ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] ONE IPPON (KAISOO)

    ลำดับตอนที่ #14 : CHAP 14

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.14K
      24
      22 มี.ค. 56

    CHAPTER 14

     

     

    “ไม่เบาเหมือนกันนะมึง”

     

    ประโยคที่ออกมาจากปากเพื่อนสนิทตัวสูงเรียกให้จงอินจำต้องละสายตาจากภาพชวนมองเบื้องหน้า คยองซูกับเซฮุนกำลังนั่งเล่นกับน้องหมาตัวโตที่เจ้าของพาเดินผ่านมาหน้าร้านอาหารด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาเผลอมองความน่ารักนั้นเพลินตาอยู่ตั้งนานสองนาน แต่สุดท้ายก็มาถูกขัดด้วยไอ้หูกางฟันเยอะที่นั่งอยู่ตรงข้าม

     

    จงอินหันกลับมาทำหน้าเอือมแล้วยกน้ำขึ้นดูด มองหน้าชานยอลที่กำลังส่งสายตาเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มที่บอกตรงๆ ว่าโคตรน่าถีบมาให้

     

    “อะไรของมึง?”

     

    “ก็มึงนั่นแหละ ไอ้ไค ผ่านไปสองอาทิตย์สอนท่าทุ่มคยองซูไปได้ตั้ง 3 ท่า แล้วแต่ละท่าเนี่ยไม่ใช่เล่นนะ กูเชื่อว่าตอนมึงฝึกเล่นแรกๆ ก็ไม่ได้เท่าคยองซูตอนนี้หรอก” ชานยอลยักคิ้วพลางยิ้มกว้าง

     

    “เออ ถูกของมึง” ตอบปัดๆ แล้วหันไปมองคนตัวเล็กที่ยังหัวเราะร่าอยู่ที่เดิม

     

    “แต่เขาก็มีความตั้งใจด้วยแหละ ทุกครั้งที่ฝึกเข้ามันไม่ได้แค่เข้าๆ ให้มันเสร็จๆ ไป แต่เขาตั้งใจที่จะทำมันจริงๆ ปรับทุกช่องโหว่ที่ถูกติ แถมยังขยันจนบางทีกูยังอายเลยด้วยซ้ำ” พูดไปลอบยิ้มไปจนชานยอลอดส่งเสียงแซวไม่ได้

     

    “แหม~ ดูมีความสุขนะครับไอ้เทพ”

     

    “ก็คงงั้นมั้ง”

     

    จงอินตอบแค่นั้นแล้วคลี่ยิ้ม ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาภาคภูมิใจกับศิษย์คนโปรดคนนี้มาก เพราะความพยายาม ความอดทน และความตั้งใจของคยองซูยิ่งทำให้จงอินยิ่งชอบผู้ชายตัวเล็กๆ คนนี้มากขึ้นไปอีกในทุกๆ วัน เวลาคยองซูสมาธิจดจ่ออยู่กับการซ้อมทำให้เจ้าตัวดูมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นอีกเป็นไหนๆ

     

    การพัฒนาของคยองซูก็นับว่าเป็นสิ่งที่สร้างความมหัศจรรย์ใจให้กับจงอินไม่น้อย ทั้งๆ ที่เป็นคนที่ไม่เคยเล่นกีฬาอะไรมาก่อนเลย แต่ไม่น่าเชื่อว่าการพัฒนาของคยองซูจะไปได้เร็วขนาดนี้ ยิ่งผ้าขาวสะอาดมากเท่าไหร่เราแต่งแต้มอะไรลงไปก็ได้ เพราะไม่เคยรู้ ไม่เคยลอง ทุกอย่างเลยเป็นของใหม่ที่ต้องเริ่มต้นแต่แรกหมด

     

    นับว่าเป็นเรื่องที่ดีในฐานะคนสอนที่เด็กปั้นไปได้เร็วขนาดนี้ นั่นเท่ากับว่าอีกไม่นานคยองซูคงพร้อมจะฝึกรันโดริได้แล้ว การรันโดริเป็นเรื่องสำคัญ เพราะนอกจากมันจะจำลองสถานการณ์แข่งขันจริงเพื่อฝึกฝีมือแล้ว มันยังช่วยได้มากที่จะฝึกจิตใจไม่ให้ตื่นกลัวเวลาต้องลงแข่งจริง

     

    นั่นคือสิ่งที่จงอินเป็นห่วงที่สุด คยองซูไม่เคยตกอยู่ในภาวะของการแข่งขัน ความกดดัน ความตื่นเต้น ทุกอย่างจะส่งผลให้สมองรวนและรวมสมาธิไม่ได้ ยิ่งเป็นสนามแรกโอกาสสติแตกก็ยิ่งมีสูง เพราะฉะนั้น คยองซูควรได้รับการฝึกเล่นรันโดริให้เร็วที่สุด ซึ่งจงอินตั้งเป้าไว้แล้วว่าต้นอาทิตย์หน้าคยองซูจะได้เรียนรู้ท่าทุ่มสุดท้ายก่อนจะเริ่มชิงจับและรันโดริจริงๆ เสียที

     

    “เออ แพคฮยอน นี่น้ำหนักนายเท่าไหร่แล้วเนี่ย?” จงอินถามคนตัวบางที่นั่งข้างชานยอลเมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้ อีกฝ่ายนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบ

     

    “ก็ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่นะ ประมาณ 57 คงเพราะยังซ้อมไม่หนักด้วยมั้ง”

     

    “เพราะพยอนแพคยังกินจุอยู่มากกว่ามั้ง” ชานยอลหันไปพูดพลางฉีกยิ้มเห็นฟันครบทุกซี่มาให้ร่างบาง

     

    แพคฮยอนเหวี่ยงค้อนวงโตใส่พร้อมกับเหวี่ยงกำปั้นหนักๆ ตามไปจรดหัวไหล่กว้างด้วย ไอ้คนที่มันรอจังหวะอยู่แล้วก็แกล้งโอดโอยเสียน่าหมั่นไส้แล้วเอนหัวซบไหล่เล็กอย่างฉวยโอกาส

     

    “แต่ฉันก็คิดเหมือนชานยอลมันนะ” จงอินพูดขัดขึ้นขณะแพคฮยอนกำลังดันหัวไอ้คนเจ้าเล่ห์ออกจากไหล่ตัวเอง

     

    “ดูวันนี้สิกินซะเรียบ”

     

    “ก็ออกแรงมันก็ต้องกินสิ นี่ฉันก็พยายามเพิ่มผักกับผลไม้ในมื้อเย็นไปตั้งเยอะแล้วนะ” ยู่หน้าตอบแม้อีกมือจะยังดันหัวชานยอลให้ออกห่างไปด้วย แต่ไอ้คนเจ้าเล่ห์ก็ยังดื้อแพ่งไม่เลิกจนต้องลงไม้ลงมืออีกที

     

    “ก็รู้ ฉันก็แค่หวังดีไม่อยากให้นายมาลำบากวิ่งลดน้ำหนักตอนใกล้ๆ วันแข่ง รู้ตัวใช่มั้ยว่าเป็นคนน้ำหนักลงยาก?”

     

    อีกฝ่ายพยักหน้าแล้วถอนหายใจยาวพรืด จงอินหลุดยิ้มแล้วจิ้มสับปะรดในจานยัดเข้าปากเพื่อนข้างห้องและเพื่อนร่วมทีมแถมพ่วงตำแหน่งว่าที่แฟนเพื่อนสนิทเพื่อปลอบใจ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เซฮุนและคยองซูเดินกลับมาที่โต๊ะ

     

    เจ้าของตากลมโตยังมีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่บนใบหน้าน่ารัก จงอินเกือบจะเผลอกุมหัวใจตัวเองอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่ติดว่าเซฮุนยื่นหน้ามาบดบังทัศนการมองของเขาตามนิสัยเด็กตัวแสบที่ดื้อเงียบและขี้แกล้งสุดๆ คนอายุน้อยที่สุดยิ้มแล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างจงอิน ส่วนคยองซูลงไปนั่งข้างแพคฮยอน

     

    “คิดเงินเรียบร้อย คราวนี้ก็แยกย้าย จะกลับกันเหมือนเดิมไหม?”

     

    ชานยอลถามขึ้นหลังจากที่ทุกคนกลับมาที่โต๊ะแล้ว เหมือนเดิมที่ชานยอลพูดถึงก็คือตำแหน่งการนั่งเหมือนอย่างขามา แพคฮยอนไม่ได้เอารถมา เซฮุน แพคฮยอนเลยซ้อนมากับชานยอล

     

    ส่วนคยองซูแน่นอนว่ามากับจงอิน ที่เดี๋ยวนี้แทบไม่ต้องออกปากถามกันด้วยซ้ำ เจ้าของตากลมใสคงจะคุ้นเคยกับไอ้จอมโหดที่ตวาดสอนอยู่ทุกวัน ถึงเวลาแล่งรถกันเลยเดินไปอยู่ข้างจงอินโดยอัตโนมัติ ส่วนไอ้ท่านประธานน่ะรึมันยินยอมพร้อมใจมาแต่ไหนแต่ไร สรุปก็ไม่มีใครพูดอะไร หันมาอีกทีก็นั่งซ้อนท้ายกันเรียบร้อยแล้ว ลำบากพวกเขาสิต้องอัดสามไปด้วยกันบ่อยๆ

     

    อันที่จริงแพคฮยอนก็มีมอเตอร์ไซค์ของตัวเองแต่เจ้าตัวก็เลี่ยงจะเอามาใช้บ่อยๆ เหตุผลน่ะเหรอ เพราะมันจะเปลืองน้ำมัน ไหนๆ ชานยอลก็คอยไปรับที่รอก่อนออกมาเรียนบ่อยๆ อยู่แล้วก็ติดรถมาด้วยกันทั้งวันเสียเลย ครั้งแรกที่ชานยอลได้ยินถึงกับทำหน้าไม่ถูก เหตุผลมันน่าจับตบด้วยปากไหมล่ะ?

     

    หลังจากทิ้งเวลารอคำตอบอยู่ครู่ใหญ่แต่ไม่มีใครพูดอะไรก็เป็นอันเข้าใจตรงกันว่ามายังไงก็กลับอย่างนั้น ชานยอลต้องไปส่งเซฮุนที่หอก่อนแล้วค่อยไปส่งแพคฮยอนซึ่งอยู่หอเดียวกับจงอิน ส่วนจงอินก็ไปส่งคยองซู ดูเหมือนพวกเราจะวกไปวนมาไม่เข้าท่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าลึกๆ ในใจของคนส่งมันยินดีจะทำด้วยความเต็มใจอยู่แล้วล่ะ

     

     

    “ยังกินยาคลายกล้ามเนื้ออยู่หรือเปล่า?” เสียงทุ้มถามทันทีที่จอดรถจรดข้างหอและให้คนตัวเล็กลง คยองซูส่ายหัวพลางระบายยิ้ม

     

    “อืม งั้นก็ดี กินยาแบบนี้บ่อยๆ ไม่ดีหรอก ไตได้พังหมด แล้วยานวดล่ะ?”

     

    “ก็ทาบ้าง ถ้าไม่ปวดก็ไม่ทา”

     

    “โอเค แล้วตอนนี้ยังปวดตัวตรงไหนอีกมั้ย?”

     

    “ไม่แล้ว”

     

    คยองซูตอบทุกคำถามพร้อมรอยยิ้มที่ยังจุดอยู่ที่ริมฝีปากเล็ก ต่างกับอีกฝ่ายที่ทำหน้าเรียบเฉย จงอินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหยิบชุดยูโดของร่างเล็กส่งให้เจ้าของถือไว้ ไม่ทันจะได้พูดอะไรคนหนาก็ร้องอ้อขึ้นมาเสียงดังก่อนจะอ้าปากถาม

     

    “รอเหงื่อแห้งก่อนอาบน้ำหรือเปล่า? เดี๋ยวเป็นหวัดนะ”

     

    “รู้แล้วน่า จงอิน นายถามฉันยิ่งกว่าหมอจริงๆ อีกนะเนี่ย”

     

    คนพูดยิ้มกว้างส่วนคนที่เพิ่งรู้ตัวว่าถามมากเกินไปถึงกับชะงักแล้วหันไปมองทางอื่นแก้เก้อ รอยยิ้มแบบนั้นเหมือนกำลังล้อจงอินที่เผลอแสดงความเป็นห่วงจนเกินควร และยังเหมือนบอกเขาอีกด้วยว่าให้เลิกเก๊กหน้ายักษ์สักทีเพราะมันใช้ไม่ได้ผลในเวลานี้อีกแล้ว ที่สุดจงอินก็ยิ้มออกมาก่อนจะหันไปมองคนที่ยังยิ้มทะเล้นอยู่

     

    “ก็บอกแล้วไง ว่าเป็นห่วง” เอ่ยด้วยเสียงนุ่มผิดกับคำถามหลายคำถามที่กล่าวมาตอนแรก คยองซูพยักหน้า

     

    “ก็รู้ แต่ไม่เห็นจะต้องห่วงขนาดนั้นเลยนี่นา นี่ฉันเล่นยูโดมาตั้งหลายเดือนแล้วนะ เลิกห่วงได้แล้ว”

     

    “ไม่ได้หรอก” ปฏิเสธเสียงเบาพลางส่ายหน้าพร้อมส่งยิ้มไปให้

     

    “เพราะนายคือคนสำคัญของฉัน”

     

     

    เพียงคำพูดนั้นที่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าหวานนิ่งชะงักไป จับตามองรอยยิ้มแฝงความอบอุ่นสะท้อนอยู่ภายในด้วยหัวใจที่เต้นผิดจังหวะขึ้นมากะทันหัน แต่ก็แค่แป๊บเดียวก่อนที่จงอินจะหันหน้าไปมองทางอื่นแล้วพูดตะกุกตะกัก

     

    “คือ...เพราะนายเป็นนักกีฬาคนสำคัญ แถมยังเพิ่งฝึกเล่นใหม่ด้วย กีฬาก็ไม่เคยเล่นมาก่อน ฉันก็กลัวว่านายจะบาดเจ็บขึ้นมาน่ะสิ”

     

    คำพูดยาวยืดที่เหมือนจะหาข้อแก้ตัวยิ่งเหมือนจะทำให้จงอินดุมีพิรุธมากกว่าเดิม หัวใจเต้นดังโครมครามจนแทบจะหลุดออกมาข้างนอก ลอบมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ดูเหมือนจะยังสติค้างอยู่กับคำพูดเมื่อกี้อยู่

     

    จงอินกระแอมเบาๆ แล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ “งั้น...ฉันกลับก่อนนะ แล้ววันจันทร์เจอกัน”

     

    “ด...เดี๋ยว จงอิน”

     

    คนที่เพิ่งหลุดออกจากห้วงความคิดของตัวเองรั้งจงอินไว้ อีกฝ่ายหันกลับมามองคนตัวบางที่ทำหน้าเหมือนมีบางอย่างอยากจะให้ช่วยแต่ไม่กล้าพูด ริมฝีปากสีชมพูอ่อนถูกแผงฟันคมงับไว้อย่างชั่งใจ

     

    ที่สุดจงอินจึงดับเครื่องยนต์แล้วเอ่ยถามคนที่ยืนลังเลใจอยู่ “มีอะไร?”

     

    “เอ่อ...คือ...”

     

    ดวงตากลมใสช้อนมองคนที่อยู่ตรงหน้าเล่นเอาคนที่ถูกมองมาหายใจผิดจังหวะ แต่ก็ยังคงต้องเก๊กหน้านิ่งไว้ตามแบบฉบับ คยองซูยิ้มแห้งๆ มือเล็กถูชุดยูโดที่ถือไว้ไปมาราวกับว่าจะช่วยลดความขัดเขินที่จะพูดประโยคถัดไป

     

    “คือหลอดไฟตรงระเบียงห้องฉันมันเสียน่ะ ซื้อหลอดมาไว้แล้วแต่เปลี่ยนไม่เป็น คือ...จะรบกวนจงอินมากไปไหมถ้าจะให้...”

     

    “เรื่องแค่นี้ให้ยืนลุ้นอยู่ทำไมตั้งนาน”

     

    ยังไม่ทันที่ฝ่ายคนอยู่หอจะพูดจบ จงอินก็พูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับวางหมวกกันน็อคไว้ที่หน้ารถแล้วก้าวลงมา ขายาวเดินผ่านคนตัวบางไปทางประตูหอ แต่สักพักก็ต้องหยุดเมื่อคนที่ขอร้องไม่ได้เดินตามมาด้วย

     

    กัปตันทีมถอยหายใจพลางทำหน้าระอา “เอ้า! มาสิ จะให้ช่วยไม่ใช่รึไง?”

     

     

    ความจริงถึงจะสนิทกันมากขึ้นแล้วแต่ก็คงจะรู้สึกแปลกๆ ถ้าจะใช้ให้คนที่เป็นถึงประธานชมรมยูโดมาเปลี่ยนหลอดไฟให้ แต่เพราะชานยอลเคยบอกไว้ว่ามีปัญหาอะไรให้ปรึกษาจงอินได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะน้ำไม่ไหล ไฟไม่ติด จิตว้าวุ่น ไม่มีทุนเรียน หรือเรื่องอะไรก็ตามแต่ ให้รู้สึกเหมือนอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว ไม่ต้องเกรงใจกัน

     

    ตอนแรกก็ลังเลอยู่ แต่สุดท้ายตอนนี้จงอินก็เดินตามเขามาจนถึงหน้าห้องแล้วจนได้

     

    คยองซูฝากชุดยูโดของตัวเองไว้ที่จงอินก่อนจะไขห้อง ประตูสีครีมเปิดออกพร้อมกลิ่นน้ำมันหอมบรรจุขวดใสที่วางไว้ตามมุมห้องลอยออกมาต้อนรับแขกผู้มาเยือน

     

    “จงอินไปรอที่ระเบียงก่อนเลยก็ได้ ตรงนั้นน่ะ เก้าอี้อยู่นั่น เดี๋ยวฉันขอไปหาหลอดไฟที่ซื้อไว้ก่อน” เจ้าของห้องพูดพลางชี้นิ้วไปตามที่ตัวเองพูด ร่างสูงพยักหน้าแล้วอีกฝ่ายก็หายไปในอีกห้องหนึ่ง

     

    หอที่คยองซูค่อนข้างมีระดับ ห้องจึงกว้างขวางและถูกดีไซน์มาอย่างดี ยิ่งเจ้าของห้องเป็นคนเรียบร้อยของทุกอย่างจึงวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ของทุกชิ้นให้ห้องช่างพอเหมาะพอเจาะลงตัวกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำมันหอมระเหยที่เจ้าตัวเลือกใช้

     

    ขายาวค่อยๆ ก้าวเดินพร้อมกับกวาดตาสำรวจไปทั่วห้องด้วยหัวใจที่เต้นรัวอย่างไร้สาเหตุ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาในห้องของคนที่ชอบ เมื่อก่อนก็แค่เคยเห็นบ้านเจ้าตัวจากด้านนอกไม่เคยได้มีโอกาสเข้าไปเหมือนอย่างใครคนนั้น ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ว่าตอนนี้เขากับคยองซูจะสนิทสนมกันจนถึงขั้นให้เข้ามาในห้องส่วนตัวได้แล้ว

     

    จงอินเดินช้าๆ เพื่อจะได้ชื่นชมกับความเป็นระเบียบเรียบร้อยของผู้อาศัย พลันสายตาก็ไปพบเข้ากับกรอบรูปอันหนึ่งซึ่งถูกวางคว่ำไว้อยู่บนชั้นใกล้ประตูระเบียง ขณะที่กรอบรูปอื่นๆ รอบข้างยังคงตั้งโชว์ให้เห็นหน้าตายิ้มแย้มของคนน่ารักกับเพื่อนบ้าง ครอบครัวบ้าง

     

    มือหนาค่อยๆ จับกรอบรูปนั้นพลิกอย่างถือวิสาสะ ภาพที่ปรากฏอยู่ภายในกรอบไม้สีนวลทำให้หัวใจคนได้เห็นถูกบีบจนปวดหนึบ แต่แล้วก็ต้องรีบคว่ำลงเหมือนเดิมเมื่อได้ยินเสียงลูกบิดประตู หันกลับไปก็พบกับคยองซูที่มองมาเหมือนจะถามว่าทำไมถึงไปยืนอยู่ตรงนั้น

     

    “ฉันเปิดประตูไม่ออกน่ะ” รีบแก้ตัวพร้อมกับแสร้งดึงประตูกระจกที่อยู่ใกล้ชั้นหนังสือไปด้วย

     

    “อ๋อ ฉันล็อคไว้น่ะ แล้วทำไมจงอินไม่เปิดล็อคล่ะ?”

     

    คยองซูถามพลางยิ้มขำ ส่วนคนที่หาข้ออ้างได้งี่เง่าสุดๆ ทำได้แค่ยิ้มแกนๆ ให้กับตัวเอง เจ้าของห้องเดินมาพร้อมหลอดไฟในมือก่อนจะปลดล็อคและเปิดประตูไปสู่ระเบียงซึ่งมีหลอดไฟตัวปัญหา

     

    ลมเย็นๆ พัดอู้ทันทีที่เปิดประตู จงอินเดินกลับไปหยิบเก้าอี้ไม้ออกมาแล้วเหยียบขึ้นไปหมุนหลอดไฟดวงเดิมออกมาก่อน ส่วนคยองซูก็ได้แต่ยืนถือหลอดไฟอันใหม่ดูอยู่ข้างล่าง

     

    “ทีหลังมีอะไรให้ช่วยก็ไม่ต้องอ้ำๆ อึ้งๆ หรอกนะ บอกมาเถอะ ยังไงก็ยินดีจะช่วยเสมออยู่แล้ว”

     

    เสียงทุ้มเอ่ยออกมาขณะที่ตาคมยังไม่ละจากงานตรงหน้า คยองซูไม่ได้ตอบอะไร หากแต่กำลังยืนยิ้มมองคนพูดที่จดจ่ออยู่กับหลอดไฟด้วยใบหน้าเรียบขึงเหมือนทุกที

     

    ทิ้งเวลาผ่านไปอยู่เป็นนาทีจนกระทั่งจงอินหมุนหลอดเก่าออกมาเสร็จ ยื่นไปให้คนที่อยู่ข้างล่างพร้อมกับรับหลอดใหม่ที่อีกฝ่ายส่งมาให้ ที่สุดคยองซูก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมาหลังจากที่ไม่มีบทสนทนาต่อกันอยู่พักใหญ่

     

    “ทำไมจงอินถึงมาเล่นยูโดเหรอ?”

     

    คำถามนี้ทำเอาคนบนเก้าอี้ชะงักงัน ภาพที่เห็นในกรอบรูปซึ่งถูกคว่ำไว้ไหลแล่นเข้าสู่สมองอย่างไม่ได้เชื้อเชิญ

     

    ภาพคู่ของโดคยองซูกับอู๋อี้ฟานที่คงจะถ่ายตอนไปเที่ยวที่ไหนด้วยกันสักที่ ดูจากมุมของภาพก็พอจะเดาได้ว่าใครสักคนคงเป็นคนถือกล้องแล้วกดชัตเตอร์ด้วยตัวเอง ทั้งคู่จึงได้ใกล้ชิดจนแก้มแนบติดกันขนาดนั้น รอยยิ้มสดใสของคยองซูที่เมื่อก่อนชอบแอบมองเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ชวนให้คิดถึงความเจ็บปวดเมื่อครั้งอดีต

     

    จงอินไล่สิ่งที่มารบกวนความคิดออกไปแล้วขยับมือทำงานต่อ เขารู้ว่าคยองซูยังคงรอคำตอบ ตากลมจับจ้องมาที่เขาคล้ายต้องการเร่งรัด

     

    “ถูกนักยูโดแย่งคนที่ชอบไป” ตอบสั้นๆ แค่นั้นแต่ก็เรียกเสียงตื่นเต้นจนคนที่ยืนมองอยู่ได้ไม่น้อย

     

    “โห...ถึงกับทำให้จงอินต้องมาเล่นยูโดแบบนี้ แสดงว่าแค้นมากเลยเหรอ?”

     

    “ไม่รู้สิ คงงั้นมั้ง” จงอินตอบพร้อมทั้งแอบลอบมองคนถามไปด้วย โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้มองมาที่ตนเหมือนเก่า คนตัวบางก้มหน้าก้มตาส่งเสียงอือออกับตัวเอง

     

    “อันที่จริงจะว่าแค้นก็คงไม่เชิงนัก ตอนแรกยอมรับว่าแค้นจริง อยากจะแข่งด้วยกันสักครั้งจะไอ้อัดหมอนั่นให้หนำใจ แต่พอเล่นไปนานๆ ความรู้สึกพวกนั้นมันก็หายไปเองน่ะ”

     

    “อ่า...อย่างนั้นเหรอ” คล้ายจะพูดกับตัวเองมากกว่า

     

    จงอินลอบมองเจ้าของห้องอีกทีก่อนจะย้ายสายตากลับมาสนใจงานที่ทำอยู่ต่อ อีกนิดหนึ่งก็ใกล้จะเสร็จแล้ว เขาจะได้กลับหอไปสักที เพราะวันนี้ไม่เหมือนกับทุกที จงอินรู้สึกคล้ายถูกไล่ต้อนทั้งที่ตอนนี้กำลังอยู่กับคยองซูลำพังแค่สองคนอย่างที่เคยอยากจะให้เป็น

     

    แตะนั่นจับนี่ขยับนิดหน่อยแล้วจึงบอกให้คยองซูลองไปเปิดไฟดู เมื่อไฟติดสว่างก็เป็นอันว่าเสร็จ จงอินเงยหน้ามองผลงานของตัวเองแล้วลงจากเก้าอี้ เป็นจังหวะเดียวกับที่คยองซูเปล่งเสียงเรียกชื่อเขาออกมาเบาๆ

     

    “จงอิน”

     

    “ว่าไง?”

     

    “ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว เหตุผลที่ทำให้ใครสักคนอดทนต่อความเหนื่อย ความลำบาก จนก้าวมาถึงตรงนี้ได้น่ะนะ”

     

    จงอินก้าวลงมายืนบนพื้น หันหน้ามองคนที่กำลังพูดเจื้อยแจ้ว คยองซูสบตากับเขาแล้วเงียบไปชั่วอึดใจก่อนที่ริมฝีปากคู่สวยนั้นจะเอ่ยประโยคถัดไปที่ทำให้หัวใจคนได้ฟังกระตุกไหว

     

    “เพราะนายชอบคนๆ นั้นมากๆ เลยใช่มั้ย?”

     

     

    ดวงตากลมใสไร้เดียงสาถามออกมาโดยที่ไม่รู้อะไรเลยสักนิด ไม่รู้เลยว่าทำให้ใครคนหนึ่งคิดเข้าข้างตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกที่คยองซูถามเขากลับมาแม้จะไม่รู้ว่าคนที่พูดถึงอยู่นั้นหมายถึงตัวเอง

     

    คยองซูช่างไม่รู้อะไรเลย...ไม่รู้อะไรเลยกระทั่งถึงตอนนี้

     

     

    “ใช่ ฉันชอบเขามาก โดคยองซู ฉันชอบมากจริงๆ ชอบจนบางครั้งรู้สึกว่าตัวเองขี้ขลาดเหลือเกิน เทพไคคนนี้ขี้ขลาดมากๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือว่าตอนนี้”

     

    อะไรสักอย่างดลใจให้จงอินขยับกายเข้าหาอีกฝ่ายขณะพูด ดวงตาคมกล้าจับจ้องดวงแก้วใสซื่อไร้เดียงสา พยายามบอกให้รู้ว่าทุกคำพูดมีความหมายไม่ว่ามันจะส่งไปถึงหรือไม่ ยิ่งขายาวก้าวเข้าไปใกล้ ร่างเล็กก็ยิ่งถอยหลังไปจนชิดประตูกระจกไม่มีที่ให้หนีไปไหน

     

    คิมจงอินตอนนี้คล้ายคนสติหลุดลอยไปไกล ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ไหว อดีตกับปัจจุบันตีกันจนวุ่นวายไปหมด อยากร้องไห้แต่ก็ต้องกลืนมันลงไป ความรู้สึกมากมายที่หลั่งไหลออกมาเช่นนี้ทำให้เขาวิงเวียนจนปวดหัว

     

    “จ...จงอิน”

     

    “คนเดียวที่ทำให้ฉันรักแทบบ้า และทำให้ฉันเจ็บแทบตาย ฉันควรจะทำยังไงกับเขาดี คยองซู”

     

    มือหนาวางไปบนประตูกระจกด้านหลังร่างเล็ก กลายเป็นกำแพงขวางกั้นให้อีกฝ่ายได้ทางออกมากขึ้นไปอีก คยองซูที่ตอนนี้รู้สึกเหมือนกำลังถูกไล่ต้อนให้จนมุมพยายามอ่านดวงตาเคลือบความเจ็บปวดคู่นั้น หากแต่มันช่างเอ่อท้นไปด้วยความรู้สึกมากมายดูสับสนไปหมด

     

    จงอินหลับตาลงช้าๆ ใบหน้าที่อยู่ห่างกันไม่กี่คืบทำให้เขาไม่จำเป็นต้องพูดเสียงดัง เพียงแค่กระซิบเบาๆ ก็คงจะพอให้ได้ยิน ดวงตาคมกริบหากไหวระริกอย่างที่ไม่ควรจะเป็นสบดวงตาคู่สวยอีกครั้ง

     

    “โดคยองซู ความจริงแล้วฉัน...”

     

     

    หากแต่มีเพียงความเงียบเคล้าเสียงลมพัดหวีดหวิวผ่านอาคารสูงเท่านั้นที่ต่อบทสนทนาชวนลุ้นระทึกนั้นให้ คยองซูแทบกลั้นหายใจเพื่อรอฟังหมาป่าที่กำลังบาดเจ็บจนคล้ายขาดสติคนนี้ แต่กลับไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมาต่อจากนั้น กระทั่งเสียงบางอย่างดังขัดจังหวะขึ้นมา

     

    “จ...จงอิน โทรศัพท์นายมันสั่นอยู่น่ะ” คยองซูพูดเสียงค่อย ทั้งที่ยังสบตาอีกฝ่ายในระยะห่างไม่มาก

     

    จงอินทอดมองมาที่อีกคนอยู่อย่างนั้นอีกหลายวินาที จับจ้องดวงตาคู่สวยแสนซื่ออยู่นานก่อนจะไล่มองไปทั่วใบหน้าหวาน แล้วจึงหลับตาลงช้าๆ พรูลมหายใจออกมาค่อยๆ ขยับตัวออกห่างอีกฝ่ายแล้วล้วงมือหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า

     

    เมื่อคนตัวสูงกดรับสายคยองซูก็ลอบถอนหายใจเสียงเบา เปล่าเลยเขาไม่ได้กลัวจงอิน เพียงรู้สึกอึดอัดเพราะไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้เทพไคผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเรากลับแสดงแววตาอ่อนแอออกมาได้ขนาดนั้น หรือเรื่องที่เขาพูดออกไปมันมีอะไรมากกว่าที่คิด จงอินมีความหลังอะไรที่ซ่อนเอาไว้อีกหรือเปล่า

     

    “เออ งั้นเดี๋ยวจะรีบไปหา แค่นี้นะ”

     

    คุยกันได้ไม่นานก็กดวางสาย มือหนาเก็บเครื่องมือสื่อสารใส่ในกระเป๋าไว้ตามเดิม ก่อนจะหันมาอธิบายถึงสายจากคนที่คุ้นเคยกันดีที่เพิ่งวางไปเมื่อกี้นี้

     

    “ห้องแพคฮยอนท่อแตก วันนี้มันวันอะไรเนี่ย ฉันกลายเป็นช่างจำเป็นไปเลย”

     

    จงอินเบ้หน้าพลางถอนหายใจ แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะจากคยองซูซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่ทำให้ประธานชมรมยูโดของมหาลัยต้องกลายเป็นช่างจำเป็นไปเสียได้ พอได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะจงอินก็หลุดขำตัวเองออกมาด้วย

     

    “งั้นรีบกลับเถอะ ถ้านายไปช้าฉันว่าคนที่จะซวยน่าจะเป็นชานยอล แพคฮยอนคงจะโทรไปบ่นระหว่างรอนายไปถึงจนชานยอลหูชาแน่ๆ”

     

    “ชัวร์อยู่แล้ว” จงอินไหวไหล่พลางหัวเราะ ก่อนจะยกเก้าอี้กลับไปเก็บในห้องให้

     

    “งั้นฉันไปก่อนนะ นายก็ปิดห้องเช็คอะไรให้เรียบร้อย ถ้ามีอะไรก็โทรมาหาได้ แล้วก็ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย อย่าลืมท่าทุ่มที่สอนใหม่วันนี้ล่ะ แล้ววันจันทร์เจอกัน”

     

    สั่งลาเสียยาวยืดหลังจากเจ้าของห้องเดินมาส่งถึงข้างล่าง คยองซูพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วโบกมือลาอีกฝ่าย ไม่นานจงอินก็ขี่มอเตอร์ไซค์คันโปรดออกไป ทิ้งความสงสัยที่ยังค้างคาไว้ที่หอแห่งนี้โดยที่ไม่มีการพูดถึงอีก ราวกับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝันชั่วครู่ชั่วยาม

     

     

     

    เย็นวันจันทร์หลังจากที่สมาชิกในชมรมมากันเกือบพร้อมหน้าขาดก็แต่แพคฮยอนที่วันนี้ขอไปทำงานกลุ่มเพื่อเตรียมพรีเซ้นท์วันถัดไป จงอินก็วางโปรแกรมซ้อมไม่ต่างจากทุกวันมากนัก เคารพเบาะเสร็จก็วิ่งรอบเบาะ วอร์มอัพ ตบเบาะ และฝึกเข้าท่าทุ่ม

     

    ระยะหลังมาคยองซูได้ซ้อมร่วมกันทุกคนบ้างแล้ว อย่างเวลาเข้าท่าทุ่มหลังวอร์มเสร็จก็มารวมกลุ่มกับทุกคน จงอินใช้ระบบวนเข้าท่าในทีมที่มีสมาชิกอยู่ไม่มากได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว คือให้แบ่งกันเป็นหุ่นและคนทุ่ม เรียงกันเป็นแถวหน้ากระดานหันหน้าเข้าหากัน คนหนึ่งเข้าท่าทุ่มกับคู่ของตัวเอง 20 ครั้ง หลังจากนั้นก็ขยับไปหาคนถัดไป

     

    อย่างเช่นถ้าแถวฝั่งคนเป็นหุ่นมีชานยอลกับแพคฮยอน คนเข้าท่าทุ่มก็จะเป็นจงอินคู่กับชานยอล แพคฮยอนคู่กับเซฮุน ส่วนคยองซูก็ยืนเข้าท่ากับลมรอไปก่อน พอจงอินกับเซฮุนเข้าท่ากับคู่ตัวเองครบ 20 ครั้ง เซฮุนจะขยับไปเข้าท่ากับลมแทน จงอินจะขยับมาคู่กับแพคฮยอน ส่วนคยองซูก็จะขยับมาเข้าท่าทุ่มกับชานยอล วนแบบนี้จนครบคนหลังจากนั้นจะซ้อมอะไรกันต่อก็แล้วแต่จงอินจะตกลง วันนี้ขาดแพคฮยอนไปมีกันอยู่แค่สี่คนก็ครบคู่พอดี

     

    “คยองซูมาเข้าท่าโมโรเต้เซโออินะเงะกับเซฮุนอีก 20 ครั้ง” จงอินออกปากสั่งขณะใช้ปลายแขนเสื้อยูโดซับเหงื่อออกจากใบหน้า คยองซูพยักหน้ารับพร้อมสูดออกซิเจนเข้าปอดแล้วเดินไปจับคู่กับเซฮุน

     

    ท่าโมโรเต้เซโออินาเงะ (morote seoi nage) เป็นท่าทุ่มที่อยู่ในหมวดท่าใช้หัวไหล่แบบเดียวกับอิปป้อนเซโออินาเงะ (ippon seoi nage) ที่ได้ฝึกไปแล้วก่อนหน้านี้ เพียงแต่เปลี่ยนจากที่ใช้ข้อพับศอกหนีบแขนคู่ต่อสู้แล้วทุ่มเป็นจับสาบเสื้อไว้เหมือนเดิมแต่ให้บิดศอกเข้าไปใต้รักแร้ของหุ่นแล้วทุ่ม มุมการหมุน จังหวะการทุ่มทุกอย่างเหมือนท่าอิปป้อนต่างกันแค่ปล่อยสาบกับจังสาบแล้วยัดศอกเข้าไปเท่านั้นเอง

     

    เวลาจงอินจะบอกให้คยองซูเข้าท่า จะเรียกแค่ว่าอิปป้อนไม่ก็โมโรเต้ เป็นอันเข้าใจตรงกันว่าอะไรหมายถึงท่าไหน ส่วนท่าแรกที่จงอินสอนคือโอโกชิไม่ค่อยได้ใช้บ่อยนัก เพราะจงอินบอกว่ามันเป็นท่าเบสิคที่ค่อนข้างยากจะใช้ในการแข่งได้จริง ก็เลยตัดสินใจให้สองท่านี้เป็นท่าถนัดของคยองซูและเน้นหนักให้คยองซูฝึกซ้ำบ่อยๆ ทุกวัน

     

    เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาจงอินได้สอนท่าโมโรเต้กับเขา เล่นเอากลับมาปวดไหล่ขวาอีกครั้ง แถมคราวนี้ยังปวดร้าวมาถึงช่วงศอก จงอินบอกว่าเพราะเขาเข้าท่าโมโรเต้ยังไม่ถูก ท่านี้ถ้าหากยกศอกขึ้นไปมากก็จะกดทับแขนตัวเองจนเจ็บได้ และเช่นเดิม ถ้าดึงหุ่นมาขึ้นไหล่มากไปก็จะเจ็บกันทั้งคนทุ่มทั้งหุ่นไม่ต่างจากท่าอิปป้อน

     

    “โมโรเต้เป็นท่าที่ยาก และมันก็เป็นท่าถนัดของฉันด้วย ฉันเองใช้เวลาอยู่นานเกือบปีกว่าจะทำให้สมบูรณ์แบบได้ นายแค่เข้าให้ถูกในระดับที่จะไม่ทำให้ตัวเองบาดเจ็บและใช้ในการแข่งได้ก็พอแล้ว”

     

    จงอินบอกหลังจากที่คยองซูเข้าโมโรเต้ครั้งสุดท้ายเสร็จและต่อด้วยการทุ่มด้วยท่าเดียวกันนี้อีก 10 ครั้ง ร่างบางหอบหายใจเล็กน้อยแล้วก้มหน้ายัดปลายเสื้อที่หลุดออกมาเข้าไปในสายสีขาวให้เรียบร้อย เซฮุนเองก็ทำแบบเดียวกันแล้วจึงหันมาโค้งเคารพกันตามมารยาทหลังจากเข้าท่าด้วยกันเสร็จ

     

    “เซฮุน เดี๋ยวไปฝึกชิงจับกับชานยอลนะ ให้ชานยอลสอนเข้าท่าจังหวะที่สองด้วย”

     

    “โอเคครับ” เด็กน้อยตอบแข็งขันด้วยรอยยิ้มน่าเอ็นดูเหมือนอย่างทุกครั้ง เรียกให้พี่ๆ ที่ได้เห็นอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

     

    หลังจากเซฮุนเดินไปจับคู่กับชานยอลแล้ว จงอินก็หันกลับมาหาคนตัวบางอีกครั้ง “ฉันจะสอนนายเข้าท่าเกี่ยวขาที่จะใช้เล่นเป็นจังหวะสองด้วย”

     

    “เดี๋ยวๆ จงอิน แล้วฉันจะคู่กับใครล่ะ?”

     

    คยองซูท้วงขึ้นมาขณะที่จงอินกำลังตั้งท่าจะเข้าท่ากับลมสาธิตให้เขาดูก่อนอย่างทุกครั้ง ประธานตัวสูงหยุดการเคลื่อนไหว หันมามองใบหน้าหวานที่มองมาอย่างสงสัยแล้วถอนหายใจเสียงเนือย

     

    “ถามแปลก มีกันอยู่แค่นี้นายก็ต้องคู่กับฉันสิ” เพียงแค่นั้นตาที่โตอยู่แล้วก็ยิ่งต้องเบิกกว้างขึ้นไปอีก

     

    “ห๊ะ!? จะให้จงอินคู่กับฉันเนี่ยนะ?”

     

    “ใช่สิ แปลกตรงไหน ถ้าให้เซฮุนมาคู่กับนายก็ไม่ได้ซ้อมกันพอดี เอ้า! ดูเวลาฉันวนขาเข้าท่าเกี่ยวได้แล้ว ท่าเกี่ยวนี่สำคัญนะ ใช้เป็นจังหวะต่อเนื่องในการแข่งขัน ไว้ใช้หลอกคู่ต่อสู้”

     

    เพราะถูกมัดมือชกแล้วอย่างนั้นก็เลยต้องรีบสะบัดความอึ้งออกจากหัวแล้วหันมามองคนสอนที่กอดอกเตรียมเข้าท่ากับลมให้ดู จริงๆ คยองซูก็แค่ตกใจที่จงอินจะยอมเสียเวลามาเป็นคู่ซ้อมให้ด้วยตัวเองก็เท่านั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาคยองซูรู้สึกว่าจงอินอยู่ในฐานะคนสอน ก็เหมือนกับโค้ชหรืออาจารย์จู่ๆ จะให้ลดตัวลงมาโดนทุ่มมันไม่แปลกๆ หรือไงนะ

     

    “ท่าเกี่ยวขาเบสิคมีอยู่ 2 ท่า คือเกี่ยวขาด้านในกับเกี่ยวขาด้านนอก ท่าเกี่ยวขาด้านในเราจะเรียกว่าท่า โคยูจิการิ (Ko uchi gari) ส่วนเกี่ยวขาด้านนอกจะเรียกว่าท่า โอยูจิการิ (O uchi gari) โค กับ โอ ห้ามจำสับสนกันเด็ดขาดนะ”

     

    จงอินกล่าวก่อนจะเริ่มตั้งท่าสาธิตการเกี่ยวขาด้านในหรือ เกี่ยวโคให้ดูก่อน จังหวะที่หนึ่งวนเหมือนเดิม แต่จังหวะที่สองแทนที่จะปักปลายเท้าหมุนวนเหมือนท่าทุ่มปกติกลับใช้การสืบเท้าแทน คือเอาเท้าซ้ายไปวางหลังส้นเท้าขวาที่ก้าวไปตอนแรกคล้ายๆ รูปตัว T แต่ไม่ต้องชิดมากนัก หลังจากนั้นให้ใช้เท้าขวาซึ่งเป็นเท้านำเกี่ยวไปทางด้านซ้ายโดยที่ต้องหงายฝ่าเท้าตะแคงข้าง ให้ริมเท้าลากเฉียดเบาะ ห้ามยกเท้าลอยขึ้นมา ถ้าให้จินตนาการว่ามีคนยืนอยู่ก็จะเป็นว่าเราใช้ฝ่าเท้าขวาเกี่ยวข้อเท้าขวาของคู่ต่อสู้

     

    “สิ่งที่ยากในท่าเกี่ยวโคคือห้ามยกเท้าลอยขึ้นมาจากเบาะ เวลาลากเท้าของคู่ต่อสู้เราจะให้ฝ่าเท้าลากส้นเท้าของเขาไปทิศทางเดียวกับปลายเท้าที่เขายืนอยู่ ที่สำคัญอีกอย่างคือการบังคับมือ มือซ้ายที่จับแขนเสื้อให้กดน้ำหนักลง มือขวาที่จับสาบก็ช่วยด้วย ทำให้น้ำหนักตัวของเขาทั้งหมดลงที่เท้าฝั่งที่เราจะเกี่ยว”

     

    หลังจากอธิบายพร้อมสาธิตท่าเกี่ยวด้านในไปแล้ว จงอินก็สอนท่าเกี่ยวขาด้านนอกหรือ เกี่ยวโอให้ต่อเนื่องทันที เกี่ยวท่านี้การวนขาไม่ต่างจากเกี่ยวโค ต่างกันตรงที่แทนที่จะเกี่ยวข้อเท้าขวา(ที่อยู่ทางซ้ายมือของเรา)แล้วดึงกลับมาเข้ามาตัวเรา ให้เปลี่ยนเป็นตวัดขาของเราเกี่ยวขาอีกข้างของคู่ต่อสู้แทน รอบวงในการเกี่ยวจะกว้างกว่าท่าแรก และต้องใช้ทั้งตัวบิดเพื่อให้คู่ต่อสู้ล้มลงไปมากกว่าด้วย

     

    การลากเท้าเพื่อเกี่ยวขาเหมือนกับเกี่ยวโค สำคัญคือห้ามยกเท้าขึ้นเหนือเบาะ ลากโค้งออกมาเป็นวงกลม มือทั้งสองข้างต้องช่วยกันกดน้ำหนักลงที่เท้าข้างที่จะเกี่ยว จงอินบอกว่าบางคนเข้าท่านี้มือขวาถึงกับต้องสะบัดเสื้ออีกฝ่ายจนไหล่ซ้ายเปิดพ้นเสื้อยูโดเลยด้วยซ้ำ

     

    “ทั้งโคและโอจะใช้ได้ผลมากเมื่อเล่นคู่กับท่าทุ่ม โดยเฉพาะกับท่าเซโออิทั้งสองท่าที่สอนนายไปแล้ว”

     

    จงอินพูดต่อหลังจากสาธิตท่าพร้อมพูดอธิบายระหว่างทำให้อีกฝ่ายดู คยองซูพยักหน้าหงึกหงักและคิดภาพตามไปด้วย กัปตันทีมลองให้คยองซูเข้าท่ากับลมให้ดูก่อน ซึ่งก็ทุกลักทุกเลน่าดูเพราะไม่ใช่ท่าที่ง่ายเลยจริงๆ สำคัญคือต้องทรงตัวให้ได้ ถ่ายน้ำหนักให้ถูก และลากองศาของเท้าให้พอดี

     

    ถ้าไม่ได้รับการฝึกอย่างหนักมาตลอดคยองซูคิดว่าไม่นานเท่าไหร่ขาเขาต้องสั่นพั่บๆ เหมือนแรกๆ ที่เล่นยูโดไปแล้ว นับว่าได้ผลเกินคาดกับการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ จนตอนนี้ที่เข้าท่าเกี่ยวซึ่งต้องใช้ขาและการย่ออย่างมากมาเกือบชั่วโมงเขาก็ยังทำได้สบาย แม้จะมีอาการล้าบ้างตามสภาพร่างกาย

     

    “เอาล่ะ ทีนี้ก็มาฝึกเข้ากับหุ่นจริงๆ จะได้รู้ว่าควรจะถ่ายน้ำหนักมากน้อยยังไง” ไม่พูดไม่จาไปมากกว่านั้น จงอินก็จับไหล่เล็กให้หันมาทางตนเองโดยที่อีกฝ่ายยังอ้าปากค้างอยู่

     

    “ด...เดี๋ยวก่อนสิ นี่นายเอาจริงเหรอ?”

     

    “ก็เอาจริงน่ะสิ ถ้านายผ่านท่าเกี่ยวไปได้ก็จะได้รันโดริกันสักทีไง เอ้า! เคารพ”

     

    โดนสั่งอย่างไม่ได้เปิดโอกาสให้เถียงแถมยังโค้งตัวเคารพมาแล้วแบบนั้น คยองซูก็ทำได้แค่ก้มเคารพตาม มือหนาเอื้อมมาจับสาบเสื้อและแขนเสื้อของเขา ขณะที่คยองซูยังนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น นี่จะได้เข้าท่ากับสายดำแถมเป็นคนระดับตำนานจะไม่ให้ประหม่าได้ยังไงไหว

     

    “จับชุดซะ แล้วเข้าท่า” ออกคำสั่งเสียงเข้มในร่างกัปตันจอมโหดจนคยองซูจำต้องเอื้อมมือไปจับชุดอีกฝ่ายอย่างไร้ทางเลือก

     

    มือซ้ายจับแขนเสื้ออย่างทุกทีก็ไม่มีอะไร แต่มือขวาที่จับสาบเสื้อใกล้ตำแหน่งของหัวใจนี่สิ มันแทบจะกระเด็นกระดอนออกมาให้ได้ขนาดนั้นเลยหรือจงอิน...ไอ้ก้อนเนื้อข้างในอกข้างซ้ายนั่นน่ะ

     

    คยองซูเงยหน้ามองเจ้าของร่างสูงในชุดยูโดสายดำ แต่สิ่งที่เห็นก็มีเพียงแค่ใบหน้าคมสันเรียบขึงเหมือนทุกที ลอบพรูลมหายใจออกมาอย่างไม่ให้คนตรงหน้าจับได้แล้วก้มหน้ายิ้มบางๆ กับตัวเอง ก่อนจะเริ่มต้นก้าวขาจังหวะแรกเพื่อเข้าท่า

     

     

    ...บางทีผู้ชายดุแต่เปลือกคนนี้ก็น่ารักกว่าที่คิดนะ...






    TBC.



    Mirror* Talk: มาตอนดึกตลอดอ่ะเรื่องนี้ 5555* และมันก็ยาวสุดอีกแล้วตอนนี้ TvT อ่านแล้วงงไหมคะ? บอกไว้ตรงนี้เลยว่าคนเขียนงง #เอิ่บ 55555* เป็นอันว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนขยับเข้ามาใกล้กันอีกนิดแล้วเนอะ เหมือนกับฝีมือของคยองก็เริ่มขยับเข้าใกล้การแข่งขันขึ้นทุกทีแล้ว ตอนหน้ารอรันโดริกันได้เลย ฮรี่~

    หลังจากคยองเริ่มแข่งขันได้ เนื้อหาของยูโดจะลดทอนลงไปตามลำดับนะคะ หลายคนคงบอก เออ แกลดไปได้สักทีก็ดี หนักหัวจะบ้า TvT แต่เชื่อว่าคงมีคนที่แบบ เฮ้ยยยย ได้ไง นี่มากะมาเรียนท่ายูโด เราอยากบอกว่าได้โปรดมอบทางสายกลางให้เราเถิดค่ะ(?) 55555* หลังจากนี้เทคนิคต่างๆ อาจจะลดน้อยถอยลงไปก็จริง แต่เราจะเพิ่มประสบการณ์ชีวิตด้านอื่นๆ ที่เราพบเจอยัดเยียดให้กับสมาชิกชมรมทุกคนเองนะคะ(?)

     

    อ่า...แล้วก็ใครที่งงๆ ท่าทุ่ม ตอนนี้เราใส่ชื่อท่าเป็นภาษาอังกฤษไว้ให้แล้ว เพื่อที่จะได้เคลียร์และเห็นภาพมากขึ้น แนะนำให้เซิร์จชื่อท่าลงในยูทูปเลยค่ะ มีวิดีโอมากมายสาธิตการเข้าท่าเหล่านั้น บางคลิปก็สอนไปถึงการใช้เวลาต้องเดินหาจังหวะเข้าท่าทุ่มด้วย จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านที่ต้องการเห็นภาพและเป็นประโยชน์กับผู้เขียนมากที่จะเขียนให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นเช่นกันค่ะ ฮือออออ

    สุดท้ายนี้ คิดว่าคยองเริ่มรู้ตัวแล้วมั้ยว่ากัปตันกำลังจีบอยู่ให้ทาย(?) อิ____อิ

    ขอบคุณทุกกำลังใจและทุกสายตาที่ไล่กวาดทุกตัวอักษรนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×