ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    THE Kingdom Guardian (หลากหลายเรื่องราวกับตัวละครทั้ง 14 )

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 2 : บุกถล่มประจัญบาน (hetalia)

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.ค. 55






    ตอนที่ 2
    : บุกถล่มประจัญบาน (hetalia)

     


    “เฮ้อ~   ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ?” ไทยพึมพำอย่างเหนื่อยใจกับสถานการณ์ในตอนนี้ ที่ต่างชาติพากันเรียกร้องให้เขาออกไปคุย แต่โรมก็กันไม่ยอมให้เขาหรือว่าใครเข้าออกประเทศ รวมไปถึงพม่า เขมรและมาเลเซียที่พากันโจมตีเขตชายแดนของเขาจนสภาพร่างกายของเขาฟกช้ำไปหมดแล้ว

    “แม่จ๋า~ ไปอาบน้ำกัน~” แอนนาพูดในขณะที่วิ่งเข้ามากอดไทยพร้อมกับพี่สาวน้องสาวอีก 3 คนที่เดินตามมาด้านหลัง

    “อ่ะ...จ้าๆ” ไทยที่สะดุ้งตกใจนิดหน่อยหันมาขานรับด้วยรอยยิ้มก่อนจะหยิบขันน้ำและผ้าขนหนูเดินตามเหล่าลูกสาวที่เดินนำหน้าไป

    ...โดยปกติแล้วบ้านไทยนั้นมักจะอาบน้ำกันแบบอาบตรงแม่น้ำหรือตักน้ำขันในโอ่งอาบ...ในแต่ละวันจะผลัดเปลี่ยนกันไปว่าผู้ชายหรือผู้หญิงจะได้อาบก่อน ซึ่งในวันนี้พวกผู้ชายได้อาบก่อน และคราวนี้ก็ถึงคิวพวกผู้หญิงแล้ว...แต่...ที่จริงไทยน่าจะได้อาบพร้อมกับพวกลูกชาย...แต่เพราะสกายอ้างเหตุผลที่ว่า...เธอมีสถานะเป็นแม่ของพวกเขา...จึงต้องอาบกับพวกผู้หญิง...เพราะมันคงจะยังไงๆอยู่ที่แม่ต้องมาอาบน้ำกับลูกชาย...แล้วก็...อยู่กับผู้หญิงคงปลอดภัยกว่าพวกผู้ชายเยอะ...ล่ะมั้ง...

    ไทย โมเอะ รีเบคก้า แอนนาและจังมีเดินไปที่ท่าน้ำในสภาพใส่ผ้าถุงก่อนจะลงอาบน้ำโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีใครกำลังแอบมองอยู่...

    “เฮ้ย ขยับไปหน่อยดิ ฉันมองไม่เห็น” เสียงหนึ่งพึมพำอยู่ในพุ่มไม้

    “อย่าโวยวายดิ เดี๋ยวพวกเป้าหมายก็รู้กันหมดหรอก” อีกเสียงพูดเป็นเชิงห้ามซึ่งเสียงพูดคุยและพุ่มไม้ที่กำลังขยับอยู่ในตอนนี้นั้นเป็นฝีมือของ อชิต เดวิด  ฮารุ แฟรงคลินและปาร์กเกอร์ ที่ในตอนนี้กำลังพากันแอบดูพวกไทยอาบน้ำ...

    “หืม~...แม่เราหลังขาวดีว่ะ” อชิตพูดพร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดน้ำลายนิดหน่อย

    “เซ็กซี่ดีจริงแม่เรา”แฟรงคลินพูดด้วยอาการเดียวกับอชิต

     

     

    ซ่า~

     

     

    “เฮ้...” X4

    “ชู่ว์~ เงียบๆ อย่าโวยวายสิ เดี๋ยวพวกแม่ก็รู้ตัวหมดหรอก...แล้วอีกอย่าง เช็ดน้ำลายกับเลือดกำเดาด้วย อุบาทว์” ฮารุที่เป็นคนเอาน้ำมาราดหัวพวกอชิต พูดอย่างเซ็งๆก่อนที่ทั้งหมดจะหันไปมองภาพตรงหน้าต่อ

    “ฮูย~อยากเป็นสบู่ว่ะ” อชิตพึมพำด้วยเสียงอันเบาพร้อมกับมองไทยที่เริ่มหยิบสบู่มาถู

    “อยากเป็นปลามากกว่า จะได้ตอดไปตอดมา” แฟรงคลินพูดก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำลายและเลือดกำเดา

    “ไปเป็นชาลาวันเลยมึง” อชิตหันมาพูดใส่หน้า แฟรงคลินแต่แอบเห็นด้วยในใจนิดหน่อย

    “แต่ฉันอยากเป็นน้ำว่ะ ซึมไปทุกอณูร่มผ้า” ปาร์กเกอร์พูดพร้อมกับมองไทยที่ตักน้ำราดตัวเองก่อนจะโดนจังมีผลักลงน้ำแล้วพอไทยขึ้นมาจากน้ำในท่าที่...

     

     

    ...โอ้ว~ เซ็กซี่มากพี่น้อง...แม่ใครว่ะ...แม่งโคตรน่าก(อ)ดเลย~...

     

     

    “ฮูย~ ทำไมไม่ถอดผ้าถุงนะแม่...อยากเห็นหน่มน้มแม่อะ” เดวิดพูด...แต่สิ่งที่เขาพูดทำให้พี่น้องคนอื่นๆพากันหันมามองพร้อมความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาตรงกันมากๆ...

     

     

    ...ไอ้หื่น วิตถาร...แต่เห็นด้วยว่ะ X4

     

     

    “ทำอะไรกันอยู่น่ะ?” เสียงเย็นดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของทั้ง 5 คน ทำเอาพวกเขาพากันรู้สึกหนาวขึ้นมาแปลกๆและรู้สึกเสียวกระดูกสันหลังขึ้นมาในเวลาเดียวกัน

     

    ...เสียงเย็นๆแบบนี้...ความรู้สึกแบบนี้...สังหรณ์ใจแบบนี้...อยากบอกนะว่า...X5

     

    ทั้ง 5 คนหันมามองหน้าซึ่งกันและกันด้วยใบหน้าที่มีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมาก่อนจะกลั้นหายใจนับ  1-3  ก่อนจะหันไปมองทางต้นเสียงแล้วก็พบ...

    “พวกนาย...แอบดูแม่อาบน้ำงั้นเหรอ?”...คุณพระ!!!...พญายมตัวพ่อ...สกาย!!!!...

    ทั้ง 5 พากันหน้าซีดแทบจะเป็นลมเมื่อพบกับชายหนุ่มร่างสูง ผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ นัยน์ตาสีเดียวกับสีผม ซึ่งบัดนี้ดวงตาคู่นั้นนิ่งเรียบและให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก ผิดกับทุกครั้งที่มักจะอบอุ่น อ่อนโยนและทรงอำนาจ ซึ่งนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าในยามนี้พี่ใหญ่ของพวกเขานั้นกำลังโกรธ...แล้วโกรธเรื่องอะไรล่ะ!!!...ก็แค่แอบดูแม่กับพี่สาวน้องสาวอาบน้ำเอง~.....แต่เหตุผลแค่นั้นก็เพียงพอให้พี่ชายผู้แสนใจดีราวกับพ่อพระคนนี้โกรธขึ้นมาได้ระดับหนึ่งแล้วล่ะ...

    “พะ...พะ...พะ...พะ...พี...พี...พี่...สะ...สกาย...พะ...พะ...พะ...พวกเรา...คะ...คะ...แค่” แฟรงคลินที่คิดจะพูดแก้ต่างถึงกับติดอ้างพูดไม่ออก

    “แค่อะไร น้องชาย” เสียงอันเย็นยะเยือกและทรงอำนาจถามออกมาจากปากของชายหนุ่มที่จ้องพวกเขาด้วยสายตาเย็นชาจนพวกเขารู้สึกหนาวยิ่งกว่าฤดูหนาวเสียอีก

    “แค่...อ่ะ ตัวเห้มา!” อชิตพูดก่อนจะชี้ไปที่พุ่มไม้ด้านหลังสกายซึ่งสกายก็หันไปมอง “ตอนนี้แหละพวกเรา ใส่เกียร์หมาแล้วโกยเถอะโยม!!!!

    อชิตพูดก่อนจะถอดรองเท้าแล้ววิ่งอย่างไม่คิดชีวิตก่อนที่ฮารุที่ได้สติแล้วจะวิ่งตามไป ปล่อยให้เดวิดกับปาร์กเกอร์ช่วยกับหิ้วแขนหิ้วขา แฟรงคลินที่กลัวจนแข็งทื่อเป็นรูปปั้นศิลาไปแล้ว โกยตามมาทีหลัง

    “อย่าหวังว่าจะหนีพ้น” สกายพูดเสียงเรียบก่อนจะวิ่งไปดักหน้า อชิต

     

     

    เอี๊ยด!!!!!~ตุบ! ตุบ!!!!

     

     

    เสียงอชิตเบรกอย่างกะทันหัน ตามมาด้วยเสียงฮารุกับพวกปาร์กเกอร์ที่พากันชนหลัง อชิตที่จู่ๆก็หยุดวิ่งกะทันหันเมื่อกำลังจะได้ขึ้นบ้านแล้ว จนล้มกันระเนระนาด ในขณะที่อชิตแทบจะล้มหัวคะมำ

    “จะหนีไปไหนน้องชาย?” สกายถามเสียงเรียบพร้อมกับรอยยิ้มเย็นๆที่ปรากฎบนใบหน้าหล่อเหลาให้เหล่าน้องๆพากันหนาวยกกำลังสอง ซึ่งในตอนนี้ตัวเขากำลังยืนพิงกำแพงขวางทางของทั้ง 5 คนอยู่

    “โอ้ว~! พระเจ้า!!! ก้าวพริบตา!!” ฮารุที่นั่งก้มจุ้มพื้นอยู่พูดด้วยความตกใจ

    “พี่ไม่ใช่ยมทูตในเรื่องบลีช!” สกายพูดเสียงเย็นอีกครั้งจนทั้ง 5 คนพากันหนาว “หืม? ...แม่ครับผ้าถุงหลุดเหรอครับ?”

    “ไหนๆ” พอสกายพูดจบทั้ง 5 คนก็พากันหันไปมองทางด้านหลังก่อนจะ...

     

     

     

    โป๊ก!!โป๊ก!!!โป๊ก!!!!โป๊ก!!!!!โป๊ก!!!!!!!!

     

     

     

    ...ก่อนจะโดนไม้คมแฝกของสกายฟาดเข้าให้ที่หัวจนพากันสลบไปหมดทั้ง 5 คน...

    สกายควงไม้สักพักก่อนที่ไม้นั้นจะหายไป    ชายหนุ่มหันมามองน้องๆทั้ง 5 คนก่อนจะถอนหายใจ

    “เตือนดีๆไม่จำ คงต้องเล่นไม้สินะ” สกายพึมพำก่อนจะลากน้องๆทั้ง 5 คนไปที่หอพักของพวกเรา โดยที่ในระหว่างนั้น ไทยที่อาบน้ำเสร็จพร้อมกับพวกลูกสาวได้เดินขึ้นไปบนเรือนไทยโดยไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเลยสักนิด

     

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

     

    “พี่สกาย!~...ได้โปรด!!~ อย่าทำผม!!!~” แฟรงคลินร้องโอดครวญในขณะที่โดนจับมัดติดกับต้นไม้โดยหันหลังอันเปลือยเปล่าออกมาด้านนอกเช่นเดียวกับพี่น้องของเขาอีก 4 คน

    “ก็พี่เตือนดีๆแล้วไม่จำ...พวกนายก็ต้องโดนไม้ จะได้ไม่ไปแอบดูใครเขาอาบน้ำอีก” สกายพูดเสียงเย็นพร้อมกับลูบไม้เรียวขนาดยาวในมือ

    “ปกติแล้ว ถ้าพี่เขาไม่หลอนประสาทจนเป็นบ้าเข้าโรงพยาบาลบ้าก็จี้ตาจนบอด แค่นี้น่ะถือว่าเบาะๆนะ” ทิมพูดเสียงเรียบ แต่มันไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลยสักนิด...

    “พี่สกาย คร้าบ~ พวกเราแค่ไปแอบดูเขาอาบน้ำกันนะ คร้าบ~ ไม่ได้ไปฉุดใครเขามาข่มขืนหรือขืนใจแม่ตัวเอง ได้โปรดอย่าทำแบบนี้!!!!~” อชิตพูดโดยที่สายตาเหลือบไปเห็นไม้ในมือของสกายที่เปลี่ยนไปมาจนเขาละแวง

    “การแอบดูเรือนร่างของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แล้วยิ่งไปแอบดูแบบนั้น มันยิ่งทำให้เราดูเป็นคนไม่ดีหรือโรคจิตซึ่งสังคมส่วนใหญ่ รังเกียจ และ ไม่ยอมรับ แถมการแอบดูในบางครั้งอาจทำให้ได้รับอันตราย ยิ่งเป็นรีเบคก้าด้วยแล้ว พวกนายคงรู้นะว่าฉันหมายถึงอะไร” สกายร่ายยาวพร้อมกับแน่คำบางคำด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนที่ไม้ที่กำลังเปลี่ยนไปมาจะมาหยุดเปลี่ยนแล้วปรากฎเป็นไม้แช่เยี่ยว ยิ่งทำให้ทั้ง 5 คนขนลุก

    “แล้วไงล่ะ...พวกเราก็แค่จัดการ ยัยนั้นก็จบเรื่อง คิดเหรอว่ายัยนั้นจะชนะพวกเราตั้ง 5 คนได้” ปาร์กเกอร์พูดอย่างไม่เกรงกลัว แต่ว่า...

    “นายพูดเหมือนพวกโจร 500 เลยนะปาร์กเกอร์ แล้วยิ่งต่อหน้าแม่ด้วยแล้ว คิดเหรอว่าแม่จะยอม แล้วอีกอย่างนึง ไม่คิดหรือไงว่าแม่ของนายจะคิดว่านายเป็นคนยังไง...คงผิดหวังในตัวนายน่าดู” สกายพูดก่อนที่ไม้แช่เยี่ยวในมือจะเปลี่ยนเป็นไม่หวายซึ่งทำเอาทั้ง 5 คนสะดุ้งเมื่อสกายลองหวดไม้กลางอาการทำให้เกิดเสียง

    “แล้วก็นะ...การแอบดูเพศตรงข้ามเปลือยกายหรือการแอบดูคนสวยๆอย่างแม่เปลือยกายน่ะ มันอาจทำให้พวกนายเกิดอารมณ์จนหน้ามืดตามัวเข้าไปทำอะไรแม่กับพี่สาวน้องสาวของพวกนายก็เป็นได้ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นนอกจากจะโดนแม่โกรธแล้ว มันยัง บาป อีกด้วยนะน้องชาย” สกายพูดเน้นเสียงเย็นอีกครั้งก่อนที่ไม้หวายจะเปลี่ยนเป็นแท่งเหล็กทำเอาทั้ง 5 คนน้ำตาแทบเล็ดก่อนจะส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังพี่น้องคนอื่นๆที่ยืนดูอยู่

    “เดี๋ยวฉันขอตัวไปปรุงยาเตรียมไว้ให้เจ้าพวกนี้ก่อนนะ” โปพูดก่อนจะเดินจากไปทิ้งไว้แต่คนที่เหลือที่มองด้วยสายตาที่สงสารปนสมควรโดนไปให้ทั้ง 5 คน

    “ขอให้โชคดีนะ” ทิมพูดก่อนจะเดินไปนั่งตรงเก้าอี้หน้าหอ

    “อือ...นี่คงจะหนักและแรงไป เปลี่ยนดีกว่า” สกายพึมพำก่อนจะเปลี่ยนไม้ในมือให้กลายเป็นไม้พลาสติก “นี่ก็เบาไป” สกายพึมพำก่อนจะเปลี่ยนอีกครั้งแล้วกลายเป็นไม้หวายอีกรอบ “เอาอันนี้แหละ”

    เมื่อได้ไม้ที่คิดว่าเหมาะมือแล้ว สกายก็เดินตรงไปที่ แฟรงคลินก่อนจะจับที่บ่าหนาที่สั่นงันงก

    “สนใจอยากได้อะไรกัดไมน้องชาย” สกายถามเสียงอ่อนโยนแต่รอยยิ้มเย็นๆนั้นมันช่างขัดกับหน้าตาเสียจริงซึ่งคำตอบที่ได้จาก แฟรงคลินนั้นก็คือการพยักหน้าพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากอย่างน่าสงสาร

    “อเล็กซ์” สกายเรียกเสียงเย็นจนอเล็กซ์สะดุ้งก่อนจะเดินเอาผ้ามาอุดปาก แฟรงคลิน

    “โอเค...งั้นก็”

     

     

    ผัวะ!!!!!!

     

     

    อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

     

     

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

    “อูย~ เบาๆหน่อย เบาๆ เบาๆนะ อเล็กซ์ เบาๆอ้ากกกกก!!!!!!” ...หลังจากที่ผ่านบทลงโทษสุดโหดมาแล้ว ทั้ง 5 คนก็มานอนเรียงรายอยู่ที่ห้องนั่งเล่นของหอพักโดยมี อเล็กซ์ อดัม ซาเลม นาธานและทิมคอยนั่งทำแผลให้ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคนนั้นมือหนักๆกันทั้งนั้น...

    “เลิกโอดครวญน่ารำคาญสักทีเถอะน่า แฟรงคลิน” อเล็กซ์บ่นด้วยความรำคาญในขณะที่กำลังทายาบนแผลที่หลังของ แฟรงคลิน

    “คราวหน้าคราวหลังก็อย่าทำแบบนั้นอีกล่ะ...ไม่งั้น...” สกายพูดพร้อมกับมองด้วยสายตาเย็นชาจนน้องๆของเขาพากันหนาวและกลัวจนพยักหน้าหงึกๆ

    “ว่าแต่พี่สกาย วันนี้ก็จัดปาร์ตี้เหมือนเดิมใช่ไมครับ?” อเล็กซ์ที่ทายาที่หลัง แฟรงคลินเสร็จแล้วหันมาถามสกายด้วยแววตาเป็นประกาย

    “ก็นะ...พวกเขาไม่ค่อยได้สนุกกันซะเท่าไร เราก็ต้องทำให้พวกเขาสนุกและมีความสุขกันสักหน่อยสิ” สกายพูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นก่อนจะเดินมายังห้องๆหนึ่งซึ่งข้างในนั้น มีเงาของคนนับ 100 ยืนอยู่ภายใน “ขอโทษที่ทำให้รอนะครับทุกคน” สกายพูดก่อนจะเดินฝ่าฝูงคนหรือ...ผี...ที่ยืนเรียงรายอยู่ในห้องที่ในตอนนี้แหวกทางให้เขาเดินเข้าไปด้านในสุดของห้องก่อนจะกดรหัสบนปุ้มที่อยู่บนฝ่าผนังก่อนจะมีเพลงและแสงไฟสวยงามปรากฎขึ้นราวกับคลับหรือบาร์ “อุ๊บ...ผิดงานแหะ” สกายพูดก่อนจะกดรหัสใหม่อีกครั้งทำให้สภาพห้องเปลี่ยนไปเป็นพื้นทรายที่มีกองไฟขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางห้องและเพลงที่ทำให้หลายๆตนได้ฟังแล้วอยากเต้นพร้อมกับปรากฎโต๊ะอาหารบุฟเฟ่ขนาดใหญ่ขึ้นตรงมุมห้องซึ่งพวกผีทั้งหลายก็พากันโห่ร้องด้วยความดีใจกันยกใหญ่ “เชิญสนุกกับงานเลี้ยงกันตามสบายเลยครับทุกๆคน” สกายพูดเปิดงานก่อนที่พวกผีๆทั้งหลายจะพากันไปสนุกกับงานเลี้ยง

    สกายเดินออกมาจากห้องที่ครึกครื้นกันยกใหญ่ก่อนที่เขาจะเดินไปทำแบบเดียวกันทั้งชั้นนี้จนชั้นนี้พากันครึกครื้นกันยกใหญ่แล้วก็ตามาด้วย หอทั้งที่พากันจัดปาร์ตี้สนุกสนานกัน โดยที่เหล่าวิญาณหรือผีที่ได้รับความสุขแล้วก็ได้ไปสู่สุขติหรือไปเกิดใหญ่ โดยที่บางห้องก็มีเจ้าที่ เทวดา เทพารักษ์ ยมทูต และผีชนิดต่างๆ พากันมาเฮฮาปาร์ตี้

    “วันนี้แขกก็ยังเยอะเหมือนเดิมเลยแหะ” สกายพึมพำก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้วนั่งลงบนเก้าอี้โยกตัวโปรดของเขา

    “ปาร์ตี้น่าสนุกดีจังนะครับพี่สกาย...แล้วพวกนายไม่ไปร่วมด้วยหรือไง?” อเล็กซ์ที่กำลังเล่นกับกระต่ายตัวสีชมพูมีปีกติดอยู่ที่ด้านหลัง หันไปพูดกับสกายก่อนจะหันไปถามพวกน้องๆของตน

    “ไม่ล่ะขอบใจ” อดัมพูด...ถึงจะฟังดูน่าสนุก แต่เรื่องที่เกี่ยวกับผีหรือเรื่องเหนือธรรมชาติ ...เขาขอไม่เกี่ยวข้องดีกว่า...

    “แล้วนายไม่ไปหรือไง อเล็กซ์” ซาเลมที่กำลังนั่งดื่มน้ำมะเขือเทศถามอเล็กซ์ที่ชอบเรื่องผีๆและเรื่องเหนือธรรมชาติยิ่งกว่าอะไร แต่กลับไม่ไปร่วมปาร์ตี้หลุดโลกนั้นเนี้ยนะ...

    “อะ...เอ่อ...มะ...ไม่ดีกว่า...” อเล็กซ์อ้ำอึ้งอยู่สักพักแต่ก็ตอบออกไป

    “ทำไมล่ะ...นายชอบเรื่องแบบนี้ไม่ใช่หรือไง ยิ่งมีปาร์ตี้ด้วยยิ่งสนุกนะ” อดัมถามด้วยความสงสัยเช่นเดียวกับพี่น้องคนอื่นๆ ยกเว้น สกายที่รู้เหตุผล

    “อย่าบอกนะว่านาย กลัวหน้าตาของพวกเขาน่ะ” ทิมพูดขึ้นทำเอา อเล็กซ์สะดุ้ง

    “ใช่ซะที่ไหนเล่า...ที่ฉันไม่ไปก็เพราะ...ฉันไม่อยากเป็นมนุษย์คนเดียวในปาร์ตี้ผีต่างหากล่ะ” อเล็กซ์ตอบ...แต่ว่า...

    “อ้างเหตุผลยังโน้นยังนี้ สุดท้ายก็กลัวนี่เอง” แฟรงคลินพูดพลางยิ้มเยาะพี่ชายของตนจนเจ้าตัวหันมามองตาเขียว

    “นายคงไม่กลัวสินะ งั้นไปปาร์ตี้กันเถอะ” อเล็กซ์พูดพร้อมกับยิ้มเหี้ยมแล้วเข้ามากระชากตัว แฟรงคลินที่หน้าซีดเป็นไก่ต้ม

    “อ้ากกกกกกกกกกก!!!อย่า ม่ายเอา!!!!!!!!!!!!!!!!!!” แฟรงคลินร้องโหยหวนจนพี่น้องคนอื่นต้องเข้ามาช่วยด้วยความรำคาญ

    “เฮ้อ~ เขาอยู่ของเขาดีๆ แล้วพวกนายจะไปยุ่งอะไรกันนักกันหนากับเขาหะ” วิกเตอร์พูดอย่างเอือมๆพร้อมกับถอนหายใจ

    “ไปปาร์ตี้กันเถอะ อเล็กซ์ ฉันไปด้วยคนคงไม่เป็นไรนะ” นาธานพูดในสิ่งที่ตนอยากพูดมานานแล้ว

    “งะ...จะ...จริงดิ...อะ...เอ่อ...” อเล็กซ์ถึงกับอ้ำอึ้งก่อนจะสัมผัสได้ถึงมือใหญ่ที่วางลงบนหัว

    “ไม่ต้องกลัวหรอกอเล็กซ์ ไปสนุกเถอะ ปาร์ตี้นี้มีไว้เพื่อนสนุกนะ ไม่ว่าคนในปาร์ตี้จะเป็นอะไรก็ตาม” สกายพูดพร้อมกับลูบหัว อเล็กซ์

    “ใครว่าผมกลัวกันเล่า!” อเล็กซ์พูด...แต่ความจริงแล้วเขาค่อนข้างกลัวผีไทยอยู่เอาการ...เพราะหน้าตาผีไทยนั้น...ค่อนข้างหน้ากลัว...

    “งั้นก็ไปสิ” สกายพูดด้วยรอยยิ้ม

    “อึก...แต่ หน้าตาพวกเขา” อเล็กซ์พึมพำซึ่งมีเพียงสกายเท่านั้นที่ได้ยิน

    “ไม่ว่าคนหรือผี เขาไม่ดูกันที่หน้าตาหรอกนะ แต่ดูกันที่ใจ...รับรองว่าน้องต้องสนุกกับปาร์ตี้แน่ๆอเล็กซ์” สกายพูดซึ่งมันทำให้อเล็กซ์ลองคิดทบทวนดู

    “รองเปิดใจยอมรับซะบ้างนะน้องชาย”

    “งั้น...ก็ได้...ไป...เราไปสนุกกับปาร์ตี้กันเถอะนาธาน” อเล็กซ์พูดพร้อมฉีกยิ้มก่อนจะวิ่งออกไปจากห้องนั่งเล่นโดยมีนาธานที่ยิ้มร่าวิ่งตามไปด้วย

    ...ความจริงแล้ว...อเล็กซ์นั้นเห็นผีมาตั้งแต่เด็ก...แต่ในบางครั้งผีที่เขาเห็นก็หน้าตาน่ากลัวจนน่าตกใจ...ทำให้เขาค่อนข้างกลัวผีอยู่สักนิด...แต่ก็ไม่มา...เพราะว่าเขาสนใจเรื่องพวกนี้...เหมือนกับพ่อของเขา...

    สกายมองทั้งสองคนที่วิ่งไปสนุกกับปาร์ตี้แบบผีๆด้วยรอยยิ้ม...คงจะหายกลัวผีก็งานนี้แหละ...

     

    “พี่สกายๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”เสียงแหลมๆที่วี้ดลั่นหอพร้อมเรียกชื่อเขาทำให้สกายหันไปมองทางต้นเสียงก็พบกับจังมีที่วิ่งหน้าตาแตกตื่นมาทางเขาทำให้ชายหนุ่มต้องหุบยิ้มแล้วขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแทน

    “มีอะไรหรือจังมี?” สกายถามด้วยความรู้สึกสังหรณ์ในแปลกๆ ในขณะที่จังมีกำลังยืนหอบหายใจ ...แต่พอรองสังเกตดูดีๆแล้ว...ที่หน้าของจังมี...มีน้ำตา...จังมีกำลังน้ำตาไหล...

    “ฮึก...คือว่า...ฮือ...แม่...แม่...ฮือ” จังมีพูดไปสะอื้นไปพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาเป็นสายธาร

    สกายเบิกตากว่าพร้อมกับความรู้สึกในอกที่ไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไร

    “แม่” สกายพึมพำก่อนจะวิ่งออกไปจากหอพักของเขาท่ามกลางความตกใจของน้องๆและจังมีที่ยังยืนร้องไห้อยู่

    “จังมี ตั้งสติและใจเย็นๆเข้าไว้ แล้วบอกพี่มา ว่าเกิดอะไรขึ้น แม่เป็นอะไร” โปที่ได้สติคนแรกเดินเข้ามาจับไหล่จังมีแล้วถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    “ฮึก...แม่...แม่เป็นอะไรก็ไม่รู้...ฮือ...จู่ๆ...แม่ก็ล้มลงไป...แล้วก็มีแปลกปรากฎเต็มตัวแม่เลยอะ...ฮือ” จังมีอธิบายพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุดซึ่งสิ่งที่จังมีอธิบาย ทำให้โปและคนอื่นๆถึงกับตกใจทำอะไรไม่ถูก

    “ทิม  ฮัมฟรีย์  ซาเลม มาช่วยฉันปรุงยาเร็ว” โปพูดก่อนจะวิ่งออกไปจากหอ ตามด้วยทิม ฮัมฟรีย์และซาเลมที่วิ่งตามมาติดๆ

    “อะ...อดัม เดวิด นายไปตามอเล็กซ์กับนาธานนะ ส่วนพวกฉันจะไปรอที่เรือนไทย” วิกเตอร์พูดก่อนจะวิ่งออกไปโดยที่มีโรเบิร์ต อชิต แฟรงคลิน ปาร์กเกอร์ ฮารุและจังมีวิ่งตามหลังไปในขณะที่ อดัมกับเดวิดวิ่งไปตามอเล็กซ์กับนาธาน

     

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

     

    ...หลังจากที่ทุกๆคนมารวมตัวกันที่เรือนไทยกันหมดแล้ว ก็พบว่า ไทยในตอนนี้ ได้รับความเจ็บปวดทรมานจากอาการบาดเจ็บเพราะการโจมตีของประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 3 ประเทศอย่าง พม่า เขมรและมาเลเซีย ทำให้ในตอนนี้นอนโทรมอยู่บนที่นอน ตามเนื้อตัวมีบาดแผลเต็มไปหมดโดยมีโปกับโมเอะ คอยทายาที่แผลของไทยและช่วยกันนำผ้าพันแผลมาพันที่แผลของผู้เป็นแม่พร้อมกับช่วยพยุงไทยให้ลุกขึ้นมากินยาที่โปเป็นคนปรุง

    อชิตกำหมัดแน่นกับเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับพี่น้องคนอื่นๆ ของเขา    ยกเว้นสกาย ที่มองแม่ของพวกเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาสงสารและเป็นห่วงไทยมากแค่ไหน    แต่เขาไม่ได้โกรธแค้นพวกที่ทำให้แม่ของเขามีสภาพแบบนี้ ในทางกลับกัน เขากำลังใช้ความคิด หาวิธีทางที่จะทำให้สถานการณ์แบบนี้หยุดลงเสียที และ...จะได้ทำให้พ่อของน้องๆของเขา ได้มาพบกับน้องๆของเขาและแม่เสียที  แต่เขาต้องคิดให้รอบคอบและเป็นขั้นเป็นตอน ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่งั้นมันจะยุ่งยากเป็นแน่

    “อย่าคิดจะไปบุกถล่มบ้านเขาเชียวนะ” สกายพูดขึ้นทำให้น้องๆของเขาที่ถืออาวุธครบมือแล้วกำลังจะเดินออกจากบ้านไปบุกถล่มพวกที่ทำกับแม่ของพวกเขาเช่นนี้หยุดชะงักลง

    “ตะ...แต่พี่คะ...”

    “เดี๋ยวพี่จัดการเอง” ...ยังไม่ทันที่รีเบคก้าที่ถือพลั่วจะพูดจบ สกายก็พูดขึ้นด้วยใบหน้านิ่งๆจนพวกเขาพากันรู้สึกหนาวที่กระดูกสันหลังแปลกๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินออกไป

    “แค่นี้ก็พอเบาใจลงได้บ้างแล้วล่ะ” ทิมพูดขึ้นทำให้พี่น้องคนอื่นๆหันมามองด้วยความรู้สึกสงสัยนิดหน่อย “ก็ถ้าพี่สกายบอกว่าจะจัดการ...ทุกๆอย่างจะต้องออกมาเรียบร้อยแน่นอน”

    “นั้นสินะ” อเล็กซ์พึมพำขึ้นพร้อมกับยิ้มออกมาบางๆเช่นเดียวกับพี่น้องคนอื่นๆที่เริ่มจะวางอาวุธลงและรู้สึกเบาใจลงมาบ้าง

    “เดี๋ยวแม่ก็ดีขึ้นแล้วนะ แอนนา หยุดร้องได้แล้ว” วิกเตอร์พูดปลอบแอนนาที่ยังนั่งร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเขา

    “ฮึก...อืม” แอนนาขานรับก่อนจะรับผ้าเช็ดหน้าจากวิกเตอร์มาเช็ดน้ำตา

    “วันนี้ค้างกันที่เรือนไทยเถอะ จะได้เฝ้าดูอาการแม่” โปพูดเสนอซึ่งแน่นอนว่าพี่น้องคนอื่นๆเห็นด้วย ...และทำได้เพียงหวัง ...ว่าวันพรุ่งนี้... พอพวกเขาลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว...จะได้พบกับคุณแม่อันเป็นที่รักของพวกเขาในสภาพร่างกายที่แข็งแรงเช่นเก่า...คุณแม่ที่แสนดีที่ไม่เจ็บปวดหรือทุกทรมานใดๆ...ได้พบกับรอยยิ้มอันอ่อนโยน อบอุ่นและจริงใจของแม่ของพวกเขา...และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ดั้งเช่นวันวาน...

     

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     

     

    ...ในขณะเดียว... ณ อีกสถานที่แห่งหนึ่ง อันห่างไกล...

     

     

     

     

    ประเทศอังกฤษ

     

     

     

     

    “ (เอื้อน)อือ~ อื่อ~ อือ~....อื่อ~ อือ~ อือ...” ...เสียงเอื้อนอันไพรเราะของใครบางคนที่แสนคุ้นเคย ดังขึ้นมาในโสตประสาทของเขา จนตัวเขาต้องลืมตามองไปยังแสงสว่างจ้าที่ส่องมา

    ชายหนุ่มผมสีทอง นัยน์ตาสีมรกต ... อังกฤษ หรือ อาเธอร์ เคิร์กแลนด์ ...ที่คาดว่าตนเองน่าจะนอนหลับไปแล้ว...ในตอนนี้กำลังเดินตามแสงและเสียงเอื้อนไปเลื่อยๆจนกระทั่ง...

    “อือ~...อื่อ~ อือ~...” ...จนกระทั่งแสงนั้นลับตาไป...แล้วปรากฏสถานที่ ที่เขาแสนคุ้นเคย...สถานที่ ที่เขาไม่ได้ไปเสียนาน...สถานที่อันอยู่ห่างไกล...บ้านของคนที่เขารัก...เรือนไทย...

    “ (เอื้อน)อือ~ อื่อ~ อือ~....อื่อ~ อือ~ อือ...”...เสียงเอื้อนนี้...ทำให้เขารู้สึกคิดถึงและโหยหา...เสียงของคนที่เขารัก...ไทย...

    “ (เอื้อน)อือ~ อื่อ~ อือ~...........อื่อ~ อือ~ อือ...”...เสียงเอื้อนอันไพรเราะที่ดังมาจากร่างบางตรงหน้าทำให้เขารู้สึกดีใจ...ดีใจ...ที่ได้พบกับเธอคนนี้อีกครั้ง...

    “ไทย” อังกฤษเรียกคนที่นั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าราวกับกำลังทำอะไรบางอย่าง...แต่พอเขาเรียก...ไทยที่น่าจะหันมามองเขาแล้วยิ้มให้เหมือนอย่างเคย...กลับไม่หันมาทางเขา...ราวกับไม่ได้ยินเสียงของเขา...

    แต่พอภาพตรงหน้าเริ่มชัดเจนขึ้น...ดวงตาสีมรกตก็ต้องเบิกกว้าง...ไทยที่นั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้า...กำลังไกวเปล ที่มีเด็กน้อยที่หน้าตาค่อนข้างคล้ายเขานอนอยู่...โดยที่บนตักของไทยเองก็มีเด็กอีกคนที่หน้าตาเหมือนอเมริกานอนหนุนอยู่...

    จากภาพที่ปรากฏชัดในดวงตาของเขา...ทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่เวียดนามพูดนั้นเป็นเรื่องจริง...และไทยในตอนนี้...กำลังกล่อมลูกนอนอยู่...

    “อ่ะ” อังกฤษอุทานด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆตัวเขาก็รู้สึกเหมือนกับถูกดึง...ภาพของไทยที่กำลังกล่อมลูกน้อยของเขาค่อยๆห่างไกลออกไป

    “ดะ...เดี๋ยวก่อน!!” อังกฤษร้องพร้อมกับพยายามวิ่งเข้าไปหาไทย...แต่ยิ่งวิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งไกลจากกัน

    “ (เอื้อน)อือ~ อื่อ~....อื่อ~ อือ~ อือ...หืม” เสียงเอื้อนอันไพรเราะที่ดังขับกล่อมลูกน้อยและทำให้อังกฤษหลงใหลหยุดลงพร้อมกับดวงตาคู่สวยที่เปิดขึ้นมองลูกน้อยที่อยู่ในเปลด้วยรอยยิ้มก่อนจะก้มลงหอมที่แก้มนุ่มนิ่มของลูกน้อย

    “ฝันดีจ๊ะ อเล็กซ์” ไทยพูดแล้วก้มมองเด็กน้อยอีกคนที่หลับคาตักของเธออยู่ก่อนจะก้มลงไปอุ้มเด็กน้อยที่ทำท่าเหมือนงอแงเล็กน้อย

    “ (เอื้อน)อือ~ อื่อ~ อือ~....อื่อ~ อือ~ อือ...” ไทยเอื้อนต่อพร้อมกับเดินลูบหลังลูกน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดไปมาจนกระทั่งลูกน้อยของเธอหลับสนิท เธอจึงผละออกมามองหน้าลูกน้อยก่อนจะยิ้มอีกครั้ง

    “ฝันดีนะจ๊ะ อดัม” ไทยพูดก่อนจะหอมที่แก้มนุ่มนิ่มนั้นเหมือนกับที่ทำกับลูกคนแรก...ซึ่งภาพเหล่านั้นยังคงถูกจับจ้องด้วยสายตาของอังกฤษ...โดยที่ตัวอังกฤษนั้นรู้สึกทรมานใจ...ที่ตัวเขาไม่สามารถเข้าไปกอดคนที่เขารักได้...

    “ไทย...อะ...เดี๋ยว!!” อังกฤษร้องด้วยความตกใจอีกครั้งเมื่อตัวเขาถูกดึงห่างออกไปจากไทย...ไกลไปทุกทีๆ...พร้อมกับภาพโดยรอบที่เริ่มเลือนรางแล้วกลายเป็นสีขาว...ก่อนที่ตัวเขาจะตื่นขึ้นมาในห้องนอนของตนเอง...

    “ฝัน...งั้นเหรอ?” อังกฤษพึมพำก่อนจะนึกทบทวนถึงภาพที่เขาฝันเห็น...รู้สึก...เจ็บปวดที่หัวใจ...และโหยหา...อยากจะพบ...กับเธอคนนั้นอีกครั้ง...ไทย...

     

    “สำเร็จไปหนึ่ง” เสียงหนึ่งดังขึ้นในมุมมืด ในห้องของอังกฤษโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนของเจ้าของเสียงนั้น

    “ที่นี้ก็แค่รอให้เป็นไปตามแผน” เสียงนั้นพึมพำก่อนจะเดินออกมาจากมุมมืดแล้วเดินตรงไปยังหน้าต่าง แล้วหันมามองอังกฤษที่ยกมือขึ้นปิดหน้าตนเอง...ร้องไห้งั้นเหรอ?...

    “ถ้าอยากเจอเธอคนนั้นมากนัก...ก็ไปหาซะสิ” เสียงนั้นตัดสินใจพูดให้อังกฤษรับรู้ถึงความต้องการของตนเอง ซึ่งบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างนั้น...ก็คือสกาย...สกายที่ปรากฏตัวในตอนนี้ ไม่มีใครรับรู้ถึงการมีตัวตนของเขา ไม่ว่าจะเป็นพวกแฟรี่เพื่อนๆของอังกฤษหรือตัวอังกฤษเองก็ตาม ซึ่งพออังกฤษได้ยินถึงสิ่งที่เขาพูดก็ถึงกับสะดุ้งแล้วหันมองซ้ายมองขวาเพื่อหาว่าใครเป็นคนพูด แต่เขากลับมองไม่เห็นสกาย...

    “หึ...แล้วผม จะรอดูต่อไป และรอวันที่คุณจะได้พบกับแม่ของผมและ อเล็กซ์” สกายพึมพำก่อนที่ร่างกายของเขาจะกลายสภาพเป็นนกอินทรีย์แล้วบินออกไปทางหน้าต่างทำให้เกิดลมพัดอย่างแรงจนอังกฤษตกใจ

     

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

     

    ...ในเช้าวันต่อมา ทหารของพม่า เขมรและมาเลเซีย หยุดการสู้รบกระทันหันหรือหยุดโจมตีเขตชายแดนประเทศไทยอย่างกระทันหัน   ด้วยเหตุอะไรบางอย่างซึ่งมันเป็นปริศนาของทั้งสามประเทศว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคนของพวกเขา  ...ทำไมถึงล้มเลิกการโจมตีเขตชายแดนประเทศไทย...

    แต่จากเหตุการณ์ที่ทั้ง 3 ประเทศหยุดการโจมตีเขตชายแดนประเทศไทย...ทำให้ในเช้าวันนี้ ไทย มีอาการดีขึ้น...ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี...

    “ฝีมือลูกสินะ สกาย” ไทยถามสกายที่นั่งดื่มน้ำมะนาวอยู่ในห้องนั่งเล่น ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปนั่งข้างๆลูกชายคนโต

    “แม่รู้ได้ยังไงครับ?” สกายหันมาถามพร้อมรอยยิ้มซึ่งในสายตาของไทย...เขาในตอนนี้ดูสงบเยือกเย็นและสง่างาม...เหมือนกับพ่อของเขาไม่มีผิด...

    “คนที่จะทำให้เหล่ามนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตที่มีความต้องการในแง่ลบ  หรือความคิดที่จะสู้รบนั้นเปลี่ยนไปแล้วทำให้ผู้คนเหล่านั้นจิตใจสงบเยือกเย็นได้นั้น มีเพียงพลังของลูกเท่านั้นไม่ใช่เหรอจ๊ะ?” ไทยพูด ทำให้สกายหัวเราะออกมาสักครู่หนึ่งก่อนจะเงียบลงแล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุขและสงบเยือกเย็นแล้วยกแก้วน้ำมะนาวขึ้นมาดื่มต่ออีกรอบ

    “ถูกต้องแล้วครับแม่ ฝีมือของผมเอง” สกายพูดหลังจากวางแก้วน้ำมะนาวลงกับโต๊ะ “เพราะอย่างน้อย ทำให้พวกเขาสงบลงและกระตุ้นความรู้สึกนึกคิดที่ว่า การโจมตีประเทศที่ยังไม่ได้ทำอะไรพวกเขาก่อนนั้นมันไม่ถูก  มันก็จะทำให้การสูญเสียน้อยลง เพราะถ้าโรมสั่งโจมตีล่ะก็...มันคงไม่จบง่ายๆแน่ และการฆ่าพวกเขานั้น มันก็เหมือนกับการฆ่าผู้บริสุทธิ์ เพราะว่าพวกเขาเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้นเอง” สกายพูดอย่างสงบเยือกเย็นด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่อ่อนโยนก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมาถืออยู่ในมือ

    “ผมขอเดานะ พวกน้องๆคงหลับอยู่ในห้องของแม่กันหมดสินะครับ” สกายพูดพร้อมกับหันมามองไทยด้วยรอยยิ้ม

    “จ๊ะ...หลับกันสบายเลยล่ะ” ไทยพูดพลางมองสกายที่จ้องน้ำสีเขียวอ่อนในแก้วอย่างใช้ความคิด

    “ลูกเป็นคนดีนะจ๊ะสกาย...เหมือนกับพ่อของลูก...แม่เองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน...เฮ้อ~...แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ ก็โรมเขาสั่งห้ามไม่ให้ออกนอกประเทศและห้ามไม่ให้คนนอกประเทศเข้ามาในประเทศไทยนี่นา...แม่ก็ทำได้แค่ทำตามคำสั่งของเขาเท่านั้นเองล่ะจ๊ะ...นี่ถ้าแม่ออกไปคุยกับพวกเขาหรือทำให้มันเป็นเหมือนเมื่อก่อนล่ะก็...เรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้สินะ” ไทยพูดระบายในสิ่งที่ตนคิดก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ

    “เดี๋ยวผมจะช่วยให้มันเรียบร้อยเองครับแม่...และจะทำให้แม่กับน้องๆมีความสุขด้วย ผมสัญญา” สกายพูดด้วยรอยยิ้มก่อนที่น้ำในแก้วที่เขาถือจะแปรเปลี่ยนเป็นน้ำสีอำพัน

    “แค่นี้แม่ก็มีความสุขแล้วจ๊ะ...ว่าแต่...ลูกเปลี่ยนน้ำมะนาวเป็นน้ำอะไรน่ะ?” ไทยถามสกายที่กำลังดื่มน้ำสีอำพันนั้น

    “น้ำผลไม้รวม น่ะครับ” สกายหันมาตอบก่อนจะดื่มต่อ

    “แหม่~ ลูกนี่เก่งจังเลยนะจ๊ะ...นี่ถ้าพวกคุณอเมริกามาเห็นเข้าคงนึกว่าลูกเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ ฮีโร่หรือพระเจ้าแน่ๆ” ไทยพูดยิ้มๆติดตลกก่อนจะหุบยิ้มลง ... ดวงตาของไทย ฉายแววเศร้าและคิดถึงกลุ่มคนที่เธอพูดถึงซึ่งสกายมองออก...

    “ผมน่ะ ไม่ใช่พระเจ้าหรอกครับ...เพราะว่าพระเจ้าน่ะ คือคนที่ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิต และในสายตาของผม พ่อแม่คือพระเจ้า” สกายพูดพร้อมมองไทยซึ่งคำพูดนั้นทำให้ไทยหน้าขึ้นสีระเรื่อพร้อมกับยิ้มหวานให้กับลูกชาย

    “สกายล่ะก็...พูดแบบนี้แม่ก็เขินสิจ๊ะ” ไทยพูดพร้อมกับตีแขนลูกชายคนโตซึ่งท่าทางนั้นทำเอาสกายหลุดขำออกมาเลยโดนคุณแม่ตีแขนแก้เขินไปอีกรอบ

    “สนุกกันใหญ่เลยนะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางห้องนอนของไทยที่ประตูเปิดแง้มอยู่พร้อมกับกลุ่มคนทั้ง 18 คนที่จ้องมองเขม็งมาทางสกายกับไทยด้วยสายตาที่ราวกับเด็กหรือลูกที่ไม่พอใจเวลาพ่อแม่ไปนั่งจู๋จี๋ หวานแหววกับกิ๊กหรือแฟน

    “แม่จ๋า~ แม่หายดีแล้วสินะ ดีใจที่สุดเลย~” แอนนาที่ตอนแรกยืนพองแก้มเหมือนงอนๆวิ่งเข้ามากอดไทยด้วยความดีใจ

    “แม่คะ~” ...และตามมาด้วยพี่สาวน้องสาวอีก 3 คนที่วิ่งเข้ามากอดบ้าง

    “ดีใจจังเลยที่แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว”โมเอะพูดด้วยใบหน้าที่มีน้ำตาปริ่มอยู่ตรงหางตา

    “จ้าๆ แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าทำท่าเหมือนจะร้องไห้กันสิจ๊ะ” ไทยพูดพลางลูบหัวลูกสาวของเธอก่อนจะหันไปมองเหล่าลูกชายทั้ง 14 คนของเธอก่อนจะยิ้มออกมากับท่าทางเหมือนน้อยใจของเด็กหนุ่มทั้ง 14 คน “อยากกอดก็เข้ามากอดสิจ๊ะ”

    พอไทยพูดจบ เด็กหนุ่มทั้ง 14 คนก็พากันวิ่งเข้ามากอดไทยจนไทยล้มลงไปนอนกับพื้นโดยมีเหล่าลูกๆรุมกอดจนแทบจะกลายเป็นโดนทับ

    ภาพของคนทั้ง 19 คนกำลังนั่งกอดกัน หัวเราะด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข...ช่างเป็นภาพที่มีสร้างความสุขให้กับสกายจริงๆ...

    ...ตลอดเวลา 80 ปี ที่เขาได้อยู่กับครอบครัวที่ราชอาณาจักรการ์เดียน เขาเองก็มีความสุขเหมือนตอนนี้...พอเห็นภาพตรงหน้าแล้ว...มันทำให้เขานึกถึงอดีตเมื่อวันวาน ที่ได้อยู่กับพี่น้องและพวกพ้อง...และอดที่จะคิดถึง เธอ คนนั้นเสียไม่ได้...

    “ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ” สกายพึมพำพลางนึกถึงเด็กสาวผมสีน้ำตาลฟูฟ่องที่บัดนี้เขาเดาว่าคงจะยาวสลวยจนถึงกลางหลังแล้วล่ะมั้ง...แล้วก็...ได้เป็นคุณแม่ไปแล้วด้วย...

    “ทำหน้าแบบนั้นคิดถึงแฟนอยู่เหรอพี่” เสียงกวนๆของอชิตทำให้สกายตื่นจากภวังค์ก่อนจะส่งยิ้มไปให้พร้อมคำตอบ

    “ไม่ใช่แฟน แต่เป็นคนรักต่างหาก” สกายพูดก่อนจะเดินออกมาจากห้องนั่งเล่นที่ดังกระหึ่มไปด้วยเสียงกรี๊ดของพวกน้องสาวกับเสียงโห่ของพวกน้องชาย

    “ลูกพี่จ๊ะ...ทางประเทศผู้ปกครอง(ราชอาณาจักรการ์เดียน)ส่งงานมาให้อีกแล้วจ๊ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับลมแรงๆที่พัดมาก่อนจะปรากฎร่างของเด็กหนุ่ม ผมสีขาว หรือจะพูดให้ถูกคือขาวทั้งตัว ในชุดสไตล์สาวไทย

    “ขอบใจหนุมาน” สกายพูดก่อนจะรับม้วนเอกสารที่หนุมานส่งมาให้

    “ด้วยความยินดีจ้า~” หนุมานพูดก่อนจะกระโดดกอดคอสกายจนชายหนุ่มเกือบล้มเพราะแรงลมที่อยู่รอบๆตัวหนุมานกับแรงที่มากมายมหาศาลของพญาวานรผู้นี้ แล้วหอมเข้าที่แก้มของชายหนุ่มยกใหญ่

    “กรี๊ดดดดดด!!!~ อย่าทำแบบนั้นกับนายท่านนะยะ นังหนุมาน” เสียงวี๊ดร้องของหญิงสาวในชุดสไบสีเขียว หรือจะเรียกให้ถูกคือ นางตานี ดังขึ้นก่อนจะเข้ามาเกาะแขนสกายจนชายหนุ่มทำหน้าเหนื่อยใจ “เพราะคนที่จะทำแบบนั้นกับนายท่าน แค่ฉันคนเดียวก็พอย่ะ”

    พอนางตานีพูดจบก็หอมเข้าให้ที่แก้มของสกาย

    “หล่อนนั้นแหละ ปล่อยลูกพี่เดี๋ยวนี้นะ นังภูติพราย” หนุมานพูดด้วยความไม่พอใจก่อนจะจ้องตานางตานีเขม็ง

    “กล้าดียังไงถึงได้...”

    “พวกเธอ...บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าทะเลาะกัน” ยังไม่ทันที่นางตานีจะพูดจบหรือได้พูดอะไร...เสียงเย็นก็ดังขึ้นจากคนที่ตนกอดอยู่ทำให้สองสาว(?)หันไปมองก็พบกับสกายในมาดเย็นชา...ถึงจะดูเท่บาดใจจนอยากหอมอีกรอบ...แต่มาดนี้...

    “คะ/จ้า” ทั้งสองจึงต้องจำใจสงบศึกกันไปก่อน...แต่ก็ยังไม่วายจ้องตากันเขม็งเช่นเดิม...

    “ถ้าเป็นไปได้ พวกหล่อนช่วยปล่อยมือออกจากท่านสกายด้วย” เสียงที่แสดงออกถึงความไม่พอใจดังขึ้นพร้อมการปรากฎตัวของ นางตะเคียน นางไม้ นางปอบ นางกระสือ และเหล่าผีสาวทั้งหลาย อีกราวๆ 12 กว่าคน

    “ไม่ปล่อย(ย่ะ)” X2

    ...เมื่อสองสาวสวย(?)ตอบพร้อมกัน ผีสาวทั้ง 16 คนก็เตรียมจะเข้ามาตบทันที แต่...

    “ห้าม ทะเลาะกัน” เสียงเย็นที่ดังขึ้นจากชายหนุ่มอันเป็นที่รักทำให้เหล่าหญิงสาวหยุดชะงัก

    “เฮ้อ~ ขอร้อง อย่าทำให้ผมเหนื่อยใจเลยนะครับ แค่มนุษย์ทะเลาะกันผมก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว นี่พวกผีมาทะเลาะกันอีก เดี๋ยวจากปวดหัวคงรามไปปวดตับด้วยมั้งครับ” สกายพูดอย่างเหนื่อยใจก่อนจะเดินไปนั่งพิงตรงระเบียงโดยยังมี หนุมานกับนางตานีกอดแขนอยู่และเหล่าสาวๆที่เข้ามาอยู่ใกล้ๆพร้อมกับความคิดที่ว่า...แล้วที่พวกเราทะเลาะกันเพราะใครกันล่ะ...

    “เอาล่ะ...ไหนดูหน่อยสิว่าเป็นงานเกี่ยวกับอะไร” สกายพูดก่อนจะคลายม้วนเอกสารเกี่ยวกับรายละเอียดงานที่เขาจะต้องทำออกอ่าน ซึ่งรายละเอียดของงานทำเอาสกายถึงกับถอนหายใจ...ถึงประเทศไทยจะไม่ค่อยมีชาวการ์เดียนคนใดเข้ามาอาศัยก็ตาม...แต่หน้าที่และงานของสกายก็คือ คอยสังเกตดูให้ดีๆว่ามีคนที่เหมือนพวกเขาอยู่ในประเทศนี้ไหม...ซึ่งแน่นอนว่ามีเยอะสุดๆ...และอีกงานก็คือ คอยจัดการกับพวกที่แอบเข้ามาทดลองเรื่องโน้นเรื่องนี้ในประเทศไทย...ซึ่งเป็นเรื่องน่าปวดหัวอยู่เหมือนกัน...ก็นะ...ประเทศไทยก็ใช่ว่าจะเล็กๆสักหน่อยนิ...งานที่เขาได้เลยค่อนข้างลำบากนิดหน่อยตรงที่ต้องตระเวรไปทั่วประเทศไทยเพื่อสอดส่องสายตาช่วยเหลือชาวบ้านและกำจัดพวกตัวก่อกวน...เฮ้อ~...ถึงเจ้าคนให้งาน อย่าง เช็คเกอร์เฟส จะบอกว่า...ถ้ากล้าของานน้อยๆ พี่ก็จัดให้...ถึงจะจัดงานน้อยๆมาให้ แต่สุดท้ายมันก็แค่งานใหญ่ 1 ชิ้นที่ไม่ได้กระหน่ำรัวเหมือนคนอื่นเท่านั้นเอง...แต่ก็นะ...ถือซะว่ามันคือการทำให้ครอบครัวมีความสุขก็แล้วกัน...ไม่มากก็น้อย...

    “งั้นก็...ฝากดูแลบ้านด้วยนะครับ คุณเอกฤทัย” สกายลุกขึ้นยืนก่อนจะหันไปสั่งหญิงสาวในชุดสไบสีน้ำตาลอ่อน ผมสีน้ำตาลยาวและนัยน์ตาสีเดียวกับสีผม ซึ่งเธอคนนั้นเป็น ผีบ้านผีเรือนของบ้านไทย

    “รับทราบจ๊ะ” เอกฤทัยตอบอย่างแข็งขัน

    “แล้วก็...ผมจะวางใจมากขึ้นถ้า คุณอยู่ด้วยนะครับ แม่นาก ยายสาย แล้วก็ ยายหยิบ” สกายหันไปพูดกับ 3 สาวผีสุดฮิตและฮอต(?)อย่างแม่นาคพระโขนง ยายสายผีกระสือและยายหยิบผีปอบคนดัง

    “แหม่~ สกาย บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกยายน่ะ ฉันน่ะ ยังเอ๊าะๆอยู่นะ” ยายหยิบพูดก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆสกายแล้วกอดที่แขนแกร่งแต่ก็โดนยายสายมากระชากออก

    “ให้เขาเรียกว่ายายนั้นแหละดีแล้ว...ไม่เจียมบอร์ดี้เลยนะเอ็ง” ยายสายพูดเอ็ดยายหยิบ

    “ว่าแต่ปู่โสมกับคนอื่นๆไปไหนกันหมดล่ะครับ?” สกายถามขึ้นเมื่อไม่เห็นสมาชิกผีๆคนอื่นๆอีก

    “งานปาร์ตี้เมื่อคืน...พวกปู่โสมพากันไปดื่มจน...ขอใช้คำว่าน็อคก็แล้วกันนะคะ” หญิงสาวชุดสไบสีชมพูและมีหูแมวกับหางแมวตอบคำถามของสกาย

    “เป็นงั้นไป...งั้นฝากแต้มกับนวลดูแลพวกปู่โสมหน่อยก็แล้วกัน เฮ้อ~” สกายหันไปสั่งหญิงสาวที่มีหูกับหางแมวที่ตอบคำถามเมื่อกี้กับหญิงสาวอีกคนที่ใส่เสื้อแขนยาวคอกลมสีขาวนวลและกระโปร่งยาวคลุมตาตุ้มสีฟ้า

    “ส่วนคนที่จะได้ไปกับผม แค่หนุมาน ตานี ตะเคียน แสงดาและน้ำนิ่งก็พอแล้วล่ะ” สกายพูดซึ่งเหล่าคนสวยทั้ง 5 คนที่ได้ยินชื่อของตนก็ดีใจรีบเดินตามสกายไปทันทีในขณะที่พวกที่เหลือแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ตามปกติ

     

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

     

    ณ ห้องประชุมสมัชชาโลก

     

    ...วันนี้ก็เป็นอีกวันที่มีการประชุมสหประชาชาติ...และเป็นอีกวันที่เก้าอี้ที่น่าจะเป็นที่นั่งของ ไทย ว่างเปล่า แต่ในวันนี้มีบางอย่างที่กวนใจทุกๆคนจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ซึ่งสาเหตุของเรื่องกวนใจนั้นก็คือ...เรื่องที่เวียดนามเล่าให้ฟัง...เรื่องที่พวกเขาทำไทยท้องและมีลูกด้วยกัน ...ซึ่งในตอนนี้ประเทศที่รู้เรื่องนี้มีแค่ 9 ประเทศที่เป็นพ่อของเด็กเท่านั้น...และในตอนนี้เหล่าคุณพ่อทั้งหลายก็พากันนั่งเครียดอยู่ที่ห้องพักของตนจนพากันลืมเวลาที่จะต้องไปประชุมสมัชชาโลกที่นัดกันไว้เสียแล้ว

    แต่...ก็ยังมีอยู่ 2 คนที่มีสติพอที่จะพยายามหาวิธีว่าควรจะทำอย่างไรดีในสถานการณ์นี้...ในขณะที่ที่คนอื่นๆและอีกหลายๆคนพากันพยายามทำให้ไทยออกมาจากบ้านซะ...พวกเขาสองคนกลับไม่ใช้วิธีนั้น...อันที่จริงพวกเขาก็ใช้วิธีนั้น...แต่ในเมื่อมันไม่ได้ผล ก็ต้องเปลี่ยนวิธีสิ...

    ในห้องประชุมสมัชชาโลกมีเพียงแค่กลุ่มสมาชิกฝ่ายสัมพันธมิตรเท่านั้น ในขณะที่คนอื่นๆยังช็อกกับเรื่องที่ได้รับรู้อยู่ซึ่งพวกเขาเองก็ช็อกไม่แพ้กัน แต่มีอยู่สองคนที่พยายามคิดหาวิธีที่จะได้พบกับไทย ผิดกับพวกที่เหลือ ที่นั่งช็อกและซึมกันจนบรรยากาศภายในห้องอึมครึม

    อังกฤษนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เขาฝันเห็นเมื่อคืนก่อนจะอมยิ้มออกมานิดแล้วหุบรอยยิ้มลงก่อนจะพยายามคิดหาวิธีที่นุ่มนวลที่สุดเท่าที่หัวสมองเขาจะคิดได้หาวิธีที่จะได้พบกับไทยและลูกของเขา

     

     

     

    ปึง!!!!

     

     

     

    อเมริกาทุบโต๊ะเสียงดังเมื่อคิดอะไรบางอย่างออก แต่ดูเหมือนกับว่าจะไม่มีใครสนใจนอกเสียจากอังกฤษเพราะคนอื่นๆเหมือนกับจะจิตหยุดจากการช็อกหรือไม่ก็กำลังอยู่ในโลกส่วนตัวก็ไม่ทราบ รู้เพียงแต่ว่า เงียบเหมือนคนไม่มีตัวตนยิ่งกว่าแคนนาดาเสียอีก

    “ฉันนึกออกแล้ว!” อเมริกาพูดด้วยความดีใจจนอังกฤษต้องขมวดคิ้ว

    “อะไรของนายน่ะอเมริกา? คิดอะไรออกงั้นเหรอ?” อังกฤษถามขึ้นด้วยความสงสัย

    “ก็วิธีที่จะทำให้ฉันได้พบกับไทยยังไงล่ะ” อเมริกาตอบด้วยรอยยิ้มราวกับมั่นใจเสียเหลือเกินว่าจะทำสำเร็จตามแผน

    “วิธีอะไรของนายน่ะ?” อังกฤษถามอย่างอึ้งๆปนอยากรู้

    “ก็...ฉันไม่พูดดีกว่า...เพราะเดี๋ยวนายจะหาว่ามันไร้สาระ...แล้วอีกอย่าง...ฉันลงมือตอนนี้ซะเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา” อเมริกาพูดก่อนจะวิ่งออกไปจากห้องประชุมด้วยความมั่นใจเต็ม 100

    “เฮ้!~ เดี๋ยวก่อนสิอเมริกา” อังกฤษเรียก...แต่สายไปเสียแล้ว...เพราะอเมริกานั้นวิ่งไปไกลแล้ว

    “หวังว่าเจ้านั้นคงไม่ทำอะไรบ้าๆหรอกนะ” อังกฤษพึมพำอย่างเหนื่อยใจก่อนจะหันไปมองคนที่เหลือที่ยังคงนั่งนิ่งแข็งทื่อเป็นศิลาจนเขาต้องกุมขมับ...แต่ก็นะ...ให้ทำไงได้...ก็ในเมื่อเรื่องที่พวกเขารับรู้นั้นมันหนักและใหญ่เกินที่พวกเขาจะรับได้...แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ...พวกเขาเองก็รู้สึกดีใจเหมือนกันที่ได้มีลูกกับไทย...ได้มีลูกกับคนที่เขารัก...

    ในขณะที่เขากำลังคิดอะไรอยู่นั้นก็ต้องตกใจกับบรรยากาศอันเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากด้านหลังของเข้าจนเจ้าตัวต้องหันไปมอง และก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้พบกับ...

    “รัสเซีย นายเป็นอะไรน่ะ”...พบกับรัสเซียที่ปล่อยรังสีหนาวเย็นออกมาทั่วห้องก่อนที่รังสีนั้นจะหยุดลงแล้วปรากฎรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลานั้น แต่ทำเอาอังกฤษรู้สึกขนลุกแปลกๆ

    “นี่อังกฤษคุง...เมื่อคืนฉันฝันเห็นไทยคุงด้วยล่ะ” รัสเซียพูดขึ้นทำให้คิ้วข้างขวาของอังกฤษกระตุกแปลกๆ ด้วยความรู้สึกสังหรณ์ใจ

    “ฉันฝันเห็น เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ... เธอเรียกไทยว่าแม่และชอบถามไทยเกี่ยวกับเรื่องของฉัน แถมยังเรียกฉันว่าพ่ออีกด้วย...นายว่าแปลกไม” รัสเซียพูดซึ่งมันทำให้อังกฤษเบิกตากว้างซึ่งฝันนั้นมันค่อนข้างใกล้เคียงกับฝันของเขา...ใกล้เคียงกันตรงได้ฝันเห็นไทยและลูกของเขา...

    “เห?...ฉันก็ฝันเหมือนกัน” ฝรั่งเศสที่ได้สติ สตังตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้พูดขึ้นเช่นเดียวกับจีนที่ดูเหมือนจะได้สติกลับมาเหมือนเดิมเช่นกัน

     “อั๊วก็ด้วย” จีนพูดซึ่งมันทำให้อังกฤษรีบวิ่งออกไปจากห้องประชุมแล้วตรงไปยังห้องพักของพวกที่เหลือ ซึ่งพอลองถามดูก็เป็นดังที่คาด ว่าพวกเขาค่อนข้างฝันใกล้เคียงกันหมด ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทำเอาอังกฤษรู้สึกแปลกๆ ก่อนจะรู้สึกกังวลและสังหรณ์ใจยังไงชอบกลกับอเมริกาที่รีบตรงดิ่งไปหาไทยเพื่อดำเนินแผน งี่เง่าอะไรก็ไม่รู้

     

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

     

    “สุดจะทนกับไอ้เวรพวกนี้แล้วโว้ย!!!!!!” อชิตตะโกนลั่นบ้านซึ่งแน่นอนว่าพี่น้องคนอื่นๆของเขาเห็นด้วย “ไปบุกถล่มบ้านมันแม่งเลย!! บังอาจมาทำกับแม่ของพวกเราแบบนี้  มันต้องชดใช้!!!!

    “เฮ้ย! อย่าเพิ่งไป อชิต” อดัมเดินเข้าไปห้ามอชิตที่กำลังจะวิ่งออกไปจากบ้านทำให้ชายหนุ่มหันมามองพี่ชายของตนตาเขียวปั๊ดด้วยความไม่พอใจ

    “อะไรอีกล่ะ อดัม คิดจะห้ามกูงั้นเหรอ ไม่มีทาง!!!!!” อชิตพูดด้วยความไม่พอใจก่อนจะโดน...

     

     

     

    ผัวะ!!!!!

     

     

     

    ...โดนทิมที่เดินมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ตบหัวซะมึนไปหนึ่งยก

    “อย่าโมโหจนพูดจาหยาบคายสิ อชิต...นายก็รู้ว่าแม่ไม่ชอบให้พูดจาหยาบคายน่ะ...นี่ไม่ใช่สมัยพ่อปู่ขุนรามคำแหงนะน้อง” ทิมเทศนาหน้านิ่งจน อชิตรู้สึกมึนหัวขึ้นมาเป็นรอบที่สองแถมรู้สึกหูชานิดๆกับการโดนเทศนา

    “ฉันไม่ได้จะห้ามนายหรอกนะ อชิต แต่เราต้องมีแผน เพราะถ้าพี่สกายกลับมาล่ะก็...เรางานเข้ากันยกฝูงแน่ๆ” อดัมอธิบาย

    “แต่พี่สกายเพิ่งจะออกไปทำงานนะ...กว่าจะกลับคงอีกนาน” อชิตพูดพลางลูบหัวของตนเองที่โดนตบปอยๆ

    “แต่ถ้าแม่ป่วยแบบนี้ คิดว่าพี่สกายคงกลับมาปีหน้าหรอกมั้ง” อเล็กซ์พูดประชดประชันจนอชิตรู้สึกหงุดหงิดแต่พอรองคิดตามเหตุผลแล้ว...พี่สกายคงกลับมาในไม่ช้านี้แน่...

    “งั้นฉันไปแค่คนเดียว ส่วนพวกนายอยู่จัดการทางนี้” อชิตพูดก่อนจะทำท่าจะเดินออกไปแต่ก็โดนวิกเตอร์กับโรเบิร์ตขวางทางไว้เสียก่อน

    “ใครจะปล่อยให้นายได้สนุกคนเดียวกันล่ะ อชิต” โรเบิร์ต พูดพร้อมกับหักมือดังกร็อบแกร็บซึ่งมันทำให้อชิตแสยะยิ้มก่อนจะหันไปมองพี่น้องคนอื่นๆที่ยกยิ้มขึ้นมาอย่างมีเล่ห์นัยซึ่งมันยิ่งทำให้เขามั่นใจกับความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัว

    “ถ้างั้นก็ไปหมดนี่เลยสิ” อชิตพูดพร้อมแสยะยิ้มอย่างนึกสนุก

    “ไอ้ฉลาดน้อย!!” วิกเตอร์พูดโพลงขึ้นมาจนอชิตสะดุ้งและรู้สึกหน้าเสีย

    “ถ้าไปกันหมดล่ะก็ พอพี่สกายกลับมาเราได้โดนเทศนาและทำโทษกันหมดนี่แน่...เพราะฉะนั้นต้องแบ่งกันไป แล้วอีกอย่างหนึ่ง พวกที่อยู่ที่นี่จะได้อยู่ดูแลแม่ และพอพี่สกายกลับมาจะได้โทรติดต่อพวกที่ไปให้กลับมาโดยเร็วก่อนที่พี่สกายจะรู้เรื่อง แถมถ่วงเวลาให้กับพวกที่ไปจัดการพวกนั้นอีกด้วย” อเล็กซ์พูดอธิบายให้อชิตเข้าใจ ซึ่งหนุ่มลูกครึ่งไทยพม่าถึงกับร้องอ๋อขึ้นมาทันที

    “แล้ว...ใครจะไปบ้างล่ะ?” อชิตถามขึ้นก่อนจะโดน...

     

     

     

    ผัวะ!!!!!

     

     

     

    ...โดนอเล็กซ์ตบหัวจนมึนเป็นรอบที่ 3 ของวัน

    “ไอ้ฟาย ถามแบบนั้นได้ไง มันต้องถามว่า ใครจะอยู่ต่างหาก” อเล็กพูดก่อนจะโดน...

     

     

     

    ผัวะ!!!!!

     

     

     

    ...โดนโปตบหัวคว่ำจนมึนไปอีกคน...

    “ว่าแต่เขา...ตัวเองน่ะฉลาดตายล่ะ ถ้าถามว่าใครจะไปทุกๆคนก็จะตอบว่าไปกันทั้งหมด แต่ถ้าถามว่าใครจะอยู่ ก็จะพากันแย่งอยู่จนชุลมุนเสียเวลาอีก...หัดใช้ความคิดบ้างสิว่าเราไม่มีเวลา” โปเทศนาหน้านิ่งปล่อยให้พวกพี่สาวน้องสาวดูแลแม่ไป

    “งั้นจะให้พวกเราทำยังไงล่ะ ยิ่งเวลาไม่แน่ไม่นอนอยู่ด้วยเพราะพี่สกายอาจกลับมาเมื่อไรก็ได้” ฮารุถามขึ้นซึ่งแน่นอนว่าพี่น้องบางคนก็งงและสงสัยพอๆกัน

    “งั้นจับฉลากกัน” โรเบิร์ตเสนอก่อนจะหยิบขันสีเงินที่ใส่กระดาษม้วนเล็กๆจำนวนมากขึ้นมาซึ่งแน่นอนว่าพี่น้องคนอื่นๆเห็นด้วยก่อนจะพากันจับฉลาก

    “แล้วไงต่อล่ะ?” หลังจากจับฉลากกันครบหมดทุกคนแล้ว แฟรงคลินก็ถามสิ่งที่ทุกๆคนสงสัยขึ้น

    “คลี่กระดาษออก” โรเบิร์ต ตอบซึ่งทุกๆคนก็ทำตามและเมื่อทุกๆคนคลี่กระดาษออกกันหมดแล้วก็หันมามองคนต้นคิดราวกับสงสัยและเป็นการถามแบบนัยๆอีกครั้งว่าต่อไปจะเอายังไงต่อ

    “ที่นี้...ใครที่ตรงกลางของกระดาษเป็นสีแดงมายืนฝั่งฉัน” โรเบิร์ต พูดซึ่งคนที่ออกมายืนฝั่งเขานั้นมี วิกเตอร์ อดัม อเล็กซ์ รีเบคก้า อชิต เดวิดและปาร์กเกอร์ ซึ่งทุกๆคนรู้สึกจะงงๆกับวิธีของพี่น้องคนนี้

    “เอาล่ะ...เราได้คนที่จะไปบุกถล่มพวกมันแล้วนะ ทั้งหมด 8 คน ซึ่งรวมฉันด้วย...งงกันล่ะสิ...ก็คือว่า...คนที่จับฉลากได้สีแดงคือคนที่จะได้ไปบุกถล่มพวกนั้นยังไงล่ะ ส่วนพวกที่เหลือก็อยู่เฝ้าแม่ไปก็แล้วกัน” โรเบิร์ต อธิบายในสิ่งที่ทุกๆคนสงสัยจนทุกๆคนคลายข้อสงสัยแล้ว

    “งั้นก็ไปกันเลย!” รีเบคก้าพูดด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มแต่เหี้ยมโหดจนใครๆพากันขนลุกและปล่อยรังสีหนาวเย็นออกมา

    ในขณะที่พวกเขากำลังวางแผนอยู่นั้น พวกเขาไม่ได้รับรู้เลยว่า มีคนเฝ้ามองพวกเขาอยู่

    “บรรลัยล่ะหว่า รีบไปบอกลูกพี่สกายเร็ว” เจ้าสุนัขสีน้ำตาลอ่อนหันไปพูดกับเจ้าแมวสีดำที่ยืนแอบอยู่ข้างๆ

    “จะให้ไปบอกยังไงล่ะทอง” เจ้าแมวถามด้วยความตกใจปนทำอะไรไม่ถูก

    “ทำไมถามแมวๆแบบนั้นล่ะสนธยา...เอ็งก็ไปบอกพวกพี่น้องแมวๆของเอ็งแล้วให้พี่น้องแมวของเอ็งไปบอกลูกพี่สกายไงเล่า” เจ้าสุนัขที่น่าจะชื่อว่าทองพูดอธิบายให้เจ้าแมวฟัง

    “พูดหมาๆ...ไอ้บ้า...กว่าจะหาคุณสกายเจอ พวกจิตวิญญาณแห่งประเทศพวกนั้นไม่ตายย่อยยับกันไปหมดก่อนแล้วเหรอ แล้วเรารู้ซะที่ไหนว่าคุณสกายอยู่ที่ไหน”เจ้าแมวที่ชื่อว่าสนธยาเถียงกลับ

    “โอ้ย~ ยังไงๆก็ไปบอกพวกปู่โสมก่อนเถอะ! ~ ตอนนี้งานเข้างานงอกงามไส้กันยกใหญ่แล้ว ยังไงๆก็ให้พวกผีระดับสูงเขารับรู้กันก่อนเถอะ~” ทองพูดอย่างหนักใจและเหนื่อยใจก่อนที่ทองและสนธยาจะพากันวิ่งตารีตาเหลือกไปแจ้งข่าวเรื่องนี้ให้พวกผีระดับสูงรับรู้กัน ในขณะที่เอกฤทัยก็คอยใช้พลังของตนช่วยรักษาไทยอยู่ข้างๆ

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

    สถานการณ์ในตอนนี้   เรียกได้ว่า พม่า เขมรและมาเลเซียกำลังจะหายไป ถ้าไม่มีใครมาช่วยเดี๋ยวนี้!!!!!! เพราะทั้ง 3 คนในตอนนี้กำลังโดน ปืน พลั่ว ไม้หน้าสาม ก๊อกน้ำ ขวาน ไล่ยิงไล่ตีไล่ฟาดกันน่ะเซ่!!!ซึ่งคนที่ทำน่ะเหรอ...ไม่ต้องสงสัย ก็เหล่าลูกๆของไทยทั้ง 8 คนนั้นแหละ

    “ไอ้พวกชั่ว ไอ้พวกเลว ตายซะมึง!!!! นาคาพ่นไฟ!!!!” อชิตตะโกนอย่างบ้าคลั่งก่อนจะใช้ไม้หน้าสามไล่ฟาดเขมร

    “เล่นคมแฝกเลยนะนาย...เฮ้อ~” วิกเตอร์ถอนหายใจก่อนจะใช้สันปืนไรเฟิลที่ถือมาด้วยฟาดเข้าให้ที่หน้าของมาเลเซีย

    “ปืนเขามีไว้ยิงนะไม่ใช้มีไว้ฟาด” อดัมพูดก่อนจะชกเข้าที่ท้องของพม่าจนกระอักเลือด

    “ถ้ายิงมันตายก่อน...เราก็อดสนุกน่ะสิ” วิกเตอร์พูดตอบก่อนจะฟาดต่ออย่างสนุกมือ

    “รีเบคก้า จะใช้พลั่วหรือก๊อกน้ำก็เลือกสักอย่างสิ อย่าใช้ทั้งสองอันได้ไม!” อเล็กซ์หันไปพูดกับรีเบคก้าที่ร่วมวงกับ อดัมใช้ทั้งพลั่วและก็อกน้ำฟาดพม่าแบบไม่ยั้ง

    “ก็ฉันชอบนี่นา...สนุกดีออก” รีเบคก้าพูดเสียงเหี้ยม

    “เฮ้ย!!ฆ่าพวกมันแม่งเลยดีไมวะ!!” อชิตตะโกนขึ้นพร้อมกับกระชากหัวเขมรเตรียมให้เดวิดใช้ขวานที่เขาถืออยู่ฟาดลงบนคอของเขมร

    “เกินเลยกันเกินไปแล้วนะน้องพี่” เสียงเย็นๆดังขึ้นทำให้ทั้ง 8 คนที่กำลังรุมฆาตกรรมเหล่าประเทศทั้ง 3 หยุดชะงักลง

     

    ...อึก...ความรู้สึกแบบนี้มัน...อย่าบอกนะว่า...X8

     

    ทั้ง 8 คนก่อนจะหันไปมองต้นเสียงพร้อมกันก็ถึงกับหน้าซีด เข่าอ่อนเมื่อเจอกับ แววตาเยือเย็นและทรงอำนาจ รวมไปถึงใบหน้าที่บ่งบอกว่า ชายหนุ่มผู้นี้กำลังโกรธอยู่ ไม่มากก็น้อย...ซึ่งคนที่ปรากฎตัวนั้นก็คือ...

    “พี่สกาย” ทั้ง 8 คนเอ่ยชื่อของชายหนุ่มที่ปรากฎตัวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือด้วยความกลัวราวกับเด็กที่ถูกจับได้ว่าไปทำอะไรผิดมา

    สกายปรายตามองประเทศทั้ง 3 ด้วยสายตาที่แสดงถึงความไม่พอใจแต่ในขณะเดียวกันก็เย็นชาจนผู้ที่มองรู้สึกเจ็บที่ทรวงอกก่อนจะหันมามองน้องๆของตนที่ยืนสั่นเป็นลูกนกยามตากฝน

    “พวกน้อง...คิดว่ากำลังทำอะไรกันอยู่มิทราบ” สกายพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาจนใครๆพากันรู้สึกหนาวและรู้สึกเจ็บที่อกจนแทบอย่างกระอักเลือดตาย

    “อึก...ก็มาจัดการให้พวกมันหยุดทำร้ายแม่ของพวกเราสักทีน่ะสิพี่!!!!” อชิตพูด หรือ ตะโกน ด้วยความรู้สึกเจ็บที่ทรวงอกพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่ประทุอยู่ในอก จนน้ำตาของเขาไหลลงมา ทำให้พี่น้องคนอื่นๆรู้สึกตกใจ

    “อึก...พวกมัน...ทำให้แม่ของพวกเราเจ็บ...ทำให้แม่ของพวกเราทรมาน...ในฐานะลูก ผมทนเห็นแม่ของผมทรมานแบบนั้นไม่ได้หรอก!!” อชิตพูดพร้อมน้ำตาที่ไหลเมื่อนึกถึงสภาพของไทยก่อนที่เขาจะออกมา...ร่างบางที่แทบจะอยู่ในอาการโคม่าจนต้องพาส่งโรงพยาบาล...บาดแผลที่เต็มร่างกาย...ใบหน้าที่แสดงออกถึงความทรมานของผู้เป็นแม่...มันทำให้เขาทนไม่ได้!!...พวกที่ทำให้แม่ของเขาต้องทรมานต้องชดใช้!!!!!

    “สิ่งที่นายทำ...ในฐานะลูกน่ะถูก...แต่การมาทำให้ผู้อื่นได้รับความทุกข์ทรมานดั้งการแก้แค้นนั้นมันไม่ถูก” สกายพูดเสียงเรียบด้วยความเย็นชาจนน้องๆบางคนต้องลงไปนั่งกองกับพื้นด้วยความรู้สึกทรมานในทรวงอก “แล้วอีกอย่างหนึ่ง...คนที่นายบุกมาทำร้ายจนเกือบฆ่านั้น มีพ่อของนายปนอยู่ด้วยนะ อชิต”

    !!!” เมื่อสกายพูดจบ อชิตก็ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

    “นายก็รู้ใช่ไม...ว่าการฆ่า...ไม่สิ...ว่าการทำร้ายพ่อของตนเองนั้น...มันบาปหนาแค่ไหนน่ะ!” สกายพูดเสียงเรียบเช่นเดิม แต่มันกลับทรงอำนาจจนน้องๆขาเขาพากันเข่าอ่อน ลงไปนั่งกองกับพื้นกันหมด

    “อนิรุทธิ์ เขมร มาเลเซีย เป็นยังไงบ้าง!!” เสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับปรากฏตัวของเวียดนาม ลาว อินโดเนเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์และบรูไนที่วิ่งเข้ามาดูอาการของทั้ง 3 คนที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นก่อนจะค่อยๆช่วยกันพยุงให้ลุกขึ้นมานั่ง

    “อะ...อนิรุทธิ์” อชิตพึมพำทั้งๆที่ตายังคงเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจกับเรื่องที่เขาเพิ่งรับรู้

    “พม่า หรือ ชื่อมนุษย์ คือ อนิรุทธิ์” สกายพูดเสียงเรียบก่อนจะชี้ไปที่ พม่า ที่ในตอนนี้มีเวียดนามกับลาวกำลังช่วยกันพยุงอยู่ “เขาคนนั้นยังไงล่ะ พ่อของนาย...คนที่นายอยากจะเจอหน้ามาตลอดเวลา 30 ปี”

    สกายพูดเสียงเรียบทำให้ทั้งพม่าและ อชิตสะดุ้งตกใจเช่นเดียวกับทุกๆคนที่อยู่ที่นี้

    เด็กหนุ่มค่อยๆหันไปมองตามนิ้วที่สกายชี้ด้วยสายตาอึ้งๆก่อนจะสบเข้ากับสายตาที่อึ้งไม่ต่างจากตัวเขาของชายหนุ่มที่สะบักสะบอมจากการที่โดนพวกเขาอัดไป

    “พะ...พ่อ” อชิตพึมพำคำที่เขาต้องการจะเรียกคนตรงหน้ามานาน แต่ไม่นึก...ว่าการเจอกันครั้งแรกของพวกเขาจะเป็นเช่นนี้ แต่ว่า...

    “ไม่จริง!!เขาไม่ใช่พ่อของผม!!!พ่อของผมไม่มีทางทำร้ายแม่แบบนี้หรอก!!!ก็พ่อน่ะ รักแม่นี่น่า!!!แล้วถ้าเขาเป็นพ่อของผมจริงๆ!!!เขาก็ไม่มีทางทำให้แม่ได้รับบาดเจ็บขนาดนั้นหรอก!!!!!” อชิตพูดด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา

    “อชิต...ที่สกายพูดน่ะมันเป็นความจริงนะ” เวียดนามพูดซึ่งมันยิ่งทำให้ พม่าอึ้งเข้าไปอีก

    “ถ้าเขาเป็นพ่อของผมจริงๆ...ทำไม...ทำไมต้องทำกับแม่ของพวกเราถึงขนาดนั้นด้วย! ทำไม!!!ทำไม!!!ตอบมาสิว่าทำไม!!!!คนที่เขารักกัน เขาทำกันแบบนั้นหรอ!!!!!!ทำไมคุณต้องทำร้ายแม่ของพวกเราขนาดนั้นด้วย!!!!แม่ของพวกเรารักพวกคุณ แต่พวกคุณกลับทำกับแม่ของพวกเราขนาดนั้น!!!!ทำไม!!!!!!ทำไมกัน!!!!!ตอบมาสิ!!!!!!!!!!!” อชิตพูดอย่างบ้าคลั่งจนพี่น้องคนอื่นๆต่างพากันทำหน้าเศร้าและน้ำตาไหลเมื่อนึกถึงสภาพของมารดาผู้เป็นที่รัก...และเมื่อเห็นสภาพของแม่แล้ว...มันก็ทำให้พวกเขากลัว...กลัวว่าจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของแม่อีก...กลัวว่ามือเรียวสวยนั้นจะไม่สามารถลูบหัวพวกเขาได้อีก...กลัวว่าจะไม่ได้กอดแม่อีก...กลัว...กลัวว่าจะสูญเสียแม่ไป...เพียงแค่เห็นแม่ทุกข์ทรมาน พวกเขาก็พร้อมทรมานไปด้วยแล้ว...ยิ่งเห็นแม่อยู่ในสภาพแบบนั้น...พวกเขาทนไม่ได้!!!...จึงต้องทำอะไรสักอย่าง...เพื่อไม่ให้แม่ของพวกเขา ต้องทุกข์ทรมาน...แล้วกลับมายิ้มให้พวกเขาอีก...

    “ฉะ...ฉัน...ไม่ได้ตั้งใจจำทำให้ไทยบาดเจ็บ...ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ไทยต้องเจ็บปวดทรมาน” พม่าพูดออกมาอย่างยากลำบากเพราะบาดแผล แต่บาดแผลของเขาก็เริ่มหายอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับมาเลเซียและคนอื่นๆ

    “ไม่ได้ตั้งใจ...ไม่ได้ตั้งใจงั้นเหรอ!!!!!” อชิตที่ตอนนี้เหมือนกับคนสติแตก กำลังจะตรงดิ่งเข้าไปชกหน้าพม่า แต่โดน อดัมกับวิกเตอร์เข้ามาช่วยกันจับตัวรั้งไว้เสียก่อน “แล้วที่นายทำลงไป!!!มันเรียกว่าอะไร!!!!แม่ของพวกเรา ต้องทุกข์ทรมานกับบาดแผล!!!แบบนี้เหรอที่เรียกว่าไม่ได้ตั้งใจน่ะหา!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

    “ฉันแค่...อยากให้ไทยสนใจฉัน...อยากให้ไทยออกมาพบกับฉันเหมือนเมื่อก่อน...ฉันแค่อยากพบกับไทยอีกครั้งเท่านั้นเอง” พม่าพูดซึ่งมันทำให้อชิตรู้สึกในเย็นลงมาบ้างก่อนจะนั่งฟังเหตุผลของ คนที่เป็นพ่อของเขา

    “ฉันเอง...ก็อยากให้ไทยสนใจแค่ฉันเท่านั้น...และอยากให้ไทยออกมาพบกับพวกเราอีกครั้งเหมือนเมื่อก่อน...ฉันอยากแข็งแกร่ง ไม่อยากให้ไทยเห็นฉันเป็นเพียงแค่น้องชายที่ต้องดูแล...ฉันเลยต้องทำแบบนี้ เพื่อให้ไทยรับรู้ ว่าฉันแข็งแกร่ง...แข็งแกร่งพอจะดูแลไทยได้...ฉันรักไทย” เขมรที่มีอินโดเนเซียกับฟิลิปปินส์ช่วงพยุงสารภาพออกมาทำให้พม่าหันไปมองเขมรตาเขียวปั๊ด แต่เจ้าตัวไม่สนใจ

    “ส่วนฉันเอง...ก็แค่อยากจะรวมประเทศกับไทยเท่านั้นเอง...แต่ไทยไม่ยอมตกเป็นของฉัน ฉันเลยต้องใช้วิธีนี้...เพื่อที่ไทย จะได้ยอมเป็นของฉัน” มาเลเซียที่มีสิงคโปร์กับบรูไนช่วยพยุงพูดยิ่งทำให้พม่ากับเขมรสามัคคีพากันหันมามองตาเขียวปั๊ดด้วยความหึงหวงทันที

    “พวกคุณรู้บ้างไม...ว่าที่แม่ของผมต้องปิดประเทศน่ะ เพราะอะไร” สกายถามเสียงเรียบ และสิ่งที่ได้รับมาเป็นคำตอบก็คือความเงียบ

    “นอกจากแม่ของผมจะป่วยเรื่องการเมืองแล้ว ยังป่วยเพราะเรื่องเศรษฐกิจอีกด้วย แถมต่างชาติยังเลิกสนใจแม่ของพวกเรา แล้วทิ้งแม่ของพวกเราไป...รวมไปถึงสภาพบ้านเมืองที่ย่ำแย่ลง ทำให้แม่ของพวกเราป่วยอย่างหนัก...ทรมานกับอาการเจ็บป่วย...โดยที่พวกคุณไม่มาสนใจใยดีตั้งหลายวัน...ไม่สิ...หลายเดือนเสียมากกว่า แต่นอกจากเจ็บป่วยแล้ว...แม่ของผม ยังท้องลูกของคุณอีกด้วย” สกายพูดทำให้พม่าเบิกตากว้างอีกครั้งเมื่อรู้เหตุผลว่าไทยนั้นทรมานมากแค่ไหน

    “หลังจากที่ต่างชาติสร้างข่าวลือว่าประเทศไทยเกิดโรคระบาดงี่เง่าอะไรนั้น และ ปู่หลวง รัชกาลที่ 9 ป่วยหนัก ก็มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และเขาคนนี้ก็คือคนที่เป็นต้นคิดในเรื่องการปิดประเทศเพื่อบำรุงรักษาประเทศไทยใหม่พร้อมกับการขึ้นครองราชย์ของรัชกาลที่ 10”

    “เขาต้องการปกป้องประเทศไทย และทำให้ไทยมีความสุข...โดยที่แม่ของพวกเรา คิดถึงพวกคุณ และอยากออกมาหาพวกคุณ...แต่จิตวิญญาณแห่งประเทศอย่างพวกคุณ ทำได้แค่เพียงทำตามคำสั่งของผู้นำประเทศเท่านั้นไม่ใช่หรือไง...แล้วแม่ของผมจะขัดอะไรกับคำสั่งเด็ดขาดของนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้กันเล่า” สกายพูดเสียงเรียบ อธิบายให้ทั้งหมดเข้าใจ ซึ่งพอทั้งหมดเข้าใจ ก็ถึงกับรู้สึกผิดและอยากจะขอโทษไทย

    “แล้วทำไม พระมหากษัตริย์ของไทยถึงไม่คัดค้านล่ะ! ทำไมถึงปล่อยให้นายกคนนั้นทำตามใจชอบกัน!!” เขมรถาม

    “ก็เพราะว่าประเทศของเรา เป็นประชาธิปไตย ประชาชนส่วนใหญ่ 99.999% เห็นด้วยกับการปิดบำรุงรักษาประเทศ ห้ามไม่ให้คนนอกเข้าคนในออก ทำให้ท่านปู่หลวงที่ 10 ไม่คัดค้านใดๆ...ก็นะ...หลังจากโดนต่างชาติทอดทิ้ง พวกเขาก็คงจะคิดว่า...คงไม่มีประเทศไหนดีเท่าประเทศตัวเอง เพราะอย่างน้อย ประเทศไทยก็ไม่ทิ้งพวกเขา เหมือนกับชาวต่างชาติ” สกายตอบพร้อมเหตุผลทำให้เหล่าประเทศทั้งหลายรู้สึกเศร้าใจกับสิ่งที่พวกเขาทำลงไป

    “ผมไม่โทษพวกคุณหรอก...ก็ตามที่ผมเคยพูดไป...ว่าจิตวิญญาณแห่งประเทศอย่างพวกคุณ ทำได้แค่เพียงทำตามคำสั่งของผู้นำประเทศเท่านั้นนี่นะ...จะไปขัดคำสั่งของบอสได้ยังไงกันล่ะ จริงไม” สกายพูดซึ่งมันจริงอย่างที่เขาพูดทุกประการ

    “ไปกันเถอะน้องๆ...กลับบ้านกันเถอะ” สกายพูดด้วยเสียงที่อ่อนลงจนเหมือนอ่อนโยนดั่งที่ผ่านๆมาทำให้น้องๆของพวกเขาหันมามอง

    “กลับไปหาแม่ของพวกเรากันเถอะนะ” สกายพูดพร้อมรอยยิ้มซึ่งทำให้น้องๆของเขายิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะพากันลุกขึ้นแล้วเดินตามสกายไป

    “นี่...เวียดนาม” พม่าที่ยังคงรู้สึกผิดกับตัวเองเรียกหญิงสาวรุ่นพี่ที่พยุงเขาอยู่ข้างๆ

    “อะไร อนิรุทธิ์?” เวียดนามหันมาถามคนข้างๆ

    “ฉันมีลูกกับไทย จริงๆใช่ไม?” พม่าถาม ราวกับคิดว่าเรื่องที่เขาเพิ่งรับรู้ไปมันคือความฝัน

    “ก็จริงน่ะสิ” เวียดนามตอบด้วยความไม่พอใจสักเท่าไร เพราะพม่าทิ้งไทยให้ต้องเลี้ยงลูกอยู่คนเดียว ถึงจะเป็นเพราะคำสั่งบอสของไทยที่ห้ามไม่ให้ต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย แต่การที่ต้องปล่อยให้ภรรยาต้องเลี้ยงลูกคนเดียวนั้น ในฐานะสามี ช่างเป็นคนที่ห่วยแตกและสารเลวสิ้นดี “นี่พม่า...ทั้งไทยทั้ง อชิต รอวันเวลาที่จะได้เจอนายมาตลอดเลยนะรู้ไม”

    !!!” จากสิ่งที่เวียดนามพูด มันทำให้พม่าดีใจแล้วหันมามองหน้าเวียดนาม

    “ถ้านายไม่พยายามที่จะได้พบไทย...นายก็คงเป็นพ่อและสามีที่ห่วยแตกและสารเลวสิ้นดี” เสียดนามพูดจนพม่ารู้สึกเหมือนโดนด่าไปเต็มไป “แต่ต้องไม่ใช่วิธีแบบนี้...ยิ่งทำแบบนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้พบกับไทย...พวกนายก็ด้วย เข้าใจไม!!

    “เข้าใจแล้วคร้าบบบ~” หลังจากนั้นทั้ง 3 คนก็โดนพี่ใหญ่แห่งเอเชียตัววันออกเฉียงใต้หรือพี่ใหญ่ของกลุ่มอาเซียนอย่างเวียดนามเทศนาซะนานหลังจากทำแผลเสร็จจนพวกเขาสงสัยว่าตกลงเวียดนามเป็นพี่สาวของพวกเขาหรือแม่ของพวกเขากันแน่

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

    “เป็นยังไงบ้าง น้องชาย ได้เจอกับพ่อของตัวเองเสียที คงเหมือนกับที่นายฝันไว้สินะ” สกายพูดขึ้นหลังจากเดินเงียบกันมานาน

    “ไม่เลยสักนิด พี่ เป็นการเจอกันที่ไม่ดีเลยสักนิดเดียว” อชิตพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาจนเหมือนพึมพำอยู่คนเดียว

    “หึ    ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็คงจะได้พบกันอีกนั้นแหละ และเมื่อถึงตอนนั้น...มันคงจะเหมือนกับช่วงเวลาที่นายเฝ้าฝันไว้นั้นแหละ น้องชาย” สกายพูดพร้อมกับลูบหัว อชิตที่ดูจะหงอยไปถนัดตา

    “ขอให้มันจริงเถอะ” อชิตพูดก่อนจะถอนหายใจแล้วยกยิ้มขึ้นมาบางๆ

    “เถอะน่า~ ร่าเริงหน่อยเถอะ หงอยเป็นหมาหงอยแบบนี้มันไม่สมกับเป็นนายเลยสักนิดนะ” เดวิดเดินเข้ามากอดคอ อชิตพร้อมกับพูดเหมือนเป็นการปลอบและให้กำลังใจ

    “เออ...ว่าแต่...เมื่อกี้นายว่าใครเป็นหมามิทราบ เดวิด” อชิตหันไปทำตาเขียวใส่เดวิดที่ยังยืนกอดคอเขาอยู่และเริ่มเอาแขนมาเท้าหัวเขาแทน...ชักจะรามปามเกินไปแล้วนะ...

    “ใคร๊~อะไร๊~ไม่รู้ ฉันยังไม่ได้ว่าใครเป็นหมาเลยนะเฮ้ย”

    “แล้วเสียงสูงหาพ่อมึงเรอะ!!

    “โหย~ อชิต ฉันแค่เปรียบเทียบน่า~ อย่าหงุดหงิดขนาดมาพูดถึงพ่อของฉันสิ”

    “ในที่สุดก็กลับมาปากหมาเหมือนเดิมสักที” อเล็กซ์พึมพำพร้อมกับมองน้องชายของตนทั้ง 2 คนทะเลาะกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่คิดที่จะห้าม

    “ห้ามทะเลาะกัน” สกายพูดเสียงเย็นจนทั้ง 2 คนต้องหยุดทะเลาะกันแล้วเงียบกริบ “กลับมาร่าเริงได้เหมือนเดิมก็ดีแล้วล่ะ”

    “อืม” อชิตยิ้ม ทำให้ทั้งหมดรู้สึกสบายใจเช่นเดียวกับสกายก่อนที่ทั้งหมดจะสะดุ้งตกใจกับเสียงตะโกนของ อดัม

    “นั้นมันอะไรกันน่ะ!!

    ทั้งหมดหันไปมองตามทิศทางที่ อดัมมองก่อนจะพบกับ...

     

     



    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    ฝากคอมเม้มด้วยนะเจ้าคะ~

















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×