ตอนที่ 12 : Aphrodite ; taejae (03/03) -Greek Mythology-
ถ้าหากต้องรอตราบชั่วนิจนิรันดร์
ผมจะรอเพื่อเจอคุณอีกครั้ง
ผมเดินลัดเลาะไปตามฟุตบาทที่มุ่งหน้าสู่บริษัท ในมือถือแก้วจากร้านกาแฟร้านเดิมที่มักจะเข้าไปซื้อตอนเจ็ดโมงเช้า จนผมกลายเป็นลูกค้าขาประจำไปโดยปริยาย
เสียงน้ำจากหลอดทำให้ผมยกแก้วอเมริกาโน่ขึ้นมาดูในขณะที่ก้าวขามาถึงหน้าบริษัทและชีวิตพนักงานกินเงินเดือนของผมกำลังเริ่มขึ้นเฉกเช่นทุกวัน
ผมหยุดยืนอยู่หน้าบริษัทพรัอมมองแก้วกาแฟในมืออย่างเหม่อลอย
เมื่อเช้าเป็นครั้งที่ห้าสิบกว่าที่ผมเข้าไปในร้านพร้อมกับความหวังว่าจะเจอใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวที่สามฝั่งริมกระจก แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่หวัง และตัดใจเดินมาบริษัทในที่สุด
ช่วงเวลาที่ผ่านมาผมถามพนักงานเรื่องเจย์ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่คำตอบก็เป็นแบบเดียวกันทุกครั้งว่าเจย์ไม่ได้กลับมาที่ร้านนี้อีกเลย ไม่ว่าจะตอนเจ็ดโมงเช้าหรือช่วงเวลาอื่น
มันทำให้ผมตระหนักว่ายิ่งหวังไว้สูง ตกลงมามันยิ่งเจ็บ
เวลาเกือบสองเดือนที่เจย์หายไป จะบอกว่าหายไปตั้งแต่วันที่ผมตื่นมาแล้วไม่เจอเขาก็คงไม่ผิดนัก เพราะหลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้เจอเขา ทั้งพนักงานร้านกาแฟ พนักงานในบาร์ที่ผมไปดื่มคืนนั้น หรือแม้แต่ผู้ชายที่เคยนั่งคุยกับเจย์ในร้านกาแฟ
ผู้ชายคนนั้นน่ะ ผมไม่อยากใส่ใจนักหรอกแต่ช่วงแรกๆชายแปลกหน้าคนนั้นมาร้านกาแฟแทบทุกเช้า โวยวายเสียงดังแล้วเอาแต่ถามว่าเจย์หายไปไหน บ้างก็คร่ำครวญเหมือนคนขาดสติจนบางครั้งพนักงานก็ควบคุมแทบไม่ไหว
ผมจิบกาแฟมองเขาเงียบๆอย่างเวทนา แต่ผมเข้าใจอารมณ์นั้นเป็นอย่างดีเพราะผมเองก็รู้สึกกระวนกระวายไม่ต่างจากเขานักเมื่อเจย์หายไป ผมเฝ้ามองเขาอยู่หลายวันและหลังจากนั้นราวๆหนึ่งอาทิตย์ผมก็ไม่เห็นเขาอีกเลย
กลายมาเป็นผมที่น่าเวทนากว่าชายแปลกหน้าคนนั้นเสียอีก ที่เอาแต่เฝ้ารอเจย์ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะได้เจอไหม
เหมือนเดินเข้าไปในอุโมงค์ที่ไร้แสงไฟ ไม่รู้ว่าไกลอีกเท่าไรถึงจะเห็นปลายทาง และไม่อาจรู้ได้เลยว่าอุโมงค์ที่เผชิญอยู่นั้นมีทางออกหรือไม่
น่าตลกดีที่ความสัมพันธ์ของผมและเจย์ไม่ต่างอะไรจากฟางเส้นบางๆ จะเรียกว่าความสัมพันธ์ได้มั้ยนะเพราะผมกับเขาแทบไม่รู้จักกันเลยสักนิด ระหว่างเราไม่ต่างอะไรจากวันไนท์สแตนด์ แถมการที่เจย์อยู่กับผู้ชายอีกหลายคนมันยิ่งตอกย้ำความไม่แน่นอนระหว่างผมกับเขามากขึ้น
หัวใจผมเจ็บทุกครั้งที่เผลอคิดว่าเขาอาจจะมีความสุขกับคนอื่นอยู่ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดใครนอกจากผมเองที่ตกหลุมรักเจย์ทั้งหัวใจ แม้จะรู้ว่าตัวเองควรอยู่ตรงไหน
ในหัวของผมมีแต่เรื่องของเขาเต็มไปหมด คิดไม่ตกเพราะหัวใจเอาแต่โหยหาเจย์ทุกคืนวัน จนผมทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้ารอเขาอย่างทุกข์ทรมาน
นึกไปถึงปรัมปรากรีกโบราณที่ผมเดาว่าเป็นของเจย์ มันถูกวางเอาไว้ตรงหัวเตียง เพราะไม่รู้ทำไมที่ผมรู้สึกไม่อยากเอามันไว้ไกลตัว ผมเปิดอ่านมันทุกคืน วนไปวนมาเหมือนคนย้ำคิดย้ำทำ ซึ่งหน้าที่ผมอ่านอยู่หลายครั้งก็ไม่พ้นเทพีอะโฟรไดท์ที่สะกิดใจผมตั้งแต่ครั้งแรก
ผมคิดว่าเขาคือเทพีองค์นั้น เทพีอะโฟรไดท์
ถึงแม้การคิดว่าเจย์คืออะโฟรไดท์มันเป็นอะไรที่บ้ามาก แต่ไม่ว่าจะเป็นดวงตาสีทองสวยคู่นั้น การที่เจย์หายตัวไปในซอกตึกแต่ผมยังได้ยินเสียงหัวเราะของเขา หรือแม้แต่คำพูดของเขาที่ชักจูงผมอย่างรุนแรงจนขาดสติ สิ่งเหล่านี้คอยย้ำเตือนว่ามันมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น
แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ผมก็อยากถามเขาด้วยตัวของผมเอง
ผมนั่งพิมพ์งานด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด สาเหตุไม่ใช่อะไรเลยนอกจากพนักงานผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านโต๊ะผมไปมาไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง
เธอเป็นพนักงานใหม่ที่เข้ามาทำงานได้อาทิตย์กว่าๆ เธอเคยแนะนำตัวอยู่ว่าชื่อแซ่อะไร แต่ผมจำชื่อเธอไม่ได้แล้วเพราะในหัวตอนนี้แทบไม่มีที่ว่างให้คิดอะไรไปนอกจากเรื่องงานและเจย์
แต่ก็นั่นแหละ เธอเดินผ่านโต๊ะผมบ่อยมากและผมไม่ได้คิดไปเอง
ผมพยายามคิดในแง่ดีว่าเธอคงต้องติดต่อฝ่ายอื่นเลยต้องเดินไปมาบ่อยๆ แต่มันจะไม่ดูแปลกเลยถ้าเธอไม่มองผมด้วยสายตาแปลกๆแทบทุกครั้งที่เดินผ่าน
ยอมรับว่าเธอสวยจนสะกดทุกสายตาเพราะมีบางครั้งที่ผมและเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันเผลอไปสบตากับดวงตาคู่สวยนั้นเข้า เพื่อนลงความเห็นว่าเธอสวยเป็นบ้าและไม่เคยเห็นใครที่สวยขนาดนี้มาก่อน ผมคิดว่าเธอก็สวยเหมือนที่คนอื่นๆพูด แต่ผมไม่ได้คิดไปไกลเกินกว่านั้นเพราะผมไม่ได้สนใจอะไรในตัวเธอสักนิด
ผมเลิกสนใจในตัวผู้หญิงคนนั้นก่อนจะก้มหน้าก้มตาเคลียร์กองเอกสารบนโต๊ะให้เสร็จ สมาธิทุกอย่างที่เคยกระจัดกระจายในทุกๆเช้าถูกเพ่งไปยังหน้าจอและกระดาษในมือ
แต่แล้วกลิ่นหอมหวานกลิ่นหนึ่งก็ลอยมาแตะจมูก
ผมรีบเงยหน้าขึ้นมาทันทีเพื่อมองหาต้นตอของกลิ่นนั้นพร้อมเหงื่อที่ค่อยๆผุดออกมาทั้งที่แอร์ในห้องเย็นฉ่ำ เสียงพูดคุยของพนักงานในแผนกเดียวกันดังขึ้นมาแต่ไม่ได้เข้าหูผมเลย
แต่ความว่างเปล่าเป็นสิ่งเดียวที่ผมเจอ
ผมมองซ้ายมองขวาอยู่หลายครั้งจนเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันหันมามองผมงงๆ ผมขยับปากบอกแบบไม่มีเสียงว่าไม่มีอะไรในขณะที่ยกมือเกาหัว นึกแปลกใจกับตัวเองเมื่ออยู่ๆก็ได้กลิ่นนั้น
กลิ่นของเจย์
ถ้าหากว่าผมกำลังหลับฝันมันก็ไม่น่าแปลกใจนักถ้าผมเพ้อพกว่ากลิ่นนั้นเป็นกลิ่นของเจย์ไม่ผิดแน่ แต่นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง และถึงแม้ว่าผมจะคิดถึงเขาขนาดไหน ก็คงไม่ฟุ้งซ่านถึงขนาดที่เอาแต่นึกถึงกลิ่นหวานหอมของอีกฝ่ายจนหลอนได้กลิ่นเองแบบนี้
ผมหลับตาลงตั้งสติและเลิกสนใจต้นตอของกลิ่นนั้นทั้งที่หัวใจผมมันเต้นรัวและอยากลุกไปตามหาแทบบ้า แต่ตอนนี้งานที่กองอยู่เต็มโต๊ะบีบบังคับให้ผมเลิกสนใจสิ่งอื่นใดนอกจากภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
ผมลงมือพิมพ์งานอีกครั้งพร้อมกับกลิ่นหอมหวานที่จางหายไป
ผมนวดหัวตาและบิดตัวอย่างเมื่อยล้า ยกนาฬิกาข้อมือดูถึงได้รู้ว่าตอนนี้เที่ยงกว่าแล้ว เวลาของมื้อกลางวันล่วงเลยไปนิดหน่อยเพราะผมเอาแต่พิมพ์งานชนิดที่ว่าลืมตาย
เพื่อนของผมออกไปหาอะไรกินนอกบริษัทหลังจากที่มันมายืนล้อมหน้าล้อมหลังรอให้ผมพิมพ์งานเสร็จ แต่ผมให้พวกมันไปจองโต๊ะก่อนเพราะผมกำลังกรอกข้อมูลสำคัญเลยไม่อยากหยุดกลางคัน พวกมันเลยย้ำกันอยู่หลายครั้งว่าให้รีบตามมา แล้วก็พากันเดินออกไป
สูดหายใจเข้าลึกๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรวบรวมเอกสารที่เคลียร์เสร็จแล้ว วางไว้อยู่ในกองเดียวกัน กระแทกให้เสมอแล้วผลักไปอยู่อีกมุมโต๊ะอย่างนึกขยาด
ผมลุกขึ้นยืนในขณะที่คลายปมเน็กไทออกเล็กน้อย ขาก็พาร่างกายที่อ่อนล้าไปห้องน้ำหวังจะล้างหน้าล้างตาให้มันสดชื่นก่อนออกไปกินข้าว เสียงแจ้งเตือนจากข้อความดังไม่หยุดหย่อน ผมว่าก็คงไม่พ้นคนที่ออกไปจองโต๊ะก่อนแน่ๆ
ผมเงยหน้ามองกระจกด้วยใบหน้าที่ยังคงเปียกชุ่ม สบตากับตัวเองนิ่งๆ เสียงน้ำจากก๊อกเป็นเสียงเดียวที่ดังพอๆกับเสียงของความคิดในหัวผมที่กำลังฟุ้งซ่าน
ถ้าไม่คิดเรื่องงานก็ไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่สมองผมเผลอคิดถึงใบหน้าหวานจัดของใครบางคนเข้า
ตอนนี้ก็เหมือนกัน
ผมหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า อยากสูบบุหรี่สักมวนให้สมองมันเย็นลงหน่อย แต่ถ้าทำอย่างนั้นเพื่อนผมที่รออยู่คงได้ด่าไปอีกสามวันเจ็ดวันแน่
หลังจากเสร็จธุระผมก็รีบเดินออกมาจากห้องน้ำ ก้มหน้าตอบแชทในโทรศัพท์ในขณะที่เดินไปตามทางเดิน พวกมันถามหาผมจนวุ่นวายไม่ต่างจากที่ผมคิดไว้เท่าไร
แต่แล้วตัวผมก็ชนเข้ากับใครคนหนึ่ง
เราชนกันแรงมากจนโทรศัพท์ในมือกระเด็นตกลงไปบนพื้น ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อจะขอโทษที่เอาแต่มองโทรศัพท์จนเผลอชนอีกฝ่ายเข้า แต่คำพูดเหล่านั้นก็ถูกกลืนเข้าไปในลำคอเมื่อเห็นคู่กรณี
ผู้หญิงคนนั้นที่เดินผ่านโต๊ะผมเป็นว่าเล่น
เธอมองมาที่ผมนิ่งๆด้วยดวงตาคู่สวยคู่นั้น ก่อนริมฝีปากที่เคลือบลิปสติกสีแดงสดจะคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยทั้งที่เธอควรจะโกรธที่ผมไม่ระวัง ผมมองรอยยิ้มหวานนั้นอย่างไม่เข้าใจว่าเธอเป็นอะไรกันแน่
ถึงในใจจะรู้สึกแปลกประหลาดกับหญิงสาวตรงหน้าจนต้องขมวดคิ้ว แต่ผมก็เอ่ยขอโทษออกไปตามมารยาทที่ควรจะมี
เธอส่ายหน้ารับทั้งที่ยังอมยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มซึ่งปรากฏขึ้นมาตรงแก้มที่เติมแต่งไปด้วยเครื่องสำอาง อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรออกมาผมเลยก้มลงไปเก็บโทรศัพท์ที่ตกอยู่บนพื้น
"ทรอย"
ปลายนิ้วมือของผมชะงักเมื่ออยู่ๆอีกฝ่ายเรียกชื่อกันดื้อๆ ก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองเด็กใหม่ที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า
ขนในกายผมพากันลุกชันเมื่อเธอมองมาที่ผมด้วยดวงตาสีทองสว่างไสว แต่ก็เป็นแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้นก่อนมันจะหายไป หัวใจผมเต้นโครมครามอย่างไม่อาจหักห้ามได้
เธอเอียงหน้าทั้งที่ยังยิ้มเหมือนตลกท่าทางของผมหนักหนา ร่างผอมเพรียวที่เดินเข้ามาใกล้ทำให้ผมเผลอก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ปลายรองเท้าส้นสูงหยุดอยู่ตรงหน้าและเป็นมือเรียวสวยที่ค่อยๆวางบนไหล่ เป็นสัมผัสแผ่วเบาแต่กลับทำให้ร่างกายผมเริ่มร้อนระอุขึ้นมา
"ไว้เจอกันค่ะ" หญิงสาวตรงหน้าเขย่งขึ้นมากระซิบข้างหูพร้อมกลิ่นหวานหอมที่โชยออกมาจากตัวของเธอ มือเล็กไล้ลงมาที่แขนผมอย่างแผ่วเบาในขณะที่ผละตัวออกไป
เราสบตากันนิ่งท่ามกลางบรรยากาศที่ผมเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันดีหรือร้าย จังหวะนั้นโทรศัพท์ผมดังขึ้นเพราะมีคนโทรเข้ามา เธอเลยยกยิ้มหวานอีกครั้งก่อนจะเดินผ่านผมไป
คนโทรมาตะโกนเสียงดังจนหูแทบแตกเมื่อผมกดรับสาย แต่เสียงเหล่านั้นไม่ค่อยเข้าหูผมเท่าไรเพราะผมเอาแต่มองแผ่นหลังเล็กๆของผู้หญิงคนนั้นที่ค่อยๆเดินเลี้ยวไปอีกทาง
กลิ่นบุหรี่คละคลุ้งไปทั่วห้องนั่งเล่นเมื่อผมจุดสูบระหว่างทำงาน ปลายนิ้วเคาะบุหรี่กับที่เขี่ยเพื่อกำจัดก้นบุหรี่พร้อมมืออีกข้างเปิดดูเอกสารที่แบกกลับมาทำที่บ้าน
แต่เสียงและใบหน้าหวานของผู้หญิงคนนั้นยังคงอยู่ในทุกห้วงเวลาความคิด จนผมอดไม่ได้ที่จะจุดบุหรี่ไล่ความฟุ้งซ่านนั้นออกไป
คำถามที่ไม่รู้จะหาคำตอบจากที่ไหนยังคงวนเวียนอยู่ในหัวอย่างไม่สิ้นสุด เรื่องของเจย์ที่ทำเอาผมไม่เป็นอันกินอันนอนก็ว่าสาหัสแล้ว ยิ่งมาเจอผู้หญิงคนนั้นยิ่งทำให้ผมคิดไม่ตกว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นอีก
ไม่รู้จะระบายหรือปรึกษาเรื่องนี้กับใคร เพราะถ้าทำแบบนั้นคงไม่พ้นโดนหาว่าเป็นบ้า ใครมันจะมาเชื่อถ้าอยู่ๆผมไปเล่าว่าเจอคนตาสีทองและหายตัวได้
ผมเคยคิดว่าถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากเจอเจย์ตั้งแต่แรก นึกสงสารตัวเองเหมือนกันที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ มันทั้งเจ็บปวดและทรมาน
แต่ความคิดเหล่านั้นก็ถูกล้มเลิกไปเมื่อความรู้สึกที่มีให้เจย์มันมากกว่าเหตุผลใดๆที่ผมพยายามหามาค้าน
ผมใช้นิ้วเคาะบุหรี่กับที่เขี่ยก่อนจะยกตัวการทำลายปอดขึ้นสูบอีกครั้ง เงยหน้าทิ้งสายตาไว้ที่เพดานห้องแล้วค่อยๆพ่นลมออกมาช้าๆ สลับอยู่อย่างนั้นจนเหลือเพียงก้นกรองบุหรี่
ความง่วงที่เริ่มเล่นงานทำให้สติผมค่อยๆหลุดลอยไปทั้งที่ยังถือก้นกรองไว้ในมือ ผมเอนศีรษะพิงพนักโซฟาอย่างอ่อนล้าก่อนจะค่อยๆหลับตาลง
"ห้องคุณมีแต่กลิ่นบุหรี่"
ผมที่กำลังเคลิ้มหลับสะดุ้งสุดตัวจนตกโซฟาเมื่ออยู่ๆก็มีเสียงใสของใครบางคนดังขึ้น เผลอสบถหยาบคายในขณะที่ค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นมาจากพื้น ผมสูดหายใจรวบรวมสติก่อนจะมองไปที่เจ้าของเสียงด้วยขนแขนที่ลุกซู่
หญิงสาวคนนั้นที่เจอกันตรงทางเดิน ตอนนี้เธอนั่งไขว่ห้างบนโซฟาที่ตั้งอยู่อีกฝั่งอย่างไร้ที่มาที่ไป เธอมองผมด้วยดวงตาสีทองคู่สวยและใบหน้าหวานก็กำลังอมยิ้มอยู่ ผมเดาว่าเธอคงตลกที่ผมตกโซฟาแน่ๆ
อะไรวะเนี่ย นี่ผมเมาบุหรี่หรอ
"คุณมองเราแบบนั้น คิดว่าเราเป็นผีหรอ" เธอพูดในขณะที่ยกแขนขึ้นมากอดอก ผมมองเธอด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจก่อนจะค่อยๆขยับตัวขึ้นมานั่งบนโซฟาเมื่อเห็นว่าเธอเพียงแค่นั่งมองมานิ่งๆไร้ซึ่งการคุกคาม
"การที่อยู่ๆคุณโผล่เข้ามาในห้องผมแบบนี้ มันก็มีแค่อย่างเดียวที่ผมคิด"
"อ่า คุณอาจจะไม่ชิน" เธอพึมพำอะไรออกมาแต่ห้องที่เงียบสงัดกับบรรยากาศแปลกประหลาดทำให้ผมได้ยินอย่างชัดเจน หญิงสาวตรงหน้าลุกขึ้นยืนพรวดพราดจนผมสะดุ้งอีกครั้ง ผมมองตามเธอที่เดินอ้อมมาอยู่ทางด้านหลัง เดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
เธอหยุดยืนอยู่ข้างหลังโซฟาที่ผมนั่งอยู่แล้วค่อยๆโน้มหน้าลงมาจนผมเห็นเสี้ยวหน้าสวยในระยะใกล้ กลิ่นหอมหวานตีขึ้นจมูกจนตัวผมแข็งทื่อไปหมด เสียงหัวเราะใสๆดังทำลายความเงียบในขณะที่ตัวผมลีบไปกับโซฟา
ฝ่ามือสวยเอื้อมมาด้านหน้าแล้วปิดตาผมอย่างถือวิสาสะ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าจะต้องสวดบทสวดอะไรเพื่อไล่ผีแล้ว ผมนั่งนิ่งๆพร้อมเหงื่อที่แตกพลั่ก กลิ่นหอมกับฝ่ามืออุ่นที่ปิดตาผมไว้ทำให้ผมไม่กล้าขยับตัวไปไหน
"แล้วถ้าแบบนี้ล่ะ" ระหว่างเราเงียบไปชั่ววินาทีก่อนเสียงหวานของหญิงสาวจะเอ่ยชิดใบหูจนผมขนลุกเกรียว เธอค่อยๆผละฝ่ามือออกทั้งที่ตัวผมยังหลับตาแน่น ฝ่ามือนั้นค่อยๆลูบผ่านลำคอไปยังไหล่ทิ้งความร้อนที่เหมือนโดนไฟแผดเผาเอาไว้
ผมค่อยๆลืมตาขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน เหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจให้ผมหันไปมองข้างหลังทั้งที่ตัวผมสั่นไปด้วยความกลัว
และผมก็ต้องเบิกตากว้างจนแทบถลนเมื่อทำใจกล้าหันกลับไปมอง หญิงสาวคนนั้นหายไปและแทนที่ด้วยคนบางคนที่ผมโหยหาเขาจนแทบเป็นบ้า
เจย์ยืนกอดอกมองผมด้วยแววตาขำขัน ดวงตาสีทองอร่ามค่อยๆเล็กลงเมื่อเขากำลังส่งยิ้มกว้างมาให้และแก้มใสที่ขึ้นเป็นรอยขีดๆเหมือนหนวดแมว
ร่างสะโอดสะองอยู่ในชุดสีขาวพริ้วที่ยิ่งขับให้ผิวของเขาผ่องมากกว่าเดิม แต่ถึงกระนั้นผมกลับไม่ได้สนใจมันมากไปกว่าใบหน้าสวยของอีกฝ่ายที่ยังยิ้มส่งยิ้มมาให้
ผมลุกขึ้นยืนพร้อมหัวใจที่เต้นรัว จ้องมองคนที่แสนคิดถึงทุกวินาทีที่ก้าวเข้าไปหาเขาเพราะกลัวว่าถ้าผมละความสนใจออกมาเพียงน้อยนิด เจย์อาจจะหายไป ผมเดินไปประชิดร่างเล็กก่อนจะดึงเขามาไว้ในอ้อมกอดอย่างถวิลหา ท่อนแขนโอบรัดแผ่นหลังบางแล้วซุกใบหน้าไว้ที่ไหล่เล็ก
เจย์แทบจะจมเข้ามาในอก เขาไม่ได้พูดว่าอึดอัดหรือผลักไสกัน ท่อนแขนเรียวกอดเอวผมตอบและบดเบียดแก้มนิ่มกับลำคอของผม เรากอดกันเงียบๆ ปล่อยให้ร่างกายได้แนบชิดกันอย่างโหยหา
"ผม...ผมแทบเป็นบ้า" ผมเอ่ยขึ้นมาทั้งที่ยังซุกใบหน้าอยู่กับลาดไหล่อีกฝ่าย ได้ยินเสียงเขาหัวเราะในลำคอเบาๆ
"เรารู้" เจย์ตอบออกมาเพียงเท่านั้นก่อนจะลูบหลังเหมือนปลอบประโลม
"คุณหายไปไหนมา ผม ผมไม่รู้จะไปตามหาคุณที่ไหน ที่ร้านกาแฟก็ไม่เจอคุณ ที่ไหนๆก็ไม่มีคุณ" ผมผละออกมาจากร่างกายหอมกรุ่นเพื่อสบตากับดวงตาสีทองสว่างไสว
"ไหนคุณรับปากเราว่าจะไม่ตามหา" เจย์พูดออกมาด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง ผมเลยยกมือขึ้นมากอบกุมใบหน้าสวยด้วยมือทั้งสองข้าง ไล้ปลายนิ้วโป้งกับปรางแก้มนุ่มเบาๆ
"ผมขอโทษ ผมทนไม่ได้จริงๆ" เราสบตากันโดยที่เจย์มองมานิ่งๆ ผมเดาอารมณ์เขาไม่ออกเพราะเขาเอาแต่เงียบ
"มันน่าลงโทษเสียจริง" เจย์พูดอย่างแง่งอน ริมฝีปากอิ่มเบะออกเหมือนคนโดนขัดใจ
"ที่รัก ได้ตามที่คุณต้องการ ลงโทษผมจนกว่าคุณจะพอใจ" ผมกดจูบลงบนหน้าผากมนอย่างถือวิสาสะ เขาดิ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่ถึงขั้นถอยหนี
เราผละออกมามองหน้ากันไม่รู้รอบที่เท่าไร เจย์มองผมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มไม่ต่างจากที่ผมมองเขาในตอนนี้ ใบหน้าสวยยื่นเข้ามาใกล้ก่อนจะประทับจูบลงบนริมฝีปากของผมอย่างนิ่มนวล
ผมดูดกลืนริมฝีปากนุ่มอย่างโหยหา มันไม่ได้หยาบโลนเหมือนครั้งแรกที่เราจูบกัน แต่เต็มไปด้วยความร้อนรุ่มและคิดถึง เจย์เผยอปากสอดลิ้นเข้ามาอย่างซุกซนผมเลยตอบสนองเขาจนริมฝีปากเราเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำลาย
แขนเรียวยกขึ้นมาคล้องคอกันในขณะที่ผมยกตัวเขาขึ้น ท่อนขาสวยโอบรัดเอวผมแน่นและสานต่อความหอมหวานอย่างไม่สิ้นสุด เราจูบกันในขณะที่ผมพาเขามาที่โซฟา ผมทิ้งตัวลงนั่งโดยที่มีเจย์นั่งคร่อมตักอยู่อีกที
มือเล็กโอบใบหน้าผมแล้วเปลี่ยนองศา ผมจับเอวเล็กไว้ด้วยสองมือก่อนจะดึงเขาเข้ามาใกล้อีกจนร่างกายเราแนบชิดไปเสียทุกส่วน เสียงจูบน่าอายดังไปทั่วห้องนั่งเล่น
เจย์ผละออกเมื่อต้องการกอบโกยอากาศ เขาหอบหายใจไม่ต่างจากผมนัก ก่อนร่างนุ่มนิ่มจะโถมเข้ามากอดผมไว้ทั้งตัว
"เจย์" ผมจูบข้างขมับชื้นเหงื่อแล้วเอ่ยเรียกเขาแผ่วเบา
"หือ" ร่างเล็กเกยแก้มนิ้มไว้บนไหล่ผมแล้วเงยหน้ามองกันอย่างสงสัย
"ผมรักคุณ"
ผมรวบรวมความกล้าพูดความรู้สึกออกไป ทนไม่ไหวที่จะเก็บความรู้สึกนี้ไว้โดยที่เขาไม่ได้รับรู้
แต่เจย์กลับนิ่งงัน
ไม่มีแม้แต่คำพูดใดๆ
"ทรอย" เขาเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นมา เจย์ผละตัวออกมานั่งดีๆและมองผมด้วยดวงตาสีทองที่ตอนนี้มันดูจริงจังเสียจนผมกลัว
"ครับ" ผม
"คุณก็รู้ว่าเราเป็นอะไร" ดวงตาสีทองอร่ามตรงหน้าวูบไหวเล็กน้อย
"คุณคืออะโฟรไดท์" ผมตอบเขาอย่างไม่แน่ใจ เจย์มองหน้ากันท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มอึดอัดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
"ใช่ " เจย์พูดออกมาสั้นๆแต่กลับทำให้ใจของผมเต้นรัว
"..."
"และเราไม่ได้ต่างไปจากสิ่งที่คุณรู้หรอก"
เทพีแห่งความงามและความรักได้หว่านเสน่ห์ไปทั่วไม่ว่าเทพหรือมนุษย์
"นั่นคือเหตุผลที่ไม่ให้ผมตามหาคุณหรอ"
สามารถสะกดเทพและมนุษย์ทั้งปวงให้ลุ่มหลงโดยอาจทำให้สติปัญญาของผู้ฉลาดตกอยู่ในความโฉดเขลา
"ก็ส่วนหนึ่ง" เจย์ลุกออกจากตักแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างๆกัน ศีรษะเล็กหนุนไหล่ผมไว้พร้อมกับมือเรียวที่ลูบแขนผมแผ่วเบา
ไม่รู้ทำไมที่อยู่ๆหัวใจผมมันก็เจ็บขึ้นมา
"ที่รัก จะเป็นไปได้ไหมถ้าผมอยากได้มันทั้งหมด เป็นของผมแค่คนเดียว" ผมหันไปมองหน้าเขาที่ยังคงส่งยิ้มหวานมาให้เหมือนอย่างเคย กล้ำกลืนฝืนทนถามออกไปทั้งที่เริ่มรู้สึกชาไปทั้งใจ
"ทรอย" เจย์ยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจ ต่างจากผมที่น้ำตาค่อยๆเอ่อล้นออกมาจนภาพตรงหน้าเบลอไปหมด ผมเอื้อมมือไปกอบกุมฝ่ามือเล็กขึ้นมาแล้วกดจูบที่หลังมือเนียนอย่างแสนรักและหัวใจที่แตกสลายจนความเจ็บปวดกัดกินแทบไม่เหลือชิ้นดี
"มันจะเป็นไปได้มั้ย" ผมถามย้ำออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เจย์ทำเพียงแค่หนุนศีรษะไว้ที่ไหล่ของผมและยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่หวานจัด
"เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าคุณก็ลืม" เขาตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนไม่ได้คิดอะไร
ไม่ได้คิดอะไรกับความเจ็บปวดอันแสนสาหัสของผมแม้แต่น้อย
"ผมรักคุณเจย์...ผมรักคุณ..."
"เราก็รักคุณ" เขาส่งยิ้มหวานมาให้อีกครา ก่อนจะยืดตัวขึ้นมาจูบคางผมเบาๆ ร่างเล็กขยับขึ้นมาคร่อมกันเหมือนอย่างเก่าก่อนจะค่อยๆปลดกระดุมเสื้อของผมออก
ผมฟังคำบอกรักและมองการกระทำนั้นอย่างเลื่อนลอย
คำว่ารักที่ยิ่งฟังแล้วหัวใจยิ่งแตกสลาย
ผมเดินไปตามฟุตบาทในช่วงเวลาเจ็ดโมงเช้าเช่นทุกวัน หยุดอยู่หน้าร้านกาแฟร้านประจำที่เปิดหลังจากปิดปรับปรุงมานาน เมนูคุ้นเคยอย่างอเมริกาโน่ถูกเลื่อนมาวางไว้ที่เคาน์เตอร์หลังจากที่ผมยืนรออยู่สักพัก ผมยิ้มให้พนังงานและออกมาจากร้านเพื่อไปบริษัท
แต่ในขณะที่ผมกำลังเดินผ่านร้านกาแฟเล็กๆที่อยู่ถัดมาอีกสองช่วงตึกจากร้านประจำ เหมือนมีบางอย่างดลใจให้ผมหยุดมองร้านกาแฟร้านนี้ ร้านแห่งนี้ไร้ผู้คน มีเพียงพนักงานสองสามคนที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์
ผมคงจะยืนนานเกินไปเพราะพนักงานในร้านค่อยๆหันมามองผม เขาค้อมหัวให้เล็กน้อยแล้วยิ้มให้เหมือนเรารู้จักกันมาก่อน
ผมก็เผลอค้อมหัวให้พนักงานเหล่านั้น ก่อนจะเดินไปตามฟุตบาทเพื่อไปทำงานตามเดิมด้วยความสงสัย
แปลกแหะ ทั้งๆที่ผมไม่เคยเข้าร้านนั้นมาก่อนเลยนะ
The End
อยากแต่งฟิคสั้นแต่ไม่เคยเป็นฟิคสั้นเลยค่ะ ฮือออ ????
ตอนแรกจะแต่งแนวเพอร์ซีย์แจ็กสันค่ะ แต่ทำไมกลายมาเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้ 555555555
สรุปน้องแจนเป็นผีหรือเป็นเทพีก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะ ดูแวบไปแวบมา 5555555555555 /นั่งเช็ดน้ำตาให้พี่แทยง
ชอบไม่ชอบอะไรบอกเราได้น้าาา ❤️
เจอกันเรื่องต่อไปนะคะ
#Peach_Jay ???‘
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

33 ความคิดเห็น
-
#30 x01meg (จากตอนที่ 12)วันที่ 2 เมษายน 2563 / 01:57อ่านจบแล้วมีแต่คำว่าโอ้โหในหัว อุดปากกรี๊ดไปหลายครั้ง รับรู้ถึงประกายลึกลับจากตัวน้องเจย์แล้วก็ได้กลิ่นว่าต้องมีอะไรแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าจะลงเอยแบบ ฮือ ทุกอย่างลงตัวมากเลยค่ะ ชอบมู้ดมากๆ มันรับรู้ได้ว่าต่างฝ่ายก็โคตรจะคลั่งรักกันและกันเลย แต่ก็ ฮือ เป็นกำลังใจให้คุณไรท์ผลิตผลงานดีๆแบบนี้ตะเหมอเลยนะคะ แง#300