเป็นแฟนกับ...”
“เป็นเพื่อนนนนนนนนนน!” ผมตะโกนเสียงดังอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้เขาพูดประโยคอะไรน่าขนลุกออกมาอีก ...ทำให้เขาทำท่าทางฮึดฮัดขึ้นมาเล็กน้อย
“อ้าวหรอ...ยินดีที่ได้รู้จักนะชานยอล”
“ครับ...เสื้อนี่ทำไมครับ”
“นายจะอยากรู้ไปทำไมกันฮะ!” ผมหันไปเหวใส่คนข้างๆ ทันที อะไรมันจะมาอยากรู้เรื่องของผมขนาดนั้นฮะ?
“ฉันจะรู้ไม่ได้รึไง มีอะไรน่าปกปิด หรือว่าไปขโมยใครเขามา”
“ฮ่าๆ ชานยอลนี่เป็นคนตลกนะ แบคฮยอนไม่ได้ขโมยใครมาหรอก แต่เสื้อตัวนี้เนี่ยหวานใจของแบคฮยอนเขาให้มา...”
“หวานใจ?”
“มะ ไม่ใช่นะครับ พี่เขาไม่ใช่หวานใจของผมสักหน่อย...”
“อ๋อ ลืมไปสินะ นายต่างหากที่เป็นหวานใจของซูโฮน่ะ”
“ซูโฮ? ที่ตัวเล็กๆ ขาวๆ ท่าทางติ๋มๆ หน่อยใช่ไหมครับ?”
“ฮะ...เอ่อ..ก็น่าจะใช่...แต่เพื่อนพี่ไม่ติ๋มนะไอ้น้อง เห็นหน้าหวานๆ อย่างนั้นนี่ไวไฟไม่เบา ตามจีบแบคฮยอนจนแบคฮยอนเกือบจะติดกับแล้วใช่ไหมล่า~”
“มะ ไม่ใช่ครับ >//< ผมยังชอบผู้หญิงอยู่นะ”
“จะไปซ้อมละครได้รึยัง...”
“ฮะ...” ผมหันไปมองชานยอลอีกครั้งเมื่อเขามีปฏิกิริยาที่แปลกไปเรื่อยๆ หน้าตาของเขาตอนนี้ดูนิ่งๆ ไร้อารมณ์ที่สุด แต่น้ำเสียงของเขากลับดูเย็นชาเหมือนกำลังโมโหอะไรอยู่...ไม่ได้กินยาระงับประสาทหรือไงกัน ==’
“ฮ้าาาาา ดูท่าทางพี่ว่าชานยอลจะไม่ได้คิดกับนายแค่เพื่อนนะแบคฮยอนนนน~”
“อะไรกันพี่ซิ่วหมินนนนน!” พี่ซิ่วหมินทิ้งคำพูดชวยสยดสยองไว้ให้ผมคำโต ก่อนจะวิ่งเข้าไปทางคณะโดยไม่มองมาทางผมเลย และผมทำได้เพียงตะโกนตามหลังพี่ซิ่วหมินเท่านั้น ...พี่ซิ่วหมินนิสัยไม่ดีอ่ะ
“นี่นาย! เป็นบ้าอะไรจู่ๆ ก็ดูอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาฮะ”
“เปล่า...จะไปซ้อมไหมละคร ถ้าไม่ซ้อมฉันจะพานายกลับแล้วนะ”
“ไม่! ผมไม่แสดงบทนี้เด็ดขาด!”
“โธ่แบคฮยอนถือว่าช่วยพวกพี่เถอะนะครับ”
“ไม่ครับ! ถ้าผมไม่ได้เล่นเป็นเจ้าชายก็ให้ผมเล่นเป็นตัวประกอบดีกว่าครับ อย่าให้ผมมาเล่นบทอะไรประหลาดๆ แบบนี้เลย ผมไม่เอาด้วยหรอก”
“ก็ตัวประกอบไง...”
“บทนางเอกเนี่ยนะตัวประกอบ!” ผมตวาดลั่นกองทันทีที่ผมได้รับรู้บทที่ผมต้องเล่น...บทซินเดอเรลล่า...นี่ละครจริงๆ หรอ? นี่มันละครเกย์ชัดๆ!
“ไม่ดีหรอครับ บทพระเอกก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาก็เป็นเพื่อนน้องแบคฮยอนนี่ไง...” ก็ไอ้พระเอกมันเป็นไอ้บ้านั่นไง มันเลยยิ่งทำให้ผมไม่อยากเล่น! คุณรู้ไหมว่าปาร์คชานยอลเป็นคนดังมาก! พวกรุ่นพี่ในกองบอกผมว่าเขาเป็นเดือนคณะของมหาลัยโอที่ตั้งอยู่ในระแวกเดียวกับมหาลัยของผม...ผมก็เพิ่งรู้ว่าหมอนี่มันฮอต! หน้าตาก็บ้านๆ ตัวก็สูงอย่างกับเปรต เนี่ยนะเดือนคณะ? ใครลงคะแนนให้นี่ตาต่ำมากเลยเหอะ!
“ไม่ ไม่ จะเป็นใครก็ไม่ทั้งนั้น ผมเป็นผู้ชายนะครับพี่! พี่จะให้ผมมาเล่นเป็นผู้หญิงได้ยังไง ผมไม่เอาด้วยหรอก...”
“เอาน่า...ถ้าแบคฮยอนช่วยนะ พี่จะช่วยกันแบคฮยอนจากพวกเพื่อนๆ ที่ชอบมาลวนลามโอเคไหม? พี่ยอมเป็นบอดี้การ์ดให้จนกว่าจะจบเลย”
“ฮะ?...” เหมือนพี่ๆ จะรู้จุดอ่อนของผม จุดอ่อนข้อที่ว่าผมต้องการคนดูแล T^T
“เอายังไง? ถ้าช่วบพี่ พี่ช่วยน้องนะ...” ผมลังเลกับคำตอบอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะตัดสินใจตอบตกลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้...ถ้าคิดถึงผลตอบแทนมันก็คุ้มนะ เปิดเทอมมาผมจะได้ไม่ต้องโดนฝ่ายปกครองเรียกอีก
“กะ ก็ได้ครับ แต่ทำไมพระเอกต้องเป็นหมอนั่นด้วยล่ะ เขาไม่ได้อยู่มหาลัยเดียวกับเราสักหน่อย”
“เพราะเขาอยู่คนละมหาลัยไง เราจะมีโอกาสเรียกสาวๆ จากมหาลัยโอมาดู เราก็เก็บค่าบัตรแพงหน่อย แค่นี้เราก็หาเงินเข้าคณะได้แล้ว!” จริงๆ พวกพี่เขาคิดถึงแต่เรื่องเงินสินะ...
“คนอื่นไม่ได้หรอ...”
“คนอื่นก็มีแต่ไอ้จงแดแล้วล่ะครับ”
“เฮ้อ...งั้นผมเล่นกับเขาก็ได้...แต่ไม่มีฉากจูบใช่ไหม!”
“อ้อ...” ระ รอยยิ้มประหลาดๆ อีกแล้ว... ผมชักสังหรณ์ใจไม่ดีแล้วสิ... ==’
“ชิ!” ผมจิปากแสดงความหมั่นไส้ออกมาใส่ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า...ปาร์คชานยอล
“อะไรของนาย...”
“หมั่นไส้” จะไม่ให้ผมหมั่นไส้ได้ยังไงกัน วันนี้ตอนซ้อมบทพี่ๆ สต๊าฟผู้หญิงเอาแต่คอยดูแลหมอนั่นแทนที่จะเป็นผม แล้วพอเลิกซ้อมเขาก็พาผมมานั่งกินไอศกรีมในห้าง...แต่มันจะบรรยากาศดีกว่านี้ถ้าเขาไม่คอยโปรยเสน่ห์ให้กับสาวๆ ที่จ้องมองเขาอย่างกับจะกินเข้าไปทั้งตัว
“อะไร นายหึงหรอ?”
“หึงบ้าอะไรล่ะ รำคาญ!”
""
"ยะ ยิ้มบ้าอะไร!"
เฮ้อออออออ วันนี้เป็นวันที่น่าหงุดหงิดที่สุดในโลกเลยยยยยยยยย T^T ผมเบื่อไอ้หื่นกามนี่มากเลยล่ะครับ นอกจากจะชอบยิ้มกวนประสาทผมแล้วยังบังคับให้ผมป้อนไอศกรีมต่อหน้าสาวๆ พวกนั้นอีกด้วย! ตอนแรกผมก็ไม่ยอมทำหรอก จะให้มาทำอะไรทุเรศแบบนี้มันไม่ใช่ผมเลย แต่ผมก็ต้องทำเพียงเพราะเขาบอกว่า ‘ถ้าไม่ทำฉันจะจูบนายโชว์’ พอผมตั้งท่าจะแข็งขืนเขา เขาก็พูดออกมาอีกว่า ‘นายก็รู้ว่าฉันทำได้อย่างที่พูดจริงๆ’ นั่นแหล่ะเหตุผลที่ผมต้องทำ (;_;) แล้วพอผมทำปุ๊ปก็มีเสียงซุบซิบที่ดังเหมือนกับไม่ได้ซุบซิบ(?)ดังขึ้นมาว่า ‘ว๊ายตาย สองคนนี้เค้าเป็นคู่เกย์กันแหล่ะเธอ’ ‘คนตัวเล็กต้องเป็นเคะแน่ๆเลย’ ‘ผู้ชายหน้าตาดีหดหายไปจากวงจรอีกสองคนแล้ว’ ‘พวกเขาได้กันเอง’ =_______________=; เคะบ้านป้าแกสิยัยผู้หญิงบ้าาาาาาาาา
“แบคฮยอน!” ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวลงจากรถ (คือว่าชานยอลเพิ่งขับรถกลับมาถึงบ้าน) เสียงเล็กๆ หวานๆ ที่ผมไม่ต้องการจะได้ยินก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฎตัวของพี่ชายที่ผมรังเกียจ...ลู่หาน
“แบคฮยอนเราต้องรีบกลับบ้าน!”
“อะไรของนายเนี่ย!” ผมสบัดแขนที่คนตัวเล็กนี่เกาะผมเมื่อสักครู่ออกอย่างรำคาญ
“พ่อ...พ่อไม่สบาย...”
“พ่อ...” ทันทีที่ผมได้ยินคำว่า ‘พ่อ’ จากปากของลู่หานผมก็รู้สึกกระตุกวูบที่หัวใจ...พ่อของผมป่วยอย่างนั้นหรอ...พ่อจะเป็นอะไรมากไหมนะ
“ทำไมพ่อฉันถึงไม่สบาย”
“แม่โทรมาบอกว่าพ่อไม่สบายตัวร้อนมาก แล้วจู่ๆ พ่อก็หายใจไม่ออกแล้วก็สลบไป”
“แม่...หึ!” ‘จะเดินหนีไปไหนล่ะ...ไอ้เด็กไม่มีใครรักแม้แต่แม่แกก็ทิ้งแกไป’
“เรากลับบ้าน...”
“ไม่! ในเมื่อมีแม่ของแกอยู่ดูแลพ่อฉันแล้ว ฉันก็คงไม่ต้องเสนอหน้าไปหรอก”
“แบคฮยอนนั่นพ่อนายนะ!”
“พ่อฉันแล้วทำไม! ก็ตอนนี้พ่อฉันมีแม่แกคอยกกอยู่แล้วนี่”
“แบคฮยอนนายพูดอย่างนี้กับแม่ของพี่ไม่ได้นะ!”
“พี่ พี่ พี่! เลิกพูดว่าตัวเองเป็นพี่ฉันสักทีฉันไม่นับแกเป็น...”
“แบคฮยอนหยุดพูดจาทำร้ายลู่หานได้แล้วนะ!” เสียงตวาดกร้าวของคนตัวสูงเจ้าของบ้านที่ยืนฟังบทสนทนาของผมได้สักพักดังขึ้นเพื่อยุติการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างผมกับลู่หาน...แต่ใครสนล่ะ?
“แบคฮยอนพี่ขอร้อง...”
“ไม่!” สิ้นเสียงคำตอบผมก็ผลักลู่หานให้พ้นทางแล้ววิ่งขึ้นห้องโดยไม่หันกลับมาสนใจคนที่ล้มลงกับพื้นเลยสักนิด
“เป็นอะไรมากไหมลู่หาน?” คนตัวสูงยืนมองเพื่อนชายของตัวเองพักนึงก่อนจะเอื้อมมือไปจับนิ้วเรียวให้ลุกขึ้นจากพื้นด้วยความเหนื่อยใจ ...ทำไมไม่เข็ดสักทีน๊าลู่หาน...
“ไม่...ฉันไม่เป็นไร...”
“เฮ้อ...น้องชายนายนี่ดื้อเอาเรื่องเหมือนกันนะ”
“ป้าเยจินบอกฉันว่าเขาแค่หวงพ่อของเขา แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่ของฉันไปทำอะไรไว้ เขาถึงได้เกลียดแค้นแม่ของฉันขนาดนี้”
“แล้วเอาไงล่ะทีนี้ ดูท่าทางน้องชายของนายจะไม่ยอมไปเยี่ยมพ่อของเขาเลยหนิ”
“...นายพอจะช่วยฉันได้ไหมล่ะ?” ช่วย...งั้นหรอ?
“ด้วยความยินดีครับ”
Chanyeol Part
“คยองซูคืนนี้นายไปนอนห้องฉันนะ”
“ครับ?”
“ถ้าไม่กล้านอนก็ไปนอนกับไอ้จงอิน”
“คะ คือ...”
“ไม่ต้องกลับไปที่ห้องของตัวเอง แม้แต่แตะบานประตูก็ห้ามเข้าใจไหม?”
“ฮะ...”
“อ้อ...เพราะคืนนี้ฉันจะนอนกับเพื่อนรักของนายเอง”
“อ่า...ผมเข้าใจแล้วครับ” พูดจบผมก็เดินดิ่งตรงไปยังห้องของเป้าหมายทันที...เด็กดื้อต้องเจอกำราบ ว่าแต่เจอคุณชายปาร์คชานยอลอย่างผมเข้าไป เด็กดื้ออย่างแบคฮยอนจะดื้อไปได้กี่น้ำ?
แกร๊ก!~ ผมพยายามเปิดประตูเข้าไปให้เบามือที่สุด เพื่อที่คนด้านในจะได้ไม่รับรู้ถึงการมาของผม แต่เมื่อผมเข้าไปในห้องก็พบกับความว่างเปล่า...บยอนแบคฮยอนหายไปไหน...
ผมเดินสอดส่องไปทั่วห้องแล้วก็ยังไม่เจอคนตัวเล็กที่ผมตามหา หรือว่าจะไม่ได้เดินขึ้นห้อง? แต่นอกจากห้องนอนแล้วแบคฮยอนก็ไมรู้จักห้องอื่นเลยนอกจากห้องนอนของผมกับจงอิน...
“ฮึก...แม่ครับ...” ผมหันขวับไปยังต้นเสียงเมื่อครู่แล้วก็พบว่ามาจากทางระเบียงห้อง...ใช่สิ ผมยังไม่ได้หาแบคฮยอนที่ระเบียงเลย เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็ก้าวขายาวๆ ของผมไปยังระเบียงห้องทันที แต่เหมือนกับว่ายิ่งเข้าใกล้ ยิ่งได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของคนตัวเล็ก
“ผมจะทำยังไงดี...” ตอนนี้ผมยืนอยู่ที่ประตูกระจกแล้ว...และผมก็ยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ ผมไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือไปจับบานประตูให้เปิดออกเพื่อที่จะได้คุยกับร่างเล็ก...ไม่รู้อะไรทำให้ผมเกิดกลัวขึ้นมา แบคฮยอนจะต้องการใครปลอบใจหรือเปล่า? หรือต้องการอยู่คนเดียว? ถ้าปล่อยไว้จะยิ่งร้องไห้หนักหรือเปล่า? หรือถ้าเข้าไปจะยิ่ง...เฮ้ออออออ ความคิดมากมายตีกันยุ่งเหยิงอยู่ภายในหัวผม ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องคิดอะไรเยอะแยะด้วย แต่ก็นะ...สุดท้ายผมก็ทำได้แค่ยืนนิ่งๆ อยู่หน้าประตูเหมือนเดิม
ผมยืนฟังเด็กดื้ออยู่นานก็พอจับใจความได้ว่า เขายังเป็นห่วงพ่อของเขา แต่เขาไม่ไปเพราะมีแม่ของลู่หานอยู่...แล้วก็พึมพำถึงแม่ที่จากไป อ่าาาาา บางทีเด็กน้อยคนนี้อาจจะเป็นคนขี้เหงา
“O_O” แบคฮยอนที่ตอนนี้เช็ดหน้าเช็ดตาเรียบร้อยแล้วเปิดประตูเข้ามาผงะถอยหลังไปเล็กน้อยเมื่อเปิดประตูออกมาเจอผม เอ่อ...ผมที่ยืนแอบฟังอยู่นานก็ตกใจเหมือนกันล่ะ
“นะ นาย...มาตั้งแต่เมื่อไร!”
“ประมาณสิบนาทีเห็นจะได้...”
“...” ผมตอบแบคฮยอนออกไปตามความจริง ทำให้แบคฮยอนก้มหน้าลงเม้มปากแน่น...มือสองข้างของเขากำลังกำหมัดแน่น...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาโกรธผมอยู่
“คือว่าฉันไม่ได้ตั้งใจ...”
“สิบนาทีเนี่ยนะไม่ได้ตั้งใจ!”
“แบคฮยอนใจเย็นๆ สิ”
“ไป! ออกไปให้พ้นหน้าฉันเลย! ออกไป!” เสียงหวานของคนตรงหน้าประกาศกร้าวออกมาด้วยความโมโห มือเล็กๆ ของเขาที่กำอยู่คลายออกแล้วฟาดลงที่อกกว้างของผมรัวๆ
“แบคฮยอนเดี๋ยวก่อน..”
“ออกไป! ไอ้คนไม่มีมารยาท!”
“แบค...”
“ออกไปนะ นายเห็นหมดแล้ว นายได้ยินหมดแล้ว ออกไป!” ด้วยความที่คนตัวเล็กตรงหน้าผมยังคงออกแรงทุบตีและผลักผมไม่ยอมเลิก ผมจึงต้องรวบมือสองข้างนี้ไว้แล้วโอบกอดร่างบางให้อยู่ภายใต้การควบคุมของผม...จะได้กำไรก็ตรงนี้แหล่ะ
“ปล่อยนะ! ออกไปเลย ฮึก...” หยาดน้ำใสๆ รื้นขึ้นมาในดวงตาของแบคฮยอน แต่เขาก็พยายามกัดปากแล้วข่มน้ำตาพวกนั้นเอาไว้
“นายร้องไห้ทำไมแบคฮยอน”
“นาย...ฮึก...นายเห็นหมดแล้วว่าฉันร้องไห้ นายเห็นฉันอ่อนแอ...ปล่อยนะ! ออกไปจากห้องฉันเลยไป!” ถึงแบฮยอนจะขัดขืนและกลั้นน้ำตาไว้แค่ไหน แต่เขาก็ไม่อาจห้ามเสียงสะอื้นของตัวเองได้...เวลาที่เขาร้องไห้แลดูน่าทะนุถนอมมากกว่าแว้ดๆ ตั้งเยอะ ==’
“นายไม่ได้อ่อนแอ การร้องไห้ไม่ใช่ความอ่อนแอ”
“นายมันจะไปรู้อะไร...ฮึก”
“เอาล่ะ ฉันไม่ได้มาตอกย้ำหรือซ้ำเติมนายนะ ฉันแค่จะมาปลอบใจนายก็เท่านั้น”
“ปลอบใจ?” แบคฮยอนดูเหมือนจะอึ้งกับคำพูดของผมเล็กน้อยเพราะเขาหยุดดิ้นไปชั่วขณะ...แล้วก็ชั่วขณะจริงๆ เพราะหลังจากเขาตั้งสติได้ เขาก็จัดการผลักผมให้ออกห่างจากเขาทันที
“ฉันไม่ต้องการ ออกไปจากห้องของฉันซะ”
“ทำไมล่ะ? ฉันก็อยากจะเป็นเพื่อนที่ดีของนายบ้าง”
“เพื่อน...นายออกไปเถอะ” แบคฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนโยนลงก่อนจะเดินหนีผมไปยังห้องนอนของตัวเอง...ดูเหมือนเขาจะเริ่มใจอ่อนแล้วแฮะ....หรือเขาแค่รำคาญนะ =_____________=
“แบคฮยอน...” ผมเดินเข้าไปนั่งลงที่ปลายเตียงข้างๆ เขาอย่างนุ่มนวล โชคดีที่เขาไม่ผลักหรือถีบผมให้หล่นจากเตียงอย่างที่มันควรจะเป็น
“พูดไปนายก็ไม่เข้าใจความรู้สึกฉันหรอก นายออกไปเถอะ ฉันต้องการพักผ่อน”
“ฉันรู้ว่าออกไปนายก็จะร้องไห้อีก”
“!”
“เรามาเล่นเกมกันดีกว่า”
“เกม? นายนี่เสียสติไปแล้วหรือไงฮะ? เห็นไหมว่าฉันกำลังเครียดๆ นายยังจะมาชวน...”
“เกมเล่านิทาน”
“ฮะ?”
“จ้องตากันใครกระพริบตาก่อนคนนั้นต้องเล่าก่อนโอเคไหม?”
“ไม่! อยากจะเล่นก็เลนไปคนเดียวสิ!”
“นับหนึ่งสองสามเริ่มนะ” ผมพูดโดยที่ไม่สนใจคนตัวเล็กสักนิด มือหนาของผมเอื้อมไปจับที่พวงแก้มใสสองข้างนั้นให้หันมามองหน้าผมอย่างบังคับ
“งื้อออ เอามือออกไปจากหน้าฉันนะ!” และแน่นอนที่เด็กดื้ออย่างแบคฮยอนจะต้องเอามือนุ่มๆ มาแงะแกะมือผมออก...คิดว่าสู้แรงฉันได้ก็เอาสิ หึหึ
“นับนะ หนึ่ง สอง สาม!”
“เฮืออออก!” แล้วก็เหมือนเข็มนาฬิกาหยุดหมุนเมื่อใบหน้าของผมพุ่งเข้าไปหาใบหน้าเนียนใสตรงหน้า หน้าผากและปลายจมูกของผมแตะลงกับหน้าผากและปลายจมูกของแบคฮยอนอย่างตั้งใจ ทำเอาคนตัวเล็กนี่นิ่งงันไปโดยปริยาย
ทั้งผมและแบคฮยอนต่างก็จ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ถึงปากจะบอกว่าไม่เล่น แต่พอนับเสร็จร่างบางก็จ้องไม่ยอมกระพริบตา
ห้องทั้งห้องที่ตอนแรกดังไปด้วยเสียงคนสองคนกำลังโต้เถียงกันกลับเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ณ ตอนนี้มีเพียงแค่เสียงหัวใจของคนสองคนเท่านั้นที่กำลังดังแข็งกันอยู่ ใบหน้าขาวเนียนที่ตอนแรกดูธรรมดากลับกลายเป็นสีชมพูระเรื่อเมื่อต้องสบตากับคนตรงข้าม และคนตรงข้ามเองก็รู้สึกว่าเขาต้องการมากกว่าการจ้องมอง...
“ย๊า! ไม่เอาแล้วยอมแพ้แล้ว” แบคฮยอนผลักผมให้ออกห่างก่อนจะโวยวายเหมือนเด็กเล็กๆ
“อ่าาาาา นายยอมแพ้แล้วนายก็ต้องเล่านะ”
“ไม่! นายแหล่ะต้องเล่า เพราะว่านายขี้โกง”
“ฮะ? ฉันไปโกงนายตอนไหนไม่ทราบ”
“ก็นายทำหน้าเจ้าเลห์!”
“เกี่ยว?”
“เกี่ยวสิ! นายแหล่ะเล่าเลย เล่าๆๆๆ!” ผมงุนงงกับคนตรงหน้าเล็กน้อยกับท่าทีที่ดูง้องแง้ง...เผลอๆ จะง้องแง้งมากกว่าเด็กอนุบาลด้วยซ้ำ...ก็ดูหน้าตาของเขาตอนนี้สิ ทำจมูกย่นแก้มป่องน่าหยิกเชียว
“ก็ได้ๆ เห็นว่าวันนี้นายมีเรื่องให้ปวดใจหรอกนะ”
“เฮอะ...” แบคฮยอนเบะปากเล็กน้อยกับคำพูดของผม ก่อนที่จะหันหน้ามองไปอีกทาง ผมส่ายหัวเล็กน้อยให้กับการกระทำน่าเอ็นดูของคนข้างๆ ก่อนจะเริ่มเล่านิทานให้เขาฟัง...นิทานที่ไม่มีคำว่าแฮปปี้อยู่ในเรื่องเลย
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..”
“นานจนจำไม่ได้! ถ้าจะเล่าหนูน้อยหมวกเน่าให้ฉันฟังฉันไม่ฟังนะ” =[]=; ผมล่ะเอือมกับคนตรงหน้าจริงๆ
“ฟังฉันเล่าก่อนได้ไหมเนี่ย นิทานเรื่องนี้ไม่เคยมีใครได้ฟังมาก่อนเลยนะ”
“หรอ...ถ้านายเล่าแล้วฉันเคยฟังมาก่อนล่ะก็ฉันจะถีบนายให้เอวเคล็ดเลยคอยดู”
“เฮ้อออออ เล่าต่อนะ...”
“...”
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีครอบครัวยากจนอยู่ครอบครัวหนึ่งพวกเขาเคยมีทรัพย์สินมากมายมหาศาล มีคนเคารพนับหน้าถือตามากมาย ในทุกๆ วันของพวกเขามีแต่ความสุขโดยไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าฝันร้ายกำลังจะมาหาพวกเขา”
“นิทานบ้าอะไรของนายฟังดูไม่น่าพิศมัยเลยฮะ”
“...และแล้วฝันร้ายก็เข้ามาหาพวกเขาอย่างชัดเจน เมื่อบริษัทที่บรรพบุรุตของสามีได้สร้างมาล้มละลายลงไปเพียงเพราะความประมาท ลูกน้องในบริษัทของสองสามีภรรยาคู่นี้รวมกันยักยอกเงินไปนับสิบล้าน บริษัทที่ใหญ่โตกลับกลายเป็นซากตึกธรรมดาเพียงในชั่วข้ามคืน พวกเขาทั้งสิ้นหวังและหมดกำลังใจ หากแต่มีลูกชายตัวเล็กๆ วัยสิบขวบที่คอยเติมเต็มส่วนที่ขาด กำลังใจในตอนแรกที่หมดไป กลับกลายเป็นมีพลังมากขึ้นอีกครั้ง สองสามีภรรยาเริ่มทำงานเก็บเงินสร้างตัวอีกครั้ง”
“นี่ชานยอล ฉันว่านิทานเรื่องนี้มัน...”
“ชู่วววว” ผมทำท่าจุ๊ปากแล้วเอื้อมมือไปปิดปากบางเบาๆ
“ฟังต่อให้จบสิ...หลังจากที่พวกเขาตั้งใจทำงานกันมาได้สามปี ฐานะของพวกเขาก็ดีขึ้นมาก แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าความโศกเศร้าทุกข์ใจจะยังไม่หมดลงไปเสียทีเดียว เมื่อวันที่ภรรยากำลังจะให้กำเนิดลูกคนที่สองก็เป็นวันสุดท้ายที่เธอและสามีจะได้เห็นรอยยิ้มสุดท้ายของลูกชายคนแรก...เด็กน้อยที่ทนเจ็บปวดโดยไม่ยอมปริปากบอกพ่อกับแม่ว่าเขาป่วย...ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้มาได้ระยะนึงแล้ว...ในวันที่พ่อของเขาพาแม่ไปโรงพยาบาลเพื่อคลอดน้องชายของเขา อาการของเขาก็กำเริบ แต่มันจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าเขาไม่ได้กำลังเดินลงบันได ความเจ็บปวดภายในทำให้เขาไม่มีเรียวแรงอีกต่อไป ร่างบางของเด็กน้อยกลิ้งตกลงมาจากชั้นบนสุดและแน่นิ่งไปในขั้นบันไดขั้นสุดท้าย...”
“...”
“วันฉลองวันเกิดครบรอบสิบขวบของเด็กชายตัวน้อยเป็นวันที่พ่อแม่ของเขาเลือกที่จะเล่าเรื่องพี่ชายของเขาให้ฟัง...หลังจากนั้นเด็กน้อยที่เคยร่าเริงสดใสก็กลายเป็นเด็กเงียบขรึมเพียงเพราะเขารู้สึกว่าตัวเองคือคนที่ทำให้พี่ชายของเขาตาย หากวันนั้นเขาไม่เกิด พี่ชายของเขาอาจจะได้รับการช่วยเหลือทัน...”
“...”
“สองสามีภรรยากลุ้มใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของลูกชาย พวกเขาจึงคอยดูแลเอาใจใส่ลกชายของเขาให้มากขึ้นจนเด็กชายตัวน้อยอายุได้สิบเจ็ดปีพวกเขาก็คิดว่าเด็กเล็กๆ คนนั้นได้กลายเป็นเด็กหนุ่มอารมณ์ดีที่สามารถจะปล่อยให้อยู่ได้เพียงลำพังพวกเขาจึงตัดสินใจบอกลาลูกชายเพื่อไปทำงานในไกลแสนไกลโดยที่ไม่เคยรู้เลยว่า...ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีเด็กชายคนนั้นก็ไม่เคยลืมว่าเขาคือคนที่ฆ่าพี่ชายตัวเอง”
“ไอ้เด็กบ้านั่นน่ะปัญญาอ่อนสิ้นดี มันเกี่ยวกันตรงไหนวะ...”
“หึหึ...ชีวิตของเขาดูเรื่อยเปื่อยเมื่อไม่มีพ่อแม่ ถึงเขาจะต้องการอ้อมกอดที่อบอุ่นมากแค่ไหน มันก็ไม่มีอีกแล้วจนกระทั่งวันนึงคนรับใช้คู่ใจของเขาพาเพื่อนซี้หน้าตาน่ารักคนนึงเข้ามา...นั่นเป็นวันที่เด็กหนุ่มคนนั้นตั้งใจไว้แล้วว่า เขาจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีกับคนๆ นั้นให้ได้เลย แม้ว่าเพื่อนใหม่จะทำตัวน่ารัก ทำตัวตลก ทำตัววุ่นวายเอาแต่ใจหรือทำอะไรก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่หมดความพยายามที่จะสานสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มคนนั้น เขาพยายามที่จะตีสนิท เข้าไปคุย เข้าไปหยอกล้อ หรือแม้กระทั่งเข้าไปปลอบใจ...เหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้...”
“ชะ ชานยอล...หรือว่า...”
“อื้อ...เด็กผู้ชายคนนั้นชื่อ ‘ปาร์คชานยอล’ ยังไงล่ะ”
“...” ผมมองไปที่ใบหน้าของคนตัวเล็กอย่างอ่อนโยน เพราะตอนนี้นัยต์ตาใสเริ่มสั่นระริกมีประกายของหยาดน้ำตา...ผมเอื้อมมือไปปาดน้ำตาให้คนตัวเล็กเบาๆ
“ร้องทำไม นายเป็นเด็กขี้แยหรอ?”
“ฉันขอโทษ...ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย...ฉันเสียใจด้วยนะ”
“อื้อ...เห็นไหมล่ะว่ายังมีใครอีกหลายคนที่ต้องเผชิญกับเรื่องราวเลวร้ายมากกว่านายอีกหลายเท่า...แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ยืนหยัดขึ้นมาได้ เพียงเพราะคำว่า ‘กำลังใจ’ จากคนรอบข้าง...ถึงแม้เราจะไม่ได้สนิทกันมากและฉันก็ชอบแกล้งนายอยู่บ่อยๆ แถมยังไม่รู้อีกว่าทำไมนายถึงไม่ชอบแม่ใหม่กับลู่หานแต่ว่าถ้าให้ฉันพูดถึงลู่หานที่รู้จักมานานฉันก็บอกได้เลยว่าเขาเป็นคนดี...”
“...”
“สู้ๆ นะ...ยังไงซะพายุก็ไม่ได้พัดอยู่ตลอดเวลาหรอกนะ...”
“ฮึก...ขอบใจนะ” ผมยิ้มให้เขาเล็กน้อยแล้วโอบกอดร่างเล็กที่กำลังสะอึกสะอื้นอย่างห่วงใย...ร่างกายบอบบางยังคงสั่นเทาอยู่สักพักก่อนที่จะเริ่มหยุดลง...
ผมค่อยๆ ผละคนตัวเล็กออกจากอ้อมกอดช้าๆ จะก้มหนาลงไปจูบเบาๆ ที่เปลือกตาของแบคฮยอนก่อนที่ไล้ต่ำลงมาเรื่อยๆ แล้วหยุดลงก่อนที่ได้สัมผัสริมฝีปากอวบอิ่ม
“นอนได้แล้วนะ พรุ่งนี้ค่อยตื่นมาเริ่มต้นใหม่โอเคไหม?”
“อะ อื้อ...” ในตอนนี้สีหน้าของแบคฮยอนเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างชัดเจน ผมมองหน้าหวานอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยุงตัวร่างบางให้ขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทางที่เหมาะสม
ตุ้บบบบ~
“อะ อ้าว...นายมานอนข้างฉันทำไม”
“คืนนี้ฉันนอนห้องตัวเองไม่ได้”
“ฮะ?”
“คยองซูบอกว่าคืนนี้อยากจะนอนห้องของฉันเพราะว่าอยากลองนอนเตียงใหญ่บ้าง เขาก็เลยไล่ฉันมานอนกับนายเนี่ย...”
“ไอ้เจ้าบ้านี่!”
“มามะ มานอนกอดกันให้อบอุ่น~”
“ฮะ เฮ้ยยยย ไม่เอานะ ปล่อยสิ! มันร้อนจะตายชัก! นี่!” ร่างเล็กดิ้นขลุกขลักอยู่ภายในอ้อมอกอันแข็งแกร่งของผม...ผมไม่ได้โรคจิตนะ แต่การนอนกอดแบคฮยอนมันทำให้ผมไม่อยากจะปล่อยเลยให้ตายเถอะ นุ่มยิ่งกว่าหมอนข้างห้องผมอีก
“แบคฮยอน...เงยหน้าขึ้นมาก่อนสิ”
“ไม่!” คนตัวเล็กตอบเสียงอู้อี้กลับมาเพราะตอนนี้ใบหน้าของเขาก้มงุดๆ อยู่ที่แผงอกของผม...แล้วไหนบอกร้อน? นี่เล่นซุกซะแทบจะรวมร่างได้เลยให้ตายเถอะ
“เงยมาเถอะหน่า...”
“ทำไมล่ะ!” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมาตวาดผมอย่างหงุดหงิด แต่นั่นมันก็ดี...รอยยิ้มผุดขึ้นมาที่มุมปากเล็กน้อยก่อนจะจู่โจมเหยื่ออย่างรวดเร็ว
“กู้ดไนท์คิสนะครับ Chu!~”
“อุ๊บ! OxO”
Baekhyun Part
หะ ให้ตายเถอะ! ไอ้บ้านี้มันฉวยโอกาสผมอีกแล้ว T_____________T ถึงจะไม่มีการแลกลิ้นก็เถอะ แม้จะแค่ปากแตะปากกันเฉยๆ ก็ทำให้หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ...ผมบอกแล้วว่าผมเกลียดไอ้หมอนี่!
“นอนนะครับเด็กน้อย...” เด็กน้อยบ้านป๊ะแกสิฉันอายุจะยี่สิบแล้วว้อยยยย! ผมเงยหน้าหวังจะด่าไอ้คนตัวใหญ่ที่นอนกอดผมแน่นอยู่ตอนนี้ก็ต้องหยุดไป...เมื่อเห็นว่าเขาหลับตาพริ้มและดูเหนื่อยล้ามาก...คงจะเหนื่อยมาทั้งวันสินะ งั้นผมก็ไม่ควรจะปลุกเขาขึ้นมาทะเลาะกันอีก...ถือเป็นการขอโทษที่ทำให้นายต้องมาเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฉันฟังแล้วกันนะ...ปาร์คชานยอล...
ปุ้งงงง~ ลงครบแล้วน๊าาาา จริงๆ แอบเกิน 30% แหล่ะ 5555
ที่ตั้งไว้มันจะต้องจบเร็วกว่านี้ แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งพิมพ์ยิ่งยืดยาว ไม่รู้คนอ่านจะเบื่อกันหรือเปล่า
แต่ยังไงก็ต้องขอคุณทุกกำลังใจนะคะ สำหรับคอมเม้นต์ดีๆ ขอบคุณที่เรียกไรท์เตอร์ว่า ‘หมาน้อย’
ยังไง Chapter 12 อาจจะลงเร็วๆ นี้ ถ้าไม่ติดขัดอะไร ยังไงจะพยายามมาอัพให้บ่อยๆ น๊า
อยากให้อัพต่อไวๆ ช่วยกันเม้นต์ช่วยกันโหวต ที่สำคัญ เรียกไรท์เตอร์ว่า 'หมาน้อย' จะดีมากเลยค่ะ 5555555
ใครอ่านแล้วติดใจหรือตะขิดตะควงใจ (?) อยากคุยหรืออยากด่าไรท์เตอร์
ตามไปติชมได้ที่ >> ` หมาน้อยมาลามิวท์ <<
ความคิดเห็น