ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] ONE IPPON (KAISOO)

    ลำดับตอนที่ #21 : CHAP 21

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.06K
      26
      11 พ.ค. 56

    CHAPTER 21

     

     

    คยองซูไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นอยู่ควรเรียกว่าอะไร การเคลื่อนไหวเร็วปานสายลม แต่ก็งดงามราวมังกรอวดความอหังการอยู่บนฟากฟ้า บ้างก็รุนแรงบ้างก็เบาบาง บางครั้งดูแข็งกร้าวแต่กลับแฝงความโอนอ่อนเอาไว้

     

    ไม่ผิดเลยที่ใครๆ จะตั้งสมญาให้คิมจงอินว่าเป็นเทพ

     

    “อิปป้ง!

     

    เสียงฮือฮาดังก้องเมื่อกรรมการยืดมือตรงพร้อมประกาศคะแนนหลังจากร่างของจุนมยอนกระแทกพื้นด้วยท่าโมโรเต้ที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ขณะที่เวลาเพิ่งจะเดินไปได้ไม่ถึงนาที เสียงปรบมือเกรียวกราวไปหมด แม้แต่จางอี้ชิงที่ยืนอยู่ไกลๆ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะปรบมือให้ จะมีก็แต่ชานยอลที่นั่งทำหน้าเอือมอยู่ข้างสนาม ใช้นิ้วก้อยแหย่รูหูอย่างกับรำคาญเสียงรอบข้างเสียเต็มประดา

     

    “เบามือหน่อยโว้ยมึง! อย่ามาโชว์เหนือ กลัวคยองซูไม่รักรึไง?”

     

    แกล้งตะโกนขึ้นไปพอให้ไอ้คนที่เพิ่งจะก้มเคารพจุนมยอนได้ยิน แต่รู้อยู่แล้วว่าถึงมันจะได้ยินจริงก็ไม่พ้นทำเป็นนิ่ง น่าหมั่นไส้เป็นบ้า

     

    มือสุดท้ายของทีมมหาลัย m ก้าวขึ้นมาแล้ว คิมมินซอกก้มเคารพอีกฝ่ายพร้อมฟังคำสั่งเริ่มการแข่งขันของกรรมการ ความกดดันทั้งหมดตกอยู่ที่ขุนพลคนสุดท้าย ถ้าหากมินซอกชนะจะต้องไปลุ้นแข่งกับชานยอล แต่ถ้าแพ้ก็เท่ากับว่าทีมมหาลัย k จะได้เป็นแชมป์ทันทีโดยที่ชานยอลไม่ต้องแข่ง

     

    ถ้าลองทีมตกอยู่ในสถานการณ์ชวนตึงเครียดเพราะเสียเปรียบกว่าเห็นๆ แถมมือสุดท้ายยังต้องเจอตัวเก่งจากทีมตรงข้าม ไม่ว่าเป็นใครก็คงต้องกดดันกันบ้างเป็นธรรมดา แต่คงไม่ใช่กับคนตัวบางที่ยืนกอดอกพิงผนังมองเกมส์การแข่งขันที่กำลังเริ่มต้นขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ

     

    “เนี่ยนะหน้าตาของรักษาการกัปตันที่เห็นว่าทีมกำลังเสียเปรียบ?”

     

    เสียงเด็กตัวสูงที่ยืนหันหลังพิงกำแพงมองไปยังสนามแข่งเรียกคนข้างๆ ให้เหลียวกลับไปมอง รอยยิ้มเล็กๆ ยังคงประดับอยู่บนริมฝีปากได้รูป เพียงแค่ส่ายหัวเบาๆ ให้กับคำถามออกจะแขวะไปสักนิดแล้วจึงหันกลับมาสนใจการแข่งขันต่อ

     

    “กีฬามีแพ้มีชนะเรื่องธรรมดา จะไปคิดอะไรมาก”

     

    “โหหหห นี่อยากอัดเสียงไปให้เฮียมันฟังจริงจัง”

     

    “คริสก็คงพูดไม่ต่างจากฉันหรอกเชื่อสิ” นอกจากจะไม่กลัวแล้วยังยิ้มตอบกลับไปได้อีก

     

    “พอกันเลยทั้งคู่” จื่อเทาถอนหายใจพรืดแล้วขยับตัวออกจากกำแพงหันมายืนมองการเคลื่อนไหวบนสนามแข่งจริงๆ จังๆ บ้าง

     

    “คิมจงอินคนนั้นฝีมือดีสมคำร่ำลือจริงๆ”

     

    พูดเสียงไม่ดังนักระหว่างที่ตาจับจ้องการแข่งขันไปด้วย อี้ชิงพยักหน้าเบาๆ โดยไม่ละสายตาจากสนามเช่นกัน เกมส์เดินไปอย่างสนุก แม้จะพอดูออกว่าจงอินกำลังยั้งมืออยู่แต่ก็นับว่าเนียนมาก ไม่ใช่ว่ามินซอกไม่มีฝีมือแต่ระดับอย่างเทพไคแห่งวงการคงไม่ต้องเสียเวลาเหนื่อยเปล่าเก็บคะแนนเล็กคะแนนน้อยอยู่แบบนี้หรอก อิปป้งไปทีเดียวก็จบ

     

    อี้ชิงย้ายสายตากลับไปมองข้างสนาม คนตัวเล็กตรงนั้นกำลังเม้มปากแน่นพลางจับจ้องมาที่กลางสนามแข่งไม่วางตา ท่าทางแบบนั้นไม่ว่าใครก็ดูออกว่ากำลังลุ้นแค่ไหน ร่างบางหัวเราะเบาๆ ให้กับภาพที่เห็น เขาอยากจะให้คนตัวสูงที่ไม่ได้มาด้วยกันวันนี้ได้มาเห็นด้วยเสียจริง

     

    “ไม่เห็นจะเหมือนที่คริสเคยเล่าเลยสักนิด” เพราะประโยคที่จู่ๆ ก็พูดขึ้นอย่างไร้ที่มาทำให้จื่อเทาตั้งหันมองคนพูด “โดคยองซูคนนั้นน่ะ”

     

    “เอาจริงๆ ผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำ ใครจะไปคิดว่ากลับมาเจอกันอีกทีพี่คยองซูจะกลายเป็นนักยูโดไปแล้ว นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลยนะเนี่ย”

     

    “คริสพลาดจริงๆ นั่นแหละที่ไม่ได้มาวันนี้” อี้ชิงหลับตา รอยยิ้มอ่อนละมุนเจือความรู้สึกบางอย่างที่พยายามซ่อนเร้นไว้ยังฉายชัดก่อนจะหันกลับมาทางสนามแข่งต่อ

     

    ดูเหมือนว่าตอนนี้จงอินตั้งใจจะปิดเกมส์นี้เสียที เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งกำลังหาช่องว่างเพื่อสอดมือเข้ามารัดคอเชือดอีกฝ่าย จื่อเทาเหลียวมองอี้ชิงครู่หนึ่งก่อนจะมองสนามแข่งต่ออย่างช่วยไม่ได้ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีมินซอกก็เป็นฝ่ายตบเบาะเป็นสัญญาณว่ายอมจำนวนเมื่อทนต่อเทคนิคการเชือดของจงอินไม่ไหว แต่นอนว่าชัยชนะตกเป็นของฝ่ายน้ำเงินทีมมหาลัย k

     

    คนข้างกายป้องปากตะโกนส่งเสียงเฮฮาไม่ได้มีท่าทีของคนคุมทีมที่เพิ่งจะปราชัยเลยสักนิด จื่อเทาส่ายหัวเบาๆ พลางยกยิ้ม เขารู้ดีว่าอี้ชิงเป็นคนมองโลกในแง่ดี ถ้ารู้ว่าสู้ไม่ได้ก็ขอให้ทำเต็มที่เท่านั้นก็พอแล้ว ไม่ต่างจากญาติผู้พี่ของเขาที่แม้ต่อหน้าจะทำเป็นดุและจริงจังเวลาแข่งแต่ก็เพราะเป็นหน้าที่ เอาเข้าจริงๆ อู๋อี้ฟานน่ะแคร์นักกีฬาในทีมจะตายไป

     

    นักกีฬาทั้งหมดของทั้งสองทีมกลับขึ้นมายืนหน้ากระดานหันหน้าหากันอีกครั้งแล้วก้มหัวเคารพพร้อมกัน ทั้งสองฝ่ายโผเข้ากอดให้กำลังใจรวมถึงขอโทษขอโพยกันด้วยรอยยิ้มแล้วต่างก็แยกย้ายถอยหลังกลับไปฝั่งของตัวเอง เคารพเส้น แล้วลงจากเบาะ

     

    “พี่ไปรับพวกนั้นก่อนนะ สงสัยงานนี้ต้องเลี้ยงปลอบใจยกใหญ่” หันมาพูดยิ้มๆ ตามแบบฉบับของเจ้าตัวแล้วก้าวออกจากตรงนั้น

     

    “พี่อี้ชิง” ทว่าเสียงเรียกของคนที่อยู่ด้านหลังหยุดเขาไว้เสียก่อน ตามมาด้วยประโยคภาษาบ้านเกิดที่ทำให้อี้ชิงแอบสะดุดลมหายใจ แต่สุดท้ายก็เพียงแค่ยิ้มแล้วเดินจากไป

     

    “รู้ตัวไหมว่าวันนี้พูดถึงเฮียไปกี่ครั้งแล้ว”

     

     

     

    พิธีมอบเหรียญเริ่มขึ้นเมื่อการแข่งขันทุกประเภทเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เซฮุนและทีมมหาวิทยาลัย k ขึ้นแท่นรับเหรียญทองด้วยรอยยิ้มกว้าง ไม่ต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่ต่างก็แสดงความยินดีให้กันและยิ้มแย้มยินดีกับรางวัลที่ตนเองได้รับไม่ว่าจะอันดับที่เท่าไรก็ตาม

     

    กีฬาก็แบบนี้ เมื่อการแข่งขันจบลงสิ่งที่ยังคงไว้ก็คือมิตรภาพ เป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ใช่ไหมล่ะ ทั้งๆ ที่อยู่บนสนามเราทั้งฟัดทั้งเหวี่ยงกันแทบตาย แต่เพราะการแข่งขันนี่เองที่ทำให้เราเป็นเพื่อนกัน นักกีฬาแทบร้อยทั้งร้อยที่เพื่อนในวงการคือคู่ต่อสู้ที่เคยแข่งกับตัวเองมาก่อน เหมือนเช่นจงอินกับชานยอลที่ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกันอยู่

     

    แทมินยิ้มเสียจนตาแทบปิดหลังผละออกจากอ้อมกอดของคนตาโตแล้ว เพื่อนใหม่ของเขากล่าวแสดงความยินดีซ้ำๆ ไม่ต่างจากที่เขากล่าวขอโทษและให้กำลังใจคนที่เพิ่งทุ่มกันไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า

     

    “สู้ๆ นะคยองซู แล้วครั้งหน้ามาแข่งกันใหม่ ฉันจะไม่ยอมพลาดให้นายเก็บคะแนนได้สักคะแนนเลยคอยดู” คำพูดติดแค้นช่างขัดกับรอยยิ้มตอนนี้นัก คนฟังจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบ

     

    “อื้ม ได้เลย ฉันจะซ้อมมาให้เยอะๆ เชียวล่ะ”

     

    “อะไรเนี่ย? บอกจะมาล่ำลาไหงมาขู่นักกีฬาฉันแบบนี้ล่ะ” แต่แล้วจู่ๆ กัปตันผิวเข้มผู้ทำเหรียญทองให้ทีมก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ ทำเอาคนที่กำลังยิ้มอยู่ถึงกับหุบยิ้มฉับ

     

    แทมินเบ้หน้าใส่เพื่อนต่างทีมที่เข้ามาขัดจังหวะ เพราะเห็นว่าจะแยกย้ายกลับมหาลัยตัวเองกันแล้วถึงได้ขอคิมจงฮยอนมาบอกลาเพื่อนใหม่ทั้งๆ ที่พวกพี่ๆ ในทีมกำลังวุ่นวายกับการเคลียร์สถานที่ เห็นจงอินหายไปแว้บหนึ่งหลงดีใจว่าไม่มีไอ้คนที่คอยมาตามเกาะแกะเวลาจะคุยคยองซู สุดท้ายก็โผล่มาอีกจนได้

     

    ขี้หวงจริงๆ เลยนะ คิมจงอิน

     

    “ไปก็ได้! แข่งจริงรอบหน้านะฉันจะบอกพี่มินโฮให้อัดนายให้ตายเลยจงอิน” แทมินแลบลิ้นใส่แล้วเดินกระแทกไหล่อีกคนไปทางที่คีย์กำลังช่วยอนยูยกโต๊ะอยู่ แต่เดินไปไม่ทันถึงก็ไม่วายหันกลับมาโบกมือแล้วตะโกน

     

    “กลับดีๆ ล่ะ ห้ามพาคยองซูไปที่อื่นนะ!

     

    พูดจบก็หันหลังวิ่งหนีไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้คนที่ถูกล้อทางอ้อมต้องส่ายหัวเบาๆ แล้วหัวเราะแก้เขิน คิดไว้แล้วเชียวว่าถ้าบอกไปแล้วจะต้องมาแซวกันอย่างนี้ นี่ยังไม่นับรวมที่แทมินขู่ไว้ว่าจะเอาคยองซูมาเป็นแฟนให้ได้ถ้าถึงกีฬามหาลัยแล้วเขายังจีบไม่ติดอีก

     

    โง่จริงแทมิน ใครมันจะไปยอมกันเล่า!

     

    พรูลมหายใจให้กับเพื่อนที่หน้าละม้ายคล้ายกันก่อนจะหันกลับมาหาคนหน้าตัวเล็กที่ตอนนี้หน้าตาหน้ารักนั้นกำลังงอง้ำได้ที่ รอยยิ้มบนริมฝีปากจงอินยังไม่หายไปแม้จะเห็นแบบนั้น ตรงข้ามสิ รู้ไหมมันยากแค่ไหนกันที่จะสั่งไม่ให้ตัวเองยิ้ม นี่เมื่อยแก้มไปหมดแล้ว

     

    “ป่ะ เราก็กลับกันเถอะ” พูดจับก็คว้าแขนเล็กของอีกคนเดินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าคยองซูกลับรั้งตัวเองเอาไว้

     

    “นึกว่าจะอยากอยู่ที่นี่ต่อ” คนที่ไม่รู้ไปหัดพูดประชดประชันแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่พูดขึ้นแล้วดึงแขนตัวเองออกจากการเกาะกุม “อย่ามาจับฉันด้วย ฉันระบมกล้ามเนื้อ”

     

    พูดจบก็เดินหนีไม่รอคนที่เป็นถึงประธานชมรมเลยสักนิด จงอินมองตามแผ่นหลังเล็กนั้นไปกระทั่งเจ้าตัวไปรวมกลุ่มกับแพคฮยอน ท่านประธานถอนหายใจพรืดพลางส่ายหัวยิ้มๆ อีกรอบ ก่อนจะจับปลายสายดำซึ่งมัดชุดยูโดไว้แล้วเหวี่ยงขึ้นบ่าแบกเดินตามคนขี้งอนไป

     

    ขณะเดียวกันด้านนอกอีกฝั่งของโรงยิม เด็กหนุ่มตัวสูงกำลังยื่นโทรศัพท์มือถือคืนให้เจ้าของพร้อมระบายยิ้ม คนตัวบางรับมาแล้วก้มหน้าก้มตาเมมโมรี่ตัวเลขที่เรียงกันอยู่บนจอ

     

    “นี่เบอร์เรานะเซฮุน เอาไว้ต่อไปจะได้คุยกันบ่อยขึ้น” เซฮุนเงยหน้ามาส่งยิ้มแล้วแล้วตอบรับ

     

    “อื้อ! เทาเซฟเบอร์เราไว้แล้วใช่มั้ย?” อีกฝ่ายพยักหน้าตอบ “ไว้ว่างๆ ไปกินอะไรด้วยกันเนอะ หรือถ้าเทาว่างๆ จะมาซ้อมกับเราที่มหาลัยก็ได้นะ”

     

    ฝ่ายถูกชวนยกมือสองข้างพลางส่ายหัวดิก “ไม่ล่ะ เราไม่อยากถูกทุ่มแบบคู่ต่อสู้ของเซฮุนวันนี้หรอกนะ”

     

    เสียงหัวเราะดังเสียจนคนที่เพิ่งเดินออกมาพ้นประตูโรงยิมต้องหันมองอย่างไม่พอใจ ยิ่งเห็นรอยยิ้มที่แสนน่ารักต่อหน้าผู้ชายคนอื่นด้วยแบบนี้ต่อมหงุดหงิดมันก็ชักทำงาน

     

    ลู่หานก้าวเท้าไวๆ แล้วไปสะกิดไหล่ของน้องชายผิวเข้มที่กำลังเดินยิ้มมองคนตัวบางหน้าบึ้งตึงข้างหน้า อีกฝ่ายหันกลับมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

     

    “ส่งแกแค่นี้แหละ บาย”

     

    “เฮ้ย! เดี๋ยว พี่ลู่!” มือหนาฉุดคอเสื้อยืดของคนเป็นพี่ไว้ทันก่อนที่จะเดินหนีเขาไปดื้อๆ

     

    “อะไรของพี่วะ? มาทำหน้าหงิกแล้วจะมาบอกลากันแค่เนี้ยนะ?”

     

    “มากกว่านี้ก็ไม่ทันกินสิเว้ย! แกนี่มันเป็นกัปตันที่โคตรแย่ ทำไมปล่อยให้ลูกทีมตัวเองไปหัวร่อต่อกระซิกกับคนอื่นแบบนี้ ไม่ดูแลให้ดีวะ!?” ว่าจบก็เดินฉับๆ หนีเขาไปเฉย ไม่ทันเปิดโอกาสให้งงก่อนเลยด้วยซ้ำ

     

    จงอินมองตามไปจนกระทั่งเห็นพี่ชายหน้าหวานไปหยุดอยู่ระหว่างเซฮุนกับจื่อเทา หน้างอๆ ก็พลันเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานขึ้นมาทันที จงอินรู้ทันทีเลยว่าพี่ชายตัวแสบคงอยากจะเป็นแมวเป็นหมาขึ้นมากะทันหัน หวงก้างขนาดนี้ได้ข่าวว่าก้างขาวๆ ที่ว่านี่ยังไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลยนะ ที่สำคัญกว่า ได้ข่าวว่าแพนด้ามันเจอก้างก่อน แบบนี้คงต้องเหนื่อยหน่อยแล้วล่ะมั้งพี่ลู่

     

    ประธานชมรมเลิกสนใจฉากโรแมนติกดราม่าที่ทำท่าว่าจะยืดเยื้อแล้วหันกลับมาหาคนตัวบางต่อ เขายิ้มแล้วก้าวขึ้นไปนั่งบนรถตู้ ที่เดิม ตำแหน่งเดิม แต่คนที่นั่งข้างๆ ไม่ได้อยู่ในอารมณ์เดิม คยองซูแทบจะสิงตัวกับหน้าต่างรถให้ได้อยู่แล้ว หน้าเขายังไม่อยากจะหันมามองสักนิด

     

    “ยังแสบรอยถลอกบนหน้าอยู่มั้ย?” เขาถามออกไปแต่ก็ได้รับความเงียบกลับมาเป็นคำตอบ หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ดวงตากลมถึงได้ยอมเหลียวหางตามามองก่อนจะหันกลับไปนอกหน้าต่างเหมือนเดิม

     

    “ก็ขอพลาสเตอร์ยามาแปะแล้วยังไม่ได้สักที”

     

    เสียงหวานๆ ตอบแข็งๆ แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ทำให้หัวใจคนที่ได้ฟังแทบละลายเป็นน้ำตาลถูกไฟได้ขนาดนี้ เขานึกว่าคยองซูจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ พอได้ฟังแบบนี้แล้วมันอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้จริงๆ

     

    “มานี่สิ เดี๋ยวแปะให้”

     

    “ไม่จำเป็น แสบก็คือแสบ มาแปะมาดูแลตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้ว” พูดโดยไม่ได้เหลียวกลับมามองคนข้างๆ

     

    จงอินลอบยิ้มเล็กๆ หันไปหยิบบางอย่างที่ถือติดมือมาด้วย จัดแจงคล้องเหรียญทองที่เพิ่งได้มาให้เจ้าตัวนุ่มนิ่มที่อยู่ในมือเรียบร้อยแล้วก็สูดออกซิเจนเข้าปอดให้ลึกๆ หันไปมองนอกรถอีกสักทีให้แน่ใจว่าเซฮุนยังติดพันคุยกับสองคนนั้นอยู่ และแพคฮยอนกับชานยอลยังไม่กลับมาจากห้องน้ำ

     

    “คุณครับ คุณ”

     

    เสียงทุ้มที่ดัดให้เล็กลงดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของตุ๊กตาหมีขนสีน้ำตาลเข้มในชุดยูโดสายดำคล้องเหรียญทอง เจ้าตุ๊กตาหมีตัวเล็กกำลังนั่งอยู่บนไหล่ของคยองซูล่อตาล่อใจจนอดไม่ได้ที่จะเหลียวไปมอง

     

    “คุณจะไม่ดีใจกับเหรียญทองของทีมหน่อยเหรอครับ?  คนแข่งเขาเหนื่อยนะกว่าจะได้มาเนี่ย”

     

    หน้ายิ้มๆ ของหมีน้อยช่างขัดกันเสียเหลือเกินกับถ้อยคำเหมือนจะน้อยอกน้อยใจนั้น คยองซูได้แต่ทำหน้านิ่งแล้วหันกลับไปมองทางหน้าต่างเหมือนเดิม

     

    “เหนื่อยอะไร ชนะใสๆ แบบนั้น” กระนั้นก็ยังยอมตอบเจ้าหมีในชุดยูโดทำเอาคนที่กำลังควบคุมน้องหมีต้องคลี่ยิ้ม

     

    “เหนื่อยสิครับ ก็เขาไม่ได้แข่งเพื่อตัวเอง แต่เขาแข่งเพื่อคุณนี่นา”

     

    คยองซูรู้สึกว่าเจ้าหมีบ้าตัวนี้ชักจะน่าโดนทุบ เพิ่งจะรู้จักกันแท้ๆ มีสิทธิอะไรมาทำให้เขาหน้าร้อนผ่าวขึ้นมากเฉยๆ แบบนี้!

     

    “แล้วดูคุณสิ ไม่ยอมคุยกับเขาเลย เดี๋ยวเขาก็เขวี้ยงเหรียญทองทิ้งซะหรอก”

     

    “ไม่ได้นะ! ทำอะไรบ้าๆ”

     

    คยองซูโวยเสียงดังพร้อมกับหันควับกลับมาหาเจ้าของน้องหมีที่ยิ้มแป้นแล้นอยู่ข้างๆ อย่างลืมตัว คนตัวเล็กชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะแสร้งทำหน้านิ่งแล้วหันกลับไปทางหน้าต่างเหมือนเดิม รู้สึกเหมือนอุณหภูมิบนใบหน้าจะพุ่งสูงขึ้นทุกที

     

    “เหรียญทองที่ทำเพื่อคุณน่ะ มันไม่มีค่าหรอกนะถ้าคุณไม่ต้องการ”

     

    “ฉัน...ฉันไม่ได้บอกสักคำว่าไม่ต้องการ” เสียงเล็กตอบอ้อมแอ้ม “อีกอย่างทำยังกับแข่งอยู่คนเดียว แพคฮยอนก็ชนะมาตั้งคนนึง”

     

    “แล้วคุณจะรับมันไว้ได้หรือเปล่าล่ะ...เหรียญทองนี้”

     

    ไม่มีเสียงตอบรับจากฝ่ายถูกถาม ความเงียบเข้าปกคลุมทุกอณูอากาศในรถตู้

     

    คยองซูกัดริมฝีปากล่างแน่น ยิ่งเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจกันแบบนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ หน้าร้อนเหมือนคนเป็นไข้ ขณะที่หัวใจก็เต้นเร็วเสียจนกลัวอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงมันเข้า

     

    “ไม่ตอบอีกแล้ว”

     

    เสียงที่ถูกดัดจนเล็กกลับเปลี่ยนมาเป็นเสียงทุ้ม ก่อนจะตามมาด้วยลมหายใจอุ่นที่เป่าประชิดใกล้จนเกินไป เรียกให้คยองซูหันกลับมาแต่แล้วก็ต้องผงะถอยหลังจนหัวแนบชิดกับกระจกรถ ข้างๆ มีฝ่ามือใหญ่ของใครอีกคนวางทาบทับลงมาบนกระจกเช่นกัน

     

    รอยยิ้มทรงเสน่ห์ฉายชัดบนใบหน้าหล่อได้รูป ดวงตาคมเข้มที่จับจ้องมาแฝงแววขี้เล่นเอาไว้ ระยะห่างระหว่างปลายจมูกน้อยจนเกินไป แถมยังถูกกักกันไว้ด้วยแขนแกร่งของอีกฝ่ายอีก

     

    นี่คิมจงอินกำลังจะทำอะไรกับเขากันแน่...

     

    “หนีไปไหนไม่ได้แล้ว โดคยองซู”

     

    เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา ใกล้เพียงลมหายใจกั้น เสียงหัวใจได้ยินชัดแต่กลับจับจังหวะไม่ได้ ทั้งคยองซูและจงอินต่างปล่อยให้ก้อนเนื้อข้างในอกซ้ายทำงานอย่างหนักกันทั้งคู่

     

    “ฉัน...ฉันไม่ได้หนีนาย” คนหน้าแดงหลบตาแล้วเอ่ยออกมาเสียงค่อย จงอินยิ้มแล้วขยับถอยออกมานิดหน่อยก่อนจะส่งตุ๊กตาหมีคล้องเหรียญทองให้

     

    “ฉันให้ นี่ไปปล้นมาจากพี่จงฮยอนเลยนะ มาสคอร์ตตัวนี้ถ้าไม่ได้แชมป์ก็ไม่ได้หรอก”

     

    “แล้วเอามาให้ฉันทำไม” หลบตาแต่ก็พูดต่อ จงอินหัวเราะเบาๆ แล้วขยับตัวออกมานั่งที่เดิม ทำให้อีกคนได้หายใจหายคอสะดวกขึ้น

     

    “ก็บอกแล้วไงว่าเอามันมาให้นาย ทั้งเหรียญ ทั้งตุ๊กตา แต่นายก็เอาแต่หนีฉัน”

     

    “บอกว่าไม่ได้หนี” พูดจบก็หันกลับไปทางเดิมอีก แต่ถ้ายอมพูดด้วยขนาดนี้จงอินก็รู้แล้วล่ะว่าคยองซูหายโกรธเขาไปตั้งนานแล้ว มุกเดิมจึงถูกนำมาใช้อีก

     

    “ไม่ได้หนีก็หันมาคุยกันสิครับ นะๆๆๆ นี่คอจะหักแล้วนะ เหรียญหนักเป็นบ้าเลย” ตุ๊กตาหมีสีเข้มไถหัวลงกับไหล่เล็กอย่างออดอ้อน จนท้ายที่สุดคนที่ทำหน้าบึ้งตึงมาได้ตั้งนานสองนานต้องหลุดยิ้มออกมาจนได้

     

    “ไอ้หมีบ้านี่ อย่ามาทำเป็นอ้อนนะ ไม่อายบ้างหรือไง เดี๋ยวฉันจะถ่ายคลิปไว้ให้รุ่นน้องนายดูให้ทั่วเลย”

     

    “นี่นายพูดกับหมีหรือพูดกับใครน่ะฮะ!?” แหวขึ้นมาพลางทำหน้าดุ แต่คงจะหยุดคนตัวบางที่นั่งหัวเราะจนน้ำตาซึมตอนนี้ไม่ได้แล้ว แถมยังพาคนที่ยอมทำตัวปัญญาอ่อนค่อยๆ หัวเราะตามไปด้วย

     

    จงอินขยับมือยื่นตุ๊กตาหมีให้อีกครั้ง คนน่ารักมองครู่หนึ่งแล้วย้ายกลับไปสบตาคนให้ อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไร จงอินแค่ยิ้มจางก่อนที่คยองซูจะรับมันมา

     

    มือขาวพลิกเหรียญทองในมือดู สัมผัสเย็นของเหรียญโลหะกลับทำให้เขารู้สึกอุ่นใจได้อย่างประหลาดเพียงแค่คิดถึงคำพูดก่อนขึ้นสนามของเจ้าของเหรียญตัวจริง

     

    ในที่สุดจงอินก็ให้เขาจริงๆ ไม่ใช่แค่เหรียญ แต่คือทุกๆ อย่าง ทั้งการกระทำและความรู้สึก ความจริงใจที่ส่งผ่าน พาลทำให้ความรู้สึกบางอย่างในใจเขาเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

     

    รอยยิ้มยามได้มองเหรียญรางวัลในมือทำให้คนที่ได้เห็นเผลอยิ้มตาม ตากลมคู่นั้นประกายไปด้วยความหวัง จงอินเชื่อว่าถึงตอนนี้คยองซูมีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นนักกีฬาที่พร้อมจะพัฒนาไปได้อีกไกล และเขาก็จะส่งคยองซูไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้

     

    “ฉันให้เหรียญนี้กับนายไว้ นายได้เหรียญทองเป็นของตัวเองเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืนฉัน” คยองซูเงยหน้ามองคนพูดทันทีที่จบประโยค ทั้งยังทำหน้าราวกับว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นภาษาไม่คุ้นหูจนไม่อาจทำความเข้าใจได้

     

    “รู้ใช่ไหมว่าเหรียญทองเป็นเกียรติภูมิของนักกีฬาทุกคน นายคงไม่อยากให้ฉันทิ้งหนึ่งในเกียรติภูมิของตัวเองหรอกใช่ไหม? งั้นนายคงไม่โวยวายขนาดนั้นตอนที่ฉันบอกว่าจะโยนเหรียญทิ้ง” คนฟังเถียงไม่ออกกับทุกสิ่งที่จงอินเอ่ยมา

     

    “เพราะฉะนั้น สัญญานะ สักวันหนึ่ง...เป็นแชมป์ให้ได้แล้วเอาเหรียญนี้มาคืนฉัน ส่วนตุ๊กตาฉันให้ ตกลงไหม?”

     

    เล่นพูดมาขนาดนี้จะไม่ตกลงก็คงไม่ได้แล้ว คยองซูพยักหน้า ก้มลงมองตุ๊กตาคล้องเหรียญทองบนตักอีกครั้ง มองๆ ไปหน้าง่วงๆ แบบนี้นี่ดูคล้ายใครก็ไม่รู้เนอะ

     

    “แล้วนี่จะบอกฉันได้หรือยัง?” หลังจากทิ้งให้เขายิ้มคนเดียวกับตุ๊กตา จู่ๆ จงอินก็พูดขึ้นมา “ทำไมถึงไม่ยอมคุยกัน? โกรธฉันทำไม?”

     

    “ไม่ได้โกรธ” คยองซูพูดก่อนจะกอดอกโดยที่หนีบเจ้าหมีน้อยเอาไว้ด้วย “แต่ฉันไม่อยากหงุดหงิดก็เลยไม่อยากคุยด้วย”

     

    “นั่นแหละที่เขาเรียกว่าโกรธ”

     

    “ไม่ใช่สักหน่อย” คยองซูเถียง ประธานผิวเข้มถอนหายใจยาวพรืดแล้วเอนหลังพิงเบาะ กอดอกมองหน้าคนตัวบาง

     

    “ถ้าไม่ใช่ก็พูดออกมาว่าทำไมคุยกับฉันแล้วมันจะหงุดหงิดนักหนา?”

     

     ทว่าสิ่งที่ถามออกมาทำเอาคยองซูชะงักงันและเงียบไปพักใหญ่ เขางับริมฝีปากตัวเองพลางกรอกตาอย่างใช้ความคิด ซึ่งภาพตรงหน้าล้วนอยู่ในสายตาคิมจงอิน เขายกยิ้มมุมปากเมื่อได้เห็นแต่ก็ต้องรีบตีหน้านิ่งเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา คยองซูเหมือนจะยังลังเลใจว่าควรจะพูดออกไปดีหรือไม่

     

    “ฉัน...” แต่ที่สุดแล้วดวงตาไหวระริกก็ยอมมองเขาพร้อมเอ่ยออกมาเสียงค่อย “ฉันแค่รู้สึกแปลกๆ กับตัวเอง”

     

    “แปลกๆ ยังไง?” จงอินเค้นถามต่อ ร่างเล็กเม้มริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด

     

    “ฉัน...หงุดหงิดเวลาเห็นจงอินเที่ยวใจดีกับคนอื่น”

     

    “คนอื่นที่ว่านี่หมายถึงแทมิน?” ถามเสียงสูงเล็กน้อย คยองซูพยักหน้าช้าๆ เหมือนยังลังเลใจอยู่

     

    “ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ฉันแค่ไม่ชอบเวลานายแนะนำเทคนิคนั่นนี่ให้แทมินก่อนแข่ง หงุดหงิดเวลาเห็นจงอินหัวเราะเล่นกับคนอื่น ยิ้มให้คนอื่น อ๊ะ! แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันเกลียดแทมินนะ เพียงแค่ว่าฉัน...ฉัน...”

     

    คยองซูดูราวกับเด็กน้อย พยายามจะอธิบายแต่ก็รีบแก้คำพูดเมื่อกลัวว่าตัวเองจะพูดอะไรไม่ถูกต้องออกไป แต่คยองซูจะรู้ไหม ว่าทุกถ้อยคำ ทุกสีหน้า ทุกอากัปกิริยามันได้แสดงความรู้สึกบางอย่างแฝงผ่านออกมาจนทำให้คนที่ได้เห็นมีความสุขมากมายแค่ไหน

     

    เขาอยากจะรวบคยองซูมากอดไว้แนบอก ก้มกระซิบบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายน่ารักขนาดไหน และรู้หรือไม่ว่ายิ่งทำแบบนี้ก็มีแต่จะยิ่งทำให้จงอินรักคยองซูมากขึ้นเรื่อยๆ

     

    แต่จงอินรู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลา รอให้คยองซูมั่นใจในความรู้สึกตัวเองมากกว่านี้ รวมทั้งรอให้เขามั่นใจว่าความรักครั้งนี้จะได้อิปป้ง ตัดสินเด็ดขาดไม่มีทางเป็นอื่น เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะทำทุกอย่างที่อยากทำ จะพูดทุกอย่างที่อยากพูด ทดแทนทุกสิ่งทุกอย่างในช่วงเวลาที่คิมจงอินแสนโง่เขลาในอดีตเคยพลาดไป

     

    เรียวปากได้รูปยกยิ้มก่อนจะยกมือเป็นเชิงบอกให้คนที่กำลังหลุดคำพูดชวนใจเต้นมากมายหยุดพูดก่อน หลังจากนั้นก็หยิบพลาสเตอร์ยาแผ่นเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

     

    “มาให้แปะแผลหน่อย” ลอกซองบรรจุและดึงเยื่อกาวออกพร้อมจะแปะลงบนรอยถลอกข้ามแก้ม ตอนนั้นเองที่คยองซูอ้าปากเหมือนจะพูดต่อ

     

    “ฉันเข้าใจนายแล้วน่า” ยิ้มและค่อยๆ แปะพลาสเตอร์ยาให้อย่างเบามือ ดวงตาจับจ้องเพียงแค่รอยแผลเลยไม่ทันได้เห็นว่าคยองซูกำลังมองความอ่อนโยนตรงหน้าด้วยใบหน้าแบบไหน

     

    “นอกจากเรื่องเหรียญทองแล้ว สัญญากับฉันอีกเรื่องนะ ว่านายจะต้องเก็บความรู้สึกหงุดหงิดในวันนี้ของนายไว้ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เพราะมันทำให้ฉันมีความสุขยิ่งกว่าได้เหรียญทองซะอีก”

     

    คยองซูเบ้หน้า “โรคจิตหรือเปล่าเนี่ยจงอิน?”

     

    “นั่นสิเนอะ” ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของคนที่เพิ่งถูกหาว่าโรคจิต เพียงไม่นานในรถก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ไอละอองแห่งความสุขกระจายฟุ้งไปทั่ว แถมเผื่อแผ่แบ่งปันไปถึงคนที่ยืนแอบมองอยู่นอกรถมาตั้งนานสองนานแล้วด้วย

     

    ชานยอลแอบส่องกระจกรถแล้วละออกมาทำหน้าเอือม เล่นเอาแพคฮยอนอดขำไม่ได้ นี่แทบเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เลยนะที่ได้เห็นเทพไคแห่งวงการมาทำตัวน่ารักกุ๊กกิ๊กง้อคนอื่นแบบนี้ ยอมลงทุกตั้งขนาดนี้แสดงว่าความรักใกล้สุกงอมได้ที่แล้วสินะ

     

    เมื่อให้เวลาเพื่อนได้หวานพอประมาณแพคฮยอนก็บอกให้ชานยอลเปิดประตูรถ จะได้ขึ้นไปนั่งสักทีหลังจากที่ยืนขาแข็งส่องมาตั้งนาน พอดีกับที่เซฮุนหลุดออกจากการล่ำลาประหนึ่งว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วกลับมารถได้พอดีถึงได้ฤกษ์โทรหาพี่คนขับเพื่อกลับมหาลัยกันสักที

     

    การแข่งขันครั้งนี้นักกีฬามหาลัย k ไม่ได้แค่หอบหิ้วรางวัลกลับไป แต่ยังหอบหิ้วความรู้สึกดีๆ ของใครหลายคนกลับไปด้วย

     

     

    จงอินให้เวลานักกีฬาได้พักร่างกายสองวัน ก่อนจะกลับมาเรียกรวมตัวซ้อมอีกครั้งในวันอังคาร ซึ่งทุกคนในทีมก็มากันพร้อมหน้า อาการระบมกล้ามเนื้อแทบไม่มีผลกับนักกีฬาหน้าเก่า จะมีก็คยองซูที่เบ้หน้าบ่อยๆ เวลาเคลื่อนไหว กับเซฮุนที่บ่นๆ ว่าปวดคอเพราะถูกคิมคีย์บอมเชือดนั่นแหละ

     

    แต่คนหลังนี่ท่าทางจะมีคนคอยดูแลอยู่แล้ว ที่สำคัญ คนที่อุตส่าห์ถ่อมาหานี่ก็คุ้นหน้าคุ้นตาเสียจนนึกหมั่นไส้

     

    “ซ้อมเสร็จไม่ได้นัดกันไปไหนต่อใช่ป่ะ? จะพาน้องเซฮุนไปเลี้ยงชานม”

     

    เสี่ยวลู่หานยิ้มกว้างถามน้องชายตัวสูงที่กำลังยืนทำหน้าเพลียมันเชือกกางเกงยูโดอยู่ พี่ชายหน้าหวานยักคิ้วกวนๆ ก่อนที่จงอินจะถอนหายใจเหมือนระอาใจเสียเต็มประดา

     

    “นี่มาเพื่อการนี้?”

     

    “เปล่า พี่คิดถึงแก เลยมาหา”

     

    “โกหกให้ตกรอบคัดเลือกกีฬามหาลัยนะ”

     

    “อ้าว! ไอ้นี่!!” ลู่หานโวยแต่กลับเรียกเสียงหัวเราะดังลั่นให้จงอิน พี่ชายของเขานี่สุดๆ ไปเลยจริงๆ

     

    “จะทำอะไรก็เชิญเถอะครับพ่อนักเตะ เซฮุนคงดีใจ บ่นอยากกินชาไข่มุกหลังเลิกซ้อมทุกวันแต่ชานยอลมันไม่ค่อยแวะ ยังไงพี่ก็ไปส่งน้องที่หอด้วยแล้วกัน คงจะไม่ลำบากพี่เสี่ยวลู่หานหรอกมั้งครับ?” คนเด็กกว่ากระตุกคิ้วเป็นเชิงล้อ ท่าทางกวนประสาทจนลู่หายอยากจะฟาดไอ้เด็กนี่แรงๆ สักที

     

    “อ้าว! พี่ลู่หาน มาเมื่อไหร่ครับเนี่ย?” แพคฮยอนทักพี่ชายคนสนิทของกัปตันทีมหลังจากก้าวพ้นประตูเข้ามา โดยมีชานยอลหอบกระติกน้ำแข็งตามมาข้างหลัง

     

    “เมื่อกี้นี้เอง แล้วนี่ไปไหนกันมา? ซื้อน้ำเหรอ?” คนอายุมากกว่าถาม อีกฝ่ายพยักหน้าแล้ววางสัมภาระในมือลงข้างเบาะ

     

    ลู่หานกระตุกยิ้มแล้วเหล่มองเจ้าของผิวสีเข้มที่กำลังมัดสายยูโดอยู่บนเบาะ “แหม เห็นคนหิ้วกระติกไปซื้อน้ำแบบนี้แล้วคิดถึงใครก็ไม่รู้เนอะ? ใช่มั้ยคยองซู?”

     

    “ฮ...ฮะ?” เพราะจู่ๆ ก็เล่นหันกลับไปถามคนตัวบางที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องแต่งตัว เลยได้รับเสียงงงๆ กับหน้าตาเหรอหรามาเป็นคำตอบแทน

     

    แน่นอนว่าลู่หานไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรเป็นเรื่องเป็นราวแต่แรกอยู่แล้ว แค่ได้เห็นหน้าเหวอๆ ชนิดที่เรียกว่าแทบหลุดแหกปากโวยของจงอินตอนนี้ก็สมใจอยาก ลู่หานกลั้วหัวเราะ ขณะที่น้องชายตัวสูงส่งเสียงฮึดฮัดไม่จริงจังนัก ทำเป็นหงุดหงิดจริงๆ แล้วมันเขินอยู่ทำไมจะไม่รู้!

     

    นักกีฬาเกือบทั้งหมดเปลี่ยนชุดเตรียมพร้อมขึ้นซ้อมกันแล้ว เหลือแต่แพคฮยอนที่ขอตัวไปใส่บอดี้สูทก่อน ใช้เวลาไม่นานแพคฮยอนก็เดินออกมาพร้อมกับสวมเสื้อยูโดแล้วมัดสายไปด้วย ร่างบางเดินมาถึงขอบเบาะก็ก้มเคารพก่อนก้าวขึ้นเบาะตามปกติ

     

    ทว่าจู่ๆ แพคฮยอนก็เหมือนจะวูบกลางอากาศ คนตัวเล็กเกือบล้มทั้งยืน แต่ยังดีที่ลู่หานซึ่งนั่งอยู่ข้างเบาะพุ่งตัวมาดึงไว้ได้ทัน

     

    “พยอนแพค! ไหวหรือเปล่า?” ชานยอลถึงตัวแพคฮยอนอย่างรวดเร็วราวกับหายตัวได้ทั้งที่เมื่อกี้ยืนอยู่ไกลสุดแท้ๆ มือหนาประคองแขนผอมต่อจากลู่หาน

     

    แพคฮยอนพยักหน้ารับเหนื่อยๆ “ไม่เป็นไร หน้ามืดนิดหน่อย”

     

    “จะว่าไปพี่แพคฮยอนก็ซูบลงนิดหน่อยนะฮะ จากวันที่เราไปแข่งกันน่ะ” เซฮุนช่วยเสริม “เริ่มลดน้ำหนักจริงจังแล้วเหรอฮะ?” แพคฮยอนพยักหน้าตอบอีกครั้งพร้อมกับมัดสาย

     

    “นี่อดข้าวแล้วใช่มั้ยแพคฮยอน?” จงอินที่ยืนเงียบอยู่พักใหญ่ถามขึ้น คนตัวบางกัดริมฝีปากล่างชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะยอมพยักหน้าตอบ ประธานชมรมถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้

     

    “ลดไม่ลงแล้วจริงๆ เหรอ?”

     

    “ก็ไม่เชิง แต่ซ้อมขนาดนี้แล้ววันหนึ่งๆ ยังลงได้มากสุดแค่กิโลเดียวเอง เลยจะลองงดมื้อเย็นดูเผื่อจะช่วยได้บ้าง” ตอบพลางเดินขึ้นมารวมกับคนอื่นๆ บนเบาะโดยมีชานยอลเดินขนาบไม่ห่าง

     

    “งั้นก็ตามใจ แต่รู้ใช่ไหมว่าถ้าไม่สุดๆ แล้วจริงๆ ฉันไม่สนับสนุนให้ใช้วิธีนี้”

     

    “อืม รู้แล้ว เดี๋ยวจะวิ่งตอนเช้าเพิ่มด้วยแล้วกัน”

     

    จงอินพยักหน้ารับก่อนที่จะหันไปพยักเพยิดให้ไอ้คนตัวสูงที่ยืนทำหน้านิ่วคิ้วชนกันอยู่ข้างๆ แพคฮยอนให้มาประจำที่เตรียมตัวเคารพเบาะได้แล้ว ชานยอลพยักหน้าส่งๆ แล้วจึงยอมละจากแพคฮยอนเดินมาประจำตำแหน่ง แต่ก็ไม่วายทิ้งท้ายเอาไว้ให้คนที่แรงหายไปกว่าปกติ

     

    “ถ้าระหว่างซ้อมไม่ไหวขึ้นมาก็บอกฉันนะ ถ้าจงอินมันไม่ให้พักเดี๋ยวฉันกระโดดถีบมันแล้วพานายหนีเอง”

     

     

    ...ตกลงจะห่วงหรือจะกวนประสาท ขอสักอย่างได้มั้ยชานยอล...

     
     



    TBC.





    Mirror* Talk : ฮือออออออออ เราหายไปนานเลยใช่ไหม? เราขอโทษ แต่เรากลับมาแล้วว TTTvTTT จริงๆ ในตอนที่แล้วเราอยากจะบอกทุกคนถึงการหายไปของเรานะ อยากจะล่ำลากันก่อนจะหายยาว ซึ่งไม่ทัน ฮืออออ เป็นอันว่าตอนนี้เรากลับมาแล้วค่ะ อาจจะไม่บ่อย อาจจะไม่ถี่ รวมถึงเนื้อหาอาจจะชืดจืดกว่าเก่าแต่เราก็จะไม่ทิ้งมันเรื่องนี้เด็ดขาดสัญญา

    ทีนี้ที่เราหายไปยาวนี่ไม่ได้ไปไหน คือเราได้งานทำแล้วต้องวุ่นวายกับการหาที่อยู่ใหม่และปรับตัว ปรับการใช้ชีวิต เริ่มต้นเป็นติ่งวัยทำงานอย่างจริงจังแล้ว TTvTT ใครที่ฟอลทวิตเตอร์เราคงจะได้เห็นความประสาทรับประทานของเราในแต่ละวันไปแล้ว ฮือออออ ต้องขอโทษแฟนฟิคที่ตามไปฟอลด้วยนะคะ เจออะไรไม่ดีเลย งื้ออออ

    แต่เราอยากจะขอบคุณทุกคนมากจริงๆ นะคะ ขอบคุณมาก ไม่มีคำไหนจะแทนได้แล้วจริงๆ เรากลับมามีเน็ตใช้ได้อีกครั้งก็รีบเข้ามาหาหน้าฟิคตัวเองก่อนเลย คือทุกคนยังรออยู่จริงๆ TTvTT บางคนถึงขั้นเวียนมาเม้นว่ารออยู่เรื่อยๆ หลายคนให้กำลังใจ นักอ่านใหม่ก็เยอะ นี่ตื้นตันจนไม่รู้จะพูดอะไร ฮือออออออ ขอบคุณและขอโทษอีกครั้งนะคะ

    ตอนนี้เหมือนเขียนไม่น่ายากแต่บอกเลยว่ายากมากกกกกกก เพราะเราทิ้งช่วงการเขียนไปนาน ที่สำคัญคือก่อนจะหายไปเราขึ้นตอนนี้ไว้ประมาณ 30 % แล้ว ทีนี้พอหายไป กลับมาต่ออีกทีมันไม่สนิท อารมณ์มันเหือดไปแล้ว ผลเลยออกมาอย่างที่เห็นค่ะ TvT ภาษาอาจจะจืดชืดไปบ้างต้องขอโทษด้วยนะคะ การเขียนฉากกุ๊กกิ๊กขณะที่สภาพจิตใจดิ่งถึงขีดสุดนี้ไม่ใช่เรื่องตลกจริงๆ ฮือออออออออออ

    ควรพอแค่นี้ไหม 55555* จริงๆ เราตั้งใจจะเขียนตอนพิเศษสั้นๆ ตอบแทนทุกคนที่รอเราต่อฟิคเรื่องนี้นะ แต่เพราะติดคุณชายหมอ(?)เลยเขียนตอนพิเศษนั้นไม่เสร็จสักที กลัวคนอ่านจะรอเรื่องหลักเลยตัดสินใจเอามาให้อ่านก่อนดีกว่า สัญญาว่าจะมีเรื่องสั้นๆ แทนคำขอบคุณและคำขอโทษมาให้แน่นอนค่ะ เป็นเรื่องของใคร คู่ไหน ยังไง ไม่บอกหรอก คริ(?)

    ขอบคุณทุกสายตาที่ไล่กวาดทุกตัวอักษรค่ะ รักคนอ่านมากกกกก
     

     

     

    สุดท้ายนี้...




    - คุณครับ คุณ -

     




     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×