ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF EXO] by Mirror* (KAISOO and another)

    ลำดับตอนที่ #1 : [KAISOO] - PLAYBOY -

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ค. 58



     

    Title : - PLAYBOY - 

    Paring : KAI x D.O.

    Author : Mirror*



    [FANART by  @kumanater]


     

    #KAIDOPLAYBOY


     

     

    -1

    ครืด...ครืด...

    แรงสั่นของวัตถุเครื่องหรูบนโต๊ะไม้ข้างหัวเตียงส่งเสียงรบกวนมากพอจะปลุกใครคนหนึ่ง ร่างขาวใต้ผ้าห่มผืนใหญ่มุ่นหัวคิ้วเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงสว่างรำไรของหลอดไฟข้างนอกระเบียงห้องที่เปิดทิ้งไว้ทำให้ต้องหรี่ตา

    ฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ตกค้างส่งผลให้ปวดหัวรุนแรงทันทีที่พยายามยันตัวลุกขึ้นมา ร่างเล็กจึงจำต้องทิ้งตัวลงนอนดังเดิม ความปวดตึงตามร่างกายที่ถูกใช้งานอย่างหนักหน่วงหลายชั่วโมงบนเตียงกว้างคือสิ่งที่สัมผัสได้ต่อมา กายเปลือยเปล่าใต้ผ้าห่มเมื่อยล้าจนแทบลุกไม่ขึ้น

    ครืด...ครืด...

    หากแต่เสียงสั่นนั้นยังดังไม่หยุด คนตัวเล็กจึงพยายามเอื้อมแขนเรียวปัดป่ายหาเจ้าตัวปัญหาที่รบกวนไม่เลิก ที่สุดก็คว้าเจอและยกขึ้นมาดูหน้าจอว่าเป็นใครที่โทรเข้ามาเอาตอนใกล้รุ่งสาง

    ทว่าทันทีที่เห็นชื่อบนหน้าจอสี่เหลี่ยม ดวงตาที่ง่วงงุนก็เบิกกว้างพร้อมหัวใจเต้นระส่ำ รู้สึกราวกับนักโทษหนีคุกที่ถูกจับได้ ความตื่นกลัวทำให้ไม่ทันได้คิด ปลายนิ้วสั่นระริกเตรียมจะเลื่อนหน้าจอรับสายอย่างร้อนรน

    แต่ก่อนจะได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ มือที่กำโทรศัพท์กลับถูกหยุดไว้ด้วยมือใหญ่ที่เอื้อมมาทาบทับ

    ร่างเล็กเอี้ยวตัวหันกลับไปมองใครอีกคนที่อยู่ด้านหลัง และเป็นคนเดียวกันกับที่ทำให้เขาต้องปวดตัวจนลุกไม่ขึ้น คนที่ทำให้เขาต้องส่งเสียงครางอย่างน่าอาย เจ้าของใบหน้าหล่อเหลา เต็มไปด้วยเสน่ห์ แววตาคมคายฉายความเจ้าชู้แต่น่าหลงใหล กายสมส่วนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อพอเหมาะรับกับผิวสีแทนสุดเซ็กซี่

    “อย่ารับนะ”

    ผู้ชายที่กำลังกระซิบเสียงแหบพร่าอยู่ข้างหูของโดคยองซู

    “แต่...”

    “อยากให้เด็กนั่นรู้เรื่องของเราเหรอ?”

    คำถามที่ทำให้สะดุดลมหายใจฉับพลัน คยองซูชะงักไป ขณะที่จมูกโด่งเริ่มรุกคืบมาคลอเคลียอยู่ที่ซอกคอขาว ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดรวยรินชวนให้สั่นไหว ริมฝีปากได้รูปพรมจูบแผ่วเบาบนผิวเนื้อที่ขึ้นรอยสีกุหลาบด้วยริมฝีปากคู่เดียวกัน

    ดวงตาคมเข้มลอบมองคนที่เม้มปากแน่น ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยความกังวล ดวงตากลมมองตรงอย่างไร้จุดหมายไม่ยอมสบตา ไม่สนใจด้วยซ้ำว่ายังถือโทรศัพท์ที่ยังสั่นไม่หยุดไว้ในมือ

    มือหนาที่ทาบทับมือเล็กไว้ค่อยๆ กดให้อีกฝ่ายวางโทรศัพท์เครื่องเดิมลงบนโต๊ะ ครู่เดียวมันก็หยุดสั่นพร้อมกับขึ้นโชว์สายที่ไม่ได้รับตอกย้ำอีกครั้ง ทว่าเจ้าของกายแกร่งไม่ได้สนใจ และแน่นอนว่าไม่ต้องการให้คนตัวเล็กสนใจด้วยเช่นกัน

    นิ้วแกร่งเข้าสอดประสานกับมือแสนบอบบาง กอบกุมกระชับแน่น พร้อมกับกดริมฝีปากบนใบหูนุ่มนิ่ม

    “ไม่เป็นไรนะ...ไม่เป็นไร”

    คนตัวบางที่ครวญครางในอ้อมกอดของเขาทั้งคืนคงทั้งกังวลและกำลังโทษตัวเอง ความรู้สึกผิดที่ก่อตัวขึ้นทีละนิดกำลังถาโถมอย่างหนักจนยิ่งทำให้ร้อนรน คงไม่ดีถ้าให้รับสาย เด็กนั่นตอนนี้

    ชายหนุ่มกระชับโอบกอดร่างเล็กเปลือยเปล่าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน พรมจูบไล่ตั้งแต่หัวไหล่เนียน ไหปลาร้า ซอกคอขาว ปลายคาง โครงหน้าเรียว จนหยุดที่หลังกกหูและส่งปลายลิ้นไล้เลียแผ่วเบาราวกับปลอบขวัญกระต่ายน้อยที่กำลังตื่นกลัว

    เสียงทุ้มกระซิบแผ่วข้างใบหูอีกครั้งก่อนที่จะปิดเรียวปากสวยด้วยจูบร้อน

    “ผมรู้ว่าคุณรู้สึกยังไง...ที่รัก”

     

    -2

    นาฬิกาบนข้อมือเล็กบอกให้รู้ว่ายังเหลือเวลาอีกหลายนาทีกว่าจะถึงเวลาที่นัดหมาย คยองซูจึงยังสามารถเดินฮัมเพลงพลางซึมซับบรรยากาศในช่วงปลายฤดูหนาวตามสองข้างทางไปเรื่อยๆ ได้อย่างไม่เร่งรีบ

    แต่แล้วแรงสั่นของโทรศัพท์ในกระเป๋าเรียกร้องให้ต้องหยุดเดิน คยองซูหยุดยืนข้างอาคารก่อนถึงประตูห้างที่เป็นจุดหมาย มือบางหยิบขึ้นมาดูว่าใครโทรเข้ามาก่อนจะเลื่อนรับสาย

    “ว่าไง? ถึงไหนแล้ว?”

    “ใกล้ถึงแล้วพี่ ขอโทษนะครับ มาช้าไปหน่อย” ภาษาเกาหลีสำเนียงแปล่งเล็กน้อยตอบกลับมา

    “เฮ้ย ไม่เป็นไรๆ ยังไม่ถึงเวลาสักหน่อย”

    “ครับๆ ผมเลี้ยวเข้าลานจอดรถละๆ ไม่เกินห้านาทีรับรองถึงร้านแน่นอน เอ้อ! พี่คยองซู! ผมจะบอกว่าขอพาเพื่อนไปด้วยคนนึงนะ พอดีมันจะไปรับพี่ชายที่สนามบินตอนบ่ายสองพอดีเลยขอติดรถมาด้วย”

    “อืมๆ แล้วเจอกันๆ” ตอบรับก่อนจะกดวางสาย

    ฮวังจื่อเทาเป็นเด็กหนุ่มเชื้อสายจีนแท้ๆ แต่ต้องย้ายตามแม่มาอยู่ที่เกาหลี ซึ่งแม่ของจื่อเทาเป็นเพื่อนร่วมงานกับแม่ของคยองซูทำให้เขาและจื่อเทารู้จักกันไปด้วย

    แม้เด็กตัวสูงจะอยู่เกาหลีมาหลายปีแต่ภาษาเกาหลีกลับยังไม่แข็งแรงเท่าไรนัก ถ้าใช้ติดต่อสื่อสารกันทั่วไปคงไม่มีปัญหา แต่มันติดตรงที่ว่าเจ้าเด็กหน้าแพนด้าต้องใช้ภาษาเกาหลีสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยด้วย แม่ของจื่อเทาจึงขอให้คยองซูซึ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยในสายภาษาโดยตรงช่วยติวให้ลูกชายของเธอหน่อย สุดท้ายจื่อเทาก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการได้จริงๆ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้คยองซูมานั่งอยู่ในร้านไอศกรีมกลางห้างหรู รอเด็กที่เพิ่งเป็นเฟรชชี่หมาดๆ มาเลี้ยงไอศกรีมตอบแทน

    นั่งรอไม่นานคยองซูก็เห็นร่างสูงของลูกชายเพื่อนแม่เดินเข้าร้านมา แต่นั่นไม่ทำให้คยองซูแปลกใจเท่ากับเด็กหนุ่มอีกคนที่เดินตามหลังจื่อเทามา เขาคิดมาเสมอว่าจื่อเทาน่ะสูงเกินอายุ แต่ไม่นึกว่าจะมีคนที่สูงขนาดนั้นอีกคนด้วย

    “สวัสดีครับพี่คยองซู” ใบหน้าเปื้อนยิ้มทักทายคนอายุมากกว่าทันทีที่มาถึง

    คยองซูเพียงแค่ยิ้มรับก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้นั่งลงก่อน เด็กหนุ่มชาวจีนเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพี่ชายตัวเล็กให้เพื่อนที่มาด้วยกัน ส่วนตัวเองนั่งลงข้างๆ แทน ยังไม่ทันจะได้มองหน้าเพื่อนน้องชายชัดๆ ประโยคถัดมาของจื่อเทาก็เรียกความสนใจไปก่อน

    “รอนานหรือเปล่าครับ?”

    “ไม่หรอก เพิ่งมาเหมือนกัน”

    “อ่า...จริงสิ นี่เพื่อนที่มหาลัยของผมเอง ชื่อคิมจงอิน”

    จื่อเทาพูดแนะนำคนข้างๆ หลังจากที่ปล่อยให้นั่งเฉยๆ มาพักใหญ่ เด็กหนุ่มตัวสูงยิ้มแล้วก้มหัวทักทาย เขาเพิ่งจะได้พินิจรูปร่างหน้าตาของคนที่นั่งตรงข้ามชัดๆ

    ผิวสีแทนคือสิ่งที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดรองจากส่วนสูงและหุ่นที่ดีราวกับนายแบบไม่ต่างจากที่เขาเคยชมจื่อเทา ถัดมาคือใบหน้าหล่อคม ดวงตาสองชั้นติดจะปรือปรอยเล็กน้อยกลับยิ่งทำให้เด็กหนุ่มดูน่ารัก จมูกโด่งรับกับริมฝีปากหนาได้รูป ยิ่งเวลาที่ยิ้มยิ่งราวกับทำให้โลกนี้สดใสขึ้นเป็นกอง

    เป็นความแตกต่างของเสน่ห์ในแบบชายหนุ่มและความไร้เดียงสาในแบบเด็กชายที่ลงตัวกันอย่างพอเหมาะจนคยองซูนึกประหลาดใจ

    “สวัสดีครับพี่คยองซู ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

    เสียงทุ้มเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเองแต่ก็ให้เกียรติอยู่ในที ดวงตารูปพระจันทร์เสี้ยวด้วยถูกแก้มดันขึ้นไปทำให้คนอายุมากกว่าอดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูไม่ได้

    “ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกันนะ”

    และนี่คือครั้งแรกที่คยองซูได้พบกับจงอิน

     

    -3

    ความรู้สึกเหมือน "ส่วนเกิน" เป็นยังไง จื่อเทาเข้าใจชัดเจนที่สุดก็นาทีนี้

    เด็กหนุ่มชาวจีนนั่งเท้าคางลงกับโต๊ะพลางเบ้ปากมองคนทั้งสองตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้ เสียงหัวเราะสดใสประหนึ่งโลกใบนี้มีแค่เราสองชวนให้คนโสด(สนิท)อย่างเขาคันหูพิลึก

    อย่าใช้มือหยิบเชอร์รี่แบบนั้นสิมันสกปรกนะคนพี่ดุขณะที่เด็กตัวโตงับผลสีแดงสดบนไอศกรีมเข้าปากพร้อมยิ้มร่า

    ไม่เห็นเป็นไรเลย อร่อยออก

    ยังจะมายิ้มอีก

    ยังจะมาดุอีก

    คือฉันกลับก่อนก็ได้นะภาษาเกาหลีสำเนียงแปล่งพูดแทรกกลางบทสนทนากุ๊กกิ๊กของทั้งสองคน จื่อเทาเตรียมจะลุกขึ้นแต่ก็ถูกทั้งคู่คว้าข้อมือไว้คนละข้าง

    อยู่ด้วยกันก่อนดิแล้วยังจะพูดพร้อมกัน ประโยคเดียวกันเป๊ะ

    จะให้อยู่ทำไม เล่นจีบกันไม่เกรงใจคนโสดแบบนี้

    เปล่าซะหน่อย!

    จื่อเทาถอนใจยาวพรืด แล้วแกล้งสะบัดมือทั้งเพื่อนทั้งพี่ออกอย่างไม่สนใจใยดี หันมาเบ้ปากใส่พวกมนุษย์ปากไม่ตรงกับใจ

    นับตั้งแต่วันนั้นที่จื่อเทาพาเพื่อนผิวแทนคนนี้มาพบกับคยองซูเป็นครั้งแรก ทั้งสองคนก็สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว คยองซูมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่พอตัวคงจะชอบนิสัยเหมือนเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ของจงอินไม่น้อย จงอินขี้อ้อน ปากหวาน ยิ้มเก่ง พวกรุ่นพี่ในคณะของพวกเขาทั้งรักทั้งเอ็นดูกันเป็นพรวน

    เวลาที่จื่อเทามีนัดกับคยองซูหรือต้องไปหาคยองซู คิมจงอินก็มักจะติดตามมาด้วยเสมอ เช่นเดียวกับพี่ชายตัวเล็กที่รู้สึกจะขับรถแวะมาหาเขาที่มหาลัยแล้วพาไปเลี้ยงข้าวบ่อยเสียเหลือเกิน

    ผ่านไปไม่กี่เดือน ดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะชัดเจนขึ้นทุกที ถ้าไม่โง่เกินไปใครๆ ก็ดูออกกันว่าต่างฝ่ายต่างรู้สึกอย่างไรและอยากสานสัมพันธ์ต่อในสถานะไหน แต่ถึงอย่างทั้งเพื่อนทั้งพี่กลับไม่ทำอะไรให้มันชัดเจนไปเลยสักที ได้แต่เทียวหาเทียวส่งกันแบบนี้จนเขาไม่ไหวจะลุ้น

    อันที่จริงจื่อเทาคิดว่าตัวเองก็อาจมีส่วนทำให้ทั้งสองคนมัวแต่รี้รอไม่ตกลงปลงใจคบกันสักทีด้วย เพราะรู้จักกับทั้งคู่ จื่อเทาจึงรู้ดีกว่าทั้งสองคนมีนิสัยที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือใส่ใจความรู้สึกคนอื่นมากๆ ไม่แน่ว่าจงอินและคยองซูอาจเกรงใจเขาซึ่งสนิทกับทั้งสองคนและยังเป็นตัวกลางที่ทำให้ทั้งคู่ได้มารู้จักกัน ไม่อย่างนั้นทุกครั้งคงไม่ไปไหนมาไหนโดยชวนเขาไปด้วยตลอดหรอก

    นี่ ฟังนะเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นแทรกความเงียบที่ก่อตัวอยู่พักใหญ่ ทำอย่างที่ใจตัวเองต้องการเถอะ ไม่ต้องห่วงฉัน มันเป็นเรื่องของนายสองคนตั้งแต่ต้นนะ

    ยกยิ้มแล้วคว้ากระเป๋าสะพายก่อนจะหันมาพูดย้ำอีกครั้งให้เพื่อนและพี่ชายไม่ต้องเป็นกังวล

    แล้วก็อย่าให้ฉันอยู่เป็นก้างขวางคอเลย สำลักความหวานทุกวันจนน้ำตาลในเส้นเลือดจะขึ้นอยู่ละ

     

    -4

    อยากกินมิ้นท์ช็อกโกจังเลย~” เสียงทุ้มที่เอ่ยอย่างออดอ้อนไม่ทำให้คยองซูหลุดยิ้มได้เท่ากับหน้าหล่อๆ ที่ทำปากยื่นเป็นเด็กๆ ร่างเล็กที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับหัวเราะ มือเล็กแกล้งผลักหัวทุยของคนที่นั่งข้างๆด้วยความหมั่นเขี้ยว ก่อนจะเหยียบคันเร่งทะยานไปข้างหน้าเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว

    อ้วนจนเป็นหมียักษ์แล้วนะ

    ใครอ้วนกันแน่ครับไม่พูดเปล่ายังยื่นมือมาดึงเนื้อใต้คางอีกฝ่าย ผมหมีพี่ก็หมูอ่ะ เนี่ย เหนียงออกแล้ว

    ย๊าคิมจงอิน พี่กำลังขับรถอยู่นะถึงจะโดนดุแต่เด็กตัวโตกลับหัวเราะร่วนจนตาแทบปิด

    นะๆๆ แวะซื้อมิ้นท์ช็อกโกให้หน่อยนะครับ

    ไม่ปฏิเสธเสียงแข็งโดยไม่ละสายตาจากถนนเบื้องหน้า คยองซูคิดว่าตัวเองต้องใจแข็งให้มากกว่านี้ เขาคงจะตามใจน้องมากไป เดี่ยวนี้น้องถึงได้เริ่มมีพุงกะทิทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคยมี

    เด็กหมีตัวโตมองคนอายุมากกว่าพลางทำหน้ายู่ แต่สักพักก็คิดอะไรดีๆ ออก แย้มยิ้มอย่างเด็กซนแล้วยื่นหน้าไปทำเสียงอ้อนถามคยองซูอีกหน

    ไม่ซื้อให้จริงๆ เหรอ?”

    ไม่นี่มันสามทุ่มแล้วนะ กินป่านนี้อ้วนพอดี

    ไม่ให้จริงนะ?”

    พูดจบก็เอื้อมมือไปหยิกเนื้อย้วยๆ ตรงสีข้างคนพี่ทำเอาคยองซูสะดุ้ง เสียสมาธิจนต้องละสายตามาตวัดมองเจ้าเด็กตัวโตแต่ก็จำต้องกลับไปมองทางต่อ

    ย๊าคิมจงอิน!

    มิ้นท์ช็อกโก มิ้นท์ช็อกโก  มิ้นท์ช็อกโก

    หยุดนะมันอันตรายนะ!

    มิ้นท์ช็อกโกกกกกกก~

    โอเคๆ เดี๋ยวแวะซื้อให้

    ได้ยินแบบนั้นเด็กตัวแสบก็ยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ นั่งฮัมเพลงมองถนนอารมณ์ดีจนน่าหมั่นไส้

    จริงๆ เลยนะเรานี่

    แม้จะพูดไปอย่างนั้น แต่คยองซูกลับไม่สามารถบังคับริมฝีปากให้หยุดยิ้มได้ ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่บอกว่าดีใจอย่างสุดๆ ของน้อง มือไม้ก็พาลบังคับไม่ได้ไปอีก มือขาวเอื้อมไปยีกลุ่มผมสีเข้มของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดูเหมือนอย่างทุกที ซึ่งคยองซูคิดว่าบางทีอาจจะติดเป็นนิสัยไปแล้ว

    ที่สุดแล้วรถคันเล็กก็ต้องจอดเทียบริมฟุตบาทข้างทางหน้าร้านขายเครื่องดื่มโดยมีเจ้าเด็กตัวโตทำหน้าที่บอกทางอย่างดี ไม่นานนักมิ้นท์ช็อกโกกับคาปูชิโนอีกหนึ่งแก้วก็อยู่ในมือเด็กหนุ่มที่นั่งยิ้มแป้นถือแก้วให้คนขับ

    ดวงตากลมโตเป็นเอกลักษณ์เผลอไปเหลียวไปมองคนที่นั่งข้างๆ หลายครั้ง มากเท่ากับรอยยิ้มที่ฉายบนริมฝีปากรูปหัวใจ คยองซูยอมรับว่าเขายิ้มเก่งขึ้นมากตั้งแต่ได้รู้จักกับคิมจงอิน ราวกับว่าน้องเป็นแสงสว่างที่ช่วยให้ความอบอุ่นในช่วงเวลาที่เขาเหนื่อยล้ากับความเย็นชาของโลกเบี้ยวๆ ใบนี้

    ทุกครั้งที่เหนื่อยกับงานหรือเหนื่อยกับการที่ต้องสวมหน้ากากเพื่อเข้าสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่รู้ทำไมคยองซูถึงได้คิดถึงคิมจงอินเป็นคนแรก เขานึกถึงเวลาที่เด็กตัวสูงยิ้มจนตาหยี เกาะแขนออดอ้อนให้เขาตามใจ จงอินไม่เคยเอ่ยคำปลอบแบบผู้ใหญ่ มีเพียงแค่เสียงอ้อนๆ ขอร้องให้เขายิ้ม คอยเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ บางครั้งก็นินทาจื่อเทาให้ฟัง ซึ่งคยองซูคิดว่ามันดีกว่าคำพูดจริงจังพรรค์นั้นเป็นไหนๆ

    จงอินเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคยองซูเช่นเดียวกับที่ตัวเขาเองก็เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเด็กตัวสูงคนนั้นเช่นกัน ด้วยเหตุผลนี้ รู้ตัวอีกทีรอยยิ้มใสซื่อของเด็กชายในร่างเด็กหนุ่มก็กลายเป็นยาชั้นเลิศที่ช่วยเยียวยาคยองซูได้หลายครั้งหลายครา

    ยิ่งหลังจากที่จื่อเทาพูดวันนั้น คยองซูกับจงอินก็ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้นโดยไม่ต้องรบกวนเจ้าแพนด้าตัวสูง ถ้ามีเวลาว่าง คยองซูมักจะขับรถพาจงอินไปนั่งเล่นที่ริมแม่น้ำหรือสวนสาธารณะ เราทั้งคู่คิดว่ามันเหมาะที่จะสูดอากาศบริสุทธิ์และพูดคุยกันไปเรื่อยๆ มากกว่าเอาเวลาหมดไปกับการเดินเที่ยวหรือดูหนังในห้าง

    คยองซูจอดรถอยู่ไม่ไกลจากริมแม่น้ำที่พวกเขามักจะมาเป็นประจำ ทำเลเดิมที่เคยมาหลายครั้งยังคงทำให้เขาประทับใจได้เสมอ ประตูทั้งสองฝั่งเปิดออกกว้าง ก่อนที่เจ้าของรถจะเป็นคนเดินลงมาก่อน

    ตากลมโตมองแสงไฟระยับยามค่ำคืนพลางระบายยิ้มเล็กๆ จากนั้นค่อยๆ หลับตาแล้วกางแขนสูดลมเย็นๆ ที่พัดผ่านร่างกายไป จงอินเคยบอกเขาว่าถ้าทำแบบนี้แล้ว สายลมจะช่วยปัดเป่าพัดพาความไม่สบายใจทั้งหมดออกไปได้

    “ยังจำได้อยู่อีกเหรอครับ?”

    ร่างสูงเดินมายืนใกล้ๆ ส่งรอยยิ้มคุ้นตาพร้อมกับยื่นแก้วคาปูชิโนให้พี่ คยองซูรับมาจิบเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองแม่น้ำต่อ

    “ใครจะไปลืม” เกือบทำให้คนที่แนะนำยิ้มหน้าบานแล้วเชียวถ้าไม่มีประโยคถัดมา “วิธีหลอกเด็กที่เด็กแถวนี้เอามาหลอก”

    “แหม แต่ไม่รู้ทำไมผู้ใหญ่แถวนี้ก็ยังเชื่อทำตามนะครับ”

    ช่างยอกย้อนจนผู้ใหญ่คนที่ว่าอดไม่ได้ที่จะเขกหัวเด็กปากเก่งเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ จงอินแกล้งทำหน้ายู่ ก่อนจะหัวเราะแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนกระโปรงรถ ดวงตาคมมองแม่น้ำที่ไหลเอื่อย สีเงินยวงของแสงจันทร์ยามค่ำคืนสะท้อนผืนน้ำ ดวงดาวที่เล่นซ่อนแอบอยู่บนท้องฟ้ากับหมู่เมฆส่องประกายระยิบระยับเป็นครั้งคราวยามที่สายลมพัดเมฆลอยไป อากาศเย็นที่ไล้ผิวกายแผ่วเบาชวนเพลิดเพลินจนต้องหลับตาแล้วสูดหายใจลึกบ้าง

    ต่างฝ่ายต่างมองแม่น้ำใต้แสงจันทร์กันเงียบๆ แก้วเปล่าที่เคยบรรจุคาปูชิโนร้อนวางอยู่ข้างเจ้าของรถ ขณะที่มิ้นท์ช็อกโกเกือบครึ่งแก้วกลับละลายปนเปไปกับน้ำแข็งเพราะเจ้าของไม่ได้อยากจะกินมาตั้งแต่แรก แต่จงอินก็คงบอกไม่ได้หรอกว่าเขาแค่อยากอ้อนคยองซูก็เท่านั้น

    นับตั้งแต่วันแรกที่เจอกันต้องใช้เวลามาไม่น้อยเลยกว่าที่จงอินจะสนิทสนมกับตัวตนที่แท้จริงของโดคยองซูได้ถึงขนาดนี้ เพราะอายุมากกว่า เขาก็เลยมองว่าพี่ชายตัวเล็กอยู่ในช่วงวัยที่แตกต่างกับตนเอง ยิ่งมีบุคลิกเป็นคนเงียบๆ นิ่งๆ ก็ยิ่งทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ยิ่งรู้จักกัน จงอินก็ยิ่งรู้ว่าทั้งหมดที่คิดนั่นมันไม่จริงเลยสักอย่าง

    คยองซูเป็นคนจิตใจดี อบอุ่น อารมณ์ดี ในโลกของผู้ใหญ่ทำให้จำเป็นต้องสร้างกำแพงใส่หน้ากากเพื่อเข้าสังคมอยู่เสมอ จงอินอาจไม่เก่งเรื่องทำให้คนอื่นอารมณ์ดี เขาถึงได้พยายามหาเรื่องราวต่างๆ มาเล่าให้พี่ชายตัวเล็กฟัง พูดคุยเป็นเพื่อนในเวลาที่คิดว่าคยองซูน่าจะต้องการใครสักคน และคอยอ้อนให้คนอายุมากกว่านึกรำคาญเล่น ทั้งหมดก็เพื่อคยองซูจะได้ลืมเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจไป

    ทว่ายิ่งจงอินทำให้คยองซูยิ้มได้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งหลงอยู่ในวังวนรอยยิ้มนั้นมากเท่ากัน ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัว จงอินอยากจะเก็บรอยยิ้มนั้นไว้กับตัวเองแค่คนเดียว อยากจะเป็นคนเดียวที่ทำให้คยองซูหายเหนื่อย เป็นคนเดียวที่จะอยู่เคียงข้างกันเช่นนี้ตลอดไป

    “จริงสิ ไหนว่ามีเรื่องจะขอปรึกษา”

    จู่ๆ คยองซูก็พูดขึ้นมาเพราะเพิ่งนึกได้ว่าที่เขาต้องขับรถไปรับเจ้าเด็กตัวสูงจากมหาวิทยาลัยมาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้ จงอินชะงักไปเล็กน้อย

    “อืม...จริงด้วย”

    “ว่ามาสิ มีอะไร? ทะเลาะกับจื่อเทาอีกแล้วหรือไง?”

    “เปล่าครับ แต่คือ...” ลำบากใจจนเผลองับริมฝีปากตัวเอง จงอินหันหน้าหนีไปอีกทางพลางหลับตาแน่น สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเรียกขวัญกำลังใจแล้วหันกลับมาคุยกับคนที่นั่งทำหน้างง

    “คือจริงๆ ผมคิดเรื่องนี้มานานมากแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าทำอะไรสักที”

    “เรื่อง?”

    “บอกชอบคนๆ หนึ่ง”

    คำตอบที่ออกมาจากปากได้รูปทำเอาคยองซูสะดุดลมหายใจ

    “ชอบเขามานานมากแล้ว แต่ไม่รู้จะบอกเขายังไงดี กลัวเขาจะไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยแล้วต้องเสียเขาไป”

    “จงอินไม่เห็นเคยเล่าให้พี่ฟังเลย” เสียงที่เปล่งออกมาเบาจนแทบกลืนไปกับสายลมยามค่ำคืน

    “ขอโทษนะครับ ผมกลัวพี่โกรธ”

    “...บ้าบอ...” เสียงแผ่วกลั้วเสียงหัวเราะเล็กน้อย คยองซูไม่แน่ใจว่าตัวเองพยายามหัวเราะเพื่อให้จงอินไม่กังวลหรือหัวเราะเพราะสมเพชตัวเองกันแน่ ร่างเล็กหันมองไปทางแม่น้ำด้านหน้า หวังเพียงจะซ่อนดวงตาไหวระริกของตนเองไม่ให้จงอินเห็น โดยที่ไม่ได้ฉุกคิด...ไม่คิดว่าจะเป็นตัวเองเลยสักนิด

    “พี่ว่าผมควรจะบอกเขาไปเลยดีมั้ยอ่ะ?” เสียงทุ้มยังเอ่ยถามโดยไม่ละสายตาไปจากคนพี่

    “ถ้าชอบก็บอกเขาไปเถอะ ดีกว่ามานั่งอึดอัดใจอยู่แบบนี้”

    “อืม...ถ้าพี่ว่าโอเคผมก็โอเค” เด็กตัวสูงยิ้มกว้าง “งั้นผมจะบอกเขาแล้วนะ”

    น้ำเสียงที่ฟังแล้วสดใสขึ้นแม้ไม่ต้องหันไปมองหน้า คยองซูก็พอจะรู้ว่าจงอินมีความสุขแค่ไหน เขาอยากจะหันไปตะโกนใส่หน้าเด็กบ้านี่เหลือเกินว่าอยากจะทำอะไรก็ทำไป ยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับเขาอยู่แล้ว

    “พี่คยองซูครับ” แต่เสียงทุ้มกลับเอ่ยเรียกชื่อ คยองซูหันไปหาและเกือบจะทำหน้าตาหงุดหงิดใส่อยู่แล้ว...ถ้าไม่ได้ยินประโยคต่อมา

    “ผมชอบพี่นะครับ”

    ราวกับเวลาหยุดเดิน ทุกสิ่งรอบกายคล้ายไม่ไหวติง

    ชั่วครู่หนึ่งคยองซูคิดว่าตัวเองอาจจะฟังผิดไป แต่สัมผัสอบอุ่นของมือใหญ่ที่เลื่อนมากอบกุมมือเขาไว้ก็ได้ย้ำชัดให้มั่นใจว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง สายตาอ่อนโยนที่มองมาแม้จะดูไร้เดียงสาเฉกเช่นทุกครั้งแต่คยองซูเพิ่งจะสังเกตเห็นวันนี้เองว่า ตาคู่นั้นสะท้อนภาพเขาเพียงคนเดียว เป็นสายตาที่มอบให้เขาเพียงคนเดียว

    “เป็นแฟนกับผมได้มั้ยครับ...พี่คยองซู?”

    แสงจันทร์สว่างมากไป มากพอที่จะทำให้เห็นว่าความรู้สึกทุกอย่างสะท้อนอยู่บนใบหน้าของคยองซูแล้ว เขาไม่สามารถซ่อนเร้นมันได้อีกแล้ว

    คนเป็นพี่ค่อยๆ คลี่ยิ้ม ดวงหน้าหวานซับสีระเรื่อพยักหน้าเบาๆ

    “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

    ประโยคนี้คยองซูคงพูดได้ชัดเจนที่สุด เพราะหลังจากนั้นเขาก็จำต้องพูดเสียงอู้อี้เพราะแขนยาวของเด็กตัวโตดึงเขาไปจมอยู่ในอ้อมกอดอุ่นเสียเต็มรัก

    “พี่ก็ชอบเราจนแทบบ้าอยู่แล้ว คิมจงอิน”

     

    -5

    กำลังออกจากบ้านแล้วนะ

    ครับ จะอาบน้ำให้ไวเลย

    ดีมากครับ แฟนเด็ก

    ขับรถดีๆนะครับ แล้วเจอกันครับ

     

    คนตัวเล็กอมยิ้มให้โทรศัพท์เหมือนเป็นพวกเสียสติก่อนจะหย่อนมันลงกระเป๋ากางเกง จากนั้นจึงสตาร์ทรถ เอื้อมมือเปิดเพลงที่ชอบฟัง ส่องกระจกดูเสื้อผ้าหน้าผมเล็กน้อย แล้วจึงเหยียบคันเร่งขับรถออกจากบ้านไป เสียงหวานฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีดังไม่ขาดปากเรียวสวยพอกับรอยยิ้มที่ยังไม่จางหายตั้งแต่ออกจากบ้านมา

    วันนี้คยองซูมีนัดดูหนังรอบดึกกับจงอิน อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากดูดึกขนาดนี้ แต่เพราะช่วงนี้น้องยุ่งกับงานที่คณะกว่าจะกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปสองทุ่มแล้ว คยองซูเข้าใจดี และรับปากแฟนเด็กของตัวเองไว้ว่าจะไปรับที่บ้านเวลาประมาณสามทุ่ม

    ถึงจะเป็นสารถีเทียวรับเทียวส่งจงอินมาตลอดตั้งแต่ก่อนคบกัน แต่ถ้าขับรถมาถึงบ้านของจงอินแล้วล่ะก็ คยองซูแทบจะนับครั้งได้ อาจเพราะบ้านของเขากับจงอินอยู่กันคนละทาง ด้วยความเกรงใจจงอินเลยมักจะขอให้เขาส่งแค่สี่แยกใหญ่แล้วตัวเองค่อยเดินต่อมาเสียมากกว่า

    ตอนนี้เขาขับเลยสี่แยกที่ว่านั่นมาแล้ว ดวงตากลมโตเหลือบมองตัวเลขดิจิตอลของนาฬิกาในรถ เขามาถึงเร็วกว่าที่คิด ไม่รู้ว่าจงอินจะจัดการธุระส่วนตัวของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง

    ไม่นานนักรถคันเล็กก็จอดอยู่หน้ารั้วบ้าน คยองซูดับเครื่องยนต์แล้วหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์ข้อความส่งหาคนที่เพิ่งคุยด้วยล่าสุด

     

    มาถึงแล้วนะ เสร็จหรือยัง?

     

    พิมพ์ไปแต่ยังไร้สัญญาณว่าปลายสายอ่านข้อความแล้ว

    รออยู่หน้าบ้านนะ

     

    คยองซูจึงพิมพ์ต่อไปตามนั้นแล้วเก็บโทรศัพท์ บางทีจงอินอาจจะกำลังรีบแต่งตัวอยู่จนไม่ทันสนใจโทรศัพท์ก็ได้ คนตัวเล็กตัดสินใจนั่งฟังเพลงเพลินๆ อยู่ในรถโดยเปิดกระจกเอาไว้ ลมเย็นด้านนอกทำให้คยองซูไม่รู้สึกเบื่อหรือหงุดหงิดที่ต้องรอ เขาเข้าใจอยู่หรอกว่าใครๆ ก็ต้องอยากแต่งตัวดูดีออกไปเที่ยวกับแฟนตัวเองอยู่แล้ว

    รออยู่ราวห้านาที เสียงเปิดประตูบ้านที่ดังขึ้นไกลๆ ก็เรียกให้คยองซูต้องเบาเสียงเพลงลงแล้วชะโงกหน้าออกไปดู เขาเห็นร่างสูงกำลังหันหลังอยู่หน้าประตูบ้านอยู่ไวๆ อาจจะมองไม่ค่อยถนัดนักเพราะต้องมองผ่านช่องว่างระหว่างรั้วไม้หน้าบ้านเข้าไป คยองซูรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่จงอินไม่ได้อยู่บ้านนี้หลายเดือนแล้ว แถมหุ่นสูงโปร่งดูดีแม้จะมองจากข้างหลังแบบนี้จะเป็นใครไปได้ เขาจึงมั่นใจว่าเป็นจงอินไม่ผิดแน่

    “เร็วเหมือนกันนี่เจ้าเด็กหมี” เอ่ยพึมพำกับตัวเองพลางระบายยิ้ม คยองซูลงจากรถแล้วเดินไปชิดรั้วบ้าน นิ้วเรียวกดออดหนึ่งครั้งจนแว่วได้ยินเสียงดังมาจากในตัวบ้าน จากนั้นก็ยินเสียงลากรองเท้าเดินมาใกล้เรื่อยๆ

    คยองซูหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเบี่ยงตัวเอนหลังพิงกับรั้วทำเป็นไม่สนใจ ตั้งใจจะแกล้งบ่นเรื่องที่จงอินไม่อ่านข้อความให้เด็กตัวโตมาง้อสักหน่อย

    เสียงปลดล็อกประตูดังขึ้นก่อนที่ประตูรั้วจะเปิดออก

    “จงอิน ทำไมไม่...”

    ทว่าทุกคำที่เตรียมจะพูดกลับกลืนหายลงคอไปทันทีที่เห็นว่าเป็นใครที่มาเปิดประตูต้อนรับ

    ใบหน้าหล่อเหลาของ คิมจงอินที่คยองซูคุ้นเคยดีแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางทำให้ดูหล่อคมขึ้นผิดหูผิดตา ผมที่ถูกเซ็ตเป็นทรงเปิดหน้าผากยิ่งทำให้ดูเป็นแบดบอยมากขึ้น เสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำสวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวดูง่ายๆ แต่เรียบหรูเข้ากันได้ดีกับกลิ่นน้ำหอมที่ฟุ้งติดตัวมาด้วย ไหล่กว้างและหุ่นที่ดูดีระดับนายแบบทำให้เสื้อผ้าหน้าผมทุกอย่างดูลงตัวไร้ที่ติ

    ความหล่ออันตรายที่ได้พบอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้คยองซูกลายเป็นใบ้ชั่วขณะ

    “มาหาจงอินเหรอครับ?”

    เสียงทุ้มที่ฟังยังไงก็เป็นแฟนเด็กของเขาเอ่ยถามขึ้นมา คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยขณะที่ริมฝีปากคมก็ยกยิ้มระหว่างก้มมองคนตัวเล็กที่ชะงักนิ่งไปแล้ว ร่างสูงเอี้ยวตัวไปทางด้านหลังก่อนจะตะโกนสุดเสียง

    “คิมจงอิน! มีคนมารออยู่หน้าบ้าน”

    “ครับบบ จะรีบไปแล้วครับ” มีเสียงตอบกลับมา เสียงที่เหมือนกันราวกับถอดแบบ เสียงที่คยองซูมั่นใจว่าเป็นคิมจงอินคนรักของตัวเองแน่ๆ

    แล้วคนๆ นี้ล่ะ...คือใครกัน?

    ทิ้งความเงียบเข้าทักทายกับความงุนงงอยู่พักหนึ่งและเป็นเวลามากพอจะให้คนตัวสูงได้กระตุกยิ้มมองคนแปลกหน้าที่มายืนพิงรั้วอยู่หน้าบ้านของตนเอง แต่เพียงไม่นานนัก ร่างสูงในชุดลำลองสบายๆ แต่ดูทันสมัยและดูดดีตามสไตล์ของเจ้าตัวก็วิ่งหน้าตั้งมาหยุดอยู่ข้างๆ คนที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว

    ใบหน้าที่เหมือนกันราวกับแกะต่างกันเพียงแค่การแต่งตัวและการแต่งหน้าทำให้คยองซูยิ่งงงหนักกว่าเก่า ตากลมโนมองทั้งสองคนสลับกันซ้ำๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ในวินาทีถัดมา

    “พี่ไคไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมปิดบ้านให้เอง”

    คิมจงอินมีพี่ชาย

    เด็กหนุ่มยิ้มกว้างน่าเอ็นดูเหมือนอย่างทุกครั้ง ฝ่ายที่แต่งตัวด้วยชุดพร้อมท่องราตรีเต็มที่พยักหน้าเบาๆ แล้วหันหลังไปถอยดูคาติ 899 Panigale รุ่นใหม่ล่าสุดออกมา คนที่เป็นพี่ชายใส่หมวกกันน็อกแล้วเอ่ยบอกน้องชายที่ยืนอยู่ข้างๆ คนตัวเล็กอีกครั้ง

    “กลับมาแล้วบอกด้วยแล้วกัน จะบอกอีกทีว่ากลับบ้านมั้ย”

    “ครับ” รับคำอย่างดีก่อนที่อีกฝ่ายจะขับรถคันโปรดพุ่งทะยานออกไป

    “เราก็ไปกันบ้างเถอะครับ พี่คยองซูไปรอบนรถก่อนเลยนะ ผมปิดบ้านแป๊บนึง”

    “อ...อืม”

    คยองซูเอ่ยรับแล้วเดินขึ้นรถไป ทว่าหากคนตัวเล็กจะมองกระจกข้างแล้วสังเกตสักนิดก็คงจะเห็นว่าดูคาติสีเงินคันนั้นยังไม่ได้ไปไหนเลย

    รถหรูจอดอยู่ใต้ต้นไม้ริมถนนไม่ใกล้ไม่ไกลนัก หมวกกันน็อกใบใหญ่ถอดออกมา ยิ้มร้ายจุดขึ้นที่ริมฝีปากคมหยัก ดวงตาคมมองน้องชายที่กำลังเดินไปขึ้นอีกฝั่งของรถคันเล็กก่อนจะที่จะขับออกไป

    นึกถึงใบหน้าหวานที่แสดงอาการตกใจออกมาอย่างชัดเจนตอนเห็นเขาแล้วอดหัวเราะเสียงเบาในลำคอไม่ได้

    “เจ้าเด็กนั่นหาแฟนได้น่ารักดีนี่”

     

    -6

    คยองซูรู้ว่าคิมจงอินมีพี่ชายอยู่หนึ่งคน แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นแฝดกัน

    วันนั้นจงอินเล่าให้คยองซูฟังถึง คิมไคพี่ชายผู้แตกต่างจากตัวเองโดยสิ้นเชิงแม้จะเป็นฝาแฝดที่คลานตามกันออกมาห่างกันแค่ไม่กี่นาที เมื่อมีลูกชายที่เกิดมาพร้อมๆ กันทำให้สามีภรรยาต้องแบ่งเบาช่วยกันเลี้ยงดู ไคถูกเลี้ยงโดยคุณพ่อ ส่วนจงอินจะสนิทกับทางคุณแม่มากกว่า ซึ่งก็อาจมีส่วนทำให้พื้นฐานนิสัยของทั้งสองคนต่างกันไม่น้อย

    ไคถูกสอนให้มีความเป็นผู้นำ ปลูกฝังให้มีความเป็นพี่ชายที่สามารถพึ่งพาได้ ส่วนจงอินนั้นถูกเลี้ยงมาแบบน้องเล็ก คุณแม่มักจะตามใจจงอินเสมอทำให้กลายเป็นเด็กขี้อ้อน กับคิมไคเองแม้จะดูเป็นพี่ชายที่เคร่งขรึมแต่บางครั้งก็ยังต้องยอมแพ้โหมดอ้อนเป็นเด็กของคิมจงอินเหมือนกัน

    นอกจากการเลี้ยงดูจะทำให้สองพี่น้องมีนิสัยแตกต่างกันสุดขั้วจนดูไม่เหมือนเป็นฝาแฝดกันแล้ว เมื่อทั้งคู่เริ่มเรียนในระดับมัธยม ไคต้องไปเรียนต่อที่อเมริกาตามคุณพ่อ ส่วนจงอินเรียนที่เกาหลีและอยู่กับคุณแม่ แต่ถึงจะอยู่ห่างกันก็ไม่ได้ขาดการติดต่อ ครอบครัวนี้ยังไปมาหาสู่และส่งข่าวถึงกันไม่เคยขาด จึงไม่ได้ส่งผลให้สายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องลดน้อยลงเลย

    กระทั่งไคเรียนจบไฮสคูล ทุกคนเห็นตรงกันว่าผลการศึกษาที่สูงลิบของเจ้าตัวทำให้ยังไม่จำเป็นต้องเร่งส่งไคเรียนในระดับมหาวิทยาลัยในตอนนี้ก็ได้ พี่ชายของจงอินจึงได้กลับมาพักผ่อนอยู่ประเทศบ้านเกิดตามหาเส้นทางที่อยากเดินต่อไปก่อน ส่วนจงอินยังอยากเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่เกาหลี ทุกคนในครอบครัวก็ไม่ขัดใจ ขณะเดียวกัน คุณพ่อและคุณแม่ของทั้งคู่ก็มีแพลนพักผ่อนยาวที่อเมริกา ทำให้สองพี่น้องต้องดูแลกันเองที่เกาหลีหลายเดือน

    “นอกจากรูปร่างหน้าตาก็แทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลย น่าตกใจจริงๆ แฮะ” พูดขึ้นเมื่อเห็นรูปคู่ของตนเองกับแฟนเด็กตัวสูงที่หน้าจอมือถือก่อนจะเข้าไปตอบแชทน้องที่ส่งมาบอกว่าเลิกเรียนแล้วและกำลังจะไปหา คยองซูส่งสติ๊กเกอร์กลับไป มือขาววางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ หยิบแก้วคาปูชิโนมาจิบพลางมองบรรยากาศร่มรื่นนอกกระจกร้านกาแฟไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยของจงอิน

    ยอมรับว่าวันนั้นที่เห็นคิมไคเขาตกใจจริงๆ แว้บแรกคยองซูนึกว่าเป็นจงอินด้วยซ้ำ แต่พอได้เห็นสายตาคมดุจเหยี่ยวแฝงความเจ้าชู้อย่างร้ายกาจคู่นั้นก็มั่นใจว่าไม่ใช่แฟนเด็กของเขาแน่ ทว่าน่าแปลกนัก เพียงแค่ชั่ววินาทีที่สบตา แต่ทำไมคยองซูกลับรู้สึกราวกับถูกมองทะลุทะลวงเข้าไปถึงข้างใน ความรู้สึกนั้นยังติดตรึงมาจนถึงตอนนี้ เพียงแค่นึกถึงเขายังเผลอยกมือขึ้นแตะอกซ้ายที่จู่ๆ ก้อนเนื้อข้างในก็เต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

    “ขอนั่งด้วยคนได้มั้ยครับ?”

    เสียงทุ้มที่ดังขึ้นด้านหลังทำเอาคยองซูสะดุ้ง เป็นเสียงของคิมจงอิน แต่สัญชาตญาณกลับบอกเขาว่าไม่ใช่ และก็เป็นเช่นนั้นเมื่อแขกผู้มาใหม่เดินอ้อมมาข้างหน้าและหย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามอย่างไม่รอคำอนุญาต

    ใบหน้าหล่อเหลาและสายตาคมแฝงแววเจ้าชู้ยังคงไม่เปลี่ยน ต่างออกไปเพียงแค่เสื้อผ้าที่วันนี้ดูสบายๆ ขึ้น ถึงกระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าแม้จะอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงพอดีตัวธรรมดาแต่คนตรงหน้ากลับดูดีราวกับหลุดมาจากหนังสือแฟชั่น

    “คุณมาที่นี่ได้ยังไง?” ร่างเล็กเอ่ยถามหลังตั้งสติได้

    “มหาลัยน้องชายผม ทำไมผมจะมาไม่ได้?” คำตอบที่ได้รับฟังดูยอกย้อนอยู่ในที รอยยิ้มมุมปากยิ่งชวนให้คยองซูรู้สึกขัดใจ

    “คุณคงจะรู้จักผมแล้วแต่ก็ขอแนะนำตัวสักหน่อย ผมชื่อคิมไค เป็นพี่ชายฝาแฝดของคิมจงอิน ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง”

    ท่าทางที่ดูมั่นใจ รอยยิ้มที่ทำให้ดูหล่ออันตราย สายตาแฝงนัยบางอย่าง ทุกสิ่งที่ว่ามาทำให้คยองซูรู้สึกไม่ปลอดภัยเท่าไรนักที่จะต้องอยู่ตามลำพังกับคนๆ นี้ ไม่ใช่กลัวถูกทำร้าย แต่เขารู้สึกกลัวหัวใจตัวเองที่เต้นแรงเกินไป

    “จงอินเล่าเรื่องของคุณให้ผมฟังบ่อยๆ เด็กนั่นเห่อแฟนจนชมไม่หยุดปาก พอได้มาเจอตัวจริงผมก็ไม่แปลกใจที่จงอินจะรักคุณมาก”

    คยองซูเผลอเม้มริมฝีปากเมื่อร่างสูงขยับตัวมาข้างหน้า จุดรอยยิ้มและเอ่ยประโยคถัดไปด้วยเสียงที่เบาลง

    “เพราะคุณ น่ารัก มากจริงๆ ด้วย”

    “ผมขอตัวก่อน” เตรียมจะลุกขึ้นหนี แต่มือหนากลับคว้าข้อมือรั้งไว้

    “ไม่ต้องหรอกครับ” ไคพูดก่อนจะละมือออกมาเมื่อตากลมโตเหลือบมองข้อมือตัวเอง “คุณอยู่รอจงอินที่นี่แหละ ผมแค่มาทักทาย”

    ไคพูดแล้วเป็นฝ่ายลุกขึ้นยืน มือหนาหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะแล้วส่งยิ้มให้คยองซูอีกครั้ง โดยที่ไม่สนใจใบหน้าหวานที่กำลังงงว่าทำไมอีกฝ่ายถึงรู้ว่าเขานัดกับจงอินที่นี่

    “แก้วนี้ผมเลี้ยงคุณเอง อ้อ...แล้วก็ถือว่าเลี้ยงมิ้นท์ช็อกโกให้เจ้าเด็กนั่นด้วย ยังไงก็ฝากบอกให้มันมาขอบคุณผมที่บ้านด้วยแล้วกัน” หัวเราะเบาๆ แล้วเดินออกจากร้านไป

    เวลาผ่านไปเกือบนาทีที่คยองซูยังนั่งมึนงงจับที่มาที่ไปไม่ถูก รู้ตัวอีกทีเขาก็เห็นดูคาติสีเงินวิ่งไปไกลแล้ว ร่างเล็กผุดลุกขึ้นหันมอง แต่แขนกลับถูกคว้าเอาไว้ด้วยมือใครคนหนึ่งจนต้องหันกลับมา

    “พี่คยองซู จะไปไหนเหรอครับ?”

    “จ...จงอิน”

    ใบหน้าเดียวกับบุคคลที่เพิ่งไปแต่ดูเยาว์กว่ากำลังเอียงมองคนอายุมากกว่าด้วยความแปลกใจ คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยที่เห็นแฟนตัวเองมีท่าทีแปลกๆ

    “เปล่า ไม่ได้จะไปไหน นั่งก่อนเถอะ” แม้จะยังไม่เข้าใจนักแต่ก็ยอมนั่งลงทั้งคู่

    “เมื่อกี้พี่ไคมาเหรอครับ?” ทว่าคำถามที่ออกจากปากเด็กหนุ่มทำให้คยองซูเผลอชะงักราวกับคนทำผิดแล้วถูกจับได้ จงอินหยิบเงินบนโต๊ะพลางพึมพำว่าใช่แน่ๆ

    “พักนี้ชอบแอบมาที่นี่บ่อยจัง ปกติไม่ชอบดื่มกาแฟเหมือนกันนี่นา”

    และสิ่งที่จงอินพูดออกมาคงเป็นคำตอบให้คยองซูแล้วว่าทำไมคนๆ นั้นถึงได้รู้เรื่องที่เขานัดกับจงอิน เพราะที่นี่คือร้านประจำที่คยองซูกับจงอิน เขาจะมารอจงอินก่อนเวลาเลิกเรียนอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงทุกครั้งที่น้องมีเรียนบ่าย

    คยองซูได้แต่หวังว่าดูคาติคันนั้นคงไม่ได้มาจอดรออยู่หน้าร้านนี้ทุกวัน

     

     -7

    คยองซูรู้ว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัยพอๆ กับรู้ว่าจงอินเป็นห่วงเขามากแค่ไหน แต่ครั้งนี้ความห่วงใยที่น้องมีให้กลับทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    “ไม่ได้นะครับ ไปฉลองในที่แบบนั้นยังไงพี่ก็ต้องดื่มแน่นอน แล้วจะขับรถกลับมาเองไหวได้ยังไง ผมไม่ยอมนะ เอาตามที่ผมบอกนะ...นะครับพี่คยองซู”

    นั่นคือคำขอร้องของจงอินเมื่อรู้ว่าเขาต้องมางานเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนสมัยเรียนที่ผับแห่งหนึ่ง ทันทีที่เขาใจอ่อนและยอมพยักหน้ารับตามคำขอร้อง คยองซูก็ถูกจมูกโด่งของเด็กแสบขโมยหอมเสียฟอดใหญ่เป็นรางวัล

    ใจจริงแล้วจงอินอยากจะไปเป็นเพื่อนคยองซูด้วยแม้จะรู้ตัวดีว่าไม่เหมาะกับสถานที่แบบนั้นเลยสักนิด แต่เพราะจงอินติดทำงานที่คณะทั้งคืน เจ้าตัวบอกว่ากว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็คงเกือบเช้าทำให้ไปด้วยไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรเจ้าเด็กตัวโตก็ยังอดห่วงแฟนพี่ไม่ได้อยู่ดี สุดท้ายเรื่องเลยมาลงเอยแบบนี้

    ตากลมชำเลืองมองร่างสูงข้างกายท่ามกลางความมืดและแสงไฟวิบวับชวนเวียนหัว เจ้าของผิวสีแทนและใบหน้าหล่อเหลาที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเล็กน้อยให้ยิ่งคมเข้มขึ้นเหมือนอย่างวันนั้นกำลังแจกยิ้มโปรยเสน่ห์เรี่ยราดขณะที่ในมือยังถือแก้ววิสกี้ชั้นดีไว้ละเลียดชิมเป็นระยะ

    คยองซูมองภาพตรงหน้าทั้งที่รู้สึกหงุดหงิดเอามากๆ หงุดหงิดที่ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงหงุดหงิด รู้แต่ว่าไม่ว่าคนตัวสูงที่โดดเด่นสะดุดทุกสายตาคนนี้จะขยับตัวไปทางไหนคยองซูก็หงุดหงิดไปเสียหมด

    เสียงเพลงดังกระหึ่มไม่คงไม่ทำให้ได้ยินเสียงถอนหายใจ แต่ทว่าร่างสูงที่ดูเจนจัดกับที่แบบนี้เหลือเกินก็ยังหันมามองคนตัวเล็กพลางเลิกคิ้ว

    “เป็นอะไร?” พูดเสียงดังแข่งกับเสียงเพลง

    “เปล่า แค่คิดว่าจงอินคงคิดผิดที่ฝากผมไว้กับคุณ” ตากลมโตเหลือบมองแก้วแอลกอฮอล์ในมืออีกฝ่ายที่ถูกเติมไม่เคยขาด ทว่าฝ่ายนั้นกลับกลั้วหัวเราะแล้วกระดกทีเดียวหมดแก้ว และยื่นไปขอเครื่องดื่มใหม่จากบาร์เทนเดอร์

    “น้องชายผมน่ะรู้จักผมดีกว่าคุณนัก” รอยยิ้มกวนประสาทจุดที่มุมปากมองแล้วก็ดูมีเสน่ห์ไม่น้อย ซึ่งเขามั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ เพราะแม้แต่แม่สาวชุดแดงที่นั่งถัดไปยังเอาแต่มองไม่วางตา คยองซูส่งเสียงขัดใจในลำคอแล้วยกแก้วในมือตัวเองดื่มบ้างแม้จะเริ่มรู้สึกร้อนเห่อที่ใบหน้า 

    “เฮ้ย คยองซู นั่นใครวะ?” แรงสะกิดพร้อมเสียงกระซิบใกล้หูเรียกให้คยองซูหันไปหา ไม่ใช่ใครที่ไหน ชานยอลเพื่อนซี้สมัยเรียนมัธยมของเขาเอง

    “พี่ชายจงอิน” เขาตอบไปพลางยกวอดก้ามาร์ตินี่ขึ้นจิบอีกหน

    “โกหก เหมือนรูปแฟนมึงที่มึงส่งมาให้ดูเป๊ะ”

    “เขาเป็นแฝดกัน”

    “แฝด? งั้นก็อายุเท่าแฟนเด็กมึงอ่ะดิ? โห โคตรไม่น่าเชื่อ ทำไมคนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่นักวะ เอาจริงๆ กูนึกว่าอายุไล่เลี่ยกับพวกเราด้วยซ้ำ ที่สำคัญคือหล่อสัด แล้วดูท่าทางลีลาการม่อสาวดิ บอกตรง กูยังยอม” ยิ่งชานยอลทำเสียงประหลาดใจ คยองซูก็ยิ่งเร่งดื่มคอกเทลในมือจนหมดแก้ว หงุดหงิด...หงุดหงิดเป็นบ้า

    “จะชมอะไรนักหนาวะ รำคาญ”

    “อ้าวไอ้นี่ เมาแล้วอย่าพาลดิวะ”

    ชานยอลเบ้หน้ามองคนที่เท้าคางโงนเงนกับโต๊ะดูแล้วอาการไม่ค่อยดีนัก เพื่อนทุกคนก็รู้ว่าคยองซูคออ่อนอย่างกับอะไร แต่นี่เห็นว่ามีแฟน เอ่อ...พี่ชายแฟนตามมาดูแลด้วยถึงยอมปล่อยมันหรอก

    ก่อนที่แขนยาวๆ จะทันได้ประคองเพื่อนขึ้นมานั่งดีๆ มือของใครคนหนึ่งก็ยื่นมาโอบไหล่เล็กแล้วประคองให้ลุกขึ้นเสียก่อน ชานยอลมองตามไปก็พบว่าไม่ใช่ใครอื่น เป็นคนที่เขาเพิ่งจะพูดถึงเมื่อกี้ ไคส่งยิ้มบางมาให้ เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงฟึดฟัดและสายตาไม่พอใจของคนที่ชักจะกึ่มได้ที่ เด็กหนุ่มพูดกับเพื่อนของแฟนน้องชายเสียงนุ่ม

    “ขอตัวคยองซูก่อนนะครับ”

    “คุณจะพาผมไปไหน!?” ร่างเล็กโวยวายและพยายามจะแกะมือหนาออกจากไหล่ตัวเอง

    “คุณดื่มมากไปแล้วนะ ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยเถอะ”

    ชานยอลไม่ทันได้ยินว่าคยองซูบ่นอะไรคิมไคหลังจากนั้น เขาได้แต่มองเพื่อนตัวเองที่ถูกร่างสูงแทบจะอุ้มออกไปตาปริบๆ คนตัวสูงหันไปพูดกับกลุ่มเพื่อนที่ก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ด้วยกัน

    “ตกลงนั่นพี่ชายแฟนแน่เหรอวะ? กูชักงง”

     

    -8

    คิมไคกำลังทำให้คยองซูอยากอาละวาด ร่างสูงแทบจะอุ้มเขาเข้ามาในห้องน้ำอีกด้านหนึ่งของผับ ดูท่าแล้วไคคงจะเคยมาผับนี้บ่อยครั้งเลยทีเดียว ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ที่รู้ทางขนาดนี้

    พอยัดคนตัวเล็กเข้ามาในห้องน้ำได้ก็จัดการปิดล็อกประตูแล้วลากมาที่อ่างล้างหน้า ห้องน้ำนี้เป็นห้องเดี่ยว ไคจึงมีเวลาจัดการกับคนที่เมาแล้วก้าวร้าวกว่าทุกวันได้ง่ายหน่อย มือหนาล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาแล้วเปิดก๊อกน้ำชุบให้พอหมาดก่อนจะยื่นให้ร่างบาง

    “เช็ดซะ”

    ทว่าได้สายตาไม่เป็นมิตรกลับมา ใบหน้าแดงระเรื่อเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ไม่ได้ทำให้คยองซูดูน่ากลัวขึ้นเลยสักนิด มือเล็กดันมือของไคออกเหมือนเด็กงอแง

    “ไม่เอาน่า อย่าดื้อจะได้มั้ย”

    “คุณจะมายุ่งวุ่นวายอะไรกับผมนักหนา ถ้าเพราะจงอินขอมาล่ะก็ไม่เป็นไร ผมดูแลตัวเองได้ และจะช่วยบอกให้เองว่าคุณดูแลผมอย่างดี”

    ไคมองคนที่ขึ้นเสียงพลางพรูลมหายใจ น่าแปลกที่แม้แต่เวลางี่เง่าขนาดนี้เขายังไม่รู้สึกรำคาญโดคยองซูเลยสักนิด กลับมองว่าคนตัวเล็กยิ่งดูน่ารักกว่าทุกวัน รอยยิ้มจุดที่มุมปากได้รูปแล้วยื่นมือไปซับผ้าเช็ดหน้าลงบนแก้มแดงระเรื่อเบามือ

    “คุณหงุดหงิดผมอยู่สินะ”

    และคำพูดนั้นก็เรียกสายตาขัดเคืองมาได้ฉับพลัน คยองซูปัดมือไคทิ้งแล้วหันหน้าหนี แผงฟันคมเผลองับริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างลืมตัว ทุกอากัปกิริยาที่ชี้ชัดยิ่งทำคนตัวสูงยิ้มกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ

    “ไม่พอใจที่เห็นผมทำตัวเจ้าชู้เหรอครับ?”

    “อย่าสำคัญตัวผิดนักเลย!” หันกลับมาขึ้นเสียงใส่ก่อนจะรู้สึกตัวตอนสบตาเจ้าเล่ห์อย่างผู้เหนือกว่า คยองซูหลบตาคู่นั้นอีกครั้ง นึกรำคาญเสียงหัวใจตัวเองไม่น้อยที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุกวินาที

    “โอเค โอเค ถ้าอย่างนั้นผมจะเปลี่ยนเป็นพูดอะไรที่น่าสนใจกว่านั้นให้ฟัง” หัวเราะเหมือนอารมณ์ดีมาจากไหนซึ่งมันทำให้คยองซูไม่ชอบใจเอาเสียเลย

    “อยู่กับจงอิน...เด็กนั่นไม่เคยดูแลคุณแบบนี้สินะ” เสียงที่พูดประโยคถัดไปเบาลงอีกนิดแต่กลับชัดเจนเข้าไปถึงข้างใน “ที่จริงแล้วลึกๆ ในใจคุณบางครั้งก็เบื่อกับความเป็นเด็กของจงอินใช่หรือเปล่า?”

    ราวกับมีกระสุนพุ่งเจาะกลางใจ คยองซูถูกไคเห็นสิ่งที่ซ่อนไว้อย่างดีอย่างที่เคยนึกกลัวเอาไว้จริงๆ

    ยิ่งเห็นคยองซูชะงักนิ่งไปแบบนี้ ไคก็ยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองพูดไม่ผิดไป รอยยิ้มมากเสน่ห์จุดที่มุมปาก ตาคมจดจ้องตากลมโตที่หลุกหลิกอย่างเห็นได้ชัดแม้จะก้มหน้าหนี ร่างสูงแอบขยับกายเข้าใกล้อีกนิดโดยที่อีกคนไม่รู้ตัว

    “ยอมรับมาเถอะโดคยองซู คุณชอบผมเข้าแล้วล่ะสิ”

    “หุบปาก!” หันกลับมาตะคอกใส่แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเพิ่งสังเกตเห็นระยะห่างระหว่างกันที่น้อยลงจนน่าตกใจ ตาคมเข้มคู่นั้นสะกดให้คยองซูหนีไม่ได้อีก

    “ผม...ผมเป็นแฟนน้องชายคุณนะ!

    “อย่าปากแข็งนักเลย ผมมองคุณออกนะ คยองซู”

    “ไม่! ผมรักจงอิน แค่จงอินเท่านั้น!

    “เคยจูบกันหรือยัง?”

    คำถามที่เอ่ยออกมาอย่างไร้ความกระดากอายกลับทำให้คยองซูชะงัก เรียวปากสีระเรื่อเผลอเม้มแน่นจนคนมองต้องหัวเราะแผ่วในลำคอ

    “หึ ยังสินะ จะเคยได้ยังไง ก็จงอินมันเป็นเด็กดีออกขนาดนั้น”

    “...หุบปากเดี๋ยวนี้”

    คยองซูกัดฟันกรอด หวังจะใช้สติที่ยังพอหลงเหลืออยู่พาตัวเองออกจากที่นี่เสียที หากแต่เพียงแค่ขยับตัวก็ถูกแขนยาวรวบกอดเอาไว้แน่นจนกายเบียดชิดใกล้ ร่างเล็กดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดแกร่งอย่างไร้ทางหนี กระทั่งต้องหยุดนิ่งเมื่อใบหน้าหล่อจัดเคลื่อนเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อน

    “ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ...ผมเข้าใจคุณนะ” เสียงทุ้มกระซิบแผ่ว ใบหน้าหล่อคมขยับเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีแรงดึงดูดระหว่างกัน ดวงตาชวนหลงใหลยังสบตากลมที่ฉายความหวั่นไหวในระยะประชิด

    “ผมรักจงอิน”

    “ผมรู้...ผมรู้” มือหนาค่อยๆ เลื่อนมาวางหลังท้ายทอย ปลายนิ้วไล้เกลี่ยต้นคออีกฝ่ายแผ่วเบาราวกับช่วยปลอบเด็กน้อยไม่ให้ผวาตื่น

    ระยะห่างน้อยลงทุกที ดวงตาที่ปรือปรอยเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เป็นทุนเดิมค่อยๆ ปิดลงทีละนิดเมื่อปลายจมูกบดเบียดกันและกัน ภาพสุดท้ายที่คยองซูเห็นคือดวงตาเจ้าชู้ที่คยองซูไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าช่างน่าหลงใหลจนเขาไม่อาจฉุดตัวเองออกมาจากมนต์สะกดนั้นได้

    รู้ตัวอีกทีริมฝีปากร้อนของไคก็กดแนบกับเรียวปากของเขาเสียแล้ว

    ราวกับเชื้อเพลิงที่จุดติดไฟ ราวกับคิมไคคือเหล้าชั้นดีที่ลองได้ลิ้มรสก็มีแต่มัวเมา จากสัมผัสแผ่วเบาแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนแรงชั่วพริบตา ลมหายใจร้อนเร่าของคนสองคนสะท้อนก้องภายในห้องน้ำแคบๆ เรียวปากนุ่มถูกบดเบียดและขบงับแผ่วเบาเพื่อให้เปิดทางให้ลิ้นร้อนแทรกเข้าไป เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดพันกันจนรับรู้ได้ถึงรสหวานขมของเครื่องดื่มที่อีกฝ่ายเพิ่งดื่ม ไคดูดดึงปลายลิ้นเล็กซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างหลงใหลไม่ต่างจากคยองซูที่ยอมให้อีกฝ่ายกวาดต้อนตักตวงความหวานด้วยความเต็มใจ

    มือเล็กที่แรกเริ่มขวางกั้นไม่ให้ร่างสูงเข้ามาใกล้เกินไปเวลานี้กลับปัดป่ายไปทั่วแผ่นหลังกว้าง ส่งผลให้คนที่ได้ใจยิ่งโอบกอดกระชับแน่นจนร่างกายแทบไม่เหลือช่องว่างให้อากาศแทรกผ่าน สัมผัสที่บดเบียดเสียดสีกันเร่งปลุกสัญชาตญาณดิบในกายให้ลุกโชน ร้อนรุ่มจนแทบทนไม่ไหว ทุกส่วนของร่างกายที่มือใหญ่ลากผ่านราวกับจุดติดไฟ คยองซูแทบจะหลอมละลายอยู่ในอ้อมกอดของไคเสียให้ได้

    เพียงชั่ววินาทีที่ร่างสูงยอมละจากปากนุ่มหยุ่นออกมาเพื่อให้คยองซูได้สูดอากาศเข้าปอด ท่ามกลางเสียงหอบมีเสียงลมหายใจสั่นเครือด้วยความกระสัน ตาประสานตาอีกครั้ง และเป็นวินาทีที่คยองซูยอมปลดปล่อยทุกความรู้สึกผ่านตาคู่นั้นให้ไคได้เห็น มือเล็กยกขึ้นลูบใบหน้าที่เหมือนกับคนรักของตัวเองทุกระเบียดนิ้วช้าๆ และเขาก็ได้รอยยิ้มชวนใจสั่นไหวกลับมา จากนั้นรสจูบร้อนแรงก็เริ่มต้นอีกครั้ง

    เป็นสัญญาณบอกชัดว่า ค่ำคืนนี้ไม่มีอะไรจะมาหยุดเราได้อีกแล้ว



      

     [อ่าน 'ความเขินอายของกระจก' ได้ที่ไบโอทวิตเตอร์ของกระจกค่ะ]

    -9

    ครืด...ครืด...

    เสียงโทรศัพท์สั่นดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คนตัวเล็กตัดสินใจดันร่างสูงที่กำลังไล่ลากลิ้นและจูบซับไปทั่วแผ่นหลังของเขาให้ออกห่าง คยองซูผุดลุกขึ้นนั่งแล้วคว้าโทรศัพท์ข้างหัวเตียงมาดู หน้าจอยังคงขึ้นชื่อคนที่โทรเข้ามาเป็นชื่อเดิม

    คิมจงอินแฟนของเขาเอง

    เวลาที่มุมจอบอกให้รู้ว่าอีกไม่กี่นาทีจะตีห้า จงอินคงทำงานที่คณะเสร็จแล้ว น้องอาจจะขอให้คยองซูขับรถไปรับกลับบ้าน คิมจงอินไม่ชอบกินกาแฟ เด็กคนนั้นคงง่วงจนแทบลืมตาไม่ขึ้นแล้วแน่ๆ

    ระหว่างที่คิดถึงแฟนเด็กของตนเองต่างๆ นานา คยองซูไม่รู้เลยว่ามีตาคู่หนึ่งกำลังมองแผ่นหลังเปลือยที่เต็มไปด้วยรอยรักไม่วางตา ไคมองความสับสนลังเลที่สะท้อนออกมาแม้ไม่ต้องสบตา เมื่อรู้ว่าคงห้ามอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ แขนแกร่งข้างหนึ่งจึงยกขึ้นมารองใต้ศีรษะเพื่อจะได้มองคนที่นั่งอยู่ได้ถนัดขึ้น

    “ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว” เสียงทุ้มพูดขึ้นแทรกเสียงสั่นของโทรศัพท์ “คิมจงอินเป็นเหมือนแสงสว่างที่อบอุ่น ไม่ว่าใครก็อยากอยู่ด้วย ใครๆ ก็รักเด็กนั่นทั้งนั้น แฝดพี่อย่างผมมีเหรอจะไม่รู้”

    เสียงโทรศัพท์เงียบไปแล้ว แต่ร่างเล็กก็นั่งนิ่งเงียบไม่หันกลับมา

    “สิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าคุณไม่พอใจ ผมก็จะแกล้งลืมมันไปเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ใช่ ผมขออะไรคุณอย่างหนึ่งได้มั้ย?” รอยยิ้มจุดขึ้นบนริมฝีปากคม

    “จูบผมอีกสักครั้งสิ”

    โทรศัพท์สั่นขึ้นอีกหนในจังหวะเดียวกับสิ้นเสียงทุ้มที่เอ่ยขอ และวินาทีถัดไปเรียวปากนุ่มของคยองซูก็ทาบทับกับริมฝีปากได้รูปของไคโดยไร้คำพูดใดเอ่ยนำ

    เป็นเพียงแค่สัมผัสแผ่วเบาแต่กลับหวานเชื่อม กระทั่งเมื่อสัมผัสนุ่มหยุ่นนั้นละออกมา มีเพียงชั่วลมหายใจที่ตาสบตา ก่อนที่คยองซูจะหันหลังและลุกขึ้นคว้าเสื้อผ้าบนพื้นแล้วกดรับสายโทรศัพท์ทันที

    “ครับ จงอิน”

    ไม่มีการหันหลังกลับมา คยองซูแนบโทรศัพท์ไว้กับหูและหัวไหล่พร้อมกับใส่เสื้อผ้าลวกๆ ตั้งใจฟังเสียงงัวเงียของปลายสาย

    “งั้นเดียวพี่จะไปรับเดี๋ยวนี้แหละ รออยู่ที่คณะนะ”

    เสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างของคนที่อยู่ในอ้อมกอดของไคทั้งคืนหายออกไปจากห้อง ความเงียบกลับเข้ามาแทนที่อีกครั้งแต่ก็ไม่ได้ทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงนึกหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย ท่าทางเขาต้องรีบเก็บกวาดทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่น้องชายฝาแฝดจะกลับมาถึงสินะ

    ไคหัวเราะในลำคอแผ่วเบา ก่อนจะลุกขึ้นหยิบกางเกงมาใส่ลวกๆ เขาคว้าบุหรี่กลิ่นมิ้นท์ที่วางไว้บนโต๊ะแล้วจุดไฟ ขายาวพาตัวเองก้าวออกไปนอกระเบียง บรรยากาศตอนใกล้รุ่งสางทำให้รู้สึกสดชื่นไม่น้อย

    ตาคมมองรถคันเล็กที่เพิ่งทะยานออกจากรั้วบ้านไป ไคยกบุหรี่จรดริมฝีปากเพื่อสูดกลิ่นหอมเข้าปอดอีกครั้ง หลังพ่นกลุ่มควันให้ลอยละล่องในอากาศชื้นน้ำค้าง ปลายนิ้วเรียวยาวก็ยกขึ้นแตะลูบเบาๆ บนปากของตัวเองที่ยังสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มที่คนน่ารักทิ้งไว้ให้

    ไคยกยิ้มอย่างพึงพอใจ

    “แต่ถึงยังไงก็ยังเลือกเจ้าเด็กนั่นอยู่ดีสินะ”

     

     

    END.


    #kaidoplayboy


    Mirror* talk : สวัสดีค่ะทุกคน กระจกเอง แฮร่! ฟิคเรื่องนี้เดิมทีเราทำไปแจกในงาน #KSmeetingTH เมื่อวันเสาร์ที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมาค่ะ แต่ก็เอาไปแจกไม่ครบคน บวกกับมีคนอยากอ่านอีกมาก เลยตัดสินใจว่าเอามาลงในนี้ให้ทุกคนได้อ่านเลยดีกว่า แถมเพิ่มฉากโคมไฟหัวเตียงที่ยัดลงไปในเล่มที่แจกไม่พอด้วย แอร๊ยยยยย

    ฟิคเรื่องนี้มีแรงบันดาลใจมาจากเพลง playboy ค่ะ ฟังจงอินร้องท่อนแรกแล้วรู้สึกระทวยมาก พอไปอ่านเนื้อเพลงก็อีโรติกละเกิน คนแต่งเพลงก็หล่อมาก #เดี๋ยวๆ เพราะฉะนั้นแล้วถ้าจะให้ได้อารมณ์ลองไปหาเปิดซับไทยความหมายของเพลงดูนะคะ

    สุดท้ายนี้ขอออกตัวไว้ก่อนว่าเขียนเอ็นซีไม่เป็น TvT มันอาจจะดูตลกไปบ้างก็อย่าถือสากันเลยเนอะ

    สามารถติดแท็กกันได้ที่ #kaidoplayboy นะคะ เราจะรออ่านนะ~

    ขอบคุณที่อ่านทุกตัวอักษรค่ะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×