ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] ONE IPPON (KAISOO)

    ลำดับตอนที่ #33 : CHAP 32

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.92K
      22
      5 ก.ย. 56

     

    CHAPTER 32

     

     

    นายต้องทำคะแนนหนึ่งอิปป้งให้ได้ในกีฬามหาลัยปีนี้ แล้วฉันจะลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น

     

     

    “ไค...ไค...คิมจงอิน”

     

    ไม่บ่อยนักที่ชื่อจริงๆ ของกัปตันทีมจะออกมาจากปากปาร์คชานยอล แต่ในเมื่อเรียกซ้ำแล้วซ้ำอีกเจ้าของชื่อก็ยังไม่รู้สึกตัวสักที สุดท้ายก็ต้องเรียกชื่อพร้อมนามสกุลออกไป และมันก็ได้ผล ชายหนุ่มในชุดวอร์มของสถาบันสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันกลับมาหาเพื่อนตัวสูง

     

    ชานยอลถอนหายใจออกมายาวพรืดเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของที่พึ่งทางใจของนักกีฬาทั้งทีม จงอินเป็นอย่างนี้ตั้งแต่คยองซูชนะอิปป้งลงมาแล้ว หมอนั่นปั้นหน้ายิ้มรับคนที่เพิ่งชนะลงมาจากสนาม แต่พอลับตารอยยิ้มก็หายวับ

     

    “ยังเหลือแข่งอีกหลายรอบ มีสมาธิหน่อยเหอะวะ”

     

    “เออ...กูขอโทษ” เสียงทุ้มตอบกลับสั้นๆ แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ชานยอลพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมาอีกหน

     

    “ทำตัวไม่สมกับเป็นมึงอีกแล้ว” อีกฝ่ายเอาแต่นิ่งเงียบและมองพื้นอย่างไร้จุดหมาย “ไหวหรือเปล่า? ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวกูขึ้นโค้ชให้ก็ได้”

     

    “ไม่เป็นไรๆ ขอโทษที่ทำตัวแย่นะ” จงอินยกมือขึ้นเสยผมแล้วใช้มือยันหน้าผากก้มหน้าหลับตาเหมือนคนกำลังหนักใจ ชานยอลรู้ดีว่าในใจจงอินคิดอะไรและรู้สึกยังไง แต่คงไม่มีใครช่วยอะไรได้นอกจากตัวจงอินเองเท่านั้น

     

    “กูรู้ว่ามันไม่ง่าย แต่ขอให้ผ่านตรงนี้ไปให้ได้ก่อน กูเชื่อว่ามึงทำได้ อดทนนะ แล้วหลังจากนี้คิดจะทำยังไง แก้ไขยังไง กูจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับมึงแล้ว” คำพูดปลอบใจใครไม่เป็นแบบปาร์คชานยอลกลับเป็นคำพูดที่ดีที่สุดสำหรับจงอินในเวลานี้

     

    เทพไคแห่งวงการหันกลับมายิ้มจางให้เพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานานหลายปี ทั้งซ้อมด้วยกัน แข่งด้วยกันมาก็เคย ชานยอลรู้สไตล์การเล่นของเขาอย่างไรก็รู้นิสัยของเขาอย่างนั้น คำขอบคุณสั้นๆ ก็มากล้นด้วยความหมายถูกกล่าวออกไป ก่อนที่จะมีรอยยิ้มมิตรภาพเกิดขึ้นพอให้มีกำลังใจมากขึ้น

     

    อีกด้านหนึ่ง คยองซูหันมองเพื่อนร่วมทีมสองคนที่ท่าทางจะคุยเรื่องเครียดๆ ด้วยกันอยู่พักใหญ่ ระหว่างนั้นก็ทำหน้าที่เป็นหุ่นวอร์มเข้าท่าที่ดีให้แพคฮยอนไปด้วย เพื่อนตัวเล็กของเขายังคงหมุนเข้าท่าต่อเรื่องได้อย่างไม่ขาดตกแม้ปากจะสนทนากับเขาไปพร้อมๆ กัน

     

    “ไม่มีอะไรหรอกน่า จงอินมันคงเหนื่อยน่ะ” หลังจากหมุนตัวเข้าท่าครั้งสุดท้ายและยกลอยขึ้นนิดหน่อย แพคฮยอนก็ละออกมาหอบหายใจอ่อนพลางยัดปลายเสื้อเข้าในสาย “เมื่อตะกี้เพิ่งได้อิปป้งมาแท้ๆ ไหงหน้าบูดอีกแล้ว ไม่ดีใจเหรอ?”

     

    “ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย”

     

    “ถ้าไม่ใช่ก็อย่าหน้าบูดสิ ฉันจะแข่งอยู่แล้วนะ! นายต้องทำหน้าดีๆ ให้กำลังใจฉันสิ!” พูดจบมือเรียวสวยก็คว้าเข้าที่แก้มเพื่อนตัวเล็กแล้วดึงให้ฉีกยิ้มจนคยองซูต้องเบ้หน้า เสียงหัวเราะจึงกลับมาอีกครั้ง

     

     การที่เขาได้อิปป้งมาตั้งแต่รอบแรกมันเกินความคาดหมายด้วยซ้ำ

     

    ความรู้สึกแรกหลังจากเงยหน้าขึ้นมาจากเบาะเขายังจำมันได้จนถึงวินาทีนี้ เสียงเฮดังก้องแต่หูกลับอื้ออึง ได้ยินแค่เสียงหอบของตัวเองเท่านั้น บนเบาะตรงหน้าเขา แอลโจแสดงสีหน้าผิดหวังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาน้อยๆ เมื่อคยองซูยื่นมือไปดึงให้ลุกขึ้นมา ใกล้ๆ กันกรรมการยังยืนเหยียดมือขึ้นเหนือศีรษะเป็นการบอกว่าเขาชนะอิปป้งแล้วจริงๆ

     

    ต่างคนต่างถอยกลับไปยืนหลังเส้นของตัวเอง จังหวะสั้นๆ นั้นคยองซูกวาดตาไปเห็นร่างสูงโปร่งของอู๋อี้ฟานยืนยิ้มและยกนิ้วโป้งส่งมาให้เขา อี้ชิงยืนปรบมืออยู่ข้างๆ ด้วยความยินดีประหนึ่งทีมตัวเองชนะ คยองซูเห็นเพียงแค่นั้นเพราะเขาต้องหมุนตัวกลับมาหาคู่ต่อสู้ตัวเองอีกครั้งเพื่อรอกรรมการให้คำตัดสิน

     

    “ผลการแข่งขัน ฝ่ายน้ำเงิน โดคยองซู มหาวิทยาลัย k เป็นฝ่ายชนะ” เสียงประกาศออกลำโพงพร้อมกับที่กรรมการก้าวมาข้างหน้าและผายมือมาทางเขาย้ำชัยชนะที่ได้มาอีกครั้ง

     

    ตอนนั้นเองที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าหัวใจกำลังเต้นแรงมากแค่ไหน ไม่ใช่เพราะความเหนื่อย แต่เป็นความดีใจและตื่นเต้นปะปนกันไปหมด คยองซูถอยลงมาเคารพตามเส้นกระทั่งถึงเส้นสุดท้าย ร่างเล็กหมุนตัวหันกลับไปเพื่อเผชิญกับใครคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างเบาะตลอดเวลาตามที่สัญญากันไว้

     

    รอยยิ้มเล็กๆ บนริมฝีปากคมหยักนั้นก็มากพอแล้วที่ดึงดูดคยองซูให้โถมตัวเข้าสู่อ้อมกอดแกร่ง จงอินอ้าแขนรอไว้อยู่แล้ว เมื่อร่างอีกคนปะทะแขนยาวก็วาดรอบร่างบอบบางในชุดยูโดเนื้อหนา

     

    “เก่งมากคยองซู”

     

    แค่เพียงคำชมสั้นๆ ก็ทำให้คยองซูยิ่งตื้นตันจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว อิปป้งครั้งนี้มันมีความหมายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนตรงหน้า คนที่สอนเขามาตั้งแต่ยังเหลวเป๋วไม่เป็นรูปร่างจนถึงวินาทีนี้ แค่จงอินได้เห็นความสำเร็จเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ของเขามันก็วิเศษที่สุดแล้ว

     

    คยองซูรู้ว่าจงอินภูมิใจในตัวเขามาก เขาก็ภูมิใจในตัวเองมากเช่นกัน

     

    หากแต่นี่ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้น นี่ยังแค่รอบแรกเท่านั้น คู่ต่อสู้อีกมากยังรอคยองซูอยู่ ยิ่งเข้ารอบลึกมากเท่าไหร่คู่แข่งก็ยิ่งมีฝีมือมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจะต้องมีสมาธิและประมาทไม่ได้เด็ดขาด เพราะในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วเขาไม่คิดจะหยุดแค่นี้หรอก ถึงจะยังด้อยประสบการณ์แต่เชื่อว่าการแข่งขันครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

     

    คยองซูคิดไว้แล้ว เขาจะไปให้ถึงที่สุด จะใช้ทั้งหมดที่จงอินเพียรให้ความรู้ ใช้ความอดทนตลอดเวลาที่ฝึกฝนให้เต็มที่ เพราะการแข่งขันระดับนี้หนึ่งปีจะมีแค่ครั้งเดียว มีโอกาสแล้วเขาจะไม่ยอมปล่อยให้มันผ่านไปเปล่าๆ แน่นอน

     

     

     

     

    คยองซูและแพคฮยอนยังต้องแข่งอีกคนละรอบกว่าจะฝ่าฟันเข้ามาถึงรอบตัดเชือก ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสองคนทำผลงานเป็นที่น่าพอใจ

     

    แพคฮยอนใช้เวลาไม่นานทุ่มคู่ต่อสู้ได้วาซาริก่อนจะบุกหนักและได้อีกหนึ่งวาซาริรวมเป็นหนึ่งอิปป้งเพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ส่วนคยองซูอาจใช้เวลามากกว่าหน่อย แต่สุดท้ายด้วยไหวพริบและการฝึกฝนจนเคยชินทำให้คยองซูใช้เทคนิคจังหวะสองพาตัวเองชนะอีกครั้ง

     

    จากรูปการน่าจะผ่านไปได้สวย ซึ่งถึงตรงนี้จงอินก็พอใจดี แต่ที่ทำให้ต้องเริ่มคิดหนักก็ตอนที่มาถึงรอบตัดเชือก ตัวเต็งของแต่ละสายในรุ่นจะต้องมาแข่งกันเองเพื่อหาคนที่เป็นที่หนึ่งของสายเข้าไปแข่งรอบชิง ส่วนคนที่แพ้ก็ต้องมาแข่งกับคนที่แพ้ด้วยกันในสายของตัวเองเพื่อชิงเหรียญทองแดงเพียงหนึ่งเดียว

     

    นั่นเท่ากับว่าคนแพ้แข่งจำนวนครั้งเท่าคนที่ได้เข้ารอบชิงชนะเลิศแต่ต่อให้ชนะหมดก็ได้แค่เหรียญทองแดง เพราะฉะนั้นรอบตัดเชือกจะเป็นตัวตัดสิน หากผ่านไปได้ก็มีเหรียญเงินอยู่ในมือแน่ๆ แล้วดีไม่ดีอาจจะขยับไปเป็นเหรียญทอง แต่ถ้าแพ้นี่สิยังต้องมาลุ้นว่าจะชนะเป็นที่หนึ่งของสายชาร์ตไต่อีกหรือเปล่า

     

    การแข่งรอบไต่หรือ repechage น่ะจงอินยังไม่คิดให้เสียเวลาหรอก แทนที่จะคิดว่าต้องแพ้ลงมารอบไต่สู้คิดว่าจะต้องไปถึงรอบชิงได้ไม่ดีกว่าหรือ แม้จะรู้ว่าคู่ต่อสู้ในรอบตัดเชือกของแพคฮยอนตัวเต็งของทีมเป็นใครก็ตาม

     

    “เป็นพี่คีย์จริงๆ ใช่มั้ย?” ร่างสูงถามย้ำกับคนเด็กกว่าที่นั่งเขียนชาร์ตอยู่ เซฮุนขมวดคิ้วด้วยความกังวลแล้วพยักหน้าเบาๆ ตอบ

     

    จงอินลอบถอนหายใจ รอบนี้คงไม่ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแพคฮยอนที่ลดน้ำหนักมากเสียจนเขาเองยังไม่แน่ใจว่าร่างกายบอบบางนั้นจะฟื้นขึ้นมาได้สักกี่เปอร์เซ็นต์ ปกติแล้วการเซฟตัวเองของคนรีดน้ำหนักได้ดีที่สุดคือรีบจบเกมส์ให้ไวก่อนร่างกายจะไม่ไหว แต่คงเป็นไปได้ยากหากเจอคู่ต่อสู้ที่แกร่งขนาดนี้

     

    เป็นอีกครั้งที่จงอินเลือกจะไม่บอกเพื่อนตัวเล็กว่าต้องแข่งกับใคร จึงไม่แปลกใจหากจะเห็นแพคฮยอนตกใจอย่างเห็นได้ชัดตอนที่แลกสายเข้าไปรอที่จุดปล่อยตัวนักกีฬา คิมจงฮยอนยิ้มแย้มทักทายจงอินในฐานะโค้ชเหมือนกัน โดยที่ข้างๆ มีนักกีฬาที่จะต้องแข่งกันยืนขยับแข้งขาวอร์มอยู่

     

    ดูท่าทางคีย์ก็มั่นใจไม่น้อย หนึ่งในตัวเต็งของรุ่น -55 กิโลกรัมชาย ยืนเหยียดแขนขาเงียบๆ เข้าใจว่าคงกำลังทำสมาธิจนลืมจะหันมาทักทายรุ่นน้องต่างสถาบัน จงอินลองหันกลับมามองทางนักกีฬาของตัวเองบ้าง เขาชื้นใจขึ้นมากเมื่อพบว่าแพคฮยอนไม่ได้มีท่าทีตื่นกลัวอะไร

     

    สมกับเป็นพยอนแพคฮยอน ถ้าถอยหลังกลับไม่ได้ก็อย่าได้มีความกลัวอยู่ในห้วงความคิด แววตาคู่นั้นทำให้จงอินมั่นใจว่าแพคฮยอนไม่ยอมอ่อนให้แน่ งานนี้คงได้ลุ้นกันสนุก ไม่นานเกินรอเสียงออดหมดเวลาคู่ก่อนหน้าก็ดังขึ้น เป็นอันถึงเวลาส่งตัวสุนัชจิ้งจอกผู้ปราดเปรื่องให้ขึ้นไปประชันกันแล้ว

     

    แพคฮยอนเดินเลาะริมขอบเบาะไปพร้อมกับจงอินเพื่อไปยืนรอขึ้นสนาม เมื่อเดินผ่านที่นั่งของทีมก็ได้ยินเสียงเชียร์ให้กำลังใจดังตามมา และหนึ่งในนั้นคือเสียงของชานยอล

     

    “อาละวาดให้เต็มที่เลยนะพยอนแพค!” น้ำเสียงเริงร่ากับยิ้มกว้างๆ นั่นแหละปาร์คชานยอล

     

    นักกีฬาตัวเล็กเพียงแค่พยักหน้าให้พร้อมยกยิ้มเล็กน้อย จากนั้นความสุขุมก็เข้ามาแทนที่ หัวใจเต้นรัวแรงยิ่งขึ้นเมื่อเห็นคู่แข่งยืนรออยู่อีกฝั่งหนึ่งของเบาะเช่นกัน ต่างคนต่างจับจ้องท่ามกลางเสียงปรบมือต้อนรับคู่แข่งขันที่น่าจับตามองคู่หนึ่งในโปรแกรมวันนี้

     

    กัปตันทีมยืนประชิดข้างหลัง สองมือบีบไหล่เล็กหนักๆ เน้นๆ ก่อนจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนส่งแพคฮยอนขึ้นสมรภูมิ “ระวังจะถูกลากลงไปเล่นล็อคด้วย ส่วนที่เหลือนายทำได้อยู่แล้ว ลุยเลยแพคฮยอน”

     

    ตบหลังเสียงหนักอีกสองครั้งแพคฮยอนก็ก้าวขึ้นสู่สนามแล้วก้มเคารพตามเส้นพร้อมๆ กับฝ่ายตรงข้ามที่ก้าวเข้ามาบนเบาะแล้วเช่นกัน หัวใจแพคฮยอนเต้นแรงมากจนเผลอกระตุกยิ้ม การได้ปะมือกับคนเก่งนี่ช่างน่าตื่นเต้นจริงๆ มาลองดูกันสักตั้งว่าใครจะอยู่ใครจะไป

     

    “ฮาจิเมะ!

     

    เกมส์เริ่มขึ้นแล้ว ต่างฝ่ายต่างเคารพและตั้งท่าเตรียมเข้าไปจับ จดจ้องกัน ใช้เวลาอยู่หลายวินาทีทีเดียวก่อนที่ทุ่งหญ้าอันราบเรียบจะถูกพายุลูกใหญ่เข้าถล่มอย่างรุนแรง

     

    เพียงพริบตาเดียวที่ต่างฝ่ายต่างพุ่งเข้าจับ ท่าทุ่มสารพัดก็ถูกใช้สลับกันวินาทีต่อวินาที ฝ่ายหนึ่งเข้าได้อีกฝ่ายก็ป้องกันไว้ได้ทัน ทั้งหลบหลีกทั้งสวนกลับ ไม่มีช่องว่างให้อีกฝ่ายได้โอกาส ทั้งแพคฮยอนและคีย์บอมทำให้สนามแข่งขันร้อนระอุขึ้นมาทันที

     

    ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งโค้ชเผลอกัดปากอย่างกังวล เกมส์เพิ่งดำเนินไปไม่ถึงนาที แต่เท่าที่อ่านออกตอนนี้ ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจงใจจะดึงแรงฝ่ายเราออกมาใช้จนหมด ที่น่ากลัวที่สุดคือหากแพคฮยอนเริ่มล้าลง คีย์คงไม่ทิ้งโอกาสเล่นเนวาซ่าแน่นอน หนำซ้ำอาจจะถูกเชือดปิดเกมส์อีก

     

    เวลาถอยหลังต่อหลังจากคำสั่งฮาจิเมะเริ่มขึ้นอีกครั้ง จงอินยิ่งมั่นใจว่าเขาคาดเดาไม่ผิดแน่นอน ยิ่งคีย์บุกหนักเท่าไหร่แพคฮยอนก็ยิ่งสวนกลับไปมากเท่ากัน แม้ต่างฝ่ายจะสูสีกันมากจนไม่มีใครทุ่มใครลงแต่หากแพคฮยอนยังถูกกระหน่ำโจมตีอยู่แบบนี้อีกไม่นานต้องทนไม่ไหวแน่ เขาต้องรีบคิดหาทางแก้เกมส์

     

    ทว่าสิ่งที่จงอินกลัวนั้นมาถึงเร็วเกินคาด ริมฝีปากที่เม้มนั้นเปิดออกพร้อมดวงตาเบิกกว้าง

     

    “ยูโก้!

     

    แพคฮยอนพลาดลูกเกี่ยวหลังของคีย์จนได้ ยังดีที่ได้ผลพวงจากการเป็นหุ่นรันโดริกับคยองซูอยู่บ่อยๆ ถึงได้รู้จังหวะหลบลูกเกี่ยวหลังทำให้ไม่ต้องเสียคะแนนไปมากกว่านี้

     

    กรรมการสั่งมาเต๊ะอีกครั้ง ร่างเล็กเดินกลับมายืนหลังเส้นขณะที่ไหล่เล็กไหวตามแรงหอบอย่างน่าเป็นห่วง แพคฮยอนเริ่มหอบหนักอย่างเห็นได้ชัด จงอินหันกลับไปมองจอข้างสนาม เหลือเวลาอีกเกินครึ่ง ยังพอมีเวลา

     

    “แพคฮยอนใจเย็นๆ อย่าลนตามเขานะ! ได้ยินฉันมั้ย!?” เริ่มยากที่จะสื่อสารเมื่อฝ่ายตรงข้ามยิ่งได้ใจไล่บี้แพคฮยอนไม่หยุด ทันทีที่ได้ยินคำสั่งเริ่มคีย์เร่งเข้าจับแล้วลากแพคฮยอนต่อทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้พัก

     

    สถานการณ์เริ่มตึงเครียดมากขึ้นเมื่อทุกท่าทุกการกระทำที่แพคฮยอนบุกเริ่มไม่ได้ผล สะโพกเข้าไม่สุด มือไม่ดึง และการลุกขึ้นมาตั้งหลักช้าลงเรื่อยๆ ทุกอย่างบอกชัดว่าแพคฮยอนเริ่มล้าลงไปทุกขณะแล้ว

     

    “วาซาริ!” เป็นอีกครั้งที่ฝ่ายนั้นทำคะแนนได้

     

    “แพคฮยอนฟังฉัน!” เขาเร่งตะโกนเมื่อกรรมการสั่งมาเต๊ะให้จัดเสื้อยูโดให้เรียบร้อย “มีสตินะ! หาจังหวะให้ดีแล้วค่อยเข้า อย่าเร่งจังหวะตามเขา ได้ยินมั้ยแพคฮยอน! แพคฮยอน!

     

    นาทีนี้สติคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่ว่าจงอินไม่เชื่อในตัวแพคฮยอนแต่เพราะเมื่อเข้าตาจน ไม่ว่ามนุษย์หน้าไหนมันก็สู้หัวชนฝาอยู่แล้ว เพียงแต่การสู้อย่างไร้สติและไม่ไตร่ตรองก่อนอาจเข้าทางฝ่ายนั้นก็ได้ ยิ่งสติแตกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเปิดช่องว่างให้สวนกลับมากขึ้น

     

    คำสั่งเริ่มเกมส์ต่อดังขึ้นอีกครั้ง คีย์ยังคงใช้แผนเดิมด้วยการเข้าบุกอย่างต่อเนื่อง ไม่กี่วินาทีถัดมาสิ่งที่จงอินกลัวก็เกิดขึ้นมาจนได้

     

    “แพคฮยอนอย่าใช้อารมณ์!!

     

    คนตัวเล็กสวนกลับทุกอย่างที่คู่ต่อสู้ใส่มาโดยไม่คิดก่อนว่าจะได้ผลหรือไม่ได้ผล การเข้าท่ามั่วๆ นั้นยังเพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นอีกด้วย จากการปัดขาเริ่มกลายเป็นกึ่งๆ เตะ จากการเข้าคว้าเริ่มน่ากลัวว่าจะพลาดเป็นการตบแทน ทุกอย่างรุนแรงไปหมด

     

    จงอินขบฟันแน่น เขาจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ ถ้าแพคฮยอนยอมให้อารมณ์ครอบงำสติระหว่างการแข่งขันแบบนี้ทุกอย่างจะยิ่งเลวร้าย ดีไม่ดีจะโดนโทษจนถึงไล่ออกจากสนาม แต่เขาควรจะทำยังไงล่ะ ควรจะทำยังไงกับคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วแบบนี้

     

    “พยอนแพคอย่าเล่นโง่ๆ!!

     

    ทว่าวินาทีที่กำลังค้นหาหนทาง จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำคุ้นหูก็ดังลอยมาถึงบนสนามแข่ง คำพูดรุนแรงที่ไม่น่าเชื่อว่าจะออกจากปากคนพูดทำให้จงอินต้องละสายตาจากการแข่งขันด้านหน้าเพื่อหันกลับไปมอง

     

    ชานยอลมีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน หากแต่หน้ายุ่งๆ นั้นยังปรากฏอารมณ์หลากหลาย ทั้งหงุดหงิด ทั้งกังวล ยังไม่ทันที่กัปตันทีมจะได้ประมวลผล ชานยอลก็ตะโกนดังขึ้นมาอีก

     

    “ถ้าเล่นแบบนี้ก็อย่าแข่งต่อเลย! ยอมแพ้ลงมาเหอะ!

     

    ทุกถ้อยคำรุนแรงจนแม้แต่คยองซูและเซฮุนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ยังต้องอ้าปากค้าง  จงอินเองยังอดอึ้งไม่ได้กับสิ่งที่เพื่อนสนิทตะโกนบอกคนที่ใครๆ ก็รู้ว่าชานยอลทั้งรักทั้งแคร์มากแค่ไหน แต่แล้วจงอินก็เข้าใจว่าเพราะเหตุใดชานยอลถึงต้องพูดแบบนั้น

     

    “มาเต๊ะ” เสียงคำสั่งหยุดชั่วคราวดังขึ้นอีกครั้ง ผู้นั่งโค้ชหันกลับไปมองทางสนามพร้อมรอยยิ้มบนริมฝีปาก

     

    คราวนี้แพคฮยอนเริ่มนิ่งขึ้น พยายามควบคุมจังหวะการหายใจขณะมัดสาย และเมื่อได้ยินคำสั่งเริ่มอีกครั้ง ลมพายุที่พัดรุนแรงก็เริ่มอ่อนลงจนค่อยๆ กลับไปเป็นสายลมพัดบางเบาเหมือนเดิม

     

    เมื่อสติมา ความคิดความอ่านก็กลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง

     

    การเคลื่อนไหวจับจังหวะเปลี่ยนไป แพคฮยอนไม่เร่งจังหวะตามที่อีกฝ่ายดึงไป แต่กลับนิ่งและหาจังหวะของตัวเองจากนั้นค่อยเข้าท่าทุ่ม แม้จะยังพลาดเพราะแขนที่อ่อนล้าลงไปมาก แต่อย่างน้อยก็เริ่มดึงจังหวะกลับมาได้แล้ว คีย์จึงไม่อาจบุกได้ตามใจเหมือนตอนแรก

     

    “ยูโก้!” และแล้วคะแนนแรกก็ตามมา ถึงจะยังเสียเปรียบแต่จงอินก็พอใจในระดับหนึ่งแล้ว

     

    ชานยอลเป็นนักกีฬามานานพอกับเขามีหรือจะไม่รู้ว่านักกีฬาที่ดีเป็นอย่างไร การเล่นกีฬาต้องไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ เพราะถ้าหากใช้อารมณ์ในการแข่งขัน กีฬาก็จะไม่ใช่กีฬาอีกต่อไป และคนๆ นั้นก็ไม่สมควรจะเป็นนักกีฬาอีกต่อไปด้วย

     

    ถ้ายังชนะตัวเอง ควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ แล้วจะแข่งกับคนอื่นไปเพื่ออะไร นั่นล่ะ...คือความหมายที่แท้จริงในถ้อยคำรุนแรงของชานยอล

     

    หมอนั่นคงรู้ดีว่าถ้าให้เขาพูดเองคงจะไม่เหมาะ ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้ฝึกสอนต้องให้เกียรติกับการแข่งขัน ดังนั้นจึงเป็นมารยาททางสังคมที่เข้าใจตรงกันว่าผู้นั่งโค้ชต้องระวังคำพูดของตัวเองให้มาก ซึ่งชานยอลก็ทำในสิ่งที่โค้ชทำไม่ได้และโชคดีที่แพคฮยอนสามารถดึงตัวเองกลับมาได้ เหนือสิ่งอื่นใด จงอินมั่นใจว่าถ้าเป็นชานยอล แพคฮยอนต้องฟังแน่

     

    แต่ก็คงจะช้าไปสักหน่อย

     

    ปรี๊ดดดดดดดด

     

    เสียงกริ่งหมดเวลาการแข่งขันดังขึ้น คะแนนจบลงที่มหาวิทยาลัย s เป็นฝ่ายชนะไปด้วยคะแนน 1 วาซาริ 1 ยูโก้ ขณะที่แพคฮยอนไล่ทันได้เพียง 1 ยูโก้เท่านั้น จึงต้องแพ้ไปอย่างน่าเสียดาย

     

    หลังจากกรรมการผายมือแสดงฝั่งที่ชนะ ต่างฝ่ายต่างยิ้มและเดินเข้ามาจับมือกัน ก่อนที่จะถอยหลังไปเคารพเส้นและกลับไปที่ขอบเบาะ

     

    แพคอยอนหมุนตัวกลับมาหาเพื่อนตัวสูงที่เพิ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้โค้ช ไหล่บางสั่นไหวตามจังหวะหอบหายใจ ขณะที่หัวใจก็เต้นแรงไม่แพ้กัน ส่วนหนึ่งเพราะเหนื่อยแต่อีกส่วนก็เพราะรู้ดีว่าเมื่อกี้ตัวเองทำอะไรลงไปถึงได้หวาดหวั่นในสิ่งที่คนหน้านิ่งตรงหน้าจะพูด

     

    แต่แล้วริมฝีปากได้รูปก็ยกยิ้ม พร้อมกับมือหนาที่ยีหัวทุยชุ่มเหงื่อของเพื่อนตัวเล็ก

     

    “จำไว้ให้ดีเลยนะพยอนแพคฮยอน แล้วครั้งหน้าอย่าให้ฉันต้องตะโกนจนหมดเสียงแบบนี้อีกล่ะ”

     

    ทั้งที่จงอินกำลังหัวเราะแต่ทำไมแพคฮยอนกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้ เขาทำให้ทีมแพ้เพราะควบคุมตัวเองไม่ได้แต่กัปตันทีมคนนี้กลับไม่ต่อว่าสักคำ หนำซ้ำยังดึงเขาที่ยังยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิมให้ลงมาจากเบาะอีกด้วย

     

    “เฮ้ยๆ อย่ามาทำหน้าเป็นหมาจะร้องไห้ แล้วอย่ามากอดฉันนะ โน่น คนให้กอดมันเดินมาโน่นแล้ว” จงอินพูดพลางหัวเราะพร้อมกับที่ชานยอลวิ่งถือน้ำกับผ้าเย็นเข้ามารับ ไม่มีความเกรี้ยวกราดใดๆ อยู่บนใบหน้าหล่อคมนั้นเลยสักนิด

     

    “มารอรับฝ่ามือพิฆาตโทษฐานพูดไม่เข้าหูแล้วครับ เฮ้ย! พยอนแพค เดี๋ยวน้ำหก! ไอ้ไค รับๆๆๆ” ร่างสูงรีบยื่นแก้วในมือส่งให้เพื่อนทันทีเมื่อจู่ๆ คนตัวเล็กในชุดยูโดก็โถมตัวเข้ามากอดเขาเสียเต็มแรง ซุกหน้าลงกับอกกว้างแล้วส่งเสียงสะอื้นแผ่วๆ กับเสียงพึมพำบางอย่างอู้อี้จับใจความไม่ได้

     

    ชานยอลหันหน้ามาหากัปตันทีมพลางยิ้มแหะๆ เหมือนจะถามว่าเอาไงต่อ  จงอินยิ้มแล้วส่ายหัว พยักเพยิดหน้าบอกให้พาเดินกลับไปก่อนจะได้ไม่ขวางทางนักกีฬาคู่ต่อไป ชานยอลเลยยกมือโอบไหล่บางอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วจึงเดินนำออกจากบริเวณสนามแข่งไป

     

    จงอินไม่มีเวลาพอจะไปปลอบลูกทีมที่เพิ่งแพ้ลงมาเลยยกหน้าที่นี้ให้คนที่เหมาะสมที่สุดไป ส่วนตัวเองต้องรีบมาพานักกีฬาอีกคนเข้าไปรอในจุดปล่อยตัว

     

    คยองซูอยู่ชาร์ตสาย B ดังนั้นจึงได้รู้ผลการแข่งขันรุ่นตัวเองในชาร์ตสาย A ก่อน ถ้าหากคยองซูผ่านรอบตัดเชือกเข้าไปได้ แน่นอนว่าจะต้องแข่งกับผู้ชนะในรอบตัดเชือกของสาย A ซึ่งคู่ชิงชัยของสาย A นั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย กลับเป็นคนที่เคยแข่งกับคยองซูมาแล้วทั้งสิ้น

     

    การแข่งขันระหว่างลีแทมินและจางอี้ชิง

     

    เกมส์เป็นไปอย่างดุเดือดตามคาด ถึงแม้อี้ชิงจะมีเปอร์เซ็นต์ชนะมากกว่าแต่แทมินก็สู้จนยิบตาเลยเช่นกัน นักกีฬามหาลัย s พยายามบุกทำคะแนนอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังพลาดพลั้งจังหวะเกี่ยวของตัวเองที่ไม่ได้ผลักสุดแรง เลยทำให้อี้ชิงสามารสวนกลับแล้วดึงจนได้คะแนนถึงวาซาริได้

     

    ท้ายที่สุดการแข่งขันจบลงที่อี้ชิงจัดการเด็ดขาดด้วยโซเดซ้ายอย่างที่คยองซูเคยโดนมาแล้วทำคะแนนอิปป้งและได้ชัยชนะไปครอง อี้ชิงจึงเป็นผู้ชนะของสาย A เพื่อรอเข้าไปชิงชนะเลิศกับผู้ชนะของสาย B

     

    จังหวะที่เดินสวนกันก่อนที่คยองซูจะขึ้นแข่ง อี้ชิงยิ้มแล้วจับมือเด็กรุ่นน้องพร้อมกับบอกว่าจะรอแข่งกันในรอบชิงให้ได้ ซึ่งคยองซูก็ไม่ทำให้อี้ชิงผิดหวัง

     

    การแข่งขันในรอบตัดเชือก คยองซูชนะคะแนนจากลูกเกี่ยวต่อเนื่องสมกับที่ฝึกมาอย่างหนัก จังหวะสองของคยองซูโดดเด่นมากจนหลายๆ คนเริ่มให้ความสนใจ เพราะน้อยคนนักที่จะเล่นจังหวะสองได้อย่างเรียบลื่นและลงตัวกับการลากหาจังหวะเช่นนี้ โดคยองซูจึงกลายเป็นม้ามืดที่ทุกคนเฝ้าจับตามองการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศทันที

     

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อต้องแข่งกับจางอี้ชิง ตัวเต็งของรุ่น

     

     

     

    “ได้ยินว่าคนที่เข้ารอบชิงไปเจอกับจางอี้ชิงเพิ่งเล่นได้ไม่นานเหรอ? ให้ตายสิ ทำยังไงถึงฝึกเด็กให้พัฒนาแบบก้าวกระโดดได้ถึงขนาดนี้นะไค?” แทนคำตอบ จงอินได้แต่หัวเราะเขินๆ ให้กับรุ่นพี่ยงกุกกัปตันทีมมหาลัย b ที่เข้ามาคุยด้วยระหว่างยืนดูการแข่งขันรอบ repechage

     

    “ไม่หรอกครับ ก็ฝึกกันตามปกติ ผมคงโชคดีที่ได้คนที่มีพรสวรรค์มาร่วมทีม”

     

    “อย่าถ่อมตนขนาดนั้นเลย มีพรสวรรค์อย่างเดียวน่ะเข็นไม่ขึ้นหรอกนะถ้าไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ทีมนายคงจะรักกันมาสินะ ถึงได้ดึงคนที่ดูแล้วไม่น่าเป็นนักกีฬาได้แบบนั้นเข้ามาฝึกฝนต่อเนื่องจนมาถึงขนาดนี้ได้”

     

    “ก็คงจะอย่างนั้นแหละครับ พวกเรามีกันน้อย แต่ก็สนิทกันมากๆ” ยิ้มเมื่อพูดถึงลูกทีมของตัวเอง มิตรภาพป่วนๆ ที่มารวมตัวกันได้จากหลากหลายเหตุผล

     

    “น่าเสียดายแพคฮยอนนะ ตอนแข่งกับคีย์น่ะสูสีน่าดู ไม่น่ามาเจอกันตั้งแต่รอบตัดเชือกเลยจริงๆ ถ้าเจอกันรอบชิงคงสนุก” คนอายุมากกว่าหัวเราะ จงอินยิ้มแล้วพยักหน้าเห็นด้วย

     

    “แต่ถ้าผมเป็นรุ่นพี่ผมคงเสียดายกว่า รอบไต่เหรียญทองแดงดันมาเจอกับแดฮยอนซะได้”

     

    “เฮ้ย พูดอย่างนั้นมันก็ไม่ถูก แพคฮยอนน่ะไหวพริบดีกว่าก็สมควรจะชนะแล้ว ส่วนเจ้าแดฮยอนน่ะยังต้องกลับไปฝึกอีกเยอะ” ยงกุกยิ้มแม้เรื่องที่กำลังเป็นหัวข้อสนทนานั้นเกี่ยวข้องกับความพ่ายแพ้ของนักกีฬาในทีมตัวเองหมาดๆ ก็ตาม

     

    รอบ repechage ของแพคฮยอนต้องมาแข่งกับทุกคนที่แพ้คีย์เพื่อหาผู้ที่จะได้เหรียญทองแดงของแต่ละสาย แพคฮยอนเจอกับแดฮยอนตัวเต็งจากมหาลัย b ในรอบสุดท้ายเพื่อตัดสินว่าใครจะได้เหรียญทองแดงไปครอง

     

    ในที่สุดแพคฮยอนก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป คว้าชัยชนะมาประเดิมเหรียญทองแดงแรกของทีม คราวนี้ก็เหลือลุ้นแต่คยองซูว่าจะได้เหรียญเงินหรือเหรียญทองให้กับทีมอีกหนึ่งเหรียญ

     

    หลังจากได้แก้มือเต็มที่อีกครั้งในรอบไต่และเพราะคงได้คนปลอบใจดี แพคฮยอนเลยอาการดีขึ้นจนมาเป็นหุ่นให้คยองซูวอร์มก่อนคู่ชิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จงอินคอยมองคนตัวเล็กทั้งสองวอร์มอยู่ห่างๆ ขณะที่กำลังยืนคุยกับรุ่นพี่ต่างมหาลัย

    แพคฮยอนคอยบอกสิ่งที่รุ่นเล็กควรจะเล่นให้คยองซูฟังเรื่อยๆ ระหว่างวอร์ม เขาจึงวางใจไปได้บ้างถึงจะมีประสบการณ์มากกว่า แต่บางครั้งจากมุมมองของคนที่เพิ่งเล่นไม่นานก็อาจให้คำแนะนำซึ่งกันและกันได้ดีกว่า

     

    ในที่สุดก็ถึงเวลา นักกีฬาในรอบชิงชนะเลิศทั้งหมดมารวมตัวกันในจุดปล่อยตัวแล้ว คู่ของคยองซูและอี้ชิงจะเป็นคู่ปิดสนามในวันนี้ตามลำดับรุ่นน้ำหนัก จึงยังพอมีเวลาเหลือให้ได้ทำสมาธิอยู่บ้าง

     

    “ดีใจที่ได้เจอกันรอบชิงนะ” ร่างสูงของอู๋อี้ฟานเอ่ยทักเมื่อพานักกีฬาของตนเข้ามานั่งรอข้างๆ กับคยองซูและจงอิน กัปตันทีมมหาลัย k เพียงแค่คลี่ยิ้มจางก่อนจะยื่นมือไปจับมือกับอีกฝ่ายเมื่ออู๋ฟานยื่นมือมาให้

     

    “ตัวเล็กทำได้ดีมากนะ รอบนี้ก็ทำให้ดีเหมือนเดิมล่ะ” คราวนี้พูดกับคนตัวบางที่นั่งอยู่ถัดจากจงอิน ร่างเล็กในชุดยูโดหันมายู่หน้าใส่ก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วหันกลับไปสะบัดมือไม้ต่อโดยที่ไม่ได้ต่อบทสนทนา

     

    ทางด้านอี้ชิงที่นั่งข้างๆ อู๋ฟานคล้ายกับหลุดเข้าห้วงสมาธิของตนเองไปแล้ว เป็นเรื่องปกติของจากอี้ชิง ลักษณะเฉพาะตัวก่อนแข่งเช่นนี้นักยูโดแทบทุกคนรู้ดี แม้แต่อู๋อี้ฟานเองก็ยังต้องปล่อยเวลานี้ให้อี้ชิงได้ทำสมาธิเต็มที่โดยไม่ไปรบกวน

     

    ต่อจากนั้นไม่มีใครพูดอะไร อู๋ฟานนั่งเงียบๆ ข้างๆ อี้ชิงซึ่งกำลังทำสมาธิ ส่วนจงอินนั้นคอยบีบนวดฝ่ามือเย็นเฉียบให้คนที่นั่งดูคู่แข่งขันก่อนหน้าเงียบๆ เช่นกัน เวลาขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงกริ่งหมดเวลาคู่ชิงชนะเลิศรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 55 กิโลกรัมชายซึ่งเป็นรุ่นของแพคฮยอนจบลง

     

    ผลการแข่งขันคือคีย์เป็นผู้ชนะได้เหรียญทองไม่พลิกโผ ในขณะที่เหรียญเงินก็ไม่ใช่คนไกลอะไรเลย คิมจงแด ตัวเต็งของมหาลัย m นั่นเอง และแน่นอนว่าเหรียญทองแดงของรุ่นตกเป็นของแพคฮยอนและชอนจีผู้ชนะรอบ repechage ในสาย b

     

    ความเงียบเกิดขึ้นชั่วอึดใจก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเสียงเฮดังกึกก้องทั่วทั้งโถงแข่งขัน เมื่อนักกีฬาคู่สุดท้ายของวันลุกขึ้นยืนแล้วต่างแยกกันไปคนละฝั่งสนาม คู่ชิงชนะเลิศระหว่างตัวเต็งของรุ่นผู้ที่มีฝีมือการเล่นเฉียบคมงดงามและม้ามืดที่น่าจับตามอง

     

    คยองซูหยุดยืนอยู่ที่ขอบเบาะระหว่างรอเปลี่ยนชุดกรรมการตัดสินบนสนาม แสงไฟจากเพดานดูสว่างกว่าที่เคย ความรู้สึกราวกับคนทั้งโลกจับตามองทำให้เขายิ่งรู้สึกประหม่า หัวใจเต้นแรงพาลให้มือไม้เย็นเยียบไปหมด

     

    ทว่าชั่วคู่ความรู้สึกเหล่านั้นก็เบาบางลงเมื่อมือคู่หนึ่งกอบกุมเบาๆ ความอบอุ่นแผ่ซ่านจากสัมผัสนั้นซึมลึกเข้าถึงหัวใจ เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ ข้างหลังกลับเพิ่มพลังให้เขาได้อีกมาก

     

    “สุดท้ายแล้ว อยากทำอะไรก็ทำเลย เอาให้เต็มที่ เวทีนี้เป็นของโดคยองซูแล้ว”

     

    ย้ำสัมผัสอุ่นที่ฝ่ามืออีกครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนมาบีบไหล่เล็กและจบท้ายด้วยตบแผ่นหลังอีกสองสามครั้งเพื่อกระตุ้นความมั่นใจและความพร้อมก้าวขึ้นสู่สังเวียนในรอบสุดท้าย

     

    “ฉันจะอยู่กับนายตรงนี้ เชื่อใจฉัน เชื่อมั่นในตัวเอง สู้นะคยองซู!

     

    “อื้ม!” คยองซูรับคำพร้อมยกยิ้มแม้จะรู้ว่าคนด้านหลังจะมองไม่เห็นก็ตาม

     

    สองขาก้าวขึ้นไปบนเบาะ ทุกจังหวะเหยียบย่างมั่นคงแน่วแน่  ก้มเคารพด้วยความนอบน้อมแต่หนักแน่ ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ยืนประจันหน้าห่างกันเพียงหนึ่งช่วงตัว ริมฝีปากของคนทั้งคู่ต่างจุดยิ้ม ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นปราดไปทั่วทั้งร่างคยองซู เขาตื่นเต้นเสียจนอยากให้การแข่งขันเริ่มขึ้นไวๆ

     

    แค่มองตาก็รู้...ครั้งนี้จางอี้ชิงไม่ออมมือให้แน่

     

    “ฮาจิเมะ!

     

    เกมส์เริ่มขึ้นแล้ว ดวงตาคมกร้าวจ้องมองนักกีฬาของตนเองค่อยๆ ย่อตัวลงพร้อมก้าวขานำขาตามตามที่ได้พร่ำสอนไป จงอินเผลอกำมือตัวเองแน่น มองเลยออกไปก็เจอกับผู้นั่งโค้ชของฝ่ายตรงข้ามที่กำลังจับจ้องความเคลื่อนไหวบนสนามไม่แพ้กัน

     

    คยองซูและอี้ชิงยังคงหยั่งดูเชิง ไม่มีใครเข้าจับใคร แต่ถัดจากนั้นไม่กี่วินาทีถัดมาคยองซูก็เป็นฝ่ายใจกล้าคว้ามือเข้าไปจับแขนเสื้อด้านขวาก่อน  หากแต่ช้าไป อี้ชิงได้ชื่อว่าเป็นนักยูโดที่มีไหวพริบที่สุดคนหนึ่งในวงการ ก่อนที่มือเล็กจะเอื้อมถึงจึงเบี่ยงตัวหลบแล้วใช้จังหวะนั้นเป็นฝ่ายคว้าคาเสื้อคยองซูมาแทน!

     

    จงอินเผลอกำมือแน่น ถ้าอี้ชิงคุมท่อนบนได้ล่ะก็ต้องถูกใช้ท่าดีดแน่ ยิ่งส่วนสูงของอี้ชิงมีมากกว่าเปอร์เซ็นต์โดนท่าอูชีมาตะยิ่งมีสูงมาก ถ้าคยองซูก้มตัวยื้อล่ะก็จบกัน

     

    “ยืดตัวออก! อย่าก้มเด็ดขาดนะ”

     

    แม้ไม่แน่ใจนักว่าคยองซูจะเข้าใจหรือไม่ แต่จงอินคิดว่าอย่างน้อยระยะหลังที่เขาดึงคยองซูมารันโดริด้วยบ่อยๆ อาจจะพอช่วยเพิ่มสัญชาตญาณการหลบหลีกให้คยองซูได้บ้าง ซึ่งมันเป็นไปได้ดีเกินคาด

     

    ร่างเล็กเลือกยืดตัวออกพร้อมกับยึดแขนเสื้อของอีกฝ่ายด้วยมือทั้งสองข้างและยันออกเต็มที่ มันคือวิธีปลดการจับของฝ่ายตรงข้าม ตอนที่ซ้อมกับจงอิน เขาจำได้ดีว่าผลจากการไม่ระวังตั้งแต่จังหวะจับทำให้ถูกจงอินทุ่มจนระบมไปทั้งตัว ถึงจะคอยบอกให้ระวังแต่เพราะการเข้ากระทำที่รวดเร็วนั้นก็ยังทำให้คยองซูพลาดพลั้งอยู่เรื่อยๆ

     

    เพราะถูกทุ่มซ้ำแล้วซ้ำอีกสมองจึงสั่งให้ร่างกายหาทางปัดป้อง เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อป้องกันได้แล้วต่อมาก็ต้องเร่งบุกเอาคืน ตอนซ้อมด้วยกันจงอินได้แต่พูดแนะนำและให้คยองซูไล่ตามหาวิธีเหล่านั้นด้วยตนเองแต่ไม่ยอมเขาสักจังหวะ...จนในที่สุด วันหนึ่งคยองซูก็ค้นพบและเอาคืนจงอินจนได้

     

    “นั่นแหละ!

     

    เทพไคแทบดีดตัวลุกขึ้นยืนทันทีที่คยองซูสวนเข้าท่าโมโรเต้กลับเข้าไป เป็นจังหวะที่สวยจนคนทั้งสนามถึงกับส่งเสียงฮือฮา แต่ทว่ากับคนที่ไหวพริบดีเยี่ยม อี้ชิงก็ยังหลบได้อย่างหวุดหวิด พลาดเพียงนิดเดียวจังหวะคุมเกมส์เมื่อครู่ก็เปลี่ยนไปแล้ว

     

    มือคุมบนของอี้ชิงที่สามารถกดตัวช่วงบนของคู่แข่งให้อยู่ในจังหวะของตนเองได้หลุดไปเพราะการปัดป้องและสวนกลับของคนตัวเล็กเมื่อครู่ คราวนี้ก็วัดกันใหม่ ชิงจับกันใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าคยองซูไม่รอให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกครั้ง

     

    คราวนี้การพุ่งเข้าจับเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ สองมือเข้าจับในท่ามาตรฐานได้แล้ว และต่อเนื่องด้วยการลากเข้าจังหวะตัวเอง คอยเกี่ยวนำหลอกอยู่เป็นระยะเพื่อให้อีกฝ่ายสับสนก่อนจะหาจังหวะเหมาะๆ เข้าท่าทุ่ม

     

    “อี้ชิงอย่าเดินตาม! พยายามหาจังหวะคุมให้ดีแล้วยัดเข้าเต็มที่เลย” เป็นฝ่ายท่านคริสที่ตะโกนมาบ้าง

     

    สองคนบนสนามผลัดกันหาจังหวะผลัดกันเข้าท่าทุ่มอย่างดุเดือด สนามร้อนระอุขึ้นทุกขณะ เสียงหอบหายใจถูกกลบไปด้วยเสียงเชียร์และเสียงตะโกนคอนโทรลของโค้ชทั้งสองฝ่าย ร่างกายที่ถูกใช้งานมาร่วมนาทีเริ่มอ่อนล้าราวกับผ่านมาแล้วหลายชั่วโมง

     

    เมื่อตัวเลขจับเวลาถอยหลังเข้าสู่นาทีที่สองเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นถึงสองครั้งติด ครั้งแรกเกิดจากความประหลาดใจปะปนไปกับความทึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าเด็กใหม่สายขาวจะสามารถยื้อยุดจางอี้ชิงได้เลยสามนาทีเข้าไปแล้ว ดาวรุ่งดวงใหม่กลายเป็นที่จับตามองจนแม้แต่กรรมการที่กำลังพักถึงกับต้องมองการแข่งขันนี้เป็นตาเดียว

     

    ส่วนเสียงเฮอีกครั้งเกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่วินาที เมื่อฝ่ายคยองซูเสียท่าโดนลูกหลอกของอี้ชิงเล่นงานเข้าให้ ทำให้คะแนนแรกของการแข่งขันขึ้นบนสกอร์บอร์ด

     

    “วาซาริ!” นับว่าไม่เลวแต่ก็ถือว่าเกินคาดที่คยองซูสามารถหลบลูกหลอกว่าจะดีดแต่ไปเกี่ยวโอยูชิการิแทนได้จนไม่โดนถึงอิปป้ง

     

    ไม่มีใครรู้ดีเท่าคู่ซ้อมอย่างชานยอลซึ่งกำลังนั่งลุ้นอยู่ข้างสนามเช่นกัน เขารู้ดีว่าตอนรันโดริด้วยกันนั้นตัวเองใช้ลูกหลอกนี้กับคยองซูบ่อยแค่ไหน เพราะเพื่อนคนนี้ตัวเล็กมาก ไม่ว่ายังไงก็เหมาะจะทุ่มท่าดีดที่สุด แต่เพราะถูกกัปตันทีมมันสั่งมาว่าให้เล่นลูกหลอกกับคยองซูบ่อยๆ จะได้ฝึกป้องกันไว้ให้เคยชิน คยองซูถึงถูกเขาทุ่มด้วยลูกนี้บ่อยครั้ง

     

    แต่ถึงกระนั้นการหลบหลีกของคยองซูก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จากที่โดนอิปป้งแทบทุกครั้งจนชานยอลยังนึกท้อใจแทน คยองซูก็ไม่ยอมถอดใจจนกระทั่งค่อยๆ ป้องกันได้ทีละนิด แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่อย่างน้อยก็จับจังหวะได้แล้ว

     

    “ไม่เป็นไร เวลายังมี จังหวะสอง! บุกเลยคยองซู” เสียงทุ้มตะโกนบอกหลังจากคำสั่งฮาจิเมะดังขึ้นอีกครั้ง

     

    คยองซูพยักหน้าเบาๆ ยกปลายแขนเมื่อเช็ดเม็ดเหงื่อที่ไหลซึมบดบังการมองเห็นแล้วมองหาจังหวะเข้าจับอีกครั้ง ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เข้ายึดอีกฝ่ายและหาดึงหาจังหวะได้ เพียงแต่ต้องระวังให้มาก อี้ชิงจ้องจะเล่นขาของเขาตลอดซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องเสียเปรียบแน่

     

    จังหวะที่พอจะให้เข้ากระทำมีน้อยมากเพราะอี้ชิงระวังตัวจนยากที่จะบุกได้ ดังนั้นเมื่อได้โอกาส คยองซูไม่รอช้ารีบเข้าท่าจังหวะต่อเนื่องที่ตนเองถนัดทันที

     

    จากเข้าโมโรเต้หลอกๆ หมุนตัวออกมาแล้วเข้าเกี่ยวโอยูชิการิ (เกี่ยวนอกขาซ้าย) ต่อ ใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีกลับเปลี่ยนขาอีกข้างเพื่อเกี่ยวโคยูชิการิ (เกี่ยวในขาขวา) ถึงตอนนี้แม้จะยังยื้อไว้ได้แต่อี้ชิงก็เสียศูนย์ไปพอสมควรแล้ว ถ้าหากลองสวนกลับต่ออีกนิดล่ะก็...

     

    “ระวังเกี่ยวโอ!

     

    “วาซาริ!

     

    เสียงของอู๋อี้ฟานมาถึงช้าเกินไป จงอินตบเข่าตัวเองฉาดใหญ่พร้อมกับกำหมัดแน่นด้วยความดีใจ ในที่สุดก็ตามทันแล้ว

     

    “ดีมากคยองซู!” ตะโกนขึ้นไปแข่งกับเสียงเฮดังกึกก้องทั่วทั้งสนาม “เล่นอย่างนี้แหละ จังหวะต่อเนื่องถี่ๆ หายใจลึกๆ! อีกนิดเดียวคยองซู!

     

    ไหล่เล็กไหวสะท้านขึ้นลงด้วยความเหนื่อย การเล่นจังหวะต่อเนื่องได้ผลดีจริงแต่ก็ใช้พลังไปมากด้วยเช่นกัน การเข้ากระทำให้ได้หลายท่าในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีไม่ต่างอะไรจากการวิ่งเร็ว ที่เขาเคลื่อนไหวได้เร็วจนตัวเองยังตกใจแบบนี้ต้องขอบคุณการฝึกอันแสนโหดของคิมจงอินนั่นล่ะ

     

    ฝ่ายอี้ชิงระหว่างยัดปลายเสื้อเข้าในสายเขาเองก็หอบหายใจไม่แพ้กัน ดวงตาคู่สวยมองฝ่ายตรงข้าม คนๆ นี้มีพรสวรรค์ที่เจ้าตัวเองก็คงยังไม่รู้ แม้รูปร่างเล็กเพรียวเช่นนี้จะทำให้เคลื่อนไหวได้รวดเร็วก็จริงแต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะสามารถเข้าท่าทุ่มได้ติดต่อกันถึงสี่ท่าภายในเวลาไม่กี่วินาที หากไม่ได้รับการฝึกฝนที่มากพอคงไม่มีทางทำได้แน่ๆ

     

    หน้าหวานพราวเหงื่อหันมองจอทีวีข้างสนาม เหลือเวลาอีกนาทีเศษ แต่คะแนนยังเท่ากันแบบนี้ถือว่าเสี่ยงพอดู ถึงจะเหนื่อยพอกันทั้งคู่แต่ก็ไม่รู้ว่าคยองซูจะใช้ลูกต่อเนื่องแบบไหนมาหลอกเขาอีก ปลายหางตาชำเลืองมองผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหลัง สายตาคมของท่านคริสแห่งวงการกำลังสื่อสารบางอย่างที่รู้กัน

     

    “ฮาจิเมะ!

     

    คยองซูตั้งท่าเตรียมเข้าจับ เขาพยายามกักเก็บลมหายใจไว้ให้เพียงพอในตอนที่ต้องเข้าจังหวะต่อเนื่อง วินาทีที่หมุนตัวไม่มีแม้แต่เวลาหายใจ เมื่อใดที่อี้ชิงเข้ามาจับอีกครั้งเขาต้องใช้จังหวะแรกตอนที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว

     

    สิ่งที่คำนวณไว้มาไวกว่าที่คิด อี้ชิงพุ่งเข้าจับและสาวเท้าเข้าใส่ไปข้างหลังพร้อมจะทุ่มท่าโอโซโตการิ (osoto gari) ทันที!

     

    ท่านี้จะไม่เหมือนท่าทุ่มส่วนใหญ่เพราะจะทุ่มไปข้างหลังโดยใช้ขาตวัดท่อนล่างของคู่ต่อสู้ขึ้นมา คยองซูเคยถูกเซฮุนทุ่มท่านี้มาแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบถ่วงน้ำหนักสวนทางที่อีกฝ่ายบังคับทันที คยองซูก้มตัวลงหวังจะใช้จังหวะที่อี้ชิงกำลังยื้อเขาทุ่มหมุนตัวแล้วกลับมาเข้าท่าของตัวเองอีกครั้ง

     

    “ไม่ได้นะคยองซู!! ไม่ใช่โอโซโต!!

     

    สมองยังไม่ทันคิดประมวลผลสิ่งที่จงอินตะโกนบอก ฉับพลัน จากน้ำหนักที่ควรจะทุ่มถ่วงไปข้างหลัง อี้ชิงกลับหมุนแล้วบิดตัวหันหลับมาทุ่มข้างหน้าด้วยท่าดีดอูชีมาตะแทน!

     

    เพราะถูกหลอกซ้ำอย่างไม่คาดคิด คยองซูไม่มีเวลามาพอจะถ่ายน้ำหนักกลับมาทัน ร่างทั้งร่างลอยสูงอยู่ในอากาศก่อนจะถูกกระชากเต็มแรงราวกับต้องการจะฝังสู่พื้นเบื้องล่าง เหตุการณ์ทั้งหมดช่างเกิดขึ้นรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ร่างของเขากระแทกเบาะไปแล้ว

     

    “อิปป้ง!

     

    เสียงเฮดังกึกก้องทั่วทั้งสนามแข่ง เสียงหอบหายใจของทั้งจางอี้ชิงและคยองซูต่างกลืนหายไปจนหมด เหงื่อกาฬไหลออกมาไม่ยอมหยุดแม้กระทั่งตอนที่อี้ชิงฉุดคนที่นอนตบเบาะด้วยท่าสมบูรณ์ลุกขึ้นมายืน ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กันแล้วถอยกลับไปยืนหลังเส้น

     

    กรรมการผายมือให้ฝั่งขาวเป็นฝ่ายชนะ ทั้งคู่เคารพกัน แล้วเดินเข้าไปกอดกันกลางเบาะ เสียงปรบมือดังก้อง เสียงเฮยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ผลการแข่งขันจบลงด้วยรอยยิ้มและน้ำใจนักกีฬา งดงามสมกับเป็นคู่สุดท้ายของวันที่น่าจับตามองที่สุด

     

    คยองซูถอยลงมาเคารพเส้นทีละเส้น ก่อนจะหมุนตัวกลับมาเจอคนที่ยืนรออยู่แล้ว บนใบหน้าหล่อคมปรากฏรอยยิ้มบางเบา สองแขนกางออกเพื่อรอรับคนชนะใจคนทั้งสนามเข้าสู่อ้อมแขน คยองซูยิ้มก่อนที่จะโผเข้าหาอ้อมกอดนั้น ยกสองมืออันสั่นเทาขึ้นโอบกอดแผ่นหลังกว้าง

     

    “ฉันแพ้” เสียงเล็กพูดอู้อี้อยู่กับอกกว้าง แต่รอยยิ้มกลับไม่จางหายไปจากริมฝีปากคู่สวยได้เลย

     

    “แพ้ประสบการณ์ มาถึงขนาดนี้ได้รู้ตัวมั้ยว่าเก่งขนาดไหน”

     

    “ไม่เลย ฉันไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง”

     

    จงอินจุดยิ้มให้กับคำพูดเหมือนเด็กงอแง แต่เขารู้อยู่แล้วว่าเด็กคนนี้คงไม่มีน้ำตาแห่งความพ่ายแพ้ให้เห็น เพราะคยองซูน่ะคงจะเข้าใจแล้วว่าวิถีแห่งการกีฬาแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร

     

    ความพ่ายแพ้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ไม่ใช่ความอัปยศ

    แต่ความพ่ายแพ้จะเป็นบันไดให้เรารู้จักจะก้าวขึ้นไปสู่ความสำเร็จ

     

    กว่าจะไปถึงจุดนั้น อาจจะล้มบ้าง ท้อบ้าง แพ้บ้าง แต่ระหว่างทางต่างหากที่ให้อะไรกับเราตั้งมากมาย และเมื่อถึงวันที่คว้าความสำเร็จมาได้ เราจะรู้ว่าค่าของชัยชนะนั้นอาจไม่เทียบเท่ากับเรื่องราวมากมายที่เราได้ผ่านมา

     

    ก้าวนี้คือก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก้าวหนึ่งของคยองซู หากเขายังเลือกที่จะก้าวต่อไป สักวันความพ่ายแพ้ในวันนี้นี่แหละที่จะทำให้ความสำเร็จของเขายิ่งงดงามและทรงเกียรติมากที่สุด

     

     

    “...เด็กโง่” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ เขาหันไปเห็นว่าชานยอลกำลังวิ่งถือน้ำกับผ้าเย็นมาให้แล้ว จงอินจึงดันไหล่นั้นออกเบาๆ

     

    จมูกเล็กๆ นั้นแดงก่ำ คงพยายามกลั้นน้ำตาแห่งความปลื้มใจเอาไว้อย่างเต็มที่ จงอินหัวเราะเสียงเบาก่อนจะโอบไหล่เล็กแล้วพากลับไปที่ทีมเพื่อเตรียมตัวขึ้นรับเหรียญ

     

    จงอินรู้สึกเหมือนหาหัวใจตัวเองไม่เจอ มันวูบโหวงอย่างน่าใจหาย เขาอยากจะกอดร่างเล็กนุ่มนิ่มให้มากกว่านี้ อยากจะจูบเบาๆ บนหน้าผาก อยากจะกระซิบชิดริมฝีปากให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองเก่งมากแค่ไหน และที่สำคัญที่สุด เขาอยากจะอ้อนวอนจากใจ

     

    ...อย่าจากเขาไปไหนเลย

     

     

     

    พิธีรับเหรียญถูกตระเตรียมในเวลาอันรวดเร็ว นักกีฬาที่ได้เหรียญในแต่ละรุ่นต่างมานั่งรอที่เก้าอี้ที่เจ้าภาพเตรียมไว้ตามลำดับรุ่น ระหว่างนั้นคนที่เพิ่งจะแข่งกันหัวฟัดหัวเหวี่ยงกันบนสนามต่างก็นั่งคุยกันอย่างสนิทสนม คนที่เพิ่งจะเคยแข่งกันก็ได้ทำความรู้จักกันตรงนั้น อย่างคยองซูก็เพิ่งจะมาทำความรู้จักแอลโจจริงๆ จังๆ ก็ตอนนี้นี้เอง

     

    ผลการแข่งขันของรุ่นบุคคลชาย รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 55 กิโลกรัม เหรียญทองนั้นตกเป็นของคีย์ มหาวิทยาลัย s เหรียญเงินก็ไม่ใช่คนอื่นไกล คิมจงแด มหาวิทยาลัย m นั่นเอง ส่วนเหรียญทองแดงอีก 2 คนได้แก่ แพคฮยอนและชอนจี มหาวิทยาลัย t

     

    รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 60 กิโลกรัม เหรียญทองได้แก่ จางอี้ชิง มหาวิทยาลัย m ซึ่งแข่งสนุกกับเหรียญเงินอย่างคยองซู ส่วนเหรียญทองแดง 2 เหรียญนั้นตกเป็นของลีแทมิน มหาวิทยาลัย s และ แอลโจ มหาวิทยาลัย t

     

    พิธีรับเหรียญแม้จะเป็นพิธีสั้นๆ แต่ก็ชวนขนลุกได้อย่างไม่น่าเชื่อ เสียงเพลงประจำการแข่งขันดังระหว่างที่ธงประจำมหาวิทยาลัยของผู้ที่ได้เหรียญค่อยๆ ขึ้นสู่ยอดเสา เป็นความรู้สึกแปลกประหลาด ทั้งตื้นตันทั้งภูมิใจ หากไม่เคยมายืนอยู่บนแท่นอย่างที่เขาอยู่คงไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนี้มันเป็นอย่างไร

     

    คยองซูเพิ่งสังเกตตอนนั้นเองว่าลู่หานที่ไม่รู้มาตอนไหนรับหน้าที่เป็นช่างกล้องถ่ายภาพเขาและแพคฮยอนในพิธีรับเหรียญเอาไว้ เพราะเคยดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายกีฬาเลยพอรู้มาบ้างว่าเวลามีการแข่งขันแบบนี้ต้องมีคนคอยเก็บภาพเพื่อนำกลับไปทำรายงานสรุปผลให้สถาบัน

     

    “ยิ้มนะ หนึ่ง สอง สาม ชีสสสส~” ตากล้องพูดเสียงอารมณ์ดีระหว่างให้นักกีฬาที่ได้เหรียญทั้งสองคนชูเหรียญถ่ายภาพ

     

    พ่อหนุ่มหน้าหวานที่ถูกรุ่นน้องวานใช้งานประจำทำหน้าที่นี้ได้ดีทีเดียว ลู่หานไม่เพียงแต่ถ่ายภาพพิธีการแต่ตามไปถ่ายทุกที่ ไม่ว่าคยองซูและแพคฮยอนจะคุยจะเล่นกับใคร เห็นเจ้าตัวบอกว่าถ่ายเก็บไว้เป็นความทรงจำ รูปไหนเป็นพิธีการค่อยคัดส่งทำรายงานสรุปผล

     

    เห็นจะมีก็แค่ตอนที่อู๋ฟานเดินมาคุยกับคยองซูนี่แหละที่ลู่หานขอไปถ่ายแพคฮยอนที่กำลังคุยอยู่กับคีย์แทน เพียงแค่คยองซูจุดยิ้มบางลู่หานก็พอจะเดาได้ ปล่อยให้ทั้งสองคนได้คุยกันอยู่พักหนึ่งก่อนที่คยองซูจะกลับมารวมตัวกับคนอื่นๆ ในทีมแล้วถ่ายรูปกันต่อ

     

    การแข่งขันในวันนี้ส่งให้คยองซูกลายเป็นนักกีฬาที่เนื้อหอมที่สุด ถ่ายรูปอยู่กับแพคฮยอนได้ไม่เท่าไหร่ เดี๋ยวๆ ก็มีทีมอื่นมาขอถ่ายรูปด้วย หลายคนที่เข้ามากล่าวชื่นชมเกมส์วันนี้ของเขา เล่นเอาคยองซูต้องยิ้มจนเมื่อยแก้ม

     

    “พี่ลู่หานเห็นจงอินมั้ยครับ?” เจ้าของเหรียญเงินถามพลางชะเง้อคอมองหาคนที่ว่าไปด้วย ลู่หานลดระดับกล้องลง จิ้มไล่ดูรูปบนจอขนาดเล็กของกล้องพลางตอบไปด้วย

     

    “พอถ่ายรูปรวมตอนนายรับเหรียญลงมาเสร็จก็ออกไปแล้วล่ะ เห็นว่าจะกลับห้องไปเตรียมชุดมาซ้อม”

     

    “ถ้าอย่างนั้นชานยอลก็ไปด้วยเหรอครับ?” คราวนี้เป็นแพคฮยอนถามบ้าง ลู่หานละสายตาจากจอกล้องแล้วพยักหน้า

     

    “ใช่ นี่มันก็แบกกระติกน้ำเอย กล่องยาเอย กลับไปกันหมดแล้วนะ เดี๋ยวแพคฮยอนกับคยองซูก็เก็บชุดตัวเองกลับห้องได้เลย” ปิดกล้องเก็บใส่กระเป๋าแล้วหันมายิ้มร่า “ส่วนน้องเซฮุนพี่ยืมตัวก่อน”

     

    “โหยยยย จะไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันสองคนอีกแล้วล่ะสิ!

     

    “งื้อออ~ ไปแป๊บเดียวเอง เดี๋ยวเซฮุนซื้อขนมมาฝากนะพี่แพคฮยอน” พอได้ยินพี่รหัสตัวเองเริ่มเสียงดัง เจ้าน้องเล็กก็รีบปรี่เข้าไปเกาะแข้งเกาะขาทันที สุดท้ายคนพี่ก็ต้องยอมและยีหัวน้องด้วยความมันเขี้ยว

     

    ลู่หานมองภาพพี่น้องร่วมทีมตรงหน้าแล้วยกยิ้ม แต่พอมองอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กันกลับพบว่าใบหน้าหวานนั้นฉายแววกังวลไม่เลิก หนุ่มจีนหน้าหวานถอนหายใจแล้วเดินแตะไหล่เล็กเบาๆ

     

    “ถ้าอยากไปหาก็ไปสิ ป่านนี้คงยังอยู่ที่ห้องนั่นแหละ”

     

     

     

     

    “ได้บอกหรือยัง?”

     

    “ยังเลย” พอได้ฟังคนถามก็ยกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ

     

     “ทำไมล่ะ? ได้อิปป้งมาแล้วนะ ขืนตัวเล็กบอกช้าเดี๋ยวก็ไม่ทันการหรอก”

     

     

    บทสนทนาระหว่างเขากับอู๋ฟานหลังพิธีรับเหรียญวนย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิดขณะที่สองขาพยายามก้าวเร็วๆ กลับไปยังอาคารที่พัก

     

    คยองซูรู้สึกราวกับตัวเองกำลังเป็นบ้า ริมฝีปากของเขากำลังยกยิ้ม หัวใจกำลังเต้นแรง แต่เหงื่อกลับไหลไม่ยอมหยุด แถมมือก็ยังเย็นเฉียบเหมือนตอนกำลังจะขึ้นแข่ง

     

    เขาทั้งตื่นเต้นและลุ้นระทึก ถ้าหากเจอจงอินแล้วจะทำหน้ายังไงดีนะ

     

     

    “ผมจะบอกเขาในวันนั้น วันที่ผมทำอิปป้งได้”

     

    หนุ่มนักยูโดลดระดับแก้วกาแฟในมือลง จุดยิ้ม แล้วเลิกคิ้วเหมือนจะถามคนตัวเล็กที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะตัวเล็กในร้านกาแฟราวกับต้องการให้ขยายความต่อ คยองซูคลี่ยิ้มเมื่อนึกถึงหน้านิ่งๆ ทำเป็นโหดของคนๆ นั้นด้วย

     

    “เขาเคยบอกว่าจะไม่พูดคำนั้นเพราะเขาไม่อยากรั้งผมไว้ถ้าหากผมจะไป แต่วันที่ผมได้อิปป้ง วันที่พันธะสัญญาระหว่างเราจบลง ผมจะเป็นฝ่ายบอกกับเขาเอง บอกให้เขารู้ว่ามีแค่เขาเท่านั้นที่ผมจะยินยอมให้รั้งเอาไว้ บอกให้เขารู้ว่าผมจะไม่จากเขาไปไหนไม่ว่าต่อไปจะทำได้อีกกี่อิปป้งก็ตาม”

     

    “ใจเด็ดดีนี่ตัวเล็ก” อู๋ฟานหัวเราะเบาๆ แล้วยกกาแฟขึ้นจิบต่อ “แล้วจะบอกเขาว่าไง?”

     

    คยองซูไม่ได้ตอบในทันที ริมฝีปากสีอ่อนยิ้มละมุน หัวใจเผลอเต้นแรงเพียงแค่คิดถึงช่วงเวลาที่คนๆ นั้นยืนอยู่ตรงหน้ารอให้เขาพูดคำนั้นออกไป

     

     

    ความทรงจำในวันนั้นหยุดลงเมื่อสายตาพลันเห็นร่างสูงอันแสนคุ้นเคยกำลังเดินมาทางนี้ มือข้างหนึ่งกระชับสายดำซึ่งมัดชุดยูโดอยู่พาดบ่า ใบหน้าเรียบนิ่งนั้นยิ่งทำให้คยองซูใจเต้นแรง ทว่ายิ่งเดินเข้ามาใกล้เท่าไหร่กลับยิ่งเห็นความรู้สึกอื่นปรากฏอยู่บนใบหน้าหล่อจัดนั้นด้วย

     

    ยิ่งตามคมกริบหันมาพบกับเขาพอดี ความเศร้าแปลกๆ ก็ยิ่งสะท้อนออกจากตาคู่นั้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเป็นเวลาปกติคยองซูคงตรงเข้าไปถามว่ามีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า แต่ตอนนี้ตัวเขาเองประหม่าจนไม่มีเวลาคิดถึงสิ่งอื่น

     

    ร่างสูงเดินมาหยุดนิ่งเบื้องหน้า ตาสบตา แต่ยังไร้ซึ่งคำพูดใดๆ

     

    คยองซูสูดลมหายใจลึกและเตรียมจะอ้าปากพูด แต่อีกฝ่ายกลับหลบตาเสียก่อน ใบหน้าคมหลุบมองพื้นด้านข้างราวกับต้องการเวลาอีกสักนิด จงอินถอนหายใจเสียงเบาก่อนจะหันกลับมามองคนตรงหน้าอีกครั้ง

     

    เอ่ยบางอย่างออกไปแผ่วเบา แต่กลับกรีดหัวใจคนฟังได้อย่างแสนสาหัส

     

    “อยากจะไปก็ได้นะ ตอนนี้นายเป็นอิสระแล้ว”


     

    TBC.

     

     

     

    **ตัวอย่าง Chart การแข่งขันในรุ่นของแพคฮยอนค่ะ เขียนด้วยมืออย่างกากๆ ต้องขอโทษด้วยนะคะ 5555 เขียนสีเขียวไว้สำหรับตัวละครเด่น ส่วนตัวประกอบ(?)ก็เป็นนายพยัญชนะไทยทั้งหลายไปแทน 55555 ตัวเลขในวงกลมคือคู่ที่แข่งนะคะ(ไม่ได้อิงตามในเรื่อง แต่จะใส่ไว้ให้เข้าใจคร่าวๆค่ะ) เส้นสีแดงที่ขีดไว้คือเส้นทางกว่าจะเข้ารอบ(ส่วนตรงนี้แหละค่ะที่น้องเซฮุนต้องเป็นคนจดตลอดการแข่งขันว่าคู่ไหนใครชนะเพื่อที่จะได้ทราบว่าคนของเราจะได้ไปแข่งกับใคร เรียกกันว่า “ทำชาร์ต”) ข้างล่างคือ repechage จะเห็นว่าคนที่แพ้คีย์(และจงแด)ทั้งหมดต้องมาแข่งกันเอง ใครที่แพ้ในรอบลึกๆ(อย่างแพคฮยอนและชอนจี)ก็จะแข่งน้อยกว่าคนที่แพ้ตั้งแต่รอบแรกๆค่ะ

     

     

     

     

    Mirror* Talk: ตอนนี้อ่านกันตาแฉะเลยไหม TTvTT ตอนท้ายเอาตัวอย่างชาร์ตมาให้ดูด้วยเผื่อจะเข้าใจระบบชาร์ตไต่กันมากขึ้นเนอะ ขอแอบบ่นให้ทุกคนฟังว่ากว่าจะได้ตอนนี้มาเราเหนื่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ฮืออออออ TTvTT ใครที่ตามทวิตเตอร์เราอยู่คงจะเห็นเราบ่นอยู่บ่อยๆ คือกว่าจะเขียนชาร์ตให้แต่ละรุ่น กว่าจะกรองคู่แข่ง กว่าจะจัดรุ่นได้ คือเหนื่อยมากจริงๆ แล้วยังจะต้องมาคิดสไตล์การแข่งขันแล้วมาเขียนอีก ฮืออออออ เป็นการเขียนฟิคที่เหนื่อยกว่าแข่งเองอีกค่ะ 55555* เราไม่หวังอะไรจากความเหนื่อยทั้งหมดที่ว่ามาเลยนะ ขอแค่ทุกคนอ่านแล้วเข้าใจแค่นั้นก็พอแล้วจริงๆ TTTvTTT กำไรที่ได้คือคอมเม้นท์ และทิปคือคำพูดที่ว่า อ่านแล้วอยากลองเล่นยูโดเลยแค่นี้คนเขียนก็หายเหนื่อยแล้วจริงๆค่ะ

    เอาล่ะ อีกไม่นานมันคงจะจบลงแล้วสินะ ;_____; ไม่อยากนึกถึงวันที่ฟิคเรื่องนี้จบเลย มีร้องไห้กันบ้างอ่ะ #เราเนี่ย 55555* เป็นอันว่าระหว่างนี้ก็ลุ้นกันต่อดีกว่าว่าเทพไคจะเอายังไงต่อไป อิปป้งเปลี่ยนชีวิตใช่หรือไม่ แล้วตกลงคยองตอบคำถามพี่คริสว่ายังไงในวันนั้น ตอนหน้ารับรองว่าเคลียร์ทุกคำถามค่ะ

    ขอบคุณทุกสายตาที่ไล่กวาดทุกตัวอักษร ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ ทุกคนที่ติดแท็ก #วอป และทุกคนที่เมนชั่นมาหานะคะ รักฝุดๆ ยอมให้ทุ่มอิปป้งเลยเอ้า!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×