ตอนที่ 17 : ไอดิน ; taejae (01/??) -rainverse-
taejae - rainverse
ผมเกลียดฝน
มันทำให้ผมทุกข์ทรมานเหมือนจะตายให้ได้
แต่คุณเป็นสิ่งเดียวที่ผมชอบยามฝนโปรยปราย
คุณที่คอยปลอบโยนและตระกองกอดผมไว้
ช่วงบ่ายที่ควรร้อนระอุเพราะแสงแดด กลับถูกแทนที่ด้วยกลิ่นฝนที่ลอยฟุ้งไปทั่ว ฤดูฝนที่มาเยือนกำลังทำให้วันที่แสนธรรมดากลายเป็นวันที่เฉอะแฉะไปด้วยน้ำขังตามพื้นถนน
ผมหันหน้าไปมองที่หน้าต่างในขณะที่ฟังอาจารย์บรรยายเนื้อหาของวิชาประวัติศาสตร์ ก่อนเสียงจากปากกาไวท์บอร์ดจะดึงสติให้ผมกลับไปจดจ่อกับวิชาเรียนอีกครั้ง ดวงตาของผมร้อนผ่าวเพราะพิษไข้ที่เริ่มเล่นงานหลังจากเผลอไปโดนละอองฝนเมื่อวาน
ผมเห็นเพื่อนสนิทอย่างมาร์คที่นั่งอยู่ข้างกายกำลังวาดอะไรสักอย่างลงในชีทเรียนของมัน แต่ให้เดาคงไม่พ้นการ์ตูนที่มันดูอยู่ช่วงนี้เพราะผมได้ยินมันโม้ไม่ต่ำกว่าสิบรอบว่าสนุกอย่างนั้นสนุกอย่างนี้
เนื้อหาการเรียนที่กำลังเข้าสู่ช่วงสำคัญถูกรบกวนด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังไม่ใกล้ไม่ไกล ขนในกายผมลุกซู่เมื่อรู้ว่าบางอย่างกำลังเกิดขึ้นกับตนเองในไม่ช้า
ไม่ทันได้ทำอะไร ฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมา กระทบเข้าที่หน้าต่างในขณะที่เสียงจากโลกภายนอกถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง
ผมเม้มปากแน่นเมื่อเสียงปากกาไวท์บอร์ดกับเสียงบรรยายของอาจารย์หายไป แล้วเสียงแห่งความว่างเปล่าเข้ามาแทนที่ทุกสิ่ง
เพื่อนสนิทของผมยังคงนั่งวาดรูปอยู่อย่างนั้นผิดกับผมที่เริ่มอยู่ไม่สุข เหงื่อกาฬผุดขึ้นทั่วทั้งใบหน้าทั้งที่แอร์ในห้องเรียนเย็นเฉียบกว่าเก่าเพราะพายุฝน ในหัวเริ่มปวดตุบๆเหมือนโดนบีบรัด
ท้องฟ้าดำสนิทกับการเรียนการสอนที่ดำเนินต่อไปอย่างไม่สิ้นสุดจนกว่าจะจบคาบเรียน ทุกคนรวมถึงเพื่อนๆรอบกายเงยหน้ามองกระดานและคงมีแค่ผมที่นั่งก้มหน้าถูมืออันร้อนผ่าวของตัวเอง
ไม่ได้ยินอะไรเลย
ผมสะดุ้งเฮือกเมื่ออยู่ๆมาร์คก็เขย่าเข้าที่ไหล่จนผมตัวโยก เงยหน้าแล้วหันไปมองก็พบว่าเพื่อนทั้งห้องรวมถึงอาจารย์ที่ยืนถือไวท์บอร์ดค้างไว้ ต่างก็หันมามองผมเป็นตาเดียว
เลื่อนตาไปมองหน้าเพื่อนสนิทที่กำลังทำหน้าตาเป็นห่วง คิ้วเข้มขมวดมุ่นและพูดอะไรสักอย่างที่ผมไม่ได้ยิน มันยกมือขึ้นมาทาบบนหน้าผากที่ชื้นเหงื่อของผม ก่อนจะหันไปหาอาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าห้อง
ผมเห็นอาจารย์พูดอะไรสักอย่างด้วยสีหน้าเป็นห่วงไม่แพ้กัน
มาร์คชะงักเมื่ออยู่ๆผมก็ลุกขึ้นยืน ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ผมเอ่ยเบาๆและคิดว่าทุกคนคงได้ยินอย่างชัดเจน
"ผมขอไปห้องพยาบาลนะครับ"
ผมเห็นอาจารย์พยักหน้าอนุญาตเลยรีบเดินออกมาจากโต๊ะเรียน แต่ก่อนจะออกมาผมก็กระซิบบอกมาร์คว่าฝากของด้วยถ้ากลับมาไม่ทัน และปิดประตูห้องในขณะที่เห็นสายตาของเพื่อนๆมองมาอย่างสงสัย
ฤดูฝนเป็นฤดูที่ผมเกลียด
เพราะผมไม่ได้ยินอะไรเลยยกเว้นเสียงของตัวเอง
ผมยืนอยู่หน้าห้องพยาบาลในขณะที่ฝนเริ่มซาลง ชะเง้อหน้ามองผ่านกระจกเห็นแค่เพียงความว่างเปล่าไม่มีแม้แต่อาจารย์ที่อยู่ประจำห้องแห่งนี้
ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไป แอร์ที่เย็นเฉียบไม่ต่างจากอากาศด้านนอกทำให้ผมตัวสั่น มองซ้ายมองขวาแต่ก็ไม่พบใคร ผมเลยทรุดตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ติดกับโต๊ะของอาจารย์ รอบกายยังคงเงียบสนิท
ผมถูมือร้อนๆของตัวเองอีกหนก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆอาจารย์ของห้องพยาบาลเดินเข้ามาทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้อีกฝั่ง
ผมเงยหน้ามองเขาพร้อมอาการปวดหัวที่เริ่มทวีคูณ ชายที่นั่งอยู่อีกฝั่งไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรนอกจากมองมาที่ผมนิ่งๆ
ผมสบตากับดวงตาสีเข้มที่ทอดมองมา ทรงผมที่ถูกเซ็ตเปิดหน้าผากทำให้ผมเห็นใบหน้าคมคายของเขาได้อย่างชัดเจน
"เป็นอะไรมาเรา"
เสียงทุ้มดังขึ้นทำให้ผมเบิกตากว้างกว่าเดิมพร้อมหันไปมองหน้าต่างที่ชโลมไปด้วยหยาดฝนที่กระทบลงมาอย่างต่อเนื่องสลับกับมองหน้าของคนอายุมากกว่า ฟ้าแลบแปลบปลาบกับบรรยากาศอึมครึมจากพายุฝนยังคงอยู่
"ว่าไง"
เสียงของอาจารย์ย้ำถามอีกรอบ ผมเลยหันมาสบตาเขาอย่างทำตัวไม่ถูก
เสียงของเขาเป็นเสียงเดียวที่ผมได้ยินอยู่ตอนนี้
"เอ่อ ปวดหัวนิดหน่อยครับ" ผมตอบออกไปอย่างอ้ำๆอึ้งๆมองอาจารย์ที่กำลังเขียนอะไรสักอย่าง แต่ปากกาในมือใหญ่ชะงักค้างก่อนใบหน้าหล่อเหลาจะเงยขึ้นมามองผมด้วยแววตาอ่านยาก
เราสบตากันท่ามกลางบรรยากาศแปลกๆที่เริ่มอบอวลไปทั่วห้องพยาบาล ผมเห็นดวงตาสีเข้มไหวระริกเล็กน้อย แต่เขาก็กระแอมไอออกมาแล้วพยักหน้ารับรู้
"เดี๋ยวขอวัดไข้หน่อยนะ" เขาเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม ผมพยักหน้าให้โดยที่ในหัวยังเต็มไปด้วยคำถามว่าผมได้ยินเสียงเขาได้ยังไง ก่อนจะอ้าปากเมื่อมือใหญ่ถือปรอทวัดไข้แล้วยื่นมาตรงหน้า
เขาขยับปรอทวัดไข้มาไว้ใต้ลิ้น และปลายนิ้วมือของเขาสัมผัสเบาๆที่ริมฝีปากของผมอย่างไม่ได้ตั้งใจ อาจารย์ชักมือกลับไปแล้วก้มหน้าเขียนต่อ
ทิ้งความรู้สึกอุ่นวาบที่ฉาบฉวยเอาไว้
ผมเหลือบตามองนั่นนี่ไปเรื่อยทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ ก่อนจะทิ้งสายตาไว้ตรงชื่อของอาจารย์ห้องพยาบาลที่ติดไว้อยู่บนผนังไม่ใกล้ไม่ไกล
รูปและชื่อระบุไว้บนนั้นทำให้ผมเหลือบตามองหาคนตรงหน้าอย่างอดไม่ได้
อาจารย์ธีรัช
"หันมาหน่อยครับ" เสียงนุ่มทำให้ผมสะดุ้งอีกครั้งเพราะความไม่ชินที่ได้ยินเสียงเขาท่ามกลางความเงียบสงัด ผมหันหน้าตามที่เขาบอก มือหนาเลยเอื้อมมาดึงปรอทออกไป
"มีไข้นะ ทานยาแล้วนอนพักหน่อยแล้วกัน หน้าเราดูซีดๆด้วย เดี๋ยวจะเป็นลมเอา" อาจารย์ธีรัชร่ายยาวในขณะที่ผมมองเขาตาปริบๆ อีกฝ่ายเพียงแค่ส่งยิ้มมาให้พร้อมกับสายตาที่อ่านยากเพียงเท่านั้น
"โอเคครับ" ผมตอบรับเขาเสียงเบา ก่อนบรรยากาศระหว่างเราจะกลับมาเงียบสนิทอีกครั้ง ผมมองเขาเขียนบันทึกอาการลงในกระดาษ
"ชื่ออะไรน่ะเรา" แล้วอาจารย์ธีรัชก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมที่มองเขาอยู่ ผมสะดุ้งไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ จนครั้งนี้เขาหัวเราะออกมาเบาๆ
โอย
"เจน...เจนวิทย์ครับ" ผมตอบเขาอ้อมแอ้ม อีกฝ่ายพยักหน้าแล้วเขียนชื่อผม คนอายุมากกว่าลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พาไปกินยา ก่อนจะเดินนำไปที่เตียง ผมเดินตามเขาต้อยๆ แล้วเขาก็หยุดที่เตียงในสุดของห้องพยาบาล
"นอนพักนะ" เขายืนยิ้มอยู่ปลายเตียงในขณะที่มองผมย้ายตัวไปอยู่บนนั้น ผมเอ่ยขอบคุณพร้อมกับอาจารย์ธีรัชที่เดินออกไป
เหลือเพียงแค่ผม ความเงียบและเสียงนุ่มทุ้มของเขาที่ก้องอยู่ในหัว
ผมได้เจออาจารย์ธีรัชแทบทุกวัน ไม่ใช่ในห้องพยาบาลแต่เป็นป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนที่ผมมักจะรอรถกลับบ้านทุกๆเย็น
ผมกับเขาขึ้นรถเมล์สายเดียวกัน แต่ผมลงก่อนเขาทุกครั้งเลยไม่รู้ว่าบ้านอาจารย์อยู่ไหน เราได้คุยกันตลอดตอนอยู่บนรถเมล์ ทั้งวันที่ท้องฟ้าสดใสและวันที่ฝนตก
ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเขาในวันที่ท้องฟ้าโปรยปรายไปด้วยเม็ดฝน
พักหลังมานี้ผมเอาแต่แอบมองเขา และการกระทำนั้นติดจนเป็นนิสัย คอยมองหาเวลาที่เขาไม่อยู่
ส่วนเรื่องที่ผมได้ยินเสียงเขาได้อย่างไร ผมไม่รู้จะหาคำตอบจากไหน รวมถึงเรื่องที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงของอาจารย์ธีรัชในวันที่ฝนตก เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย เพราะกลัวโดนหาว่าเป็นบ้า
ทุกครั้งที่ฝนตกผมเลยทำตัวว่าทุกอย่างปกติดี ผมพยายามหาโอกาสบอกเพื่อนสนิทอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง
วันนี้ฝนตกตั้งแต่ช่วงพักกลางวันที่ผ่านมา โชคดีที่วิชาหลังพักกินข้าวมีเพียงวิชาเลือกที่ไม่มีจดเลคเชอร์ ไม่อย่างนั้นผมคงเรียนไม่รู้เรื่องอีกแน่
ผมกับมาร์คเดินขึ้นไปบนตึกเพื่อรอเรียนวิชาต่อไป ผมตัดปัญหาด้วยหูฟังในวันที่ฝนตกแบบนี้ แกล้งทำเป็นฟังเพลงแล้วเดินตามอีกคนไป มาร์คที่เห็นผมฟังเพลงก็ไม่ค่อยเข้ามาวอแวผมมากนัก
ควรบอกมันวันนี้เลยมั้ยนะ
ผมหลุดเข้าไปในภวังค์
และโดนกระชากสติกลับมาเมื่อโดนคนที่เดินสวนลงมาชนไหล่เข้าเต็มแรง
เหมือนทุกอย่างกลายเป็นภาพช้า แขนผมลอยคว้างอยู่ในอากาศในขณะที่ลำตัวค่อยๆโดนฉุดรั้งลงไปตามแรงโน้มถ่วง ผมมองเพื่อนสนิทที่หันมาด้วยความตื่นตระหนก มองมือของมาร์คที่พยายามไขว่คว้าแขนของผมเอาไว้
แต่ผมและเขาคว้ากันไว้ไม่ทัน
รู้ตัวอีกทีตอนที่ตัวเองลงมาอยู่บันไดขั้นสุดท้าย ความปวดร้าวแล่นเข้ามาทั่วทุกอณูของร่างกาย อาการปวดหน่วงที่หัวเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนผมต้องยกมือขึ้นมากุม
มาร์ควิ่งลงมาทรุดนั่งอยู่ข้างกาย ภาพทุกอย่างพร่าเลือนยากที่จะโฟกัส รอบกายเงียบสนิท ผมได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของตัวเองที่มันแผ่วลงทุกที
เลือดสีแดงฉานปรากฏเมื่อผมเลื่อนมือออกมาจากหัว
ผมพยายามมองเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ไม่ห่าง หน้าของมันเต็มไปด้วยน้ำตาและพยายามเรียกผมที่สติเริ่มหลุดลอยออกไปเต็มที
แต่ผมไม่ได้ยินมันสักนิด
ไม่เคยได้ยิน
ผมร้องไห้อย่างเจ็บปวด ในขณะที่รอบตัวเราสองคนเริ่มเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
แค่จะหายใจยังยากขนาดนี้ ผมจะตายมั้ยนะ
หางตาเหลือบไปเห็นอาจารย์ธีรัชที่แหวกฝูงเด็กนักเรียนเข้ามา ใบหน้าเขาตื่นตระหนกไม่ต่างจากทุกคนที่ยืนอยู่ คนอายุมากกว่าทรุดตัวนั่งข้างมาร์คแล้วรีบทำปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ผม ข้างกันเป็นอาจารย์ที่ผมไม่รู้จักกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยความร้อนรน
"เจนวิทย์!!!"
เสียงของเขา
"เจน!! อย่าเพิ่งหลับตานะครับ รถพยาบาลกำลังมาแล้ว!!!"
เสียงเดียวที่ผมได้ยิน
"เจน เจน!!!"
ผมตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดร้าวไปทั้งร่างกาย ที่หนักหน่อยน่าจะเป็นบริเวณหัว
เพดานสีขาวกลายเป็นจุดพักสายตาในยามที่ผมตื่น พยายามหันมองว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้รู้ตัวว่าตอนนี้กำลังอยู่โรงพยาบาล
เสียงรอบกายที่หายไปทำให้เดาได้ไม่ยากว่าฝนคงตกอีกแล้ว ผมถอนหายใจอย่างเวทนาความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
"ตื่นแล้วหรอ" ในขณะที่ผมกำลังนอนนิ่งๆก็มีเสียงทุ้มคุ้นเคยดังขึ้นข้างกาย รู้สึกได้ว่าฟูกตรงขอบเตียงยวบเล็กน้อย แล้วใบหน้าหล่อเหลาของอาจารย์ธีรัชก็โน้มเข้ามาในกรอบสายตา
"ครับ" ผมขยับเพื่อมองเขาได้ถนัดขึ้น แต่ก็โดนอีกฝ่ายดุเบาๆ
"อย่าขยับมากสิ"
"ขอโทษครับ" ผมเอ่ยขอโทษเสียงเบา
"แม่เรากับมาร์คลงไปทานข้าวข้างล่าง อีกแปปน่าจะขึ้นมาแล้ว"
"ครับ" ผมตอบเขาเสียงเบาก่อนที่ห้องจะกลับมาเงียบสนิทอีกครั้ง อาจารย์หายไปจากกรอบสายตา ผมเลยกลับไปมองเพดาน หลังจากนั้นไม่นานหมอกับพยาบาลก็เข้ามาตรวจอาการ และสุดท้ายผมต้องนอนโรงพยาบาลต่ออีกระยะ
หลังจากที่หมอและพยาบาลออกไป อาจารย์ธีรัชก็คอยช่วยดูแลผมที่นอนเปื่อยเป็นผักอยู่บนเตียง ช่วยประคองแก้วกับหลอดน้ำตอนที่ผมกินน้ำอย่างยากลำบาก และคอยถามไถ่อาการว่าปวดตรงไหนอีกบ้าง หัวใจผมเต้นแรงเมื่อเขาหยิบยื่นความใจดีให้กัน
แม่กับมาร์คยังไม่ขึ้นมาเสียที บทสนทนาระหว่างเราเลยหยุดลงไปตามระยะเวลาเพราะไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาคุยกันอีก ทั้งที่ก่อนหน้านี้เราสองคนต่างก็เคยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอยู่หลายครั้งไม่ว่าจะเป็นเรื่องไร้สาระหรือเรื่องจริงจัง
ผมพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะหลับตาลง ข้างนอกฝนยังไม่ยอมหยุดตกเสียทีจนผมรู้สึกอึดอัด
"ทำไมไม่ระวังตัวเลยครับ" เสียงอาจารย์ดังอยู่ใกล้ๆเริ่มบทสนทนาที่เคยขาดห้วง ผมลืมตาขึ้น เห็นเขายืนอยู่ข้างเตียงมองผมด้วยสายตาเป็นห่วง
"ผม...ไม่เห็นครับ" ผมตอบเขาไปตามความจริง
"เพราะมัวแต่ฟังเพลงหรือเปล่า หือ" เขาถามต่อ แต่น้ำเสียงนั้นไม่ได้จริงจังมากนัก มือใหญ่แตะลงบนหน้าผากของผมแผ่วเบาจนแทบไม่รู้สึก เหมือนเขากลัวว่าผมจะเจ็บไปมากกว่านี้
สัมผัสอบอุ่นทำให้ผมเม้มปากแน่น หัวใจเต้นกระหน่ำอยู่ในอก
"ที่จริงผมไม่ได้ฟังหรอก"
แต่ไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมเลือกตอบเขาไปแบบนั้น อาจารย์ธีรัชมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ สายตาคมจับจ้องมาเต็มไปด้วยคำถาม
"แต่เห็นมาร์คบอกเราเดินฟังเพลง" เขายังคงยืนยัน สบตากันด้วยดวงตาที่ผมอ่านมันไม่ออก ผมไม่ได้ตอบอีกฝ่ายกลับไป เพียงส่ายหน้าและเอาแต่นิ่งเงียบจนเขายอมแพ้
อาจารย์ธีรัชลูบหน้าผากผมอยู่ครั้งสองครั้งก่อนจะผละออกไปนั่งโซฟาที่อยู่เยื้องกัน เขาหายไปจากกรอบสายตา ในขณะที่ผมขมวดคิ้วมุ่นกับความคิดที่ยุ่งเหยิงในหัว
ฝนที่ยังคงเทลงมาท่ามกลางความเงียบ ผมได้ยินเพียงเสียงหายใจของตัวเอง ความอึดอัดทรมานค่อยๆกัดกินหัวใจของผมช้าๆ
ผมมองไม่เห็นหนทาง เหมือนยืนอยู่ในอุโมงค์มืดที่ไร้แสงไฟ ไม่รู้ว่ามันจะมีทางออกหรือไม่ ผมไม่อาจคาดเดาได้เลย
ความทรมานที่พบเจอจะมีใครบ้างที่เข้าใจ แม้แต่ตัวผมเองยังไม่อาจเข้าใจ อยากโทษโชคชะตาที่เล่นตลกกับผมไม่รู้กี่ครั้ง
อาจารย์ธีรัชรีบรุดเข้ามาหาเมื่อผมเริ่มสะอึกสะอื้น ใบหน้าตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตา มันไม่ใช่ความเจ็บปวดจากบาดแผล แต่กลับเป็นหัวใจที่กำลังปวดร้าว
สัมผัสอบอุ่นจากปลายนิ้วคอยเกลี่ยน้ำตาตามแก้มออกอย่างไม่รังเกียจ ผมเบนหน้าหนีมือใหญ่นั้น แต่เขาก็ตามมาลูบไหล่ปลอบประโลม คงหวังว่าจะทำให้ผมเย็นลง
"ไม่ร้องนะเจน ไม่ร้องนะครับ" เขาเอ่ยแผ่วเบาแต่ผมได้ยินมันอย่างชัดเจนเพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงคนเดียวที่ผมสามารถรับรู้ได้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวในฤดูฝนที่แสนโหดร้าย
ความอบอุ่นที่เขามอบให้ยิ่งทำให้น้ำตาไหลท่วมไปทั้งหน้า
ผมเกลียดฝน
tbc
#peach_jay
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

33 ความคิดเห็น
-
#16 fullls (จากตอนที่ 17)วันที่ 29 ตุลาคม 2562 / 13:05น้องเจนไม่เป็นไรนะลูกกก#160