ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] ONE IPPON (KAISOO)

    ลำดับตอนที่ #32 : CHAP 31

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.91K
      21
      25 ส.ค. 56

     

    CHAPTER 31

     

     

    ป้ายต้อนรับทัพนักกีฬาทุกสถาบันทั่วประเทศถูกติดไว้ตลอดเส้นทางเมื่อเข้ามาใกล้มหาวิทยาลัยเจ้าภาพ เมื่อเข้ามาถึงข้างในแล้วบรรยากาศก็ยิ่งคึกคัก นักกีฬามากหน้าหลายตาเดินกันชวักไขว่ทั่วรั้วมหาวิทยาลัย เสียงเพลงประจำการแข่งขันดังออกลำโพงยิ่งสร้างความตื่นเต้นฮึกเหิมให้กับนักกีฬาแม้การแข่งขันจะยังไม่เริ่ม

     

    ทีมยูโดมหาวิทยาลัย k มาถึงในเวลาที่ดีกว่าที่คำนวณไว้ ก่อนอื่นพวกเขาต้องเข้าไปแจ้งรายงานตัวเพื่อรับ ID การ์ดจากศูนย์ประสานงานของมหาวิทยาลัยซึ่งตั้งชั่วคราวไว้คอยบริการนักกีฬาทุกชนิดกีฬาในสังกัดที่ใต้ตึกอันเป็นที่ที่ถูกจัดไว้เป็นที่พักของนักกีฬามหาวิทยาลัย k ทุกคน

     

    ID การ์ดที่ว่าคือแผ่นที่ใช้แสดงตัวนักกีฬาแต่ละคน แทนได้กับบัตรประชาชนสำหรับนักกีฬาในการแข่งขันหนึ่งๆ นั่นเอง ID การ์ดจะระบุชื่อ-นามสกุล รูปถ่ายหน้าตรงที่แนบมากับหลักฐานการสมัคร ระบุชนิดกีฬา สังกัด และตำแหน่งหน้าที่(นักกีฬา,โค้ช,กรรมการ,ผู้สื่อข่าว ฯลฯ) โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีสายห้อยคล้องคอเพื่อป้องกันการสูญหาย เนื่องจาก ID การ์ดมีความสำคัญมาก นักกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬามหาวิทยาจะถือว่าได้สิทธิหลายอย่างมากกว่าผู้ที่เป็นคนนอก เช่น หากบาดเจ็บจะไม่ต้องเสียค่ารักษา เป็นบัตรผ่านเข้าที่พัก ได้รับสิทธิซื้อของต่างๆ ในราคาถูก ได้รับสิทธิในการทำกิจกรรมต่างๆ ระหว่างช่วงจัดการแข่งขัน ที่สำคัญคือใช้รายงานตัวในการแข่งขัน ดังนั้น ID การ์ดจึงมีความสำคัญมากจึงต้องนำติดตัวไว้เสมอจนกว่าจะจบการแข่งขัน

     

    จงอินรับหน้าที่นำ ID การ์ดของทุกคนมาก่อนจะช่วยกันขนข้าวของขึ้นห้อง หลังจากนั้นก็ให้พักผ่อนกันไปก่อนแล้วค่อยซ้อมพร้อมกันที่สนามแข่งตอนเย็น แพคฮยอนเปลี่ยนเสื้อผ้าชื้นเหงื่อจากการอบอยู่ในชุดตะกั่วทับด้วยเสื้อวอร์มตลอดการเดินทางเพื่อที่จะได้สบายตัวขึ้น ส่วนจงอินขอตัวไปจัดการเรื่องอื่นๆ กับศูนย์ประสานงานชั้นล่างต่ออีกนิดหน่อย

     

    ในห้องซึ่งเป็นหอพักของมหาวิทยาลัยมีเตียงคู่ 2 เตียง กับที่นอนเสริมกลางห้องให้อีกที่สำหรับนักกีฬาทีมละ 5-6 คน ชานยอลอาสาจะนอนที่นอนเสริมเองโดยให้คยองซูได้นอนบนเตียง และน้องเล็กของทีมนอนเตียงคู่กับแพคฮยอนจะได้ไม่อึดอัด ซ้ำยังบอกด้วยว่าเตียงเสริมกว้างพอที่จะนอน 2 คนสบายๆ ดังนั้นต่อให้จงอินลงมานอนด้วยกันก็ไม่มีปัญหา คยองซูพยายามแย้งแล้วว่าถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเขาที่ตัวเล็กๆ 3 คนมานอนเตียงเสริมซะให้หมด แต่ก็ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายก็เลยต้องยอมตามที่ชานยอลบอก

     

    ด้วยความอ่อนล้าจากการเดินทาง ทันทีที่หลังเอนลงบนเตียงทุกคนก็หลับลงไปอย่างง่ายดาย สายลมพัดโชยอ่อนจากทางหน้าต่างทำให้คยองซูยิ่งหลับลึก น่าแปลกที่แม้โทรศัพท์ซึ่งวางไว้ข้างหมอนจะสั่นอย่างไรเขาก็ไม่ตื่น แต่กลับมารู้สึกตัวเอาตอนที่สัมผัสถึงริมฝีปากอุ่นๆ ประทับลงบนหน้าผาก

     

    พยายามฝืนให้เปลือกตาหนักอึ้งเปิดออกเพื่อมองว่าเป็นใครแม้จะพอเดาได้อยู่แล้ว แต่จนแล้วจนรอดดวงตากลมโตของเขาก็ยังถูกซ่อนไว้จากความอ่อนล้าที่มีมากกว่า แต่คยองซูก็กลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งเมื่อเสียงทุ้มแสนคุ้นเคยกระซิบเบาๆ ด้วยถ้อยคำเดิมๆ ที่เขาไม่เคยเบื่อ

     

    “หลับเถอะ เดี๋ยวฉันปลุกเอง”

     

     

     

    หลังจากที่ได้นอนหลับเอาแรงกันไปเรียบร้อยแล้ว 4 โมงเย็นก็ได้เวลาซ้อมกับสถานที่จริงตามที่กัปตันทีมวางแผนไว้ พวกเขาต่างแบกชุดยูโดเดินไปยังอาคารที่จะใช้จัดการแข่งขัน ตามปกติแล้วสนามแข่งสามารถใช้เป็นสถานที่ซ้อมได้แต่ก็ต้องแบ่งปันกันใช้ เพราะก็มีนักกีฬาจากหลายสถาบันที่ต้องการฝึกซ้อมก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น

     

    ด้วยเหตุนี้เอง ทันทีที่ก้าวเข้ามาในอาคารที่ใช้แข่งขัน พวกเขาก็ได้เจอทั้งเพื่อนนักยูโดที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่แล้วอย่างเช่นพวกทีมมหาลัย s ตลอดจนทีมอื่นๆ ที่หน้าใหม่อย่างคยองซูไม่เคยรู้จักหรือไม่คุ้นเคยนัก ผิดกับชานยอล จงอิน และแพคฮยอนที่ยิ้มหน้าชื่นทักทายคนอื่นๆ อย่างสนิทสนม

     

    “พี่จงฮยอนมาถึงเมื่อไหร่ครับ?”

     

    “ตอนบ่ายนี่เอง” ประธานชมรมยูโดมหาลัย s ตอบจงอินและก้มรับการทักทายของคนอื่นๆ ด้านหลังด้วย เช่นเดียวกับมินโฮ คีย์บอม จินกิ และแทมินที่กำลังโบกมือเริงร่าให้คยองซู

     

    “โห มาถึงก็ซ้อมกันเลย นี่กะเหมาเหรียญกลับเป็นกระบุงเลยป่ะพี่?”

     

    “สมพรปากนายแล้วกันนะชานยอล เอ้อ แล้วนี่มาถึงกันเมื่อไหร่?”

     

    “เมื่อเช้านี่เองครับ พักเอาแรงกันก่อน แพคฮยอนเขารีดน้ำหนักเยอะ”

     

    ทักทายกันพอหอมปากหอมคออีกสักพัก จงอินก็ให้แยกย้ายกันไปเปลี่ยนชุดขึ้นมาซ้อมเพราะตอนนี้เบาะยูโดเริ่มจะว่างขึ้นแล้ว นักกีฬามหาลัยอื่นที่มาซ้อมกันก่อนหน้านี้เริ่มทยอยลงเพื่อกลับไปพักผ่อน

     

    คยองซูสังเกตเห็นว่ารุ่นน้องในวงการหลายคนเข้ามาทักทายจงอินอย่างนอบน้อมแต่ก็ดูสนิทสนมมากในที เห็นแล้วเขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ จงอินคงจะเป็นที่นับหน้าถือตาในวงการมากพอดูทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวเขาก็ไม่ได้มีท่าทีถือตัวกับใครแม้แต่คนเดียว จงอินที่คยองซูรู้จักเป็นยังไง เทพไคที่เขาเห็นตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น

     

    การซ้อมบนสนามแข่งจริงไม่ได้ต่างจากการซ้อมที่เบาะตัวเองเท่าไรนัก จะต่างสักหน่อยก็ตรงแปลกที่และไม่ได้มีแค่พวกเขาที่กำลังซ้อมกันอยู่บนเบาะทีมเดียวเท่านั้น ผลดีจากการได้ซ้อมร่วมเบาะเดียวกันกับทีมอื่นคือมีช่องทางพอให้เราได้สำรวจว่าใครน่าจะเล่นรุ่นของเราแล้วเขามีสไตล์การเล่นเป็นยังไง แต่ในทางกลับกัน ตัวเราเองก็กำลังเปิดช่องทางให้อีกฝ่ายสำรวจอยู่ด้วยเหมือนกัน

     

    จงอินคงจะรู้ข้อนี้ดีถึงได้ปล่อยให้พวกเขาเล่นรันโดริกันอย่างอิสระ ถ้าจะแนะนำอะไรก็สั่งให้หยุดครู่หนึ่งแล้วเดินไปบอกใกล้ๆ ไม่ได้ตะโกนบอกเสียงดุเหมือนยู่บนเบาะตัวเอง อย่างน้อยก็เป็นวิธีระวังวิชาได้อีกทางหนึ่ง

     

    รันโดริยกสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้น คยองซูหอบหายใจเอาอากาศแปลกถิ่นเข้าปอด เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่กำลังปรับการหายใจพร้อมทั้งแต่งตัวให้เรียบร้อยไปด้วยหลังจากจงอินสั่งพักหนึ่งนาทีหลังรันโดริยกเมื่อกี้จบลง นาฬิกาเรือนใหญ่บนผนังบอกเวลาหกโมงเย็น ฟ้าด้านนอกก็ดูเหมือนจะเริ่มมืดแล้วด้วย

     

    คนตัวเล็กมองออกไปนอกประตูอาคารเพื่อมองบรรยากาศภายนอก แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่ากลุ่มคนกลุ่มหนึ่งสะพายกระเป๋าหอบหิ้วข้าวของเต็มมือเดินผ่านบานประตูนั้นเข้ามา

     

    “โอ้โห...ฟิตกันน่าดูเลย”

     

    “พี่คริส”

     

    หลังจากกัปตันทีมมหาลัย m เป็นฝ่ายทักทายคนที่กำลังซ้อมบนเบาะ ชานยอลก็เอ่ยชื่อนักยูโดรุ่นพี่แล้วคนอื่นๆ ก็พากันโค้งทักทายโดยพร้อมเพรียง อู๋ฟาน พร้อมด้วยอี้ชิง จงแด จุนมยอน มินซอกต่างโค้งกลับไปให้พร้อมรอยยิ้ม

     

    “เพิ่งมาถึงเหรอครับพี่?” เป็นชานยอลที่ถามต่อแทนที่จะเป็นกัปตันทีมที่ตอนนี้ยืนนิ่งจนน่าแปลกใจ

     

    “อืม เลยแวะมาดูสนามแข่งสักหน่อย แล้วพวกนายล่ะมาถึงกันนานแล้วเหรอ?”

     

    “ถึงเมื่อเช้านี้เองครับ ว่าแต่พี่คริสจะซ้อมเลยหรือเปล่าครับ?”

     

    “ยังดีกว่า ทุกคนเหนื่อยจากการเดินทางน่ะ คิดว่าคงพักกันก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่” ร่างสูงตอบเด็กรุ่นน้องกลับไปก่อนจะย้ายสายตามามองที่คนตัวบางในชุดยูโดสายขาวซึ่งจนตอนนี้ยังปิดปากเงียบ

     

    “ไงคยองซู? ไม่เจอกันนานเลยนะ” คำทักทายทีเล่นทีจริงพร้อมรอยยิ้มกวนประสาทจากคนที่หล่อราวเทพบุตรทำเอาคยองซูเบ้ปาก ทักมาได้แบบนั้น ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อนแท้ๆ

     

    อู๋ฟานหัวเราะเบาๆ ให้กับท่าทีที่ได้รับกลับมาแล้วหันไปมองเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งในชุดยูโดสายดำบ้าง คิมจงอินยืนนิ่งสงบราวกับปูนปั้น ไม่มีรอยยิ้มแต่ก็ไม่ได้บึ้งตึง เม็ดเหงื่อยังไหลพราวตามโครงหน้าได้รูป ชุดยูโดถูกจัดแต่งอยู่ในสายอย่างเรียบร้อย สมกับเป็นเทพไคแห่งวงการที่ทุกคนรอจับตามองในแม็ทซ์นี้

     

    “ลงรุ่นเดิมสินะ ไค” คำถามสั้นๆ แต่เข้าใจกันถูกส่งออกไป อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆ ซึ่งทำให้อู๋ฟานคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง

     

    “ถ้าได้แข่งกับนายรอบชิงคงจะสนุกแน่ๆ เลย”

     

    “พี่คริส หรือว่าพี่” จงอินพูดช้าๆ ด้วยความประหลาดใจต่างจากเมื่อครู่ อู๋ฟานยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้ารับ

     

    “ห่างหายจากรุ่นนี้มานานยังไงเบามือให้บ้างนะ”

     

    “พูดอะไรอย่างนั้นครับ พี่ต่างหากที่ต้องยั้งมือให้ผม” รอยยิ้มถูกส่งไปพร้อมบรรยากาศที่ดีขึ้น นักกีฬายังไงก็ยังคงเป็นนักกีฬา ต่อให้คับข้องใจหรือบาดหมางกันมาจากที่ได้แต่ถ้าเป็นเรื่องของกีฬาที่รักแล้วใช้เวลาเพียงไม่นานก็จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง

     

    จงอินรู้สึกว่าเลือดในกายตัวเองสูบฉีดรุนแรง หัวใจเต้นรัวเร็วราวกับถึงเวลาแข่งชิงชัยแล้ว นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้ การได้ปะมือกับคนเก่งเป็นเรื่องท้าทาย ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าจะเจอกันช้าหรือเร็ว อาจจะได้แข่งกันตั้งแต่รอบแรกหรืออาจไปพบกันอีกทีรอบชิงชนะเลิศเลยก็ได้

     

    การซ้อมดำเนินต่อไปเมื่อทีมมหาลัย m ขอตัวเข้าที่พักเพื่อไปพักผ่อนก่อน คยองซูเผลอหันมองจงอินโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแค่ก้มมัดสายแล้วหันมาสั่งให้เล่นรันโดริยกสุดท้ายต่อโดยไม่ได้แสดงท่าทางอะไรผิดแปลก คยองซูจึงหันมาคำนับเซฮุนแล้วรันโดริต่อได้อย่างสบายใจขึ้น

     

    กว่าจะเลิกซ้อม เช็คน้ำหนัก อาบน้ำ หาข้าวหาปลากินและกลับมาที่ห้องพักก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่มแล้ว ร่างเล็กเงยหน้ามองนาฬิกาเหนือประตูห้องก่อนประตูบานเดิมจะเรียกความสนใจเมื่อมีใครบางคนเปิดเข้ามา

     

    “ชานยอล ห้องน้ำว่างแล้ว” กัปตันทีมในชุดลำลองสบายๆ พร้อมผ้าขนหนูบนศีรษะชุ่มน้ำเอ่ยเรียกเพื่อนตัวสูงที่นอนเอกเขนกเล่นเกมส์อยู่บนเตียงเสริมกลางห้อง ชานยอลพยักหน้าแล้วเดินไปรื้อผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าของตัวเองแต่ไม่ยักใช้สบู่ยาสระผมของตัวเองด้วย อุปกรณ์อาบน้ำจากมือคนที่เพิ่งกลับมาจึงไปอยู่ในมือของคนอาบน้ำคนสุดท้ายในทีมแทน

     

    กัปตันทีมแอบพ่นลมหายใจอย่างเอือมระอาให้กับคนเพิ่งจะยิ้มยิงฟันกวนประสาทแล้วเดินตัวปลิวออกจากห้องไป จงอินมองไปที่เตียงหนึ่งซึ่งถูกจับจองด้วยน้องเล็กของทีมที่นอนหลับตาพร้อมหายใจเป็นจังหวะ

     

    “ตัวแสบหลับเร็วเชียว เมื่อกลางวันก็นอนไปตั้งเยอะ”

     

    “น้องคงเหนื่อยมั้ง ซ้อมวันนี้ก็เล่นหนักน่าดู” แพคฮยอนตอบเสียงเบาซึ่งดูแล้วเหมือนไม่มีแรงจะเปล่งเสียงตอบมากกว่า

     

    “แล้วนี่ทำไมพวกนายยังไม่นอนกันอีก พรุ่งนี้ชั่งน้ำหนักแล้วนะ เช้าก็ยังต้องซ้อมอีก”

     

    “กำลังจะนอนแล้ว ปิดไฟเลยก็ได้นะ แต่เหลือไว้สักดวงเดี๋ยวไอ้สูงนั่นเดินกลับมาแล้วจะซุ่มซ่ามสะดุดหน้าทิ่ม” จงอินล่ะนึกแปลกใจแพคฮยอนอยู่เหมือนกันนะ ถึงจะหมดเรี่ยวหมดแรงจากการรีดน้ำหนักแต่พอเรื่องบ่นชานยอลล่ะดูเหมือนแรงฟื้นขึ้นมาทุกที

     

    พอพูดจบก็หันซุกตัวในผ้าห่มแต่ก็ยังไม่ลืมจะยิ้มพลางบอกราตรีสวัสดิ์เพื่อนร่วมเตียงที่นั่งฟังบทสนทนาระหว่างเขากับจงอินมาพักหนึ่ง จงอินถอยหลังเอื้อมมือไปหาสวิทช์ไฟ มือหนาไม่ได้กดปิดในทันทีแต่กลับมองมาทางคนตัวบางที่นั่งอยู่แทน

     

     “ฝันดีนะคยองซู” เอ่ยราตรีสวัสดิ์อีกฝ่ายไปพร้อมรอยยิ้มบาง คยองซูยิ้มกลับมาให้แล้วพยักหน้าก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วซุกตัวใต้ผ้าห่มพร้อมกันกับที่จงอินกดปิดไฟ

     

    ห้องสี่เหลี่ยมขนาดปานกลางสลัวลงทันทีแต่ก็พอมีแสงจากหลอดไฟดวงเล็กๆ อีกดวงบนเพดาน คยองซูล้มตัวนอนและซุกตัวเองใต้ผ้าห่มอีกผืนบ้าง ได้ยินเสียงเช็ดผมของจงอินและเสียงหายใจเป็นจังหวะของคนที่นอนข้างๆ ท่ามกลางความเงียบ

     

    เรียวนิ้วเล็กกดเปิดดูข้อความที่เพิ่งเข้าหลังจากจัดการคลุมโปงไม่ให้แสงจากหน้าจอลอดออกไปข้างนอกแล้ว เบอร์คนส่งกับประโยคคำถามสั้นๆ บนหน้าจอทำให้คยองซูเผลอกัดริมฝีปากอย่างชั่งใจ แต่สุดท้ายก็เลือกจะวางโทรศัพท์ไว้ข้างหมอนโดยไม่ตอบกลับไป

     

    ก็คำถามนี้น่ะ เขาก็บอกไปตั้งแต่ที่ร้านเค้กนั่นแล้วนี่นา...

     

     

    ตกลงว่าเลือกจะให้เป็นแบบนี้จริงๆใช่มั้ย?

     

    จาก อู๋อี้ฟาน

     

     

     

    ตารางซ้อมเช้าไม่ได้โหดเหมือนเวลาที่อยู่มหาลัยตัวเอง จงอินแค่ให้คนในทีมวิ่งเบาๆ เรียกเหงื่อจากนั้นมาสลับกันเข้าท่ายกลอยกันอีกคนละไม่กี่เช็ต นอกเหนือจากที่ต้องรักษาร่างกายของทุกคนให้พร้อมแข่งในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งคือต้องการให้แพคฮยอนเก็บแรงไว้รีดน้ำหนักต่อในช่วงบ่ายด้วย แพคฮยอนจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป

     

    วันนี้จะชั่งน้ำหนักทั้งหมด 4 รุ่น ผู้หญิง 2 รุ่น ผู้ชาย 2 รุ่น ซึ่งจะเป็นรุ่นที่มีการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ รุ่นที่ต้องชั่งน้ำหนักในวันนี้และแข่งในวันพรุ่งนี้คือรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 55 กิโลกรัมชาย และรุ่นน้ำหนักมากกว่า 55 กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 60 กิโลกรัมชาย นักกีฬาจากทุกสถาบันที่ลงแข่งขันในรุ่นดังกล่าวต้องมารายงานตัวพร้อม IDการ์ด ณ สถานที่ชั่งน้ำหนักเพื่อตรวจร่างกายก่อนจะชั่งน้ำหนัก โดยเจ้าหน้าที่จะเตรียมตราชั่งเทสไว้ให้นักกีฬาที่ห้องหนึ่ง

     

    หลังซ้อมเสร็จระหว่างรอให้ถึงเวลาออกมารีดน้ำหนักอีกครั้งก่อนชั่งจริง จงอินให้แพคฮยอนไปนอนพักเอาแรงก่อน โดยสั่งชานยอลคอยให้แพคฮยอนจิบน้ำอุ่นทีละนิด พอให้หายคอแห้งแต่ไม่ใช่ให้ดับกระหาย  เราทุกคนที่ยืนมองภาพชานยอลคอยพยุงร่างอ่อนปวกเปียกของแพคฮยอนให้ลุกมาจีบน้ำอุ่น ไม่มีใครพูดหรือถามอะไรออกมาเลยแม้กระทั่งคยองซูที่มักจะถามบ่อยๆ ว่าเพื่อนตัวเล็กของเขาจะไหวไหม

     

    เพราะทุกคนรู้อยู่แล้ว

    ว่าความทรมานที่แพคฮยอนจะต้องได้เจอหลังจากหลับเอาแรงแล้วต่างหากคือของจริง

     

     

     

    แดดใกล้เที่ยงช่างร้อนแรงนักราวกับจะแผดเผาทุกสิ่งบนพื้นโลกให้สุกเกรียม แต่ใครจะนึกว่าแม้จะล่วงเข้าสู่บ่ายแก่ขนาดนี้อากาศก็ยังอบอ้าวไม่หาย มือเล็กพยายามขยับเสื้อวอร์มของตัวเองให้ปกปิดผิวหนังทุกส่วนของร่างกายให้ได้มากที่สุด หยดเหงื่อไหลซึมเต็มแผ่นหลังขณะกำลังเร่งฝีเท้าเดินไปยังอาคารชั่งน้ำหนัก

     

    ขนาดเขาแค่เดินจากอาคารที่พักไปอีกตึกที่ไม่ไกลกันนักยังร้อนขนาดนี้ แล้วกับคนที่กำลังใส่ชุดตะกั่ววิ่งรอบสนามท่ามกลางแดดร้อนระอุมาตั้งแต่ช่วงเที่ยงจะทรมานขนาดไหน

     

    “เป็นห่วงแพคฮยอนอีกแล้วสินะ” เสียงทุ้มข้างกายเรียกให้คนที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดหันกลับไปมองแล้วพยักหน้า ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มนิดๆ

     

    “แพคฮยอนทำได้แน่นอน ชานยอลก็อยู่ช่วย ไหนจะเซฮุนอีก นี่พี่ลู่ก็เตรียมไปหาน้ำหวานกับเกลือแร่เตรียมไว้ให้แพคฮยอนแล้วด้วย”

     

    “ทำไมจะแข่งกีฬาต้องทนทรมานขนาดนี้ด้วยล่ะจงอิน?” พูดพลางหันไปมองรอบข้าง นักกีฬาอีกหลายคนสวมเสื้อวอร์มทับหลายชั้นกำลังวิ่งรีดน้ำหนักอยู่เช่นกัน นักกีฬาจำนวนไม่น้อยนอนหมดแรงอยู่ใต้ต้นไม้ มีเพื่อนร่วมทีมกำลังช่วยกันเช็ดเหงื่อออกจากร่างให้

     

    “พวกเขาเต็มใจที่ทรมานถ้าความหวังที่จะคว้าเหรียญมีมากขึ้น ความเหนื่อยน่ะกะพริบตาครั้งเดียวเดี๋ยวมันก็หาย ถ้าเราทนผ่านมันไปได้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วล่ะ เหรียญที่คล้องคอจะทำให้เรารู้ว่าไอ้ที่ยอมเหนื่อยยอมทรมานแค่ชั่วพริบตาน่ะมันคุ้มค่าที่จะแลก” จงอินมักจะทำให้คยองซูประทับใจในคำพูดเสมอ ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน ทุกครั้งจงอินทำให้เขาขยับเข้าใกล้ความเป็นนักกีฬาทีละนิด

     

    มืออุ่นของคนข้างกายกุมมือเขาไว้แล้วดึงให้ก้าวไวขึ้น ไม่กี่นาทีเราจึงมาอยู่ด้านหน้าอาคารซึ่งเป็นสถานที่ชั่งน้ำหนัก นักกีฬามากหน้าหลายตาที่พร้อมแล้วต่างยืนรอเวลาเรียกชั่งน้ำหนักอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ระหว่างนี้ก็รับใบตรวจร่างกายมากรอกข้อมูลส่วนตัวไปก่อน

     

    “รออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันไปเอาใบตรวจร่างกายมาให้” จงอินพูดแล้วเดินหายเข้าไปในประตูปะปนกับผู้คน เขามองตามไปแล้วพิงผนังพลางยกหลังมือซับเหงื่อข้างขมับ ตอนนั้นเองที่ร่างผอมบางคุ้นตาวิ่งกระหืดกระหอบมาทางเขาพอดี ฝ่ายนั้นหอบพลางหันมองซ้ายขวาเหมือนกำลังหาใครอยู่

     

    “เซฮุน!

     

    “พี่คยองซู” เมื่อเห็นเพื่อนร่วมทีมเซฮุนก็รีบปรี่เข้ามาหา “พี่จงอินล่ะฮะ?”

     

    “จงอินเข้าไปเอาใบตรวจร่างกาย แล้วทำไมนายมานี่ได้ล่ะ? แพคฮยอนล่ะ?” อีกฝ่ายยังคงหอบหายใจพร้อมกับกลืนน้ำหลายเหนียวลงคอไป อีกพักหนึ่งจึงค่อยเปล่งเสียงตอบ

     

    “พี่แพคฮยอนเริ่มแย่แล้วฮะ ตอนนี้พี่ชานยอลกำลังหิ้วปีก**พาวิ่งอยู่ เมื่อกี้ก็เป็นลมไปแล้วครั้งนึง เซฮุนเลยจะมาตามพี่จงอินให้ไปช่วยดูด้วยอีกแรง” ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่น้องเล็กบอก คยองซูก็ถึงกับอ้าปากค้าง

     

    “ว...ว่าไงนะ?”

     

    “เซฮุน ทำไมมาอยู่นี่ล่ะ?” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ คนที่เซฮุนกำลังตามหาก็โผล่มาพร้อมกระดาษในมือ จงอินมองน้องเล็กที่ยังหอบแฮกสลับกับมองคยองซูที่ยังตกใจไม่หาย

     

    “พี่จงอิน! พี่แพคฮยอนต้องหิ้วปีกวิ่งแล้วเมื่อกี้ก็เป็นลมด้วย”

     

    “ห๊ะ! ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”

     

    “อยู่สนามบอลฮะ พี่ชานยอลกำลังดูแลอยู่ ส่วนพี่ลู่หานต้องไปประชุมทีม”

     

    “งั้นเรารีบไปกันเถอะ คยองซูนายอยู่ที่นี่นะ เขาจะเรียกตรวจร่างกายก่อนชั่งน้ำหนัก 15 นาที ถ้านายตามไปด้วยเดี๋ยวจะพลาด” ประโยคหลังหันมาบอกคนตัวเล็กที่ยังยืนทำตาโตอยู่ใกล้ๆ

     

    จงอินรื้อหายาดมกับพัดในกระเป๋าที่สะพายมาด้วยแล้วเตรียมจะเดินไปสนามบอลพร้อมกับเซฮุน แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นเงาอาคารก็เห็นกลุ่มคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากำลังเดินมาทางนี้พอดี นาทีนี้ที่ต้องทิ้งคยองซูซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ชั่งน้ำหนักตรวจร่างกายมาก่อนเลย จงอินคิดว่าคงไม่มีทางเลือก

     

    กัปตันทีมผิวเข้มก้าวไวๆ ไปหากลุ่มนักกีฬาที่กำลังเดินมา หนึ่งในนั้นหันมาเห็นพอดี กำลังจะอ้าปากทักทายแต่ก็ยังช้ากว่าจงอินที่ชิงพูดออกมาก่อน

     

    “พี่คริส พี่อี้ชิงครับ ผมฝากพาคยองซูไปตรวจร่างกายกับชั่งน้ำหนักด้วยนะครับ แพคฮยอนกำลังรีดน้ำหนักอยู่ผมต้องไปช่วย คยองซูเลยต้องอยู่คนเดียว เขาไม่เคยแข่งแม็ทซ์ใหญ่กลัวจะไม่รู้ว่าต้องทำยังไง” พูดพลางหันไปทางเจ้าของตากลมโตที่ยืนมองอยู่ด้วย

     

    “ไม่ต้องห่วง อี้ชิงก็ชั่งวันนี้เหมือนกัน เดี๋ยวก็เข้าไปพร้อมๆ กันนี่แหละ”

     

    “ขอบคุณครับพี่คริส ป่ะ! เซฮุนเรารีบไปกัน” ฝากฝังเรียบร้อยก็รีบวิ่งออกไปทันที

     

    แม้จะยังงงๆ อยู่บ้างแต่อู๋ฟานก็อดมองตามเด็กรุ่นน้องแล้วยิ้มออกมาไม่ได้ อี้ชิงเองก็เหมือนกัน แม้แต่จงแดที่เดินตามมาด้วยก็ยังมองตามหลังจงอินที่วิ่งลับตาไป นักกีฬาก็อย่างนี้ล่ะนะ ถึงจะต้องแข่งขันกันแต่ยังไงก็เพื่อนกัน ถ้าไม่มีใครก็ยังคงพึ่งพากันได้เสมอโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ

     

    ร่างสูงของกัปตันมหาลัย m เดินไปหยุดตรงหน้าคนที่จงอินเพิ่งจะฝากฝัง ตากลมโตที่ใช้มองเขาทำให้อู๋ฟานเผลอหลุดขำ เวลาปกติก็ดูเหมือนคนตกใจตลอดเวลาอยู่แล้วแท้ๆ

     

    “ไงคยองซู แข่ง -60 เหรอ?” อี้ชิงยิ้มแล้วทักอดีตคู่แข่งก่อน คนตัวเล็กพยักหน้าก่อนจะปรับสีหน้าตัวเองแล้วส่งยิ้มให้

     

    “ดีเลยจะได้ไปชั่งน้ำหนักพร้อมกัน ไม่เป็นไรนะ อยู่กับฉันรับรองไม่ต้องกลัวว่าจะทำอะไรไม่ถูก”

     

    “พี่อี้ชิงลง -60 เหมือนกันเหรอครับ?” ถามกลับไปและก็ต้องตาโตอีกครั้งติดเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้า

     

    “ใช่แล้วล่ะ จงแดลง -55 รุ่นเดียวกับแพคฮยอนสินะ”

     

    “จะได้ล้างตาแล้ว เต็มที่เลยนะตัวเล็ก” ประโยคนี้ไม่ใช่ของผู้ที่กำลังสนทนากันอยู่ ซึ่งก็ทำให้คยองซูมองตาดุพร้อมๆ กับกำปั้นของสมาชิกร่วมทีมเหวี่ยงลงบนไหล่กว้างเรียกเสียงครางหน้าหมั่นไส้

     

    “นายต้องเชียร์ฉันสิคริส!” อี้ชิงแหวใส่แบบไม่จริงจังนัก

     

    “แหม ล้อเล่นหรอกน่า ทีมตัวเองแข่งก็ต้องเชียร์สิ แค่ไม่อยากให้คยองซูออมมือ ถึงอี้ชิงจะแก่กว่านายแต่ก็อย่าออมมือนะ เอาให้หอบคาสนามไปเลยรอบนี้”

     

    “อู๋อี้ฟาน!!” สงครามน้ำลายขนาดย่อมระหว่างแม่พระแห่งวงการกับตำนานอีกคนเกิดขึ้นเรียกรอยยิ้มให้กับคนที่ได้เห็น จงแดแอบเดินมากระซิบข้างๆ ว่าคู่นี้เห็นว่ามีสง่าราศีกันแบบนี้แต่เวลาซ้อมล่ะตีกันประจำ พวกเขาเห็นกันจนชินแล้ว แต่รู้สึกสองสามวันหลังมานี่จะเยอะกว่าทุกทีจนนึกสงสัยอยู่เหมือนกัน

     

    คยองซูแอบยิ้ม...เหมือนคู่บางคู่ที่เบาะเขาไม่มีผิด

    ว่าแต่...แพคฮยอนจะเป็นยังไงบ้างนะ

     

     

     

    แต่ในที่สุดจงอินก็ไม่ได้พูดผิดไป แพคฮยอนทำได้จริงๆ แม้จะมาในสภาพที่เรียกว่าร่อแร่เอาการ เพราะชานยอลกับจงอินต้องช่วยกันหิ้วแขนคนละข้างพาแพคฮยอนมาจนถึงตาชั่งแบบเฉียดหมดเวลาชั่งน้ำหนัก ทว่าเสียงกรรมการหน้าตาชั่งกล่าวเสียงดังว่า ผ่านก็ทำให้ทุกคนโล่งใจ ถึงจะผ่านได้แบบพอดีเป๊ะตามรุ่นก็เถอะ

     

    ในกรณีที่นักกีฬาลดน้ำหนักมากๆ แต่ชั่งน้ำหนักผ่านแล้วจะอนุญาตให้นักกีฬาได้พักก่อนเพื่อปรับสภาพร่างกาย มิเช่นนั้นหากไปตรวจร่างกายเลยความดันจะไม่ผ่าน พวกเราทุกคนเลยช่วงกันพาร่างไร้เรี่ยวแรงของแพคฮยอนมาพักที่โต๊ะไม้ใกล้อาคารแล้วช่วยกันซับหน้าและเนื้อตัวชุ่มเหงื่อให้ ระหว่างนั้นเซฮุนก็ช่วยพัดและส่งหลอดน้ำหวานให้ดูดทีละนิดเพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำตาลเข้าไป

     

    ชานยอลที่คอยช่วยแพคฮยอนมาตั้งแต่เที่ยงมีสภาพไม่ต่างจากนักกีฬาเท่าไรนัก จงอินเลยบังคับให้ชานยอลดื่มน้ำท่าและหาอะไรกินไม่ใช่เอาแต่ห่วงนักกีฬาอย่างเดียว

     

    “แพคฮยอนน่ะรอดแล้ว มึงสิต้องชั่งพรุ่งนี้ ยังต้องแข่งอีก มัวแต่ห่วงคนอื่นถ้าตัวเองป่วยไปล่ะกูเอาตายแน่”

     

    ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ทุกคนก็รู้ดีว่าจงอินขู่ไปอย่างนั้นเอง เพราะขณะบ่นไปก็ยื่นขนมปังให้ชานยอลป้อนแพคฮยอนไปด้วย ส่วนตัวเองก็ลงทุนเดินไปซื้อข้าวมาเผื่อชานยอลด้วยอีกกล่อง กว่าจะพาแพคฮยอนไปตรวจร่างกายและประคับประคองกันกลับห้องพักได้ฟ้าก็มืดแล้ว

     

     

     

    จงอินเลยเล่าให้ฟังว่า คืนก่อนแข่งเป็นคืนที่ทำให้นักกีฬาฟุ้งซ่านมากที่สุด โดยเฉพาะคนที่ยังอ่อนประสบการณ์แข่งขัน เพราะฉะนั้นถึงจะบอกให้รีบเข้านอนยังไงก็ไม่สามารถข่มตาหลับสนิทได้อยู่ดี

     

    คนตัวเล็กพลิกตัวไปมาอยู่หลายครั้ง นึกเกรงใจแพคฮยอนที่หลับไปแล้วอยู่เหมือนกัน คงเพราะเพลียจากที่ต้องรีดน้ำหนักทั้งวันทำให้เพื่อนตัวเล็กของเขาหลับอย่างง่ายดาย ผิดกับเขาที่ตอนนี้ยังเอาแต่คิดว่าพรุ่งนี้ควรจะเล่นยังไง จะสู้ได้ไหม จะต้องแข่งกับใคร และอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้นอนไม่หลับ

     

    ในที่สุดคยองซูก็ทนไม่ไหว เขาลุกขึ้นมานั่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่จงอินเปิดประตูเข้ามาพอดี กลุ่มผมสีเข้มเปียกปอนเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จเป็นคนสุดท้าย คิ้วเข้มเลิกขึ้นและมองมาที่เขาด้วยความสงสัย

     

    “ลุกขึ้นมาทำไม?”

     

    “นอนไม่หลับอ่ะ” ได้ยินคำตอบก็ถึงกับหลุดขำพรืด คยองซูยู่หน้าเมื่ออีกฝ่ายทำเหมือนกับว่าปัญหาใหญ่ที่เขากำลังเจออยู่ตอนนี้เป็นเรื่องตลก

     

    จงอินส่ายหัวเล็กน้อยแล้วก้าวเท้าไปหยุดตรงข้างเตียงฝั่งที่คยองซูนั่งอยู่ ริมฝีปากคมหยักยกยิ้มจาง ก่อนริมฝีปากคู่เดิมจะแนบลงกับกลีบปากบางแผ่วเบาแต่หวานละมุน สัมผัสอุ่นเพียงไม่กี่วินาทีก่อนละออกมา มองใบหน้าน่ารักขึ้นริ้วสีเข้มนิ่งๆ ราวกับต้องการซึมซับภาพนี้ไว้นานๆ

     

    “ถ้าไม่หลับพรุ่งนี้จะไม่มีแรงนะครับ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ทำใจให้สบาย แล้วพรุ่งนี้ค่อยทำให้เต็มที่” มือใหญ่ลูบกลุ่มผมลื่นมือแผ่วเบา “พรุ่งนี้ฉันจะคอยอยู่ข้างๆ นายเอง”

     

    น่าแปลกนัก...

    เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคกลับลบความฟุ้งซ่านในสมองออกไปจนหมดราวกับบทกลอนลึกซึ้งที่ช่วยกล่อมให้เขาหลับฝันดีจนถึงเช้า

     

     

     

    สนามแข่งในวันแรกคึกคักกว่าที่คิด ปีนี้นักกีฬาดูจะมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว พิธีเปิดก็ยิ่งใหญ่สมชื่อมหาลัยเจ้าภาพ เบาะยูโดกลางโถงโอ่อ่าโดดเด่นพร้อมให้นักกีฬาขึ้นไปแข่งขันชิงชัย มุมหนึ่งตั้งโต๊ะรายงานตัวแลกสายแบ่งฝั่ง อีกมุมหนึ่งมีบอร์ดแปะชาร์ตการแข่งขันของทุกรุ่นในวันนี้คอยรายงานทุกรอบการแข่งขัน

     

    ทีมมหาลัย k มาเร็วกว่าทีมอื่นเหมือนทุกครั้งจึงทำให้ได้ทำเลที่นั่งดีๆ ไป หลังจากวางกระติกน้ำ กล่องยา ชุดยูโดและสัมภาระอื่นๆ ที่นำมา จงอินก็สั่งให้เปลี่ยนชุดขึ้นไปวอร์มกันบนเบาะ เข้าท่าเรียกเหงื่อและรันโดริเบาๆ พออุ่นเครื่อง ระหว่างนั้นทีมอื่นๆ ก็เริ่มทยอยกันเข้ามาและเริ่มเปลี่ยนชุดขึ้นไปวอร์มบ้างเหมือนกัน

     

    เทพไคแห่งวงการต้องคอยยิ้มรับการทักทายของนักกีฬาทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องมากมาย กว่าจะได้เดินไปถึงโต๊ะฝ่ายเทคนิคเพื่อขอชาร์ตการแข่งขันก็เล่นเอาเมื่อยหน้าไปหมด มือหนาเปิดดูแผ่นกระดาษเอสี่พิมพ์ชาร์ตขาไก่ กวาดสายตาไล่หาชื่อนักกีฬาทีมตัวเองก่อนจะเอาปากกาวงชื่อไว้

     

    “เป็นไงมั่งจงอิน? เจอใครรอบแรกเหรอ?” พอเลิกซ้อมแพคฮยอนก็รีบปรี่เข้ามาหากัปตันทีมที่นั่งถือชาร์ตอยู่ข้างเบาะทันที จงอินม้วนชาร์ตในมือแล้วเคาะหัวของคนถามไปเบาๆ

     

    “เจอใครก็ไม่ต้องสนใจหรอกน่า เอาเป็นว่านายสู้ได้อยู่แล้ว แข่งคู่ 3 นะ วอร์มให้เยอะๆ” ถึงแพคฮยอนเล่นสไตล์บุกไม่ยั้งก็จริง แต่ก็เป็นพวกที่รู้ว่าแข่งกับใครในรอบแรกๆ จะกังวลจนรวบรวมสมาธิไม่ค่อยได้ จงอินรู้ข้อนี้ดีเลยพยายามหลีกเลี่ยงคำถามของแพคฮยอนอยู่บ่อยครั้ง

     

    “แล้วฉันล่ะจงอิน?” คราวนี้คนตาโตที่เพิ่งกลืนน้ำลงคอเป็นคนถามบ้าง

     

    “นายก็เหมือนกัน ไม่ต้องสนใจหรอกว่าเจอใคร จะใครก็เหมือนกันนั่นแหละแค่ทำให้เต็มที่ก็พอ เข้าใจมั้ย?” ถึงจะไม่ค่อยพอใจกับคำตอบนักแต่คยองซูก็พยักหน้ารับ “อ้อ! คยองซูแข่งคู่ 8 นะ เตรียมตัวให้ดีด้วย”

     

    “รุ่นเล็กแบบนี้คนคงไม่เยอะมากหรอก ใช่มั้ย?” ชานยอลหันมาถามจงอินท้ายประโยคซึ่งเพื่อนของเขาก็พยักหน้าตอบ “แป๊บเดียวเดี๋ยวก็เข้ารอบตัดเชือกแล้ว”

     

    “ใช่ พยายามให้เต็มที่แล้วกัน ถ้าผ่านรอบตัดเชือกได้ก็เข้ารอบชิง แต่ถ้าแพ้ต้องตกลงมารอบไต่ชิงเหรียญทองแดง(repechage)** เหนื่อยกว่ากันเยอะ”

     

    “งั้นเดี๋ยวเซฮุนทำชาร์ตกับแลกสายให้นะฮะ พี่ลู่หานบอกว่าตอนสายๆ ถ้าไม่ติดธุระอะไรก็จะมาช่วยดูด้วย”

     

    “ดีล่ะ งั้นมารวมพลังกันหน่อย”

     

    ทุกคนยืนขึ้นแล้วล้อมวงกัน ประสานมือกันไว้กลางวง มองหน้าเพื่อนร่วมทีมที่มีรอยยิ้มเป็นกำลังใจให้กันและกัน คยองซูหัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นกับประสบการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ และยิ่งฮึกเหิมเมื่อเสียงจงอินนำขึ้น

     

    “มหาลัย k สู้!

     

     

     

    เสียงออดหมดเวลาดังขึ้นพร้อมกับเสียงเฮกึกก้อง เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งตรงเก้าอี้โค้ชเผลอลุกขึ้นยืนยิ้มกำหมัดชูมือเมื่อตัวเลขดิจิตอลช่องจับเวลาล็อคปรากฏเลข 25 นักกีฬาทั้งสองฝ่ายประคองกันลุกขึ้นหลังจากที่อีกฝ่ายต้องดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตายขณะที่คนล็อคก็ต้องกดให้แน่นภายใน 25 วินาที

     

    กรรมการผายมือให้ฝ่ายน้ำเงิน แพคฮยอนเป็นฝ่ายชนะ

     

    ร่างเล็กก้มเคารพเบาะทีละจุดแล้วจบลงที่ไฮไฟว์กับคนที่นั่งเป็นโค้ช จงอินยิ้มกว้างไม่ต่างจากคนแข่งเอง ชานยอลยื่นขวดน้ำและผ้าเย็นมาให้ก่อนที่พวกเขาจะถอยออกมาเพื่อให้นักกีฬาคนต่อไปขึ้นแข่ง

     

    “เยี่ยมที่สุดเลยพี่แพคฮยอน!” เมื่อเดินมาถึงที่นั่งของทีม น้องเล็กที่นั่งเขียนชาร์ตอยู่ข้างๆ คยองซูก็ลุกขึ้นดึงพี่รหัสตัวเองไปกอดแล้วชมเสียงร่าเริง คยองซูก็ส่งยิ้มแสดงความยินดีมาให้ด้วย

     

    “บอกแล้วว่ายังไงก็สู้ได้ แล้วนี่ยังโอเคอยู่ไหม? รู้สึกเพลียหรือเปล่า?”

     

    “ไม่หรอก คงเพราะใช้เวลาแข่งรอบเมื่อกี้ไม่นานด้วย นี่ยังไม่หอบเลยด้วยซ้ำนะเนี่ย” แพคฮยอนยักคิ้วตอบประธานชมรมที่ส่ายหัวเบาๆ อย่างเอือมระอาให้กับคนขี้โม้ แต่กระนั้นก็ยังหยุดยิ้มไม่ได้

     

    “แฟนใครวะขี้โม้สุดๆ”

     

    “ไม่ใช่แฟนนายแล้วกัน”

     

    “ใจร้ายจังพยอนแพคอ่า” เสียงฟาดหนักๆ เกิดขึ้นกับไหล่แน่นๆ ของชานยอลอีกครั้งหลังจากจบเสียงอ้อนชวนขนลุก ทุกคนมองคู่ที่กัดกันไม่เว้นแต่ละวันแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

     

    “คยองซูเตรียมตัววอร์มได้แล้ว แพคฮยอนยังไหวอยู่ใช่มั้ย? ไปเห็นหุ่นให้คยองซูหน่อย” สิ้นคำสั่งนักกีฬารุ่นเล็กทั้งสองก็พากันลุกขึ้นไปวอร์มที่ด้านนอกอาคารเพื่อเรียกเหงื่อก่อนขึ้นแข่งขัน

     

    จงอินประเมินอาการของคยองซูระหว่างวอร์มแล้วว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง สติและสมาธิคยองซูยังมั่นคงดีในระดับหนึ่ง ประมวลความรู้ทั้งหมดที่ฝึกฝนมาได้ดี ตอนนี้ก็เหลือแต่ว่าจะสู้กับความกดดันบนสนามแข่งได้มากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าผ่านมันไปไม่ได้โอกาสที่จะเสียสมาธิในการเล่นก็มีสูง

     

    ร่างสูงตามประกบข้างหลัง คอยนวดแขนขาและบีบขมับให้คยองซูเรื่อยๆ ระหว่างรอคู่ก่อนหน้าแข่ง หลังจากแลกสายแบ่งฝ่ายเสร็จสรรพแล้วก็ต้องเข้ามาอยู่ในจุดรอปล่อยตัวนักกีฬา ตรงนี้ต่อให้ไม่บอกว่าจะต้องแข่งกับใครยังไงก็รู้อยู่ดี เพราะนักกีฬาแต่ละคู่ที่ใกล้ถึงเวลาแข่งจะต้องมานั่งรอรวมกันที่จุดนี้เพื่อความเรียบร้อย

     

    คู่แข่งของคยองซูไม่ใช่คนไกลที่ไหนเลย เขายังเคยเห็นหน้าค่าตาเมื่อตอนแข่งเชื่อมความสัมพันธ์ด้วยซ้ำ นักกีฬาจากมหาวิทยาลัย T นักยูโดหน้าหล่อที่ชื่อว่า แอลโจ

     

    “ไม่ต้องคิดอะไร หายใจลึกๆ” เมื่อจับสังเกตได้ว่าคยองซูกำลังกังวลจากที่ดวงตากลมโตนั้นแอบลอบมองคู่แข่งในชุดยูโดที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง จงอินก็พูดเบาๆ แล้วนวดมือเล็กให้

     

    ใกล้ถึงเวลาเข้ามาทุกทีแล้ว หากคู่ที่กำลังแข่งขันอยู่บนสนามจบเมื่อไหร่ก็ถึงคราวคยองซูต้องขึ้นไปอยู่บนนั้นบ้าง

     

    ไม่ใช่แค่คยองซู จงอินสัญญากับตัวเองตั้งแต่เมื่อเช้าก่อนเดินเข้ามาที่นี่แล้วว่า จนกว่าจะจบการแข่งขัน เขาจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด จะไม่คิดอะไรมากไปกว่าการพาทุกคนไปให้ถึงความสำเร็จ เรื่องของหัวใจกับกีฬา แม้จะรู้ว่ายากแต่เขาจะต้องแยกมันออกจากกันให้ได้ในเวลานี้

     

    “ฉันจะทำได้ใช่มั้ย?”

     

    “ไม่ใช่ จะแต่นายทำได้” จงอินเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ หวังให้รอยยิ้มของตัวเองจะช่วยทำให้ใบหน้าเคลือบความกังวลนี้จางหายไป “เชื่อใจฉัน เชื่อมั่นในตัวเองนะ”

     

    ปรี๊ดดดดด...

     

    เสียงออดพร้อมเสียงเฮดังขึ้นเรียกให้ทั้งนักกีฬาและโค้ชที่กำลังกุมมือส่งผ่านกำลังใจกันต้องหันไปมองบนสนาม เกมส์ถูกตัดสินแล้วเมื่อนักกีฬาฝ่ายหนึ่งตบเบาะยอมแพ้เพราะโดนหักแขน เพียงแค่ชั่ววินาทีจงอินและคยองซูหันมามองตากันอีก จงอินยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นลุกขึ้นยืนและฉุดมืออีกฝ่ายให้ลุกขึ้นตามด้วย

     

    นักกีฬาทั้ง 2 ฝ่ายที่นั่งอยู่คู่กันเมื่อกี้เดินแยกไปคนละฝั่งพร้อมโค้ชเพื่อไปยืนรอข้างเบาะเตรียมขึ้นแข่งขัน คยองซูและจงอินแยกไปทางซ้าย เดินผ่านหน้าที่นั่งทีมตัวเองซึ่งมีแผงไม้เป็นป้ายผู้สนับสนุนการแข่งขันวางตั้งกั้นระหว่างคนดูรอบสนาม ชานยอล แพคฮยอน เซฮุนปรบมือพลางป้องปากตะโกนให้กำลังใจเขาเต็มที่

     

    “คู่ที่ 8 รุ่นน้ำหนักมากกว่า 55 กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 60 กิโลกรัมชาย” เสียงหญิงสาวประกาศออกลำโพงดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถง

     

    “ทำให้เต็มที่ สนามนี้เป็นของนายแล้ว” กระซิบเบาๆ ข้างหลังขณะที่คยองซูหลับตาทำสมาธิเป็นครั้งสุดท้ายก่อนขึ้นสนาม

     

    “ฝ่ายน้ำเงิน โดคยองซู มหาวิทยาลัย k

     

    “ฉันจะอยู่ตรงนี้ สู้ๆ นะคยองซูของฉัน”

     

    มือหนาตบแผ่นหลังบางหนักๆ เป็นครั้งสุดท้าย พร้อมๆ กับที่คยองซูลืมตาและพยักหน้าอย่างหนักแน่นโดยที่สายตายังไม่ละจากสนาม จงอินยกยิ้มแล้วถอยลงมานั่งลงบนเก้าอี้โค้ชที่เตรียมไว้ มองแผ่นหลังเล็กที่ตอนนี้ช่างดูยิ่งใหญ่ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าสู่สังเวียนชิงชัย

     

    หัวใจดวงน้อยเต้นแรงไม่ต่างจากครั้งแรกที่เหยียบสนาม เพราะการแข่งขันครั้งนี้ช่างยิ่งใหญ่และสำคัญกับตัวเขามาก เพียงแค่ได้เหยียบย่างก็ถือเป็นเกียรติมากแล้วสำหรับคนที่ไม่กล้าเป็นเพื่อนกับกีฬามาโดยตลอดอย่างเขา แต่วินาทีนี้คยองซูบอกกับตัวเองว่าเขาจะยังไม่หยุดแค่นี้

     

    เขามีสิ่งสำคัญกว่านั้นที่จะต้องคว้ามันมาให้ได้...เขาจะต้องทำได้

     

    “ฮาจิเมะ!” คำสั่งเริ่มแข่งขันดังขึ้น เสียงเชียร์สั้นๆ ดังมาจากทุกทิศเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาเงียบอีกครั้งเมื่อเกมส์เริ่มขึ้น

     

    นักกีฬาต่างฝ่ายต่างรอดูท่าที เตรียมตั้งท่าพร้อมเข้าจับอย่างระมัดระวัง ดวงตากลมโตกำลังคำนวณทิศทาง เขาเคยเห็นการเล่นของแอลโจมาบ้าง บวกกับที่แพคฮยอนเคยบอกไว้ว่านักกีฬามหาลัย T ได้รับการฝึกชิงจับมาอย่างดี ถ้าปล่อยให้จับได้ตั้งแต่จังหวะแรกโอกาสเสี่ยงโดนชิงเข้าก่อนมีมาก

     

    มือซ้ายก็เหมือนเตรียมจะพุ่งมาจับแขน แต่มือขวาเดาไม่ได้เลยว่าจะจับสาบหรือจะคว้าคอ แอลโจระมัดระวังมากจนคยองซูเดาไม่ได้

     

    “ไม่ต้องคิดเยอะ! ถ้ามั่นใจล่ะก็จับเลยคยองซู!” เสียงทุ้มตะโกนขึ้นมาราวกับอ่านใจนักกีฬาในทีมออก คยองซูรับฟังและประมวลผลได้รวดเร็ว วินาทีต่อมามือขวาจึงจับเข้าที่สาบเสื้ออีกฝ่ายโดยไม่ทันตั้งตัว

     

    “ดีมาก! ลากมาๆ” ทำตามคำสั่งไม่ขาด คยองซูคว้าได้ก็จัดการกระชากคู่ต่อสู้จนอีกฝ่ายที่เสียจังหวะต้องเดินตาม แต่อย่างไรแล้วมือซ้ายก็ยังต้องระวัง แอลโจจะคว้ามาจับสาบเสื้อเขาทันทีที่หยุดป้องกัน

     

    จงอินบอกเสมอในตอนซ้อมว่า การจะพาคู่ต่อสู้เดินนั้นไม่ใช่สักแต่ว่าจะพาให้เสียจังหวะ เพราะถ้าลากมาแต่ไม่เข้าท่าเลยโอกาสจะโดนโทษชิโด้ก็มีเหมือนกัน ดังนั้นเทคนิคง่ายๆ ที่ป้องกันการโดนโทษคือการปัดขาคู่ต่อสู้ เป็นโคยูจิการิที่ไม่หวังผลแต่ก็ต้องทำให้เนียน ดูไม่น่าเกลียดจนรู้ว่าเราจงใจหลอกเพียงเพื่อหาจังหวะเข้าท่าไม้ตาย

     

    บทเรียนที่ได้จากการฝึกฝนคยองซูนำมันมาใช้จริงจนคนสอนอดจะยิ้มปลื้มใจอยู่ข้างสนามไม่ได้ จงอินมองเท้าเล็กปัดรบกวนขาคู่ต่อสู้ขณะที่มือก็ยังทำหน้าที่ได้ดี เขาภูมิใจในตัวลูกศิษย์คนนี้จริงๆ อย่างนี้อีกไม่นานกรรมการสั่งหยุดแน่ และเปอร์เซ็นต์ที่ฝ่ายนั้นจะโดนโทษก็มีสูง

     

    “มาเต๊ะ! ชิโด้” การคาดเดาของเทพไคแห่งวงการยังคงแม่นยำ กรรมการม้วนมือเป็นสัญลักษณ์ชิโด้แล้วชี้ไปที่แอลโจซึ่งน้อมรับเบาๆ จากนั้นเกมส์จึงเริ่มต้นอีกครั้ง

     

    อย่างน้อยความกดดันก็เริ่มตกไปที่ฝ่ายนั้นแล้ว แต่ก็เหมือนเหรียญสองด้าน ถ้ายิ่งกดดันมากก็มีความเป็นไปได้ที่จะเร่งบุก แต่จงอินก็เชื่อว่าตอนนี้คยองซูคงจะเครื่องติดแล้วเช่นกัน ระวังแค่อย่าให้โดนโทษจนโดนตามทันก็พอ

     

    เกมส์ดำเนินไปอย่างสนุก เมื่อเครื่องติดทั้งสองฝ่ายก็ผลัดกันเข้าท่าอย่างไม่มีใครยอมใคร แอลโจเข้าท่าได้ดีขณะที่คยองซูก็ระวังได้ไม่ขาดตก คะแนนตอนนี้จึงยังค้างไว้ที่ฝ่ายขาวเสีย 1 ชิโด้ เวลาถอยลงเรื่อยๆ ความกดดันก็ยิ่งสูงขึ้นกันทั้งสองฝ่าย เพราะถ้าคยองซูไม่ไล่บุกบ้างก็ไม่มีโอกาสได้คะแนน

     

    “เล่นจังหวะสอง!” จงอินตัดสินใจตะโกนออกไป เห็นดวงหน้าหวานพราวหยดเหงื่อพยักหน้าเบาๆ ให้โดยที่สายตายังคงจับจ้องไปที่คู่ต่อสู้

     

    แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าท่าตามแผน แอลโจก็ชิงเข้าท่ามาก่อน คยองซูตกใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ปฏิกิริยาตอบสนองก็ไวพอ คนตัวเล็กตัดสินใจหมุนตัวเข้าท่างัดกับอีกฝ่าย จนกลายเป็นว่าทั้งคู่หมุนตัวเข้าท่าจนหลังชนกันเพื่องัดอีกฝ่ายทุ่มให้ได้!

     

    สถานการณ์เสี่ยงจนคนดูรอบสนามพร้อมใจกันส่งเสียงฮือฮา จงอินเม้มริมฝีปากแน่น เหงื่อหยดแรกไหลผ่านข้างขมับ มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นจนเผลอเกร็งไปทั้งตัว

     

    โอกาส 50-50 ถ้าใครฮึดงัดได้ก่อนก็จบ คยองซูตัวเล็กกว่าแอลโจแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาคยองซูได้ก่อร่างสร้างตัวเองจากโคลนกลายเป็นอัคนีได้ถึงขนาดนี้แล้ว และเขาเชื่อว่าคยองซูมีโอกาสกลายเป็นภูผาได้

     

    นาทีนี้ จงอินเชื่อมั่นในศักยภาพของคยองซูยิ่งกว่าใคร

     

    “บิดซ้ายสุดแรงเลย!!” เสียงเทพไคแห่งวงการตะโกนก้อง เป็นจังหวะเดียวที่คยองซูร้องออกมาสุดเสียงเพื่อปลดปล่อยพลังของตัวเอง

     

    เพียงแค่ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น อัคนีที่จงอินเฝ้าดูแลมาตั้งแต่ยังเป็นโคลนก็แสดงความแข็งแกร่งอันน่าอัศจรรย์ให้สายตานับร้อยคู่ ณ ที่แห่งนี้ได้เห็น

     

    สิ้นเสียงร่างกระแทกเบาะตึงใหญ่ หัวใจของจงอินเต้นรัวเร็วราวกับว่าในอนาคตข้างหน้ามันจะไม่ได้เต้นแรงขนาดนี้อีกแล้ว... เสียงคำสั่งของกรรมการราวกับเสียงสวรรค์สั่งตัดสิน ไม่ใช่เพียงการเกมส์การแข่งขัน แต่หมายถึงเกมส์หัวใจของเขาด้วย

     

    “อิปป้ง!

     

    TBC.

     

     

    **หิ้วปีกวิ่ง เป็นศัพท์เฉพาะที่เรียกกันในหมู่นักกีฬายูโดค่ะ ไม่แน่ใจว่ากีฬาอื่นที่แข่งเป็นรุ่นน้ำหนักใช้คำนี้ด้วยหรือเปล่า หิ้วปีกวิ่ง คือการที่เพื่อนต้องช่วยประคองคนที่ลดน้ำหนักจนไม่มีแรงแม้แต่จะก้าวขาให้วิ่งต่อค่ะ ให้คิดภาพเวลาเรากอดคอเพื่อนเดิน แบบนั้นเลยค่ะ แต่นี่คือเอาแขนเพื่อนมาคล้องคอไว้ มือนึงโอบเอวเพื่อไว้เพื่อไม่ให้เพื่อนทรุดลงไปกองกับพื้น จากนั้นก็วิ่งค่ะ นาทีนี้ขาเพื่อนของเราซึ่งเป็นคนลดน้ำหนักเขาแทบจะก้าวไม่ออกแล้วล่ะค่ะ ก้าวเองไม่ได้ แต่ยังไงก็ต้องเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อให้เหงื่อออก แต่นั่นก็เท่ากับว่าคนที่หิ้วปีกก็จะเหนื่อยไปพร้อมๆ กับคนลดน้ำหนักด้วย สำหรับเราประสบการณ์หิ้วปีกวิ่งนี่โดนมาจนชำนาญ 5555* ไม่ใช่แค่เป็นฝ่ายถูกหิ้วปีก แต่ไปหิ้วปีกคนอื่นก็บ่อยเหมือนกัน ระหว่างที่หิ้วปีกวิ่งไปเราจะพูดข้างๆ เพื่อนเสมอว่า “อดทนนะ” “อีกนิดเดียวนะ” นี่ล่ะค่ะมิตรภาพของเพื่อนร่วมทีม เราซ้อมเหนื่อยมาด้วยกัน ฝ่าฟันอะไรมาด้วยกันตั้งเยอะแยะ จะให้มันมายอมแพ้กะอิแค่ชั่งน้ำหนักไม่ผ่านได้ยังไงล่ะเนอะ เหนื่อยเป็นเพื่อนกันอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป :’)

    **รอบไต่ชิงเหรียญทองแดง(repechage) นี่ก็ศัพท์เฉพาะค่ะ 5555* เราจะเรียกรอบชิงเหรียญทองแดงกันว่า “รอบไต่” ชื่อจริงๆก็คือ repechage จะนำผู้ที่แข่งแพ้คนที่เป็นที่หนึ่งของแต่ละสายมาแข่งกันเองเพื่อชิงเหรียญทองแดงค่ะ เราจะรู้ว่าใครจะต้องมาไต่ก็รอบตัดเชือกเพื่อเลือกที่หนึ่งของสาย แล้วที่หนึ่งของสายก็จะไปแข่งกันเอง ใครชนะได้เหรียญทอง แพ้ได้เหรียญเงิน เหรียญทองแดงจะมี 2 คนมาจากที่ผู้แพ้แข่งกันเองจนกระทั่งได้คนที่ได้ที่ 1 ของสายไต่ อธิบายอย่างนี้อาจจะงงๆ เอาไว้ตอนถัดๆไปถ้าไม่ลืมเราจะลองเอาตัวเองชาร์ตการแข่งขันแบบขาไก่มาให้ดูนะคะ

     

    Mirrror* Talk : หายไปนานเลยใช่มั้ยคะ? TvT ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่ยังคิดถึงกัน ทวงกันเข้ามา และเม้นกันอย่างต่อเนื่อง มีทั้งเม้นยาวจนเราตกใจนึกว่ามาต่อฟิคให้(?) เม้นสั้นแต่มาทุกวัน หรือกระทั่งไม่เม้นแต่มาทวงในทวิตเตอร์ เราขอบคุณมากกกกกกกกกกจริงๆๆๆนะคะ TTTvTTT คุณคือแห่งพลังงานอันดับหนึ่งให้เราเลยล่ะ ฮือออออ

    ตอนนี้ดูจะยาว เอาให้คุ้มกับการรอคอยเนอะ แต่จบแบบนี้ไม่รู้จะสะเทือนใจไค(?)บ้างหรือเปล่า 55555* ก็ให้ลุ้นกันต่อไป ได้อิปป้งแล้วจะยังไง ไหนยะคยองกับพี่คริส เอ๊ะแล้วพี่คริสกับอี้ชิงนี่ยังไง จงอินยังจะทำตัวงี่เง่าชวนถีบได้อีกนานแค่ไหน สัญญาว่าจะมาลงให้ไวขึ้นนะคะ TTvTT แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังไม่กล้ารับปากเพราะตารางเดือนนี้เราอย่างแน่นนนน จะพยายามมาเขียนให้ได้วันละนิดทุกวัน สัญญา

    ขอบคุณทุกสายตาที่ไล่กวาดทุกตัวอักษรค่ะ คนอ่านกับคนเขียนก็เหมือนเพื่อนร่วมทีมไปแข่งกีฬานี่แหละค่ะ แพ้บ้างชนะบ้างท้อบ้างอะไรบ้างแต่เราก็ไม่เคยทิ้งกัน ถึงจะบ่นจะว่าจะน้อยอกน้อยใจอะไรกันไปบ้าง ท้ายที่สุดแล้วเราก็ยังเดินข้างๆกัน ให้กำลังใจกัน และยังคงก้าวไปเรื่อยๆเพื่อไปสู้จุดมุ่งหมายข้างหน้าเหมือนกันเนอะ :’)

    พูดคุยกันได้ที่ @MirrorJK และ #วอป ค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×