ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] ONE IPPON (KAISOO)

    ลำดับตอนที่ #34 : CHAP 33

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.06K
      20
      20 ก.ย. 56

     

    CHAPTER 33

     

     

    คยองซูยังจำความรู้สึกตอนที่ถูกทุ่มครั้งแรกได้ดี มันเจ็บแค่ไหนแต่ก็ยังน้อยกว่าตอนนี้ ตอนที่คนที่สอนคยองซูทุ่มคนแรกและคนเดียวหันหน้าหนีเขาหลังจากเอ่ยประโยคที่ทำร้ายจิตใจคนฟังออกมา

     

    ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ คยองซูรู้เพียงแค่ว่าเลือดในกายกำลังเย็นลงทุกขณะ หนาวเหน็บราวกับยืนอยู่บนยอดเขา เพียงลมพัดเบาๆ เขาก็อาจล้มทั้งยืน หวังเพียงให้คนตรงหน้าพูดอะไรออกมาบ้าง ไม่ใช่เอาแต่หลบตาเขาอยู่อย่างนี้ ยิ่งจงอินแสดงท่าที่เช่นนี้คยองซูยิ่งรู้สึกเหมือนจงอินกำลังจะทิ้งเขาไป

     

    “นายโกหก”

     

    กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอนั้นนานจนน่าตกใจ แต่พอได้พูดออกไปกลับกลายเป็นคำสั้นๆ ที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ร่างสูงยังคงหันหน้าหนีไม่ยอมสบตาอยู่เช่นเดิม

     

    มือเล็กกำแน่น พยายามหยุดยั้งความร้อนผ่าวที่พามาร่วมกันตรงดวงตา นาทีต่อมาร่างเล็กก็พุ่งเข้าไปผลักอกกว้างของคนที่ยังถือชุดยูโดนิ่งค้างอยู่ที่เดิม ร่างกายแข็งแกร่งของประธานชมรมขยับถอยไปเพียงนิด ผิดกับคยองซูที่คิดว่าเขาผลักไปสุดเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีในเวลานี้แล้ว

     

    “ไหนว่าจะอยู่ข้างๆ ตรงนี้ ทำไมถึงทิ้งกัน?” เสียงสั่นเครือถาม ดวงตากลมโตรื้นหยดน้ำตา คยองซูมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกหลากหลายที่พยายามท่วมท้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้

     

    จงอินเม้มริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา หลับตาอีกสักพักราวกับขอเวลาให้ได้เตรียมใจและคำพูด ใบหน้าหล่อคมยอมหันกลับมาหาคู่สนทนาในที่สุด ดวงตาคู่นั้นสะท้อนความเศร้าเด่นชัด

     

    “ฉันส่งนายมาถึงปลายทางแล้ว นายควรจะได้เป็นอิสระสักที”

     

    “งี่เง่า!” อีกครั้งที่มือเล็กๆ คู่นั้นผลักอกแกร่งเต็มแรง

     

     “มีใครบอกนายหรือไงว่าฉันอึดอัดกับสิ่งที่เป็นอยู่ มีใครเอาโซ่ตรวนมามัดแขนขาฉันไว้หรือไง? หรือมีใครสักคนมารั้งฉันไว้งั้นเหรอ? หรือนายคิดว่าที่ฉันยังเล่นยูโดอยู่มาจนถึงตอนนี้แค่เพราะคำสัญญาตอนนั้น? สปีริทกัปตันทีมของนายมันหายไปไหนหมดจงอิน ถึงไม่คิดว่าอะไรกันแน่ที่ยังรั้งฉันไว้ได้”

     

    ประโยคยาวยืดเปี่ยมด้วยอารมณ์โกรธระคนน้อยใจถูกเปล่งออกไปด้วยเสียงสั่นเครือ ถึงตอนนี้น้ำตาหยดแรกก็ไหลรินผ่านแก้มขาว คยองซูเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้นที่ทำให้เขาดูอ่อนแอเอาไว้ ยังมีเรื่องอีกมากมายที่เขาต้องพูดกับคนตรงหน้า

     

    “ปลายทางที่นายมาส่งฉันคืออะไร? นายกล้าพูดว่ามันคือปลายทางได้ยังไง? แค่การแข่งครั้งที่ 3 ของฉันนายก็จะให้มันสิ้นสุดลงแค่นี้หรือไง?” คยองซูพยายามสูดลมหายใจลึกแม้จะทำได้ยากเหลือเกิน

     

     “คิมจงอินคนนั้นหายไปไหน? คนที่ผลักดันให้ฉันก้าวไปข้างหน้าและคอยอยู่ข้างกันเสมอ คนที่คอยให้กำลังใจ คนที่เติมไฟสู่เส้นทางเป็นนักกีฬาให้ฉัน คนๆ นั้นเขาหายไปไหน แล้วนายน่ะ...” มือเล็กกำเข้าที่เสื้อวอร์มของอีกฝ่ายแน่น “นายน่ะเป็นใครกันแน่?”

     

    จงอินหลับตาแล้วระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่เริ่มมันเกี่ยวข้องกับยูโด และในตอนนี้มันก็ย้อนกลับมาพัวพันกับความรู้สึกให้ยุ่งไปหมด บางทีถ้าแค่ยูโด คยองซูจะเป็นนักกีฬาต่อไปก็ได้แต่เรื่องหัวใจถ้ามันไม่ใช่ก็ควรจะจบตรงนี้เสียที

     

    เสียงสะอื้นบีบหัวใจของจงอินอย่างแสนสาหัส เขาไม่สามารถมองใบหน้าเปื้อนน้ำตาของคยองซูได้เลย ทำได้แค่หลบตาแล้วฟังถ้อยคำต่อว่ามากมายที่หลั่งไหลออกมาไม่หยุด ทุกคำพูดต่อยได้เข้าเป้า เขาเจ็บร้าวไปถึงข้างในแต่ก็ต้องอดทน เพราะถ้าวันนี้ผ่านมันไปไม่ได้เขาคงต้องกลับไปเป็นไอ้บ้าที่เอาแต่นั่งร้องไห้เป็นร่างไร้วิญญาณเหมือนเมื่อก่อน

     

    มือหนาจับมือสั่นระริกเพราะแรงสะอื้นบนเสื้อของเขาแล้วค่อยๆ ปลดออก เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้ง หากคราวนี้กลับซ่อนความสั่นเครือเอาไว้ ความอ่อนแอตีตื้นขึ้นมาทุกขณะ เขาควรรีบจบทุกอย่างก่อนจะสายเกินไป

     

    “บางทีฉันคงจะเหนื่อยไป” ดวงตาคมไหวระริกสบตาคลอหยดน้ำใส

     

    “ฉันคงสู้ต่อไปไม่ไหวแล้วคยองซู...การแข่งขันที่ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ก็ยังไม่ชนะสักที”

     

     

     

    จงอินเดินจากเขาไปแล้ว ทิ้งไว้คยองซูให้จมกับกองน้ำตาพร้อมถ้อยคำทำร้ายจิตใจกันอย่างแสนสาหัส ไม่รู้ทำไมขาสองข้างถึงไม่วิ่งตามไป ทำไมถึงยังหยุดนิ่งอยู่กับที่ เรี่ยวแรงที่มีมันหายไปไหน แม้แต่สมองยังว่างเปล่าไร้ความรู้สึกใดๆ

     

    มีเพียงแค่หัวใจที่บีบร้าวจนเจ็บปวดไปหมด

     

    คยองซูไม่เข้าใจ ไม่เข้าจงอินและไม่เข้าใจคำพูดเหล่านั้น สิ่งที่เขารู้เพียงอย่างเดียวคือจงอินกำลังขับไสไล่ส่งเขาไป แล้วจะให้เขาไปไหน ในเมื่อตอนนี้คยองซูมีเพียงแค่จงอิน คนๆ เดียวที่ทำให้เขาอยากเล่นยูโดต่อไปและอยากจะอยู่ข้างๆ กันตลอดไป คนเดียวที่อยากให้เห็นวินาทีที่เขาทำอิปป้งได้อีกในอนาคต

     

    เวลาล่วงผ่านไปหลายนาที ในที่สุดมือเล็กก็ยกขึ้นมาปาดหยดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม บางทีเขาอาจจะต้องการเวลาเพื่อคิดทบทวนและเรียกสติกลับมา

     

    สองขาพาร่างไร้เรี่ยวแรงให้เดินไปทางอาคารที่พัก หากแต่ยังไม่ทันจะก้าวเข้าประตู จู่ๆ วัตถุสีขาวก็ลอยละลิ่วร่วงจากบนอาคารลงมากระทบพื้นหญ้าไม่ห่างจากที่คยองซูยืนอยู่มากนัก

     

    คนตัวเล็กหันกลับไปมองแล้วก็พบว่ามันคือเสื้อยูโดนั่นเอง ภาพเหตุการณ์คุ้นเคยวนกลับเข้ามาในห้วงความคิด ก็เพราะเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เองที่ทำให้เขาได้รู้จักกับจงอินและเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเล่นยูโดของเขา

     

    คยองซูเดินไปหยิบเสื้อยูโดที่ร่วงลงมา เงยหน้ามองข้างบนแล้วก็พบว่ามันน่าจะเป็นระเบียงห้องที่พวกเขาพักอยู่ ยิ่งมั่นใจเมื่อวินาทีถัดมาชานยอลโผล่หน้าเลิ่กลั่กก้มมองลงมา แต่เมื่อพบว่าคยองซูกำลังยืนถือเสื้อยูโดอยู่คนตัวสูงก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งอก

     

    “เลอะหรือเปล่าน่ะคยองซู?” คนตัวเล็กพลิกเสื้อเนื้อหนาในมือสำรวจดูแล้วเงยหน้าไปสั่นหัวตอบคนข้างบน

     

    “เฮ้อ! แล้วไป นึกว่าจะโดนไอ้ไคฆ่าซะแล้ว” คยองซูย่นคิ้วเมื่อได้ยินชานยอลถอนหายใจอีกครั้ง

     

    “เสื้อจงอินเหรอ?”

     

    มือเล็กพลิกดูสาบเสื้อข้างในก็ได้คำตอบ ด้ายสีแดงที่ถูกเย็บติดไว้แบบนี้มีแค่เสื้อยูโดของจงอินเท่านั้น จงอินเป็นพวกเหงื่อออกเยอะ เวลามาแข่งเลยต้องเตรียมชุดสำหรับซ้อมไว้ชุดหนึ่งและชุดแข่งไว้อีกชุดหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าชุดยูโดชุดโปรดของจงอินชุดนี้คงจะเก็บไว้เพื่อการแข่งขันในวันพรุ่งนี้

     

    “งั้นฉันฝากเอาขึ้นมาผึ่งลมไว้ด้วยนะ ต้องรีบลงไปซ้อมแล้ว เดี๋ยวไคมันจะรอนาน ขอบใจมากนะ” พูดจบก็หายกลับเข้าไปในห้อง

     

    คยองซูเตรียมจะพับเสื้อยูโดตัวเก่งของคนที่เพิ่งจะทำให้เขาเสียใจไปเมื่อกี้ แต่แล้วก็ต้องชะงักมือเมื่อรู้สึกคุ้นตาด้ายแดงนั้นอย่างน่าประหลาด ใช่ว่าเขาจะเพิ่งเคยเห็นมันครั้งแรก แต่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นมันใกล้ๆ ชัดๆ

     

    มือขาวกางเสื้อออกอีกครั้งแล้วพลิกดูด้านในสาบ คิ้วเรียวขมวดมุ่น รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นมันเมื่อนานมาแล้ว พยายามรื้อฟื้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียดจริงจัง จนในที่สุดก็นึกออกว่าเคยเห็นมันที่ไหน

     

    ดวงกลมที่โตอยู่แล้วจึงยิ่งเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ ด้ายสีแดงที่เคยใช้ในการแข่งขันกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนนั่นเอง

     

    เขาจำได้ดีเพราะว่ามันเป็นไอเดียที่ตัวเองเป็นคนนำเสนอและมันก็ผ่านฉลุย แต่ที่คยองซูใช้เวลาอยู่นานกว่าจะนึกออกไม่ใช่เพราะอะไรด้ายแดงที่ใช้เป็นแค่อุปกรณ์เชียร์สั้นๆ ในวันนั้นมาปรากฏอยู่ที่เสื้อยูโดจงอิน

     

    แต่เพราะด้ายแบบนี้มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น

     

    ตอนนั้นคยองซูนำเสนอเรื่องด้ายแดงที่จะทำเป็นริบบิ้นผูกข้อมือก็จริง แต่ตอนหลังพอได้เข้าห้องประชุมแล้วเขาคิดว่าคงจะต้องปรับเปลี่ยนสีของมันให้สดใสขึ้น ด้ายชุดเก่าที่ตั้งใจจะใช้เลยต้องโละทิ้งหมด คยองซูเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าในวันที่ประชุมเสร็จตนเองได้มอบด้ายแดงแบบเก่านี้ให้ใครคนหนึ่งไปก่อนที่มันจะถูกเปลี่ยนเป็นแบบใหม่ทั้งหมด

     

    ไม่มีทางที่ใครจะมีด้ายนี้ได้เลยนอกจากผู้ชายโรงเรียนฝั่งตรงข้ามที่มานั่งรอลู่หานอยู่ข้างสนามบอลในวันนั้น แท้จริงแล้วใกล้เพียงปลายจมูกแค่นี้เองหรือ

     

    “มันรอนายมานานแล้วนะ”

     

    เสียงของลู่หานก็ดังขึ้นข้างหลังทำให้คนตัวเล็กต้องหันกลับไปหา พี่ชายหน้าหวานยืนยิ้มอยู่ข้างตึกก่อนจะสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆ

     

    “รอวันที่จะทำอิปป้งจากนายได้สักที”

     

    “พี่ลู่หาน...”

     

    “คยองซู นายอาจจะยังไม่รู้” ลู่หานเว้นจังหวะการพูดแล้วมองไปที่ด้ายแดงที่เย็บติดสาบเสื้อด้านในที่คยองซูถืออยู่

     

    “นอกจากที่จงอินมันจะเป็นเจ้าของด้ายแดงในวันนั้นที่นายฝากมาให้แล้ว ถ้านายยังพอจำได้ ไอ้เด็กโรงเรียนตรงข้ามที่เคยหิ้วกระติกมาชนกับนายน่ะก็คือมันนี่แหละ” ลู่หานยิ้มนิดๆ เมื่อคิดถึงน้องชายที่ไม่เอาไหนคนนั้น “แต่พออกหักจากนายเข้าไปเด็กนั่นก็แทบจะกลายเป็นศพเดินได้อยู่ร่วมเดือนเชียวนะ”

     

    คยองซูนิ่งเงียบไป ยิ่งฟังภาพในวันวานก็ยิ่งย้อนคืนมา วันที่เขาเดินชนกับคนๆ หนึ่งเข้าจนน้ำที่อีกฝ่ายหิ้วมาหกกระจาย วันที่เขาฝากด้ายแดงไปกับลู่หาน และอีกหลายวันที่เขามักจะเห็นหลังไวๆ ในชุดนักเรียนของใครคนหนึ่งโฉบไปมาแถวๆ เบาะยูโดแต่คยองซูก็ไม่คิดสนใจ

     

    ภาพทุกอย่างเริ่มปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องราว ไหลย้อนกลับเข้าสู่กล่องแห่งความทรงจำนั้นอีกครั้ง หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นเมื่อพอจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร

     

    ...เมื่อพอเข้าใจว่าจงอินแอบมองเขามานานเท่าไหร่แล้ว...

     

     

     

    “ทำไมจงอินถึงมาเล่นยูโดเหรอ?”

     

    “ถูกนักยูโดแย่งคนที่ชอบไป”

     

     

    “ฉันชอบเขามาก โดคยองซู ฉันชอบมากจริงๆ ชอบจนบางครั้งรู้สึกว่าตัวเองขี้ขลาดเหลือเกิน เทพไคคนนี้ขี้ขลาดมากๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือว่าตอนนี้”

     

     

    “คนเดียวที่ทำให้ฉันรักแทบบ้า และทำให้ฉันเจ็บแทบตาย ฉันควรจะทำยังไงกับเขาดี คยองซู”

     

     

    “ใต้สาบเสื้อนายน่ะ ด้ายอะไรเหรอ?”

     

    “คนสำคัญของฉันให้มา”

     

    “อะไร วันก่อนจงอินยังบอกว่าฉันเป็นคนสำคัญอยู่เลยนะ”

     

    “อืม ก็คนสำคัญไง นายคือคนสำคัญของฉัน ไม่ว่ายังไงก็ยังเป็นนายอยู่ดีนั่นแหละ”

     

     

    “ตอนนั้นน่ะ ฉันช้าไปแค่นาทีเดียวเอง คนๆ นั้นถูกสารภาพรักก่อนที่ฉันจะได้บอกเขา น่าตลกนะ ทั้งที่เฝ้ามองมาตั้งนานทุกอย่างกลับจบลงภายในเวลาสั้นๆ แค่นั้น เพราะฉันมัวแต่ไม่กล้า ขี้ขลาด กลัวทุกอย่าง กลัวเขาจะปฏิเสธ กลัวเขาจะไม่มาให้เห็นอีก”

     

     

    บทสนทนาระหว่างกันในช่วงเวลาที่ผ่านมาไหลย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำ หลายครั้งที่เขาถามออกไปโดยไม่คิดอะไร หลายหนที่คำตอบจากจงอินได้บอกออกมาอยู่แล้วว่าหมายถึงใคร หากแต่คยองซูไม่เคยคิดสงสัยเลยสักนิดว่าคนที่จงอินพูดจะหมายถึงตัวเอง

     

    “คยองซูคงจะเดาได้ใช่มั้ยว่าตอนที่มันได้เจอนายอีกครั้ง มันดีใจมากแค่ไหน”

     

    มือเล็กกำเสื้อยูโดในมือแน่น ดวงตากลมมองทัศนียภาพเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอยราวกับว่ากำลังเพ่งมองภาพความทรงจำที่ไหลวนไปมาอยู่ในหัว ก้มลงมองชุดยูโดในมือแล้วยกมันขึ้นมากอดด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้นอยู่ข้างใน

     

    ลู่หานยิ้มพลางมองรุ่นน้องตัวเล็กที่กำลังหลับตายกเสื้อยูโดสีขาวกอดแนบอกราวกับพยายามหยุดยั้งหยดน้ำตาที่กำลังจะรินไหลออกมาอีกหน เขาคิดอยู่แล้วว่าหลังแข่งเสร็จไม่พ้นต้องมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น นึกเอะใจเลยกะว่าจะแวะมาดูจงอินมันสักหน่อย แต่ไม่นึกว่าเขาจะมาช้าไป

     

    “คยองซู จงอินน่ะมันเป็นอัจฉริยะทางกีฬานะ ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเก่งแค่ไหนมันก็อ่านเกมส์ได้ขาดตลอด แต่พอเป็นเรื่องของหัวใจแล้วมันจะโง่ขึ้นมาทันที โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับนาย”

     

    “ผม...ผมควรทำยังไงดีพี่ลู่หาน?” เสียงอู้อี้ดังออกมาจากใบหน้าที่ซบอยู่กับเสื้อยูโดเนื้อหนาก่อนที่คยองซูจะเงยหน้าขึ้นริ้วสีเข้มกับจมูกแดงๆ มาหารุ่นพี่

     

    “ทำอย่างที่หัวใจต้องการสิ”

     

     

     

    เสียงทุ่มตึงตังเงียบหายไปพักใหญ่แล้ว นักยูโดผิวเข้มผู้ได้ชื่อว่าเป็นถึงตำนานทิ้งตัวลงนั่งข้างเบาะหลังจากเคารพเบาะเรียบร้อยแล้ว มือใหญ่ยีกลุ่มผมชื้นเหงื่อหลังซ้อมของตนเองอย่างคนอารมณ์ไม่ดีนัก ใบหน้าหล่อจัดนั้นฉายความทุกข์บางอย่างในใจออกมาชัด

     

    ชานยอลคลายสายคาดเอวก่อนจะถอดเสื้อยูโดชุ่มเหงื่อ ตาโตๆ มองไปทางเพื่อนสนิทที่นั่งปรับจังหวะการหายใจอยู่เงียบๆ คนเดียว เห็นสภาพแบบนี้ก็พอจะเดาได้ว่าคงมีปัญหาบางอย่างกับเจ้าของเหรียญเงินวันนี้ก่อนมาซ้อมแน่ๆ จะว่าไปตอนที่วานคยองซูเก็บเสื้อ เพื่อนตัวเล็กของเขาก็ตาแดงๆ อยู่เหมือนกัน

     

    เด็กหนุ่มตัวสูงทอดถอนใจเสียงหนัก ใจก็อยากจะช่วยเพื่อนสนิทอยู่หรอกแต่ของแบบนี้คงต้องปล่อยให้เจ้าตัวเขาจัดการเอง เรื่องของหัวใจคงไม่มีใครช่วยแก้ปัญหาให้ใครได้

     

    “ไค กูกลับก่อนแล้วกันนะ” พูดพลางมองแผ่นหลังของเพื่อนสนิทพร้อมกับสะบัดเสื้อยูโดขึ้นมาพาดบ่า “ตามไปก็แล้วกัน อย่าช้านักล่ะ พรุ่งนี้แข่งคืนนี้ต้องรีบเข้านอน”

     

    จงอินไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ยกมือเป็นเชิงบอกว่ารับรู้แล้ว ชานยอลจึงลอบถอนหายใจอีกหนึ่งครั้งพลางส่ายหน้า คนเรานี่นะ ต่อให้เก่งแค่ไหน ได้รับยกย่องสักเท่าไหร่ ถึงเวลาเจ็บเพราะความรักไม่ได้สภาพไม่ได้ต่างกันสักราย

     

    เสียงก้าวเท้าเดินห่างออกไปทุกที กระทั่งทั้งห้องโถงเหลือเพียงแค่เขาคนเดียว จงอินนึกขอบคุณชานยอลที่ไม่เซ้าซี้แต่ยอมปล่อยให้เขาได้อยู่กับตัวเองเงียบๆ เขาคิดว่าตัวเองต้องการเวลาเพื่อจัดระบบความคิดและความรู้สึกให้ดี เพราะถ้าปล่อยให้มันยืดเยื้อลามไปจนถึงพรุ่งนี้ จงอินเชื่อว่าจะไม่สามารถควบคุมมันไว้ได้และมันจะส่งผลกระทบกับการแข่งขันแน่นอน

     

    คยองซูกำลังทำให้เขาปั่นป่วน ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ผู้ชายตัวเล็กๆ คนนั้นยังเป็นคนเดียวที่ทำให้จงอินสับสนไปหมด เขาเพิ่งจะทำในสิ่งที่ไม่อยากทำที่สุด เขาบอกให้คยองซูไปทั้งที่อยากคุกเข่าอ้อนวอนขอว่าอย่าจากกันไปไหน แล้วต่อจากนี้ไปล่ะ เขาควรจะทำยังไง

     

    ความคิดที่สับสนตียุ่งกับความทุกข์ที่รุมเร้าทำให้จงอินนั่งจับเจ่าโดยที่ไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งได้ก้าวเข้ามาในห้องโถงนี้แล้ว เดินเข้ามาใกล้จนหยุดเท้าห่างจากคนที่นั่งหันหลังอยู่แค่เพียงก้าว ริมฝีปากคู่สวยยกยิ้มจาง สูดหายใจลึกหนึ่งครั้งแล้วทรุดตัวนั่งลงข้างๆ

     

    “ซ้อมเหงื่อออกท่วมขนาดนี้ยังจะมานั่งแช่อยู่อีก” เสียงเล็กพูดขึ้นเรียกให้นักยูโดในตำนานหันมอง

     

    เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็แอบชะงักไปครู่หนึ่งแต่ก็ยังเก็บอาการไว้ได้ดี จงอินหันกลับมามองความว่างเปล่าด้านหน้าต่อโดยไม่พูดอะไร คนตัวเล็กเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วหันมองไปทางเดียวกับอีกฝ่ายบ้าง

     

    “เฮ้อ...เห็นว่านายจะแข่งพรุ่งนี้ฉันเลยอยากจะให้กำลังใจ ก็เลยมีเรื่องจะเล่าให้ฟังล่ะ” พูดออกมาพลางอมยิ้ม เมื่อจงอินไม่ตอบอะไรคยองซูขอคิดว่าเป็นการอนุญาตแล้ว

     

    “ก่อนเรามาที่นี่กัน หลังจากซ้อมเช้าวันนั้นฉันออกไปร้านเค้กแถวโรงเรียนเพราะนัดกับแฟนเก่าไว้น่ะ”

     

    หากแต่เพียงประโยคแรกที่พูดก็ทำให้จงอินถึงกับสะดุดลมหายใจ เขาอยากจะถามอีกฝ่ายว่าต้องการอะไร แต่ก็กลับหน่วงอยู่ข้างในจนพูดไม่ออก เขายอมฟังคยองซูพูดไปยิ้มเล็กยิ้มน้อยไปทั้งที่หัวใจถูกบีบเสียจนผิดรูปร่าง

     

    “วันนั้นพี่อู๋ฟานขอให้กลับมาคบกับใหม่” ยิ่งฟังก็ยิ่งเจ็บปวดจนอยากจะลุกหนีไปจากตรงนี้ “รู้มั้ยฉันตอบเขาไปว่ายังไง?”

     

    คยองซูหันกลับมายิ้มให้เขาจนตาแทบปิด จงอินอยากจะตอบกลับไปเหลือเกินว่าเขาไม่รู้และไม่อยากจะรู้ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับคนๆ นั้นมันยิ่งตอกย้ำให้เขาผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ใครยิ่งรู้สึกเป็นคนแพ้ แพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลงแข่งด้วยซ้ำ

     

    “ฉันบอกพี่อู๋ฟานว่า ระหว่างที่เขาทำฉันล้มไม่เป็นท่าอยู่น่ะ มีใครคนหนี่งได้ฉุดดึงให้ฉันลุกขึ้นมา แต่ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนดึงฉันขึ้นมาแท้ๆ แต่กลับทั้งดึงทั้งกระชาก ทั้งโหดใส่ฉันไม่เว้นวัน ชอบดุ แถมยังเคยเอาไม้ตีฉันด้วยนะ แต่ตรงนี้ฉันไม่ได้บอกพี่อู๋ฟานไปหรอก เพราะไม่อย่างนั้นเขาต้องโกรธแน่ๆ ที่หมอนั่นมาทำให้ฉันเจ็บตัวน่ะ ฮะๆๆ”

     

    เสียงหัวเราะของคยองซูครั้งนี้ทำให้โลกที่มืดสลัวของจงอินสว่างขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ หัวใจที่ถูกบีบอัดเริ่มกลับคืนรูปร่างอีกครั้ง และเขาก็เริ่มได้ยินเสียงหัวใจตัวเองอีกครา

     

    “แต่ถึงคนๆ นั้นเขาจะโหดยังไงแต่ฉันก็รู้นะว่าลึกๆ แล้วเขาใจดีแล้วก็เป็นห่วงฉันมากๆ” ถึงตอนนี้จงอินก็เผลอหันกลับมาสบตาคนตัวเล็กที่นั่งข้างๆ รอยยิ้มงดงามนั้นยังคงประดับอยู่ที่ริมฝีปากสีอ่อน ดวงตาคู่สวยส่งทุกความรู้สึกของทุกคำพูดมาถึงเขาชัดเจน

     

    “คนๆ นั้นไม่ได้ทำให้ฉันรักแค่ยูโด แต่ทำให้ฉันรักเขาไปด้วยตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้”

     

    หันหลบสายตาคม ทิ้งให้คนที่หันมองตนเองค้างไว้อย่างนั้นพร้อมกับคำบอกรักที่ไม่ได้ระบุตัวตนแต่กลับชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา

     

    “แต่เขาน่ะเป็นถึงตำนานของวงการยูโดซะเปล่ากลับโง่เรื่องหัวใจเป็นบ้า มีอย่างที่ไหนล่ะถึงได้ไล่คนที่เขาตั้งใจจะมาบอกรักในวันที่ทำอิปป้งได้น่ะ งี่เง่าชะมัด นายว่ามั้ย?” หันกลับมาอีกครั้ง และสบตา

     

    “จงอินอ่า...ฝากไปบอก เทพไค ให้ทีได้ไหม ว่าฉันพร้อมจะให้เขารั้งหัวใจเอาไว้แล้วจากนาทีนี้และตลอดไป”

     

    นักยูโดในตำนานไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองขยับเข้าไปใกล้คนตัวเล็กขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจผะแผ่วที่ปลายจมูก ดวงตายังคงสบประสานกันแน่วแน่แม้ระยะห่างจะเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ไม่นานคยองซูก็เป็นฝ่ายหลุบตาหลบก่อน รอยยิ้มเขินปรากฏบนริมฝีปากคู่สวย แต่มันก็หายไปด้วยจูบแสนหวานในวินาทีถัดมา

     

    ริมฝีปากประทับแผ่วเบา นุ่มนวล ละมุนละไม เก็บกลืนทุกคำพูดจากคนน่ารักเอาไว้ด้วยสัมผัสอ่อนโยนและอบอุ่นที่มอบให้

     

    “เขาได้ยินแล้ว” พูดกระซิบชิดริมฝีปากที่ถอดถอนออกมาเพียงนิดก่อนจะจูบซับเบาๆ ที่มุมปากอีกครั้ง คยองซูคลี่ยิ้มและยกมือขึ้นทาบข้างแก้มของอีกฝ่าย ปลายจมูกแตะสัมผัสซึ่งกันและกันก่อนจะย้ำคำนั้นให้ดังชัดก้องไปถึงหัวใจ

     

    “ฉันรักจงอินนะ”

     

    สองมือใหญ่วางบนแผ่นหลังบางแล้วดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด กดใบหน้าหวานให้ซบลงกับลาดไหล่กว้างใต้ชุดยูโดเนื้อหนา ถ่ายทอดความรักทั้งหมดที่มีให้ผ่านกอดนี้ก่อนจะจรดริมฝีปากกระซิบถ้อยคำใกล้ใบหู

     

    “ฉันรักนาย รักนายที่สุด คยองซู”

     

    คงไม่มีอะไรที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ได้เท่านี้มาก่อนแล้ว อ้อมกอดของเขายิ่งกระชับแน่นเมื่อร่างเล็กกระชับกอดและเบียดตัวเข้าหาอกอุ่น เสียงหัวใจเต้นสอดประสาน ราวกับความฝันที่เคยวาดไว้นานแสนนานในที่สุดจงอินก็ได้พบกับมันจริงๆ

     

    กอดนี้ สัมผัสนี้ จูบนี้ เขากำลังได้รับมันจริงๆ

     

    “รักมานานแล้วคยองซู นานมาก” ยังคงพร่ำบอกราวกับคนไม่มีสติ จงอินรู้เพียงแต่ว่าอยากบอกให้อีกคนได้รับรู้ คำๆ นี้ที่เขาเก็บกักมันไว้เนิ่นนาน จงอินอยากให้คยองซูได้ยินมันให้บ่อยที่สุด

     

    คนตัวเล็กยิ้มแล้วค่อยๆ ดันไหล่อีกฝ่ายออก มองหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าแล้วก็กลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ จงอินในตอนนี้เหมือนเด็กหลงทางแล้วเพิ่งเจอกับผู้ปกครอง เหมือนจะร้องไห้ก็ไม่ร้อง เหมือนจะเศร้าก็ไม่ใช่ เหมือนจะดีใจแต่ก็ยังไม่สุด

     

    คำว่ารักของจงอินไม่ได้ทำให้เขาเขินอายได้มากเท่าที่คิดไว้ แต่ยามที่ได้ฟังกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างน่าประหลาด ไม่น่าเชื่อว่าคำสั้นๆ แค่นี้จงอินกลับเก็บมันเอาไว้เนิ่นนาน พอมีโอกาสแล้วก็ยังจะไม่กล้าพูดออกไปอีก ว่าแล้วก็นึกบางเรื่องขึ้นมาได้

     

    มือเล็กชกเบาๆ ที่กลางอกแกร่ง เรียกเสียงโอดโอยพอเป็นพิธีของร่างสูงในชุดยูโด ก่อนจะมองคนที่ประทุษร้ายด้วยความงุนงง คยองซูยังคงยิ้มกว้าง ใบหน้าหวานยังเรื่อสีแดงอ่อนๆ

     

    “ใช่สิ นายน่ะใจร้ายสุดๆ ไปเลย เล่นเอาของที่คนอื่นให้มาใช้เป็นเครื่องรางโดยไม่บอกกล่าวแบบนั้นน่ะ”  จงอินใช้เวลาประมวลคำพูดของคนน่ารักไม่นานเท่าไหร่ก็ต้องอ้าปากค้างพลางเบิกตากว้าง คยองซูชกที่สาบเสื้อยูโดอีกครั้งเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

     

    “ถ้านายเอามาใช้แล้วพรุ่งนี้ชนะพี่อู๋ฟานไม่ได้ล่ะก็ นายโดนเจ้าของด้ายแดงนั่นอัดเละแน่” ทำเป็นกำหมัดอย่างกับจะเอาเรื่องจริงๆ ตามคำขู่แต่ริมฝีปากสีอ่อนกลับกลั้นยิ้ม พูดจบก็สะบัดตัวเดินหนี แต่ก็ยังช้ากว่าคนที่ลุกพรวดตามมาแล้วคว้าเอวคอดดึงไปกอดเอาไว้แน่น

     

    ใบหน้าหล่อจัดซบไหล่เล็ก ริมฝีปากคมกล้าจุดยิ้มก่อนจะประทับลงบนแก้มใส ยิ่งอีกฝ่ายดิ้นยุกยิกมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งดึงให้แผ่นหลังบางชิดอกของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น

     

    “ไหนๆ ก็รู้แล้ว ขอกำลังใจจากเจ้าของด้ายแดงแทนได้มั้ย?”

     

    “ปล่อยเลยจงอิน นี่มันเบาะยูโด อย่ามาทำตัวรุ่มร่าม!” ปากก็ว่าไปแต่ไม่เห็นจะขัดขืนจริงจังเท่าไหร่เลย คิดแล้วก็น่าจับตี ไอ้ที่สอนวิธีทุ่มถ้าถูกเข้าประชิดจากข้างหลังแบบนี้ลืมไปหมดแล้วหรือไงนะ แต่คิดอีกทีก็ดีแล้วล่ะ เขาใส่ชุดยูโดพร้อมแบบนี้มันเหมาะแก่การถูกจับทุ่มเกินไปสักหน่อย

     

    “ไม่ปล่อย เรื่องอะไรจะปล่อยล่ะ เพิ่งจะคว้านายมาได้หลังจากที่แห้วอยู่ตั้งหลายปี”

     

    “เพราะนายมันขี้ขลาดเองต่างหากล่ะเทพไค” คนพูดหัวเราะคิกจนคนขี้ขลาดที่ว่าอยากจะจับฟัดเสียให้เข็ดหลาบ

     

    “ปากเก่งนักนะ ไหนขอเทพไคปิดปากเหรียญเงินวันนี้หน่อยซิ”

     

    “เฮ้ย! จง...อื้ออออ” เสียงต่อล้อต่อเถียงเงียบหายไปเมื่อถูกนักยูโดสายดำเก็บกลืนถ้อยคำเหล่านั้นจนเกลี้ยง พอคยองซูได้เป็นอิสระก็เกิดเสียงกำปั้นกระแทกกล้ามเนื้อดังอั่กและตามมาด้วยเสียงตบเบาะโครมใหญ่

     

    นอกจากคนทุ่มแล้วก็มีแต่คู่รักอีกคู่ข้างประตูโถงที่ได้เห็นเทพไคแห่งวงการโดนทุ่มซึ่งนับว่าเป็นภาพหายากมากๆ ใจจริงก็อยากจะยกมือถือขึ้นมาถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกเสียดายที่ติดนิสัยที่คนตัวสูงข้างๆ คอยบอกอยู่เสมอว่าเวลาซ้อมอย่าเอามือถือมาด้วยเพราะจะทำให้เสียสมาธิ แล้วดูสิ อย่างนี้ที่อุตส่าห์ตั้งใจมาซ้อมคงจะไม่ได้ซ้อมแล้วล่ะมั้ง

     

    “โดนหมายหัวอย่างนี้แล้ว พรุ่งนี้จะทำยังไงดีนะ” ท่านคริสพูดพร้อมยิ้มกว้างขัดกับคำพูดที่ดูเป็นกังวลกับการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ ทำเอาคนที่ฟังอยู่ถึงกับกระแทกชุดยูโดที่พับไว้เรียบร้อยในมือเข้ากับแขนของอีกฝ่าย

     

    “ลองนายแพ้ลงมาสิ ฉันจะซ้ำให้เละกว่าเดิมเลย”

     

    “ทำไมใจร้ายจังเลยล่ะครับแม่พระ” ยิ้มกริ่มพลางหันมองคนตัวขาวข้างๆ

     

    “กับคนนิสัยไม่ดี ทิ้งแฟนเก่าไปแล้วใช้ยูโดเป็นข้ออ้างมันก็น่าให้ใจร้ายมั้ยล่ะ”

     

    “ไม่ได้ใช้ยูโดเป็นข้ออ้างนะ ฉันตั้งใจจะทุ่มเทให้ยูโดจริงๆ ผิดที่นายนั่นแหละอยากมาทำให้ฉันรักทำไม พอรักแล้วแบบนี้ก็ถอนตัวไม่ขึ้น นายน่ะผิดเต็มๆ เลยนะจางอี้ชิง”

     

    “อู๋อี้ฟาน!” เสียงหวานเถียงขึ้นไม่ดังมากนักเพราะกลัวสองคนบนเบาะจะรู้ตัว คนตัวสูงยิ้มร่าอย่างผู้มีชัย คนที่เจ็บใจจนหน้าร้อนเห่อไปหมดจึงทำได้แค่ฟาดมือหนักๆ ไปที่ไหล่ของอีกฝ่าย ถ้าไม่เห็นว่าแข่งพรุ่งนี้เขาจะยิ่งตีให้หนักกว่านี้อีก!

     

    ท้ายที่สุดมือที่ทั้งตบทั้งตีนั้นก็ถูกหยุดด้วยมือที่ใหญ่กว่า อู๋ฟานจับมือนิ่มที่กระชากสาบชุดยูโดอย่างดุดันในยามแข่งเอาไว้แล้วค่อยๆ ประทับจูบแผ่วเบาลงบนหลังมือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต่ก็น่าหลงใหลผุดขึ้นที่ริมฝีปากคมหยัก อี้ชิงเบ้หน้าเล็กน้อยแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาพร้อมๆ กับอู๋ฟาน

     

    แขนยาวยกพาดบ่าของนักกีฬาเหรียญทองในวันนี้เอาไว้แล้วมองไปยังคู่รักรุ่นน้องที่ใช้เวลาหลังปรับความเข้าใจด้วยกันอยู่บนเบาะยูโด อู๋ฟานไม่รู้จะขอบคุณอะไรดี คยองซู อิปป้งของคยองซู หรือจงอินที่ปั้นคยองซูจนมีวันนี้ได้ แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาก็นับว่าสามารถเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างได้อย่างไม่น่าเชื่อ

     

    อู๋ฟานยังจำได้ดีถึงวันที่ตนและคยองซูนัดกันที่ร้านเค้กแถวโรงเรียน เขาขอให้คยองซูกลับมาคบกันเหมือนเดิมแต่คนตัวเล็กปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยวและตอบกลับมาอย่างที่เจ้าตัวเล่าให้จงอินฟังเมื่อครู่นั่นแหละ ตอนนั้นหลังประกาศกร้าวว่าจะเอาคำรักไปบอกจงอินในวันที่ได้อิปป้ง คยองซูก็มองหน้าเขาแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

     

    “ส่วนพี่น่ะนะ พี่อู๋ฟาน ผมไม่ยักรู้มาก่อนว่าพี่ก็เป็นพวกชอบหนีกับเขาด้วย”

     

    “หนี?” คิ้วเข้มขมวดพลางทำหน้าไม่เข้าใจ ทำเอาคนตากลมถอนหายใจออกมาอีกหน

     

    “ที่พูดไปครั้งที่แล้วอย่าบอกนะว่าไม่เข้าใจ?”

     

    ครั้งที่แล้วที่คยองซูว่าหมายถึงการคุยกันทางโทรศัพท์ครั้งแรกของเราซึ่งอาจจะหมายรวมถึงครั้งต่อๆ มาด้วย ตอนนั้นอู๋ฟานยอมรับว่ากำลังสับสนเมื่อกลับมาพบกับคยองซูอีกครั้งอย่างที่คาดไม่ถึง เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองยังรักคนตัวเล็กอยู่หรือไม่ อีกทั้งเรื่องระหว่างเขากับอี้ชิงก็จบไปแล้วอย่างที่เคยรักษาสัญญาไว้ ในเมื่อเราจากกันด้วยรักแล้วเราจะสามารถกลับมาคบกันอีกได้ไหม

     

    หลังจากคุยกันเขาก็เริ่มแสดงออกชัดขึ้นว่าต้องการสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างกันให้มากขึ้นแม้จะยังไม่มั่นใจสถานะระหว่างกัน ซึ่งคยองซูก็ให้โอกาสเขา พูดคุยกับเขาทุกวัน จากความอึดอัดในช่วงแรกก็เริ่มหายไป บทสนทนาระหว่างเราเริ่มมีเสียงหัวเราะ ระยะห่างของคำที่ใช้ก็เริ่มกลับมาเหมือนกัน

     

    คยองซูบอกอู๋ฟานว่าอยากให้การกลับมาคุยกันครั้งนี้เป็นโอกาสให้เราทั้งคู่ทบทวนความรู้สึกบางอย่าง คยองซูเองก็อยากจะพิสูจน์ความรู้สึกของตนเองเหมือนกันถึงได้ยอมเปิดรับอู๋ฟานเช่นนี้

     

    “ทั้งๆ ที่ผมตั้งใจจะให้พี่ทบทวนตัวเองแต่พี่ก็ยังเลือกวิ่งหนีซะอีก” ร่างเล็กพูดขึ้นแล้วยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นจิบ ท่าทางอู๋อี้ฟานคงพยายามจะหนีความรู้สึกของตัวเองอย่างหนักจริงๆ จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่ยอมรับ คยองซูคิดว่าคงถึงเวลาที่เขาต้องบอกแทนแล้ว

     

    “นี่พี่อู๋ฟาน ผมน่ะไม่ได้อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ พี่ไม่ต้องกลัวว่าจะทำผมเสียใจ ผมยังกล้าพูดกับพี่ตรงนี้ได้เลยว่าเราไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิมได้อีกแล้ว”

     

    “อะไรที่ทำให้มั่นใจขนาดนั้น? เพราะนายรักจงอินมากเหรอ?” อีกฝ่ายส่ายหน้าแล้วยกยิ้ม

     

    “นั่นมันก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่ชัดเจนยิ่งกว่าคือมีคนทำให้พี่เปลี่ยนไปแล้วต่างหาก”

     

    ร่างสูงชะงักมือที่กำลังจับหูแก้วกาแฟ ดวงตาราชสิงห์มองเจ้าของตากลมโตที่กำลังยิ้มกว้าง ไม่รู้ทำไมหัวใจเขาถึงได้บีบตัวเป็นจังหวะที่เร็วขึ้น บางทีความรู้สึกบางอย่างที่เก็บไว้อาจจะกำลังแดงโร่ออกมาเพราะคำพูดไม่กี่คำของคนตรงหน้าก็ได้

     

    “พี่ไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าตัวเองพูดถึงคนๆ นั้นบ่อยแค่ไหน ทุกครั้งที่โทรคุยกัน เรื่องส่วนใหญ่ที่คุยคืออะไร? วันนี้เขาเป็นยังไง ซ้อมหนักแค่ไหน ชวนทะเลาะเรื่องอะไร เขาทุ่มพี่ได้หรือเปล่า แถมยังเอาเรื่องของเขามาปรึกษาผมอยู่บ่อยๆ” ยิ่งคยองซูพูด หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรงราวกับเป็นผู้ร้ายหลบหนีคดีที่ถูกจับได้

     

    “ไม่ใช่แค่นั้นนะ อย่างร้านนี้ พี่ไม่ได้เลือกด้วยเหตุผลว่าเป็นร้านประจำของเรา แต่เพราะพี่อยากซื้อเค้กกลับไปให้เขาเพราะเขาบอกพี่ว่าชอบมันมาก จริงสิ พูดไปเรื่องนี้พี่ก็เคยเล่าให้ผมฟังเอง จำได้หรือเปล่า?” เสียงหัวเราะเล็กดังขึ้นสั้นๆ

     

    “เวลาที่พี่พูดถึงเขาเสียงพี่มีแต่ความสุขเหมือนลืมไปแล้วว่าผมที่กำลังฟังอยู่น่ะคือแฟนเก่า คือคนที่พี่บอกว่าอยากจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม รู้มั้ยเพราะอะไร? เพราะพี่ไม่ได้รู้สึกกับผมเหมือนเดิมแล้ว ตรงกันข้าม พี่น่เอาแต่คิดถึงใครคนนั้นอยู่ทุกนาทีต่างหาก”

     

    ทุกสิ่งที่คยองซูพูดคือเรื่องจริง อู๋ฟานไม่อาจปฏิเสธมันได้เลย อย่างเช่นก่อนหน้านี้เขายังแอบเผลอคิดไปแล้วด้วยซ้ำว่าจะซื้อเค้กรสไหนกลับไปให้อีกคนดี แล้วควรจะซื้อโกโก้สักแก้วติดมือกลับไปด้วยดีไหม ป่านนี้อีกคนกำลังนอนรอเค้กอยู่หรือเปล่า

     

    ทุกห้วงความคิดของเขามีเพียงคนๆ เดียวจริงๆ...คนนั้นๆ คือ จางอี้ชิง

     

    “อย่าหนีหัวใจตัวเองอีกเลยพี่อู๋ฟาน คู่ต่อสู้จะเก่งแค่ไหนพี่ก็ไม่เคยหนีนี่นา แล้วทำไมกับแค่คนตัวเล็กๆ คนเดียวพี่ถึงได้พยายามหนีเขาขนาดนี้ล่ะ เขากำลังรอพี่อยู่นะ”

     

    คยองซูยังเป็นคนที่เข้าใจอู๋ฟานดีที่สุดเสมอไม่ว่าเมื่อก่อนหรือว่าตอนนี้ หากเพียงแต่สถานะระหว่างเราสองคนได้เปลี่ยนไปแล้ว แม้ไม่ใช่คนรักแต่เราก็ยังเป็นพี่น้องและเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ แถมเจ้าตัวเล็กยังบอกเขาด้วยว่าถ้ามีโอกาสอยากจะลองรันโดริกับเขาดูสักครั้ง

     

    นักยูโดในตำนานรับปากกับคยองซูว่าจะกลับไปทำตามหัวใจตัวเองและยังรับปากเรื่องที่จะปิดความสัมพันธ์ฉันเพื่อนระหว่างกันไว้เป็นความลับจนกว่าจะถึงวันที่คยองซูได้บอกกับจงอินเอง เพราะมันคงไม่ดีเท่าไหร่นักหากจะให้จงอินรู้ว่าคยองซูติดต่อกับแฟนเก่าอยู่แทบทุกวัน

     

    มาถึงตอนนี้อู๋ฟานก็อยากจะเขกหัวเจ้าเด็กตาโตให้สักที ก็เพราะแคร์ความรู้สึกเขามากไปอย่างนี้ถึงได้ทำให้มีเรื่องไม่เข้าใจกันไงล่ะ นี่ถ้าไม่ได้เจอลู่หานที่ใต้อาคารเมื่อกี้เขาคงไม่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่หมอนั่นก็บอกช้าไปสักหน่อยนะ ถ้ารู้ว่าสองคนนั้นจะมาเคลียร์กันที่นี่ล่ะก็จะได้ไม่หยิบชุดซ้อมมาให้เสียเที่ยว

     

    เทพไคมีกำลังใจดีขนาดนี้เห็นทีพรุ่งนี้เขาต้องเล่นให้เต็มที่แบบไม่มีกั๊กแล้วล่ะ

     

     

     

    วันที่สองของการแข่งขันดำเนินไปไวกว่าที่คิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคู่ของเทพไคและท่านคริสผู้เป็นตำนานของวงการ นับว่ายังโชคดีที่ทั้งสองคนได้อยู่คนละสายกันต้องไปลุ้นอีกทีรอบชิงชนะเลิศ แต่เรียกได้ว่าคู่ต่อสู้ระหว่างทางไปถึงจุดนั้นของตำนานทั้งสองคนก็ต้องรับบทหนักเอาการ

     

    ด้วยประสบการณ์ที่มากล้นและฝีมือที่ยอดเยี่ยมทำให้คู่แข่งทุกคนของจงอินและอู๋ฟานมีอันต้องม้วนเสื่อตกรอบด้วยเวลาไม่ถึงนาที ราวกับว่าสองคนนี้อยากจะให้ถึงรอบชิงชนะเลิศไวที่สุดอย่างไรอย่างนั้น ก็คงจะมีแต่คิมจงฮยอนแห่งมหาลัย s นี่แหละที่พอจะยื้อจงอินไว้ได้นานจนหมดเวลา แต่ก็ยังแพ้เด็กหนุ่มผิวเข้มไปอย่างน่าเสียด้วยด้วยคะแนนที่ตามถึง 1 วาซาริ

     

    ไม่ใช่แค่เพียงจงอิน วันนี้ชานยอลก็ต้องลงสนามด้วยในรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 73 กิโลกรัม เจ้าแห่งท่าดีดยังคงรักษาฟอร์มไว้ได้ดีเยี่ยมและคงเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งชาร์ตอีกสายก็มีตัวเต็งอย่างมินโฮมหาลัย s รออยู่เช่นกัน

     

    อีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลาที่คนทั้งสนามรอคอย กล้องวิดีโอมากมายเตรียมพร้อมบันทึกการแข่งหยุดโลกนี้เอาไว้ ช่างกล้องโทรทัศน์ก็เริ่มทยอยกันเข้ามารอแล้วขณะที่บนสนามยังคงแข่งรอบ repechage กันอยู่ ทุกคนต่างรู้ว่าไม่บ่อยนักที่ตำนานแห่งวงการจะโคจรมาพบกัน มันจึงเป็นการแข่งขันที่น่าจับตามองที่สุดในรอบหลายปี

     

    มือเล็กกุมมือที่ใหญ่กว่าไว้แน่นตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ดวงตากลมมองไปยังนักยูโดที่เข้าปะทะกันอยู่บนสนามแต่กลับไม่มีสมาธิดูเกมส์การแข่งขันตรงหน้าเลยสักนิด ริมฝีปากสีอ่อนเม้มเป็นเส้นตรงจนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

     

    “กังวลยังกับจะแข่งเอง”

     

    “ก็ดูคนอื่นสิ ยิ่งรอดูกันขนาดนี้ก็ยิ่งกดดันนะ นายไม่กดดันบ้างเหรอไง?” หันกลับมาถามด้วยใบหน้าเคลือบความกังวลดังคำพูด จงอินยิ้มแล้วส่ายหน้า

     

    “ไม่เลย ขอแค่มีนายอยู่ข้างๆ ตรงนี้ก็พอแล้ว” คำพูดชวนเขินเหล่านั้นย้อนกลับมาทำร้ายจงอินเองด้วยฝ่ามืออีกข้างที่ไม่ได้กอบกุมกันไว้ฟาดมาแรงๆ ที่ไหล่ดังอั่ก จงอินหัวเราะเบาๆ แล้ววางคางบนไหล่คนที่นั่งข้างๆ อย่างอ้อนๆ

     

    “ทำร้ายนักกีฬาอ่า...”

     

    “ก็แล้วมันใช่เวลามั้ยล่ะ?” คนน่ารักเบ้หน้าก่อนจะดึงมือที่กุมกันไว้มาวางบนตัก “แข่งกับพี่อู๋ฟานระวังตัวด้วยนะ ฉันเคยดูพี่อู๋ฟานแข่ง ถ้าเขาลดน้ำหนักมาเล่น รอบชิงเขาใส่ไม่ยั้งเลยนะ”

     

    “ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนั้นน่ะฉันรู้อยู่แล้ว รู้ดีเลยล่ะ” ยังไม่ทันให้อีกคนได้ถามอะไรต่อ จงอินก็ลุกขึ้นยืนแล้วนำสายดำที่พาดคอไว้มามัดเอว คยองซูมองคนที่กำลังยิ้มน่าสงสัยอย่างไม่เข้าใจนัก

     

    เสียงกริ่งหมดเวลาบนสนามดังขึ้นบอกให้รู้คู่แข่งขันรอบชิงเหรียญทองแดงรู้ผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหลังจากพักสนามสิบนาทีก็จะถึงรอบชิงชนะเลิศที่เป็นไฮไลท์ของการแข่งขันครั้งนี้

     

    จงอินไม่ได้พูดอะไร หลังจากมัดสายเสร็จเรียบร้อย เจ้าของใบหน้าหล่อคมเอี้ยวตัวลงไปกดจมูกกับแก้มขาวของคนตัวเล็กเบาๆ คนถูกลวนลามทีเผลอได้แต่อ้าปากค้างขณะที่นักยูโดตัวเต็งของทีมยิ้มหน้าระรื่นเดินไปแลกสายแล้วเข้าไปอยู่จุดปล่อยตัวนักกีฬารวมกับชานยอล ตอนนั้นเองที่อู๋ฟานเดินมายังจุดแลกสายเหมือนกัน สบตากันและไม่นานริมฝีปากได้รูปต่างก็ฉายรอยยิ้ม

     

    “ได้เจอกันอีกแล้ว”

     

    “แน่นอน เมื่อก่อนพี่พรากคยองซูไปจากผม ทำเอาผมเจ็บแทบตาย คราวนี้ล่ะจะเอาคืนให้หนักเลย”

     

    “แล้วไอ้ครั้งที่ผ่านๆ มานี่ยังไม่เรียกว่าหนักใช่มั้ย?” อู๋ฟานถามด้วยน้ำเสียงติดจะเซ็งนิดๆ เรียกเสียงหัวเราะจากนักยูโดรุ่นน้อง

     

    “แต่ครั้งนี้น่ะกำลังใจผมมาเต็ม รับรองพี่แย่แน่”

     

    “งั้นก็มาวัดกันดูสักตั้งเหอะเทพไค”

     

    “จัดไปครับท่านคริส”

     

    สองมือใหญ่เอื้อมจับกันพร้อมรอยยิ้มบนริมฝีปากคมหยัก ไม่นานนักเสียงประกาศออกไมค์ให้นักกีฬาในรอบชิงชนะเลิศเตรียมพร้อมก็ดังขึ้น...


     

    TBC.

     

     

    Mirror* talk: กลับมาแล้วค่ะกลับมาแล้ววววว กลับมาพร้อมความม่วนชื่น 55555* สบายใจกันไปหนึ่งเปาะแล้วเนอะ ในที่สุดคยองก็ไม่ทั้งเทพ แล้วก็เคลียร์ประเด็นกับพี่คริสได้สักที นี่คนเขียนน้ำตาจะไหลเป็นสายเลือด #คือเขียนยากจนน้ำตาจะเป็นเลือด 55555* ตอนต่อไปก็จะเป็นแม็ทซ์หยุดโลกแล้วนะคะ ออกตัวไว้ก่อนว่าตลอดการเล่นยูโดมาก็ไม่ค่อยได้เจอแม็ทซ์เทพชนเทพบ่อยสักเท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นอาจเขียนได้ไม่ดีเท่าที่ใครหลายคนหวังไว้นี่ให้อภัยเราด้วยนะคะ แต่เราจะทำออกมาให้ดีที่สุดนะ TTTvTTT ต่อจากตอนนี้ที่วางไว้จะมีอีก 2 ตอน และบทส่งท้าย แล้วฟิคเรื่องนี้ก็จะจบโดยสมบูรณ์แล้วค่ะ อ่า...ใจหายเหมือนกันเนอะ ไม่อยากให้จบเลย งั้นไม่เขียนต่อดีกว่า #โดนคนอ่านทุ่มรายคน

     

    แล้วก็ขออนุญาตใช้พื้นที่ทอล์คตอบข้อสงสัยของคุณ rebekka นะคะ คนอื่นๆ ก็อ่านได้นะจะได้เข้าใจตรงกันจ้า

    ในตอนที่แข่งเชื่อมความสัมพันธ์คีย์ลงรุ่นเซฮุน (-66 กิโลกรัม) ส่วนแม็ทซ์กีฬามหาลัยลงรุ่นแพคฮยอน (-55 กิโลกรัม) คำถามคือเวลาดูรุ่นน้ำหนักดูยังไง? คำตอบเป็นอย่างนี้ค่ะ

    ตามปกติแล้วรุ่นน้ำหนักในการแข่งขันยูโดประเภทบุคคลชายจะเรียงลำดับรุ่นแบบชื่อเต็มๆ แบบนี้

    - รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 50 กิโลกรัมชาย << จะมีแค่บางแม็ทซ์เท่านั้น นับว่าเป็นรุ่นที่เล็กที่สุดค่ะ น้ำหนักเท่าไหร่ก็ได้แต่ต้องไม่เกิน 50 กิโลกรัม ถ้าในแม็ทซ์ใหญ่ๆ เช่น กีฬาแห่งชาติ กีฬามหาลัย ซีเกมส์ เอเชี่ยนเกมส์ โอลิมปิคจะเริ่มที่รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 55 กิโลกรัมแทน

    - รุ่นน้ำหนักมากกว่า 50 กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 55 กิโลกรัมชาย << แบบนี้น้ำหนักจะต้องมากกว่า 50 กิโลกรัม จะ 50.1 50.5 51 52 53 54 หรือแม้แต่ 54.9 ก็ได้แต่ต้องไม่เกิน 55 กิโลกรัมค่ะ (พอดีเป๊ะก็ได้)

    ต่อจากนั้นก็เรียงลำดับรุ่นไปเรื่อยๆ คือ 55-60 กิโลกรัม / 60-66 กิโลกรัม / 66-73 กิโลกรัม / 73-81 กิโลกรัม / 81-90 กิโลกรัม จากนั้นจะกลายเป็น +90 กิโลกรัมชาย หรือ น้ำหนักมากกว่า 90 กิโลกรัมชาย แบบนี้คือน้ำหนักต้องมากกว่า 90 กิโล จะ 91 95 100 200 อะไรก็ได้ที่มากกว่า 90 กิโลกรัม และสุดท้ายคือ open หรือ รุ่นไม่จำกัดน้ำหนัก รุ่นนี้คือฟรีเลยค่ะ จะน้ำหนักเท่าไหร่ก็ได้มีสิทธิแข่งหมด

    คำถามที่อาจตามมาคือ “แสดงว่าคีย์ก็ลดน้ำหนักมาใช่มั้ย?” คำตอบคือ ใช่ค่ะ เพราะรุ่นที่คีย์ลงในแม็ทซ์นี้คือ 50-55 กิโลกรัม เท่ากับว่าคีย์ต้องน้ำหนักน้อยกว่า 55 กิโลกรัมถึงจะแข่งได้

    บางคนอาจสะพรึงว่า เฮ้ยยย แล้วมันเป็นไปได้เหรอที่คีย์จะลดจากรุ่น 60-66 มาลงรุ่นแพคฮยอนแทน คำตอบสะพรึงกว่าค่ะ ได้นะคะ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักกีฬาจากรุ่นหนึ่งจะข้ามไปอีกรุ่นอย่างน่าตกใจขนาดนี้ ไม่ว่าจะรุ่นอะไรถ้าเจ้าตัวเห็นว่ามีโอกาสได้เหรียญมากกว่าเขาก็มีสิทธิค่ะ พวกรุ่นกลางๆ ลดมาเล่นรุ่นเล็กนี่มีให้เห็นเต็มวงการเลยยยยยย

    อ่ะ คำถามต่อมาอาจตามมาอีก เฮ้ยยยย แล้วทำไมคีย์ดูไม่สะบักสะบอมเท่าแพคฮยอน เป็นไปได้เหรอ? คำตอบที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าคือ เป็นไปได้ค่ะ ร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ตลอดจนวิธีลดน้ำหนักก็ไม่เหมือนกัน แพคฮยอนรีดหน้าตาชั่งย่อมต้องส่งผลต่อร่างกายมากกว่า ขณะที่คีย์อาจจะลดมาเรื่อยๆ คุมน้ำหนักมาอย่างต่อเนื่องและร่างกายที่พร้อมกว่าทำให้ไม่ออกอาการเท่าแพคฮยอนค่ะ หรือบางทีอาจจะอาการไม่ต่างกันแต่ซ่อนเอาไว้ นักกีฬาประเภทนี้เห็นได้เยอะมากโดยเฉพาะพวกที่มาจากโรงเรียนกีฬาค่ะ

     

    คำตอบเคลียร์กันมั้ยอ่ะ? TTTvTTT ถ้ามีใครไม่เคลียร์ตรงไหนถามมาอีกได้นะคะ ยินดีตอบจ้า ขอบคุณคุณ rebekka ด้วยนะคะ เป็นคำถามที่ดีมากแล้วคุณก็เป็นนักอ่านที่เยี่ยมมากๆ ที่จับจุดตรงนี้ได้ ขนาดคนเขียนเองยังไม่ได้คิดถึงจุดนี้เลยแถมยังเม้นอย่างสม่ำเสมอให้คนเขียนชื่นใจ ขอบคุณมากนะคะ

     

    เอาล่ะ เจอกันตอนหน้า เตรียมวอร์มร่างกายของคุณให้พร้อมนะคะ เราจะพาคุณไปลุ้นข้างสนามกับแม็ทซ์หยุดโลก!!

    ขอบคุณทุกคอมเม้น ประทับใจมากจริงๆ ขอบคุณทุกเมนชั่นที่ @Mirrorjk ขอบคุณทุกข้อความในแท็ก #วอป ขอบคุณที่เป็นน้ำเย็นๆรดใจให้คนเขียนนะคะ รักมาจุ๊บุ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×