คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [KAISOO] - my boyfriend -
Title : - my boyfriend-
Paring : KAI x D.O.
Author : Mirror*
1
เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มของบิ๊กไบค์สีดำนิลเงียบลงหลังจากจอดสนิทที่หน้าตึกเรียนเรียบหรู
ร่างสูงผู้ควบยานพาหนะคันโตถอดหมวกกันน็อก เส้นผมสีไวน์แดงไม่ค่อยเป็นทรงเท่าไรนัก แต่ก็รับได้ดีกับใบหน้าหล่อจัดและผิวสีแทนสุดเซ็กซี่ ต่างหูสีเงินวาวเรียบตัวอย่างเป็นระเบียบบนใบหูข้างหนึ่งช่วยเสริมความหล่อร้ายแบบแบดบอย และถึงแม้จะสวมเสื้อยืดธรรมดากับกางเกงยีนส์ขาดๆ และรองเท้าผ้าใบ แต่ร่างกายกำยำสูงโปร่งรวมไปถึงลาดไหล่กว้างนั้นก็ทำให้คนๆ นี้ดูดีและมีเสน่ห์อย่างเหลือร้าย
ร่างสูงยกมือขึ้นเสยผมตัวเองเล็กน้อยก่อนจะมองผ่านบันไดกว้างทอดยาวขึ้นไปจนถึงโถงอาคารด้านบน แม้จะมองไม่เห็นเพราะมันสูงจนเกินไปแต่เชื่อได้ว่าคนที่เขามาหาคงจะรู้ถึงการมาของเขาแล้ว
และก็เป็นไปตามนั้น เมื่อคนตัวบางในชุดนักศึกษาเรียบร้อยทุกระเบียดนิ้วลอบชำเลืองมองผ่านแว่นกรอบกลมลงไปด้านล่าง ใบหน้าติดจะหวานยังคงเรียบนิ่งไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมามากไปกว่าจัดแจงรวบกองหนังสือภาษาฝรั่งเศสบนโต๊ะ
“มารับแล้วเหรอ?” เสียงทุ้มของเพื่อนตัวสูงเอ่ยถามขณะที่เท้าคางมองพลางทำหน้าเหม็นเบื่อ
“ไร้สาระ” และอีกฝ่ายตอบโต้กลับมาแค่นั้น ไม่เสียเวลาละสายตามามองคู่สนทนาเลยด้วยซ้ำ “ก็เห็นอยู่ยังจะถาม”
“เออๆๆๆ ปาร์คชานยอลมันไร้สาระครับ คุณโดคยองซู”
อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาอย่างสุดจะทน มือหนาขยี้หัวตัวเองจนยุ่ง ถ้าไม่ติดว่าต้องให้เพื่อนตัวบางที่พ่วงตำแหน่งท็อปภาคมาเป็นธุระช่วยติวให้ ชานยอลคงจะบ่นคยองซูได้ถนัดปากกว่านี้
“คิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ถึงได้คบนักเลงพรรค์นั้น ไม่กลัวมันพาเข้าดงปืนดงมีดหรือไง?”
“แผลที่ปากหายดีแล้วสินะ ถึงได้อยากให้จงอินต่อยอีกสักหมัด” ร่างเล็กพูดเสียงเรียบนิ่งพลางรวบหนังสือเล่มหนาหลายเล่มไว้ในมือ ริมฝีปากอิ่มหนากระตุกยิ้มเล็กๆ ที่ชานยอลคิดว่ามันกวนประสาทเป็นบ้า
พูดถึงไอ้แผลที่ปากนี่เขาก็อยากจะลุกขึ้นว๊ากใส่คยองซูดังๆ สักทีเหมือนกัน มีอย่างที่ไหนปล่อยให้แฟนมาต่อยปากเพื่อนตัวเองหน้าตาเฉยโดยไม่ช่วยอะไรเลย
วันนั้นเขาก็แค่เดินมาส่งคยองซูเพราะเจ้าเพื่อนตัวเล็กบอกว่าแฟนมารับ ไอ้เรารึก็อยากจะเห็นหน้าคนที่ยอมคบกับมนุษย์ที่โคตรจะเย็นชาอย่างโดคยองซู แต่พอได้มาเจอเจ้าเด็กนั่นที่มาพร้อมบิ๊กไบค์คันโต ชานยอลก็เผลอเบ้หน้าแล้วหันมาถามคยองซูแค่ว่า ‘นายคบกับไอ้เด็กนักเลงนี่เนี่ยนะ?’ เท่านั้นแหละ ยังไม่ทันให้คยองซูด่า หมัดหลุนๆ ก็ซัดเปรี้ยงเข้าที่หน้าเต็มๆ ชานยอลทั้งมึนทั้งงง รู้ตัวอีกทีก็ได้รสเลือดในปากแล้ว แม้ว่าหลังจากนั้นแฟนของคยองซูจะมาขอโทษโดยให้เหตุผลว่ายั้งมือไม่ทันก็เถอะ แต่บอกตรงๆ ว่าปาร์คชานยอลจะไม่ขอเข้าใกล้แฟนของโดคยองซูเกินรัศมีหนึ่งเมตรอีกแล้ว!
คยองซูรวบหนังสือทั้งหมดไว้ในอ้อมแขนแล้วลุกขึ้นยืน มือบางดันกรอบแว่นของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะหันมาพูดกับชานยอลด้วยเสียงเรียบนิ่งอย่างเคย
“พรุ่งนี้จะมาติวให้อีก วันนี้ก็ช่วยกลับไปอ่านทบทวนด้วย ถ้ายังมัวแต่เสียเวลายุ่งเรื่องของคนอื่นรับรองเลยว่าความรู้ที่ฉันสอนนายวันนี้ไม่มีทางเจาะกะโหลกหนาๆ ของนายเข้าไปได้แน่ แล้วเจอกันพรุ่งนี้”
พูดจบก็สะพายกระเป๋าเดินออกไปทันที ไม่เหลือเวลาให้ชานยอลได้ประมวลความหวังดีที่กลั่นกรองออกมาเป็นคำด่าได้เจ็บแสบถึงลิ้นปี่เมื่อสักครู่นี้เลยสักนิด อาจด้วยน้ำเสียงโมโนโทนที่ราบเรียบไร้อารมณ์ทำให้กว่าคนที่ถูกด่าจะรู้ตัว คนพูดก็เดินลงไปถึงบันไดขั้นสุดท้ายแล้ว
“คราวนี้มีเรื่องกับพวกไหนอีกล่ะ” คำทักทายแรกของนักศึกษาดีเด่นถูกเอ่ยออกมาทันทีที่เห็นรอยแผลที่มุมปากคม
“เอามานี่ เดี๋ยวช่วย” ซึ่งไม่ได้คำตอบกลับมา มือใหญ่ดึงกองหนังสือเล่มหนาในมือขาวมาใส่กระเป๋าที่เตรียมมา เพราะรู้ว่าคนตัวเล็กมักจะแบกหนังสือพะรุงพะรังทุกครั้งหลังเลิกเรียน
ใบหน้าหวานเรียบนิ่งจนยากจะเดาอารมณ์ เสียงถอนหายใจดังขึ้นแผ่วเบา ดวงตากลมโตจ้องมองเจ้าของร่างสูงผิวสีน้ำผึ้งอีกสักพัก จากนั้นปลายนิ้วเรียวสวยก็แตะหนักๆ ซ้ำลงบนแผลที่เพิ่งจะเกิดขึ้นหมาดๆ สักประมาณสองชั่วโมงที่แล้ว
“โอ๊ย! เจ็บนะ”
“สมน้ำหน้า” เอ่ยเสียงเย็นและไร้ซึ่งการล้อเล่นชนิดที่ใครผ่านมาได้ยินคงนึกกลัว แต่เจ้าของผิวสีแทนก็ชินเสียแล้วกับการกระทำสุดแสนจะเย็นชาของคนตัวเล็กตรงหน้า ดวงตากลมภายใต้แว่นกรอบกลมไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิด ฉะนั้นสิ่งที่คยองซูแสดงออกมาย่อมแปรผันตรงกับความคิดและความรู้สึกล้วนๆ
“รีบขึ้นมา จะพาไปกินข้าว”
“กินที่ไหน?” ถามพลางก้าวขึ้นไปซ้อนท้ายบิ๊กไบค์สีดำนิล อีกฝ่ายไม่ได้ให้คำตอบ เพียงแค่สตาร์ทเครื่องแล้วบิดทะยานไปบนถนนโดยไม่แคร์ว่ากำลังขับขี่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย
คนซ้อนท้ายก็แค่กอดเอวคนข้างหน้าเอาไว้กันตัวเองตกก็เท่านั้น
2
ว่ากันตามจริง คยองซูก็ไม่ได้คาดหวังว่าแฟนหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นนักเลงหัวไม้ที่ใครๆก็รู้จักจะพามาดินเนอร์อย่างคู่รักคู่อื่นๆ อยู่แล้ว แค่คิดไม่ถึงว่าจงอินจะพาเขามาหยุดอยู่หน้าซุปเปอร์มาเก็ตแบบนี้
ร่างสูงเสยผมสีไวน์แดงของตัวเองครั้งหนึ่งก่อนจะคว้าตะกร้ามาถือพลางระบายยิ้มอารมณ์ดี ผิดกับคนตัวเล็กข้างกายที่ยังคงรักษาใบหน้าเรียบสนิทไว้ได้อย่างคงเส้นคงวา แม้จะมีผู้หญิงหลายคนที่เดินสวนพวกเขาแล้วแสดงอาการชอบอกชอบใจอย่างไม่ปิดบังยามที่ได้รอยยิ้มเจ้าชู้ที่คิมจงอินมักจะแจกอย่างเรี่ยราดก็ตาม คยองซูก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าชำเลืองตากลมโตใต้แว่นตามองคนของตัวเองเพียงครู่เดียว
“อยากกินอะไร” เปล่งเสียงที่ชอบสงวนไว้เอ่ยถามคนตัวสูง
นักเลงผมแดงทำหน้าครุ่นคิดได้น่าหมั่นไส้ ชวนให้คยองซูเดาะลิ้นขัดใจเบาๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนตรงหน้าวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ไอ้ที่บอกว่าจะพาไปกินข้าวก็คือให้เขาซื้อของสดมาทำให้กินนั่นแหละ ส่วนเมนูที่จะกิน เชื่อเถอะว่าอีกฝ่ายก็คิดมาไว้พร้อม ก็แค่ทำท่าทางแบบนั้นเพราะตั้งใจจะกวนประสาทเขาเท่านั้นแหละ
“ไก่ผัดซอส”
“ไร้สาระจริงๆ” ถอนหายใจแล้วบ่นดังพอให้ร่างสูงได้ยิน ตากลมตวัดมองคนที่กระตุกยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนเรียวขาเล็กจะก้าวไปยังโซนเนื้อสัตว์
ถ้าการแสดงใบหน้าเรียบเฉยประหนึ่งเป็นรูปสลักไร้ความรู้สึกคือนิสัยติดตัวของคยองซูแล้ว ความพิถีพิถันในการเลือกจับจ่ายอาหารการกินของคยองซูก็คงไม่ต่างกัน กว่าจะได้เนื้อแต่ละชิ้นมือขาวต้องจับที่คีบพลิกไปมาอยู่หลายหน ตากลมใต้แว่นกรอบกลมจดจ้องราวกับจะเจาะทะลุเนื้อพวกนั้นได้ เสร็จจากโซนเนื้อสัตว์ คนที่ถือตะกร้าก็ต้องเดินตามต้อยๆ ไปที่โซนผัก แน่นอนว่าใช้เวลาไม่น้อยพอกัน
“เดี๋ยวมา” มือหนาวางตะกร้าในมือลงบนพื้นใกล้ๆ ร่างเล็ก คนที่กำลังตั้งใจเลือกผักพนักหน้าเบาๆ โดยไม่หันกลับมามอง
หายไปเพียงครู่เดียว จงอินก็กลับมาพร้อมกับเบียร์กระป๋องแพ็คใหญ่ รอยยิ้มกวนประสาทแบบที่ถ้าเป็นคนอื่นเห็นคงจะอยากหาไม้หน้าสามฟาดปากสักทีถูกส่งไปให้คนรักตัวเล็ก คยองซูถอนหายใจพลางส่ายหัวเล็กน้อยเหมือนเบื่อจะพูด หยิบผักที่เลือกได้แล้วโยนใส่ไปในตะกร้า แล้วเดินต่อทันทีโดยไม่หันมาสนใจคนที่แบกทั้งเบียร์ทั้งหิ้วตะกร้าตามหลัง
ร่างบางเดินมาหยุดที่โซนขายพวกถั่วและธัญญาหารต่างๆ ตากลมใต้แว่นกวาดสายตาหาสิ่งที่ต้องการ ไม่นานนักก็พบ ถั่วยี่ห้อดีหนึ่งกระป๋องถูกโยนลงตะกร้าตามมา จากนั้นก็มุ่งหน้าเดินต่อไปยังโซนเครื่องเทศ
“ไม่กินไม่ใช่หรือไง?”
ถั่วยี่ห้อนี้จงอินชอบกินก็จริงแต่เคยซื้อมาแล้วเจอแฟนตัวเล็กเดินถือเอาไปทิ้งลงถังขยะต่อหน้าต่อตาเพราะเจ้าตัวบอกว่าไม่ชอบกลิ่น
“ก็ไม่กิน” ตอบเสียงเรียบแล้วหันมาเลือกเนยที่วางเรียงรายเต็มชั้น
“แล้ว?”
“เอามาทำกับแกล้มให้ขี้เมาแถวนี้กิน”
แค่ได้ยินคำตอบก็ทำเอานักเลงผมแดงยกยิ้ม ตาคมจ้องมองคนที่สนใจแค่บรรดากล่องเนยตรงหน้าแล้วผิวปากส่งเสียงวี้ดวิ้วเบาๆ เหมือนพวกจิ๊กโก๋ข้างถนนแซวสาว คยองซูแค่ชำเลืองมองเสี้ยววิก่อนจะเลือกเนยต่อโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดต่อจากนั้นนัก
“แฟนไคน่ารักจริงๆ”
3
คิมจงอิน หรือชื่อที่เหล่านักเลงอันธพาลพร้อมใจกันเรียกว่า ‘ไค’ กำลังนั่งพิงประตูกระจกยืดขาเหยียดยาว ในมือถือกระป๋องเบียร์เย็นๆ กระดกเข้าปากเป็นระยะๆ ไม่ได้สนใจว่าแผลที่เพิ่งจะได้รับการแต้มยาจากมือนุ่มนิ่มมาเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วจะเป็นอย่างไร
ตาคมลอบมองคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างกันพลางจุดยิ้ม นกฮูกพันธุ์ดุที่เขาชอบนักหนากำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือภาษาจีนอย่างตั้งอกตั้งใจ สมาธิจดจ่อกับตัวอักษรที่เต็มไปด้วยเส้นยั้วเยี้ยในหน้ากระดาษ กลิ่นเบียร์คละคลุ้งกับกลิ่นถั่วอบเนยที่เจ้าตัวอุตส่าห์ทำให้กินเป็นกับแกล้มไม่อาจทำให้คยองซูลอกแลกได้แม้แต่นิด ภาษาที่ห้าหรืออาจเป็นภาษาที่หกที่เจ้าตัวเรียนรู้ซึมเข้าสู่สมองอย่างต่อเนื่องไม่สะดุด
แว่นกรอบกลมถูกนิ้วเรียวสวยดันขึ้นอีกครั้งเมื่อมันไหลลงมาตามสันจมูกยามที่คนน่ารักก้มหน้านานๆ หน้ากระดาษถูกเปิดซ้ำๆ เกิดเสียงแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบไร้ซึ่งบทสนทนา
นับเป็นช่วงเวลาที่คนรักใช้ด้วยกันอย่างแปลกประหลาดที่สุด แต่ทั้งคู่ก็พอใจที่จะอยู่แบบนี้ต่อไป
ฟอด...
ถ้าไม่ติดว่ามีคนมากวนประสาทโดคยองซูล่ะก็นะ
จมูกโด่งกดบนแก้มนุ่มๆ ของคนที่ตั้งใจอ่านหนังสือ สูดความหอมไปเต็มปอดก่อนจะละใบหน้าหล่อจัดออกมามองร่างเล็กที่ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรสักนิด คยองซูยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิม ราวกับว่าการก่อกวนของเขาเมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้น
จงอินกระตุกยิ้ม หัวเราะเบาๆ ในลำคอแล้วกระดกเบียร์ลงคออีกหนึ่งอึก ตาคมจ้องมองคนขยันอย่างจงใจ มองให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังถูกมอง แต่ก็ไม่ได้ช่วยเรียกความสนใจได้เลยสักนิด
ฟอด...
และสัมผัสหนักๆ ที่แก้มก็เกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ประทับริมฝีปากหนาได้รูปลงไปบนเนื้อเนียนนุ่มนั้นด้วย ก่อนจะละออกมามองคนที่ยังนิ่งไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบกลับ ยิ่งเห็นคยองซูเปิดหนังสือหน้าถัดไปอย่างไม่ใส่ใจ จงอินก็ยิ่งยกยิ้มถูกใจ
ฟอด...ฟอด...ฟอด...
หลังจากนั้นก็กระหน่ำหอมแก้มรัวๆ ก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะนิ่งได้อีกนานสักแค่ไหน เขาไม่ได้ตั้งใจจะก่อกวนหรอกนะ ก็แค่เห็นนกฮูกตัวน้อยของเขาตั้งใจทำอะไรสักอย่างแล้วอยากรู้สึกแกล้ง จงอินก็แค่อยากเห็นคนที่นิ่งได้ประหนึ่งน้ำแข็งแกะสลักทนไม่ไหวจนต้องเลิกทำสิ่งที่ตั้งใจทำอยู่ก็เท่านั้นเอง
คยองซูถอนหายใจเสียงดัง ปิดหนังสือปกแข็ง แล้วหันมาตวัดตาดุๆ ใต้แว่นมองคนที่ยิ้มแย้มอารมณ์ดี นึกอยากจะเอาสันหนังสือทุบหัวสักทีถ้าไม่ติดว่าหนังสือเล่มนี้ซื้อมาแพงล่ะก็
“ขาดความอบอุ่นหรือไง?”
“มาก”
“ไปกอดกับหมาใต้หอนู่นไป”
“อยากกอดกับนกฮูกใส่แว่น”
“ไร้สาระ”
ริมฝีปากคมวาดรอยยิ้มกว้างหลังจากได้ยินแฟนตัวเล็กต่อปากต่อคำ ลองเป็นอย่างนี้คยองซูคงไม่หันกลับไปหยิบหนังสือมาอ่านอีก คนเดียวที่จะทำลายสมาธิโดคยองซูได้โดยไม่โดนว๊ากก็มีแค่นักเลงคิมไคคนนี้เท่านั้นแหละ
เบียร์ก้นกระป๋องไหลลงคอช้าๆ ก่อนที่มือหนาจะวางมันกองไว้กับกระป๋องเปล่าที่นอนระเกะระกะอยู่บนพื้นระเบียง เจ้าของผิวสีแทนมากเสน่ห์ขยับกายเข้าชิดคนรักตัวเล็กอีกนิด
“ขอกอดหน่อยได้มั้ย?”
“สงสัยจะขาดความอบอุ่นจริงๆ” คยองซูเบะปากแต่ก็ยอมให้นักเลงผมแดงดึงเข้าไปกอดเสียเต็มรัก
วงแขนแกร่งโอบกระชับร่างบอบบางพลางโยกตัวไปมาเบาๆ เสียงฮัมเพลงดังออกมาจากริมฝีปากคมกล้าแผ่วเบาบอกให้รู้ว่าจงอินอารมณ์ดีสุดๆ
อากาศเย็นๆ ริมระเบียงตอนหัวค่ำ เบียร์กระป๋อง กับคนรัก ถึงตอนกลางวันจะทำงานอดิเรกด้วยการไปเรื่องมีราวจนโดนฟาดปากแตกมานิดหน่อยแลกกับช่วงเวลาตอนนี้ถือว่าคุ้มสุดๆ
มือใหญ่เลื่อนมาประคองแก้มนุ่มเอาไว้ แอบไล้นิ้วโป้งเกลี่ยแก้มใส ก่อนที่ริมฝีปากคมจะกดทับกลีบเนื้อนุ่มนิ่มที่มักจะเก็บกักสงวนถ้อยคำเอาไว้ ลงน้ำหนักบดเบียดมากขึ้นอีกนิด จากนั้นเรียวลิ้นรสเบียร์ก็แตะตรงรอยแยก ไม่นานปราการนั้นก็เปิดออกยอมให้อีกฝ่ายได้รุกล้ำเข้าไปชิมความหวานที่ซ่อนเร้นอยู่ในความเย็นชา
ใบหน้าคมขยับปรับเปลี่ยนองศาเพื่อให้จุมพิตยิ่งลึกซึ้ง ปลายจมูกบดเบียดเสียดสีอย่างเผลอไผล พอกับที่ไม่รู้ว่าร่างเล็กถูกยกอุ้มขึ้นมานั่งบนตักของนักเลงหนุ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีกายของทั้งคู่ก็เริ่มแนบชิด เรียวแขนเล็กยกคล้องรอบลำคออีกฝ่าย สอดมือในกลุ่มผมสีไวน์แดงแล้วขยุ้มเบาๆ ตามแรงอารมณ์ที่ถูกชักนำ
เสียงเฉอะแฉะน่าอายดังขึ้นเป็นพักๆ ขณะที่กลีบเนื้อทั้งคู่แยกออกจากกัน หากแต่เพียงเสี้ยววิก็ถูกบดเบียดซ้ำลงไปอีก ปลายลิ้นผลัดกันไล่ต้อนอย่างไม่มีใครยอมใคร กระทั่งคยองซูเป็นฝ่ายละออกมาแต่ไม่วายทิ้งท้ายด้วยการเลียบาดแผลที่มุมปากของจงอินแล้วกดจูบทับซ้ำลงไปอีกครั้ง
ดวงตาฉ่ำปรือใต้แว่นกรอบกลมยังไม่น่าชวนให้ใจเต้นเท่ากับรอยยิ้มยั่วเย้าของคนที่ทำตัวเย็นชาได้ทุกเวลา
“นายรบกวนสมาธิฉัน”
“รู้ครับรู้” ยอมรับแต่โดยดี
จงอินเอื้อมไปหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าที่อยู่ไม่ไกลนัก แล้วยื่นมันให้คนที่ยังซ้อนอยู่บนตัก รูปร่างคล้ายอุ้งมือแมวกับความมันวาวดูเรียบง่ายแต่อันตรายของมันชวนให้คนที่วันๆ เอาแต่ก้มหน้าอยู่กับหนังสือเรียนต้องขมวดคิ้ว
“เอาสนับมือมาทำไม?”
เพราะเป็นคนรักของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักเลงคิมไคผู้ที่ใครๆ ต่างก็เกรงกลัวจึงได้รู้จักเจ้าอุปกรณ์ชกต่อยชิ้นนี้ ถึงจะไม่เคยได้ใช้ หรือไม่เคยเห็นจงอินใช้ แต่คยองซูก็พอจะนึกออกว่าถ้าโดนสิ่งนี้กระแทกเข้าหน้าคงเละไม่เป็นท่า
“เอามาให้เก็บไว้ใช้” คำตอบที่ได้รับยิ่งทำให้คยองซูขมวดคิ้วหนัก “เป็นแฟนนักเลง มีติดตัวไว้หน่อยก็ดี”
“ฉันไม่ได้จะไปมีเรื่องกับใครเหมือนนาย”
“รู้แล้ว แค่อยากให้เอาไว้ป้องกันตัว”
“ไร้สาระได้ทุกเวลาเลยนะ”
บ่นเสียงเรียบนิ่งตามสไตล์ จงอินหัวเราะขึ้นจมูกแล้วยืดตัวหอมแก้มนุ่มฟอดใหญ่ มือหนาสอดสนับมือใส่ไว้ในหนังสือเล่มหน้าที่อยู่บนพื้น จากนั้นก็ดึงแว่นกรอบกลมออกแล้ววางไว้บนหนังสือเล่มเดียวกัน
ดวงหน้าหวานยิ่งชวนให้หลงใหลยามที่ไม่มีอะไรมาขวาง ดวงตากลมโตโดดเด่น จมูกรั้น ริมฝีปากรูปหัวใจที่น้อยคนนักจะได้เห็นยามที่มันเป็นรูปหัวใจเต็มดวงจริงๆ ยิ่งมองในระยะใกล้ก็ยิ่งตกหลุมรักซ้ำๆ อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ความเย็นชาที่น่าค้นหาเหมือนหมัดหนักๆ ที่กระหน่ำซัดลงมาบนร่าง ถึงจะเจ็บปวดแต่ก็ยังสนุกที่ได้ท้าทายมันซ้ำๆ
จงอินจุดยิ้มมุมปาก วาดแขนโอบเอวคอดให้ขยับเข้ามาบดเบียดแนบชิดอีกนิด หลับตาเงยหน้าสงเสียงครางเบาๆ เมื่อส่วนสำคัญสัมผัสโดนกันและกันผ่านเนื้อผ้า และทำให้รู้ได้ในนาทีนั้นว่าความปรารถนาเบื้องลึกในใจของเราไม่ต่างกัน
“ถ้าอย่างนั้นมาทำเรื่องมีสาระกันดีกว่า”
มือหนาปลดกระดุมชุดนอนสีกรมท่าของคนบนร่างพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ใบหน้าหวานยังคงเรียบนิ่ง แต่มือขาวกลับส่งไปลูบไล้แนวเครื่องประดับชิ้นเล็กบนใบหูอีกฝ่ายช้าๆ เป็นการแสดงออกที่น่ารักจนจงอินอดรนทนไม่ไหว มือใหญ่กระชากเสื้อตัวบางออกจากร่างขาวผ่องทันทีที่ปลดกระดุมเม็ดสุดท้ายได้
“ตรงนี้เลย?” เสียงหวานเอ่ยถามขณะที่เลื่อนมือมามาลูบไล้สันกรามได้รูป
“ไม่โอเค?”
“เปล่า”
คยองซูพูดเสียงนิ่ง ก่อนที่ประโยคถัดมาจะทำเอาร่างหนารีบจัดแจงพลิกตัวกดอีกฝ่ายลงบนพื้นระเบียงอยากหมดความอดทน
โดคยองซูน่ารักเกินไป...
“แค่จะบอกว่าอยากลองมานานแล้ว”
4
เสียงเครื่องยนต์ของรถบิ๊กไบค์เงียบลงอีกครั้งเมื่อถึงจุดหมาย มองภายนอกเหมือนบ้านหลังเล็กระบายสีฟ้าสดใส ด้านหน้าตกแต่งด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ บ้างส่งกลิ่นหอม บ้างสีสันสวยงาม ช่วยทำให้บรรยากาศร้านหนังสือเล็กๆ แห่งนี้น่าเข้ามาเยี่ยมชมไม่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้นจงอินก็รู้ดีว่าทำเลของร้านหนังสือแห่งนี้ไม่เหมาะที่จะมาเยือนเท่าไรนัก ไม่ใช่เพราะอยู่ในซอยที่ค่อนข้างเงียบ แต่เป็นเพราะมันใกล้แหล่งของคู่อริของเขามากไป แม้จะไร้ผู้คนพลุกพล่านซึ่งเป็นเรื่องดีที่ถ้าหากเกิดมีเรื่องกันขึ้นมาจะไม่มีคนโดนลูกหลงไปด้วย เขาได้แต่ภาวนาอย่างให้เจ้าพวกนั้นบังเอิญมาเจอเขาตอนนี้
“รออยู่ข้างนอกก็ได้ เดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว” มือเล็กยื่นหมวกกันน็อคมาให้ จงอินพยักหน้า จากนั้นคนตัวบางก็เดินเข้าร้านหนังสือร้านประจำไป
นักเลงผมแดงยืนพิงรถคันโปรดพลางมองซ้ายขวา ขมวดคิ้วคมเข้มหมวดเล็กน้อยด้วยความกังวล เขาจำได้ว่าเวลานี้เจ้าพวกกะเลวกะราดมักจะโผล่มาแถวนี้ คนอย่างคิมจงอินหรือนักเลงคิมไคไม่เคยกลัวการต่อสู้อยู่แล้ว แต่ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากมีเรื่องกับใครตอนที่คนรักตัวเล็กอยู่ด้วย
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศรอบๆ ยังสงบเงียบไร้สัญญาณอันตราย ร่างสูงก็พรูลมหายใจเบาๆ แล้วหันมองเข้าไปในร้าน ผู้ชายตัวเล็กสวมแว่นกรอบกลมยังคงก้มหน้าเลือกหนังสือ มือขาวเปิดดูไม่กี่หน้าก็ตัดสินใจเดินไปเข้าแถวรอจ่ายเงิน
คนที่แอบมองจากข้างนอกร้านหลุดยิ้มออกมา คยองซูศึกษาหนังสือเล่มนี้มาไม่น้อยก่อนหน้านี้ พอถึงวันที่จะมาซื้อจริงๆจึงเลือกได้อย่างรวดเร็ว นักฮูกผู้เย็นชาของเขารู้ดีว่าเขาไม่ชอบมาแถวนี้เท่าไรถ้าไม่จำเป็น เจ้าตัวถึงได้รีบเลือกรีบคิดเงินจะได้รีบกลับ
ก็น่ารักขนาดนี้แล้วจะไม่ให้นักเลงหัวไม้คนนี้ยอมยกใจให้ได้ยังไง
“เฮ้ย! นั่นมันคิมไคนี่หว่า!”
ทว่าจู่ๆ เสียงตะโกนดังลั่นก็เรียกให้หันกลับไปมอง ไกลออกไปไม่กี่เมตรปรากฏร่างของกลุ่มบุคคลที่จงอินไม่อยากเจอที่สุดในตอนนี้ พวกนั้นกำลังยกไม้หน้าสามชี้มาทางเขา
“ลูกพี่พวกกูไหล่หลุดก็เพราะมึง คราวนี้มึงเสร็จแน่!”
ยังไม่ทันประมวลผลคำขู่อาฆาตไม่ทันเรียบร้อยดี ชายหนุ่มกลุ่มขนาดย่อมก็วิ่งกรูกันมาทางที่จงอินอยู่ทันที เสียงเฮดังสนั่นซอยแคบพร้อมกับเสียงวิ่งตึงตังดังสะท้อนกำแพงไล่เข้ามาเรื่อย
“เชี่ยเอ๊ย” สบถกับตัวเองก่อนจะออกตัววิ่ง
คนอย่างเขาไม่เคยคิดหนี ถึงมันจะมาเป็นสิบจงอินก็ไม่สนใจ ฝีมือกระจอกๆ อย่างพวกมันแค่เขาคนเดียวก็จัดการได้เรียบ เขาก็แค่ไม่อยากให้ร้านหนังสือร้านโปรดของแฟนตัวเล็กต้องเสียหายหรือเปื้อนเลือดพวกมันก็เท่านั้น ดีไม่ดีเกิดฟันสักซี่กระเด็นเข้าไปในร้านจะลำบากคุณแม่บ้านทำความสะอาดเสียเปล่าๆ
ริมฝีปากคมยกยิ้มกริ่ม อย่างน้อยสุดซอยนี้ก็มีแต่บ้านร้าง คงพอจะใช้เป็นลานสั่งสอนพวกกะโหลกกะลาไม่รู้จักเจียมตัวได้อยู่ จัดการสักสิบนาทีแล้วค่อยกลับไปรับคยองซูก็ยังทัน
ขณะเดียวกันที่ร้านหนังสือ คยองซูที่เพิ่งจ่ายเงินเสร็จเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งร้องเฮดังลั่นแล้ววิ่งเสียงตึงตังผ่านหน้าร้านไป ลูกค้าคนอื่นๆ ในร้านต่างก็พอกันชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกด้วยความสงสัย แต่เมื่อไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นจึงหันกลับมาทำธุระของตัวเองต่อ
คิ้วสวยขมวดมุ่น มือเรียวดันกรอบแว่นของตัวเองครั้งหนึ่งแล้วกระชุบถุงหนังสือในมือเดินออกไปนอกร้าน เสียงโหวกเหวกดังออกไปไกลแล้ว และหน้าร้านเหลือแค่บิ๊กไบค์คันที่เขานั่งมา ไร้เงาของเจ้าของที่ควรจะยืนรออยู่ตรงนี้
เสียงถอนหายใจดังขึ้นหนึ่งครั้ง เจ้าของดวงหน้าน่ารักใต้กรอบแว่นส่ายหัวเบาๆ อย่างเอือมๆ แล้วหันหลังพิงรถ ก้มมองนาฬิกาข้อมือพลางบ่นอยู่ในใจ
ตึง!
ทว่าในตอนนั้นเอง โดยไม่ทันตั้งตัว จู่ๆ ก็เกิดเสียงของแข็งกระทบกันดังเฉียดร่างคยองซูไปเพียงนิด
ตากลมโตรีบหันกลับไปมองทางต้นเสียง และพบว่ามีชายคนหนึ่งเพิ่งจะฟาดไม้หน้าสามลงมาบนบิ๊กไบค์สีดำนิลที่เขาพิงอยู่ คิ้วสวยขมวดฉับมองคนที่ยืนยิ้มเยาะอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ว้าว...นอกจากรถสวยแล้วยังมีแฟนน่ารักอีก คิมไคมันไม่ธรรมดาอย่างที่เขาลือกันจริงๆ” เสียงหัวเราะน่ารังเกียจดังขึ้นพร้อมกับที่อีกฝ่ายไล่มองคนตัวเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างหยาบคาย
“แต่มันก็โง่มากทิ้งแฟนเอาไว้แบบนี้ ว่ามั้ย?”
ชายร่างหนาขยับเดินเข้ามาใกล้คยองซูมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงหัวเราะในลำคออย่างคนเหนือกว่ากับการเคาะไม้หน้าสามที่เจ้าตัวคงจะใช้เป็นอาวุธบนไหล่อย่างพวกนักเลงชั้นต่ำทำกัน ทั้งหมดทั้งมวลนั้น คยองซูตอบสนองกลับไปเพียงแค่เสียงถอนหายใจ
“ไร้สาระที่สุดตั้งแต่เกิดมา”
แทนที่จะเกรงกลัวแต่น้ำเสียงเบื่อหน่ายก็ทำให้อีกฝ่ายขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ดวงตากลมโตใต้กรอบแว่นชำเลืองคนที่ตัวโตกว่าตนเองเป็นเท่าตัวเบื้องหน้า ใบหน้าหวานเรียบนิ่งตามเคย ทำเอาคนที่ตั้งใจจะหาเรื่องมึนงงไปหมด
“นายควรรู้ไว้ 3 ข้อ”
“หา?”
“ข้อแรก จงอินรัก ‘ดีโอ’ มาก นายไม่มีสิทธิเอาไม้ข้างถนนมาฟาด ‘ดีโอ’ แบบเมื่อกี้นี้”
พูดจบริมฝีปากรูปหัวใจกระตุกยิ้มเล็กน้อย แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะสงสัยอะไรมากไปกว่านี้ มือเล็กที่ล้วงอยู่ในกางเกงมานานสองนานเพื่อกำบางอย่างแน่นก็เหวี่ยงเข้าซีกหน้าด้านซ้ายของอีกฝ่ายเต็มแรง
โครม!
ชายร่างหนาลงไปนอนกองกับพื้น เลือดสีสดไหลออกมาจากปากที่แตกยับเพราะแรงต่อยเสริมด้วยสนับมือวาววับ ความรุนแรงของหมัดเมื่อครู่จึงเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว เชื่อได้เลยว่าอีกฝ่ายคงกำลังเบลอหนักเพราะแรงกระแทก แก้มและปากคงจะเจ็บจนไร้ความรู้สึก ถ้าโชคร้ายหน่อยคงจะมีฟันโยกสักซี่สองซี่
“ข้อต่อมา ฉันคือแฟนนักเลง อย่าคิดว่าฉันไม่สู้”
ถูสนับมือกับกางเกงผ้าเนื้อดีของตอนเองแล้วเก็บลงกระเป๋า ขาวเล็กย่างสามขุมเข้าไปใกล้คนที่เขยิบหนีไปบนพื้นถนน คยองซูก้มลงเก็บไม้หน้าสามของอีกฝ่ายเอาไว้ในมือ
“และข้อสุดท้าย...”
เส้นแสงแดดที่ลอดผ่านต้นไม้ใหญ่ริมทางสะท้อนกับแว่นกรอบกลมและรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกทำเอาคนที่ได้เห็นรู้สึกหนาวขึ้นมาจับใจ มันน่ากลัวเสียยิ่งกว่าพวกผู้ชายตัวใหญ่ๆ ที่มีปืนผาหน้าไม้อยู่ในมือ
“คิมจงอินคือแฟนของโดคยองซู คนที่ทำคะแนนได้สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ เพราะฉะนั้น คิมจงอินไม่โง่ จำเอาไว้”
สิ้นสุดประโยค ไม้หน้าสามก็ฟาดเข้าที่ศีรษะอีกฝ่ายอย่างไม่ยั้งแรง ผู้เคราะห์ร้ายร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะหมดสติไป เลือดที่กบปากเลอะลามมาถึงปลายไม้ คยองซูเดาะลิ้นขัดใจเบาๆ ก่อนจะโยนไม้กะโหลกกะลานั้นทิ้งไปอย่างไม่ใยดี
ปลายนิ้วเรียวดับกรอบแว่นของตัวเอง หลังจากที่มันไหลมาตามสันจมูกเพราะเจ้าตัวเสียเวลาก้มหน้ามองนักเลงหางแถวนานไปหน่อย ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาก่อนจะถอยหลังไปพิง ‘ดีโอ’ บิ๊กไบค์สีดำนิล
“จะเสียเวลาไร้สาระกับพวกมดปลวกอีกนานมั้ยคิมจงอิน”
5
กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งทั่วห้อง แต่เจ้าของห้องทั้งคู่ก็ชินเสียแล้วกับกลิ่นหยูกยาพวกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกยามถูกแตะลงบนแผล จงอินจดจำมันได้จนทนกับความเจ็บเหล่านั้นได้แล้ว
สำลีชุบยาแตะแต้มลงไปบนแผลใหม่ที่ข้างแก้ม ปากหยักส่งเสียงร้องแผ่วๆ เมื่อความแสบเข้าเล่นงานโดยไม่ทันตั้งตัว แต่เมื่อตากลมหลังเลนส์แว่นของผู้ที่ทำแผลให้จ้องนิ่งก็ทำให้จงอินระบายยิ้มและอยู่นิ่งๆ ให้อีกฝ่ายทำแผลให้ต่อ
“ปล่อยให้มันเอามีดเฉียดหน้าได้ยังไง” แต้มยาไปก็บ่นไป
“หลบช้าไปนิดเดียวเอง”
“ไร้สาระ ไร้สาระจริงๆ”
ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด แล้วแปะพลาสเตอร์ยาปิดแผลไว้ จากนั้นค่อยหันกลับมาเก็บอุปกรณ์และยาเข้ากล่องปฐมพยาบาลที่เป็นสมบัติประจำบ้าน
ตาคมมองร่างเล็กที่หันหลังเก็บยาเข้ากล่องและรวบรวมลำลีทำแผลลงถังขยะ ริมฝีปากที่ยังมีแผลอยู่มุมหนึ่งคลี่ยิ้ม วินาทีต่อมาร่างนุ่มนิ่มก็ตกอยู่ในอ้อมแขนของนักเลงผมแดงเสียแล้ว
“ใครจะไปโหดเหมือนคนแถวนี้ เจ้านั่นสลบไปเลยนะ รับรองครั้งหน้ามันเล่นฉันเละแน่”
“นั่นมันก็เรื่องของนาย” ตอบกลับอย่างเย็นชา แต่ไม่ยักขัดขืนออกจากอ้อมกอดของคนด้านหลัง
“แล้วถ้าครั้งหน้าพลาดอีกจะยังทำแผลให้อยู่มั้ย?”
ยื่นหน้าผ่านไหล่แคบเพื่อมองดวงหน้าหวานแต่เรียงนิ่งพร้อมกับถามออกไป คยองซูถอนหายใจอย่างเหลืออดเบาๆ
“ถามอะไรไร้สาระอีกแล้ว”
ร่างเล็กขยับตัวเล็กน้อย เปลี่ยนเป็นหมุนตัวหันหน้าเข้าหาแฟนตัวสูง ดึงแว่นตากรอบกลมออกมาวางบนโต๊ะ จากนั้นยกสองแขนคล้องคออีกฝ่ายที่ยิ้มรออยู่ก่อนแล้ว
แฟนนักเลงระบายยิ้ม เอ่ยพูดบางอย่างในระยะประชิด ก่อนที่จงอินจะปิดทุกคำพูดหลังจากนั้นด้วยริมฝีปากของตนเอง
“ฉันอยู่ทำแผลให้นายได้ตลอดชีวิตนั่นแหละ”
END.
Mirror* talk : ยู้ฮูววว~ เรื่องนี้เขียนขึ้นเพราะอยากให้คยองซูได้พูดว่า “ฉันคือแฟนนักเลง” แค่นี้เอง มาเป็นเรื่องเลย 5555555* จริงๆตั้งใจจะเขียนให้จงอินดูเป็นนักเลงผู้ดี(?)แต่เขียนๆไปรู้สึกมันไม่ดูนักเลงยังไงไม่รู้อ่า TTvTT ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ ไม่ได้เขียนนานเลยรู้สึกฝืดเอามากๆ
ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านฟิคป่วยๆระหว่างไร้โทรศัพท์ใช้ของกระจกนะคะ TTvTT ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ล่วงหน้า ทั้งนี้ถ้าไม่อยากเม้นสามารถติดแท็กกรีดร้องกันได้ที่ #แฟนนักเลง นะคะ แล้วเราจะรอนะ~
ขอบคุณทุกสายตาที่ไล่อ่านทุกตัวอักษรค่ะ
ปล.ฉันรู้ว่าพวกเธออยากได้ฉากที่ระเบียง ไม่มีหรอก อิ_____________อิ
ความคิดเห็น