ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] ONE IPPON (KAISOO)

    ลำดับตอนที่ #17 : CHAP 17

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.02K
      21
      9 เม.ย. 56

     

    CHAPTER 17

     

     

    แพคฮยอนมองคนที่นิ่งงันราวกับรูปปั้นอยู่พักใหญ่แล้ว แม้กระนั้นมือเล็กก็ยังคงหยิบแก้วน้ำพลาสติกและผ้าขนหนูใส่กระติกน้ำขนาดใหญ่ตามหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไม่ขาดตก

     

    นักยูโดตัวบางแอบพรูลมหายใจพร้อมระบายยิ้มที่มุมปาก ดูเหมือนผู้ช่วยเตรียมอุปกรณ์ไปแข่งในวันพรุ่งนี้ที่จงอินวานให้มาช่วยเขาจะสติหลุดล่องลอยไปไกลแล้ว

     

    “คยองซู” แม้จะเปล่งเสียงเรียกออกไป แต่คนที่ยังเช็ดแก้วในมือค้างไว้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว

     

    “คยองซู” ...เงียบสนิท...

     

    “โด คยอง ซู”

     

    ย้ำทีละพยางค์ด้วยเสียงหนักๆ ซึ่งก็ได้ผลเมื่อเจ้าของชื่อสะดุ้งน้อยๆ และหันกลับมาหาคนเรียกด้วยใบหน้าเหรอหรา แพคฮยอนกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นหน้าตาเพื่อนร่วมทีมตัวเล็กที่เพิ่งเรียกสติกลับมาได้

     

    “เหม่ออะไรของนายน่ะ? หรือว่าเรื่องแข่งพรุ่งนี้?”

     

    “เปล่าหรอก เอ่อ...จริงๆ มันก็ส่วนหนึ่ง” ตอบพลางยิ้มแห้งก่อนจะยื่นแก้วใบสุดท้ายที่เช็ดจนแทบสึกให้อีกคน

     

    ที่จริงก็ต้องยอมรับว่าการแข่งพรุ่งนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้คยองซูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไรนัก ยิ่งเข้าใกล้วันแข่งก็ยิ่งกังวล ทั้งที่ดวงตาเหม่อลอยไปไร้จุดหมายแต่หัวใจกลับเต้นรัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นการแข่งครั้งแรกในชีวิต เขาไม่อยากคาดเดาเลยว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องไปเหยียบบนสนามจริงๆ แล้วสติยังจะหลงเหลืออยู่กับตัวเองมากน้อยแค่ไหน

     

    แต่ทว่าอีกเหตุผลที่ทำให้เขาเหม่อจนเกินควรแบบนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ไอ้คนที่กำลังนั่งยุ่งอยู่กับเอกสารการแข่งอยู่บนเบาะกับปาร์คชานยอลนั่นไง ยิ่งสายตาหันไปพบกับใบหน้าหล่อคมที่กำลังจริงจังกับเอกสารในมือ คยองซูก็ยิ่งรู้สึกราวกับว่าตอนนี้ตัวเองยืนอยู่บนสนามแข่งจริงๆ

     

    หัวใจเต้นแรงเกินไปแล้ว

     

    ย้อนกลับไปเมื่อสามวันก่อนตอนที่ได้ฝึกเนวาซ่าครั้งแรก กว่าจะเรียนรู้วิธีดิ้นล็อคให้สัมฤทธิ์ผลก็เล่นเอารู้สึกเปลืองตัวพิกล เพราะหลังจากที่จงอินให้เขาเป็นฝ่ายล็อคเพื่อที่จะสาธิตการดิ้นแบบยกข้ามตัวให้ ผลที่ตามมาหลังจากนั้นยิ่งทำให้คนเป็นหุ่นหน้าร้อนราวเป็นไข้

     

    คนตัวโตโอบร่างเล็กแล้วยกพลิกข้ามตัวมาจริง แถมยังกดล็อคต่อด้วยท่าเคซ่าแบบในตำราไม่มีผิดเพี้ยน แต่เพราะมันเหมือนยังกับถอดมาจากตำรานี่แหละที่เป็นปัญหา เพราะว่าหลังจากโดนโอบพลิกมาแล้ว จงอินก็กดล็อคเขาโดยตนเองเป็นฝ่ายอยู่ข้างบนได้อย่างสมบูรณ์

     

    กายแนบชิด มือขวาล็อคใต้ท้ายทอย มือซ้ายดึงแขนผอมบางพาดผ่านอกกว้าง ก้มตัวลงชิด ใบหน้าแทบแนบกัน ใกล้จนได้ยินเสียงหายใจพร้อมจังหวะการเต้นของหัวใจที่แข่งกันดังระรัว

     

    ดวงตากลมโตจับจ้องรอยยิ้มเหลือร้ายบนริมฝีปากคมหยัก ลมหายใจอุ่นๆ เป่าเฉียดแก้มเขาเบาๆ ตาสีเข้มทอดมองมาอย่างอ่อนโยนในระยะประชิดชวนให้รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง

     

    เข้าใจหรือยัง?

     

    มีเพียงคำถามสั้นๆ ที่เปล่งออกมาเบาๆ ใช้เวลารวบรวมสติอยู่หลายวินาทีกว่าที่คยองซูจะพยักหน้าตอบ นักยูโดผิวเข้มถึงได้ยอมละออกจากร่างเล็ก แล้วให้เรียกเซฮุนให้มาเป็นคู่กับคยองซูเหมือนเดิม

     

    หลังจากครั้งนั้นจงอินก็ยังมาฝึกเนาวาซ่าให้คยองซูอยู่เช่นเดิมแต่ไม่ได้ลงมาเป็นคู่ซ้อมด้วยตัวเองแล้ว ประธานชมรมเพียงแค่ยืนสอนพร้อมรอยยิ้มเคลือบความเจ้าเล่ห์เป็นครั้งคราว แต่นั่นมีแต่จะยิ่งทำให้คยองซูรู้สึกใจสั่นหนักกว่าเก่า จนชวนให้นึกสงสัยว่าแค่ความใกล้ชิดที่มีมากขึ้นทำให้เขาเป็นได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

     

     

    “มีเหตุผลอะไรที่คนเราจะหัวใจเต้นแรงเวลาอยู่ใกล้คนอื่นเหรอ?”

     

    “ก็เพราะชอบคนๆ นั้นอยู่น่ะสิ แค่นี้ยังต้องถามอีกหรือไง?”

     

     

    ...บ้าจริงเชียว...

     

     

    “นายเหม่ออีกแล้วนะคยองซู” เสียงแพคฮยอนเรียกให้อีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อยอีกหนก่อนจะหันกลับไปพบรอยยิ้มขันของเพื่อนร่วมทีมคนชอบเหม่อจึงหัวเราะแห้งๆ กลับไปอย่างเสียไม่ได้

     

    “จะไหวมั้ยเนี่ย?”

     

    “พวกนายเตรียมของกันเสร็จหรือยัง? เดี๋ยวฉันจะขอคุยด้วยหน่อย เรื่องการเตรียมตัวไปแข่งพรุ่งนี้”

     

    เสียงทุ้มของตัวต้นเหตุเอ่ยขึ้นคั่นบทสนทนา คนตัวเล็กทั้งสองคนหันไปหาพร้อมพยักหน้าตอบ พอดีจังหวะที่เซฮุนเพิ่งจะกลับเข้ามาหลังจากที่ไปหาซื้อเทปผ้าพัน (สแต็ป) มาเพิ่มพอดี ไม่กี่นาทีสมาชิกชมรมทุกคนจึงพร้อมกันนั่งล้อมวงอยู่บนเบาะยูโดรอฟังสิ่งที่กัปตันทีมจะแจ้ง

     

    คยองซูอยากขอบคุณหัวใจตัวเองที่รู้จักแบ่งเวลาหน้าที่ อย่างน้อยไอ้ความรู้สึกที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไรนี้ก็สงบเสงี่ยมได้ในตอนที่ถึงเวลาจริงจัง ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องเหนื่อยทุกครั้งที่เห็นหน้าหล่อๆ ของผู้ชายคนนี้ที่ปั้นเขามากับมือ

     

    “ฉันจะบอกพร้อมกันอีกครั้งถึงสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนไปแข่งขัน เราจะไปวันเดียวกลับไม่ได้ค้าง ออกเดินทางตอนหกโมงเช้าเพราะทางนั้นแจ้งมาแล้วว่าจะชั่งน้ำหนักตอนเจ็ดโมง จะมีรถตู้ของมหาลัยมารออยู่หน้าโรงยิม” จงอินพูดแล้วแพคฮยอนก็เสริมต่อตามมา

     

    “เรื่องเวลานัดเจอกันฉันว่าคงไม่มีปัญหา ก็เดี๋ยวนายออกจากหอพร้อมฉัน แล้วให้ชานยอลแวะไปรับคยองซูกับเซฮุนมาด้วยเลย เวลาถึงหน้าโรงยิมคงใกล้ๆ กัน”

     

    “ไม่ปรึกษากันเลยนะพยอนแพค” ชานยอลแย้งขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ทำให้คนถูกว่ารู้สึกรู้สา แพคฮยอนหันไปยักคิ้วพร้อมยกยิ้มกวนๆ ใส่ ซึ่งแน่นอนว่าอย่างชานยอลน่ะหรือจะขัดใจอะไรได้

     

    “งั้นก็ตามนั้น ส่วนของที่ต้องเตรียมนอกจากชุดยูโดของตัวเองแล้วก็อย่าลืมเตือนกันให้ขึ้นมาเอากระติกน้ำกับพวกแก้วน้ำผ้าเย็นที่เราเตรียมกันไว้ล่ะ แพคฮยอนเตรียมยาไว้ที่ห้องแล้วใช่มั้ย?” หันไปถามคนตัวเล็กข้างๆ แพคฮยอนพยักหน้ารับ

     

    “โอเค นอกนั้นก็ไม่มีอะไรมาก เพราะแม็ทซ์นี้ไม่ใช่แม็ทซ์ใหญ่ แต่ถึงยังไงก็ขอให้ทุกคนทำให้เต็มที่นะ แต่ก็ห้ามลืมความปลอดภัยของตัวเอง โดยเฉพาะคยองซูกันเซฮุน”

     

    คนถูกเอ่ยชื่อสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันมองคนพูด เจ้าของใบหน้าคมเข้มกำลังหันมองเด็กใหม่ทั้งสองคนที่นั่งอยู่ใกล้กัน หากแต่จากรอยยิ้มขันของเซฮุนก็พอเดาได้ว่าคนที่อยู่ในสายตาพ่อประธานจอมโหดนั่นน่ะมีแค่ใคร

     

    “ชัยชนะใครๆ ก็อยากได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือรักษาความปลอดภัยของร่างกายตัวเองไว้ มันจะไม่มีค่าอะไรเลยถ้านายชนะแต่ต้องเจ็บตัว อย่าฝืนถ้ารู้ว่าไม่ไหว อย่าลืมท่าตบเบาะที่ถูกต้องเพราะมันจะช่วยเซฟได้มาก เมื่ออยู่บนสนามแข่งแล้วฉันไม่สามารถมาจ้ำจี้จ้ำไชกับนายได้อีกแล้วนะ”

     

    “ครับ เซฮุนเข้าใจแล้ว”

     

    น้องเล็กของทีมพูดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มขัดจังหวะตาประสานตาของคนสองคนที่เอาแต่จ้องกันอยู่นั่น พอถูกแกล้งเข้าแบบนั้น จงอินแสร้งกรอกตาไปทางอื่นขณะที่คยองซูพยักหน้าเข้าใจแล้วหันไปมองอากาศธาตุเหมือนกัน เล่นเอาชานยอลกับแพคฮยอนกลั้นขำจนตัวสั่น ...โอเซฮุนนี่ยังร้ายเหมือนเดิมจริงๆ

     

    “งั้นก็ตกลงตามนี้ วันนี้งดซ้อมจะได้เก็บแรงไว้แข่งพรุ่งนี้” จงอินพูดเสียงเข้มที่ไม่เนียนเอาเสียเลย สามซี้หันมองหน้ากันพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม พยักหน้าเป็นอันรู้กันอีกหนึ่งที

     

    “ไหนๆ วันนี้ไม่มีซ้อมแล้ว แถมยังเป็นวันศุกร์งั้นเราก็ไปกินข้าวด้วยกันเร็วขึ้นด้วยเถอะ จะได้รีบๆ กลับไปนอนพักผ่อน”ชานยอลพูดขึ้นพลางบิดยืดแข้งยืดขา

     

    “เย้ๆ พี่แพคฮยอนเอารถมาใช่มั้ยฮะ? พาเซฮุนแวะซื้อชาไข่มุกด้วยนะ”

     

    “เอามาๆ ดีเลย จะได้ปล่อยไอ้สูงหูกางนั่งรถเหงาไปคนเดียว” หันไปแลบลิ้นใส่เล่นเอาคนที่นั่งมองนิ่งๆ เอื้อมนิ้วไปแกล้งแตะลิ้นเล็กนั้นด้วยความหมั่นไส้ คนถูกแกล้งเลยได้โวยวายยกใหญ่เกิดสงครามอันทำให้ชานยอลต้องเจ็บตัว (โดยเต็มใจ) ไปอีกตามเคย

     

    จังหวะที่กำลังเกิดสงครามอันได้เห็นจนชินตาและมีเซฮุนนั่งหัวเราะคอยเชียร์หน่วยรบของทั้งสองฝ่ายอยู่นั้น คนสองคนที่เพิ่งจะส่ายหัวยิ้มๆ ให้กับภาพตรงหน้าพร้อมกันกลับหันมาสบตาโดยไม่ได้นัดกัน

     

    ฝ่ายคนตัวโตไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มให้กับความบังเอิญที่ชักเกิดขึ้นบ่อยโดยไม่ตั้งใจในระยะหลัง ส่วนคยองซูก็เพียงแค่ยิ้มตอบกลับไป หลังจากนั้นเป็นจงอินที่ค่อยหยัดตัวลุกขึ้นยืน

     

    “งั้นก็ไปกันเถอะ” ไม่พูดเปล่าแต่เดินไปใกล้เด็กปั้นแล้วก้มดึงมือเล็กๆ นั้นให้ลุกขึ้นยืนตามมาด้วย

     

    แม้หน้าตาน่ารักจะยังเหรอหรากับการกระทำไม่แคร์ใครของประธานชมรมอยู่บ้างแต่ก็ยอมลุกตามแรงฉุดนั้นโดยดี พากันเดินหายออกไปจากห้อง ทิ้งบุคคลที่เหลือพรูลมหายใจออกมาพลางคลี่ยิ้มแล้วจึงค่อยลุกเดินตามกันออกมา

     

    ถ้าจะขนาดคุยกันด้วยสายตาขนาดนั้นก็อย่าไปขัดความฟินของท่านเทพไคเลยดีกว่า อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนที่ฝีมือเฉียบคมและเล่นโหดไม่ปรานีคู่ต่อสู้หน้าไหนแบบนั้นเวลาตกอยู่ในห้วงความรักจะยังดุเป็นเสือในการแข่งวันพรุ่งนี้ได้อีกมั้ย...

     

     

     

    มหาวิทยาลัย s เจ้าภาพจัดการแข่งครั้งนี้อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย k เท่าไรนัก ใช้เวลาเดินทางแค่ครึ่งชั่วโมงก็มาถึง รถตู้สีขาวจอดเทียบริมอาคารโรงยิมของมหาลัยก่อนที่บรรดานักยูโดตัวเต็งทั้งหลายจะก้าวลงมาจากรถ

     

    ชานยอลเป็นคนแรกที่เปิดประตูออกมาพร้อมแบกกระติกน้ำทรงเหลี่ยมขนาดใหญ่ติดมือลงมาด้วย ตามมาด้วยแพคฮยอนซึ่งมีหน้าที่ดูแลกล่องยา และเซฮุนที่แบกชุดยูโดของรุ่นพี่สองคนก่อนหน้าเดินตามลงมา จงอินลงมาเป็นลำดับถัดไป ไม่ลืมเอื้อมมือไปดึงคนตัวบางที่กำลังเบ้หน้าโคลงคอตัวเองไปมาเบาๆ

     

    “ปวดคอล่ะสิ” เสียงทุ้มเอ่ยถามขณะที่กุมมือขาวไว้หลวมๆ แล้วพาลงมาจากรถ หลังจากนั้นจึงเลื่อนประตูรถตู้ปิดให้เรียบร้อย

     

    “อืออออ ขอโทษจงอินด้วยนะ เมื่อยไหล่มากมั้ย?”

     

    “ไม่เป็นไรหรอก ดีกว่าเห็นนายนั่งสัปหงกคอตกคอพับแบบนั้น น่ากลัวจะคอหักก่อนได้แข่งเอา” พูดพลางยิ้มหยอกไปด้วยจนคนถูกล้อต้องทำปากยื่น

     

    “ก็เมื่อคืนมันนอนไม่หลับนี่นา มัวแต่ตื่นเต้น นายมันเทพสนามแล้วนี่ ไม่เข้าใจความรู้สึกฉันหรอก”

     

    “ทำไมจะไม่เข้าใจล่ะ ฉันก็เคยแข่งครั้งแรกเหมือนกันนะ ไม่เอาละ ไหนหันคอมาสิจะนวดให้ อ่ะ! ฝากถือชุดยูโดด้วย” พูดเองเออเองเสร็จสรรพก็โยนชุดไปให้คนตัวบางถือ ส่วนตัวเองก็เดินอ้อมมาข้างหลัง ใช้สองมือกดลงไปบริเวณไหล่เล็กและบีบเบาๆ แม้จะต้องเดินไปด้วย

     

    ตลอดการเดินทางก่อนจะมาถึง คยองซูสัปหงกไปตั้งหลายครั้งจนจงอินที่นั่งอยู่ข้างๆ อดสงสารไม่ได้ ก็พอเข้าใจอยู่ว่าการแข่งครั้งแรกมันทำให้คนเรากังวลแค่ไหน ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่คยองซูจะปรากฏตัวในตอนเช้าด้วยสภาพอดหลับอดนอนแบบนี้ พอเห็นแบบนั้นเด็กหนุ่มผิวเข้มจึงสะกิดไหล่เล็กเบาๆ แล้วชี้มาที่ไหล่ตัวเอง

     

    คนตัวบางสะลึมสะลือมอง พยายามแปลสารที่อีกคนจะสื่อได้ไม่นานก็ซบหัวทุยลงกับลาดไหล่กว้างที่ยินดีให้พักพิง เข้าสู่ห้วงนิทราสั้นๆ โดยที่ไม่ทันได้รู้ว่าคนที่ได้กลิ่นหอมของแชมพูใกล้เพียงปลายจมูกจะนั่งยิ้มจนเมื่อยแก้มขนาดไหน รวมถึงอาจไม่ทันได้รู้ตัวว่าถูกคนตัวโตเนียนลูบใบหน้าขาวเอาเส้นผมละเอียดที่ร่วงลงมาชวนสร้างความรำคาญให้คนแอบมองออกไปตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

     

    คยองซูรู้สึกตัวตื่นตอนที่นิ้วของคนที่นั่งข้างๆ สะกิดต้นแขนอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็พบว่ารถเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยเจ้าภาพแล้ว ซึ่งแน่นอนว่ามาพร้อมกับอาการปวดคอเพราะนอนไม่สะดวกจนต้องลำบากคนใจดีที่อุตส่าห์ให้ยืมไหล่ต้องมาบีบนวดคลายเส้นให้อีกแบบนี้

     

    “ไงเทพไคครับ มาเช้าก่อนทีมอื่นอีกตามเคย”

     

    เสียงเรียกไม่คุ้นหูดังขึ้นทันทีที่เดินเข้ามาในโรงยิมกว้าง ประธานชมรมผิวเข้มหันไปมองทางต้นเสียงแล้วก็ต้องยิ้มกว้างก้าวขาไวๆ ไปหาพี่ชายกล้ามโตผู้เป็นประธานชมรมยูโดของมหาลัยเจ้าภาพ

     

    “พี่จงฮยอน สบายดีมั้ยพี่?” เด็กหนุ่มโค้งทักทายก่อนจะสวมกอดพี่ชายร่วมวงการอย่างเป็นกันเอง

     

    “ก็เรื่อยๆ ว่ะ อ้าว! ชานยอลสวัสดี แพคฮยอนก็ด้วย สบายดีกันนะทุกคน?” คิมจงฮยอนทักทายนักกีฬาต่างสถาบันคนที่เหลือซึ่งำเดินตามมาติดๆ

     

    ชานยอลและแพคฮยอนโค้งทักรุ่นพี่ที่เคยพบกันมาก่อนหน้านี้แล้ว สำหรับชานยอลก็ไม่ต่างกับจงอินเพราะคร่ำหวอดอยู่ในวงการนี้มานานพอกันจึงเป็นที่รู้จักมักคุ้นกันดีกับคิมจงฮยอนซึ่งก็เป็นคนดังในวงการเมื่อหลายปีก่อนเช่นกัน ส่วนแพคฮยอนก็เคยแข่งเมื่อปีก่อนมาแล้ว จึงไม่แปลกที่จงฮยอนจะเอ่ยทักชื่อนักยูโดต่างทีมได้อย่างถูกต้อง

     

    ประธานชมรมรุ่นพี่แจกรอยยิ้มทักทายคนเป็นน้องอย่างทั่วถึงจนกระทั่งสายตามาหยุดที่ร่างเล็กสองคนที่ยืนมองการทักทายตรงหน้าอย่างงงๆ จงฮยอนหันกลับมาหารุ่นน้องผิวเข้มเป็นเชิงถาม

     

    “คนตัวผอมๆ ขาวๆ นั่นโอเซฮุน น้องรหัสของแพคฮยอน แข่งแม็ทซ์นี้เป็นแม็ทซ์แรกแต่อย่าดูถูกเชียวนะ เพราะดุไม่แพ้พี่รหัสนั่นแหละ” จงอินแนะนำไปกลั้วหัวเราะไป ขณะที่เซฮุนยิ้มและโค้งทักทายจงฮยอนไปด้วย

     

    “ส่วนคนตัวเล็กๆ ตาโตๆ คนนั้นชื่อโดคยองซู”

     

    “อ๋อออออ ไอ้ลู่มันบอกแล้ว เด็กปั้นแกใช่ม๊ะ?” ยังไม่ทันที่จงอินจะพูดจบ จงฮยอนก็พูดขัดขึ้นมาก่อนพร้อมรอยยิ้มกวนๆ ตามแบบฉบับ จงอินเลิกคิ้วแล้วพยักหน้ารับ

     

    “บอกอะไรมามั่งล่ะ”

     

    “ก็บอกแค่ว่าชมรมแกมีเด็กใหม่เข้ามา ตัวบางๆ ตาโตๆ แต่ไม่คิดเหมือนกันแฮะว่าจะตัวเล็กขนาดนี้ ท่าทางไม่น่ามาเล่นยูโดได้จริงๆ นี่บางกว่าแทมินอีกมั้ง” พูดพลางมองสำรวจร่างเล็กผิวขาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลไปด้วย คนถูกมองวางตัวไม่ถูกตัดสินใจโค้งทักแล้วยิ้มแห้งๆ ส่งกลับไป

     

    “บอกแค่นั้น?” จงอินพูดขัดเพื่อเรียกคนอายุมากกว่าให้ละสายตากลับมาหาเขาผู้เป็นคู่สนทนาแทนคนตัวบางตรงหน้า จงฮยอนพยักหน้าตอบ

     

    “เออ แค่นั้นแหละ ทำไม? หรือมีอะไรมากไปกว่านี้ที่ฉันควรรู้วะ?” แกล้งกระทุ้งศอกพร้อมทำหน้าเจ้าเล่ห์แหย่รุ่นน้อง

     

    จงอินไม่ได้ตอบอะไรแค่ยกยิ้มแล้วเดินเลี่ยงอีกฝ่ายตรงไปยังห้องชั่งน้ำหนัก หันมากวักมือเรียกสมาชิกชมรมที่เหลือให้เดินตามมา คยองซูที่ยังยืนงงอยู่ข้างๆ เซฮุนจึงเดินตามติดจงอินเข้าห้องอีกห้องในโรงยิมไปพร้อมกัน

     

    ภายในห้องนั้นไม่ได้มีแค่ตาชั่งดิจิตอลขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่มุมห้องเท่านั้น แต่ยังมีบรรดานักยูโดคนอื่นๆ นอนระเกะระกะกันอยู่บนเบาะยูโดที่ถูกยกเข้ามาข้างในด้วย ดูเหมือนห้องนี้จะเป็นห้องสำหรับเก็บเอกสารของชมรมรวมไปถึงเป็นสถานที่ใช้พูดคุยหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ร่วมกันของคนในชมรม นอกเหนือไปจากสนามยูโดขนาดมาตรฐานที่อยู่ด้านนอกห้องซึ่งเป็นพื้นที่โล่งกว้างที่สุดในโรงยิม

     

    เพียงแค่จงอินก้าวเข้าไปในห้อง ทั้งผู้ชายตาตี่ที่นอนเอกเขนกอยู่ข้างๆ กล่องไก่ทอดและกลุ่มผู้ชายสามคนที่กำลังนั่งเล่นเกมส์กันอย่างเมามันต่างก็หันมามองกลุ่มผู้มาใหม่เป็นตาเดียวกัน หากแต่ผู้ที่ร้องทักชื่อประธานชมรมมหาลัย k ก่อนใครเป็นผู้ชายตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม ซึ่งทันทีที่คยองซูเห็นหน้าก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความแปลกใจ

     

    “ไค!

     

    “บอกกี่ทีแล้วว่าให้เรียกจงอิน นายเคยเห็นฉันตอนสมัยเป็นตำนานหรือไงห๊ะ?” จงอินส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนที่คนเรียกจะวิ่งอ้อมหลังวงเล่นเกมส์ตรงเข้ามาหาพร้อมยิ้มกว้าง

     

    “ตอนนี้นายก็ยังเป็นตำนานอยู่ไม่ใช่หรือไง แต่เอาเถอะ จงอินก็จงอิน ฉันคิดถึงฝีมือการเล่นขั้นเทพของนายจะแย่ ไม่ได้เจอกันมาตั้งปีกว่าแน่ะ” น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความตื่นเต้นยิ่งตอกย้ำให้รู้ว่าคำพูดที่พลั่งพรูออกมานั้นมาจากความรู้สึกข้างในจริงๆราวกับเด็กดีใจเมื่อได้เห็นของชิ้นโปรดยังไงยังงั้น

     

    “แล้วนี่ยังอู้ซ้อมอยู่หรือเปล่า?”

     

    “ที่สุดเลยล่ะ” กลับเป็นผู้ชายตัวสูงอีกคนในวงเล่นเกมส์ที่ตอบพร้อมลุกขึ้นและเดินมาหาจงอินเช่นกัน

     

    “พี่มินโฮ!

     

    “อู้แล้วยังจะไปแยกเขี้ยวใส่พี่เขาอีกนะ อีแทมิน” กั้นปั้นหลวมๆ เขกบนหน้าผากของคนที่ตัวเตี้ยกว่าเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะ

     

    หากไม่บอกว่าสองคนนี้เป็นแค่เพื่อนต่างมหาวิทยาลัยกัน คยองซูคงเข้าใจว่าเป็นพี่น้องคลานตามกันมาแน่ๆ แม้จงอินจะตัวสูง ผิวเข้ม และมีโครงหน้าคมสันมากกว่าหากเทียบกับแทมินคนที่ว่าซึ่งตัวเล็กกว่านิดหน่อย ผิวขาวกระจ่าง และมีรูปหน้าติดจะหวานกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังนับว่าคล้ายกันมากจนน่าตกใจ

     

    หากสิ่งที่ทำให้คยองซูแปลกใจไม่ได้มีแค่นั้น มือเล็กเผลอกำสายยูโดสีขาวที่มัดอยู่กับชุดในมือแน่นจนเหงื่อซึมฝ่ามือ กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าตัวเองกำแน่นขนาดนั้นก็ตอนที่เริ่มรู้สึกชานิดๆ ถึงได้ค่อยคลายแรงบีบชุดยูโดที่หิ้วติดมือ

     

     

    ทำไมกันนะ...?

    ทำไมเห็นความสนิทสนมตรงหน้านี้แล้วถึงได้รู้สึกแปลกๆ กับหัวใจ คล้ายมันเต้นช้าลงแบบนี้?

     

     

    “อ่าจริงสิ ฉันจะแนะนำให้นะ” จงอินพูดขึ้นหลังจากที่ทุกคนในห้องนั้นมาล้อมอยู่ตรงหน้าเจ้าตัวครบและก็ได้พูดคุยทักทายกันพอประมาณแล้ว

     

    “นี่พี่จินกิ อดีตประธานปีที่แล้ว” เริ่มต้นจากผู้ชายตาตี่ที่มีรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์ พี่ใหญ่สุดโบกมือทักทายรุ่นน้องต่างทีมที่กำลังโค้งให้ทุกคน

     

    “ส่วนนี่พี่มินโฮรองประธาน ใครซวยได้แข่งกับพี่แกก็ระวังหน่อยนะ ถ้าไม่โดนเชือด (เทคนิครัดคอ) หลับคาเบาะหรือแขนหักคามือพี่แกก็ไม่ปล่อยหรอก”

     

    “เว่อร์ไปละไค น้องนุ่งกลัวหมด พี่ไม่โหดนะครับน้องๆ อย่าไปฟังไอ้ไคมัน” คนตัวสูงที่สุดในกลุ่มชกเบาๆ ไปที่ไหล่ของคนพูดที่เอาแต่หัวเราะ ก่อนจะหันกลับมายิ้มและรับการทักทายของสมาชิกมหาลัย k

     

    “คนนี้พี่คิบอม ในวงการชื่อคีย์ เจ้าพ่อท่าเชือด ทำคู่ต่อสู้หลับคาสนามมาแล้วไม่รู้กี่คน”

     

    “เออ แล้วฉันจะทำแกหลับคาเบาะไปด้วยอีกคนนี่แหละ” คิมคิบอมหรือคีย์ ผู้ชายตัวเล็กผิวขาวหน้าสวยหันมาพูดนิ่งๆ แล้วแกล้งคล้องท่อนแขนเตรียมจะใช้เทคนิคการรัดคอกับรุ่นน้องต่างทีมที่วันนี้ดูจะปากคอเราะร้ายเสียเหลือเกิน เรียกเสียงหัวเราะจากบุคคลที่เหลือได้เป็นอย่างดี

     

    “วันนี้ดูคึกพิกลนะ” คำถามที่เชื่อว่าคนอื่นๆ ก็คงอยากถามออกมาจากปากรุ่นพี่ตาตี่ จงอินไหวไหล่พร้อมยกยิ้ม

     

    “ก็ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ตื่นเต้นหน่อยไม่ได้หรือไงพี่จินกิ อ่ะ! เหลืออีกคน นี่อีแทมิน น้องใหม่ของทีมมหาลัย s ถึงจะพูดว่าน้องใหม่แต่ปีที่แล้วก็ผ่านการแข่งกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์มาแล้ว พูดแล้วก็เสียดายอยู่เหมือนกันเนอะ ไม่น่าพลาดโดนแพคฮยอนทำให้เอ็นข้อเท้าฉีกซะก่อนไม่งั้นคงได้แข่งกีฬามหาลัยด้วย”

     

    “คิมจงอิน แนะนำอย่างเดียวพอ ไม่ต้องมากตอกย้ำฉัน!” แพคฮยอนแย้งขึ้นมาแล้วหันไปยิ้มแห้งก้มหัวขอโทษแทมินเหมือนอย่างที่ทำซ้ำๆ มาตลอดทุกครั้งที่เจอหน้ากัน

     

    แทมินก้มหัวกลับแล้วยกสองมือโบกไปมาเป็นเชิงว่าอย่าคิดมาก อันที่จริงเรื่องมันก็ผ่านไปตั้งเป็นปีแล้ว และแพคฮยอนก็ไม่ได้ตั้งใจ การแข่งตอนนั้นเราสูสีกันมาก ความคิดความอ่านต่างอยู่ในเกมส์จนลืมทุกอย่างไปหมด จนเมื่อจบการแข่งขันและเคารพกันเรียบร้อยแทมินก็เพิ่งมารู้ตอนนั้นเองว่าตัวเองก้าวเท้าไม่ไหวแล้ว

     

    หลังเหตุการณ์ครั้งนั้นทำเอาแพคฮยอนคิดมากจนจงอินกับชานยอลต้องคอยตามประกบอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลาตอนที่พาแทมินไปส่งโรงพยาบาล คนตัวเล็กเล่นเอาแต่ร้องไห้กล่าวขอโทษแทมินซ้ำๆ ขณะที่คนเจ็บก็ยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไรจนเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง

     

    “ฉันไม่เป็นไรแล้วแพคฮยอน เห็นมั้ยล่ะ อย่างที่จงอินบอกไงว่ารักษาไม่กี่เดือนก็หาย แต่เพราะกีฬามหาลัยปีที่แล้วมันเลื่อนวันแข่งให้เร็วขึ้นกว่าทุกครั้ง ฉันเลยแข่งไม่ทันต่างหาก” แทมินยิ้มบอกเพื่อนต่างทีม

     

    “ยังไงก็ต้องขอโทษจริงๆ นะแทมิน ตอนนั้นสติมันหลุดไปกับการแข่งแล้วจริงๆ”

     

    “บอกกี่ทีแล้วว่าไม่ต้องขอโทษๆ ขอแค่นายยังมั่นใจกับการเล่นสไตล์นี้ของตัวเองต่อไปก็พอแล้ว ถ้าลองนายเล่นดุน้อยลงเพราะฉันสิฉันจะโกรธนายตลอดชีวิตเลยแพคฮยอน”

     

    “ไม่เห็นจะดุน้อยลงสักกะติ๊ดเลยแทมิน ยิ่งเวลาเล่นรันกับฉันนะยิ่งดุ๊ดุ ซ้อมทีจะช้ำทั้งร่าง”

     

    เป็นชานยอลที่พูดขึ้นมาพร้อมเสียงหัวเราะแล้วลูบหัวคนตัวเล็กกว่าไปด้วย แพคฮยอนหันกลับไปแยกเขี้ยวใส่แล้วประเคนกำปั้นให้อกล่ำๆ หนึ่งดอก ขณะที่สมาชิกทีมมหาลัย s ส่ายหัวเบาๆ งึมงำว่าคู่นี้ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ

     

    “ดูสิ มัวแต่คุยกัน ยังไม่ได้ทักทายสองคนนั้นเลย สวัสดีนะ เอ่อ...เออ นายยังไม่แนะนำสองคนนั้นให้ฉันรู้จักเลยนะจงอิน” แทมินยิ้มโบกมือทักทายเซฮุนกับคยองซูที่ยืนถัดไปแต่ก็ต้องชะงัก

     

    “คนนั้นน้องรหัสแพคฮยอน ชื่อโอเซฮุน เล่นมาได้เกือบปีแล้วล่ะ ส่วนคนนั้นน้องใหม่แกะกล่องชื่อโดคยองซู”

     

    “แข่งเดี่ยวใช่มั้ย?” จินกิถาม ประธานชมรมผิวเข้มพยักหน้า

     

    “รุ่นอะไรเหรอ?”

     

    “ทำไม? อยากรู้ล่ะสิว่าคนไหนจะได้แข่งกับตัวเอง ฉันไม่บอกหรอก เอาไว้ชั่งน้ำหนักเสร็จเดี๋ยวก็รู้เองแหละ” จงอินยักคิ้วกวนใส่แทมินที่ยู่หน้าทันทีเมื่ออีกฝ่ายหวงคำตอบเอาไว้

     

    “งั้นก็เดี๋ยวจะรู้ละ ไปเลย ไปชั่งน้ำหนัก อยากมาทีมแรกดีนัก ให้ไวเลย”

     

    คิมคิบอมว่าก่อนจะลากมือรุ่นน้องตัวสูงให้ตรงไปยังเครื่องชั่งโดยมีเสียงหัวเราะสะใจของแทมินไล่หลังตามมาด้วย จงอินบอกให้คนที่เหลือเดินตามมาที่ตาชั่งดิจิตอลตัวใหญ่ด้วยกัน จะได้ชั่งน้ำหนักพร้อมกันไปเลยทั้งประเภททีมและเดี่ยวโดยมีมินโฮเป็นคนคุมตาชั่ง

     

    ปกติแล้วกีฬาที่ต้องเล่นตามรุ่นน้ำหนักจะมีการกำหนดรุ่นเอาไว้ชัดเจน น้ำหนักจะต้องอยู่ในรุ่น ส่วนประเภททีมรวมน้ำหนักกันทั้งสามคนแล้วก็ต้องไม่เกินน้ำหนักที่ระเบียบการแข่งขันกำหนดไว้เช่นกัน โดยในการชั่งจะมีผู้คุมตาชั่งหรือเรียกอย่างเป็นทางการว่ากรรมการชั่งน้ำหนักอยู่ด้วยเพื่อขานน้ำหนักที่ปรากฏและเพื่อยืนยันว่าน้ำหนักผู้เข้าแข่งขันอยู่ในเกณฑ์ตามรุ่นจริงๆ หลังจากนั้นจึงให้ไปเซ็นชื่อในใบลงชื่อของแต่ละทีมเพื่อเป็นหลักฐานว่ามาชั่งน้ำหนักแล้วจริง

     

    ยิ่งเป็นแม็ทซ์การแข่งขันที่ใหญ่และเป็นทางการมากเท่าไร การชั่งน้ำหนักก็ต้องยิ่งเข้มงวดมากเท่านั้น แต่เพราะกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ไม่กี่มหาลัยแบบนี้ไม่ใช่แม็ทซ์ทางการมากนัก อีกทั้งนักกีฬาของแต่ละสถาบันก็ค่อนข้างรู้จักมักคุ้นกันดีอยู่แล้วความเข้มงวดจึงมีไม่มากนัก ปฏิบัติพอเป็นพิธีแถมบางครั้งยังโอนอ่อนให้กันบ้างด้วยซ้ำ

     

    “ประเภทบุคคลน้ำหนักผ่านทั้งสองคน เดี๋ยวเดินไปลงชื่อในกระดาษบนโต๊ะนั้นด้วยนะ” คีย์พูดกับเซฮุนและคยองซูที่เพิ่งชั่งน้ำหนักเสร็จพร้อมกับชี้ไปยังโต๊ะตัวใกล้ๆ “เปิดๆ หาแผ่นที่หัวกระดาษเขียนว่ามหาลัย k นะเพราะจะมีใบของมหาลัยอื่นอยู่ด้วย”

     

    “อ่า...ครับ” คยองซูรับคำแล้วเดินไปยังโต๊ะที่มีกระดาษหกใบเย็บมุมไว้

     

    มือเล็กพลิกเปิดกระดาษทีละหน้า อ่านหัวกระดาษแสดงชื่อของแต่ละสถาบันไปด้วยเบาๆ กระดาษแต่ละหน้าเป็นตารางโล่งๆ ยังไม่มีชื่อนักกีฬาพิมพ์ไว้ในนั้น เขาเดาเอาว่าคงจะให้เขียนชื่อพร้อมลงน้ำหนักที่ชั่งได้ด้วยตัวเอง เผื่อว่านักกีฬาที่แจ้งชื่อไว้จะไม่ได้มาแข่งหรือมีทีมไหนส่งนักกีฬามาเพิ่มจากที่คุยกันไว้

     

    กวาดไล่ไปทีละหน้ากระทั่งสายตามาหยุดที่หน้ารองสุดท้าย ชื่อมหาวิทยาลัยบนหัวกระดาษทำให้เผลอสะดุดลมหายใจ คยองซูนิ่งค้างไปครู่หนึ่งกระทั่งเซฮุนสะกิดต้นแขนเบาๆ เขาจึงหันไปยิ้มจางให้แล้วเปิดหน้าสุดท้ายซึ่งเป็นของมหาวิทยาลัย k

     

    หลังเซ็นชื่อเสร็จเรียบร้อยคยองซูกับเซฮุนออกไปนั่งรอสามคนที่เหลือนอกห้อง ตรงบริเวณที่จงอินชี้ให้จองที่ไว้ข้างสนามแข่งมุมที่จะได้ดูการแข่งขันได้ชัดๆ พร้อมทั้งช่วยกันแบกกระติกกับกล่องยาไปวางไว้ด้วย

     

    เซฮุนมองอาการเหม่อผิดปกติของพี่ชายตัวเล็กด้วยความสงสัย คล้ายกับว่าคยองซูไปเห็นอะไรบางอย่างในตอนเซ็นชื่อเข้า แต่กระดาษแต่ละใบก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เมื่อทนสงสัยไม่ไหวน้องเล็กของทีมเลยขอตัวกลับเข้าไปหากัปตันทีมในห้อง

     

    “พี่จงอินๆ” มือบางสะกิดคนเป็นพี่ที่กำลังยืนคุยอย่างออกรสอยู่กับจงฮยอน จงอินหันกลับมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร อีกฝ่ายทำหน้าลำบากใจก่อนจะพูดเบาๆ พอให้ได้ยินกันสองคน

     

    "พี่คยองซูเป็นอะไรม่รู้ เซ็นชื่อเสร็จออกไปข้างนอกดูเหม่อๆ แปลกๆ ไม่รู้ในใบเซ็นชื่อมีอะไรหรือเปล่า"

     

    "มันจะมีอะไรได้ยังไงเล่า" ว่าแล้วก็เดินไปที่โต๊ะเซ็นชื่อ พลิกกระดาษทีละหน้า ก่อนที่สายตาจะไปหยุดที่แผ่นรองสุดท้าย

     

    'รายชื่อนักกีฬามหาวิทยาลัย m '

     

     

    บางที...

    เราก็เอาแต่ไขว่คว้าหาความสุขจนอาจลืมความเป็นจริงบางอย่างไป

     

    ถึงเวลามันก็วิ่งกลับมาหาเราโดยไม่ทันตั้งตัวแบบนี้แหละ

     

     

     

    "อยากแข่งแล้วหรือไง? เอาแต่มองสนามแข่ง"

     

    เสียงทุ้มเรียกให้ร่างเล็กที่กำลังนั่งเหม่อจริงอย่างที่ว่าหันกลับมาพร้อมกับอีกฝ่ายหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ริมฝีปากคมหยักคลี่ยิ้มจาง แต่คยองซูรู้ดีว่ามันไม่ใช่รอยยิ้มอย่างที่ทุกทีของผู้ชายคนนี้

     

    "แล้วคนอื่นๆ ไปไหนกันแล้วล่ะ?"

     

    "ชานยอลกับแพคฮยอนไปซื้อน้ำแข็งกับพี่มินโฮ ส่วนเซฮุนไปหาซื้อของกินมาให้ เดี๋ยวสักพักก็คงมามั้ง" คนฟังพยักหน้า พยายามฝืนยิ้มส่งมาให้แต่ก็ไม่ได้ช่วยทำให้คนมองรู้สึกดีขึ้นเลย

     

    "หน้านายไม่ค่อยดีเลยนะ กังวลเหรอ? หรือว่าง่วงนอน? นอนก่อนก็ได้นะ คงอีกพักใหญ่กว่าทีมอื่นๆ จะมา"

     

    "ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอกจงอิน" ยิ้มอ่อนล้าให้ หากมันมีแต่จะยิ้มทำให้อีกฝ่ายขมวดคิ้วยุ่งมากขึ้นกว่าเก่า

     

    "โดคยองซู...คิดว่าคนที่สอนนายมากับมือจะดูนายไม่ออกเลยหรือไง?

     

    เสียงทุ้มเอ่ยเรียบนิ่ง น้ำเสียงดุเหมือนเวลาที่สอนเขา แต่ก็ยังไม่วายแฝงความห่วงใยอยู่ในคำพูดนั้น คยองซูรู้ดีว่าป่วยการหากจะโกหกต่อหน้าคนๆ นี้ เขาถอนหายใจออกมาเสียงอ่อนแล้วหันกลับไปถามคำถามที่ส่งผลให้คนฟังแทบกลายเป็นใบ้ฉับพลัน

     

    "ถ้าเราจะต้องกลับมาเจอกับคนที่เรารักที่สุดแต่ก็ทำให้เราเจ็บที่สุด เราควรจะทำยังไงเหรอ?"

     

    เป็นคำถามที่เขาไม่เคยคิดถามตัวเองเลยตลอดช่วงเวลาหลังจากที่ต้อง 'เจ็บที่สุด' เพราะทันทีที่ถูกทำให้ทรมานเหมือนตายทั้งเป็นไปแล้วในครั้งนั้น โดคยองซูก็เหมือนเป็นบุคคลต้องห้ามที่แม้แต่ในบทสนทนาก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงให้เขาได้ยิน ไม่เคยคิดฝันมาก่อนด้วยซ้ำว่าจะกลับมาเจอกันและเริ่มต้นความสัมพันธ์จนมาถึงตอนนี้

     

    จงอินแค่นยิ้มให้กับตัวเอง เขาคงมีความสุขกับโลกที่ตัวเองสร้างมากจนเกินไป กักขังคนตัวเล็กคนนี้ไว้กับตัวด้วยเงื่อนไขที่เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญโดยที่ลืมไปแล้วว่าคนๆ นี้มีเจ้าของเป็นตัวเป็นตนแล้ว และในเมื่อเขาทั้งคู่ยังรักกันมากแล้วคิมจงอินคนนี้ล่ะจะเป็นตัวอะไร

     

    ...น่าตลกที่เกิดอยากจะร้องไห้ในวันแข่งขันขึ้นมา...

     

    "แต่ก็ช่างมันเถอะ ที่จริงมันก็เป็นอดีตไปแล้ว"

     

    ทว่าจู่ๆ คยองซูก็เงยหน้าขึ้นแล้วพูดประโยคนี้ออกมาด้วยรอยยิ้ม เรียกให้คนที่กำลังก้าวเท้าเข้าสู่วังวนความเศร้าหันมองด้วยความแปลกใจ คนตัวบางยิ้มเสียจนริมฝีปากเป็นเส้นโค้ง

     

    "นายหมายความว่าไง?"

     

    คยองซูถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะให้คำตอบกับเจ้าของคำถาม

     

    "จริงๆ แล้วแฟนเก่าฉันเป็นนักยูโดของมหาลัย m บางทีฉันคิดว่านายอาจจะรู้จักเขาด้วยซ้ำ ชื่อในวงการของเขาชื่อคริสน่ะ"

     

    สิ่งที่ออกมาจากริมฝีปากสีอ่อนนั้นอาจจะบีบหัวใจของจงอินจนเจ็บปวดไปหมดก็จริง แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจกลับมาสูบฉีดได้อีกครั้งคือต้นประโยค คำสั้นๆ ที่ว่า 'แฟนเก่า'

     

    คยองซูเลิกกับอู๋อี้ฟานแล้ว..?

     

    "อู๋อี้ฟาน..." ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ปากก็งึมงัมพูดออกไปแบบนั้น อีกฝ่ายพยักหน้า

     

    "อืม รู้จักจริงๆ ด้วยสินะ ฉันเลิกกับพี่อู๋ฟานมาได้ราวครึ่งปีแล้วล่ะ อันที่จริงวันนั้นต้นเหตุที่ทำให้ฉันเหวี่ยงชุดนายลงน้ำก็เพราะคิดถึงเรื่องเก่าๆ แล้วมันยั้งไม่ทันเลยทำอะไรไม่คิดน่ะ แย่จังเลยเนอะ" หัวเราะเบาๆ ในคำพูดตัวเองไปด้วย

     

    "แต่ก็นั่นแหละ ฉันคิดไว้แล้วว่าจะไม่ให้คนแบบนั้นมามีอิทธิพลอยู่เหนือฉันหัวใจฉันอีกแล้ว บางทีฉันควรจะเริ่มต้นอะไรใหม่สักที คนเขาไม่รักเราแล้วจะคิดถึงให้ได้อะไรขึ้นมาล่ะ จริงมั้ย?"

     

    แม้รอยยิ้มนั้นจะอยู่ในสายตา แต่จงอินรู้สึกเหมือนกับว่าคำพูดต่างๆ ที่ออกมาจากปากคู่นั้นไม่ได้ไหลเข้าสู่สมองเขาแม้แต่น้อย หัวใจเต้นผิดจังหวะจนไม่อาจบอกได้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่

     

    จะโกรธดีมั้ยที่ไอ้บ้านั่นทำให้คยองซูของเขาเจ็บปวดจนต้องไปลงกับชุดยูโดแบบนี้ หรือควรจะดีใจที่คยองซูไม่มีเจ้าของหัวใจมาได้กว่าครึ่งปีแล้ว ควรจะด่าตัวเองที่โง่เป็นควายอยู่ได้ตั้งนาน หรือความจะขอบคุณความบังเอิญบ้าๆ ที่ทำให้นาทีนี้คนๆ นี้อยู่ตรงหน้าเขา

     

    "ขอโทษจงอินด้วยนะที่ฉันทำให้นายเป็นห่วง...อะ! จงอิน"

     

    รอยยิ้มนั้นแปรเปลี่ยนฉับพลัน เมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็คว้าร่างของเขาเข้าไปกอดเสียเต็มอ้อมแขน

     

    จงอินกอดคยองซูที่ยังทำอะไรไม่ถูกไว้นิ่ง ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ มีเพียงแขนแกร่งกระชับร่างบอบบางนั้นเอาไว้จนชิดอกแกร่ง ฝังใบหน้าลงบนลาดไหล่เล็กแล้วหลับตา

     

    คล้ายกับว่าความคิดความอ่านทั้งหมดหยุดลงกะทันหัน ส่งผลไปสู่การกระทำที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว จงอินรู้แค่ว่าอยากกอดคนๆ นี้เอาไว้ กอดให้แน่นที่สุดจนมั่นใจว่าจะไม่ไปไหน อยากหยุดเวลาแห่งความปิตินี้ไว้ให้อยู่กับเขาไปนานๆ

     

    หากแต่ช่วงเวลาที่ปรารถนากลับไม่เป็นดังที่ตั้งใจ จงอินถูกกระชากกลับเข้าสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้งด้วยเจ้าตัวแสบประจำทีม

     

    "เอ่อ...เซฮุนว่าน้ำหวานที่ให้หาซื้อเตรียมไว้นี่คงไม่ต้องใช้แล้วก็ได้มั้ง?"

     

    เสียงเล็กส่งผลให้ทั้งสองคนผละออกจากกันทันทีราวกับโดนไฟช็อค คนที่มาขัดโดยไม่ตั้งใจ (หรือเปล่า) ยิ้มแห้งๆ ส่งมาให้พี่ชายทั้งสองคน จงอินแสร้างกระแอมไอไล่ความขัดเขินของตัวเองเล็กน้อยแล้วบอกให้คนเป็นน้องวางของในมือลงข้างๆ กระติก

     

    ด้านคยองซูก็หันไปอีกทาง แม้จะไม่เข้าใจพฤติกรรมเมื่อครู่ของจงอินมากเท่าไรนักแต่น่าแปลกที่กลับทำให้เขาหน้าร้อนผ่าวราวกับเป็นไข้ขึ้นมาได้ขนาดนี้ หัวใจรึก็ยิ่งทำงานหนัก ลืมคำพูดต่างๆ นานาที่ตัวเองพูดออกไปหมดสิ้น

     

    แต่เพราะหันไปทางอื่นหนีความเขินหากต้องหันกลับมาเจอคนที่เพิ่งกอดตัวเองทำให้ตาคู่โตบังเอิญไปเจอใครคนหนึ่งที่ประตูข้างโรงยิมเข้า ร่างสูงดูคุ้นเคยแบบนั้นทำให้พยายามเพ่งมอง แต่เมื่อขายาวก้าวพ้นประตูโรงยิมมาได้คยองซูก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้เดาผิดไป

     

    "จงอิน" ลืมตัวหันกลับมาเรียกคนที่นั่งข้างๆ แต่เมื่ออีกคนหันกลับมาอาการหน้าร้อนก็กลับมาอีกหน

     

    "เอ่อ...ฉันขอไปหาคนรู้จักแป๊บนึงนะ ประตูโรงยิมนี่เอง เดี๋ยวกลับมานะ"

     

    เมื่ออีกคนพยักหน้าอนุญาตด้วยใบหน้าเรียบนิ่งอย่างพยายามเก็บกลั้นอาการอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ คยองซูก็ลุกขึ้นแล้วตรงไปที่ประตูฝั่งนั้นที่มีคนตัวสูงยืนกดโทรศัพท์อยู่

     

    ฝ่ายจงอินระหว่างที่กำลังมองตามแผ่นหลังเล็กไปด้วยติดจะสงสัยว่าคยองซูออกไปหาใคร เขาก็เพิ่งรู้สึกได้ว่าโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายมันสั่นรัวอยู่พักใหญ่แล้ว มือหนารีบเปิดกระเป๋าแล้วรื้อหาเครื่องมือสื่อสาร แต่ก็ไม่ทันการ ดูเหมือนอีกฝั่งของสายจะทนรอไม่ไหวเลยกดวางไปก่อน

     

    "โห โทรมาตั้งห้าสาย โดนด่าชัวร์"

     

    "เออ! ตามมาด่าถึงที่เลยนี่ไง!"

     

    เสียงคนตัวเล็กแต่ยังแมนคงเส้นคงวาที่ดังขึ้นเบื้องหน้าทำให้จงอินถึงกับสะดุ้ง มีไม่กี่คนหรอกที่จะทำให้ประธานชมรมยูโดจอมโหดอย่างเขาสะดุ้งสะเทือนได้เพียงแค่ได้ยินเสียง แต่ที่แน่ๆ ก็คนที่ยืนจังก้าอยู่ข้างหลังน้องเล็กของทีมตอนนี้นี่แหละ

     

    "พี่ลู่"

     

    "เออ! ฉันเอง! โทรมาไม่รู้จักรับ โทรศัพท์มีไว้ทับกระดาษหรือไงวะ?"

     

    "ขอโทษๆ ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งนานมาถึงก็บ่นชุดใหญ่เลยนะ นั่งก่อนมั้ยเดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้ง"

     

    "ไอ้น้องดำ!"

     

    เพราะคำด่าที่ไม่ค่อยจะมีใครกล้ากับประธานชมรมทำให้เซฮุนหลุดหัวเราะออกมาเสียดังลั่น พร้อมกับหันไปมองหน้าคนที่กล้าต่อว่ารุ่นพี่ที่เคารพนับถือของเขาได้เจ็บแสบขนาดนี้

     

    หากแต่วินาทีที่หันกลับไปสบตา กลับทำให้คนที่มองลงมาต้องถึงกับสะดุดลมหายใจ

     

    "จงอิน เซฮุน นี่น้องฉันชื่อจื่อเทา อ้าว พี่ลู่หาน"

     

    ไม่ทันเว้นช่องว่างให้ต่างฝ่ายต่างตกใจกับการพบกัน การกลับเข้ามาพร้อมเด็กตัวสูงของคยองซูก็ถูกลดทอนความสนใจด้วยเสียงเด็กปีหนึ่งสองคนที่เรียกชื่ออีกฝ่ายพร้อมกันด้วยความแปลกใจระคนตื่นแต้น เพิ่มความงุนงงให้กับทุกฝ่ายเข้าไปอีก

     

    "จื่อเทา! // เซฮุน!!"

     

     

    ...แล้วเค้าลางความวุ่นวายก็เริ่มต้นขึ้น...


     

    TBC.

     



    Mirror* Talk: ก่อนอื่นต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะที่เว้นช่วงการลงฟิคไปนานขนาดนี้ TvT ต้องบอกก่อนว่าเรากำลังอยู่ในช่วงย้ายถิ่นฐานค่ะ(?) เพิ่งย้ายออกจากหอที่มหาลัยกลับมาบ้าน พอมาอยู่บ้านก็ต้องช่วยพ่อแม่ทำกิจการจนไม่มีเวลาแว้บมาเปิดคอมเท่าไรนัก นี่พิมพ์ได้วันละหน้าสองหน้ากว่าจะจบตอน ฮืออออ แล้วเดี๋ยวอีกสักอาทิตย์สองอาทิตย์ก็จะย้ายไปอยู่เมืองกรุงอีกแล้วค่ะ เพราะได้งานแล้ว แฮ่ TvT ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจตอนสัมภาษณ์งานครั้งนั้นด้วยนะคะ

    สำหรับตอนนี้ขอจุดพลุให้กับพี่ลู่คนแมนของเรา เขามาแล้วค่ะ มาพร้อมกับน้องเทา และมาพร้อมกับเค้าลางความวุ่นวาย TTvTT โถ แต่อย่างน้อยก็ได้เจอกับน้องฮุนคนจี๊ด(?)ของเราสักทีเนอะ อึ้งค้างกันไปหนึ่งดอกดันถูกจื่เทาเข้ามาแย่งซีนก่อนซะได้ คราวนี้เรื่องจะเป็นยังไงต่อไปโปรดติดตามด้วยนะคะ

    เอาล่ะ จากที่ได้แจ้งไปแล้วในตอนต้นงั้นต้องบอกทุกคนไว้ก่อนเลยว่าเวลาลงฟิคช่วงนี้อาจจะช้าไปบ้างอะไรบ้าง แต่ถ้าเมื่อไหร่ชีวิตลงตัวแล้วจะกลับมาลงให้อย่างสม่ำเสมอแน่นอนค่ะ แอบหวังว่าจะได้รวมเล่มนะ ฮือออ

    ขอบคุณทุกคอมเม้นและทุกสายตาที่กวาดทุกตัวอักษรค่ะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×