ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] ONE IPPON (KAISOO)

    ลำดับตอนที่ #8 : CHAP 8

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.55K
      21
      6 ก.พ. 56

     

    CHAPTER 8

     

     

    ดวงตากลมเป็นเอกลักษณ์จับจ้องไปที่ร่างสูงในชุดยูโดเช่นนี้อยู่พักใหญ่แล้ว ตั้งใจดูจนตาแทบไม่ได้กะพริบ สมองก็พยายามประมวลเพื่อทำความเข้าใจไปด้วย แม้กระนั้นก็ตาม ทั้งๆที่ดูจากสายตาแล้วคิดว่าไม่น่ามีอะไรยาก แต่พอลองทำตามจงอินไปด้วยจริงๆถึงได้รู้ว่ากับอิแค่วนเท้าเป็นจังหวะหนึ่งถึงสามนี่มันยากกว่าที่คิดไว้มาก

     

    “ฉันจะทำให้นายดูอีกครั้ง ดูดีๆ ดูให้เข้าใจแล้วค่อยทำ”

     

    อีกครั้งที่ร่างสูงหันมาพูดกับเขา คยองซูพยักหน้าแล้วจ้องมองไปที่เท้าคู่นั้น จงอินยืนหันหน้าไปทางเดียวกับเขา กอดอก โดยยืนให้เท้าทั้งสองข้างขนานกับช่วงไหล่ ไม่ยืนอ้าขากว้างมากไปหรือหุบเข้ามาจนชิดกันเกินไป หรือว่าง่ายๆก็คือยืนท่าสบายๆแต่ไม่ได้ผ่อนน้ำหนักลงขาใดขาหนึ่ง

     

    “การวนขาจะเป็นจังหวะ หนึ่ง สอง และสาม จังหวะที่หนึ่งให้ก้าวเท้าข้างที่ถนัดไปข้างหน้า แต่ไม่ได้ก้าวออกไปตรงๆ อย่างถ้านายถนัดขวาก็ให้ก้าวเฉียงไปทางซ้ายหน่อย ระยะของช่วงก้าวต้องไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป และที่สำคัญ ต้องย่อตั้งแต่จังหวะแรก”

     

    จงอินทำตามอย่างที่ปากสอน ขายาวก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าโดยเฉียงซ้ายพอประมาณ การย่อที่จงอินบอกคือให้ย่อขาที่ก้าว เข่าจะงอนิดหน่อย ขณะที่ลำตัวตั้งตรง

     

    “จังหวะที่สองต้องดูดีๆนะ เพราะมันเป็นจุดสำคัญที่จะใช้หมุน ถ้าวางเท้าไม่ถูกจุดหมุนของร่างกายจะผิดและทำให้เข้าท่าทุ่มไม่ได้”

     

    คนฟังพยักหน้าหงึกหงักอย่างตั้งอกตั้งใจ เรียกรอยยิ้มเล็กๆจากคนสอนโดยไม่ได้ตั้งใจ

     

    “จังหวะที่สองให้เอาเท้าซ้ายไปวางหลังเท้าขวา เปิดส้นเท้าขึ้นแบบนี้ ระยะห่างระหว่างเท้าซ้ายที่วนมากับส้นเท้าขวาที่วางอยู่แล้วต้องไม่มากเกินไปแต่ก็ห้ามแคบจนติดกันเพราะถึงเวลาหมุนมันจะไม่มีช่องให้หมุนตัวได้”

     

    “ยากอ่ะจงอิน”

     

    “ไม่ยากหรอก ต่อไปถ้านายวนเข้าบ่อยๆเดี๋ยวตัวนายก็จะรู้เองแหละว่าควรจะวางกะระยะไว้ขนาดได้ แล้วสังเกตไหมว่าตอนนี้วนมาได้ครึ่งตัวแล้วแต่ก็ยังต้องย่ออยู่เสมอ จำไว้ว่าหลักสำคัญของการเข้าท่าทุ่มคือย่อตัว เพราะฉะนั้นนายต้องฝึกย่อตัวให้ชินตั้งแต่วนขากับลม”

     

    จงอินพูดไปก็ยังคงค้างอยู่ในท่าเดิมไปจนคยองซูกลัวจะเมื่อแทน แต่ก็ไม่เห็นร่างหนาแสดงสีหน้าอาการอะไรออกมานอกจากหน้าหล่อที่ยังขึงขังจริงจังขณะสอนเหมือนทุกๆครั้ง

     

    “ต่อไปจังหวะที่สาม ให้หมุนตัวมา เห็นไหมว่าเท้าซ้ายที่วนจังหวะที่สองจะเป็นจุดหมุนให้ เพราะฉะนั้นต้องเปิดส้นเท้าทุกครั้ง ห้ามให้เท้าตายเด็ดขาด แล้วเวลาหมุนตัวกลับมาแล้วน่ะ ต้องมายืนด้วยระยะห่างเหมือนในท่าเริ่มต้นก่อนเข้าท่า เห็นหรือเปล่า?”

     

    เป็นอย่างที่จงอินพูดทุกอย่าง หลังจากจังหวะที่สองที่เท้าซ้ายวนไปวางหลังส้นเท้าขวาและเปิดส้นเท้าขึ้น เมื่อถึงจังหวะที่สามที่ต้องหมุนตัวให้หันกลับมาอีกฝั่งเท้าซ้ายจะเป็นจุดหมุน และเมื่อวนหมุนตัวกลับมาได้แล้วจงอินยืนเหมือนเดิมกับตอนเริ่มต้น ระยะห่างระหว่างเท้าเท่ากับไหล่ ไม่แคบและกว้างเกินไป แต่จะเพิ่มก็คือย่อลงด้วย เข่าทั้งสองข้างจะงอลงเล็กน้อย

     

    “และนี่คือสาเหตุที่ต้องย่อ เมื่อถึงจังหวะวนขาเข้าท่าเสร็จแล้วและต้องทุ่ม เราจะดีดตัวขึ้นเพื่อยกคู่ต่อสู้ให้ลอยขึ้นจากพื้น”

     

    จงอินพูดไปทำไป เข่าที่ย่องออยู่เมื่อครู่ถูกยืดตรงจึงทำให้ท่อนบนยืดตามไปด้วย คยองซูสังเกตว่าตั้งแต่จังหวะแรกมาส้นเท้าของจงอินจะเปิดขึ้นตลอดเพื่อใช้ปลายเท้าเป็นทั้งจุดหมุนและตัวยืน จงอินเคยบอกเขาว่าเมื่อไหร่ที่เราลงน้ำหนักเต็มๆลงไปที่เท้าหรือคือการเหยียบเต็มเท้านั่นคือเท้าเราตาย การเคลื่อนไหวจะช้าลงมาก เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำในการเล่นกีฬา

     

    นอกจากนี้กัปตันทีมตัวสูงยังบอกเทคนิคให้เขาอีกว่า ให้คิดจำลองภาพว่ามีคู่ซ้อมอยู่ข้างหน้า กำลังหันหน้าหาเราและเราต้องวนเท้าเข้าไปหาเขา เมื่อถึงจังหวะที่สามเขาจะซ้อนอยู่ข้างหลังเราพอดี แต่จงอินบอกว่ายังไม่ต้องให้ดีดตัวทุ่มเหมือนอย่างที่ตนเองทำ แต่ให้วนเป็นจังหวะทั้งสามธรรมดาไปก่อน

     

    “สิ่งสำคัญที่นายต้องจำคือการย่อ ระยะห่างระหว่างการวนเท้า และการเปิดส้นเท้าเพื่อไม่ให้เท้าตาย แต่มันไม่ใช่การเขย่งปลายเท้านะ”

     

    “แล้วเปิดส้นเท้ามันต่างจากเขย่งปลายเท้ายังไงล่ะ?”

    คนตัวเล็กถามพลางย่นคิ้วเข้าหากัน เป็นอีกครั้งที่จงอินรู้สึกดีที่คนตรงหน้ารู้จักซักรู้จักถามเขาบ้างแล้ว

     

    “การเขย่งคือการที่นายยืนอยู่บนปลายเท้าแล้วยืดตัวขึ้น เข่าของนายจะตึงใช่มั้ยล่ะ แต่การเปิดส้นเท้าคือการที่นายย่อตัวลง ย่อขา แล้วเปิดส้นเท้าเพื่อยืนทิ้งน้ำหนักไปทางปลายเท้า มันจะมั่นคงกว่าและสามารถเคลื่อนไหวได้เร็วกว่า อ้อ แล้วที่สำคัญอีกอย่างคือห้ามเปิดปลายเท้าโดยเด็ดขาด”

     

    “ทำไมล่ะ?”

     

    “มันจะทำให้สมดุลร่างกายเสียไปโดยสิ้นเชิงน่ะสิ ถ้าไม่เชื่อนายลองยืนเปิดปลายเท้าดู”

     

    คยองซูที่ยังหัวคิ้วชนกันยุ่งพยักหน้าแล้วลองยืนขาคู่แต่เปิดปลายเท้าแล้วยืนด้วยส้นเท้าดู เพียงแค่ยืนเขาก็รู้ว่ารากฐานของตัวเองไม่มั่นคง เหมือนมันจะหงายหลังตลอดเวลา อันที่จริงแค่นี้เขาก็พอเข้าใจแล้วว่าที่จงอินพูดน่ะหมายถึงอะไร

     

    แล้วทำไมไอ้คนสอนจอมโหดนี่ต้องเอามือมาดันไหล่ให้เขายิ่งต้องหงายไปข้างหลังอีกด้วยล่ะเนี่ย!

     

    คนตัวเล็กอ้าปากร้องเสียงดังเมื่อทั้งร่างกำลังจะหงายไปข้างหลัง มือบางไขว่คว้าหาที่ยึดในอากาศ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ล้มลงไปกระแทกพื้นเบาะแขนแกร่งของคนที่เพิ่งจะลงมือผลักตะกี้ก็วาดโอบรอบแผ่นหลังของเขาแล้วประคองดึงให้กลับมายืนอยู่เหมือนเดิม

     

    ถ้าไม่ได้ถูกเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรระหว่างตกใจที่กลัวล้มหรือเพราะคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วย คยองซูได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆอยู่ใกล้ๆใบหู เป็นเสียงหัวเราะขันเหมือนผู้ใหญ่ที่ได้แกล้งเด็กซึ่งเขาไม่เคยได้เห็นมันจากคนๆนี้เลย

     

    ใบหน้าหวานหันกลับไปมองคนที่ปล่อยไหล่ของเขาเมื่อสามารถยืนด้วยตัวเองได้ คิมจงอินกำลังหัวเราะอยู่จริงๆ แต่เพียงแค่เล็กน้อยแล้วเปลี่ยนเป็นระบายยิ้มที่ริมฝีปากทรงเสน่ห์ ดวงตาคมเข้มคู่นั้นมองอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ขณะที่คนที่ใจยังเต้นรัวอยู่กำลังเบ้หน้าใส่อย่างลืมนึกจะกลัว

     

    “เห็นมั้ย แค่ผลักเบาๆจะล้มแล้ว เพราะฉะนั้นห้ามยืนเปิดปลายเท้านะ”

     

    “จงอินแกล้งฉันหรือเปล่าเนี่ย?”

     

    “เฮ้ย เปล่า ไม่ได้แกล้งสักหน่อย แค่จะสาธิตให้ดู จะได้เข้าใจไง”

     

    ยิ้มลอยหน้าลอยตาน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนสอนที่เขายังนึกเกรงกลัวและเกรงใจอยู่บ้างล่ะก็นะ คยองซูอยากจะหาอะไรมาฟาดแรงๆเอาให้เข็ดสักที

     

    ปากบอกไม่ได้แกล้ง แต่ไอ้หน้าแบบนี้นี่แหละที่มันบอกว่ามีความสุขที่ได้แกล้ง!

     

    “เอาล่ะ กลับมายืนที่เดิมแล้ววนขาให้ฉันดูซิ กอดอกแล้ววนเป็นจังหวะ ปากพูดตามจังหวะที่ตัวเองก้าวด้วยนะ”

     

    รีบเปลี่ยนเรื่องและเปลี่ยนโหมดทันทีเมื่อเริ่มรู้สึกว่าจะถูกเคืองเอา จงอินพยายามบังคับริมฝีปากตัวเองให้หยุดยิ้มแต่ก็ทำได้ไม่ดีนักจนเขาต้องเม้มปากเพื่อช่วยระงับอารมณ์ดีจนเกินควรของตัวเอง ร่างหนาย้ายตัวเองไปอยู่อยู่ข้างๆ คยองซูเพื่อที่เวลาคนตัวเล็กวนขาเขาจะได้เห็นชัดๆทุกจังหวะ

     

    ร่างบางกอดอก ยืนแยกขาทั้งสองข้างเท่ากับระดับหัวไหล่ พ่นลมหายใจออกมาหนักๆหนึ่งทีเพื่อเรียกกำลังใจแล้วเงยหน้าขึ้นมองตรงไปด้านหน้า

     

    “หนึ่ง” พูดพร้อมกับก้าวเท้าออกไปข้างหน้าตามอย่างที่ได้เห็น

     

    “ย่อ”

     

    มีเพียงคำสั้นๆที่ออกมาจากปากคนที่กอดอกมองการเคลื่อนไหวของเขาตาไม่กะพริบ หน้าตาจริงจังนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับคนที่หัวเราะอยู่เมื่อตะกี้อย่างกับเป็นคนละคนกัน

     

    คยองซูย่อขาลงอีกนิดตามที่คนสอนบอก รู้สึกว่ามันเมื่อยนิดๆ ก่อนที่จะเริ่มวนขาซ้ายไปเปิดส้นเท้าอยู่หลังเท้าขวาที่วนไปเป็นจังหวะแรก

     

    “ส..สอง” เสียงเล็กติดขัดเล็กน้อยเมื่อสมดุลร่างกายเสีย

     

    “บอกให้ย่อ”

     

    เสียงทุ้มนั้นเข้มขึ้นแม้ตาจะยังจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของเท้า จงอินไม่ได้เงยขึ้นมามองหน้าเขาเลย สมาธิของอีกฝ่ายมุ่งมั่นเพ่งไปที่การเคลื่อนไหวของคยองซูเพียงเท่านั้น

     

    ตอนนี้เขารู้สึกว่าขาตัวเองเริ่มจะสั่นนิดๆ เพราะยิ่งย่อมากและค้างไว้นานเท่าไรก็ยิ่งเมื่อยมากเท่านั้น คยองซูกลืนน้ำลายเหนียวลงคอก่อนจะหมุนตัวในจังหวะสุดท้าย

     

    “สาม”

     

    “ฉันบอกให้ย่อไม่ได้บอกให้ก้มตัว ไหนบอกว่าเข้าใจแล้วยังไงห๊ะ!?

     

    ที่สุดเสียงทุ้มเข้มก็เปลี่ยนมาเป็นเสียงตวาดอย่างที่เคยเป็นประจำ คยองซูห่อไหล่หยีตาลงด้วยความเคยชินเวลาถูกดุ เขายอมรับว่าการวนขาของตัวเองเมื่อกี้มันแย่มากๆ ทุกอย่างมันฟ้องในจังหวะสุดท้ายเพราะตัวเขาไม่ได้ยืนสองขาเสมอกันเหมือนอย่างที่จงอินทำให้ดู ปลายเท้ากลับไปคนละทิศละทาง แถมยังก้มหลังจนมันดูน่าเกลียดอีกด้วย

     

    จงอินถอนหายใจแล้วส่ายหัวอย่างหงุดหงิด ดึงเอาไหล่เล็กให้กลับมายืนที่จุดเริ่มต้น ใช้ปลายเท้าตัวเองเตะเบาๆที่เท้าด้านในทั้งสองข้างของคยองซูเพื่อให้อีกฝ่ายยืนแยกเท้าให้สมดุลกับช่วงไหล่

     

    “ทำใหม่ จังหวะที่หนึ่งก็ต้องย่อแล้ว การย่อจะทำให้รากฐานของร่างกายมั่นคง จังหวะที่สองก็ยิ่งต้องย่อ”

     

    คนตัวเล็กพยักหน้าเข้าใจ กอดอก พรูลมหายใจแล้วเงยหน้ามองกำแพงด้านหน้าพร้อมจะทำใหม่

     

    “หนึ่ง”

     

    “นั่นเรียกว่าย่อแล้วหรือไง!?

     

    เสียงตวาดทำให้คยองซูต้องกัดริมฝีปากแน่น เขาย่อตัวลงมากกว่าเดิมอีกนิดพร้อมกับขาที่เริ่มจะสั่นเทามากขึ้นเรื่อยๆ วนจังหวะสอง และสามตามลำดับ แต่ก็เหมือนเดิม เมื่อทำจังหวะที่สามเสร็จจงอินก็ดึงให้เขากลับมายืนที่จุดเริ่มแล้วให้วนขาใหม่

     

    คยองซูต้องวนขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นขณะที่จงอินหายตัวไปครู่หนึ่งแล้วกลับมาพร้อมไม้เรียวในมือ จริงๆจะเรียกว่าไม้เรียวก็ไม่ถูกนักหรอก เพราะมองดีๆนั่นคือไม้ที่ไว้ใช้รำดาบไม้ต่างหาก

     

    “จ...จงอิน”

     

    “เฮ้ยไอ้ไค นี่มึงถึงขั้นรื้อไม้กายสิทธิ์นั่นออกมาใช้เลยเหรอวะ?”

     

    เสียงชานยอลที่กำลังแยกแพคฮยอนออกจากเซฮุนเพื่อมาฝึกรันโดริพูดขึ้นมาเมื่อเห็นจงอินเดินถือไม้มาหยุดอยู่ตรงคยองซู ร่างหนาในชุดยูโดพาดไม้ไว้บนบ่าแล้วยกยิ้มมุมปากแทนคำตอบ

     

    “เอ้า! วนใหม่” หันกลับมาสนใจคนในการควบคุมของตนต่อ

     

    คยองซูมองไม้ในมือที่จงอินกำลังเคาะกับไหล่ตัวเองอย่างหวาดๆ ไม่อยากจะคาดเดาเอาเองว่าจงอินคิดจะทำอะไร แต่ที่แน่ๆคนๆนี้คงไม่ได้เอามาเพื่อขู่เขาเล่นๆ

     

    ร่างเล็กหายใจเก็บไว้ให้เต็มปอด แล้วเริ่มต้นวนขาใหม่อีกครั้ง

     

    “หนึ่ง”

     

    “ย่อ”

     

    ไม้ฟาดลงบนขาท่อนล่างเบาๆพร้อมกับคำพูดสั้นๆคำเดิม แม้มันจะไม่ได้เจ็บอะไรมากแต่คยองซูก็อดส่งเสียงครางเพราะความเจ็บออกมาไม่ได้ ตอนนี้ขาทั้งสองข้างของเขาเริ่มล้ามากขึ้นเรื่อยๆตามกฎของธรรมชาติ

     

    “สอง”

     

    “ขาหลังขยับเข้าไปอีก วนขาแบบนี้แล้วจังหวะสุดท้ายจะทรงตัวอยู่ได้ยังไง”

     

    ปลายไม้ลากเท้าซ้ายที่เพิ่งวนไปจรดหลังเท้าขวาให้เว้นระยะห่างออกมาอีกนิด ร่างของคยองซูเริ่มสั่น แผงฟันคมงับริมฝีปากล่างแน่น จากนั้นจึงเริ่มหมุนตัวเป็นจังหวะที่สาม

     

    แน่นอนว่าเขายังไม่สามารถทรงตัวได้อย่างที่อีกคนว่าจริงๆ แต่อย่างน้อยก็ยังเสียศูนย์น้อยกว่าการวนขาครั้งก่อนหน้านั้น คยองซูพยายามสั่นขาทั้งสองข้างเบาๆเพื่อผ่อนคลายไม่ให้กล้ามเนื้อที่ตึงเครียดสั่นไปมากกว่านี้

     

    “กลับมาวนใหม่ วนไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะดีกว่านี้ มันไม่มีทางสมบูรณ์แบบได้ในวันเดียวหรอก เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่นายต้องทำคือฝึกไปเรื่อยๆ”

     

    ทิ้งคำสั่งไว้แล้วยืนดูคยองซูวนขาซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบอยู่เช่นนั้นอีกพักใหญ่ ระหว่างจดจ้องการเคลื่อนไหวก็ใช้ไม้คอยฟาดเบาๆทุกครั้งที่อีกฝ่ายเผลอไม่ได้ย่อ และทั้งๆที่คยองซูมั่นใจว่าร่างของเขาสั่นจนดูออกชัดๆแล้วว่ามันเริ่มจะไม่ไหวแต่จงอินก็ยังทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

    กัปตันทีมสั่งให้เด็กใหม่ของชมรมที่ยังมีความรู้น้อยกว่าทุกคนวนขาซ้ำอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆอีก 50 ครั้ง ส่วนตัวเองก็แยกมาเล่นรันโดริกับเซฮุนที่ยังว่างอยู่เพราะชานยอลกำลังเล่นรันโดริกับแพคฮยอนเช่นกัน ถึงแม้จงอินจะแยกออกไปแล้วแบบนั้นแต่คยองซูรู้ดีว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมคลาดสายตาจากเขาจึงจำต้องวนขาต่อไปเรื่อยๆตามที่สั่งไว้

     

    ริมฝีปากสีอ่อนเม้มกันจนเป็นเส้นตรง เขาตีหน้าขาตัวเองเบาๆเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่สั่นริก คยองซูรู้ตัวว่าร่างกายกำลังถึงจุดที่ไม่ไหวอีกครั้งหลังจากที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วตอนฝึกตบเบาะแรกๆ และถึงจะรู้ดีว่าการอ้อนจงอินได้ผลแต่คยองซูก็ไม่คิดจะทำ เขารู้ว่าถ้าทำแบบนั้นบ่อยๆจะเป็นตัวเองนี่แหละที่ติดนิสัยเสีย

     

    มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำได้คืออดทนแล้วฝึกต่อไป เหมือนอย่างที่เคยท่องไว้เสมอในช่วงแรกของการฝึกเล่นยูโด

     

     

    “ครบแล้วหรือไงถึงได้หยุด ทำต่อไป”

     

    เสียงจงอินดังแว่วมาจากอีกฟากของเบาะ คยองซูที่หยุดพักเผื่อจะทำให้ขาที่สั่นอาการดีขึ้นหันมองทางต้นเสียง ร่างสูงในชุดยูโดสายดำของชานยอลกำลังมองมาที่เขาเหมือนกับจงอิน คนตัวบางส่ายหัวน้อยๆแล้วเริ่มต้นวนขาใหม่โดยไม่ได้ปริปากบ่นอะไรออกมา

     

    “มึงโหดไปป่ะวะไค?”

     

    ชานยอลถามพร้อมกับพยายามคว้าจับสาบเสื้อยูโดของคนที่พูดด้วยเพื่อจะรันโดริต่อ อีกฝ่ายปัดป้องมือนั้นไม่ให้คว้าเสื้อตัวเองได้สำเร็จขณะที่ตัวเองก็พยายามจะคว้าเสื้อของฝ่ายตรงข้ามด้วยเช่นกัน

     

    “กูก็สอนทุกคนแบบนี้”

    ริมฝีปากคมยกยิ้มสบายๆ ขณะที่ชานยอลวาดยิ้มพลางหรี่ตามองคู่ซ้อม

     

    “ไม่จริงอ่ะ กับแพคฮยอนมึงไม่โหดขนาดนี้ ยิ่งกับเซฮุนมึงซอล์ฟกว่านี้เป็นไหนๆ”

     

    “งั้นเหรอ”

     

    ที่สุดมือขวาของจงอินก็คว้าสาบเสื้อชานยอลได้สำเร็จ พยายามกระชากเพื่อให้อีกฝ่ายเสียจังหวะและก้าวตาม แต่ชานยอลก็มีปฏิกิริยาไวพอที่จะคว้าแขนเสื้อของจงอินไว้ได้ก่อนจะดึงเพื่อสวนแรงกระชากของจงอิน

     

    “เอาจริงๆ มึงคาดหวังว่าเวลาแค่ไม่กี่เดือนเขาจะสามารถทำอิปป้งได้จริงๆเหรอวะ?”

     

    “ถ้ายิ่งฝึกเข้าท่าทุ่มได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งมีเวลาใส่เทคนิคการเล่นให้เขาได้รู้มากขึ้นไม่ใช่เหรอ?”

     

    “เพราะอย่างนี้เหรอวะ มึงถึงได้พยายามอัดพื้นฐานให้คยองซูขนาดนี้?”

     

    “กูยอมรับว่ากูพยายามอัดจริง แต่มึงก็รู้ ถ้าพื้นฐานไม่แน่นกูไม่ยอมให้ผ่านไปได้ง่ายๆหรอก”

     

    “มึงจะบอกว่าเด็กมึงเก่ง?”

     

    “หรือมึงว่าไม่จริง? กูจะบอกให้นะ คยองซูน่ะเป็นแก้วเปล่าๆของแท้เลย ไม่มีน้ำอยู่ในนั้นสักหยด”

     

    บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปพร้อมๆกับการชิงหาจังหวะการเข้าท่าของทั้งสองคน สลับกันเข้าท่าทุ่มบ้างแต่ก็หลบหลีกกันได้ทุกครั้ง อาจจะบอกว่าเพราะรู้ทางกันอยู่แล้วก็คงไม่ผิดนัก การต่อบทสนทนาจึงยังไม่ติดขัดเพราะไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถูกทุ่ม

     

    “แก้วโล่งๆแบบนั้นใส่อะไรให้ไปก็รับไว้ได้หมด คยองซูไม่ใช่แก้วรั่วแล้วบังเอิญกูก็ไม่ใช่คนที่รอให้น้ำแห้งลงไปก่อนแล้วค่อยเติมซะด้วย อีกอย่าง มึงก็น่าจะดูออกว่าคยองซูไม่ใช่ประเภทน้ำเต็มแก้วได้ง่ายๆ เชื่อสิว่าคนแบบนี้แหละที่เหมาะกับการเป็นนักกีฬาที่สุดแล้ว”

     

    จงอินยกยิ้มมุมปากก่อนจะได้จังหวะใช้เทคนิคจังหวะสองเกี่ยวขาชานยอลตอนที่กำลังเสียจังหวะ ร่างสูงเหวอไปเล็กน้อย เกือบจะหงายหลังเสียอิปป้งไปแล้วแต่ก็ไวพอที่จะหมุนตัวพลิกกลับจังหวะไปล้มคว่ำหน้าบนเบาะแทน เมื่อเซฟไม่ให้เสียคะแนนไว้ได้ก็เป็นโอกาสให้ต่างฝ่ายต่างได้ลุกขึ้นมาเริ่มต้นหาจังหวะชิงจับกันใหม่

     

    เขาน่ะรู้อยู่แล้วว่าจงอินเป็นพวกตาทิพย์ ไม่เคยมองใครพลาดหรอก อย่างแพคฮยอนที่ดูไม่น่าจะเล่นกีฬาแบบนี้ได้พ่อคุณก็ปั้นให้จนเป็นนักทุ่มหน้าใหม่จอมโหดได้แบบนี้ แต่ว่ากันตามจริงแล้ว ตอนแรกชานยอลไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ว่าไอ้เพื่อนตัวดีมันจะสามารถปั้นคยองซูขึ้นมาได้จริงๆ

     

    แต่เท่าที่เห็นพัฒนาการจนถึงตอนนี้เห็นทีคงต้องเปลี่ยนความคิดแล้วล่ะ

     

     

     

    “คยองซู ไปกินข้าวกัน”

     

    คำชวนของแพคฮยอนทำให้คยองซูนึกขึ้นมาได้ตอนนั้นเองว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ มือบางที่กำลังเก็บของลงเป้ชะงักพร้อมๆกับที่จงอินเดินออกมาจากห้องแต่งตัวในสภาพที่กระดุมชุดนักศึกษายังไม่ได้ติดสักเม็ด

     

    แพคฮยอนกำลังพับชุดยูโดอยู่ข้างๆเซฮุนที่กำลังพยักหน้าหงึกหงักสนับสนุนคำชวนของพี่รหัสตัวเล็ก ขณะเดียวกันชานยอลที่มัดชุดเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นยืนแล้วยกชุดยูโดที่มัดแล้วขึ้นพาดบ่า

     

    “เออใช่ วันก่อนเพิ่งเห็นร้านขนมหวานเปิดใหม่ข้างๆร้านประจำของเราล่ะ วันนี้ไปลองชิมกันเถอะ”

     

    “ก็ได้ แต่ฉันสั่งเลยนะว่าหลังจากนี้นายต้องเริ่มลดการกินของหวานได้แล้ว เริ่มตั้งแต่ตอนนี้จะได้ไม่เหนื่อยตอนใกล้ๆแข่ง เข้าใจมั้ยแพคฮยอน?”

     

    จงอินหันมาพูดกับคำที่นั่งพับชุดอยู่แทน ชานยอลซึ่งเป็นคนชวนถอนหายใจพลางทำหน้าเมื่อย กะว่าถ้าถูกปากจะชวนแพคฮยอนมากินด้วยกันบ่อยๆ ลองไอ้ประธานมันดักทางไว้แล้วอย่างนี้สงสัยคงจะยาก

     

    “วันนี้เอารถมาครบทุกคนใช่มั้ย?”

     

    “ใช่ มึงเอามา กูเอามา แพคฮยอนเอามา มีสามคัน”

     

    “ดี งั้นคยองซูมากับกู เซฮุนก็เลือกเอาแล้วกันนะว่าจะไปกับชานยอลหรือแพคฮยอน แล้วไปเจอกันที่ร้าน”

     

    ชานยอลเบะปากพลางตวัดสายตามองเพื่อนตัวสูงที่กำลังติดกระดุมทีละเม็ดหลังจากเอ่ยปากพูดเสียงเรียบเหมือนไม่ได้สนใจอะไร

     

    แหม...รีบเชียวนะเดี๋ยวนี้

    กูรู้หรอกว่ามึงแอบฟิน ทำเป็นก้มหน้ากลั้นยิ้ม ไม่ถงไม่ถามเขาซักคำว่าอยากไปกับมึงมั้ย

     

    เมื่อตกลงกันได้แล้วก็รอให้เคลียร์ของต่างๆให้เรียบร้อย ปิดห้อง แล้วพากันขึ้นมอเตอร์ไซค์ของแต่ละคนตามที่ตกลงกันไว้ เซฮุนเลือกไปกับแพคฮยอนทำให้ชานยอลต้องไปคนเดียว เหตุผลง่ายๆก็ในการตัดสินใจของเซฮุนก็เพราะถ้าไปกับชานยอลเจ้าตัวก็คงจะอดซื้อชาไข่มุกอีกตามเคย

     

    รถทั้งสองคันนำออกไปแล้ว เหลือแต่จงอินกับคยองซูที่ยังอยู่ที่เดิม เจ้าของรถขึ้นคร่อมพร้อมสตาร์ทรถเตรียมไว้แล้ว แต่คยองซูยังคงยืนนิ่งอยู่ข้างรถเหมือนเดิม

     

    ประธานชมรมหันกลับไปมองด้วยความสงสัยก่อนจะเอ่ยปากถามคนที่ยืนเม้มปากนิ่ง

     

    “เป็นอะไร? ทำไมไม่ขึ้นล่ะ?”

     

    “อ่า ขอโทษนะ พอดีขามันสั่นนิดหน่อยน่ะ”

     

    คยองซูตอบก่อนจะขึ้นซ้อนหลังพร้อมกับสวมหมวกกันน็อคที่อีกคนส่งให้ ถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างมันสั่นเอามากๆ ที่สำคัญคือมันล้าและเมื่อยสุดๆ

     

    “ปกติ แล้วยิ่งนายหยุดไปอีก 2 วันแบบนี้กลับมาซ้อมอีกทีคงจะปวดหนักกว่าเดิมเยอะ กล้ามเนื้อมันกำลังสร้างตัว ของอย่างนี้วิธีแก้คือยิ่งต้องมาซ้ำอย่าให้ขาดช่วง”

     

    “แต่มันเมื่อยนะ”

     

    ได้เย็นเสียงบ่นปอดแปดอยู่ข้างหลังแบบนั้นทำให้จงอินเผลอยิ้มออกมา พอจะเดาได้ว่าตอนนี้คนน่ารักของเขากำลังทำหน้าทำตาแบบไหน

     

    “เอาน่า เดี๋ยวต่อไปถ้าเริ่มมีกล้ามเนื้อในส่วนตรงนั้นมันก็จะไม่ปวดไม่เมื่อยเองนั่นแหละ นายต้องขยันฝึกรู้หรือเปล่า?”

     

    “งือ...ฉันดูไม่ขยันเลยเหรอ?”

     

    “ไม่นี่ นายน่ะขยันยิ่งกว่าชานยอลมันอีกนะ”

     

    หัวเราะตบท้ายพร้อมๆกับเริ่มออกรถ มือเล็กทั้งคู่ยกมากำชายเสื้อเอาไว้เหมือนเช่นทุกครั้ง

     

    ใช่...นี่ไม่ใช่ศุกร์แรกที่เขาได้ซ้อนท้ายไปกินข้าวด้วยกัน แต่มันผ่านมาหลายต่อหลายครั้งแล้วต่างหาก กระนั้นจงอินก็ไม่ยักชินสักที บางครั้งที่คยองซูเลือกจะไปกับแพคฮยอนหรือชานยอลมันก็อดทำให้เขาคิดถึงแรงดึงเบาๆที่ชายเสื้อไม่ได้ คยองซูน่ารักเหมือนเด็กซนๆ อยากจะมีไว้ใกล้ๆตัวแบบนี้ไม่ให้ห่างไปไหน

     

    “คยองซู”

     

    “อืม?”

     

    เจ้าของชื่อตอบรับเบาๆเมื่อได้ยินคนข้างหน้าเรียกขณะที่กำลังเลี้ยวเข้าไปจอดรถเมื่อถึงร้านประจำแล้ว จงอินดับเครื่องแล้วก้าวลงจากรถ ถอดหมวกกันน็อคตัวเองวางไว้ตะกร้าข้างหน้าแล้วจึงถอดหมวกของคนที่ยังนั่งอยู่บนเบาะออกตาม

     

    ดวงตากลมใสหลังไร้หมวกนิรภัยบดบังทำให้จงอินเผลอหัวใจกระตุก คนน่ารักมองมาที่เขาตาปริบๆเหมือนจะถามว่าต้องการจะพูดอะไร จงอินส่งนิ้วเรียวของตัวเองปัดปอยผมที่ตกทับหน้าผากเนียนเพราะสวมหมวกกันน็อคออกให้

     

    “วันจันทร์ฉันจะให้ลองใส่ชุดยูโดแล้วนะ”

     

    “จ...จริงอ่ะ?”

     

    “อืม ตื่นเต้นมั้ย?”

     

    “มากๆเลย”

     

    น้ำเสียงที่ส่งออกมายิ่งส่งให้เชื่อว่าคนตรงหน้ากำลังตื่นเต้นสุดๆอย่างที่ปากว่าจริงๆ คยองซูยิ้มจนตาแทบปิดจนจงอินอดที่จะยิ้มตามกับความสดใสนี้ไปด้วยไม่ได้

     

    มือหนายื่นมาตรงหน้าเพื่อรอให้อีกคนได้วางมือลงมา

     

    “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าขาดซ้อมนะ”

     

    มือบางวางลงบนมือของอีกฝ่ายที่รอรับเขาอยู่แล้ว จงอินกำไว้หลวมๆก่อนจะดึงร่างเล็กลงมาจากเบาะ เป็นความเคยชินที่เริ่มต้นจากความไม่คิดอะไรของคยองซูที่ต้องโดดลงมาจากรถเพราะขาหยั่งไม่ถึงพื้น จนตอนนี้กว่าจะรู้ตัวอีกที จงอินก็จับมือคยองซูเพื่อคอยช่วยเหลือจนชินไปแล้ว

     

    คยองซูพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มตอบรับอีกคนแล้วปล่อยมือ ทั้งคู่เดินเข้าร้านพร้อมกันเมื่อเห็นว่าชานยอลกำลังโบกมือรัวๆบอกให้รู้ว่านั่งอยู่ตรงนั้น

     

    คิมจงอินพรูลมหายใจ มองคนที่เดินอยู่ข้างๆพลางคลี่ยิ้ม

     

     

    ตอนนี้ยังจับมือนายได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ

    แต่ต่อไป...

    ฉันจะจับทั้งมือ ทั้งหัวใจนายไม่ให้หลุดมือไปไหนได้เลย คอยดูสิ





    TBC.



     

     


    **วนขาเข้าท่า นี่คือการวนขา 3 จังหวะค่ะ แต่จังหวะแรกคนทำไม่ยอมย่อ(เดี๋ยวให้จงอินมาฟาดซะเลย) จริงแล้วต้องย่อให้พอๆกับจังหวะที่สามเลยค่ะ ดูแล้วอาจจะงงๆ แต่ถ้าหารูปที่ชัดเจนกว่านี้ได้แล้วจะนำมาให้ดูนะคะ






    Mirror* Talk : สวัสดีค่า เรากลับมาแล้วววว TTvTT ห่างหายไปนานด้วยธุระปะปังหลายๆอย่าง ต้องขอโทษที่ทำให้ทุกคนรอด้วยนะคะ เพราะอย่างที่บอกว่าช่วงนี้มีเรื่องวุ่นๆให้ต้องทำเยอะมาก อาจจะทิ้งช่วงไม่ได้มาต่อบ่อยเท่าเมื่อก่อนแต่สัญญาว่าจะมาเรื่อยๆนะคะ ฮืออออออ

    มาถึงตอนนี้คยองซูของผองเราก็เริ่มวนขากันได้แล้ว การวนขามีความสำคัญอย่างยิ่งกับการเข้าท่าทุ่มนะคะ เพราะเวลาเราเข้าท่าทุ่มก็จะต้องวนขาแบบนี้เป็นพื้นฐาน อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการฝึกที่ต้องฝึกนานพอๆกับตบเบาะทั้ง 8 ท่าเลยล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นอย่าลืมเอาใจช่วยคยองซูกันเยอะๆนะ TvT ถ้าน้องผ่านตรงนี้ไปได้ก็จะได้เริ่มเรียนรู้ท่าทุ่มจริงๆแล้วล่ะ

    เราพยายามจะหารูปหรือวิดีโอมาเพราะประกอบการเข้าท่าทุ่มแล้วนะคะ แต่ว่ามันหายากมากจริงๆ TvT นี่ถ้ากลับบ้านเมื่อไหร่จะไปเอาเอกสารประกอบการสอนของอาจารย์มานั่งถ่ายรูปให้ดูจริงๆนะ ฮืออออ ตอนนี้ก็ดูรูปที่เราไปบังคับพี่ที่ยูโดมธ.ถ่ายมาก่อนละกันนะ ฮา ถึงมันดูไม่ค่อยชัดเท่าไหร่แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเนอะ

     

    เอาล่ะ! ไหนๆตอนหน้าคยองซูก็จะได้ใส่ชุดยูโดแล้ว เพราะงั้นวันนี้เราเลยมีอะไรมาให้เล่นกันค่ะ

    ตอบคำถามง่ายๆ จะไปค้นจากที่ไหนก็ได้ ตอบถูกมีรางวัลเล็กๆน้อยๆให้ด้วยนะ (แต่อย่าคาดหวังมากนะ มันเล็กๆน้อยๆมากจริงๆ TvT)

     

    คำถามค่ะ สำหรับยูโดของไทย มีสายสีอะไรบ้าง? ให้เรียงลำดับขั้นจากต่ำไปสูงด้วยนะคะ เน้นๆว่าประเทศไทยและถามแค่สีของสายค่ะ เพราะประเทศอื่นบางทีสีสายก็ไม่เหมือนประเทศเรานะ

     

    คนที่ตอบคำถามนี้ได้ถูกต้อง 2 คนแรก จะได้รับของรางวัลเล็กๆน้อยๆจากเราไปเลยยย ให้เวลาตอบคำถามจนกว่าเราจะมาอัปตอนใหม่นะคะ ใครตอบก่อน ถูกก่อนก็ได้ไปนะ ^^

     

    ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจ ทุกสายตาที่กวาดไล่ทุกตัวอักษรค่ะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×