ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] ONE IPPON (KAISOO)

    ลำดับตอนที่ #4 : CHAP 4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.17K
      29
      7 ม.ค. 56

    CHAPTER 4

     
     

    คยองซูพยายามควบคุมจังหวะการหายใจให้อยู่ในสภาวะปกติหลังจากที่จงอินอนุญาตให้พักดื่มน้ำได้ มือเล็กคว้าขวดน้ำที่วางเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนซ้อมขึ้นดื่มอึกๆจนคนที่บังเอิญอยู่ใกล้ๆตรงนั้นต้องเอ่ยเตือนเสียงเข้มแบบที่ทำเป็นประจำ

     

    “อย่ากินน้ำรวดเดียวเร็วๆแบบนั้น เดี๋ยวก็จุกหรอก”

     

    คยองซูชะงักมือที่กำลังกระดกน้ำเข้าปากแล้วหันมามองทางต้นเสียง คิมจงอินกำลังยืนหน้าเข้มมองเขาอยู่ขณะที่กำลังปลดสายสีดำสนิทของตัวเองออกจากเอว แก้มใสป่องออกด้านข้างเพราะอมน้ำไว้เต็มสองข้างแก้ม ทำไงได้อ่ะ ก็มันกินไปแล้วไม่ให้กลืนเร็วๆก็ต้องอมไว้ดิวะ

     

    จงอินทนมองภาพเบื้องหน้าได้ไม่กี่อึดใจก็มีอันต้องยอมแพ้แล้วคว้าขวดน้ำหันเดินกลับไปยังเบาะยูโดที่ชานยอลกำลังปลดสายคาดเอวออกอยู่ หน้าขรึมๆที่ปั้นแต่งมาเป็นอย่างดีเมื่อกี้เปลี่ยนเป็นหน้าอายๆประดับความสุขสดชื่นทันทีที่หลบคนตัวบางออกมาได้ จงอินเอามือทาบอกตรงตำแหน่งของก้อนเนื้อที่กำลังเต้นรัว

     

     

    ใครมันจะไปทนได้ฟะ!?

    หน้าตาน่ารักขนาดนั้นแล้วมาทำแก้มป่องแบบนี้

     

    โอ้ยยยยย เห็นแล้วอยากจะเข้าไปฟัดซ้ายฟัดขวาให้สาแก่ใจ!!

     

     

    แต่ก็รู้ดีว่าทำไม่ได้เขาจึงจำต้องวาดมาดเคร่งขรึมต่อหน้าแล้วก็มาฟินเองลับหลังแบบนี้  จงอินเดินบีบขวดน้ำเปล่าในมือแน่นพลางทำหน้าตาประหลาดๆจนชานยอลต้องเพ่งมองด้วยความสงสัย นักทุ่มตัวสูงหัวเราะเบาๆเมื่อเพื่อนสนิทรู้ตัวแล้วว่าถูกเขามองอยู่ จงอินแสร้างทำหน้าเฉยแล้วโยนขวดน้ำส่งมาให้

     

    “ท่าทางจะฟินจัดนะ แค่สอนตบเบาะมึงยังเป็นเอามากขนาดนี้ ต่อไปสอนเข้าท่าทุ่มมึงไม่ชักดิ้นชักงอตายห่าคาเบาะเลยเหรอวะ?” ชานยอลหัวเราะขันขณะเปิดฝาขวดน้ำยกขึ้นดื่ม จงอินไหวไหล่พลางยกยิ้ม

     

    “กูยังฟินได้มากกว่านี้อีก ยังไม่ยอมตายง่ายๆหรอกมึง”

     

    “เออออ ให้มันจริงงง แหม ขนาดแค่ไม่กี่วันไม่ได้ถึงเนื้อถึงตัวอะไรมากแต่มึงยังแอบยิ้มตอนสอนคยองซูบ่อยๆ สติสตางค์งี้ล่องลอยตลอดๆ แล้วทำมาเป็นแอ๊บโหด กูเห็นนะครับไอ้ท่านไค!

     

    “มึงเห็นแล้วก็เงียบๆไปเลย อย่าลืมที่กูบอกไว้ด้วยว่าห้ามเล่าเรื่องที่กูเคยรู้จักคยองซูมาก่อนให้เจ้าตัวฟัง”

     

    จงอินย้ำกับชานยอลอีกครั้งหลังจากที่เคยบอกทั้งชานยอล แพคฮยอน และเซฮุนมาก่อนหน้านี้แล้วถึงการปิดบังความลับระหว่างเขาและคยองซู ให้มันเป็นแบบนี้ไปนั่นแหละดีแล้ว ให้เข้าใจว่าไม่เคยรู้จักกัน ทุกอย่างจะได้เริ่มต้นจากศูนย์ เรียนรู้กันใหม่ตั้งแต่ต้น ค่อยๆใช้เวลาด้วยกันไปเรื่อยๆทีละนิด

     

    ริมฝีปากคมกล้าคลี่ยิ้มแล้วกระดกน้ำเข้าปาก แอบหันกลับไปมองคนน่ารักที่กำลังยืนคุยอยู่กับแพคฮยอนและเซฮุนแล้วก็ต้องเผลอยิ้มออกมา

     

    จงอินไม่คิดว่าคยองซูจะอดทนได้ขนาดนี้เหมือนกัน แน่นอนว่าในการออกกำลัง ผลกระทบของมันหลังจากผ่านวันแรกมาได้ไม่ใช่เรื่องตลกเลย ทั้งเขาและนักกีฬาคนอื่นๆก็ต้องเคยผ่านประสบการณ์ที่ว่ามาแล้วทั้งนั้น อาการปวดเนื้อปวดตัวมันทรมานกว่าที่คิดเยอะ และอาจทรมานถึงขั้นทำให้ล้มเลิกความคิดจะเล่นต่อเลยก็ได้

     

    แต่คยองซูไม่เป็นเหมือนคนอื่นๆที่เลิกล้มความตั้งใจเพียงเพราะเจออุปสรรคแรกเริ่มในการเล่นกีฬา ต้องยอมรับว่าคนตัวเล็กใจสู้มากเลยทีเดียว ถ้าเป็นคนอื่นๆคงจะล้มเลิกความตั้งใจแล้วหนีหายไปแล้ว ใครมันจะอยากมาทำอะไรเหนื่อยๆแถมยังเจ็บตัวแบบนี้อีก ที่สำคัญ ใครมันอยากจะมาเจอคนสอนโหดๆล่ะ จริงมั้ย?

     

    “แล้วขอโทษนะครับไอ้ชานยอล กูโหดตรงไหนไม่ทราบ? ไม่เห็นจะโหดเลยสักนิด”

    จงอินไหวไหล่พลางยิ้มกวน

     

    “อ๋อเหรอออออ”

     

    ชานยอลเบ้หน้าพร้อมลากเสียงยาว ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาพยักหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ เล่นเอาชานยอลนึกคันไม้คันมือคันเท้าอยากจะจัดประเคนถีบหนักๆให้ไอ้กัปตันทีมมันสักทีสองที

     

    ระหว่างนั้นเอง แพคฮยอนก็หันมองทางชานยอลกับจงอินที่ตอนนี้ดูเหมือนจะคุยกันเพลินจนเริ่มออกแนวว่าจะกวนประสาทกันแทนแล้ว ร่างบางหันกลับมากระดกน้ำขึ้นดื่ม ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเบาะซ้อมก่อนที่เซฮุนจะลงมานั่งข้างๆตาม คยองซูยังยืนถือขวดน้ำดื่มอยู่พลางขยับศีรษะตัวเองไปมาเบาๆ

     

    “พี่คยองซูนี่ก็เก่งเหมือนกันนะ ตอนแรกนึกว่าจะไม่ไหวซะแล้ว แต่นี่มาซ้อมได้ตั้งเกือบอาทิตย์แล้วแน่ะ”

     

    เซฮุนพูดขึ้นพลางชะโงกหน้ามามองเขาด้วย คยองซูยิ้มแห้งๆกลับไปแล้วพยักหน้า

     

    “พี่เองไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันแหละ แต่พอลองเล่นดูจริงๆแล้วมันก็สนุกดี อีกอย่างตอนเย็นๆก็ว่างๆอยู่แล้วด้วย ไม่อยากให้มันว่างจนมีเวลาไปคิดอะไรไร้สาระน่ะ”

     

    อยากจะต่อท้ายเหลือเกินว่าโดยเฉพาะเรื่องของใครบางคนที่เป็นต้นเหตุทำให้เขาขาดสติจนต้องมาอยู่ในสภาพนี้ มือบางวางลงบ่าข้างหนึ่งแล้วขยับหัวตัวเองไปซ้ายขวา หมุนไปรอบๆเบาๆ ใบหน้าน่ารักแอบเหยเกเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความปวดหนึบบริเวณหลังคอ ซึ่งถ้าให้ว่ากันจริงๆมันปวดมาตั้งแต่ตื่นเช้ามาหลังวันซ้อมวันแรกแล้ว แถมไม่ใช่แค่คอแต่ที่ท้องก็ปวดมากๆเหมือนกัน กว่าจะชันตัวลุกขึ้นจากเตียงได้เล่นเอาน้ำตาแทบเล็ด

     

    ถ้าเป็นเวลาปกติคยองซูคงจะไม่มาซ้อมต่อแล้วแต่เพราะเขามีทางเลือกไม่มากนัก คยองซูเคร่งครัดเรื่องความรับผิดชอบมาแต่ไหนแต่ไร งานนี้เขาผิดเองเต็มประตูเพราะฉะนั้นเขาจึงเลือกทางอื่นไม่ได้ อีกอย่าง เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าตัวเองจะผ่านมันไปได้ไหม กับไอ้กีฬาที่มันทำให้คยองซูได้รักใครคนหนึ่งและก็ทำให้เสียใจเพราะใครคนนั้นมาแล้ว ลองวัดกันดูสักตั้งว่าชนะมันได้หรือเปล่า

     

    และถึงจะเจ็บใจนิดๆ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะคำพูดในวันนั้นของกัปตันทีมจอมโหดที่เคยบอกกับเขาไว้... มีแค่ตัวนายเองเท่านั้นที่จะทำให้มันเป็นไปได้

     

    อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นไปได้จริงๆหรือเปล่า?

     

    “แต่นายก็เก่งอย่างที่เซฮุนบอกจริงๆนะ”

    แพคฮยอนพูดต่อดึงสติของคยองซูให้กลับมา ตาโตๆมองมาเหมือนสงสัยในคำพูดนั้น

     

     “ก็แค่ไม่กี่วันยังตบเบาะไปถึงท่าที่ 4 แล้ว เมื่อกี้ฉันเห็นจงอินให้นายทวนท่าตบเบาะทั้ง 4 ท่า ก็เห็นทำให้คล่องแคล่วดีนี่ ไม่เหมือนคนเพิ่งฝึกเล่นเลยนะ”

     

    “ไม่หรอก จริงๆแล้วฉัน...เอ่อ ฉันก็พอเคยดูซ้อมยูโดมาบ้างน่ะ อีกอย่างท่าตบเบาะ 4 ท่านี้มันก็ไม่ค่อยต่างอะไรมากด้วยแหละมั้ง”

     

    “ก็จริงของนาย แต่คงจะปวดตัวน่าดูเลยสิ ใช่มั้ย?”

     

    แพคฮยอนถามเสียงอ่อนพลางแตะเบาๆลงบนหลังคอของเขา คยองซูพยักหน้าเร็วๆ หัวทุยยังคงโครงไปมาเผื่อว่าจะช่วยทุเลาอาการปวดลงไปได้บ้างหลังจากที่ต้องทนปวดตัวแบบนี้มาตั้งหลายวัน ใบหน้าน่ารักแสดงความเจ็บออกมาอย่างไม่ปิดบังเวลาอยู่กับแพคฮยอนและเซฮุน ไม่เหมือนตอนอยู่กับคนที่สอนเขา รายนั้นน่ะแค่จะร้องสักแอะยังไม่กล้าเปล่งเสียงออกมาเลย

     

    มือบางบีบๆนวดๆลงบนหน้าท้องตัวเองระหว่างที่แพคฮยอนนวดเบาๆให้ที่หลังคอ หลังจากที่ตบเบาะท่าที่ 1 ไปแล้วท่าถัดๆมาก็ไม่ได้ยากเท่าไรนัก เพียงแค่ต้องเกร็งคอให้คางติดอกตลอดเวลาเพื่อเก็บคอไม่ให้กระแทกเบาะ จึงทำให้ต้องเกร็งหน้าท้องไปด้วย เลยเป็นผลทำให้ปวดอวัยวะสองส่วนนี้มากที่สุด

     

    การตบเบาะท่าแรกหลังจากที่จัดท่าคือนอนหงายชันเข่าทำมุมฉาก ยืดแขนเหยียดตรงไปข้างหน้า เก็บคอคางชิดอก ก็ให้ใช้สองมือตบเบาะลงมา โดยทิ้งน้ำหนักให้ทั้งท่อนแขนฟาดลงไปกับเบาะยูโด ทีแรกคยองซูคิดว่าคงจะเจ็บเพราะเบาะมันแข็งเอาเรื่องอยู่ แต่พอได้ลองทำจริงๆถึงได้รู้ว่าไม่ได้เจ็บอย่างที่คิด แต่ก็อาจจะมีแสบๆผิวบ้างเหมือนเวลาใช้มือฟาดไปกับอะไรสักอย่างนั่นแหละ เพียงแต่นี่เป็นการฟาดไปทั้งแขน

     

    เพราะท่าแรกเป็นท่าที่ไม่ยากและคยองซูคิดว่าตัวเองทำได้ดีทีเดียว จงอินก็เลยให้เขาผ่านหลังจากที่ตบอยู่อย่างนั้นประมาณ 10 ครั้ง ราวๆ 10 เซ็ท จงอินเริ่มสอนท่าที่ 2 ให้ ต่างจากท่าแรกตรงที่ต้องลุกขึ้นมานั่ง เหยียดขายืดออกไปตรงๆ ยืดมือออกไปข้างหน้าตรงๆเช่นกัน เก็บคอให้คางชิดอก แล้วให้หงายหลังล้มลงไปบนเบาะพร้อมๆกับที่ยกขาทั้งสองข้างขึ้นมาด้วยให้เท้าทั้งสองข้างชี้ไปบนเพดานทำมุมฉากกับพื้น จังหวะที่หงายลงไป เมื่อช่วงหลังเริ่มแตะพื้นเบาะให้ก็ให้ตบเบาะเหมือนอย่างท่าแรกได้เลย หลังจากที่ตบแล้วก็ให้กลับขึ้นมานั่งในท่าเดิม ทำอย่างนี้นับเป็น 1 ครั้ง

     

    ท่านี้นี่เองที่ทำให้คยองซูเริ่มจะปวดคอกับท้องขึ้นมา เพราะจะต้องเกร็งคอไม่ให้กระแทกเบาะ แล้วก็ต้องเกร็งท้องเพื่อจะได้เด้งตัวกลับมานั่งได้ คล้ายๆตุ๊กตาล้มลุก หลังจากทำไปได้เกือบ 10 ครั้ง คยองซูทนไม่ไหวจึงปล่อยคอให้ลงไปนอนกับเบาะตอนที่หงายตัวลงไปตบเบาะ ซึ่งแน่นอนว่าไม่อาจพ้นสายตาของจงอินที่ยืนคุมสอนเขาอยู่ใกล้ๆ ผลที่ตามมาคือถูกคนตัวสูงดุเสียงดังจนใจเสีย

     

    “อยากคอหักหรือไงห๊ะ!? บอกว่าให้เก็บคอ! ไม่ว่าจะเมื่อยแค่ไหนนายก็ต้องเก็บคอเสมอ! จำไว้ว่าเมื่อไหร่ที่หัวนายกระแทกพื้นคอนายหักแน่ ไม่ใช่แค่ยูโดแต่หมายถึงในชีวิตประจำวันด้วย ฝึกให้ชินแล้วจะดีกันตัวนายเอง เข้าใจมั้ย!?

     

    คยองซูทำได้เพียงแค่พยักหน้าหงอยๆรับคำ ร่างหนาในชุดยูโดมองเขานิ่งๆอยู่พักหนึ่งแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะอนุญาตให้พักได้ 5 นาที หลังจากนั้นก็ให้ตบเบาะในท่าที่ 2 ซ้ำอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเลิกซ้อม

     

    วันถัดมาแม้จะปวดคอมากๆแต่คยองซูก็กล้ำกลืนแล้วมาซ้อมต่อ จงอินให้เขาทวนท่าตบเบาะท่าแรกและท่าที่ 2 ก่อน ทำอยู่ไม่กี่ครั้งจงอินก็ยอมให้ผ่านและสอนท่าที่ 3 ถัดมา ไม่ต่างจากท่าเดิมมากนัก แค่เปลี่ยนจากนั่งเหยียดขาล้มหลังตบเบาะมาเป็นนั่งบนส้นเท้าแล้วล้มหลังตบเบาะ

     

    ตอนที่จงอินลองทำให้ดู เขาเข้าใจว่ามันก็คงเหมือนกันกับการนั่งยองๆ แต่พอทำก็ถูกจงอินตวาดดุอีก จงอินบอกว่านั่งบนส้นเท้าหมายถึงให้เปิดส้นเท้าแล้วทิ้งน้ำหนักให้สมดุล ไม่ใช่นั่งยองๆลงไปเต็มฝ่าเท้า เขาบอกว่าแบบนั้นเท้าจะตาย และเท้าตายคือข้อห้ามของนักกีฬาที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวเสมอ

     

    คยองซูกลับมานั่งบนส้นเท้าอย่างที่จงอินบอก ถึงมันจะโครงเครงจะล้มอยู่หลายทีแต่ก็ต้องพยายามทรงตัวไว้ให้ได้ ต้องยอมรับว่ามันเมื่อยมากๆแต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะอิดออด สองแขนยกเหยียดตรงไปข้างหน้าเหมือนเดิม เก็บคอ แล้วจึงหงายหลังลงไปตบเบาะ จากนั้นค่อยกลับขึ้นมานั่งอยู่ในท่าเดิม

     

    หลังจากทำไปได้อยู่ไม่กี่ทีคราวนี้มาเต็มทั้งปวดคอ ปวดท้อง ปวดขา ยิ่งทำไปเรื่อยๆก็ยิ่งเด้งตัวกลับขึ้นมานั่งบนส้นเท้าในท่าเดิมก่อนล้มหลังลงไปตบเบาะไม่ได้ ทรงตัวก็ไม่ได้ จะล้มแหล่มิล้มแหล่อยู่หลายที คยองซูรู้ตัวเองว่าทำได้ไม่ดีแต่จงอินกลับไม่ปริปากว่าอะไรสักคำ หากแต่สายตาคมกริบที่มองมานิ่งๆโดยปราศจากคำพูดนั้นน่ากลัวว่านักจนคยองซูรู้สึกกดดันจนอยากจะร้องไห้

     

    แต่แล้วจู่ๆจงอินกลับบอกให้เขาพักได้ คยองซูทิ้งตัวลงนั่งแปะลงไปกับเบาะพลางหอบหายใจ เขาไม่เคยออกกำลังกาย ไม่เคยแม้แต่วิ่ง มันก็คงไม่แปลกอะไรถ้าเนื้อที่ปอดจะเล็กจนทำอะไรไม่เท่าไหร่ก็เหนื่อยหอบ

     

    “นายอาจจะคิดว่าฉันเข้มงวดกับนายมากเกินไป”

     

    จู่ๆเสียงทุ้มของคนที่ยืนอยู่ก็พูดขึ้นมาเบาๆ คนที่นั่งหอบอยู่กับเบาะเงยหน้าขึ้นไปมอง คยองซูรู้ในตอนนั้นเองว่าสายตาตัวเองพร่ามัวเหลือเกิน แทบทุกอย่างเกือบจะกลายเป็นสีขาวไปหมด นี่หรือเปล่าที่อู๋ฟานเคยพูดถึงเวลาที่เราเหนื่อยมากๆจนมองทุกอย่างไม่เห็น เขาเพิ่งจะสัมผัสมันนี่เองแม้จะดูเร็วไปสักหน่อยกับการออกกำลังแค่นี้

     

    มือหนายื่นขวดน้ำมาให้ คนตัวเล็กพยายามกะพริบตาเพื่อปรับภาพเบื้องหน้าพร้อมๆกับสูดออกซิเจนเข้าปอดให้ได้มากที่สุด ตากลมโตมองใบหน้าคมเข้มที่ยังเรียบขึงหากแววตาคล้ายซ่อนความห่วงใยเอาไว้

     

    “แต่เชื่อเถอะคยองซู ถ้านายผ่านมันไปได้นายจะชนะตัวเองไปอีกหนึ่งก้าว”

     

    รอยยิ้มเล็กๆแต่แสนอ่อนโยนที่คิดว่าจะไม่ได้เห็นเวลาเจ้าตัวสวมชุดยูโดอยู่บนเบาะถูกส่งมาให้ แม้ดวงตาจะพร่ามัวแค่ไหนแต่คยองซูก็มั่นใจว่ามองไม่ผิดแน่ มือบางรับขวดน้ำมาถือไว้ เขาพยักหน้านิดๆพร้อมกับดื่มน้ำ เพียงแค่ชั่วครู่เดียวรอยยิ้มนั้นก็หายไปกลายเป็นหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิม

     

    คยองซูไม่รู้หรอกว่าคิมจงอินคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่ จะโหด จะดุ จะเข้มงวดเคร่งครัดยังไงก็ตาม แต่อย่างน้อยทุกคำพูดของคนๆนี้ก็สร้างกำลังใจให้ตัวเขาได้ทุกครั้งอย่างไม่น่าเชื่อ

     

    หลังจากกู้หัวใจที่ฝ่อไปให้กลับมาได้แล้ว พักได้ไม่นายเท่าไหร่ คยองซูก็กลับมาสู้อีกครั้ง คราวนี้เขาตบเบาะท่าที่ 3 ได้ดีทีเดียว รอบนี้กะว่าจะได้ผ่านไปท่าถัดไปแล้วแท้ๆแต่จงอินกลับบอกให้พอแค่นี้ก่อน โดยบอกว่าอยากให้ค่อยเป็นค่อยไปและทำอย่างถูกต้องจริงๆ เพราะพื้นฐานนั้นสำคัญที่สุด ถ้าสักแต่ว่าจะสอนจะทำให้ผ่านอาจเป็นอันตรายได้ในอนาคตหากพื้นฐานยังไม่แม่นพอ

     

    วันถัดๆไปคยองซูยังคงกัดฟันทนอาการปวดกล้ามเนื้อที่หนักขึ้นเรื่อยๆมาซ้อมต่อ จงอินให้เขาทวนท่าตบเบาะตั้งแต่ท่าแรกทุกครั้งซึ่งมันก็เป็นผลดีเพราะมันทำให้คยองซูจดจำและทำท่าแรกๆได้ดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ หลังจากตบเบาะอยู่ท่าที่ 3 อยู่นานจงอินก็ให้ผ่านและสอนท่าที่ 4 ต่อไป ซึ่งต่างกันแค่เปลี่ยนจากนั่งมาเป็นลุกขึ้นยืน  ในท่าเตรียมมือยังคงยืดไปข้างหน้า เก็บคอ แล้วให้ย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้าเหมือนท่าที่ 3 แล้วจึงค่อยล้มหลังตบเบาะเหมือนทุกครั้ง จากนั้นให้ลุกกลับขึ้นมาอยู่ในท่าเตรียมเหมือนเดิม เป็นอันนับว่า 1 ครั้ง

     

    สรุปแล้วในเวลาเกือบอาทิตย์ คยองซูได้ท่าตบเบาะไปแล้ว 4 ท่า เหลืออีก 4 ท่าที่จงอินบอกว่าจะยากขึ้นเรื่อยๆไปตามลำดับ แต่เขาไม่รู้ว่าร่างกายตัวเองจะทนได้ไปจนถึงจุดนั้นหรือเปล่า นี่ขนาดว่ายังไม่ได้สู้กับใคร แค่สู้กับตัวเองยังยากขนาดนี้

     

    “เอ้า! หมดเวลาพัก กลับขึ้นมาซ้อมต่อได้แล้ว!

     

    เสียงทุ้มต่ำที่ราวกับเสียงซาตานทำให้คยองซูต้องถอนหายใจออกมาเสียงดังพร้อมร้องครางโอดโอย แพคฮยอนหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเห็นท่าทางแบบนั้น ถึงคยองซูจะดูเหมือนเด็กงอแงแต่ก็ยังทนซ้อมมาได้จนถึงตอนนี้ ใจนี่สู้สุดๆจริงๆ

     

    “ซ้อมต่อเร็วคยองซู ตบเบาะให้ผ่านแล้วเดี๋ยวจะได้มาเข้าท่าทุ่มกับพวกฉันไง”

     

    “แต่แพคฮยอนอ่า...มันเมื่อยไปหมดทั้งตัวแล้วนะ”

     

    “อดทนอีกนิดนึงนะฮะ ทรมานแค่ช่วงแรกๆ สักพักเดี๋ยวก็ชิน เชื่อเซฮุนนะ”

     

    น้องเล็กเฟรชชี่ยิ้มกว้างให้จนคยองซูอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ แม้ในใจอยากจะร้องไห้ใจจะขาดแล้วก็เถอะ แพคฮยอนตบไหล่เขาเบาๆสองสามครั้งก่อนจะดึงมือให้คยองซูลุกขึ้นตาม

     

    แพคฮยอนกับเซฮุนต้องแยกไปฝึกเทคนิคการทุ่มโดยมีชานยอลเป็นคนสอน ขณะที่คยองซูยังต้องมาฝึกพื้นฐานการล้มหลังตบเบาะจากจงอิน ร่างสูงในชุดยูโดสายดำยืนกอดอกประจำที่ คยองซูพ่นลมหายใจอีกหนึ่งทีก่อนจะไปยืนตรงหน้าคนสอนพร้อมรับการฝึกในท่าต่อไป

     

    “ต่อไปจะเป็นการตบเบาะซ้าย-ขวา ซึ่งมันสำคัญมากๆในการเล่นยูโด เพราะส่วนใหญ่เวลาถูกทุ่มจะต้องตบเบาะด้านข้างเสมอ ไม่เหมือน 4 ท่าที่นายฝึกไปคือการหงายหลังลงไปเฉยๆ”

     

    “อ้าว แล้วถ้างั้นจะสอน 4 ท่านั้นทำไมล่ะ?”

     

    จงอินแอบยกยิ้ม ใบหน้าน่ารักกับดวงตาใสซื่อถามออกมาหลังจากที่ตลอดการฝึกไม่เคยมีคำพูดใดๆออกจากปากคยองซูเลย อาจจะเพราะเกรงกลัวหรืออะไรก็ตาม แต่การที่คยองซูเริ่มจะซักถามมาบ้างแล้วแบบนี้ถือเป็นเรื่องดี

     

    “เพราะมันเป็นพื้นฐานในการตบเบาะไงล่ะ ให้นายได้ฝึกเก็บคอ ล้มหลัง ได้ตบเบาะเป็นก่อน มันก็เหมือนวิชาคณิตนั่นแหละ แรกเริ่มนายต้องบวกลบเลขให้เป็นก่อน ต่อไปถึงค่อยฝึกคูณหาร แต่ทุกอย่างมันก็เชื่อมโยงกันหมด ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวพอนายทำไปก็จะเข้าใจเอง”

     

    เจ้าของตากลมโตพยักหน้าแล้วลงไปนอนกับเบาะตามที่จงอินบอก ตบเบาะท่าที่ 5 จะต้องนอนตะแคงข้างโดยเริ่มต้นจากข้างซ้ายก่อน ให้ขาข้างหนึ่งแนบลงกับพื้น งอเข่านิดหน่อย ขาอีกข้างให้ยกตั้งเข่าขึ้นโดยเว้นระยะห่างระหว่างเท้าทั้งสองประมาณครึ่งฟุต มือซ้ายที่ต้องใช้ตบเบาะให้เหยียดตรงแต่อย่าเพิ่งวางลงไปบนเบาะ ให้ยกขึ้นมาเฉียงๆเกือบพาดคอในท่าเตรียม ส่วนมือขวาให้จับที่สายคาดเอวแต่ตอนนี้คยองซูใส่ชุดวอร์มก็ให้วางเอาไว้บนท้อง ที่สำคัญต้องไม่ลืมเก็บคอ

     

    คนตัวบางเบ้หน้าเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่ามันยากกว่าทุกท่าที่ผ่านมาเพราะรู้สึกว่าร่างกายมันขัดๆยังไงพิกล นอนตะแคงข้างแต่ก็ไม่เชิงตะแคงข้างเพราะต้องนอนไม่ให้ทับไหล่ซ้ายของตัวเองเนื่องจากต้องยกขึ้นมาเพื่อใช้แขนตบเบาะ จงอินให้เขาลองตบเบาะ 10 ครั้ง คยองซูรู้สึกได้เลยว่าร่างกายกำลังจะมีจุดเจ็บเพิ่มอีกแล้ว

     

    “คราวนี้เปลี่ยนเป็นทางขวา จัดท่าแบบเดิมนะ ตะแคงขวา ใช้มือขวาตบเบาะ ให้ลำตัวและขาขวาวางลงกับเบาะ ชันเข่าซ้ายขึ้น เตรียม”

     

    ร่างหนาในชุดยูโดสั่งเสียงเรียบ คยองซูทำตาม ต้องพยายามแยกประสาทดีๆว่าขาไหนแขนไหนวางด้านไหน มือไหนไว้ที่ท้อง มือไหนใช้ตบเบาะ เขาตบเบาะด้านขวาอยู่อีก 10 ครั้ง ก็เริ่มชัดเจนแล้วว่าข้อศอกคงจะเจ็บเพิ่มอีกจริงๆ มันเป็นการเหวี่ยงแขนที่ค่อนข้างขัดกับรูปกระดูกช่วงข้อศอกนิดหน่อย

     

    หลังจากตบเบาะผ่านไปแล้วข้างละ 10 ครั้ง จงอินก็ให้คยองซูกลับมาทำข้างขวาอีก แต่คราวนี้ให้สลับกันซ้ายขวาทีเดียวเลย คือตบข้างซ้ายทีก็ต้องพลิกตัวมาตบข้างขวาอีกที ทำสลับกันไปอย่างนี้จบครบ 10 ครั้ง ที่ยากคือไม่ใช่การนอนกลิ้งไปมาแต่เวลาจะกลับด้านต้องยกสะโพกให้ลอยจากพื้นนิดๆด้วย

     

    คยองซูสูดลมหายใจลึกๆ ตั้งสติ เตรียมแยกประสาท ไหนจะตบเบาะไหนจะต้องจัดท่า เมื่อพร้อมแล้วจึงเริ่มตบข้างซ้ายแล้วยกตัวหันกลับมาตบข้างขวา แต่ทว่าก็มีเสียงทุ้มดังแหวกอากาศขึ้นมาเสียงดับฉับพลัน

     

    “นี่!! บอกให้จัดท่าเหมือนเดิมทุกครั้ง!!

     

    จงอินพูดเสียงดังจนเขาสะดุ้งโหยง คยองซูนอนตัวแข็งอยู่กับที่ไม่กล้าขยับ ถึงจะรู้ว่าตัวเองคงจะจัดท่าผิดแน่ๆแต่ก็ตกใจจนสติกระเจิงไม่อาจประมวลผลทำให้ถูกต้องได้แล้ว

     

    ร่างสูงลดตัวลงมานั่งอยู่ตรงปลายเท้า ส่งสายตาดุๆมาให้ดวงตาไหวระริกด้วยความกลัว แล้วมือหนาก็คว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าเล็ก จัดท่าจัดทางให้อยู่ในท่าที่ถูกต้อง

     

    “จะตบเบาะข้างขวาก็ให้เอาขาขวาลงแนบกับเบาะ ใช้แขนขวาตบเบาะ ไอ้ข้างที่ไม่ใช้ก็เก็บไป”

     

    มือใหญ่กดขาขวาของคนที่นอนอยู่ให้แนบลงกับพื้นเบาะ จัดให้งอเข่าเข้ามานิดๆแล้วจับขาอีกข้างให้ตั้งเข่าขึ้น ค่อยๆเขยิบไปด้านข้างร่างเล็ก นั่งนิ่งอยู่ซักพักแล้วจึงตัดสินใจจับข้อมือเล็กๆที่วางสะเปะสะปะให้มาอยู่ตรงหน้าท้องแทน

     

    “มือซ้ายไม่ได้ใช้ก็เอามาเก็บไว้ตรงสายคาดเอว เวลาตบด้านซ้าย ใช้มือซ้ายตบก็ให้เก็บมือขวาแทน แค่นี้แหละ จำง่ายๆ เดี๋ยวทำไปเรื่อยๆร่างกายนายก็จะชินเอง”

     

    เห็นคยองซูพยักหน้าหงึกหงักจงอินก็ลุกขึ้นยืนแล้วกลับมาอยู่ที่ปลายเท้าคนที่นอนอยู่เหมือนเดิม เมื่อมองดูแล้วเห็นว่าจัดท่าทางถูกต้องทุกอย่างแล้วจึงออกปากสั่งอีกครั้ง

     

    “ทำต่อไปอีก 10 ครั้ง อย่าลืมเก็บคอทุกครั้งด้วย เริ่ม!

     

    แล้วคยองซูก็ทำตามที่ว่า สลับกันตบเบาะไปมาซ้ายขวาโดยจัดท่าได้ถูกต้องทุกครั้ง แม้จะมีบางทีที่อาจเผลอหลุดเพราะแยกประสาทไม่ออกไปบ้างแต่ก็นับว่าเรียนรู้ได้เร็ว ระหว่างนั้นที่กำลังดูคยองซูตบเบาะอย่างแข็งขันอยู่นั้น ทางด้านชานยอลก็ให้แพคฮยอนกับเซฮุนพักก่อนได้ ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้เพื่อนสนิท กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพูดขึ้นมาเบาๆ

     

    “กูเห็นนะว่ามึงหน้าแดงตอนจัดท่าให้คยองซู เก็บอาการหน่อยนะเพื่อนนะ”

     

    แถมหัวเราะคิกคักตบท้ายอีกด้วย จงอินที่นึกหมั่นไส้อยู่นานได้โอกาสก็หันกลับไปคว้าสาบเสื้อยูโดฝ่ายตรงข้างแล้วจับเหวี่ยงทุ่มลงทันที ชานยอลตบเบาะเซฟตัวเองหลังถูกทุ่มได้สวยงามตามสัญชาตญาณของนักยูโด ลุกขึ้นมาส่งยิ้มกวนๆมาให้ไอ้คนถูกแซวแล้วเดินผิวปากไปดื่มน้ำข้างเบาะอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ

     

    จงอินเดาะลิ้นพลางส่งเสียงขัดใจเล็กน้อยมองตามไอ้เพื่อนจอมกวนไป ไม่ทันได้เห็นว่าคยองซูลุกขึ้นมานั่งมองเขาตาปริบๆแล้ว พอหันกลับไปเห็นหน้าหงอยๆหัวใจก็แอบกระตุก แต่ก็ต้องวางท่าให้เคร่งขรึมเอาไว้

     

    “ครบแล้วเหรอ?”

     

    “อืม ครบแล้ว จ...จงอิน”

    เสียงเล็กๆเรียกชื่อต่อท้ายคำตอบทำเอาแอบหายใจไม่เป็นไปชั่ววิแต่ก็ต้องเก็บอาการไว้

     

    “มีอะไร?”

     

    “ฉัน...เจ็บข้อศอก”

     

    จงอินเกือบจะเบิกตากว้างแล้วพุ่งถลาเข้าไปหาคยองซูทันทีที่ได้ยินเสียงหวานพูดเบาๆเช่นนั้น แต่เขาก็ต้องใจเข็งเอาไว้ ไม่ใช่แค่เพราะเป็นโดคยองซู แต่นักกีฬาถ้ามัวแต่โอ๋มากไปก็ไม่มีน้ำอดน้ำทนกันพอดี

     

    จงอินสูดลมหายใจลึกๆหนึ่งทีก่อนจะย่อตัวลงไปนั่งด้านหน้าคยองซู ปกติแล้วคนตัวเล็กของเขาไม่เคยปริปากบ่นว่าปวดนู่นเจ็บนี่ให้ได้ยินเลยสักครั้งแม้จงอินจะรู้อยู่แล้วว่าคยองซูคงจะปวดตัวมากๆอยู่แน่ๆ ในเมื่อไม่แสดงมันออกมาจงอินก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่ถ้าครั้งนี้ถึงกับกล้าพูดออกมาแสดงว่าคงไม่ไหวจริงๆ

     

    มือหนาแตะลงบนข้อศอกของอีกคน กดน้ำหนักลงไปเบาๆตรงรอยแดงๆจากการตบเบาะ เสียงหวานร้องครางออกมาเล็กน้อยก่อนจะกัดเม้มริมฝีปากตัวเองไว้แน่น

     

    “คงเจ็บเพราะไม่เคยตบเบาะซ้ายขวาน่ะ รูปกระดูกยังไม่ชินแต่เดี๋ยวต่อไปจะดีขึ้นเอง วันนี้พอแค่นี้ก่อน ฝืนไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น”

     

    จงอินพูดก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตัดสินใจรวบรวมความกล้าสักเล็กน้อย มือหนาค่อยยื่นไปให้คนตัวเล็กที่นั่งอยู่ คยองซูช้อนตามองอย่างชั่งใจสักพักแล้วจึงเอื้อมมือมาให้อีกคนดึงตัวขึ้นมา

     

    นึกอยากขอบคุณกัปตันทีมที่โหดเวลาสอนคนนี้เหมือนกัน เพราะตอนนี้ร่างกายของเขาบอบช้ำเกินกว่าพาพาตัวเองลุกขึ้นมาได้แล้ว ที่หนักที่สุดยิ่งกว่าเจ็บศอกก็คือปวดกล้ามเนื้อหน้าท้อง คอ และขา ทุกอย่างทีผลกับชีวิตประจำวันจริงๆ จะลุกจะนั่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

     

    พอลุกขึ้นได้มือนั้นก็ปล่อยมือเขา จงอินให้คยองซูไปนั่งรอที่ข้างเบาะ ส่วนตัวเองก็ลงจากเบาะแล้วหายออกไปนอกห้องชมรมอยู่พักหนึ่งก่อนจะกลับมาพร้อมถุงน้ำแข็งถุงหนึ่ง

     

    “แหม จริงๆให้กูไปซื้อให้ก็ได้นะ ไม่เห็นจะต้องลงไปเอง”

     

    ชานยอลที่กำลังสอนแพคฮยอนกับเซฮุนอยู่บนเบาะตะโกนลงมา เห็นจงอินทำหน้าเพลียใส่ก่อนจะตอบกลับไป

     

    “มึงอ่ะสอนต่อไปเลย เดี๋ยวกูจะไปทดสอบ 2 คนนั้นดู ถ้ามึงสอนนักกีฬากูไม่ได้เรื่องล่ะเจอกันแน่”

     

    “คร้าบบบบ โหดจังเลยนะครับหลังๆเนี่ย”

     

    เสียงระรื่นกับฟันขาวที่เห็นแทบครบทุกซี่ทำให้จงอินคร้านจะต่อล้อต่อเถียงให้เข้าตัวเอง เขานั่งลงบนเบาะตรงหน้าคนที่นั่งอยู่ เงยหน้ามองคยองซูที่นั่งอยู่สูงกว่าแล้วถอนหายใจออกมาเสียงเบา มือหนาแนบถุงน้ำแข็งลงบนข้อศอกเล็ก

     

    “ประคบเอาไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วสลับไปประคบอีกข้าง น้ำแข็งละลายเมื่อไหร่เรียกฉันก็แล้วกัน”

     

    เสียงทุ้มพูดค่อยๆแล้วลุกขึ้นยืนหมายว่าจะไปดูผลการสอนของชานยอลมันสักหน่อย แต่แล้วก็ต้องหยุดขาที่กำลังจะก้าวเมื่อเสียงคยองซูรั้งเขาเอาไว้เสียก่อน

     

    “จงอิน!

     

    ใบหน้าหล่อจัดหันกลับไปหา ตากลมโตไหวระริกจ้องมองมาพร้อมกัดริมฝีปากตัวเองน้อยๆอย่างชั่งใจ

     

    “ข...ขอบคุณนะ”

     

    คิมจงอินไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่พาใบหน้าเรียบขึงจริงจังนั้นหันกลับไปแล้วเดินไปทางชานยอล แพคฮยอนและเซฮุนที่กำลังฝึกท่าทุ่มกันอยู่บนเบาะ

     

    ร่างบางพรูลมหายใจออกมา ความชาหนึบจากไอเย็นตรงข้อศอกเริ่มทำให้อาการเจ็บหายไปเรื่อยๆเหมือนกำลังถูกแช่แข็ง ไม่เคยคิดเลยว่าสักวันหนึ่งจะต้องมานั่งประคบน้ำแข็งเองแบบนี้

     

    มันทำให้นึกถึงใครบางคนในวันแรกที่ได้คุยกันหลังจากที่เอาแต่เป็นฝ่ายแอบมองอยู่เนิ่นนาน

     

    ++++++++++++++++++++++++

     

    “เฮ้ย!! เป็นอะไรหรือเปล่าอู๋ฟาน!?

     

    เสียงของนักกีฬาชายสักคนที่ร้องขึ้นมาเสียงดังท่ามการการซ้อมอย่างแข็งขันทำเอาหัวใจดวงน้อยกระตุกวูบ มองผ่านร่างในชุดยูโดมายังบนเบาะเพื่อมองหาเจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยขึ้นมาเมื่อกี้

     

    อู๋อี้ฟานลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเบาะขณะที่เพื่อนอีกคนที่เดาว่าคงเป็นคู่ซ้อมนั่งย่อตัวลงข้างๆด้วยสีหน้าเป็นวิตก ใบหน้าหล่อจัดส่ายหัวไปมาพลางคลี่ยิ้ม ยกมือบอกว่าไม่เป็นไรก่อนจะค่อยๆชันตัวลุกขึ้นยืน

     

    “เมื่อกี้เท้ามันกระแทกกันจังหวะที่ลงนิดหน่อย ประคบน้ำแข็งเดี๋ยวก็คงดีขึ้น”

     

    ร่างสูงพาตัวเองเดินกระโผลกกระเผลกมาข้างเบาะ คยองซูตาโตพยายามคิดว่าควรจะทำยังไงดีในช่วงเวลานี้ คนอื่นๆก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดซ้อมเพื่อมาดูแลคนที่เจ็บอยู่ พลันนึกขึ้นได้ว่าร้านน้ำที่เขาเพิ่งจะไปซื้อน้ำเปล่ามาชดใช้คนที่เดินชนจนกระติกคว่ำเมื่อกี้ยังไม่ปิด คยองซูรีบวิ่งออกจากโรงยิมไปก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมถุงน้ำแข็งในมือ

     

    ร่างเล็กชะลอจังหวะการก้าวเดิน เกิดนึกลังเลใจขึ้นมาว่าควรจะทำดีหรือไม่ เขาไม่ได้ต้องการให้นักยูโดคนดังรู้จักหรือสนใจ เพียงแค่ได้มองอยู่แบบนี้ทุกๆวันก็พอแล้ว แต่ถ้าเขาไม่เอาน้ำแข็งไปให้ อู๋ฟานก็คงต้องลำบากเดินไปเอง ถึงจะรู้ว่ามันเป็นแค่การบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆสำหรับนักกีฬา แต่กับคนธรรมดาๆอย่างเขามันไม่ใช่เรื่องเล็กเลยนี่นา

     

    คยองซูตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่ขอบเบาะ อู๋ฟานทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยเมื่อร่างเล็กไม่คุ้นหน้าเดินยิ้มนิดๆเข้ามาใกล้ คนตัวบางย่อตัวนั่งลงตรงหน้าก่อนจะยื่นถุงน้ำแข็งไปให้

     

    “เอ่อ...ผมเอาน้ำแข็งมาให้พี่ประคบ เห็นว่าพี่กำลังเจ็บอยู่”

     

    เสียงเล็กๆพูดค่อยๆติดๆขัดๆ อู๋ฟานมองดวงหน้าหวานที่หลบตาสลับกับมองถุงน้ำแข็งในมือเล็กก่อนจะรับมาอย่างไม่เข้าใจนัก

     

    “ขอบใจนะ ว่านายรู้ได้ยังไงว่าฉันเจ็บ” หันกลับไปมองนาฬิกาบนผนัง “แถมนี่ก็เลิกเรียนมาตั้งนานแล้วด้วย ทำไมนายยังไม่กลับบ้านอีกล่ะ?”

     

    อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร อู๋ฟานจึงไม่อยากจะคาดคั้นต่อ เขาขอบคุณอีกครั้งแล้ววางถุงน้ำแข็งลงบนข้อเท้าของตัวเองตรงตำแหน่งที่เจ็บ

     

    “นั่งลงก่อนสิ แต่อย่านั่งหันหลังให้เบาะยูโดนะ เวลาใครทุ่มมาจะไม่เห็นแล้วจะอันตราย”

     

    อู๋ฟานบอกพร้อมคลี่ยิ้มอบอุ่นทำเอาหัวใจคนที่ได้เห็นเต้นไม่เป็นจังหวะ คยองซูยิ้มนิดๆก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งโดยเว้นระยะห่างจากร่างสูงอย่างตั้งใจ เขายังใจไม่แข็งพอที่จะให้มานั่งข้างๆคนที่แอบชอบตลอดมาหรอกนะ

     

    “ว่าแต่นายชื่ออะไรเหรอ?”

     

    “เอ่อ...ชื่อโดคยองซูครับ”

    ตอบอย่างไม่มั่นใจ แอบเห็นหน้าคมจัดสั่นหัวขึ้นลงเล็กน้อย

     

    “ชื่อคุ้นๆนะเรา อ่า...หรือว่านายคือรองประธานฝ่ายกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ปีนี้ใช่มั้ย?”

     

    อู๋ฟานพูดขึ้นพลางยิ้มกว้างเมื่อนึกขึ้นได้ เคยได้ยินอยู่เหมือนกันว่ารองประธานปีนี้ตัวเล็กนิดเดียว แถมหน้าตายังน่ารักเสียจนไม่น่าจะมาทำงานเกี่ยวกับกีฬาได้ เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรนักหรอกเพราะกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ไม่ได้เกี่ยวกับยูโด แต่พอมาเห็นจริงๆก็ไม่คิดว่าตัวจะเล็กขนาดนี้

     

    คยองซูรู้สึกเหมือนลมหายใจขาดช่วง ไม่เพียงแค่อู๋ฟานจะรู้ชื่อเขา แต่ยังรู้อีกด้วยว่าเขาอยู่ในตำแหน่งนี้ ภาวนาอย่าให้อู๋ฟานรู้ถึงขั้นว่าเพราะอยากจะหาข้ออ้างได้มองเจ้าตัวอยู่ทุกวันโดยไม่มีใครคัดค้านขัดข้องถึงได้พยายามจนได้รับเลือกให้อยู่ในตำแหน่งนี้

     

    “ช...ใช่ครับ แฮะๆ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับพี่อู๋อี้ฟาน”

     

    “ตัวจริงตัวเล็กกว่าที่เขาลือกันไว้อีกนะเรา แล้วกลับบ้านเย็นๆค่ำๆแบบนี้ไม่กลัวเหรอ?”

     

    น้ำเสียงเจือความห่วงใยกับสายตาที่มองมาแบบนั้นอันตรายกับหัวใจมากเกินไป คยองซูคิดว่าตัวเองล้ำเส้นเข้ามามากเกินไปแล้ว คงต้องขอตัวกลับไปตั้งหลักให้ดีๆก่อน

     

    “คือ...ผมก็กำลังจะกลับแล้วล่ะ งั้นลาเลยนะฮะ โอ๊ย!

     

    แต่เมื่อตั้งท่าว่าจะลุกขึ้น มือเล็กเท้าลงบนพื้นกลับต้องร้องออกมาเมื่อความเจ็บแล่นริ้วไปจนถึงปลายมือ คยองซูเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากการชนกระติกน้ำของเด็กโรงเรียนฝั่งตรงข้ามเมื่อกี้นี้

     

    อู๋ฟานเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอีกคนร้องขึ้นมา มือหนาจับข้อมือเล็กทันทีแล้วพลิกแขนดูตรงข้อศอก รอยแดงกับแผลถลอกบอกเขาว่าคนๆนี้ได้รับบาดเจ็บ สัญชาตญาณของเขาไม่เคยผิดพลาด คยองซูหันกลับมามองคนที่จับข้อมือของตัวเองโดยไม่ทันตั้งตัวพร้อมกับที่ใบหน้าขาวจัดขึ้นริ้วสีโดยไม่ตั้งใจ

     

    “นายเจ็บอยู่นี่นา นั่งลงมาก่อน”

     

    แรงฉุดเบาๆก็เพียงพอจะทำให้คยองซูทรุดตัวลงไปนั่งที่เดิม อู๋ฟานมองหน้าเขาเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็กน้อยก่อนจะหยิบถุงน้ำแข็งที่คยองซูเป็นคนเอามาให้เช็ดด้านที่ประคบไปกับเสื้อยูโดของตัวเอง แล้ววางแนบลงบนข้อศอกของอีกคน

     

    คยองซูเงยหน้ามองอู๋ฟานอย่างไม่เข้าใจ ตากลมโตที่มองนิ่งผกผันกับหัวใจที่เต้นถี่เร็วจนแทบหลุดออกมาข้างนอก

     

    “ถึงมันจะดูเสียมารยาทสำหรับคนที่เจอกันครั้งแรกไปสักนิด แต่นายต้องประคบน้ำแข็งไว้นะ ไม่อย่างนั้นมันจะปวดกว่านี้ เข้าใจมั้ย? โดคยองซู”

     

     

    ...น้ำเสียงอ่อนโยน สายตาอบอุ่น รอยยิ้มละไม ความห่วงใยที่มีให้...

    ทุกอย่างยิ่งทำให้คยองซูตกหลุมรักอู๋อี้ฟานจนไม่อาจตะเกียกตะกายกลับขึ้นมาได้

     

    และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นระหว่างเขากับอู๋อี้ฟาน...งดงามแต่จบท้ายด้วยความเจ็บปวด



     


    TBC.

     
     

    Mirror* Talk : สวัสดีค่ะ กลับมาอีกแล้วอย่างรวดเร็ว เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ คือฟิคเรื่องนี้มันเขียนยากมาก แต่ประหลาดไหมที่เรากลับเขียนเสร็จเร็วมาก เร็วกว่าทุกเรื่องที่เขียนมาด้วยซ้ำอ่ะ TvT มันเหมือนแบบ พอได้เริ่มเขียนไฟก็ติด แล้วประเด็นหลักคือเราอยากให้คยองซูได้เข้าท่าทุ่มได้ไวๆ บัดนั้นความฟินจะสถิตอยู่กับผองเราค่ะ ฮิ้วว(?)

    สำหรับตอนนี้ดูจะมีเนื้อหาแน่นเหมือนเคย อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนนะ TvT และเราพยายามจะหารูปการตบเบาะมาประกอบให้ทุกคนเข้าใจง่ายๆแล้วจริงๆค่ะ แต่มันไม่มีลงไว้ในเว็บไหนเลยจริงๆ เราจำได้ว่าหนังสือหลักสูตรที่อาจารย์(โค้ช)เราเคยทำไว้สอนเด็กม.4 มีรูปครบแต่มันอยู่ที่จันทบุรี ฮือออ เพราะฉะนั้นใครที่อ่านแล้วมันไม่เคลียร์ นึกไม่ออก ขอให้ตามไปที่ลิงค์เดิมที่ลงไว้ให้ในตอนที่ 3 นะคะ อันนั้นคือครบเลยจริงๆ เข้าใจกระจ่างชัดแน่ๆ

    เอาล่ะ มาว่ากันด้วยตอนนี้ เทพไคยังคงโหดกับน้องคยองซูอย่างต่อเนื่อง เขียนๆไปรู้สึกเหมือนมันเป็นคนโรคจิตอ่ะ TvT ไม่นะคะ นี่พระเอกค่ะ(?) 55555* ส่วนเรื่องราวของคยองซูกับพี่คริสก็เริ่มเอามาให้เห็นกันแล้วในตอนนี้ จริงๆความสัมพันธ์ของสองคนนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนค่ะ ก็น้องคยองน่ารักใครมันจะไม่รักล่ะจริงมั้ย? อิอิ

     

    สุดท้าย ขอบคุณทุกคนทุกคอมเม้นจริงๆนะคะ TTvTT ทุกคนคือกำลังใจให้เราได้จริงๆ ขอบคุณที่ยังอ่าน ขอบคุณที่ติดตาม เราสัญญาว่าจะทำมันให้ดีที่สุดค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×